บาปบรรพกาล ตอนที่ 1
ความมืดในคืนเดือนแรมปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทำให้ท้องฟ้าเหนือบ้านพรหมบดินทร์ค่ำคืนนี้ดูหม่นเศร้าโดยประหลาด จันทร์ครึ่งเสี้ยวเคลื่อนคล้อยลอยไปอย่างช้าๆ
เรือนไม้หอม บ้านไม้สองชั้นหลังงามที่ปัจจุบันกลายเป็นเรือนร้าง ตั้งอยู่เยื้องมาทางหลังบ้านพรหมบดินทร์ บรรยากาศแลดูน่ากลัว น้ำในสระบัวติดตัวเรือนสะท้อนเงาจันทร์ยิ่งชวนหลอกหลอน
ลมวูบใหญ่พัดผ่านประตูหน้า เข้าไปในเรือนเผยให้เห็นว่าบ้านหลังใหญ่มืดมิดไร้แสงไฟ
แสงจากพระจันทร์สาดเข้ามาพอให้มองเห็นกรอบรูปผู้หญิงโบราณประดับอยู่ข้างฝา แมวดำซึ่งน่าจะมาครอบครองเรือนหลังนี้ส่องประกายด้วยแววตาน่ากลัว มันวิ่งกระโจนออกไปในห้องโถง ขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง
หากมองไปจะเห็นขิมวางอยู่บนโต๊ะกลางห้องโถงชั้น 2 นี้ ฝุ่นจับเขลอะ บ่งบอกว่าไม่ใครมาดูแลนานโข
ลมอีกวูบโหมพัดเข้าไปห้องนอนใหญ่ ภายในห้องมืดสลัวมีเพียงแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา เผยให้เห็นมงกุฎวางอยู่ในตู้กระจกนั้นอย่างโดดเด่นสวยงาม
บัวกับช้อยสองสาวใช้บ้านพรหมบดินทร์ แอบย่องออกมาจากเรือนคนใช้หลังบ้านท่าทีมีพิรุธ สองคนเดินส่องไฟฉายมาตามทางเดินตรงไปที่เรือนไม้หอม ดอกปีบปลิวร่วงลงหล่นใส่หัวสองสาวชวนหลอกหลอน
บัวชะงักผวากลัว แต่ก็ทำปากกล้าปลอบขวัญตัวเอง
“ข้าไม่กลัวหรอกโว้ย ถ้ากลัวกับเรื่องแค่นี้ อย่ามาเรียกข้าว่าอีบัวเลย”
บัวเดินเร่งเท้า ช้อยตามมาติดๆจนมาถึงต้นดอกไม้ที่ยืนต้นอยู่ริมสระบัว
บรรยากาศชวนขนลุกขนพองเป็นทวีคูณ เมื่อมีเสียงหมาเห่าหอนดังโหยหวนชวนขนลุกมาเป็นระยะๆ ช้อยบีบแขนบัวแน่นจนเจ็บ
“อีบัว...ข้ากลัวแล้ว”
“อีช้อย เอ็งบีบแขนข้าทำไม เจ็บนะโว้ย” บัวหันไปสับกบาลช้อย 1 ที “แล้วเอ็งจะแหกปากทำไม เดี๋ยวคนอื่นก็แห่กันมาพอดี”
“ข้ากลัวนี่หว่า ไม่เอาแล้ว”
ช้อยหันหลังกลับเดินไปบัวดึงกลับมา
“อีนี่ทำเป็นขวัญอ่อน ริจะเป็นโจรก็ต้องใจกล้าโว้ย มาด้วยกันต้องกลับด้วยกัน โดนก็ต้องโดนด้วยกันดิ”
ระหว่างนี้ช้อยทำจมูกฟุดฟิดๆ “อีบัว ได้กลิ่นน้ำหอมมั้ยวะ”
“อีโง่ มันใช่กลิ่นน้ำหอมที่ไหน นี่มันกลิ่นดอกปีบโว้ย แหกตาดูสิ ตกเกลื่อนต้นอยู่เนี่ย หมดเรื่องแล้วใช่มั้ย...ไปกันได้แล้ว”
บัวเดินนำช้อยเลียบสระบัวตรงไปยังเรือนไม้หอม
บัวเดินตามช้อยทุกผีก้าว สองคนมาหยุดที่ประตูบ้านทางเข้าโถงเรือน ประตูเปิดอ้าออกเองเล็กน้อย สองคนแปลกใจเมื่อเห็นประตูเปิดอยู่แล้ว
“ประตูไม่ได้ล็อกกลอนว่ะ”
“รีบเข้าไปเถอะเดี๋ยวมีใครมาเห็นเอา”
ประตูถูกเปิดเองอีกครั้งอย่างช้าๆ เสียงประตูดังออดแอดน่ากลัว ทั้งสองสะดุ้งถอยออกทันที
“เอ็งเห็นเหมือนข้ามั้ย”
ช้อยพยักหน้า “กะ...กะ..กะ..กลับกันเถอะข้ากลัวว่ะ”
ช้อยหันหลังจะกลับไม่เอาแล้ว ถูกบัวดึงเอาไว้
“เอ็งกลัวบ้าอะไรนักหนา ลมมันพัดประตูเปิดเองโว้ยไม่มีอะไรหรอก”
สองคนเดินเข้าประตู แมวดำกระโดดออกมาจากข้างในมันกระโจนลงมาตรงหน้าทั้งสอง บัวกับช้อยต่างตกใจร้องลั่น บัวคุมสติได้ดีกว่า แต่ช้อยยังแหกปากร้องอยู่ บัวเอามือปิดปากไว้
“หยุดได้แล้ว”
“ไม่เอาแล้วข้ากลัว ไม่เอา” ช้อยโวยวายไม่หยุด
“แค่แมวเองไม่มีอะไรหรอกน่า”
สองสาวตั้งสติได้ หลุดเข้าประตูไป ช้อยปิดประตูลง
“อีบัว รอด้วย”
ภายในห้องโถงตีนบันได บัวและช้อยสาดไฟฉายส่องไปมา
บัวและช้อยแลเห็นของเก่ามีค่าวางเรียงรายอยู่เต็ม ทั้งคู่พากันทำตาโตด้วยความโลภ ช้อยเอื้อมมือไปหมายจะหยิบมาชิ้นหนึ่ง บัวตีมือเผียะ
“ตรงนี้ของตาย ข้างบนนู้น เขาว่ายายแม้นมาศมันมีสมบัติมีค่ามากมายราคาแพงๆ ทั้งนั้น โดยเฉพาะมงกุฎเพชรราคาเหยียบร้อยล้านนะมึง” ช้อยหูผึ่งตาโต “ตามข้ามา”
บัวพยักหน้า ชวนช้อยขึ้นบันไดไปยังชั้นบน
จู่ๆ รูปที่ติดอยู่ข้างฝา ร่วงตกลงมาตรงบันได ทั้ง 2 ตกใจกอดกันแน่น มองรูปอย่างผวากลัว
ประตูเสื้อผ้าถูกเปิดปิดเสียง ดังปึง ปัง ตลอดเวลา ทั้งคู่หันไปทางเสียงประตู
ช้อยคราง “ฮือ...ฮือ...ข้ากลัว....”
