สะใภ้จ้าว ตอนที่ 3
กิตติราชนรินทร์ดับเครื่องรถ ก่อนจะหันมาหาเทพีเพ็ญแสงที่ดูคล้ายเปล่งแสงจากตัวได้
“วันนี้ไม่ทานร้านเดิมล่ะคะ”
ชายรองส่ายหน้า “ไม่ล่ะครับ ไม่อยากเจอยายเด็กกะโปโลคนนึง เถียงคำไม่ตกฟาก น่ารำคาญ”
จังหวะที่ผมปอยหนึ่งของเขาตกมาปรกหน้าผาก เทพีเพ็ญแสงจึงเอื้อมมือมาปัดผมให้เข้าที่ ส่งให้แสงพลอยหัวแหวนวูบวับ
“หญิงใส่แหวนวงนี้ ทุกวันเลยเหรอครับ”
“ทำไมถามอย่างนั้นคะ หญิงแทบไม่เคยถอดแหวนวงนี้ออกจากนิ้วต่างหาก”
“ทั้งๆ ที่แหวนวงอื่นของหญิง ราคามากกว่านี้เป็นสิบเท่า”
เทพียิ้มหวานหยาดเยิ้ม “ของที่คุณรองให้หญิง ค่ามากกว่าสิ่งใดค่ะ”
“แต่แปลก วันก่อนๆ ที่ผมพาหญิงไปทานข้าวที่สยาม ไม่ยักเห็นหญิงใส่แหวนวงนี้”
“อ๋อ หัวแหวนมันคลอน หญิงเอาไปให้ช่างดูน่ะค่ะ”
เทพีพูดปดอย่างไม่มีพิรุธใดๆ กิตติราชนรินทรน์ยิ่งซาบซึ้ง เอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่าย
“ขอบคุณหญิง ขอบคุณ”
พูดพลางยกมือเทพีเพ็ญขึ้นจูบ ขณะเดียวกัน สาลินกำลังนั่งยองๆ ดูป้ายทะเบียนรถ เทียบกับที่จดไว้ในสมุดเล่มเล็ก พลันสีหน้าก็เคร่งเครียด ก่อนจะผุดลุกขึ้น
“ฮึ ใช่จริงๆ”
ชายรองลดมือเทพีเพ็ญแสงลง ฝ่ายหลังมองอย่างยวนยั่ว ฝ่ายแรกค่อยๆ โน้มตัวไปใกล้ แล้วจูบที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบา
สาลินที่มองเข้าไปในรถ เห็นภาพนั้นพอดี ก็ถึงกับตกใจ ทำตาโตเท่าไข่ห่าน
เมื่อกิตติราชนรินทร์ถอนริมฝีปากออก แล้วจูบเรือนผมของเทพีเพ็ญแสง พร้อมกับที่ดวงตาทอดมาด้านหลังรถ สาลินตกใจรีบนั่งยองๆ พรวดลงไป
เทพีเพ็ญแสงผลักกิตติราชนรินทร์ออกเบาๆ ดวงตาวาววาม
“คุณรองน่ะ ชุดหญิงยับหมด ลงไปเถอะค่ะ”
“ครับ”
สาลินที่นั่งยองๆ หลบอยู่หลังรถ พอได้ยินเสียงปิดประตูรถ และเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป ก็ถอนใจ ลุกขึ้น มองซ้ำเข้าไปในรถ ครั้นเห็นว่าในรถว่างเปล่าก็ถอนใจเฮือก ดึงเสื้อ ปัดกระโปรง แล้วขยับถอย บังเอิญเผลอไปชนอะไรอย่างหนึ่งเข้าอย่างจัง
“ว้าย”
พอหมุนตัวขวับมาดู ก็พบว่ากิตติราชนรินทร์ยืนอยู่ตรงหน้าในระยะประชิด ทำเอาเธอถึงกับผงะ กระทั่ง ถูกอีกฝ่ายคว้าข้อมือไว้ พลางมองอย่างเอาเรื่อง เธอถึงกับอ้าปากค้าง
“คุณ”
สาลินสะบัดมือ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย ครั้นสะบัดอีกครั้ง อีกฝ่ายก็แกล้งปล่อยมือ จนเธอเกือบหัวทิ่ม
“นี่เธอทำอะไร”
สาลินรีบแก้ตัว “ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณน่ะซีทำอะไร”
“ฉันน่ะนะ ฉันทำอะไร”
“คุณกอดจูบผู้หญิงอยู่ริมถนน”
กิตติราชนรินทร์ทำหน้านิ่ง “นี่มันรถส่วนตัวของฉัน ถ้าเธอไม่โก้งโค้งมาสอดตาดู ก็คงไม่เห็น”
“แต่นี่มันถนนสาธารณะ คนผ่านไปผ่านมาเป็นร้อย ถึงไม่สอดตาดูก็ต้องเห็น”
กิตติราชนรินทร์มองดูสาลินตั้งแต่หัวจรดเท้า ฝ่ายถูกมองคอแข็งขึ้นมาทันที
“ยังเด็กยังเล็กแต่เถียงคำไม่ตกฟาก นี่หนีโรงเรียนมาเที่ยวใช่ไหมนี้ แล้วยังมาถ้ำมองคนอีก ไม่มีมารยาท”
