มนต์รักอสูร ตอนที่ 15
ท่ามกลางบรรยากาศอันสดใสและสวยงามยามเช้าของบ้านไร่ ได้ยินเสียงนันท์โวยวายดังลั่นแหวกอากาศอันสดใสออกมา
“พี่อ้อยออกไปเลยนะ”
อ้อยก้มหน้าเศร้าอยู่หน้าห้อง โดยมีนันท์กอดอกต่อว่าพี่เลี้ยงสาวแซบ หอมอยู่ด้วย
“นันท์พึ่งอะไรไม่เคยได้”
เทิดเดินขึ้นบ้านมาตามเสียงของลูก น้ำผึ้งตามหลังมา
“มีอะไรกันคุณนันท์”
หอมยืนอยู่ข้างหลังนันท์ หัวเราะสมน้ำหน้าอ้อย
“คุณนันท์ถามอ้อยว่าเวลาจัดกระเป๋าไปแค้มป์ต้องเตรียมอะไรไปบ้าง อ้อยก็ช่วยตอบให้ แล้วคุณนันท์ก็หาว่าอ้อยพึ่งไม่ได้ค่ะนาย” อ้อยทำทีเป็นเศร้า “อ้อยเสียใจ”
เทิดมองดุนันท์ หอมรีบมาช่วยอธิบาย
“ก็แกพึ่งไม่ได้จริงๆ นิอ้อย ของที่แนะนำให้คุณนันท์ เอาเข้าไปแค้มป์แต่ละอย่างไม่ได้เรื่องเลย หนักสุดให้คุณนันท์เอาไก่ย่างใส่กระเป๋าไปด้วย”
อ้อยเถียง “แล้วไก่ย่างผิดตรงไหน ละครเวลาเข้าป่าเค้าก็ต้องปิ้งไก่กิน ไม่เอาไก่ปิ้งไประวังจะอด”
พอได้ฟังเทิดก็ส่ายหน้าระอาอ้อย น้ำผึ้งอมยิ้มขำๆ ขณะหันไปหานันท์
“เอางี้ งั้นเดี๋ยวครูสอนจัดกระเป๋าให้ดีมั้ย”
“ไม่เอา นันท์รู้นะ ว่าครูต้องให้นันท์เอาหนังสือเรียนไปด้วยแน่ๆ นันท์อยากไปเที่ยว นันท์ไม่อยากเรียนหนังสือ”
“มีแค่สองทางคือให้ครูน้ำผึ้งสอน กับให้อ้อยสอน เอายังไงคุณนันท์” เทิดว่า
“ถ้าให้นังอ้อยสอน รับรองคุณนันท์ปิ้งไก่เป็นแน่ๆ” หอมเหน็บ
“อีพี่หอม” อ้อยตีแขนหอมเบาๆ
นันท์นิ่งคิด ก่อนมองไปที่ครูน้ำผึ้ง
“ให้ครูสอนจัดกระเป๋าก็ได้ครับ แต่มีข้อแม้นะ ห้ามเอาหนังสือเรียนไป”
“โอเค งั้นไปค่ะ”
ขณะที่น้ำผึ้งกำลังจะเดินเข้าห้องนันท์ สายตาเธอไปสะดุดเข้ากับบางอย่าง เห็นเทิดที่ยังไม่โกนหนวด
“คุณนันท์เข้าห้องไปก่อนนะคะเดี๋ยวครูตามไป”
นันท์เดินเข้าไปในห้องแต่โดยดี น้ำผึ้งหันมาจ้องหน้าเทิดไม่พูดไม่จา
เทิดอารมณ์เสียตวาดเข้าให้ “มองหน้าฉันทำไม”
“คุณยังไม่ทำตามที่รับปากฉันไว้เลยนะคะ”
น้ำผึ้งยกมือขึ้นลูบคางตัวเองเป็นเชิงบอก เรื่องเคราของจอมเหวี่ยง เทิดจับเคราตามแล้วนึกออก
“เครามันก็อยู่บนหน้าฉัน เธอจะมาเดือดร้อนอะไรนักหนา”
“วันหลังถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องรับปากนะคะ”
“โธ่โว้ย” เทิดเดินหัวเสียออกไป
“ครูคิดว่าครูเป็นใคร ถึงจะมาบังคับนาย จ้างให้นายก็ไม่ทำตามที่ครูขอหรอก”
อ้อยพูดใส่หน้าน้ำผึ้ง แล้วค้อนให้อีกวงใหญ่ๆ ก่อนจะเดินหนีไป น้ำผึ้งส่ายหน้าหน่ายๆ
อีกฟาก ภูฤทธิ์ตัดดอกไม้อยู่ที่แปลงในไร่กับพีท หนุ่มชาวไร่สุดหล่อตัดไปยิ้มไปอย่างมีความสุข
พีทมองอยู่เดินมาหา อดแซวเจ้านายไม่ได้
“อารมณ์ดีจริงนะครับคุณภู”
“มันต้องอารมณ์ดีสิ ช่วงนี้มีแต่เรื่องดีๆ”
“ให้ผมเดาไหมว่าเจ้านายผมอารมณ์ดีเรื่องอะไร”
ภูฤทธิ์ยิ้มขำ “ว่ามาสิ”
“เรื่องที่ครูน้ำผึ้งออกจากไร่คุณเทิดแล้ว ใช่ไหมครับ”
ภูฤทธิ์ยิ้มกว้าง ดูออกว่าอารมณ์ดีโดยไม่คิดจะปิดบัง
“ฉันดูออกขนาดนั้นเลย”
“คุณภูน่ะแทบไม่เก็บอาการเลยต่างหากครับ”
ภูฤทธิ์หัวเราะร่วน
“แน่นอนสิ คุณน้ำผึ้งออกมาจากที่นั่นได้น่ะดีแล้ว อยู่ไปก็ต้องคอยรองรับอารมณ์คุณเทิดเรื่อยๆ คุณเทิดเองก็ดูจะไม่เห็นจะแคร์คุณน้ำผึ้งเลย”
“คุณภูแน่ใจเหรอครับว่าเขาไม่แคร์ครูน้ำผึ้ง”
ภูฤทธิ์หยุดตัดดอกไม้ หันมามองพีทด้วยสีหน้าแปลกใจ
“นายไปรู้อะไรมาพีท”
พีทเยื้อนยิ้มบอก “ผมว่าคุณภูอาจจะต้องคิดใหม่เรื่องคุณเทิดก็ได้นะครับ เพราะเท่าที่ผมถามคนของไร่นั้นมา...ตอนนี้ ครูน้ำผึ้งกลับไปอยู่ที่ไร่ของคุณเทิดเรียบร้อยแล้ว”
ภูฤทธิ์ชะงัก ตกใจมากเรื่องน้ำผึ้ง
เช้าวันเดียวกันนี้
เทิดเดินตรวจงานในไร่มากับแซม โดยเบื้องแรกแซมมองหน้าเทิดด้วยท่าทีแปลกๆ ทั้งสองเดินผ่านคนงานชาย บรรดาคนงานมองตามเทิดงงๆ พึมพำถามกันว่าใครกัน ทุกคนส่ายหน้าไม่รู้จัก
พอเทิดกับแซมเดินผ่านคนงานหญิง 3 คนที่กำลังเก็บองุ่นอยู่ คนงานผู้หญิงมองตามตื่นเต้น
“หล่อจังใครอ่ะ”
ต่างคนต่างสายหน้าไม่รู้จัก แต่มองตามตาเยิ้ม
เทิดหยุดคุยกับแซม
“ไปเตรียมของตามนี้”
แซมจ้องหน้าเทิดอย่างพิจารณา จนเทิดเดินผ่านไป คนงานหญิงวิ่งกรูมาหา
“ใครอ่ะลุงแซม”
เช่นเดียวกันกับ มาร์คถึงกับทำหน้าตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อเทิดเข้ามาสั่งกาแฟ
“นาย”
อ้อยยืนรอกาแฟ อยู่ในอาการตะลึงเดียวกัน
“โอ๊ปป้า”
ที่แท้เช้านี้ เทิดโกนหนวดเครา จึงดูหล่อเหลาหล่อลาก ทำเอาทุกคนที่เห็นต่างมองตะลึง เทิดเห็นสายตาทุกคู่มองมาก็อายเป็น เลยเก๊กดุกลบเกลื่อน
“โอ๊ปป้าบ้าบออะไรของแก ไร้สาระ รีบเอานมไปให้คุณนันท์ แล้วก็ไปเตรียมตัวเดินทางได้แล้ว” เทิดหันไปหามาร์ค “มาร์ค”
“ครับนาย”
“ฉันเอาเอสเพรสโซ่เหมือนเดิม เดี๋ยวมาเอา”
“ได้เลยครับ จะชงสุดฝีมือต้อนรับลุคใหม่ของนายเลย”
“เร็วๆ แล้วกัน”
ทุกคนมองเทิดยิ้มๆอย่างรู้ทันว่าเทิดเขิน เทิดอายรีบเดินออกไป