บัวเอามือปิดปากช้อย
“เดี๋ยวบ้านใหญ่ได้ยิน”
ขณะเดียวกันนั้นสองสาวใช้ที่ริอ่านเป็นขโมย ไม่รู้ว่าที่สระบัวข้างเรือนยามนี้ ศีรษะของผีแม้นมาศค่อยๆ โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำช้าๆ และจดสายตามองไปยังเรือนไม้หอมเขม็ง
จู่ๆ ประตูที่เปิดอยู่ปิดลงเอง ทั้ง 2 เหลียวมามองหน้ากัน แล้วเดินตามกันขึ้นบันไดเกือบถึงชั้น 2 มีเสียงขิมบรรเลงอย่างโหยหวน เสียงเพลงทำให้ทั้ง 2 กลัวจนขนลุก
หน้าต่างถูกเปิดออกเอง กระทบกันเสียงดังปัง ผ้าม่านที่ขาดรุ่งริ่งถูกลมพัดปลิวไปมา แสงจันทร์สาดส่องลงมากระทบข้างฝาบ้านใกล้กับที่ทั้ง 2 ยืนอยู่ มีเลือดซึมไหลออกมาจากข้างฝา ช้อยหันไปเห็นเลือดก็ตกใจกลัว ผลักให้บัวรีบขึ้นไปบนชั้น 2 แต่มีมือผีแม้นมาศดึงขาช้อยร่วงลงจากบันไปอย่างแรง บัวตกใจเล็กน้อยตั้งสติได้รีบลงไปช่วยช้อย
“เป็นไรป่าวช้อย เดินระวังหน่อยดิ”
“เหมือนมีคนมาดึงขาข้านะ โอ๊ย....เจ็บโว้ย”
“เอ็งทำอะไรระวังๆ หน่อย เดี๋ยวบ้านนู้นได้ยิน จะซวยเอา”
บัวดึงช้อยลุกขึ้นเดินนำขึ้นบันไดไป บัวฟังเสียงขิมบรรเลงหวานแว่วแล้วเดิมตามเสียงนั้นไป ปล่อยให้ช้อยยืนปวดขาอยู่ที่หัวบันได
ไม้กระทบกับเอ็น เสียงขิมเร่งเร็วขึ้นร้องโหยหวนตลอดเวลา
เวลาเดียวกัน พวกคนใช้ จวง ปริก และสร้อยนั่งล้อมวงกับพื้นนั่งกินข้าวกันอย่างอร่อยที่หน้าห้องครัวเรือนคนใช้
ได้ยินเสียงขิมบรรเลง เสียงร้องทำนองโหยหวนมาจากบ้านแม้นมาศ พวกคนใช้ตกใจ จวงมีข้าวคาปากสายตากวาดไปมา ปริกมีกระดูกน่องไก่คาปากส่งเสียงร้องอย่างกลัวๆ สร้อยทำชามหล่นลงพื้นกวาดสายตาไปทางบ้านแม้นมาศ พากันมองหน้ากัน ทุกคนเริ่มกระชับพื้นที่เข้าหากันอย่างแนบแน่น
ลมพัดประตูหน้าต่างตีฝาบ้านดังโครม เหมือนพายุกำลังเข้า พร้อมกับเสียงหมาหอน ปริกแหกปากร้อง
“มันมาอีกแล้ว”
จวงไม่กลัว “พวกแกไม่ชินกันอีกหรอ ฟังอย่างนี้มา 30 ปีแล้ว”
“แต่คราวนี้มีเสียงร้องโหยหวนด้วย ลมก็แรง น่ากลัว”
สร้อย กะ ปริก กอดจวงแน่น ประตูเปิด แล้ว ปิด เองด้วยแรงลม
ถุงพลาสติกที่วางอยู่ข้างวงข้าวพัดไปติดแปะอยู่ที่หน้าแข้งปริก จนปริกตกใจอย่างแรงร้องลั่น
“มันจับขาฉันแล้ว ช่วยด้วย” ปริกสั่นไปทั้งตัว
สร้อยแหกปากร้องตาม จวงตั้งสติได้เหลือบมองที่ขาเห็นถุงพลาสติก จึงเขย่าให้ปริกดู พอปริกเห็นเป็นแค่ถุงพลาสติกจึงหายตกใจ
“คิดว่าผีมาจับขานี่...ก็ฉันกลัวนี่”
จู่ๆ แมวดำกระโดดลงมากลางวงพอดิบพอดี คราวนี้ทั้งหมดตกใจ วงแตกกระจาย
สร้อยเผ่นวิ่งเข้าห้อง ปิดประตูลงกลอนทันที จวงคุมสติได้รีบออกไป
“กลัวบ้ากลัวบออะไรกัน ทำเราตกใจไปด้วย”
ปริกวิ่งตาม แต่เห็นจวงเดินแกมวิ่งไปทางตึกใหญ่
“พี่จวง...รอด้วย”
ฟากสองนางขโมยไม่รู้ว่าไม้กำลังตีขิมเอง โดยไม่มีคนตี
บัวเดินเข้ามาตามเสียงเพลง หยุดหน้าห้อง มือช้อยยื่นมาจับหัวไหล่ขวาทางด้านหลัง ทำให้บัวสะดุ้งตกใจอย่างแรง
“ข้ากลัว...กลับกันเถอะไม่เอาแล้ว”
“อย่างงั้นเอ็งรอตรงนี้นะ ข้าเข้าไปดูเอง”
บัวเดินย่องตามเสียงตามเพลงของขิมหายเข้าไปในห้อง ในท่วงทำนองเสียงขิมเสียงระรัวนั้น ร่างบัวลอยกระเด็นทะลุหน้าต่างออกไป ร่วงตกตูมจมหายลงไปในสระบัว ช้อยช็อกเห็นทุกอย่างคาตา มันร้องไห้ลั่นบ้านด้วยความกลัว
“อย่าทำฉันเลย ฉันกลัวแล้ว”
ช้อยถดตัวถอยหลังทีละก้าวๆ มาหยุดที่หัวบันได จู่ๆ มือผีโผล่พรวดมาดึงขากระชากอย่างแรง ร่างช้อยร่วงตกลงบันไดไปนอนกองที่ตีนชั้นล่าง ช้อยเจ็บระบมไปทั้งตัว รีบร้องขอชีวิต
“อย่าทำอะไรฉันเลย กลัวแล้ว”
ช้อยกลัวจนเสียสติไปแล้ว
เสียงขิมอันโหยหวน ปนเสียงหัวเราะเหมือนสะใจหนักหนา ดังคลอตลอดเวลา
1.2
ที่ตึกใหญ่บ้านพรหมบดินทร์ ลมพัดจนม่านหน้าต่างเปิดกว้างออกเหมือนมีคนกระชากเต็มแรง เสียงขิมปนเสียงโหยหวนและเสียงหัวเราะดังเข้ามา
“ฤารักฉันจะเป็นเพียงความฝัน...ไม่มีวันนั้น!”
หม่อมราชวงศ์หญิงภาวิดาที่กำลังพยายามข่มตานอนอยู่ก็เด้งตัวลุกขึ้น หวีดร้องด่าไล่เสียงผีไล่เสียงหมา
“อ๊าย...รำคาญ อีแม้นมาศ อีนังผีบ้า...หยุดเล่นซักที”
ลมพัดอย่างแรงกระแทกหน้าต่างปิดดังปังใหญ่ ภาวิดาสะดุ้งเฮือกตกใจสุดขีด
ไฟสว่างพรึ่บ จวงรีบวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาภาวิดาด้วยความเป็นห่วง
“คุณหญิงดา...คุณหญิงนอนไม่หลับอีกแล้วเหรอคะ”
“ฉันจะนอนหลับได้ยังไง ในเมื่อนังผีบ้านั่น มันกวนฉันได้ทุกค่ำทุกคืน ฉันจะประสาทกินอยู่แล้วนะจวง ฉันอยากจะฆ่ามันให้ตายซ้ำสองจริงๆ เลย”
จวงเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปเห็นเรือนไม้หอมอยู่ไกลๆ แว่บเดียว แล้วรูดม่านปิดลง
“นอนเหอะค่ะ เดี๋ยวจวงจะนั่งเฝ้าจนกว่าคุณหญิงจะหลับเอง”
ภาวิดาล้มตัวลงนอนปิดตาลงอย่างยากเย็น จวงนั่งเฝ้าข้างเตียงนายอย่างจงรักภักดี
ที่สระบัวข้างเรือนไม้หอมยามนี้ แลเห็นหัวบัวโผล่จากน้ำขึ้นมา ใบหน้ามีรอยแผล เลือดไหลเต็มไปหมด ขาหักพาดอยู่บนกิ่งไม้ที่ลอยอยู่ในสระ บัวขยับตัวขึ้นฝั่งอย่างทุกข์ทรมาน
รุ่งอรุณ เสียงหวอรถพยาบาลดังเข้ามาบ้านพรหมบดินทร์ รามนรินทร์นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจอยู่ได้ยินเสียงหวอก็ชะงัก ชายหนุ่มเดินเร่งฝีเท้าออกมามองดู เห็นนมเฟื่องเดินผ่านมาพอดี จึงเรียกไว้
“นมเฟื่อง มีใครเป็นอะไรเหรอครับ”