“ฉันไม่ใช่เด็กนักเรียน แล้วที่ไม่มีมารยาทนั่นคือคุณ“
“ฉันน่ะนะ ฉันไม่มีมารยาทยังไง” ชายรองย้อนกลับ
“ก็คุณมาเล่นหนังสด กลางวันแสกๆ อย่างงี้”
“อ้อ แต่มาก้มๆ เงยๆ ดู”
“ฉันไม่ได้ก้มๆ เงยๆ ดูคุณ แต่ฉันมาก้มๆ เงยๆ ดูรถคุณ”
กิตติราชนรินทร์ทำหน้างง “ดูรถฉัน ทำไม”
“ก็ดูทะเบียนรถคุณ ว่าใช่รถคันที่คนขับไม่มีมารยาท ขับรถฉีดน้ำโคลนมาใส่ฉัน เปียกไปหมดทั้งตัว”
สาลินลอยหน้าลอยตาพูดฉอดๆ กิตติราชนรินทร์ขมวดคิ้วมอง
“อ้อ แล้วใช่ไหมล่ะ”
“ก็ใช่น่ะซิ แล้วไม่ใช่หนเดียวนะ คุณขับรถฉีดน้ำโคลนใส่ฉันมา 2 หนแล้ว”
“ไหนบอกมาซิ ฉันไปขับรถจนโคลนเปียกเธอตั้งแต่เมื่อไร”
สาลินกางสมุดบันทึกเล่มเล็กออก
“ครั้งแรก เมื่อ 13 มิถุนายนปีก่อน ครั้งที่ 2 เมื่อ 20 กันยายน หลายเดือนก่อนเหมือนกัน ฉันจดไว้ถี่ถ้วน ดูซะ”
กิตติราชนรินทร์รับสมุดมาดูแล้วอึ้งไป เริ่มสองจิตสองใจ แต่ยังไม่ปักใจเชื่อทีเดียว
“อ้อ น่าเชื่อจริงนะ มีจดเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย”
“นี่คุณไม่เชื่อฉัน ว่าแต่ว่า 2 วัน คุณมาแถวนี้หรือเปล่า”
“ฉันเองก็เป็นคนจดบันทึกเหมือนกัน ฉันจะกลับไปดูบันทึกฉัน ว่า 2 วันนั้น ฉันมาแถวนี้หรือเปล่า”
สาลินเชิดหน้า “แล้วยังไง”
“ถ้า 2 วันนั้น ฉันมาแถวนี้จริง ฉันจะถือว่าฉันผิดจริงตามที่เธอกล่าวหา แล้วเธอต้องการให้ฉันทำอะไร”
“ถ้าคุณผิด คุณต้องขอโทษฉัน”
ชายรองส่ายหน้า “ไม่จำเป็นมั้ง”
“อ้อ คุณชายผู้ดีอย่างคุณขอโทษใครไม่เป็น”
“เปล่า แต่เพราะเธอก็ทำกางเกงฉันเปียกมา 2 หนแล้วเหมือนกัน ถือว่าหายกัน”
ชายรองยิ้มกริ่ม สาลินสะบัดหน้าพรืด เข้าร้านไป ฝ่ายแรกขมวดคิ้วมองตาม
“หา มากินที่นี่เหรอ อุตส่าห์หนีแล้วนะเนี่ย”
เทพีเพ็ญแสงนั่งรออยู่ในค็อฟฟี่ช้อป สีหน้าไม่พอใจ พอชายรองเดินเข้านั่งลง ก็พูดเหน็บด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ทำอะไรอยู่คะคุณรอง”
“ขอโทษทีหญิง เจอยายเด็กกะโปโลคนเดิมอีกแล้ว”
“ค่ะ เดี๋ยวรับประทานข้าวกลางวันแล้ว จะไปไหนกันต่อดีคะ”
กิตติราชนรินทร์รีบบอก “หญิง เดี๋ยวผมต้องกลับไปทำงานนะครับ”
เทพีเพ็ญแสงชะงัก แล้วยิ้มเย็นชา “อ้อ หญิงลืมไปค่ะ ว่าสำหรับคุณรอง “งาน” สำคัญกว่าสิ่งอื่นๆ ทั้งหมด”
“โธ่ หญิง”
“โธ่ คุณรอง หญิงไม่ได้ว่าอะไรคุณรองสักหน่อย ล้อเล่นน่ะค่ะ”
กิตติราชนรินทร์ยิ้มโล่งอก มองอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
“เอาอย่างนี้ เดี๋ยวผมจะพาหญิงไปดูร้านผ้าไหมที่ผมเข้าหุ้นกับนายศุภร แล้วจะฝากให้นายศุภรเทคแคร์หญิง แถวนั้นมีห้างให้หญิงช้อปปิ้งฆ่าเวลาด้วย แล้วพอผมเลิกงานผมจะมารับหญิง”
“ไม่เป็นการรบกวนเกินไปหรือคะ”
“โธ่หญิง ตกลงตามนี้นะครับ”
เทพีเพ็ญแสงยิ้มอย่างพึงใจ
สาลินกับจิตริณีเติมแป้งอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ
“เติมสีปากนิดนึงดีไหมคะ”
จิตริณีไม่รอให้สาลินอนุญาต รีบหมุนลิปสติกสีสวยมาวาดเติมให้
“เสร็จแล้วค่ะ”
“อุ๊ย สวยจัง”