“น่ารักอ่ะ โอ๊ปป้า”
อ้อยเพ้อมองตามตาหวานฉ่ำ
“อยากจะให้ครูน้ำผึ้งได้เห็นจริงจิ๊ง รับรอง ตะลึง”
พูดไม่ทันขาดคำ น้ำผึ้งเดินคุยโทรศัพท์กับแม่ที่กรุงเทพฯ มาตามทาง ตรงมายังร้านกาแฟ
“ตอนนี้น้ำผึ้งสบายดีค่ะแม่ ไม่มีปัญหาอะไรค่ะน้ำผึ้งอยู่ได้ ตอนนี้ผึ้งจะออกไปแคมป์กับคุณนันท์ค่ะ ผึ้งจะระวังตัวนะคะ ถ้าเสร็จงานน้ำผึ้งจะรีบไปหาพ่อกับแม่ที่กรุงเทพฯ นะคะ”
น้ำผึ้งวางสาย เทิดเดินมาขวางไว้ น้ำผึ้งเงยหน้ามองแล้วต้องชะงัก แต่พอพิจารณาดูดีๆ จึงพบว่าอสูรจอมเหวี่ยงโกนหนวดเคราออกแล้วจนเกลี้ยงเกลา
“คุณเทิด”
“มองอะไร”
น้ำผึ้งมองหน้าเทิดแล้วยิ้มขำ “ขอบคุณนะคะที่ยอมทำตามสัญญา”
เทิดหงุดหงิดตีหน้ายักษ์ใส่
“ถอยไปได้แล้ว เกะกะ ขวางทางอยู่ได้”
“ค่า...เจ้านาย จะทำตามทุกอย่างที่สั่งเลยค่ะ”
เทิดเดินหนีไป น้ำผึ้งมองตาม ยิ้มดีใจ
แซม กับ หอม กำลังขนของใช้ตั้งแค้มป์ขึ้นรถที่หน้าบ้าน อ้อยเก็บของอยู่ในรถ นันท์ยืนเร่งหอมยิกๆ อยู่
“เร็วๆ หน่อยสิพี่หอม ขนช้าแบบนี้เมื่อไหร่นันท์จะได้ไปแค้มป์ซะที”
“อย่าพี่สิคร้าบคุณนันท์ นี่ก็ขนจนมือเป็นระวิงแล้ว”
“ไม่รู้ละ ถ้าพี่หอมช้า นันท์จะให้พ่อไล่พี่หอมออก”
หอมตกใจ
“อย่านะครับคุณนันท์ พี่บ่นไปงั้นเอง รออีกแป๊บนึง รับรองไปค่ายเร็วทันใจคุณนันท์แน่”
หอมรีบวิ่งไปขนของทันที แซมส่ายหัวมองขำๆ
เทิดเดินออกมากับผัน และ พร ผันถือกระเป๋าส่วนตัวให้เทิดด้วย ส่วนพรถืออาหารที่ทำใส่กล่องมาให้
ทุกคนมองหนวดเทิดที่โกนออกไป
“มองหน้าฉันทำไม รีบขนของสิ พร้อมแล้วจะได้เดินทาง”
อ้อยเก็บของในรถ รีบตะโกนแทรกออกมา
“คนพร้อม ของพร้อม แล้วค่ะนาย”
“ดีแล้ว จะได้เดินทางกันซักที เสียเวลามากแล้ว”
“ได้ค่ะนาย ว่าแต่วันนี้ นายโกนหนวดมา ล้อหล่อนะคะ”
อ้อยพูดไปบิดตัวไปแทบเป็นงู
“พูดมาก ไปขึ้นรถได้แล้วไป” เทิดมองหาน้ำผึ้ง “แล้วนี่ยัยครูนั่นหายไปไหน”
ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้เหมือนกันว่าน้ำผึ้งหายไปไหน
อ้อยหมั่นไส้เลยได้ทีแดกดัน “สงสัยมัวแต่โบ๊ะหน้าไปให้ลิง ค่าง ในป่าดูมั้งคะ ชักช้า เสียเวลาคนอื่น”
“ก่อนจะว่าครู ฉันว่าแกส่องกระจกดูหน้าตัวเองก่อนเหอะ แก้มแดงยังกะตูดลิง”
อ้อยแต่งหน้าแดงเว่อร์มาก ปากแดงแป๊ด เขียนคิ้วหนาเตอะ
“มันเป็นเทรนด์แต่งหน้าของนางเอกเกาหลีย่ะ คนอย่างพี่ไม่รู้หรอก”
“จะไปรู้ได้ไง คนปกติเขาแต่งกันแบบนี้ซะที่ไหน”
“อีพี่หอม!”
เทิดรำคาญ “พอได้แล้ว ถ้าจะเถียงกันก็อยู่นี่ให้หมด ไม่ต้องไปมันแล้ว”
หอมกับอ้อยหุบปากสนิท เทิดหันไปสั่งพรกับผัน
“ฝากผันกับป้าพรดูไร่แล้วก็ดูแลบ้านช่วงฉันไม่อยู่ด้วยนะ”
“ไม่ต้องห่วงครับนาย”
เห็นเทิดทำท่าจะเดินขึ้นรถ ชมพู่รีบถามขึ้น
“แล้วนายไม่รอครูเหรอคะ”
“อยากช้าเอง ถ้าเขาไม่อยากไปก็ไม่…”
เสียงน้ำผึ้งดังแทรกขึ้น
“ฉันมาแล้วค่ะ”
เทิดหันไป เห็นน้ำผึ้งขนกระเป๋าสัมภาระรีบวิ่งมา
“ขอโทษที่ให้รอนะคะ ฉันลืมของเลยวิ่งกลับไปเอา”
นันท์ดึงเสื้อเทิด เร่งให้ไปเร็วๆ
“ครูมาแล้ว เราไปกันได้รึยังครับพ่อ”
เทิดแอบขัดใจหน่อยๆ
“เอาของไปเก็บแล้วรีบไปขึ้นรถ”
เทิดเดินนำไปที่รถ น้ำผึ้งรีบทำตามที่เทิดบอก นันท์วิ่งเข้าไปช่วยน้ำผึ้งขนของท่าทางสนุก
อ้อยค้อนลมค้อนแล้งฮึดฮัดที่สุดท้ายน้ำผึ้งก็ไปด้วยจนได้
ถึงบริเวณแคมป์ ทุกคนช่วยกันขนของลงจากรถ เพื่อกางเต็นท์
“เดี๋ยวกางเต็นท์ตรงนี้แหละ เหมาะสุดแล้วไม่ห่างลำธารมาก”
“ครับนาย” แซมหันไปบอกทุกคน “เดี๋ยวผู้หญิงให้นอนเต็นท์เดียวกันนะ นายจะแยกไปนอนเต็นท์ต่างหาก ส่วนพวกผู้ชายที่เหลือนอนกับฉัน”
หอมได้ยินก็หันไปมองมาร์คทำหน้าเหวอๆ ชี้ตัวเองที มาร์คที
“ฉัน... นอนกับไอ้มาร์ค”
มาร์คหันมายิ้มหวานให้ ทำเอาหอมผงะไปนิดหนึ่ง
“ใช่ นอนกับฉันด้วย มีปัญหาอะไรไหม” แซมว่า
“ไม่ยักรู้ว่าลุงสายเหลือง”
แซมหมั่นไส้ “จะบ่นอีกนานไม๊ คุณกล้วยหอม”
“ลุง บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกชื่อ ...จริง”
น้ำผึ้งยืนอมยิ้มขำอยู่ด้านหลัง ร่วมกับคนอื่นๆ
“จบกัน” หอมเซ็ง
เทิดตัดบท “เอาๆ แยกย้ายกันไปกางเต็นท์ได้แล้วเล่นกันอยู่ได้ เดี๋ยวก็ไม่เสร็จกันพอดี”
“ใช่ๆ ครับนาย พวกเนี้ยเล่นกันอยู่ได้ ไม่ได้เรื่องเลย”
“หัดเอาอย่างคุณกล้วยหอมเค้าบ้างสิ” เทิดประชดส่ง
“โธ่นาย”
หอมยิ่งเซ็งเจอเทิดล้อด้วย ทุกคนแยกย้ายกันไปกางเต็นท์ของตัวเอง นันท์วิ่งเข้ามา
“แล้วเต็นท์นันท์ล่ะเต็นท์นันท์อยู่ไหนเดี๋ยวนันท์กางเอง”
มาร์คยิ้มเอ็นดู “คุณนันท์กางเต็นท์เป็นเหรอครับ”
“เป็นสิ นันท์ทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ นะ สอนนันท์หน่อยนะ” เด็กชายอ้อนใหญ่
เทิดใช้ความคิด มองมายังแซม
“เอางี้ เดี๋ยวให้ลุงสอนคุณนันท์เอง มาทางนี้เลยครับ”
นันท์กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ วิ่งตามลุงแซมไป ทุกคนมองนันท์อย่างเอ็นดู