เฟื่องตัดบทพูดปกปิด ด้วยไม่อยากให้รามนรินทร์ต้องเป็นกังวล
“ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ ก็แค่พวกคนใช้พลัดตกสระบัว คุณรามอย่าสนใจเลยค่ะ”
“คนในบ้านเกิดเรื่องทั้งที ผมเป็นเจ้านายจะให้ไม่สนใจได้ไงล่ะครับ” รามนรินทร์ว่า
เฟื่องเยื้อนยิ้มเอ็นดูกับความมีเมตตาของคุณหนูรามของเธอ
“แต่วันนี้คุณมีนัดสัมภาษณ์เลขาคนใหม่ไม่ใช่เหรอคะ นัดคนอื่นให้มารอมันไม่ดีนะคะ”
รามนรินทร์ขำ “ออฟฟิศโรงแรมอยู่ใกล้แค่นี้เอง ผมเดินห้านาทีก็ถึง แล้วนี่มีคนไปเรียนคุณแม่กับคุณน้ากรให้ท่านทราบแล้วหรือยัง”
“คุณชายภาณุกรท่านเป็นคนเรียกรถโรงพยาบาลมาเองค่ะ”
รามนรินทร์พยักหน้ารับรู้ แล้วเดินออกไป โดยมีเฟื่องเดินตามหลัง
อ่านต่อหน้า 2
บาปบรรพกาล ตอนที่ 1 (ต่อ)
รามนรินทร์กับเฟื่องเดินมาเห็นกลุ่มคนใช้พากันยืนมุงดูอยู่ คุณชายภาณุกร หรือ หม่อมราชวงศ์ภาณุกรยืนคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียด
บัวนอนร้องโอดครวญอยู่ข้างสระบัว ขาที่หักถูกดามแล้วด้วยเครื่องมือปฐมพยาบาลของเจ้าหน้าที่พยาบาล ช้อยนั่งตาลอยอยู่ข้างๆ
สร้อย แม่ของบัว ที่เป็นแม่ครัวใหญ่ของบ้าน เข้าไปถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
“บัวเกิดอะไรขึ้น ทำไมเอ็งกับนังช้อยถึงอยู่ในสภาพนี้”
บัวเห็นตำรวจอยู่ก็ปิดปากเงียบก่อนจะตัดบทไปว่า
“ฉันเจ็บจะตายอยู่แล้วนะแม่ อยากรู้อะไรก็ไปถามนังช้อยเอา”
พยาบาลเข็นบัวขึ้นรถพยาบาล จวงกับปริกสองพี่น้องรีบเข้าไปถามช้อย
“อีช้อย เกิดอะไรขึ้นวะ”
ช้อยหันมาเห็นหน้าปริกกับจวงก็ตาเหลือก หวีดร้องลั่นเหมือนคนบ้า
“กูกลัว....ผีหลอกๆ” จากนั้นก็วิ่งเตลิดออกไปเลย
ภาณุกรเห็น หันไปสั่งทวนโดยไว
“นายทวน จับตัวช้อยไว้เร็ว”
ทวนรีบเข้าไปจะจับช้อย แต่ช้อยคว้าไม้ขึ้นมาเหวี่ยงสู้ จังหวะหนึ่งทวนถูกฟาดเข้าให้
“อย่าเข้ามาๆ”
ช้อยชี้ไม้ในมือขู่ แล้ววิ่งหนีมาทางรามนรินทร์กับเฟื่องที่เดินเข้ามา
เฟื่องเห็นก็ตกใจคิดว่าช้อยจะมาทำร้ายรามนรินทร์
“คุณรามระวังค่ะ”
รามนรินทร์ฉากหลบแล้วใช้วิชาป้องกันตัว ดึงไม้จากมือช้อยมาได้มาดอย่างเท่ จวงกับปริกรีบเข้าไปจับตัวช้อยไว้
ช้อยอาละวาดดิ้นหนี “ปล่อยกูๆ”
จวงตบหน้าช้อยไปที “หยุดนะอีช้อย อีบ้า...เอ็งคิดจะทำร้ายคุณรามเหรอ”
ช้อยร้องไห้ “กลัว...กลัวแล้ว...อย่าฆ่าฉันเลย ฉันกลัว”
“ฤทธิ์มากใช่มั้ย มานี่”
ทวนโมโห เข้าไปช่วยจวงกับปริกจับช้อยไปขึ้นรถพยาบาลสำเร็จ จนกระทั่งรถพยาบาลแล่นออกไป
เหมือนว่าเสียงหวอรถ ดังผสมกับเสียงหัวเราะหึหึของผีแม้นมาศ จวงสะดุ้งเฮือกหันไปมองที่เรือนไม้หอม
“หึ หึ”
ปริกมองตามสีหน้าฉงน “เป็นอะไรน้าจวง มีอะไรเหรอ”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
ภายใต้เงาดำในเรือนไม้หอม แลเห็นผีแม้นมาศยืนแสยะยิ้ม มองมายังพวกรามนรินทร์ตาเขม็ง เปล่งวาจาอาฆาตแค้นออกมาว่า
“พวกแกทุกคนจะต้องชดใช้”
เช้าวันเดียวกัน ย่านใจกลางกรุงเทพมหานครอันสับสนวุ่นวาย ผู้คนขวักไขว่ เดินไปตามทางชีวิตใครมัน การจราจรบนท้องถนนติดหนึบ รถจอดเป็นแพ
รสสุคนธ์ หอบเอกสารสมัครงาน เดินแกมวิ่งแข่งกับเวลาที่เดินไปด้วยท่าทีรีบร้อน เมื่อดูนาฬิกา เห็นเข็มชี้บอกเวลาแปดโมงสามสิบนาที รสสุคนธ์ยิ่งกังวลหนัก
“โอ๊ย สายแล้วๆ จะทันมั้ยเนี่ย”
อีกฟาก รามนรินทร์ รูดเนกไทด์ขึ้นที่คอ พลางหยิบเสื้อสูทมาสวมทับเชิ้ตเข้ากัน ตรวจตราความเรียบร้อยเสร็จ เขาจึงหันไปหยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊ก เดินออกห้องไป
รามนรินทร์เปิดประตูรถเข้าไปนั่ง สตาร์ทรถ พร้อมใส่บลูทูธมือถือ เสียงมือถือดังขึ้น รามนรินทร์กดรับ...
“ครับ คุณนภา ผมมีนัดด่วนกับมิสเตอร์โรเบิร์ต คงไม่เข้าออฟฟิศ เดี๋ยวคุณช่วยยกเลิกคิวงานวันนี้ทั้งหมดให้ผมด้วยนะ”
รามนรินทร์ขับรถออกจากบ้านพรหมบดินทร์ไป
อีกฟาก ที่โรงแรมแกรนด์บดินทร์ นภา เลขาฯใหญ่ของ ภาณุกร และ รามนรินทร์ คุยสายกับรามนรินทร์อยู่ที่โต๊ะทำงาน ตรงหน้าห้องรามนรินทร์
“ได้ค่ะ แต่ ตอนเก้าโมงบอสมีนัดสัมภาษณ์เลขาคนใหม่นะคะ”
นาฬิกาบนผนังห้องบอกเวลา 09.10 น. แล้ว นภาเลยพูดต่อ
“แต่นี่มันเลตมาเกือบสิบนาทีแล้ว” นภายิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าเค้ามานภาจะจัดชุดใหญ่ให้เลยค่ะ”
นภากำลังจะวางสายจากรามนรินทร์ แต่แล้วสายตาเหลือบไปเห็นแฟ้มเสนอราคา
“แต่บอสคะ เมื่อวานบอสสั่งให้ทำรายการเสนอราคา ตอนนี้วางอยู่ที่โต๊ะ งั้นเดี๋ยวนภาเอาไปส่งให้บอสที่หน้าโรงแรมนะคะ”
นภาวางโทรศัพท์ เดินไปหยิบแฟ้มเสนอราคาในห้องรามนรินทร์ แล้วเดินออกไปทางลิฟต์ โทรศัพท์ที่โต๊ะนภาเสียงดังขึ้น แต่เจ้าตัวออกไปพ้นออฟฟิศแล้ว
รสสุคนธ์วางสายแล้วรีบวิ่งลงบันไดจากสถานีรถไฟฟ้า BTS อย่างร้อนใจ รามนริทร์กดไอแพดเล่น ยิ้มหัวอยู่บนรถที่จอดนิ่งบนถนน
รสสุคนธ์ตัดสินใจวิ่งเข้าไปด้านหน้าประตูทางเข้าโรงแรมแกรนด์บดินทร์ แล้ววิ่งหอบเอกสารเข้ามาอีกด้าน นภาเดินหน้าตั้งถือแฟ้มเสนอราคาตรงมา เพื่อจะนำมาให้รามนรินทร์ตามนัด รสสุคนธ์วิ่งมาถึงด้านหน้าชนกับนภาอย่างจัง ในเป็นห้วงเดียวกันกับที่รถรามนรินทร์ขับแล่นเข้าจอดพอดี เอกสารในมือรสสุคนธ์ลอยปลิวกระจายไปบนอากาศ
“ว้าย...”