สาลินมองดูกระจก แล้ววางท่านางแบบทำปากเจ่อ แต่พอเห็นเงาสะท้อนด้านหลังที่มองมาอย่างสมเพช ก็สะดุ้งเฮือกรีบทำหน้าปรกติ
เทพีเพ็ญแสง ปรายตาจากสาลินไปที่จิตริณีแล้วก็ชะงัก
“อ้าว คุณหญิง สวัสดีค่ะ”
เทพีเพ็ญแสงทำหน้างง “อืมม์ เรารู้จักกันเหรอคะ”
“ฉันเป็นเพื่อนอัศนีย์กับวิรงรองค่ะ เราเคยเจอในผับครั้งนึง”
“ครั้งไหนเหรอคะ”
จิตริณีพูดหน้าตาเฉย “ครั้งที่คุณชายกิตติมาตามคุณสิคะ”
“เหรอคะ ขอตัวก่อนนะ”
เทพีเพ็ญแสงทำน้ำเสียงเย็นชา แล้วรีบเดินไปยังห้องน้ำส่วนใน สาลินมองตามอย่างทึ่ง
“โอ้โฮ สวยจัง เหมือนก้าวออกมาจากแมกกาซีน”
“เพื่อนของเพื่อนอีกทีน่ะค่ะ”
จิตริณียิ้มมีแววคล้ายเยาะนิดๆ
ลลิตาที่นั่งอยู่กับบราลีอีกมุมหนึ่งของค็อฟฟี่ช้อป จิ้มสเต็กชิ้นสุดท้ายเข้าปาก
“โอ๊ย อิ่ม”
“อุ๊ยตาย เธอพูดคำนี้เป็นด้วยหรือ”
ลลิตาค้อนขวับ พร้อมกับที่สาลินกลับมานั่งที่
“เรียกคิดเงินเถอะ บ่ายโมงแล้ว”
สาลินหันไปมองหาบริกร พลางสายตาเหลือบเห็นกิตติราชนิรนทร์เดินเคียงคู่มากับเทพีเพ็ญแสง บราลี ลลิตามองตามเป็นตาเดียว ก่อนจะรีบยกเมนูขึ้นมาปิดหน้า
จิตริณีเดินกลับมาจากห้องน้ำ เผชิญหน้ากับกิตติราชนรินทร์และเทพีเข้าพอดี แล้วก็ถึงกับชะงัก เพราะไม่คิดว่าเทพีเพ็ญแสงจะกลับมาควงชายรองอีกครั้ง พลางยิ้มให้นิดหนึ่งก่อนจะกลับมาที่โต๊ะ
เทพีคิดอะไรบางอย่างออก แล้วทำน้ำเสียงอ้อน
“คุณรองขา หญิงเปลี่ยนใจแล้วล่ะ เดี๋ยวแวะไปส่งหญิงที่ออฟฟิศยายวิรงรองดีกว่า”
“ไม่ช้อปปิ้งแล้วเหรอครับ”
“ไม่แล้วค่ะ”
เทพีเพ็ญแสงปรายตามองมาที่จิตริณี แล้วควงชายรองออกไป
ลลิตามองตาม แล้วทำเสียงตื่นเต้น “ว้าย คุณหญิงก้อย”
บราลีรีบถาม “ ยายเทพี เทโพ หล่อนมากับใครน่ะ ผัวหรือเปล่า”
จิตริณีส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอกค่ะ มากับคนอื่น”
สาลินมองจิตริณี แล้วรีบบอก “ มากับอีตาคุณชายขี้เก๊กไงล่ะ”
“หา นั่นคือคุณชายขี้เก๊กของเธอเหรอ” ลลิตาย้อนถาม
“ใช่ ตานี่แหละ นอกจากขี้เก๊กแล้วยังบ้ากาม ฟัดกันในรถกลางวันแสกๆ”
จิตริณี บราลี ลลิตา ทำตาโต
บราลีอยากรู้ขึ้นมาทันที “หือ ใครฟัดกะใคร”
“ช่างมันเถอะ คุณหญิงเทโพอะไรนี่ เขามีสามีแล้วหรือคะคุณจิต”
จิตริณียังไม่ทันจะตอบ ลลิตาก็พูดแทรกขึ้นก่อน
“วุ๊ย ไปอยู่หลังเขาที่ไหนมาน่ะ ที่ฉันพูดถึงอยู่บ่อยๆ ไง”
บราลีพนักหน้ารับ “อ๋อ พระญาติ หรือพยาธิของหล่อน”
ลลิตาค้อนขวับ “สามีคุณหญิงก้อย เป็นอภิมหาเศรษฐี ชื่อ อัศนีย์ เถลิงการ”
จิตริณีมองตามสายตาครุ่นคิด สาลินคิดตาม พลางทำหน้าขยะแขยง
“ต๊าย งั้น นอกจากขี้เก๊ก บ้ากาม อีตานี่ยังเป็นชู้กับเมียชาวบ้านด้วยน่ะซี อี๋”
เทพีเพ็ญแสงถือถ้วยกาแฟเดินนำวิรงรองเข้าห้องทำงาน
“หญิงดูมีความสุขจัง”
เทพีเพ็ญแสงยิ้มแป้น “ฉันก็มีความสุขจริงๆ นี่ติ่ง”
“แล้วเรื่องนายอัศนีย์นี่ยังไง มีทางกลับมาคืนดีกันไหม”
เทพีเพ็ญแสงเบ้ปาก “ให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกก่อนก็แล้วกัน”