อ้อยต้องนอนกับน้ำผึ้ง และชมพู่ สามสาวช่วยกันกางเต็นท์ อ้อยทำอะไรไม่ค่อยจะเป็น แต่ทำเก๋าตามเคย
“นังอ้อยแกกางเป็นแน่เหรอ”
“กะไอ้แค่กางเต็นท์ สบายมากนังอ้อยซะอย่าง”
“แต่ครูว่าอันนั้นไม่น่าจะใช่นะ” น้ำผึ้งท้วงขำๆ
อ้อยค้อนควักท่าทีน่าขัน ทุกคนกางเต็นท์กันไปอย่างสนุกสนาน
อ่านต่อหน้า 2
มนต์รักอสูร ตอนที่ 15 (ต่อ)
คนอื่นๆ กางเต็นท์กันอยู่ น้ำผึ้งหลบมุมเดินออกมาชื่นชมธรรมชาติ ทอดสายตามองไปรอบๆ เหลียวมองผืนป่าสีเขียว สูดลมหายใจรับอากาศบริสุทธิ์เต็มปอด
เทิดเดินตามหลังมา เห็นผึ้งกำลังชื่นชมธรรมชาติก็หยุดมอง
“ที่นี่อากาศดีแล้วก็สวยมากๆ เลยนะคะ มิน่าคุณนันท์ถึงอยากกลับมาอีก ดูทุกคนก็มีความสุขมากๆ”
“ฉันก็ดูมีความสุขเหรอ” เทิดถาม
“ยกเว้นคุณ”
เทิดนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะบอกว่า “ฉันดีใจนะที่เธอยอมกลับมาสอนคุณนันท์ โดยที่ไม่เรียกเงินเพิ่ม”
“คุณนันท์เป็นเด็กทีน่ารักมากๆเลยนะคะ ถ้าได้รู้จักและได้ใกล้ชิดกันจริงๆ เมื่อก่อนน้ำผึ้งมองว่าคุณนันท์ดื้อเอาแต่ใจ ชอบเกเรเป็นเด็กที่มีปัญหา อาจเพราะมีพ่อแบบคุณ”
เทิดกำลังอารมณ์ดีๆ ยัวะขึ้นมาจนได้
“นี่...พ่อแบบฉันทำไม”
“ก็ทำให้คุณนันท์ ... เป็นเด็กทีน่ารักแบบนี้ไงคะ”
“ไม่มีอะไร เธอก็อย่ามัวยืนอยู่เฉยๆ เดี๋ยวเต็นท์เธอก็ไม่เสร็จหรอก”
“จริงด้วยสิ ขอตัวก่อนนะคะ”
น้ำผึ้งยิ้ม แล้วเดินกลับไปกางเต็นท์ต่อ
อีกฟาก ฟ้าใสนั่งจิบกาแฟอยู่ในร้านโปรดเจ้าประจำ อ่านหนังสือจัดดอกไม้งานแต่งงาน บนโต๊ะมีสมุดแพลนเนอร์วางอยู่
สักครู่ประตูร้านถูกเปิดเข้ามา มีคนถือดอกไม้มายื่นให้ตรงหน้าฟ้าใส
“ดอกไม้มาส่งครับ”
ฟ้าใส่ทำหน้างงๆ ยังไม่ได้เงยมองว่าภูฤทธิ์เป็นคนมาส่งดอกไม้
“ฉันไม่ได้สั่งค่ะ”
“ไม่ได้สั่ง แต่ผมอยากให้”
ภูฤทธิ์เปิดช่อดอกไม้ที่บังหน้าตัวเองออก ฟ้าใสเห็นหน้าภูฤทธิ์ก็ยิ้มแป้น
“รับไว้หน่อยได้มั้ยครับ”
ฟ้าใสเขินอายรับดอกไม้มา
“คุณภู มาได้ไงคะเนี่ย”
“ก็ขับรถมาสิครับ”
“ตลกใหญ่แล้วนะคะ แล้วนี่คุณภูมีอะไรถึงมาหาฟ้าได้คะ”
ภูฤทธิ์นั่งลงตรงกันข้ามฟ้าใส หน้าตาดูเครียดเคร่ง
“ผมรู้เรื่องคุณน้ำผึ้งกลับไปอยู่ไร่คุณเทิดแล้วนะครับ”
ฟ้าใสชะงักไปนิดหน่อย
“คุณภูรู้ได้ยังไงคะ”
“เอาเป็นว่าผมรู้แล้วกันครับ แต่คุณฟ้าช่วยยืนยันกับผมก็พอ ว่ามันจริงหรือเปล่า”
“จริงค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้บอกก่อน น้ำผึ้งเองก็เพิ่งกลับไปได้แค่ไม่กี่วัน”
“ผมไม่ได้ติดใจเรื่องบอกไม่บอกหรอกครับ ผมแค่อยากรู้เหตุผลว่า ทำไมคุณน้ำผึ้งจะต้องกลับไปที่นั่นอีก”
“ฟ้าก็ไม่รู้ค่ะว่าทำไม แต่เท่าที่ทราบคือคุณเทิดมาตามตัวเขากลับไปเอง”
“คุณเทิดน่ะเหรอครับ”
ภูฤทธิ์รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ
“ค่ะ”
ภูฤทธิ์เห็นงานของฟ้าใสที่กองอยู่ก็นึกได้
“ผมขอโทษด้วยนะครับ มาถึงก็พูดแต่เรื่องตัวเอง คุณฟ้าคงยุ่ง”
“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ นิดหน่อยเอง”
“แล้วนี่คุณฟ้าทำอะไรอยู่เหรอครับ”
“กำลังดูพวกดอกไม้ที่จะเอามาใช้ในงานแต่งลูกค้าน่ะค่ะ แต่ว่ายังไม่รู้จะยังไงดี”
ภูฤทธิ์หยิบหนังสือเกี่ยวกับการจัดดอกไม้ของฟ้าใสขึ้นมาดู
“เอางี้ดีกว่า เพื่อเป็นการขอโทษที่มารบกวนแต่เช้า ให้ผมช่วยคุณฟ้าเรื่องเจ้าดอกไม้พวกนี้ดีไหมครับ”
ฟ้าใสแปลกใจ “จริงเหรอคะ”
“จริงสิครับ วันนี้ผมว่าง ไม่ได้ไปไหนด้วย”
ฟ้าใสยิ้มกว้างดีใจที่ภูฤทธิ์ใส่ใจเธอ
เทิดกับทุกคนกางเต็นท์เสร็จ นันท์หายไปทำบางอย่างในเต็นท์คนเดียว พอเสร็จก็วิ่งออกมา นันท์ใส่เสื้อชูชีพเข้ามาหาพ่อ เทิดมองฉงน
“ทำอะไรน่ะคุณนันท์”
“พ่อครับ นันท์ขอพ่อไปพายเรือคายักได้ไหม”
“แล้วคุณนันท์จะไปกับใคร”
“ก็...กับพี่ชมพู่ พี่มาร์ค ครูน้ำผึ้ง พี่หอม พี่อ้อย ลุงแซม ทุกคนเลย”
“อ้าวแล้วใครจะอยู่ช่วยพ่อทางนี้ล่ะ คุณนันท์พาไปหมดเลย”
“พ่อก็ไปกับนันท์ด้วยเลยสิคับ”
“เดี๋ยวฉันดูแลคุณนันท์ให้เองค่ะ คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
เทิดหมั่นไส้ “เพราะเธอไปน่ะสิ ถึงน่าเป็นห่วง อ้อยกับหอมไปด้วยนะ”
“พร้อมเสมอคร้าบนาย เพื่อนายแล้วหอมทำได้เสมอ”
“นายขา ขอกระดาษเช็ดหน่อยนะคะเปียกไปหมดล่ะ เอาไปใช้บนเรือแทน” อ้อยบอก
น้ำผึ้งเสนอไอเดียกับเทิด “เอางี้ไหมคะ ถ้าคุณนันท์ตอบ เป็นประโยคภาษาอังกฤษตอบถูก ให้คุณนันท์เป็นคนพายเรือเอง”
น้ำผึ้งยิ้มรอดูท่าทีของเทิด นันท์ลุ้นอีกแรง
“นันท์ตอบได้นะ จะถามอะไรก็ถามมาถามมาเลย แต่แค่สามข้อพอ”
เทิดพยักหน้ารับ น้ำผึ้งมองไปรอบๆ แล้วถามนันท์
“คุณนันท์ ถ้าเราจะบอกว่าป่านี้ต้นไม้เยอะเลย ต้องพูดเป็นภาษาอังกฤษว่ายังไงคะ”
“There are a lot of trees.”
“แล้ว นกกำลังร้องเพลงล่ะ”
“The bird is singing.”
“ฉันอยากว่ายน้ำ”
“I want to swim.”