รสสุคนธ์รีบก้มเก็บเอกสารเป็นที่วุ่นวาย เอกสารที่มีรูปหน้ารสสุคนธ์ร่วงลงพื้น ประตูฝั่งคนขับถูกเปิดออก รามนรินทร์ก้าวลงจากรถเหยียบเอกสารเข้าเต็มเท้า รสสุคนธ์เห็นแต่ห้ามไม่ทัน
“อย่าเหยียบ”
รามนรินทร์ชะงัก ก้มมองที่เท้าแล้วต้องตกใจ รีบชักเท้าออก เก็บกระดาษขึ้นมาดู ยื่นกระดาษให้รสสุคนธ์ แล้วชะงักงันไปกับความสวยตรงหน้า
รสสุคนธ์รีบดึงกระดาษจากรามนรินทร์ เห็นรอยเท้าประทับเต็มๆ ก็ไม่พอใจ เหวี่ยงใส่ชุดใหญ่
“หมดกัน ไม่เห็นไง เหยียบเต็มๆ เลย คำขอโทษพูดได้มั้ย..นี่คุณ นี่มันเป็นเอกสารสำคัญด้วย ฉันต้องแย่แน่ๆ เลย แต่งตัวก็ดูดี แต่มรรยาทแย่มาก ขับรถก็หรู มีตังนิ มองอะไร แล้วฉันจะทำยังไงเนี่ย โอ้ยตายชีวิตฉันทำไมมันซวยอย่างนี้นะ คุณต้องรับผิดชอบด้วย” รสสุคนธ์หันไปทางนภา “คุณก็เห็นใช่ป่าว คุณเป็นพยานให้ด้วยนะ แล้วคุณจะเอายังไง ไม่ใช่เงียบเป็นเป่าสากอย่าง คิดดิจะทำยังไง พูดไม่เป็นหรอ”
รามนรินทร์เอามือแตะปากรสสุคนธ์เบาๆ เป็นการปราม อีกฝ่ายชะงักหยุดมองหน้ารามนรินทร์เต็มสองตา รามนรินทร์จ้องหน้ารสสุคนธ์แล้วพูดอย่างเข้มขรึม จริงจังมากๆ ว่า
“ผมขอโทษ”
รามนรินทร์รับเอกสารจากนภาแล้วขึ้นรถขับออกไปทันที นภาหันกลับเข้าโรงแรมไป รสสุคนธ์บ่นบ้าต่อว่าไล่หลังรามนรินทร์ไป
“อะไร ขอโทษแล้วขึ้นรถไปเฉยเลย วันนี้คงเป็นวันซวยของฉันเนี่ย”
รสสุคนธ์มาถึงหน้าห้องทำงานรามนรินทร์ เจอนภายืนตีสีหน้าเคร่งขรึมรออยู่
“สวัสดีค่ะ ดิฉันรสสุคนธ์...ที่นัด...”
นภารีบโบกมือห้ามทันที
“โนๆๆ ไม่ต้องอ้างเหตุผลเลย คนอย่างน้องพี่เห็นมาเยอะแล้ว พี่ขอบอกน้องตรงๆ เลยนะว่าน้องไม่ผ่านมาตรฐานของแกรนด์บดินทร์”
“แต่...”
นภาไม่เว้นวรรคให้รสสุคนธ์พูดเลย
“โรงแรมแกรนด์บดินทร์เราต้องการบุคลากรที่มีวินัย ทุ่มเทชีวิตและจิตใจให้กับงาน ซึ่งมันไม่ตรงกับน้องเลยซักนิด พี่เสียใจด้วยนะคะ น้องไม่ได้ไปต่อ เดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพนะ บาย”
“เดี๋ยวค่ะพี่ คือฉัน...” รสสุคนธ์ยังพยายามจะอธิบายอีกรอบ
นภาไม่ฟัง หันหลังเดินหนีเข้าไปในห้องทำงานรามนรินทร์ ปิดประตูใส่หน้าก่อนที่รสสุคนธ์จะพูดจบ รสสุคนธ์ถอนหายใจสุดเซ็ง
“โอ๊ย ทำไมมันซวยแบบนี้นะ”
รสสุคนธ์เศร้าอยากจะร้องไห้
ที่ห้องนั่งเล่น บ้านพรหมบดินทร์ คุณชายภาณุกรกำลังคุยกับตำรวจอยู่ในนั้น รามนรินทร์ เฟื่องและสร้อยพากันเดินเข้ามาสมทบ
รามนรินทร์ถามว่า “ตำรวจว่าไงบ้างครับ”
“บัวสารภาพว่าตัวเองกับช้อยเข้าไปขโมยของก็เลยพลัดตกลงมาในสระ” ภาณุกรบอก
สร้อยคุมแค้น “โธ่ อีบัว อีลูกชั่ว สร้อยกราบขอโทษคุณชายกรกับคุณรามด้วยนะคะ ที่เลี้ยงลูกไม่ดี”
รามนรินทร์สงสารช่วยพูดกับภาณุกร “เห็นแก่น้าสร้อย อย่าเอาความเลยนะครับ”
“ในเมื่อของก็ไม่มีอะไรหาย ฉันก็จะไม่เอาเรื่อง” คุณชายหันไปบอกตำรวจ “ผมไม่ขอแจ้งความนะครับ คุณตำรวจ”
“ครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ตำรวจเดินออกไป
สร้อยยกมือไหว้ปลกๆ “ขอบพระคุณคุณชายค่ะ”
“แล้วอาการของบัวกับช้อยเป็นยังไงบ้างคะ คุณชาย” เฟื่องถาม
“บัวขาหักหมอต้องดามเหล็กใส่เฝือกอยู่เป็นเดือนๆ ส่วนช้อย..เป็นบ้า”
เฟื่องหน้าสลดปลอบสร้อย “เวรกรรม สร้อย...เธอก็อย่าไปด่าว่าลูกมันอีกเลยนะ แค่นี้ก็สาหัสแล้ว คิดซะว่าเป็นบทเรียนราคาแพงของมันล่ะกัน”
“เรื่องค่ารักษาไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวฉันจะดูแลเอง” รามนรินทร์บอก
“ขอบคุณค่ะ งั้นสร้อยขอลาไปเยี่ยมลูกที่โรงพยาบาลนะคะ”
ภาณุกรพยักหน้ารับ สร้อยยกมือไหว้เจ้านายทุกคนแล้วรีบออกไป
เฟื่องมองรามนรินทร์กับภาณุกรด้วยสายตาซาบซึ้ง ปลื้มกับความมีเมตตาของคนทั้งคู่
อ่านต่อหน้า 3
บาปบรรพกาล ตอนที่ 1 (ต่อ)
รามนรินทร์กับภาณุกรเดินคุยกันเข้ามาตรงโถงกลางกำลังจะขึ้นบันไดตึก
“เออ..แล้วทำไมบัวกับช้อยถึงตกลงมาจากชั้นสองได้ล่ะครับ”
ภาณุกรถอนหายใจ “สองคนนั้นถูกผีหลอก”
จังหวะเดียวกันนี้ ภาวิดากับจวงและปริกเดินลงมา สามคนทันได้ยินพอดี
รามนรินทร์ได้ยินก็อึ้ง ไม่อยากเชื่อเรื่องผี
“แล้วผีที่ว่า...ใครเหรอครับ” ชายหนุ่มถามอย่างไม่เชื่อ
เสียงจวงแหลมขึ้นมาว่า “จะใครซะอีกล่ะคะ ก็ผีนังแม้นมาศไงคะ คุณราม”
ภาณุกรปราม “จวง! พูดจาอะไรก็ให้เกียรติคนตายหน่อย”
“จะให้เกียรติมันทำไม กะแค่นังผู้หญิงชั้นต่ำที่คิดจะเทียบชั้นกับเรา เหลือบไรที่คอยสร้างแต่ปัญหาให้พรหมบดินทร์ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน ขนาดมันตายไปแล้วมันก็ยังไม่เลิกจองเวร ไม่ยอมไปผุดไปเกิดซะที อย่าคิดว่าฉันจะกลัวมันนะ” ภาวิดาใส่เป็นชุด
ภาณุกรเหนื่อยใจ “ผมขอล่ะครับพี่หญิงดา คนก็ตายไป 30 ปีแล้ว อย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บอีกเลย”
“เธอก็เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยนะชายกร คอยปกป้องนังตัวซวยนั่นมาตลอด ฉันอยากรู้จริงๆ ที่เธอครองตัวเป็นโสดอยู่ทุกวันนี้ คงไม่ใช่เพราะมันหรอกนะ”
คำพูดเยาะหยันของภาวิดาเสียดแทงใจภาณุกรอย่างมาก บรรยากาศมาคุ ภาณุกรอึ้งนิ่งงันไป ก่อนจะเดินหนีขึ้นห้องไป
รามนรินทร์มองตามภาณุกรด้วยแววตาสงสัย ขยับจะเดินตามไป แต่ภาวิดาเรียกไว้ก่อน
“รามไปนั่งคุยเป็นเพื่อนแม่ก่อน ตั้งแต่กลับมา เราก็เอาแต่ทำงาน ไม่มีเวลาให้แม่บ้างเลย”