“ไม่อยากจะเชื่อเลย เธอทิ้งทายาทมหาเศษรฐีอันดับหนึ่งของเมืองไทย”
เทพีเพ็ญแสงยิ้มเยาะ “ก็แค่พวกนูโวริช เศรษฐีใหม่ มีแต่เงิน ไม่มีชาติ ไม่มีตระกูล คนอย่างฉัน ถ้าจะมีใหม่ก็ต้องดีกว่าเดิม”
“กับคุณชายรองงั้นซี” วิรงรองย้อนถาม
“ถ้าไม่นับเรื่องเงิน คุณรองเหนือกว่านายอัศนีย์ทุกอย่าง แล้วต่อให้นับเรื่องเงินก็ไม่แน่ว่าจะด้อยกว่า”
“จริงด้วย ยิ่งคุณชายรองเป็นหลานคนโปรดของเสด็จพระองค์หญิงด้วย”
เทพีเพ็ญแสงหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ
“เออ ติ่ง เมื่อกี้ฉันเจอเพื่อนนายอัศนีย์ ที่ชื่ออะไรนะ เธอก็รู้จัก สนิทกับนายอัศนีย์มาก”
“อ๋อ ยายจิตริณี”
“นั่นแหละ ฉันว่าป่านนี้คงโทร. ไปรายงานอัศนีย์ที่อเมริกาแล้วละว่าฉันกลับไปควงคุณรอง”
วิรงรองถามต่อ “แล้วทำไมเหรอ”
“ฉันว่าถึงเวลาแล้วน่ะซี ที่ต้องประกาศสถานะโสดของฉันอย่างเป็นทางการแล้ว”
เทพีเพ็ญแสงพูดเข้าประเด็น วิรงรองมองแล้วยิ้มกว้าง ก่อนจะปรบมือเป็นสัญญาณ อึดใจเดียวเลื่อมประภัส กับฉัตรอาชาก็เดินเข้ามา
“จะพาดหัวข่าวว่ายังไงดี”
ฉัตรอาชาถามขึ้นมา เลื่อมประภัสรีบพูดแทรก
“คุณหญิงเทพีเพ็ญแสงหย่าขาดกับสามีอัศนีย์ เถลิงการเรียบร้อยแล้ว”
วิรงรองพูดต่อ “หันไปคืนดีกับคนรักเก่า หม่อมราชวงศ์กิตติราชนรินทร์ วุฒิวงศ์”
ฉัตรอาชาช่วยเสริม “ถึงกับไปดูแฟชั่นโชว์ที่ห้องเสื้อระพีพัฒน์ กุมมือกันแนบแน่น”
เลื่อมประภัสต่ออีก “ที่หัวหินมีคนเห็นมิดไนท์คิสกลางฟูลมูนปาร์ตี้”
“นี่พวกเธอตามข่าวฉันตลอดเลยเหรอ” เทพีย้อนถาม
ทั้ง 3 คนยิ้มเรี่ยราด
กิตติราชนรินทร์ที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่บ้านแล้ว เปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานหาอะไรอย่างหนึ่งแต่ไม่เจอ จังหวะนั้นชายเล็กที่แต่งตัวแบบจะไปเที่ยวกลางคืนโผล่มาพอดี
“พี่รอง ไงฮะ”
กิตติราชนรินทร์มองหน้าน้องชาย “ไงฮะ เรื่องอะไร”
“เรื่องหญิงก้อยน่ะซิครับ ตกลงถ่านไฟเก่ามันคุเสียงดังฉี่ฉ่าเลยใช่ไหมครับ”
“ทำนองนั้น”
“อยากรู้จัง หญิงก้อยอ้างเหตุผลอะไร ถึงทำให้พี่ชายใจอ่อน อภัยให้หญิงก้อยทั้งหมด”
กิตติราชนรินทร์ยิ้มกว้าง “มันเป็นความเข้าใจผิดที่ฉันพร้อมจะให้อภัย เพราะที่สุดแล้วหญิงก้อยยังรักฉันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง บทเรียนนี้ทำให้หญิงก้อยรักฉันมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ”
“ระวังนะครับ เด็จป้าจะกริ้ว และไม่ประทานอภัยพี่อีกเลย เพราะพี่รับปากกับเด็จป้าแล้ว เรื่อง
คู่หมาย”
กิตติราชนรินทร์ถึงกับอึ้งไป จนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ถอนใจ พยายามตัดความคิดออกไป แล้วเดินมาเปิดตู้หนังสือ หาของต่อ
“แล้วนี่พี่รองหาอะไรอยู่ฮะ”
“หาไดอารี่ปีก่อน จะมาเช็คดูหน่อย”
บดินทรราชทรงพลเลิกคิ้ว สงสัย “เช็คอะไรเหรอครับ”
“ไม่มีอะไร วันนี้มียายเด็กกะโปโลมาว่าฉันเป็นอันธพาลไม่มีมารยาท เด็กอะไรอวดดีจริงๆ”
พูดพลางหันไปหาไดอารี่ต่อ บดินทรราชทรงพลเกาหัวแกร็กๆ