“นันท์ไปพายเรือได้รึยังคับ”
“of course”
“thanks you teacher น้ำผึ้ง”
ฟากภูฤทธิ์พาฟ้าใสเดินชมไร่ดอกไม้ ท่ามกลางไม้ดอกไม้ใบบานสะพรั่งสวยงามจับตา
“คุณฟ้าสนใจดอกไม้แบบไหนครับ”
“ปกติดอกไม้ที่ใช้จัดงานแต่งงาน เป็นพวกดอกไม้ที่ทนร้อนได้นานน่ะค่ะ พวกกุหลาบหรือ กล้วยไม้เพราะต้องใช้โชว์ทั้งวัน แต่ฟ้าก็อยากได้ดอกไม้อื่นไปแต่งเพิ่มด้วย ไม่ให้จำเจ คุณภูพอจะแนะนำได้ไหมคะ”
ภูฤทธิ์คิดปราดเดียว “คุณฟ้ารู้จัก ดอกสแตติส (Statice) ไหมครับ”
“พอคุ้นๆ ค่ะ อาจจะเคยใช้จัดมาแล้ว แต่จำชื่อไม่ได้”
ภูฤทธิ์ผมว่าคุณฟ้าใช้เจ้าดอกสแตติสนี่ได้นะครับ ใช้จัดแซมกับพวกดอกกุหลาบ มันเป็นดอกไม้ที่คงสภาพได้นาน ถึงจะแห้งแล้วรูปร่างหรือสีแทบไม่ต่างจากเดิม เป็นดอกไม้ที่ความหมายดีด้วย
“มีความหมายว่าอะไรเหรอคะ”
“หมายถึงความรู้สึกดีๆ จะคงอยู่ตลอดไปครับ”
“ที่นี่มีดอกสแตติสไหมคะ”
“มีสิครับ เดี๋ยวผมพาคุณฟ้าไปดู เชิญเลยครับ”
ภูฤทธิ์เดินนำไปในไร่ ฟ้าใสมองตาม ยิ้มชื่นที่ได้อยู่ใกล้ชิดภูฤทธิ์สองต่อสอง
น้ำผึ้ง นันท์ ชมพู่ และมาร์ค เตรียมตัวออกไปพายเรือ แต่ละคนถือไม้พายใส่เสื้อชูชีพกันพร้อม นันท์ดูตื่นเต้นมากที่จะได้ไปพายเรือ น้ำผึ้งช่วยนันท์ใส่เสื้อชูชีพให้เข้าที่
“เรียบร้อย เดี๋ยวเราไปพายเรือคายักกันนะคะคุณนันท์”
“นันท์พร้อมแล้วครับครู”
“พี่กับทุกคนก็พร้อมแล้วครับ”
เสียงอ้อยแหลมเข้ามา “อ้อยก็พร้อม”
ทุกคนเหลียวไปทางเสียง เห็นอ้อยเดินออกจากเต็นท์แต่งตัวเต็มพร็อบเพียบ ทั้งหมวก ทั้งแว่น ทั้งชูชีพ เทิด แซม และ หอมตามมาสมทบ หอมเห็นชุดอ้อยก็อดด่าไม่ได้
“โถ นังอ้อย มีซักงานไหมที่จะแต่งให้มันน้อยกว่านี้”
“ไม่ได้หรอกพี่ แดดเปรี้ยงขนาดนี้ ใครจะทนก็ทนไป อีอ้อยไม่ทนค่ะ”
“ทำอะไรไม่ได้ดูสภาพแวดล้อมเล้ย”
อ้อยทำเชิดใส่ มองพวกหอม
“แล้วนี่ไม่ไปพายเรือด้วยกันเหรอ”
“เดี๋ยวลุงกับนายขอแยกไปตกปลาทางโน้นดีกว่า ให้เด็กๆ ไปพายเรือกัน”
อ้อยเสียดายที่เทิดไม่ไปด้วย
“ใช่ ฉันก็จะไปด้วย เอาเบ็ดตกปลาระดับมืออาชีพ พรีเมี่ยม ราคาเหยียดแสนมา ต้องโชว์ของ” หอมคุยโว
“ไหนเบ็ดของแกอีพี่หอม” ชมพู่มองหา
หอมหยิบเบ็ดตกปลาที่ทำจากไม้ไผ่ออกมาโชว์
อ้อยกลอกตาเซ็ง “เนี่ยนะ เหยียดแสน แสนสาหัสสิไม่ว่า”
“อย่ามาดูถูกกันนะเว้ย”
อ้อยกับหอมตั้งท่าจะเถียงกันอีก เทิดเลยรีบห้าม
“พอได้แล้ว แยกย้ายกันสักที เสียเวลามากแล้ว”
อ้อยกับหอมหยุดเถียงกัน เทิดเดินมาหาน้ำผึ้ง
“ฝากดูแลคุณนันท์ด้วย”
“ฉันจะดูแลคุณนันท์ให้ดีที่สุดค่ะ”
เทิดพยักหน้าแล้วเดินออกไปกับแซม และ หอม ส่วนพวกน้ำผึ้งพานันท์ไปพายเรือ
นันท์ออกไปพายเรือคายักลำเดียวกับน้ำผึ้ง มาร์คพายเดี่ยว อ้อย พายกะ ชมพู่ อ้อยลงเรือแบบทุลักทุเล เพราะแต่งมาเยอะไป จนสุดท้ายต้องถอดออก
เทิด หอม และแซม ตกปลาอยู่ตรงริมบึง หอมใช้เบ็ดพรีเมี่ยมตกปลา ดูตั้งอกตั้งใจเวอร์ๆ แล้วก็เหมือนปลาจะกินเบ็ด แต่พอหอมรีบดึงเบ็ดขึ้นปรากฏว่าติดขยะมาชิ้นเบ้อเร่อ แซมขำ หอมเซ็งถอดขยะทิ้งแล้วนั่งตกใหม่
เทิดนั่งตกปลาไปเงียบๆ ดื่มด่ำธรรมชาติโดยรอบ
นันท์พายเรือคายักกับน้ำผึ้งอย่างสนุกสนาน
อ้อยนึกอิจฉาน้ำผึ้งที่ได้อยู่กับนันท์ รีบพายจ้ำจะไปเสนอหน้า จนชมพู่ต้องบอกให้พายดีๆ นันท์ดูมีความสุขมาก น้ำผึ้งยิ้มตามไปด้วย
แซมเดินเข้าไปหาเทิดที่นั่งตกปลาอยู่คนเดียว นั่งลงคุยด้วย
“ผมไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นคุณนันท์มีความสุขได้แบบนี้อีกครั้ง” เทิดหันไปมอง แซมพูดต่อ “ผมดีใจ แล้วก็ขอบคุณที่นายเห็นแก่ความสุขของลูก”
เทิดมองเหม่อไกลออกไป
“แค่พานันท์มาเที่ยวครั้งเดียว ไม่ได้หมายความว่าผมจะทำให้นันท์มีความสุขไปได้ตลอดหรอกลุง”
“ทำไมนายคิดอย่างนั้น”
“ผมรู้ว่าตัวเองไม่ใช่พ่อที่ดีนัก ไม่เคยให้อะไรที่นันท์ต้องการได้เลยสักอย่าง”
“นายคิดว่าคุณนันท์ต้องการอะไร”
เทิดนิ่งคิด แล้วบอกสีหน้าเศร้า
“เขาคงอยากอยู่กับ...แม่เขา”
“อย่าหาว่าผมสอนเลยนะนาย แต่ผมอยากบอกอะไรนายไว้อย่างหนึ่ง”
“อะไร”
“สำหรับลูกคนนึง สิ่งที่ต้องการไม่มีอะไรมากกว่าความรักจากพ่อแม่ นายเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ให้คุณนันท์ได้”
“ผมทำไม่ได้หรอก”
“แค่นายมีเวลาให้ลูก อยู่กับเขารับฟังแล้วก็พร้อมจะเข้าใจเขา ผมว่าคุณนันท์คงไม่ต้องการอย่างอื่นมากกว่านี้หรอก”
เทิดเงียบไป
“ต้องขอบคุณครูน้ำผึ้งนะครับที่ทำให้ผมพอจะรู้สึกได้บ้างว่า คุณเทิดคนเก่าของไร่เรายังมีตัวตนอยู่ ไม่ใช่คนที่เอาแต่ทำงาน แล้วก็จมอยู่ในความทุกข์เหมือนอย่างนี้”
แซมพูดจบ ก็ลุกขึ้นเดินแยกตัวออกไป เทิดคิดตามเงียบๆ เพียงลำพัง
อ่านต่อหน้า 3
มนต์รักอสูร ตอนที่ 15 (ต่อ)
ภูฤทธิ์พาฟ้าใสกลับมาที่สำนักงานไร่ ฟ้าใสเลื่อนดูรูปดอกไม้ที่ถ่ายมาในมือถือด้วยสีหน้าพอใจ
“ขอบคุณนะคะคุณภู ที่มาวันนี้ช่วยฟ้าได้เยอะเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมช่วยคุณฟ้า คุณฟ้าจะได้สั่งดอกไม้จากไร่ผม”
