xs
xsm
sm
md
lg

ดีเอสไอเฉ่ง "เสี่ยอู๊ด" อาจถึงคุก 20 ปี ดาราชายพัวพันโดนสอบแน่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ดีเอสไอ” เดินหน้าหาหลักฐานเอาผิด “เสี่ยอู๊ด” กรณีจัดสร้าง “พระสมเด็จเหนือหัว” ผิดกฎหมาย เผยตอนนี้มีหลักฐานและพยานเอาผิดพร้อมรอแค่ศาลไต่สวนเท่านั้น ย้ำหากผิดจริงอาจมีโทษจำคุกสูงถึง 20 ปี และอายัดทรัพย์สินทุกอย่างทั้งส่วนตัวและบริษัท เปรย “ดาราชาย” ทุกคนเตรียมตัวให้ปากคำในศาลหากสืบทราบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง
         
          เงียบหายไปพักใหญ่สำหรับคดีความ “พระสมเด็จเหนือหัว” ที่ผ่านมา จะมีก็แต่ “เสี่ยอู๊ด-สิทธิกร บุญฉิม” ที่พัวพันคดีดังกล่าวไปให้สัมภาษณ์ในรายการต่างๆ พูดถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวกับดาราชาย จนดาราหลายคนร้อนๆ หนาวๆ ไปตามๆ กัน หากแต่ไม่เคยปริปากเรื่องคดีความพระสมเด็จเหนือหัว
           
           แต่ล่าสุดเสี่ยอู๊ดก็โดนซะแล้ว เมื่อ “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” ผู้บังคับบัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ (DSI) และนาย “สงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์” อดีตกรรมาธิการคณะกรรมาธิการศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฏร ซึ่งเป็นผู้เสียหายจากการเช่าบูชาพระสมเด็จเหนือหัว เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องบริษัท ไดมอนด์ฮิลล์ จำกัด, นายสิทธิกร บุญฉิม หรือ “เสี่ยอู๊ด” ประธานบริษัท และ นายก้องไกร ลิ้มจรูญ กรรมการผู้มีอำนาจ เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานละเมิดและโฆษณาแก้ไขข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน เรียกค่าเสียหายจำนวน 300,999 บาท ก็ได้เดินทางมาออกรายการ “คุยกันทันข่าว” ทางช่อง 5 เพื่อเปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีดังกล่าว โดย พ.อ. ปิยะวัฒก์ ได้กล่าวว่า
           
           “ในส่วนของคดีหลังจากที่ได้มีประกาศจากสำนักพระราชเลขาตามที่ออกมาว่า ทางผู้จัดสร้างได้มีการโฆษณาชวนเชื่อ ด้วยการประกาศว่า มีดอกไม้พระราชฐานเป็นมวลสารในการจัดสร้าง และนอกจากนั้น ก็ได้มีการนำเอาเครื่องหมายพระมหาพิชัยมงกุฎประทับลงบนด้านหลังองค์พระ ตรงจุดนี้ทางเราได้ตรวจสอบแล้วพบว่าทางผู้จัดสร้างไม่ได้มีการทำเรื่องขออนุญาตเลย”
         
          “คือ ตอนนี้เราก็ได้ทำเรื่องขออนุมัติเป็นคดีพิเศษ เมื่อได้รับอนุมัติแล้วก็จะมีหน่วยที่เข้ามารับผิดชอบ ก็คือ สำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม แต่เท่าที่ทราบตอนนี้ก็ได้มีการสืบสวนสอบสวนหาหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นพยานเอกสาร วัตถุพยาน และพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง ตอนนี้มีความคืบหน้าไปเยอะแล้ว แต่คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง ตอนนี้สิ่งที่ทางเราอยากจะขอความร่วมมือกับประชาชนที่เสียหายว่าให้เข้ามาพบกับเพื่อให้ปากคำ เพราะอันนี้เป็นสิทธิ์ของท่านเองทั้งนั้น เพราะถ้าหากเรื่องทุกอย่างสำเร็จท่านก็จะได้รับชดใช้ค่าเสียหายตามที่เสียไป กับเรื่องตรงนี้ทางประชาชนที่เสียหายจะต้องไปร้องเรียนที่สำนักงานคระกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) แล้วเขาจะรับเรื่องและส่งสำนวนคดีมาให้ทางเราต่อไป”
         
          เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่าตอนนี้ “เสี่ยอู๊ด” มีความผิดอย่างไรบ้าง ตามที่ทางสำนักคดีอาญาพิเศษ (DSI) ตรวจพบ ผู้บังคับบัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษเผยว่า
         
          “ตอนแรกจริงๆ แล้วที่เขาทำเรื่องเสนอว่าจะจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัวนั้น เขายื่นเรื่องไว้ ประมาณ 1 ล้าน 6 หมื่นองค์ แต่พอผลิตจริงนั้นเขาจัดทำทั้งสิ้น 1 ล้าน 6 แสนองค์ ซึ่งมันเกินจากความจริงไปเยอะมาก งานนี้ถ้าเกิดเขาขายหมดอย่างที่ผลิตจริงเขาจะได้เงินอย่างมหาศาลเลย โดยหลักความเป็นจริงแล้วต้นทุนในการจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัวนั้น ตกประมาณองค์ละ 4 บาท เท่านั้น แต่เขานำไปให้เช่าบูชาองค์ละ 999 บาทและจัดทำเป็นชุดมีชุดละ 5 องค์ 5 สี ตกชุดละ 4999 บาท คือเรื่องพวกนี้เป็นความผิดมาก”
         
          “อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะพูดก็คือเรื่องนี้มันเข้าข่ายฐานหลอกลวงด้วย อย่างเช่น ในเรื่องของการโฆษณาจากการทำโปสเตอร์นั้นที่บอกว่า ดอกไม้พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และยังมีผงพุทธคุณอีกมากมาย ส่วนจุดที่สำคัญและเด่นชัดที่สุด คือ ตราเครื่องหมายพระมหาพิชัยมงกุฎประทับลงบนด้านหลังองค์พระสมเด็จเหนือหัวนั้นเขาเอามาใช้โดยไม่ได้ขออนุญาตด้วย คือ จริงๆ แล้วการที่จะใช้ตราสัญลักษณ์ดังกล่าวได้จะต้องทำเรื่องขอไปทางสำนักราชเลขาธิการก่อน"
         
          “กับความผิดทั้งหมดนั้นโทษที่เขาจะได้รับมีอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโทษจากการโฆษณาชวนเชื่อให้คนอื่นเข้าใจผิดนั้นก็จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือทำจำทั้งปรับแล้วถ้ามีคำสั่งห้ามแล้วแต่ยังคงฝ่าฝืนอีกก็จะมีโทษตามลำดับต่อไป ส่วนความผิดฉ้อโกงนั้นทางกฏหมายอาญา ในมาตรา 343 จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนถึง 7 ปี ปรับตั้งแต่ 1 พันบาท ถึง 1 หมื่น 4 พันบาท หรือทำจำทั้งปรับ และก็อาจจะมีในเรื่องของการที่นำตราสัญลักษณ์ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นก็อาจจะมีโทษสูงขึ้นคือจำคุก 5 ถึง 20 ปี แต่ ณ วันนี้เสี่ยอู๊ดก็ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ตราบใดที่ศาลยังไม่พิพากษาว่าเขามีความผิด”
         
          ส่วนข้อถามที่ว่าตอนนี้สามารถเรียก “เสี่ยอู๊ด” ว่า “ผู้ต้องหา” ได้หรือยัง ผู้บังคับบัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษย้ำว่าได้แล้ว...“คือ ตอนนี้ทางพนักการสอบสวนเขาได้ยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อที่จะออกหมายจับแล้ว แต่ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวอยู่และสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศด้วย แต่จริงๆ แล้วเสี่ยอู๊ดนั้นก็คือผู้ต้องหานั่นแหละ เมื่อมีการออกหมายจับแล้วจะต้องมีการฝากขังตัวไปในแต่ละงวดผลัดละ 12 วัน เพราะฉะนั้นเราจะมีกรอบเวลาที่จะต้องดำเนินการอยู่แล้วก็ตามกฏหมายเลย คือ 84 วัน”
         