ศรีจิตรานุ่งกระโจมอก ให้คุณสร้อยกับอุ่นเรือนช่วยกันขัดผิว ขณะที่ยายพิศ กำไลและสาวใช้อีกคนวิ่งวุ่นเช่นเคย
คุณสร้อยเอาส้มมะขามทั้งปั้นชุบน้ำ ขัดถูตามศอก หลัง ไหล่จนศรีจิตราหัวสั่นหัวคลอน“อุ๊ย คุณป้าขา แสบจัง”
“อ้าว อาบมาตั้งหลายหนแล้วจะแสบอะไรนักหนา กะอีแค่ส้มมะขาม”
ศรีจิตรายิ้มแหยๆ ยายพิศกับกำไลทำหน้าเจ็บแทน
“ต้องใช้ทุกครั้งเลยเหรอคะคุณป้า ทั้งส้มมะขาม ทั้งขมิ้น”
“ทุกครั้งจ้ะ ส้มมะขามน่ะช่วยลอกคราบไคลด่างดำ ส่วนขมิ้นทำให้ผิวเนียนเปล่งปลั่ง เอ๊ะนี่ สมุนไพรไปถึงไหนแล้ว นังพิศ”
ยายพิศรีบตอบ “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ เกือบเดือดแล้วเจ้าค่ะ”
“สมุนไพรอะไรคะ คุณป้า”
อุ่นเรือนหันมาตอบลูกสาว “สมุนไพรสำหรับให้หนูเข้ากระโจมน่ะซิ เพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง”
ยายพิศช่วยเสริม “ดีนะคะ คุณศรี เข้ากระโจมแล้วจะขับโรคขับพิษออกมากับเหงื่อ ผิวพรรณจะ
ผ่องใสเป็นน้ำเป็นนวล ขับน้ำคาวปลามดลูก”
คุณสร้อยเบิกตาโพลง “ว้าย นังพิศ พูดมากปากพล่อย หลานฉันเป็นสาวแส้แร่รวยสวยสะอาด”
ยายพิศยิ้มแหะๆ “แหม อิฉันมันพูดเพลินไปนิดค่ะ”
“เอ้า พอ เดี๋ยวล้างตัวเสร็จก็ลงขมิ้น แม่อุ่นเรือนเอาขมิ้นมา”
อุ่นเรือนเอาชามขมิ้นเข้าไปให้ คุณสร้อยรีบจับแขนศรีจิตราขึ้นมาดู
“เห็นไหม ทำแค่ไม่กี่ครั้ง ผิวก็เหลืองละออองค์แล้ว ไม่อย่างงั้นก็ซีดๆ เซียวๆ เป็นผิวอาซิ่มอาซ้อ”
อุ่นเรือนทำหน้านิ่ง เพราะชิน ศรีจิตราสบตาแม่ คุณสร้อยพูดต่อ
“ฉันจะชุบตัวให้หล่อน ให้งามไม่มีที่ติ ให้คุณชายวังโน้นเจอหล่อนเข้า เป็นต้องตะลึงจังงังไปเลย”
หนึ่งเดือนต่อมา
ขณะเสด็จ กับคุณสอางค์ เดินย่อยอาหารอยู่ในสวน มีมาลา วรรณาเดินตามมาด้วย
“สวนนี่ดูแห้งแล้งจริง หาไม้ดอกมาลงเพิ่มน่าจะดี”
เสด็จหันมาตรัสกับคุณสอางค์
“เพคะ”
พลันก็มีเสียงเด็กร้องดังแว่วมาจากทางตำหนักเล็ก
“เอ๊ะ เสียงแมวที่ไหน”
คุณสอางค์มองค้อนไปทางต้นเสียง “เสียงแมวที่ไหนกันเพคะ เสียงนัดดาเสด็จต่างหาก”
เสด็จตกพระทัย “หา ลูกชายโตหรือ ตั้งแต่เมื่อไร ผู้หญิงหรือผู้ชาย ตั้งชื่อหรือยัง”
“จะครบเดือนแล้วเพคะ”
มาลารีบบอก “ผู้ชายเพคะ”
วรรณาบอกต่อ “ยังไม่ได้ตั้งชื่อเพคะ แต่แม่เด็กเรียกว่าตาตุ้มเพคะ”
เสด็จทำพักตร์เคร่งเครียด ”เออดีวังนี้ หมาแมวออกลูก ป่าวประกาศกันทั่ว แต่นี่ลูกคนแท้ๆ กลับมาทำงุบงิบ ปิดความ”
คุณสอางค์หน้าเจื่อน “ก็ไม่อยากให้ระคายพระทัยน่ะเพคะ”
“จะชั่วดีถี่ห่างยังไงมันก็หลาน ฉันไม่อยากจะมารังเกียจเดียจฉันท์อะไร”
“แปลว่าเสด็จ จะรับเด็กเป็นนัดดา รับนัง...รับแม่เป็นสะใภ้หรือเพคะ”
เสด็จถอนใจ “รับหรือไม่รับมันก็ไม่ต่างกันหรอก แต่ฉันดูแล้วนังจรวยนี่หูตามันเอาเรื่อง ต้องคอยดูอย่าให้มันแผลงฤทธิ์อะไรได้อีก”
คุณสอางค์ มาลา วรรณาหันมาพยักเพยิดกัน ก่อนที่ฝ่ายแรกจะพูดขึ้นมา
“ตรัสเหมือนใจหม่อมฉันเพคะ”
เสด็จรีบตัดบท “แต่ยังไงก็อย่าไปยุ่งมาก มันเรื่องตำหนักโน้น ให้แม่อำพันจัดการเองจะดีกว่า”