“ที่ช่วย เพราะแบบนี้เองเหรอคะ”
“ผมล้อเล่น”
“คุณภูนี่ก็ อย่าล้อฟ้าเล่นสิคะ”
ภูฤทธิ์หัวเราะ “ผมขอโทษครับ แต่ผมเต็มใจช่วยคุณฟ้าจริงๆนะ คุณฟ้าเองก็ช่วยผมมาหลายเรื่อง แล้วอีกอย่างคุณฟ้าก็เป็นเพื่อนคุณน้ำผึ้งด้วย”
ฟ้าใสสะท้อนใจ นิ่งไปชั่วขณะ สีหน้าเศร้าแต่ภูฤทธิ์ไม่ทันเห็น
“ค่ะ ฟ้าเองก็เต็มใจช่วยคุณภูทุกเรื่องเหมือนกัน”
“คุณน้ำผึ้งน่ะโชคดีที่มีเพื่อนแบบคุณฟ้านะครับ จะโชคร้ายหน่อยก็แค่ยังไม่หลุดพ้นจากเจ้านายแบบคุณเทิดซักที”
“น้ำผึ้งเองอาจจะเต็มใจอยู่ที่ไร่นั้นก็ได้นะคะ”
ภูฤทธิ์อึ้ง แปลกใจ “ทำไมคุณฟ้าพูดแบบนั้น”
“ความสุขของน้ำผึ้งตอนนี้คือการเป็นครู การได้อยู่กับคุณนันท์ ถ้าน้ำผึ้งไม่รักคุณนันท์ไม่อยากอยู่ที่นั่น ก็ไม่มีใครบังคับเขากลับไปได้ ถึงจะเป็นคุณเทิดก็ตาม”
ฟ้าใสรู้ตัวว่าพูดใส่อารมณ์มากเกินไปเลยหยุดพูด ภูฤทธิ์อึ้งไป
“คุณฟ้าพูดถูก อาจจะเป็นผมเองที่กังวลมากไป”
“ถ้ามีอะไรน้ำผึ้งต้องบอกฟ้าก่อนอยู่แล้ว ไม่มีอะไรน่ากังวลหรอกค่ะ”
“ครับ ผมจะพยายามไม่คิดอะไร”
“ฟ้าว่า ฟ้ากลับก่อนดีกว่า มารบกวนคุณภูนานเกินไปแล้ว”
“เดี๋ยวผมไปส่งนะครับ”
“ฟ้าโทร.ให้คนที่บ้านมารับก็ได้ค่ะ คุณภูอย่าลำบากเลย”
“ไม่ลำบากครับ”
ฟ้าใสมองภูฤทธิ์ท่าทีลังเล สุดท้ายใจอ่อน พยักหน้ายอมให้ภูฤทธิ์ไปส่ง
ที่แคมป์ ทุกคนกลับมารวมกันหน้าเต็นท์ในตอนเย็น เทิด กับ แซม หิ้วปลาที่ตกได้มาด้วย หอมไม่ได้อะไรมาเลย ชมพู่มองเย้ย
“ไหนล่ะอีพี่หอม ปลาจากเบ็ดราคาเป็นแสนแกน่ะ”
“เบ็ดมันแพงไป ปลามันเลยไม่กล้างับเหยื่อโว้ย”
“สมน้ำหน้า นี่เป็นไง ได้แต่ขยะล่ะสิ” อ้อยผสมโรง
“เขาเรียกว่าช่วยธรรมชาติต่างหาก เก็บขยะจากแม่น้ำลำธารงี้ไง” หอมแถไปได้อีก
“พี่หอมไม่ต้องเสียใจนะครับ เดี๋ยวผมปลอบใจพี่หอมเอง”
มาร์คขยับตัวจะพุ่งเข้าไปกอด หอมรีบยันตัวมาร์คออก ทุกคนหัวเราะขำ แซมชูปลาที่ได้ขึ้นมา
“ปลานี่ได้มาหลายตัวเหมือนกัน ว่าจะเอามาย่างแล้วแบ่งทุกคนกิน”
“นันท์ชอบกินปลาครับ”
น้ำผึ้งยิ้ม “เห็นชมพู่ว่าวันนี้จะมีทำบาร์บีคิวกันด้วย คุณนันท์ชอบบาร์บีคิวไหมคะ”
“ชอบครับ นันท์ชอบกินทุกอย่างเลย”
ทุกคนหัวเราะเอ็นดูนันท์ มีอ้อยคนเดียวเบ้หน้าหมั่นไส้ที่น้ำผึ้งดูจะเอาใจนันท์เกินเหตุ
“งั้นแบ่งกันไปหาฟืนมาก่อกองไฟ ใครจะไปบ้าง” เทิดถาม
หอมรีบอาสา “หอมไปเองจ้ะนาย!”
มาร์คจะไปช่วย “ผมไป...”
หอมรีบห้าม “เอ็งไม่ต้องเลยไอ้มาร์ค อยู่ที่นี่เฝ้าครูกับคุณนันท์ไป”
“เดี๋ยว ฉันไปด้วย มีใครจะไปอีกไหม” แซมถาม
อ้อยอยากทำคะแนน รีบชูมือ “ฉันขอไปด้วยนะ”
“งั้นชมพู่ มาร์คอยู่ที่นี่ช่วยกันเตรียมอาหารไป” เทิดหันมาหาน้ำผึ้ง “ส่วนเธอพานันท์ไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว”
“ค่ะคุณเทิด ไปค่ะคุณนันท์”
แซมบอกกับเทิดว่า “นายอยู่รอที่นี่ได้นะครับ เรื่องพวกฟืนผมจัดการเอง ไม่ได้ลำบากอะไร”
“งั้นตามนี้ รบกวนทุกคนด้วย”
ทุกคนพยักหน้ารับแล้วแยกย้ายไปตามที่ตกลงกันไว้
เทิดออกมานั่งตรงบริเวณที่จะก่อฟืน คิดอะไรคนเดียว นึกถึงคำพูดแซมเมื่อบ่าย
“แค่นายมีเวลาให้ลูก อยู่กับเขารับฟังแล้วก็พร้อมจะเข้าใจเขา ผมว่าคุณนันท์คงไม่ต้องการอย่างอื่นมากกว่านี้หรอก ต้องขอบคุณครูน้ำผึ้งนะที่ทำให้ผมพอจะรู้สึกได้บ้างว่าคุณเทิดคนเก่าของไร่เรายังมีตัวตนอยู่ ไม่ใช่คนที่เอาแต่ทำงานแล้วก็จมอยู่ในความทุกข์เหมือนอย่างนี้”
นันท์ออกมาจากเต็นท์เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว วิ่งเข้ามาหาเทิด
“พ่อครับ พวกพี่อ้อยกลับมาหรือยัง”
เทิดหันไปคุยกับนันท์
“ยังหรอก คงอีกสักพัก คุณนันท์หิวแล้วเหรอ”
“นิดหน่อยครับ แต่นันท์ทนได้”
นันท์ยิ้มให้พ่อ เทิดชวนลูกมานั่งด้วยกัน
“มานั่งรอพวกลุงแซมก่อนมาคุณนันท์ ไหน วันนี้ไปพายเรือคายักมาเป็นยังไงบ้าง”
นันท์แปลกใจนิดๆ แต่ก็ลงนั่ง เล่าให้พ่อฟังสีหน้าเบิกบาน
“สนุกมากเลยครับพ่อ ครูน้ำผึ้งในนันท์ลองพายเองด้วย แล้วพี่อ้อยนะ ตอนแรกใส่ชุดเยอะแยะจนลงเรือไม่ได้ด้วย”
นันท์คุยกับเทิดไปด้วยสีหน้ามีความสุข
น้ำผึ้งเดินมา หยุดมองภาพสองพ่อลูกคุยกันอย่างสนิทสนม แล้วยิ้มชื่นใจ
ด้านอ้อยแยกไปหาฟืนคนเดียวในป่า เอากิ่งไม้เหวี่ยงต้นไม้แถวนั้นระบายอารมณ์
“ทำไมยัยครูนั่นต้องมาเป็นก้างชีวิตอีอ้อยคนนี้ตลอดเวลาด้วยนะ เซ็งๆๆๆ โอ๊ย”
อ้อยฟาดไปที่ต้นไม้แถวนั้น แต่แล้วก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนมีเสียงคนเดินอยู่ใกล้ๆ อ้อยเหลียวไปมอง
“ใครน่ะ”
ไม่มีเสียงตอบ อ้อยเลยเดินเก็บกิ่งไม้ไปรอบๆ แล้วก็มีเสียงคนเดินอีก
อ้อยผวา เริ่มระแวง “ใคร”
อ้อยเริ่มไม่ชอบบรรยากาศรอบๆ รีบโกยกิ่งไม้ เดินจ้ำจะกลับที่พักปากบ่นบ้าไป
“ป่าบ้านี่ ไม่อยู่แล้...ว้าย”
อ้อยถูกดึงตัวไปอีกมุมหนึ่ง โดยฝีมือชายกลุ่มหนึ่งเหวี่ยงอ้อยไปอีกทางจนเซชนต้นไม้แถวนั้น อ้อยมองไปเห็นชายฉกรรจ์ท่าทางน่ากลัว 2-3 มองมาก็ตกใจร้องกรี๊ดลั่นป่า
“แอร๊ย.....”