รามนรินทร์ยิ้มหวานเอาใจมารดา “งั้นวันนี้ผมเทคิวอยู่กับคุณแม่ทั้งวันเลยครับ”
ภาวิดายิ้มชื่นควงแขนลูกชาย “แน่นะ ไม่ใช่มาหลอกให้แม่ดีใจ”
“จริงสิครับ ผมไม่กล้าโกหกคุณแม่หรอกครับ” แม่ลูกเดินคุยกันออกไป
ปริกกระซิบถามจวงเพราะชักกลัว “พี่จวง...พี่ว่าเป็นผีแม้นมาศจริงๆ เหรอ”
“สาระแน จะมาถามอะไรตอนนี้ เอ็งรีบไปจัดของว่างมาให้คุณหญิงกับคุณรามก่อน ชักช้าระวังจะโดนคุณหญิงเฉ่งเอา”
ปริกรีบแล่นออกไปทันที จวงเดินตามรามนรินทร์กับภาวิดาไป
ที่บ้านหลังหนึ่ง ในจังหวัดเพชรบุรี เย็นนั้น
แม้นศรี หญิงสูงวัยราว 60 ปี กำลังนั่งเรียงขนมเสน่ห์จันทร์ลงไปในขวดโหลแก้ว ใช้ไฟแช็กจุดเทียนอบ พอเนื้อเทียนละลายก็ใช้มือปัดให้ดับ นำเทียนอบที่ขึ้นควันใส่ถ้วยเล็กๆ แล้วเอาไปวางในขวดโหล ปิดฝาขวดโหลแล้วทิ้งไว้
รสสุคนธ์เดินหน้าหงอยเข้ามา พอเห็นแม้นศรีนั่งอยู่ก็เข้าไปนั่งลงกอดแล้วหอมแก้ม
“ย่าศรีจ๋า รสกลับมาแล้วค่ะ”
แม้นศรีหันมาหา “เป็นไง เหนื่อยมั้ยลูก
รสสุคนธ์ซุกหัวลงไปนอนหนุนตักย่าศรีของเธอ
“เหนื่อยสิคะ กรุงเทพฯ คนก็เยอะ รถก็แยะ จะไปไหนก็ต้องแข่งกับเวลาวุ่นวายไปหมด รสร่างแทบจะสลายอยู่แล้ว”
แม้นศรียิ้มขำเอ็นดู ลูบหัวหลานอย่างอ่อนโยน
“แล้วนี่สัมภาษณ์งานเป็นไงบ้าง”
“อดตามระเบียบสิคะ สงสัยรสคงต้องอยู่ให้ย่าเลี้ยงต่อล่ะมั้ง”
“หลานคนเดียวย่าเลี้ยงได้ เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยเลี้ยงอีกซะปีสองปีจะเป็นไรไป ว่าแต่รสเหอะจะยอมอยู่เมืองเพชรกับย่าเหรอ”
“รสโตแล้วนะคะ จะเกาะย่ากินได้ไงล่ะ ยังไงซะรสจะต้องเข้าทำงานที่แกรนด์บดินทร์ให้ได้”
“เอางี้มั้ย ย่ามีคนรู้จักที่นั่น เดี๋ยวย่าจะฝากงานให้”
รสสุคนธ์เด้งตัวลุกขึ้น ทำหน้างอนใส่แม้นศรี
“เดี๋ยวนี้เค้ากำลังรณรงค์โตไปไม่โกงนะคะ รสไม่ใช้เส้นย่าหรอกค่ะ”
“น่าเสียดาย สงสัยย่าคงต้องโทรปฏิเสธคุณชายภาณุกรแล้วสินะ”
รสสุคนธ์ชะงัก “คุณชายภาณุกร พรหมบดินทร์ เหรอจ๊ะ”
“ใช่ เจ้าของโรมแรมแกรนด์บดินทร์ที่รสไปสมัครนั่นล่ะ เห็นเค้าบอกกับย่าว่ากำลังหาคนไปช่วยงานรำลึกหนึ่งร้อยปีตระกูลอยู่ แต่ถ้ารสไม่สนใจก็ไม่เป็นไร ย่าจะได้โทรปฏิเสธเค้า”
รสสุคนธ์ตอบทันที “สนสิจ๊ะ รสอยากทำงานที่นั่น”
แม้นศรีเย้า “อ้าว ทำไมเปลี่ยนใจล่ะ”
“รสจะไปตามหาความจริง”
รสสุคนธ์ยิ้มตาเป็นประกาย แม้นศรีได้ยินก็ชะงักตกใจ
อีกฟาก ภาณุกรตกใจอยู่เช่นกัน หันไปถามทวนคำถามกับรามนรินทร์
“ความจริงอะไรราม”
“ความจริงเรื่องแม้นมาศไงครับ แม้นมาศเป็นใคร ทำไมคุณแม่ถึงได้โกรธเกลียดผู้หญิงคนนั้นมากมาย”
ภาณุกรถอนหายใจ “น้าลืมไปว่าเราไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่เด็ก มันเป็นอย่างนี้ครับ แม้นมาศเป็นคนรักของพี่ชายทัต ทั้งคู่รักกันมากและกำลังจะแต่งงานกัน แต่ก็เกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้นเสียก่อน”
สีหน้าภาณุกรโศกสลดลง เมื่อหวนคิดถึงโศกนาฏกรรมในอดีตอันแสนเจ็บปวดและขมขื่น
เหตุการณ์ในปี พ.ศ.2529 เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ถูกเล่าออกมาให้เห็นเป็นฉากๆ
เริ่มจาก งานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสของ หม่อมราชวงศ์ภาณุทัต กับ นางสาวแม้นมาศ จัดขึ้นที่บ้านพรหมบดินทร์ ท่ามกลางแขกระดับคุณหญิงคุณชาย นักการเมือง ไฮโซโก้หร่าน มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก
สองคนในนั้นก็คือ ทรงยศ ยศรุ่งเรือง ว่าที่สามีของภาวิดา พ่อรามนรินทร์ และ หม่อมราชวงศ์อัศวิน อนันตราวุธ สามีของหม่อมราชวงศ์แขไข พ่อของอุณนิษาในอนาคต ทรงยศนั้นเป็นนักธุรกิจไฟแรง ในวงการโรงแรมที่จะมาร่วมหุ้นโรงแรมแกรนด์บดินทร์ กับคุณชายภาณุกร ส่วนคุณชายอัศวินดูเรียบๆ แนวอนุรักษ์ ทั้งสองเป็นเพื่อนภาณุทัต
ทรงยศกับอัศวินเข้าไปแสดงความยินดีกับภาณุทัต
“ยินดีด้วย ไอ้ทัต”
“เฮ้ย ทรงยศ พูดให้เกียรติเพื่อนหน่อยสิ” อัศวินท้วง
“อ้อ...ยินดีด้วยครับคุณชายภาณุทัต”
“ไม่ต้องมาล้อกันเลย ว่าแต่พวกนายเมื่อไรจะแต่ง เดี๋ยวมีลูกไม่ทันใช้นะ” ภาณุทัตถาม
“ช้าๆ ได้พร้าเล่มงามโว้ย ดีไม่ดีพวกฉันมีเมียทีหลังอาจมีลูกแซงหน้าแกก็ได้ จริงมั้ยวะไอ้คุณชายอัศวิน”
“ฉันว่า...ฉันคงอีกนาน”
อัศวินยิ้มหวานชายตามองไปยังแขไขที่กำลังเดินลอยหน้าลอยตามากับภาวิดา แขไขมองเมินอัศวินหน้าจ๋อย
“ตายจริง ทำไมเจ้าบ่าวถึงยืนรับแขกอยู่คนเดียวล่ะคะ แล้วนี่เจ้าสาวหายไปไหนซะล่ะ”
“สงสัยคงมัวแต่พิรี้พิไรอยู่น่ะสิ ชายกรไปดูแม่แม้นมาศที่เรือนไม้หอมสิ แขกเหรื่อมากันแล้ว ทำไมยังไม่ออกมาอีก”
ภาวิดาหันไปสั่งภาณุกร แต่ภาณุทัตห้ามไว้
“ไม่ต้องชายกร เดี๋ยวพี่ไปเอง”
“อุ๊ยไม่ได้นะคะพี่ชายทัต ที่นั่นเป็นเรือนหอ ถ้าบ่าวสาวเข้าไปแล้วไม่ควรออกมา ไม่งั้นจะเกิดเรื่องร้าย” แขไขบอก
“นี่มันสมัยไหนแล้วหญิงแขไข พี่ไม่ถือหรอก” พูดจบภาณุทัตก็เดินไปเลย
“อ้าว ชายกร ยืนอยู่ทำไมล่ะ รีบตามไปสิ”
ภาวิดา แขไข ภาณุกร ทรงยศ และอัศวินเดินตามภาณุทัต ไปที่เรือนไม้หอม
พวกภาณุทัตเดินเข้ามาในเรือนไม้หอมที่ตกแต่งเป็นเรือนหอสวยงาม แต่ภายในบ้านกลับเงียบสงบ
ไม่เห็นมีใครอยู่เลยสักคน
“ทำไมเงียบเชียบแบบนี้ ช่างแต่งหน้ากับคนใช้หายไปไหนหมด” ภาวิดาบ่น