คุณสอางค์ทำหน้าเบ้ “อู๊ย คงได้หรอกเพคะ เอียงกระเท่เร่แบบนั้น”
“อ้าว ทำไมอีกล่ะ”
“ก็เกลียดตัวกินไข่น่ะซีเพคะ”
มาลารีบเสริม “หม่อมน่ะ เห่อหลานชายเพคะ เอามาโอ้ละเห่ทั้งวันเพคะ”
วรรณาพูดต่อ “แต่กับแม่สะใภ้ใหญ่นี่ เป็นขมิ้นกับปูนเลยเพคะ”
เสด็จส่ายพระพักตร์ “นี่พอ แหม นังพวกนี้ ข้าบอกแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับเขา อะไร้ รู้แจ้งเห็นกระจ่างไปหมด ถ้ารู้มากนัก ข้าจะได้ส่งไปเป็นข้าหลวงตำหนักโน้นเอาไหม”
มาลา วรรณาหน้าเซียว คุณสอางค์เยิ้มแหยๆ เพราะโดนหางเลขไปด้วย
กำไลพาสาลินที่เดินถือถุงหนังสือเข้ามา พลางยกมือไหว้แม่กับพี่สาว อุ่นเรือนกับศรีจิตราทำสัญญาณให้เข้ามานั่งเงียบๆ
สาลินกับกำไลค่อยๆ ลงนั่ง ทุกคนมองไปยังจุดเดียว เห็นศรีจิตราตัวเหลืองละออองค์ ขณะที่คุณสร้อยอยู่บนตั่งเอนพิงหมอนขวาน ในมือมีขมิ้นเหลืองหุ้มมืออยู่ ใบหน้าแหงนเงย ดวงตาปิดสนิท ส่งเสียงกรนเบาๆ
สาลินมีท่าทางรื่นรมย์เป็นยิ่งนัก อุ่นเรือนรีบกระะซิบ
“ไปกราบคุณป้าก่อนลูก”
สาลินรับคำ แล้วรีบคลานไปกราบที่ตั่ง
“คุณป้าขา สากราบค่ะ”
คุณสร้อยกรนครืดออกมาปื้ดหนึ่งคล้ายรับคำ ทุกคนอมยิ้ม สาลินคลานกลับมาหาแม่กับพี่สาว
“ทำไมมือคุณป้ามีคราบขมิ้นล่ะ พี่ศรี”
“คุณป้าเพิ่งขัดตัวให้พี่นะซี”
ยายพิศรีบบอก “ค่ะ วันนี้เป็นวันขัดสีขนานใหญ่ คุณสร้อยเลยหมดแรง ม่อยอยู่ไงคะ”
สาลินหัวเราะคิก “เรื่องขัดตัวบ่มผิวนี่ล้มเลิกไปหนหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือคะ ทำไมถึงมาขัดกันใหม่ล่ะ เอ๊ะ หรือว่า....”
ศรีจิตราจุ๊ปาก สาลินรีบปิดปากตัวเอง คุณสร้อยพึมพำอะไรบางอย่างแล้วหลับต่อ
ศรีจิตรานั่งหั่นผักอยู่ ท่าทางอ่อนใจ สาลินนั่งหน้าหงิกอยู่ตรงหน้า ส่วนอุ่นเรือนนั่งปรุงอาหารที่เตา
สาลินพูดแขวะ “ฮึ คุณชายโต ได้นางข้าหลวงเป็นเมียอยู่ในตำหนัก แล้วอีตาคุณชายรองนี่ จะมีเรื่องอะไรอีกล่ะ”
อุ่นเรือนหันมองลูกสาวคนเล็ก “แหม ยายสา คนละคนกันนะจ๊ะ”
“ยังไงก็พี่น้องกัน คงไม่ห่างกันเท่าไรหรอกค่ะ”
ศรีจิตราเริ่มกังวลใจขึ้นมาอีก อุ่นเรือนหันมองสาลินตาเขียว
“อ้าว ทีหนูกับพี่ศรี คลานตามกันมาแท้ๆ ยังไม่เหมือนกันเลย”
“ฮึ แม่น่ะ ไปเข้าข้างอีตาคุณชายนั่นทำไม”
“แม่ยังไม่รู้จักตัวเลย แม่จะไปเข้าข้างเขาทำไม แม่แค่บอกว่าอย่าเพิ่งไปตั้งแง่ มีอคติกับเขาก่อนต่างหาก”
สะใภ้จ้าว ตอนที่ 3 (ต่อ)
สาลินค้อนแม่ ศรีจิตราพยายามพูด ทั้ง ๆ ใจอดสู
“สา เดี๋ยวต่อไปก็ได้รู้จักตัว ก็ค่อยดู ๆ กันไป”
“มันไม่ใช่พี่ศรีไปดูตัวเขาซิคะ เขาต่างหากเป็นคนดูตัวพี่ศรี”
อุ่นเรือนพยายามตัดบท “ใครจะเป็นฝ่ายดูใคร ก็ไม่เห็นจะเป็นไร”
“เป็นซิคะ เพราะพี่ศรีน่ะดีทุกอย่าง อีตาคุณชายนั่นก็คงชอบ แต่ถ้าพี่ศรีเห็นเขาแล้วไม่ชอบ พี่ศรีก็ไม่มีสิทธิมีเสียงที่จะปฏิเสธ นี่แหละผู้หญิงสมัยนี้เขาถึงลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิสตรี”