ที่แท้ชายฉกรรจ์เหล่านั้น เป็นสมุนที่พูนส่งมาคอยสอดส่องเหตุการณ์ในไร่ของเทิด
ขณะเดียวกัน ทรงยศกำลังดูบัญชีลูกหนี้อยู่กับลูกน้องตรงระเบียงหน้าคฤหาสน์
“พวกโง่รู้จักแต่ยืมเงิน แต่ไม่รู้จักหาเงินแบบนี้มันก็ติดหนี้ไปจนตาย แกไปดูบ้านมันเลยนะ ว่ามีทรัพย์สินอะไรบ้าง ไปขู่มันด้วย ว่าถ้างวดหน้ามันไม่จ่าย ฉันจะยึดบ้านมัน”
“ครับนาย”
“แล้วนี่น้องฟ้าไปไหนวันนี้ไม่เห็นเลย”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับนาย”
“แกไปทำตามที่ฉันสั่งได้แล้วไป”
ลูกน้องออกไป พูนเดินสวนเข้ามา
“นายครับผมมีข่าวดีมาบอก”
ทรงยศหันไปฟังอย่างสนใจ
“ตอนนี้ไอ้เทิด กับลูกน้องมันไม่อยู่ที่ไร่ครับ มันพาลูกเข้าป่า ผมว่าเป็นโอกาสที่เราจะจัดการกับไร่มันแล้วครับ”
ทรงยศยิ้มชั่วให้พูนอย่างรู้กัน ก่อนได้ยินเสียงรถมาจอดที่หน้าบ้าน
อ้อยตกใจสุดขีด เจอชายฉกรรจ์หน้าตาน่ากลัว 2-3 คน ยืนจ้องอยู่
“พ...พวกแกเป็นใคร”
ชายคนที่หนึ่งเดินมากระชากร่างอ้อยเข้าไปหา
“เราสิต้องถาม มาทำอะไรแถวนี้มืดๆ ค่ำคนเดียว”
“ไม่ใช่เรื่องของพวกแก”
“ปากดีซะด้วย ไหนๆ มาแถวนี้ไม่อยู่แวะคุยกับพี่หน่อยเหรอน้อง” ชาย 2 ชอบใจ
“ปล่อยฉันนะ”
อ้อยสะบัดตัวออกแต่สู้แรงไม่ได้
ชาย1 ขู่ “อย่าเล่นตัวดีกว่าน่า ยอมดีๆจะได้ไม่เจ็บตัว”
อ้อยดิ้นหนีไม่หยุด แหกปากร้องตะโกนให้คนช่วย
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย”
ขณะที่กลุ่มลูกน้องพูนจะลากอ้อยไปอีกทาง แต่แล้วเสียงปืนก็ดังขึ้น
ที่ลานกางเต็นท์ แต่ละคนทำธุระของตัวเองอยู่ เสียงปืนทำให้ทุกคนตกใจ น้ำผึ้งเดินเข้ามาหาเทิด
“เสียงปืนนี่คะ เกิดอะไรขึ้น”
“พวกที่ไปหาฟืน” เทิดเอะใจ รีบบอกกับน้ำผึ้ง “เธออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวฉันมา”
เทิดรีบตามแซมเข้าไปในแนวป่าบริเวณที่หาฟืนทันที น้ำผึ้งกับคนที่เหลือมองหน้ากันกลัวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
อ้อยกรี๊ดลั่นเอามือปิดหูตัวเอง กลัวตัวสั่น กลุ่มลูกน้องพูนมองไป เห็นแซมกำลังเดินใกล้เข้ามา
“ปล่อยผู้หญิงเดี๋ยวนี้”
แซมยกปืนขู่กลุ่มชายฉกรรจ์ที่จะลวนลามอ้อย
“มึงเป็นใครวะ” ชาย 1 โมโห ที่โดนขัดจังหวะ
“กูบอกให้ปล่อยผู้หญิงไง”
กลุ่มสมุนพูนชักกลัวถอยออกไป และในที่สุดก็ปล่อยตัวอ้อยออกมา อ้อยวิ่งมาหลบหลังแซม
“จะไปไหนก็ไป แล้วอย่ามายุ่งแถวนี้อีก ไป”
แซมทำเหมือนจะยิงปืนจริงๆ สมุนพูนกลัววิ่งเตลิดหนีไป
ไม่ทันไร มีเสียงคนเดินมาใกล้ๆ ดังขึ้นอีก อ้อยขวัญผวาตกใจ
“เสียงใครอีก ลุงแซม”
แซมเหลียวมองไปรอบๆ เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา แซมยกปืนขู่อีก
“ใคร”
แต่ปรากฏว่าเป็นเทิด “เกิดอะไรขึ้นลุงแซม”
อ้อยขวัญเสียจะร้องไห้ “นาย”
แซมโล่งอก มองไปทางที่สมุนพูนหนีไปอย่างไม่วางใจนัก
“ไม่มีอะไรหรอกนาย คงพวกขี้เมาแถวนี้ กลับไปที่เต็นท์เถอะ”
เทิดพยักหน้า พาอ้อยกับแซมกลับไปบริเวณแคมป์
ภูฤทธิ์มาส่งฟ้าใส สองคนยืนคุยกับฟ้าใสที่หน้าบ้าน
“ขอบคุณคุณภูมากนะคะที่มาส่ง”
“บอกแล้วไงครับว่าผมเต็มใจ ส่วนเรื่องดอกไม้ ถ้าผมให้เด็กจัดการเรียบร้อยแล้วจะติดต่อไปอีกทีนะครับ”
“ได้เลยค่ะ”
ฟ้าใสกำลังจะเดินกลับเข้าบ้าน ภูฤทธิ์เรียกไว้
“เดี๋ยวครับคุณฟ้า”
“คะ”
“ถ้ามีเรื่องคุณน้ำผึ้งคืบหน้ายังไง บอกผมด้วยนะครับ”
“ได้ค่ะ”
ฟ้าใสยิ้มให้ ก่อนจะมองไป เห็นทรงยศกับพูนเดินเข้ามาท่าทีหาเรื่อง ภูฤทธิ์เห็นจึงยกมือไหว้
“สวัสดีครับคุณทรงยศ”
ทรงยศรับไหว้ส่งๆ
“พาน้องสาวผมไปไหนมาครับคุณภูฤทธิ์ ไม่เห็นขออนุญาตผมเลย”
ภูฤทธิ์ยังไม่ทันตอบ ฟ้าใสรีบตัดบท
“กลับเถอะค่ะคุณภู ขับรถมืดๆ มันอันตราย”
ภูฤทธิ์ยกมือไหว้ลาทรงยศแล้วขับออกไป
ทรงยศหันไปดุน้องสาว
“ไปไหนกับผู้ชายมาทั้งวัน ไว้หน้าพี่บ้างนะ”
“แล้วทีพี่ทำอะไรไม่ดี เคยนึกถึงฟ้าบ้างไหม”
พูดจบฟ้าใสก็เดินผ่านทรงยศเข้าบ้านไป
ฟ้าใสเดินนำพี่ชายเข้ามาในบ้าน ทรงยศเดินตามสั่งเสียงเข้ม
“พี่ขอสั่งห้ามฟ้าไปไหนมาไหนกับไอ้ภูฤทธิ์อีก”
ฟ้าใสหยุดหันมามองพี่ชายตาแข็ง
“เพราะ”
“เพราะพี่ไม่ชอบ”
“ฟ้าจะทำตามที่พี่บอกทุกอย่าง”
“ดีมาก”
“ถ้าพี่เลิกทำอะไรที่มันเอาเปรียบคนอื่น” ฟ้าใสย้อนเสียงเรียบ
“ฟ้าใส!”