ภาณุทัตเรียกหาแม้นมาศ “น้องเล็ก...น้องเล็ก”
ภาณุกรเหลียวมองขึ้นไปด้านบนเห็นชายกระโปรงชุดเจ้าสาวไวๆ
“สงสัยจะอยู่ข้างบนมั้งครับ”
ภาณุทัตเดินนำทุกคนขึ้นบันไดไปชั้นสองของเรือน
ภาณุทัตขึ้นมาถึงชั้นสองแล้วต้องชะงัก อึ้งกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า เป็นด้านหลังของแม้นมาศในชุดเจ้าสาวยืนอยู่ขอบระเบียงบ้านชั้นสองที่ติดกับสระบัว
แท้จริงแล้ว นั่นคือจวงแต่งตัวชุดเจ้าสาวเหมือนแม้นมาศยืนหันหลังอยู่ ทุกคนเลยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแม้นมาศ
“น้องเล็กจะทำอะไร ออกมาจากตรงนั้นนะ”
เหมือนแม้นมาศไม่ฟังเสียงภาณุทัต เธอตัดสินใจกระโดดลงจากระเบียงชั้นสอง
ทุกคนพากันช็อก ภาณุทัตตกใจสุดขีด ร้องเสียงหลง
“ไม่...น้องเล็ก”
ภาณุทัตรวบรวมสติวิ่งไปที่ระเบียงบ้าน แล้วปีนขอบระเบียงกระโดดลงไปตาม
ภาวิดาร้องห้าม “พี่ชายทัต อย่า”
ภาณุกรสั่ง “จับพี่ชายทัตไว้เร็ว”
ภาณุกร อัศวิน และ ทรงยศช่วยกันจับตัวภาณุทัตไว้
“น้องเล็ก...ทำไม...ทำไมทำแบบนี้ น้องเล็กของพี่”
ภาณุทัตดิ้นพล่าน ร้องไห้ปานจะขาดใจตาย
ทุกคนมองลงไปด้านล่างที่เป็นสระบัว เห็นร่างของแม้นมาศนอนคว่ำหน้าไม่ไหวติงลอยอยู่ในสระ เลือดสีแดงฉาน ค่อยๆ ไหลซึมออกมาเป็นที่น่าสยดสยอง
ทรงยศกับอัศวินพากันมองกันด้วยความเวทนา ภาณุกรน้ำตาซึมเจ็บปวดไม่ต่างกับภาณุทัต
มีเพียงภาวิดากับแขไขเท่านั้นที่ลอบยิ้มด้วยความสะใจสมใจ
สองน้าหลานอยู่ในห้องทำงานคุณชายภาณุกร รามนรินทร์ฟังเรื่องที่ภาณุกรเล่าให้ฟังก็รู้สึกเศร้าใจตาม
“น่าสงสารจังเลยนะครับ คุณลุงคงแทบหัวใจสลาย”
“ใช่ งานแต่งงานกลายเป็นงานศพ พี่ชายทัตก็เอาแต่เศร้าโศกเสียใจ กินเหล้าเมามายไร้สติ จนคืนหนึ่งครบรอบวันตายของแม้นมาศ พี่ชายทัตก็หายสาบสูญไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ผู้คนพากันล่ำลือว่าพี่ชายทัตฆ่าตัวตายตามแม้นมาศไปในคืนนั้น”
ภาณุกรน้ำตาซึม เล่าอย่างเจ็บปวด รามนรินทร์เองก็หดหู่ใจไม่แพ้กัน
“คุณลุงคงรักคุณแม้นมาศมาก แล้วคุณน้ารู้สาเหตุการตายของเธอมั้ยครับ”
“ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย พบจดหมายเขียนบอกว่า “ลาก่อน” วางอยู่”
ทางฝ่ายรสสุคนธ์พูดอย่างมั่นใจกับแม้นศรี
“แล้วคุณย่าเชื่อเหรอคะว่าคุณย่าเล็กฆ่าตัวตาย”
“ไม่มีทาง ย่าเล็กของหลานเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง กล้าเผชิญหน้ากับความจริง ถึงแม้จะเกิดเป็นลูกคนเล็กแต่ก็ไม่ใช่คนที่เปราะบางจนถึงขนาดคิดสั้นฆ่าตัวตายได้”
“รสก็ไม่เชื่อ แล้วคืนนั้นครอบครัวเราไม่มีใครอยู่ที่งานแต่งย่าเล็กเลยเหรอคะ”
“มีสิ ย่าวาดย่าใหญ่ของรสไง แต่ตั้งแต่คืนนั้นย่าวาดก็ไม่กลับมาอีกเลย เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้...ถ้าไม่เกิดเรื่องในคืนนั้น ครอบครัวเราก็คงไม่บ้านแตกสาแหรกขาดกันอย่างนี้”
แม้นศรีหวนนึกถึงโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับครอบครัวตัวเอง เมื่อ 30 ปีก่อน
บ้านเกษมบริรักษ์ เป็นบ้านไม้สองชั้นหลังใหญ่ บ่งบอกฐานะปานกลางของผู้เป็นเจ้าของเรือน แม้นเมืองวัย 40 ปี นอนซมเพราะพิษไข้อยู่บนเตียงในห้องนอน มีมิ่งเมืองลูกชายวัย 15 ปีคอยดูแล แม้น กระสับกระส่าย ละเมอเหมือนคนฝันร้าย
“วาด...แม่วาด”
“พ่อ...พ่อ” มิ่งเมืองตกใจ ตะโกนเรียก “อาศรี พ่อเป็นอะไรก็ไม่รู้”
แม้นศรีเข้ามาเห็นก็ตกใจ รีบเข้าไปดูอาการแม้นเมือง เอามืออังหน้าผาก
“แค่ไข้ขึ้น เจ้ามิ่งไปเอาน้ำกับผ้าขนหนูมาสิ อาจะเช็ดตัวให้พ่อเอง”
“ได้จ้ะ” มิ่งเมืองรีบวิ่งออกไป
“พี่เมือง นี่ฉันเองนะ”
“ศรี แม่วาดกลับจากงานแต่งน้องเล็กยัง”
“ยังจ้ะ อีกประเดี๋ยวก็คงมา พี่เมืองอย่าห่วงเลยนะ กินยาแล้วนอนซะ พรุ่งนี้ฉันจะพาไปหาหมอ”
แม้นศรีเอายาแก้ไข้ให้พี่ชายกินแล้วให้นอน มิ่งเมืองยกขันเงินใส่น้ำเข้ามา แม้นศรีใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้พี่ชาย
แม้นเมืองนอนหายใจรวยริน ท่าทางเหนื่อยล้าอ่อนแรง ใบหน้าซีดเซียว ตาลอยดูไร้วิญญาณ
เวลาผ่านไป แม้นศรีกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ในบ้านเกษมบริรักษ์ ควันไฟลอดเข้ามาในห้อง
เมื่อมองมาจากหน้าบ้าน พบว่าเห็นไฟกำลังลุกไหม้บ้านทั้งหลังอย่างรุนแรงแลดูน่ากลัวสุดขีด
แม้นศรีสำลักควัน ไอโขลกๆ หายใจไม่ออก สะดุ้งตื่นขึ้นมาเห็นควันไฟทั่วห้องก็ตกใจ
“ไฟไหม้...ไฟไหม้”
แม้นศรีคว้าผ้าขาวม้ามาปิดจมูก แล้วรีบลุกไปเปิดประตูออกจากห้อง แต่ก็ต้องผงะเพราะไฟกำลังโหมไหม้
อย่างรุนแรง แม้นศรีวิ่งไปที่ห้องนอนห้องใกล้ๆ เห็นมิ่งเมืองนอนอยู่ก็รีบไปปลุก
“มิ่งๆ ตื่นเร็วมิ่ง”
มิ่งเมืองไอโขลกๆ “อาศรี นี่มันอะไรกันครับ”
“ไฟไหม้ รีบไปช่วยพ่อก่อน”
แม้นเมืองนอนสำลักควันอยู่ในห้องนอน พยายามจะคลานออกจากห้องที่ไฟไหม้ลุกลามไปทั่วห้องแล้ว แม้นศรีกับมิ่งเมืองจะเข้าไปช่วย แต่ไฟโหมไหม้ลุกลามรุนแรงอย่างน่ากลัว
คานบ้านถูกไฟไหม้ตกลงมาทับแม้นเมืองจังๆ แม้นเมืองร้อนลั่น ไฟไหม้ร่างชวนสยดสยอง แม้นศรีกับมิ่งเมืองกรีดร้องลั่น
“พ่อ” / “พี่เมือง”
มิ่งเมืองจะวิ่งไปช่วยพ่อ แต่แม้นศรีตระหนักว่าสายเกินไปแล้ว รั้งหลานชายไว้
“อย่าเข้าไป ไม่ทันแล้ว เราต้องรีบหนี”
“อาศรีปล่อยผม ผมจะไปช่วยพ่อ”