ศรีจิตราเห็นจริงตามที่น้องพูด ก็ยิ่งทุกข์ใจยิ่งขึ้น อุ่นเรือนหันไปเอ็ด
“ยายสานี่ ทำไมถึงได้หาเรื่องพูดให้พี่เขากังวลอยู่ได้นะ”
“ก็มันจริงนี่คะ”
ศรีจิตราถอนหายใจ “เอาเถอะสา ยังไงพี่ก็ขอให้รู้จักตัวกันก่อน พี่ไม่อยากตีตนไปก่อนไข้ เขาอาจจะดีเพียบพร้อมทุกอย่างก็ได้ อีกอย่าง พี่คงไม่โชคร้ายขนาดนั้น”
สาลินออกอาการปั้นปึ่ง “พี่แน่ใจได้ยังไงว่าพี่จะไม่โชคร้ายซ้ำสอง”
ศรีจิตราเบือนหน้าไปทางอื่น พยายามไม่แสดงความอ่อนแอออกมา สาลินหน้าสลด อุ่นเรือนมองลูกสาวคนโตอย่างเห็นใจ
“ดูซิ ไปพูดจี้ใจดำพี่เขาอีกแล้ว ยายศรีไม่เป็นไรนะลูก”
ศรีจิตราฝืนยิ้ม “หนูไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ สา วันนี้สัญญาว่าจะเอาหนังสือนิทานมาให้พี่อ่านไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะ หนูวางไว้ที่ห้องรับแขกน่ะ พี่ศรี เข้มแข็งไว้นะ”
สาลินเข้ามากอดพี่สาว ศรีจิตรายิ้มรับ พร้อมกับถอนใจใหญ่ราวกับจะปลดปล่อยความหนักอึ้ง
ทั้งปวงให้หลุดลอยไป
ห้องนอนของดิเรกราชวิทย์อันเคยเป็นห้องของบดินราชทรงพล ตกแต่งหรูหราจนเกินงามด้วยรสนิยมของจรวย หม่อมอำพันกำลังอุ้มชูเด็กชายตุ้มวัย 1 เดือน หน้าตาสดใสขาวอวบอ้วน ดิเรกราชวิทย์กับจรวยนั่งอยู่บนเตียงมองดู
จรวยเริ่มแต่งตัวหรูหราวางท่าเป็นนาย ขณะที่เจียมนั่งพับผ้าอ้อมใส่ตะกร้าหวายเตี้ย
“แหม พอย่าอุ้มล่ะเงียบเสียงเป็นปลิดทิ้ง อู๊ย ดูซิชายโต ปากคอคางคิ้วเหมือนเธอไม่มีผิด” หม่อมอำพันยิ้มปลื้ม
“อ้าว ก็ใช่ซีครับ ลูกผมจะให้ไปเหมือนใครล่ะครับ”
“ฉันจะไปรู้หรือจ๊ะ ตอนแรกน่ะฉันกลัวว่าจะออกมา หน้าเหมือนไอ้ชม แขนขาเหมือนไอ้ยอด ตัวดำเหมือนไอ้รามซิงค์”
จรวยตาวาวคอแข็ง เจียมคอหด ดิเรกราชวิทย์หน้าเคร่ง
“หม่อมแม่ เห็นแก่ผมบ้างเถอะครับ”
“ฮึ ก็เพราะเห็นแก่เธอน่ะซี ถึงต้องอดอยากปากหมองอยู่อย่างงี้”
จังหวะนั้น ยายน้อมก็โผล่เข้ามา “หม่อมเจ้าขา ขามาครบแล้วเจ้าค่ะ”
หม่อมอำพันรีบส่งตาตุ้มให้เจียมแล้วออกไป เจียมส่งต่อให้จรวย ทันใดตาตุ้มก็แผดร้องจ้า
จรวยพูดแขวะ “ ต่อไปก็คงต้องอยู่แบบเจียมเนื้อ เจียมตัวไว้บ้าง”
ดิเรกราชวิทย์ส่ายหน้า “นี่จรวย เธอจะพูดให้มันเป็นอะไรขึ้นมานะ หม่อมแม่น่ะโปรดตาตุ้มยังกะอะไร”
จรวยยิ้มหยัน “อู๊ย ขนาดโปรดยังต้องระเห็จลงมาอยู่ชั้นล่าง ถ้าหม่อมรักน่ะ คงต้องไปอยู่เรือนแถวกับนังเจียมมังคะ”
เจียมชะงักแล้วยิ้ม “แหม ที่จริงอยู่เรือนแถวน่ะสบายนะคะ เย็นทั้งกายเย็นทั้งใจ ไม่ร้อนเหมือนอยู่
บนตำหนัก คุณจรวยก็น่าจะรู้ดีนะคะ”
จรวยเชิดหน้าอย่างผยอง
สาลิน ศรีจิตรา อุ่นเรือน ยายพิศ กำไลเดินมาจากเรือนครัว แล้วมองไปที่บนตั่ง คุณสร้อยยังคงหลับหงายเงย มีเสียงกรนเบา ๆ
อุ่นเรือนหันมาบอก “ไปลูกไปกราบลา คุณป้า”
สาลินค่อยๆ คลานเข้าไปกราบลงกับตั่ง คุณสร้อยกรนพรืดขึ้นมาราวรับรู้ ก่อนจะไอพรืด ค่อยๆ
ลืมตาขึ้น พลางเขม้นมองสาลิน แล้วพูดแก้เกี้ยว
“อากาศวันนี้เต็มที อบๆ อ้าวๆ ทำให้ง่วงเหงาหาวนอน เลยงีบไปนิด”