“พี่ยศทำได้มั้ยละ”
ทรงยศเบือนหน้าหนี
“ทุกวันนี้พี่ก็ไม่ได้เอาเปรียบใครนี่”
“ต้องให้ฟ้าพูดมั้ย ขนาดกับบ้านผึ้งเพื่อนฟ้าแท้ๆ พี่ยังไม่เว้น”
“ฟ้าจะไปไหนก็ไป แต่อย่าให้พี่เห็นว่าไปกับไอ้ภูฤทธิ์อีก ฟ้าก็รู้ว่าไอ้ภูฤทธิ์มันเลวขนาดไหนระเบิดฝายไอ้เทิด แล้วไปไว้ใจมันได้ยังไง”
ฟ้าใสเถียงแทน “ตำรวจยังหาหลักฐานไม่ได้ เราไม่ควรปรักปรำเขานะคะ”
ทรงยศยัวะ “ทำไมต้องปกป้องมัน นี่ฉันเตือนแกด้วยความหวังดีนะ นี่อย่าบอกนะว่าที่แกปกป้องมันเพราะ....แกชอบมัน”
ฟ้าใสหน้าเจื่อนที่พี่ชายจับได้
“ฟ้าบอกแล้วว่าไม่มีอะไร พี่ไปจับผิดคนอื่นเถอะค่ะ เพราะฟ้าไม่ได้ทำอะไรผิด”
ฟ้าใสทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินขึ้นบ้านไป ทรงยศมองตามอย่างไม่สบอารมณ์นัก
อ้อยกับทุกคนกลับมารวมกันที่บริเวณเต็นท์ที่พัก ทุกคนวิ่งเข้าไปหาอ้อย หลังรู้เรื่องร้ายในป่า
“อ้อย ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” น้ำผึ้งถามอย่างเป็นห่วง
อ้อยวางท่าเย่อหยิ่ง “ไม่เป็นอะไร แค่พวกขี้เมาแถวนี้”
แซมพูดขึ้นว่า
“ผมไล่พวกมันไปแล้ว ยังไงถ้าทุกคนจะออกไปนอกบริเวณอีกก็อย่าไปคนเดียว รอบๆ โดยเฉพาะคุณนันท์”
“มันเป็นพวกขี้เมาจริงเหรอลุงแซม” มาร์คถาม
“ผมก็ไม่ทราบ แต่ก็ดีแล้วที่นังอ้อยมันไม่เป็นอะไร”
อ้อยจ๋อย “วันหลังอ้อยจะระวังตัวกว่านี้ค่ะนาย”
“ไม่เป็นไร ผ่านไปแล้วก็แล้วไป ระวังตัวด้วยแล้วกัน”
ในขณะที่ทุกคนกำลังเครียด เสียงท้องใครคนหนึ่งก็ร้องดังขึ้น ทุกคนมองหาว่าเสียงใคร นันท์ชูมือขึ้นสารภาพ
“นันท์เอง นันท์หิวแล้ว”
ทุกคนหัวเราะเอ็นดูนันท์ บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น ชมพู่เดินถือถาดอาหารออกมา
“ถ้าตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว เรามาย่างเจ้านี่ด้วยกันนะคะ ชมพู่เตรียมไว้เยอะเลย”
ทุกคนหันไปทางชมพู่ เทิดพยักหน้า มาร์คเข้าไปช่วยชมพู่ถือถาดบาร์บีคิว
อ่านต่อหน้า 4
มนต์รักอสูร ตอนที่ 15 (ต่อ)
เย็นย่ำวันนั้น ทุกคนมารวมตัวล้อมรอบกองไฟกัน และทำอาหารกินด้วยกันอย่างสนุกสนาน เมนูเป็นพวกปิ้งย่างบาร์บีคิว ที่ชมพู่เตรียมมา รวมกับย่างปลาที่ตกมาได้
ชมพู่กับมาร์คช่วยกันเตรียมของ น้ำผึ้งเอาบาร์บีคิวไปย่าง นันท์วิ่งเข้ามาช่วยย่างด้วย
อ้อยหยิบบาร์บีคิวที่ย่างเสร็จแล้ว จะเดินเอาไปให้เทิด หอมวิ่งมาคว้าไปกินเอง อ้อยโมโหวิ่งไล่ตีหอม
แซมนั่งคุยกับเทิดตรงกองไฟ พออาหารถูกเตรียมเสร็จหมดทุกคนก็เข้ามารวมกันตรงกลางลาน
เวลาผ่านไป จนฟ้าเริ่มมืด บรรยากาศรอบข้างเงียบเชียบ มีแต่เสียงหรีดหริ่งเรไร แซมนั่งล้อมวง เริ่มเรื่องผีด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เคยได้ยินเรื่องตำนานผีเจ้าป่าเจ้าเขาไหม”
“ไม่เคยหรอกลุง” หอมบอก
“เจ้าป่าเจ้าเขายังไง เล่าซิ” อ้อยเร่ง
แซมมองไปรอบๆ “ทุกสถานที่ก็มีคนคุ้มครองดูแลอยู่ทั้งนั้น เหมือนบ้านก็มีเจ้าบ้านเจ้าเรือน ป่าก็เหมือนกัน อิทธิฤทธิ์ของเจ้าป่าเขาจะให้ทั้งคุณทั้งโทษแก่คนที่เข้ามาในอาณาเขตป่า”
ทุกคนมองไปที่แซมลุ้นๆ
“เวลาที่เราเข้าไปในป่า อย่าพวกพราน เขาจะเตือนว่าอย่าทำอะไรที่เป็นการลบหลู่ดูหมิ่นเจ้าป่าเจ้าเขาเด็ดขาด จะทำอะไรก็ต้องขออนุญาตก่อน จะทำโดยพลการไม่ได้”
แซมทำเสียงลึกลับประกอบการเล่า ทุกคนก็ยิ่งตั้งใจฟัง
“มีวันนึงฉันเคยไปตั้งแคมป์กับเพื่อน แล้วเพื่อนคนนึงเกิดพูดลบหลู่ท่านเข้า ตกดึกคืนนั้น นอนไปได้สักพัก เริ่มกึ่งหลับกึ่งตื่นก็ได้ยินเสียง…”
“เสียงอะไรอ่ะลุง” ชมพู่ถาม
“เหมือนมีคนมาเดินอยู่รอบเต้นท์ ฉันก็คิดว่าไม่มีอะไรเลยพยายามจะหลับ แต่ไอ้เสียงนั้นก็ไม่หายไปแถมสักพักเริ่มมีเงารางๆเหมือนคนมายืนรอบเต้นท์”
นันท์โผเข้ากอดเทิด มาร์ค กะ น้ำผึ้งเองก็ลุ้นตามไปด้วย
“เพื่อนมันนอนไม่รู้สึกตัว ฉันเลยควานหาไฟฉายจะส่องดูว่าไอ้นั่นมันคืออะไร แล้วเต้นท์มันก็เริ่มสั่น ทีนี้ล่ะหลับไม่ลง ก็ตัดสินใจเดินออกไปข้างนอกแล้วก็เจอ…”
อ้อย ชมพู่ และหอมกรี๊ด “อ๊าย”
แซมบอกต่อว่า “เป็นหมา
ทุกสายตามองมายังแซม แล้วต่างคนต่างชะงักไป แซมหัวเราะชอบใจ
“หมาเหรอครับ” มาร์คอึ้งๆ
“เออ ก็หมาน่ะสิ สรุปคืนนั้นฉันไล่มันออกไปก็นอนได้ ปกติ”
หอมเซ็ง “ปั้ดโธ่ อุตส่าห์ตั้งใจฟังมาตั้งนาน ที่แท้ หมา”
น้ำผึ้งหัวเราะ “เล่นซะพวกเราตกใจหมดเลยค่ะ”
“โอ๊ย ลุง รู้งี้ไม่ปล่อยให้เล่าหรอก” อ้อยหันมาทางหอม “อีพี่หอม”
“อะไรนังอ้อย”
“เปลี่ยนบรรยากาศซิ เอาไอ้อะไรนะ อุคาลีลี่อะไรนั่นอะ ที่มันคล้ายกีต้าร์จิ๋วๆมาเล่นหน่อย แบกมาไม่ใช่เหรอ”
“อูคูเลเล่โว้ย”
“นั่นแหละ ไปหยิบมา”
“จ้า จะทำตามบัญชาจ้ะแม่คุณทูนหัว”
หอมวิ่งจู๊ดกลับเข้าเต็นท์ไปหยิบอูคูเลเล่
น้ำผึ้งสังเกตเห็นว่านันท์นั่งกอดตัวเองท่าทีเหมือนหนาว
“คุณนันท์ หนาวเหรอคะ”
“นิดหน่อยครับครู”
“เดี๋ยวครูไปหยิบเสื้อกันหนาวให้เอาไหม”
“ก็ดีครับ ขอบคุณนะครับครู”
“งั้นรออยู่ตรงนี้นะคะ เดี๋ยวครูมา”
น้ำผึ้งกลับไปที่เต็นท์ เทิดลอบมองตามน้ำผึ้งไป
ระหว่างรอหอม มาร์คก็โชว์เล่นมายากลตลกๆ ให้นันท์ดูฆ่าเวลา นันท์หัวเราะชอบใจใหญ่
อ้อยโชว์เสียงและลีลาเพลงลูกทุ่ง ชมพู่ลุกขึ้นเต้นสะบัดไปมา ทุกคนปรบมือให้ เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน สักพักหอมก็เอาอูคูเลเล่าออกมา แล้วมานั่งรวมกลุ่มใหม่
“มาซะที เล่นเลยสิพี่หอม”
“ได้ จัดให้”
หอมเล่นอูคูเลเล่มั่วๆ เอามันอย่างเดียว จนนันท์ทนไม่ไหวโวยลั่น