“ไม่..เข้าไป...ก็มีแต่ตาย..ไปมิ่ง...หนีเร็ว ไปกับอา”
แม้นศรีลากมิ่งเมืองที่ละล้าละลังหนีออกมาหน้าบ้านได้ทัน ทั้งคู่กอดกันร้องไห้
ไฟลุกลามโหมไหม้บ้านทั้งหลังจนราบพนาสูรในเวลาอันรวดเร็ว
แม้นศรีดึงตัวเองกลับออกมา หญิงชราเอาผ้าเช็ดน้ำขึ้นมาซับน้ำตาอย่างเจ็บปวด รสสุคนธ์ก็สะอื้นตาม
“บ้านเกษมบริรักษ์ถูกเพลิงไหม้ไม่เหลือแม้แต่ซาก พวกเราแทบสิ้นเนื้อประดาตัว โชคดีที่คุณชายภาณุกรยื่นมือเข้ามาช่วย ย่าก็เลยพามิ่งเมือง พ่อของหลานย้ายรกรากมาอยู่ที่เพชรบุรี”
แม้นศรีลูบหัวรสสุคนธ์อย่างอ่อนโยน พูดย้ำให้หลานสาวระลึกถึงบุญคุณของพรหมบดินทร์
“รส...ตระกูลพรหมบดินทร์มีพระคุณกับครอบครัวเราอย่างมาก อย่าลืมซะล่ะ”
รสสุคนธ์ปาดน้ำตา พูดความในใจที่แม้นศรีเองก็แทบอึ้ง
“ย่าแน่ใจเหรอคะว่าเขาทำดีกับเราด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่ใช่ทำเพราะชดเชยความผิด”
“รส ทำไมหลานพูดอย่างนั้นล่ะ”
“มันก็จริงไม่ใช่เหรอคะ ทั้งการตายของย่าเล็ก การหายตัวไปของย่าวาด ทุกอย่างล้วนเป็นปริศนา รสจะต้องรู้ความจริงให้ได้ ถ้าพวกพรหมบดินทร์ก่อบาปไว้กับเรา พวกเขาจะต้องชดใช้”
รสสุคนธ์พูดอย่างมุ่งมั่นมาดหมาย แม้นศรีนิ่งอึ้งพูดไม่ออก
เรือนไม้หอมยามค่ำคืน บรรยากาศดูน่ากลัว มีเสียงสะอื้นไห้ของใครบางคนดังออกมา ปริกเดินถือถุงขยะจะไปทิ้งที่หลังโรงครัว ชะงักเงี่ยหูฟัง
“ใครมาร้องไห้แถวนี้วะ”
ปริกยัดถุงขยะใส่ถังแล้วเดินตามเสียงร้องไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
อ่านต่อหน้า 4
บาปบรรพกาล ตอนที่ 1 (ต่อ)
ปริกเดินตามเสียงสะอื้นไห้เข้ามาถึงเรือนไม้หอม กวาดสายตาดูอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“น้องเล็ก...พี่คิดถึงน้องเหลือเกิน ฮือๆๆ” เสียงนั้นครวญคร่ำ
ปริกขยับตัวยื่นหน้าส่องผ่านหน้าต่างเข้าไปดูในเรือนไม้หอมจนทั่ว สายตาไปเห็นร่างใครบางคนเดินวนอยู่ในบ้าน
“น้องอยู่ที่ไหน น้องเล็ก พี่มาหาน้องแล้ว”
ปริกพยายามเพ่งมองแต่เพราะความมืดจึงมองเห็นไม่ชัด
“ใครวะ หรือว่าจะเป็นพี่สร้อย พี่สร้อย นั่นพี่สร้อยหรือเปล่า” ปริกร้องตะโกนถามออกไป
เสียงสะอื้นเงียบลง ร่างนั้นก็หายวับไป ปริกแนบหน้าไปส่องดูอีกครั้ง แต่แล้วจู่ๆ ชายชราชื่อ ตาดำโผล่เข้ามาตะเพิด
“ออกไป ออกไปให้พ้น”
“ผี...ผีหลอก”
ปริกตกใจหงายเงิบ กรีดร้องลั่น แล้วตาลีตาเหลือกรีบคลานหนีออกไปโดดไว
ตาดำ ที่แท้คือคุณชายภาณุทัต ในวัย 55 ปี ปลอมตัวมาเพื่อไม่ให้คนจำได้ หนวดเครารุงรังบนหน้าอันซูบโทรมแลดูน่ากลัว
ที่โรงครัว บ้านพรหมบดินทร์ ปริกตัวสั่นเทาด้วยความกลัว กำลังเล่าให้ทุกคนฟังอยู่
“นังปริก เอ็งบอกสิว่าเอ็งเห็นอะไร”
“ฉันเห็นผี ฉันเห็นจริงๆ นะพี่จวง มันน่ากลัวมาก”
“ผีนังแม้นมาศเหรอวะ”
“เปล่า..มันเป็นผีผู้ชาย มาร้องห่มร้องไห้คิดถึงเมีย”
“ฉันว่าต้องเป็นผีคุณชายทัตแน่ๆ” ทวนว่า
เฟื่องแหวใส่ “หุบปากเลยไอ้ทวน คุณชายภาณุทัตท่านไปสบายแล้ว อย่ามาปากพล่อยพูดว่าร้ายให้ท่านเสื่อมเสียเด็ดขาด”
“อ้าว พี่เฟื่อง ฉันก็พูดตามความจริง ถ้าท่านไปสบายจริง จะมาร้องไห้คร่ำครวญถึงเมียเหรอ”
“แค่ผีคุณแม้นมาศก็น่ากลัวพอแล้ว นี่ยังมีผีคุณชายทัตอีกเหรอ” เฟื่องหน่าย
“ไม่ใช่ผีคุณชายทัตหรอก ฉันว่าน่าจะเป็นผีเจ้าที่มากกว่า” จวงบอก
“เหลวไหล! ผีไม่มีในโลก ผมขอสั่งทุกคน ห้ามพูดเรื่องผีให้คุณแม่ได้ยินอีก”
รามนรินทร์ก้าวเข้ามาตรงหน้าข้าเม้าท์ พูดด้วยสีหน้าจริงจังสำทับว่า
“เดือนหน้าก็จะถึงวันครบรอบร้อยปีตระกูลแล้ว ผมอยากให้มีแต่เรื่องมงคล เข้าใจมั้ย”
ทุกคนเห็นพากันหน้าจ๋อยรีบหลบหน้า รับปากพร้อมเพรียง
“เข้าใจค่ะ” / “เข้าใจครับ”
“คุณรามมาที่โรงครัวทำไมคะ มีอะไรหรือเปล่า” เฟื่องถาม
“คุณน้ากรมีธุระจะคุยกับนมเฟื่อง ผมก็เลยอาสามาตามให้”
“อุ๊ย ทีหลังคุณรามโทร.หานมสิคะ จะได้ไม่ต้องเดินมาถึงในนี้”
รามนรินทร์กับเฟื่องพากันเดินออกไป ปริกมองตามด้วยความสงสัย
“พี่จวง คุณชายภาณุกรท่านมีเรื่องอะไรต้องคุยกับพี่เฟื่อง”
“จะเรื่องอะไรซะอีก ถ้าไม่ใช่เรื่องนังน้อยนังคางคกขึ้นวอหลานนังเฟื่องนั่นละ”
จวงพูดจาเหยียดหยัน แสดงออกชัดแจ้งว่าเกลียดเฟื่องกับหลานเป็นอย่างมาก
ภาณุกรกำลังคุยกับเฟื่อง มีรามนรินทร์นั่งฟังอยู่ด้วย
“เมื่อกี้ยัยน้อยโทร.มาบอกว่าจะขออยู่เที่ยวทะเลต่ออีกสามวัน”
เฟื่องตกใจ “ตายจริง แล้วคุณชายก็อนุญาตเหรอคะ”
“ใช่ เด็กพึ่งเรียนจบ ให้ไปเที่ยวฉลองกับเพื่อนบ้าง เดี๋ยวพอเริ่มต้นชีวิตวัยทำงานจะไม่มีชีวิตอิสระอย่างสมัยเรียนอีกแล้ว”
“คุณชายชอบให้ท้ายมัน ดูสิเป็นหลานเฟื่องแท้ๆ ยังไม่คิดจะโทรมาบอกยายมันซักคำ”
“เอาน่านมเฟื่อง ยังไงน้อยก็เป็นลูกบุญธรรมของคุณน้ากร คุณน้าไม่ปล่อยให้น้อยเสียคนหรอกน่า”
“แค่นี้ก็เป็นบุญหัวของเฟื่องกับแม่น้อยแล้วค่ะ ถ้าคุณชายกับคุณรามอยากให้แม่น้อยรับใช้อะไรก็บอกเฟื่องได้นะคะ”
“เออ จริงสิ รามเตรียมงานรำลึกร้อยปีไปถึงไหนแล้ว”
“ยังไม่คืบหน้าเลยครับ แค่งานโรงแรมก็ยุ่งมากแล้ว สงสัยผมคงต้องหาคนมาช่วยงานซะแล้ว งั้นให้น้อยมาทำงานกับผมดีมั้ยครับ”
“ไม่ดี น้าเตรียมผู้ช่วยไว้ให้รามแล้ว”
“ใครเหรอครับ”
“ไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวพรุ่งนี้รามก็จะได้เจอกับเค้า”