          ส่วน “ดาราชาย” ทั้งหลายคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในทรัพย์สินของเสี่ยอู๊ด หรือเกี่ยวข้องการสร้างพระสมเด็จเหนืออาจโดนหางเลขถูกเชิญมาสอบสวน
       
   “ตรงนี้เราต้องอยู่ที่พนักงานสอบสวนว่าถ้าหากว่าดาราชายเหล่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดสร้างนั้น ทางตำรวจก็จะต้องเชิญมาหาปากคำที่ศาลด้วยเหมือนกัน ส่วนถ้าหากความผิดทั้งหมดนั้นเป็นของเสี่ยอูดคนเดียว ทางเราก็จะดำเนินคดีและจะทำการยึดทรัพย์สินทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นของส่วนตัวและสำนักงานได้ ตรงนี้มันก็จะเป็นไปตามกรอบและอำนาจที่มีอยู่”
         
          ด้าน “นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์” อดีตกรรมาธิการคณะกรรมาธิการการศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เปิดใจถึงการยื่นฟ้องในฐานะเป็นผู้เสียหายจากการเช่าบูชา “พระสมเด็จเหนือหัว” ว่า
         
          “สำหรับตอนนี้เราก็ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งในความผิดฐานละเมิดและนำเสนอข้อความโฆษณาที่เป็นเท็จต่อประชาชน ตรงนี้เราก็ได้ยื่นฟ้องไปแล้ว หลักฐานเรามีแน่นพอสมควร อีกอย่างหนึ่งตอนนี้ทางไปรษณีย์ ร้านทองและธนาคารก็ได้มีคำสั่งให้หยุดจำหน่ายหมดแล้ว กับคดีตรงนี้ผมก็มั่นใจมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ว่าเราจะต้องชนะคดี”
         
          “แต่ทั้งหมดก็ต้องแล้วแต่ดุลพินิจของศาลด้วยว่า ท่านจะวินิจฉัยอย่างไร แต่ที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ผมก็ว่ามันค่อนข้างที่จะชัดเจนทุกอย่าง เพราะเรามีหลักฐานที่แน่นหนา คือหลังจากนี้ถ้าศาลตัดสินว่าเขามีความผิดจริงเขาก็จะต้องคืนเงินทุกคนที่เช่าพระไปทั้งหมดให้กับผู้เสียหาย คือ ผมทำทุกอย่างเพื่อความถูกต้อง”
         
          ต่อข้อถามถึงเรื่องของการฟ้องร้องว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง อดีตกรรมาธิกากคณะกรรมาธิการการศาสนาศิลปะฯ เผยว่า
         
          “หลังจากที่ผมได้ไปยื่นฟ้องกับศาลที่ศาลแพ่งแล้วที่ผ่านมาในวันที่ 26 ธันวาคม 2550 ตอนนี้ศาลก็ได้รับฟ้องไว้เรียบร้อยแล้ว ในคดีแพ่ง 6035/50 เรื่องการละเมิดและโฆษณาแก้ไขข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน ส่วนทางด้านศาลอาญานั้นทางศาลได้นัดไตร่สวนในวันที่ 10 มี.ค. นี้ ส่วนศาลแพ่งนั้นก็จะเป็นวันที่ 24 มี.ค.นี้ กับการที่ผมต้องออกมาเรียกร้องในครั้งนี้นั้นเป็นเพราะว่าผมก็เป็นผู้เสียหายด้วยเหมือนกัน แต่ส่วนตัวแล้วผมก้เป็นนักกฎหมายด้วยเลยยอมไม่ได้ เขาพูดว่าเขาจะไม่คืนเงินให้ผู้เสียหายเลยสักคน ตรงนี้มันจึงเป็นที่มาของการฟ้องร้องในครั้งนี้”



กำลังโหลดความคิดเห็น