“พี่หอมเลิกเล่นเลย ปวดแก้วหู เล่นไม่เป็นเอาให้คนอื่นเล่นเถอะนันท์ขอ”
หอมจ๋อยส่งให้แซมเล่น แต่แซมส่ายหน้าเล่นไม่เป็น
“แกเล่นไม่เป็นแล้วเอามาทำไมวะไอ้หอม”
“อยากเท่อ่ะลุง เข้าป่าต้องมีเครื่องดนตรีสิ”
“ถ้าพี่หอมเล่นไม่ได้ แล้วใครจะเล่นได้ล่ะครับ”
เทิดเดินเข้ามา ยื่นมือไปหาหอม
“ส่งมาเดี๋ยวฉันเล่นเอง”
ทุกคนมองหน้าเทิด แปลกใจสุดๆ
หอมสงสัย “นายจะเล่นจริงๆ เหรอครับ”
“บอกให้ส่งมา”
หอมรีบส่งให้โดยไว
เทิดเล่นอูคูเลเล่อยู่ที่กองไฟดูเท่ห์และอบอุ่นสุดๆ /อ้อยยิ้มปลื้มมาก
น้ำผึ้งออกมาจากเต็นท์พอดี มองไปเห็นเทิดเล่นอุคูเลเล่ ทั้งแปลกใจทั้งดีใจ
น้ำผึ้งยืนฟังเพลงยิ้มๆ อยู่มุมหนึ่ง เทิดหันมาเห็นน้ำผึ้งร้องเพลงต่อไปเรื่อยๆ
ทุกคนที่ได้ฟังต่างเคลิ้มตามเทิดไปด้วย บรรยากาศชื่นมื่น
น้ำผึ้งห่มผ้าให้นันท์ที่นอนอยู่ในเต็นท์ นันท์หลับไปแล้วเพราะเพลียจากกิจกรรมที่ทำมาวันนี้
น้ำผึ้งยิ้มมองเอ็นดูนันท์
“ฝันดีนะคะคุณนันท์”
น้ำผึ้งจัดของนันท์เข้าที่ แล้วออกมา เจอเทิดยืนอยู่หน้าเต็นท์
“นันท์หลับแล้วใช่ไหม”
“หลับแล้วค่ะ”
“เธอเองก็ไปนอนได้แล้ว”
“ฉันคงอีกสักพักค่ะ” น้ำผึ้งมองหารอบๆ เต็นท์ “แล้วนี่พวกอ้อย หอมไปไหนกันเหรอคะ”
“พวกนั้นเห็นว่าจะไปดูดาว ลุงแซมพาไป”
น้ำผึ้งแหงนมองไปบนท้องฟ้า
“ดูดาว? แต่ฉันดูแล้วไม่เห็นจะมีดาวเลยนี่คะ”
“ทำไมจะไม่มี เธอไม่เห็นเองมากกว่า”
เทิดเดินไปตรงมุมแถวสวิตซ์ไฟที่ติดไว้รอบๆ แคมป์ จัดการปิดไฟจนหมด ซึ่งพอไฟดับทำให้มองเห็นท้องฟ้าข้างบนชัดขึ้น เทิดเดินกลับมา
“นี่ไง ดาวที่เธอว่า”
น้ำผึ้งมองอย่างตกตะลึง
“สวยจังเลยค่ะ”
เทิดมองน้ำผึ้ง ท่าทางลังเล สุดท้ายก็พูดออกมาว่า
“เธออยากดูดาวไหม”
“ดูดาวเหรอคะ”
น้ำผึ้งนิ่งคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าตกลง
แซมพาทุกคนมาดูดาวอยู่อีกมุมหนึ่งของลานดูดาว มาร์คถ่ายเซลฟี่กะอุปกรณ์ดูดาวส่งแชทไลน์ไปหาใครบางคน ยิ้มๆ หอมลอบมอง แต่พอมาร์คมองมาเห็นก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ด้านอ้อยสัปหงกเหมือนจะหลับแหล่มิหลับแหล่ เอนหัวพิงชมพู่ไป
แซมยืนอธิบายเรื่องดวงดาวบนท้องฟ้าคืนนี้
หอมขอตัวเดินออกมาฉี่ไม่ไกลนัก แต่พอก้มมองไปยังพื้น ก็เห็นก้นบุหรี่ถูกทิ้งเกลื่อนพื้นที่จะฉี่ หอมแปลกใจปนคาใจ
“นี่มัน”
เวลานั้นน้ำผึ้งใช้กล้องของเทิดส่องดูดาวบนท้องฟ้าอยู่ เทิดเดินเข้ามายืนมอง น้ำผึ้งแนบตาดูดาวไปคุยกับเทิดไป
“สวยจังเลยนะคะ ไม่ได้ดูดาวแบบนี้มานานมาก ตอนเด็กๆ ก่อนนอนพ่อฉันจะสอนฉันดูดาวจนผึ้งหลับแล้วพ่อก็อุ้มผึ้งไปนอน”
น้ำผึ้งหยุดพูดเหมือนเห็นอะไรบางอย่างที่ท้องฟ้า ครูสาวทำท่าตื่นเต้น
“งั้นแสดงว่าคงมีความรู้อยู่พอตัว”
น้ำผึ้งพนักหน้ารับ
“มีสิคะ ฉันเป็นครูนะคะ ถ้าไม่รู้อะไรเลยจะสอนเด็กได้ยังไง”
“ก็เห็นไม่เคยจะสอนอะไรได้เรื่องสักอย่าง”
น้ำผึ้งหน้าเสีย “ฉันพยายามที่สุดแล้วนะคะ หรือคุณจะทวงบุญคุณเรื่องเงินอีก ถ้าเรื่องนั้น...”
เทิดตัดบท แค่แซวเล่นเพราะชินปากกับการเหน็บแนม ไม่ได้ตั้งใจจะด่าว่า “พอได้แล้ว ฉันพาทุกคนมาเที่ยวไม่ได้จะให้มาทะเลาะกันที่นี่”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
เทิดมองน้ำผึ้ง ยิ้มในสีหน้าแว่บหนึ่ง ก่อนจะเก๊กขรึมตามฟอร์ม
“เอางี้ดีกว่า ถ้ามั่นใจว่าตัวเองเก่ง ลองทดสอบความรู้เกี่ยวกับดวงดาวหน่อยไหมล่ะ”
น้ำผึ้งนึกสนุก “เอาสิคะ”
เทิดชี้ไปที่ดาวกลุ่มหนึ่ง
“อันนั้นดาวอะไร”
“ดาวลูกไก่”
เทิดชี้อีกดวง “อันนั้นละ”
“แมงป่อง ใช่มั้ยคะ”
เทิดพยักหน้ารับ แล้วชี้ถามต่อ
“แล้วนั่นละ”
“อันนี้ฉันรู้ค่ะชัดมาก ดาวสิงโต”
“เก่งนี่”
น้ำผึ้งยิ้มรับ “งั้นฉันขอถามคุณเทิดบ้างนะคะ”
น้ำผึ้งมองไปบนท้องฟ้า
“เอาเป็นดวงนั้นละกัน”
“ไหนดวงไหน”
“นั่นไงคะที่อยู่ห่างออกไปจากดาวฤกษ์ประมาณสามกลุ่มน่ะค่ะ”
“ไหน ฉันไม่เห็นเลย อยู่ฝั่งเดียวกับดาวนายพรานรึเปล่า”
“โน่นค่ะอยู่ ใกล้ๆ กับคนยิงธนู”
น้ำผึ้งขยับเข้าไปชี้ตรงใกล้ๆ เทิด ทำให้ใบหน้าใกล้กันโดยไม่รู้ตัว
“เธอเนี่ยแค่ชี้ยังชี้ไม่ถูกเลย”
เทิดหันหน้ามาทางน้ำผึ้ง ในขณะที่น้ำผึ้งก็หันหน้ามาจะเถียงเทิด สองคนจ้องหน้ากันจังๆ สุดท้ายน้ำผึ้งเป็นเขินหลบตาวูบ แล้วเดินหนี
“ฉันว่าเราไปนอนดีกว่าค่ะ ดึกมากแล้ว”
น้ำผึ้งก็เดินออกไป
ขณะที่แซมกำลังจะกลับเข้าเต็นท์ หอมวิ่งเข้ามาหาปรารภกับแซมขึ้นว่า
“นี่ลุง ลุงว่าไอ้พวกขี้เมาที่มันทำร้ายนังอ้อยหนีไปแล้วจริงเหรอ”
“จริงสิ ทำไม แกไปเห็นอะไรมาไอ้หอม”
หอมลดเสียงเบาลง “เมื่อกี้ฉันเจอก้นบุหรี่ตกอยู่ ไม่รู้เป็นของใคร ฉันกลัวว่ามันจะไม่ได้ไปจริงๆ น่ะสิ”
แซมชักเริ่มเครียด “ยังไงคืนนี้ระวังกันหน่อยแล้วกัน ยังไงกลับไปที่เต็นท์ก่อน”
หอมพยักหน้า แซมหน้าเครียด
ตกดึกคืนนั้น ในตอนที่ทุกคนหลับใหลกันหมดแล้ว แซมเดินออกมานั่งตรงกองไฟคนเดียว คิดกังวลเรื่องที่หอมพูด ชายชราพยายามไม่คิดมากลุกขึ้นจะกลับไปที่เต็นท์ แต่แล้วได้ยินเสียงเหมือนคนเคลื่อนไหวรอบๆ เต็นท์
“ใครน่ะ”
แซมเดินไปสำรวจดูรอบๆ แต่ไม่เห็นใครจึงเดินกลับมาตรงกองไฟอีก แล้วนึกเอะใจ มุดเข้าไปดูในเต็นท์นันท์
“คุณนันท์”
แซมตกใจมากเมื่อพบว่านันท์หายตัวไปจากเต็นท์ รีบออกจากเต็นท์ตั้งใจจะไปบอกเทิด แต่มีเสียงคนเดินย่องมาทางด้านหลังอีกครั้ง
แซมชะงักหันกลับไปแต่ไม่มีโอกาสได้ตอบโต้ เพราะโดนฟาดอย่างแรงจนสลบเหมือดคาที่
อ่านต่อตอนที่ 16