ภาณุกรยิ้มเจ้าเล่ห์ วางแผนจะจับคู่ให้หลานชาย รามนรินทร์รู้สึกสงสัยท่าทีมีลับลมคมของภาณุกร
ที่บ้านแม้นศรี เพชรบุรี รสสุคนธ์นั่งเปิดโน้ตบุ๊กอ่านประวัติของภาณุกรกับภาวิดา อยู่ในห้องนอน หญิงสาวเสิร์ชสืบค้นจากทางเน็ต ที่หน้าจอเห็นประวัติพร้อมรูปของภาวิดากับภาณุกร ส่วนของภาณุทัตมีแต่เพียงชื่อ ภาพจากการสืบค้นไม่มี
“พรุ่งนี้...เราก็จะได้เข้าไปเจอคนพวกนี้แล้ว”
สีหน้ารสสุคนธ์มุ่งมั่นตั้งใจอ่าน และตรวจสอบข้อมูลสืบค้น รูปของคนในตระกูลพรหมบดินทร์ รสสุคนธ์เลื่อนเม้าท์ มาที่ชะงักที่รูปของรามนรินทร์
“เอ๊ะ...ผู้ชายคนนี้”
รสสุคนธ์นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนสายวันนี้ เธอทำเอกสารหล่น และถูกรามนรินทร์เหยียบอย่างไม่ตั้งใจ
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
รามนรินทร์ยื่นกระดาษคืนให้รสสุคนธ์ แล้วชะงักงันกับความสวย ในขณะที่รสสุคนก็รีบดึงกระดาษจากเขามาอย่างเขินๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้คงเป็นวันซวยของฉันเอง”
รสสุคนธ์เดินผ่านไปรามนรินทร์มองตาม ทั้งคู่ต่างจ้องกันอยู่นานจนลับตา
นึกทบทวนแล้ว รสสุคนธ์จ้องรูปรามนรินทร์ตาเขม็ง
“รามนรินทร์ พรหมบดินทร์...ที่แท้เค้าก็เป็นพรหมบดินทร์นี่เอง”
รสสุคน์ยังไม่รู้ความลับว่า เหตุเพราะ พรหมบดินทร์ไม่มีทายาท คุณหญิงภาวิดาจึงยอมให้รามนรินทร์ใช้นามสกุลนี้ แทนที่จะใช้นามสกุล ยศรุ่งเรือง ตามบิดา
เรือนไม้หอมทั้งหลัง ตกอยู่นความมืด บรรยากาศหลอกหลอน ลมพัดต้นไม้ใหญ่สั่นไหว ร่างของแม้นมาศค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากสระสระบัวหน้าเรือน หากมองใกล้ๆ จะพบว่าร่างนั้นกำลังสะอื้นไห้อย่างหนักหน่วง
ประตูเรือนค่อยๆ เปิดออกเอง แม้นมาศเคลื่อนตามเข้าไปในบ้าน เข้าออกห้องต่างๆ เข้าห้องโน้น ไปโผล่ห้องนี้เหมือนกำลังหาใครบางคน
เสียงร่ำไห้ครวญครางเย็นยะเยือก ฮือๆๆๆ ดังเป็นระยะ แม้นมาศร้องไห้อย่างเจ็บปวด แล้วเคลื่อนตัวขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง มีหยดน้ำเปียกเป็นทางตามพื้นที่แม้นมาศเคลื่อนไป
แม้นมาศสะอื้นไห้ก้าวไปยืนอยู่ริมระเบียง มองเหม่อทอดสายตาออกไปยังสระบัว
“คุณชาย...คุณอยู่ที่ไหน...ฉันเหงา...ฉันคิดถึงคุณเหลือเกิน”
หากมีใครมาเห็นใบหน้าที่ต้องแสงจันทร์ของแม้นมาศในยามนี้ คงต้องสะพรึงกลัว เพราะใบหน้านั้นเละและเน่าเปื่อยจนจำเค้าโครงหน้าเดิมไม่ได้ ผีแม้นมาศสะอื้นไห้ น้ำตาไหลริน
ลมวูบใหญ่พัดกรูเข้ามาในเรือนไม้หอม หน้าต่างที่เปิดอยู่ถูกลมกระแทกเปิดปิด เสียงดังโครมคราม ผีแม้นมาศโผล่พรวดขึ้นมา ผมสยายยาวปลิวไปตามแรงลม นัยน์ตาขาวโพลนดูน่ากลัว ใบหน้าบิดเบี้ยวเกรี้ยวกราด ดวงตาปีศาจอาฆาตแค้นสุดจะประมาณ มองออกไปนอกหน้าต่าง กรีดร้องเสียงดังโหยหวนไปตามแรงลม
“พวกแกต้องชดใช้...ต้องชดใช้!”
เสียงนั้นดังกึกก้องไปทั่วทั้งบ้านพรหมบดินทร์
ลมระลอกเดียวกันนี้พัดกระแทกหน้าต่างดังปึงปังๆ ผสมกับเสียงร้องไห้โหยหวนชวนสยองของแม้นมาศ เสียงขิมดังสอดประสานเศร้าสร้อย
จวงลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างแล้วจู่ๆ ประตูห้องก็ดังตึงๆ จวงสะดุ้งเฮือกหันตกใจหันไปมองที่ประตู
เสียงเคาะยังดังต่อเนื่อง จวงค่อยๆ เดินไปที่ประตู พอเปิดออกดู ปริกหน้าขาววอกก็โผล่พรวดเข้ามา
จวงตกใจถีบเข้าที่ท้องปริก จนปริกล้มกลิ้งกองกับพื้น
“โอ๊ย..พี่จวง ฉันเอง”
“อีปริก ตกใจหมด แล้วนี่มาทำไม”
“ฉันกลัว คืนนี้ขอนอนด้วยคนนะ”
“กลัวอะไร อ๋อ..เอ็งกลัวผีนังแม้นมาศเหรอ”
“พี่จวง อย่าพูดถึงผีสิ เดี๋ยวมีคนได้ยินเอาไปรายงานคุณรามหรอก”
“ฉันไม่พูดก็ได้ แต่ฉันจะให้คนอื่นพูดแทน”
จวงยิ้มเจ้าเล่ห์ ปริกมองฉงนว่าจวงหมายถึงใคร
ห้องรับแขก บ้านพรหมบดินทร์ ได้ต้อนรับแขกแต่เช้า โดยมีคุณหญิงภาวิดากำลังยิ้มแย้มทักทายอยู่กับแขกคนสำคัญ นั่นก็คือ คุณหญิงแขไข กับหม่อมหลวงอุณนิษา
แขไขยกมือไหว้ทัก “สวัสดีค่ะ คุณหญิงพี่ดา”
ภาวิดารับไหว้ “สวัสดีจ้าน้องหญิงแขไข แล้วนั่นหนูนิษาใช่มั้ยจ๊ะ”
“นิษาไหว้คุณหญิงป้าสิจ๊ะ”
อุณนิษายกมือไหว้ชดช้อย “สวัสดีค่ะ คุณหญิงป้า”
“อุ๊ย เรียกแม่ก็ได้จ้ะ ไม่เจอหนูนิษาแป๊บเดียวโตเป็นสาวแล้ว สวยซะด้วย สงสัยคงจะมีหนุ่มๆ มาขายขนมจีบไม่น้อยเลยใช่มั้ยจ๊ะ”
“ยัยนิษายังไม่มีแฟนหรอกค่ะ คุณหญิงพี่ก็รู้ว่ายัยนิษาชอบรามอยู่”
อุณนิษาเขิน “คุณแม่ก็...ว่าแต่พี่รามล่ะค่ะ”
“อ๋อ...ตารามอยู่บนห้องจ้ะ หนูนิษาขึ้นไปหาพี่เค้าสิ”
“งั้นนิษาขอตัวไปหาพี่รามก่อนนะคะ” อุณนิษารีบออกไปทันที
“จ้ะ แล้วนี่น้องหญิงแขไขมาหาพี่มีธุระอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
“น้องได้ข่าวเรื่องผีนังแม้นมาศ นี่มันกำเริบถึงขนาดทำร้ายคนเลยเหรอคะ”
“ใช่ นับวันมันก็ยิ่งเหิมเกริม พี่ละกลุ้มใจจริงๆ”
“แขเตือนคุณหญิงพี่แล้วไงคะว่าแม่คนนี้มันร้าย มันตั้งใจฆ่าตัวตายในบ้านนี้ก็เพื่อหยามเกียรติพรหมบดินทร์ ทำตัวเป็นผีร้ายคอยจองล้างจองผลาญคนในบ้านนี้ แขกลัวเหลือเกิน กลัวว่าซักวันมันจะทำร้ายคุณหญิงพี่กับตาราม”
“ถ้ามันมีปัญญาก็ลองดู พี่จะทำให้มันทรมานยิ่งกว่าตอนมันตายอีก”
ภาวิดากำมือแน่นด้วยความเคียดแค้น แขไขเห็นท่าทีนั้นก็ลอบยิ้มร้ายมุมปากนิดๆ อย่างสาสมใจ
อ่านต่อตอนที่ 2