ยายพิศแอบยิ้ม “วุ๊ย ไม่นิดหรอกค่ะ”
คุณสร้อยตาเขียว “ฉันแค่เคลิ้มไปเดี๋ยวเดียว อ้าว แม่ลำโพงแปดหลอด จะกลับแล้วเหรอ”
สาลินยิ้มรับ “ค่ะ หนูลาคุณป้า พี่ศรีรีบอ่านนะ สาจะเอาไปคืนห้องสมุด”
“จ้ะ”
คุณสร้อยเลิกคิ้ว สงสัย “เดี๋ยว หนังสืออะไร เอามาให้ดูซิ เรื่องประโลมโลกย์หรือเปล่า เรื่องรัก ๆ
ใคร่ๆ อ่านแล้วใจแตก”
ศรีจิตรารีบส่งหนังสือให้ คุณสร้อยคว้าแว่นมาสวม
“หนังสือนิทานค่ะ นิทานฝรั่ง”
คุณสร้อยทำท่าตกใจ
“ว้าย นิทานอะไร มีนอนเตียงจูบกัน ว้าย บัดสีบัดเถลิง ฉันกะแล้วนังเด็ก คนนี้ ไปทำงานกับฝรั่งมังฆ้อง ต้องใจแตก แล้วเลยมาพาให้เธอใจแตกตาม”
2 พี่น้องทำตาปริบ ๆ อุ่นเรือนนิ่งอึ้ง กำไลกับยายพิศ เมื่อได้ยินว่ามีคนจูบกันก็ชะเง้อคอดู
ศรีจิตราพยายามอธิบาย “โธ่ นั่นมันเรื่องเจ้าหญิงนิทราค่ะคุณป้า”
คุณสร้อยชะงักมองดูหนังสือซ้ำ แต่ยังไม่ยอมแพ้
“ยังไงก็ไม่ดี”
พอพลิกหน้าต่อไป ก็ทำตาเบิกโพลงอีก
“แล้วนี่เรื่องอะไร อีนางเอกถึงแก้ผ้าหมดตัว ยังดีมีผมยาวปิดนมต้มไว้”
สาลินรีบบอก “อ๋อ เรื่องเงือกน้อยค่ะ นางเอกกินยาวิเศษ หางปลาเลยกลายเป็นขาค่ะ”
“ยังไงก็ไม่ดี แก้ผ้าแก้ผ่อน แล้วนี่เรื่องอะไร”
สาลินรีบคว้ามากอดแนบอก คุณสร้อยทำเสียงแข็ง
“เอามาให้ฉันดูเดี๋ยวนี้”
สาลินจำยอมส่งให้ คุณสร้อยเห็นก็ถึงกับผงะ
“ว้าย เสียวสวาท”
ศรีจิตรา อุ่นเรือนสะดุ้ง ยายพิศ กำไลร้องอุทานพร้อมกัน
“เสียวสวาท”
คุณสร้อยรีบวางหนังสือลงพื้นคล้ายเป็นสิ่งปฏิกูล ก่อนจะเอาไม้เกาหลังไสพรวดไปให้พ้นตัว หนังสือไถลเลื่อนไปถึงหน้ากำไล กับยายพิศ
“นี่ นี่ นี่ ที่เขาเรียกหนังสือปกขาวใช่ไหม” คุณสร้อยทำท่าเหมือนรังเกียจ
สาลินรับคำ “ใช่ค่ะ ปกขาวแล้วก็เดินทองด้วยค่ะ”
“ว้าย หนังสือลามก”
สาลินรีบอธิบาย “ไม่ใช่ค่ะ เป็นเรื่องตลก แต่มีสัปดนนิดนึงค่ะ”
กำไลเอื้อมมือสั่นระริกไปเปิดดู ยายพิศร่วมชะเง้อ คุณสร้อยมองค้อน
“ว้าย พูดมาได้ไม่อายปาก นังพิศ นังกำไล แกดูอะไร เอาไปเผาทิ้งเดี๋ยวนี้”
“โธ่ คุณป้าขา นี่มันนิทานพื้นบ้านอีสาน ชื่อเสียวสวาด แปลว่าเฉลียวฉลาด เป็นเรื่องคนเจ้าปัญญา แบบศรีธนญชัยนั่นแหละค่ะ”
กำไลกับยายพิศปิดหนังสือปัง แอบทำหน้าเซ็ง แล้วพูดกัน 2 คน
“มิน่า ของแท้มันต้องเล่มเล็ก ๆ ป้า”
“นังกำไล แกก็เคยอ่านรึ”
คุณสร้อยเดินเชิดเดินกรายไปที่ตั่ง “ยังไงชื่อมันก็ลามก ฉันไม่อนุญาต ยายศรี ห้ามแกอ่าน
เด็ดขาดนะ”
“ค่ะ คุณป้า”
“เอาไว้เข้าวังเสด็จ แกจะได้อ่านสมใจ วังวุฒิเวสม์น่ะมีห้องสมุดใหญ่โต มีหนังสือ เป็นหมื่นเป็นแสน”
สาลินนั่งฟังหน้านิ่ง
3 คุณชายนั่งมองดูหม่อมอำพันที่กำลังออกฤทธิ์อยู่ตรงหน้า จรวยเอาตาตุ้มนั่งตักแต่หูเงี่ยฟัง เจียมนั่งคอหดอยู่ใกล้ๆ
“ไหนว่าทำงานบริษัทน้ำมันฝรั่ง แล้วทำไมต้องไปทำงานตามปั๊ม เขาเรียกอะไรนะ เด็กปั๊มหรือ”
บดินทรราชทรงพลรีบอธิบาย “โธ่ หม่อม ผมทำงานบริษัทใหญ่ที่สีลมครับ มีหน้าที่ไปตรวจปั๊มควบคุมคุณภาพ”
“ยังไงก็งานต่ำ ตระกูลเราน่ะเป็นเจ้า เป็นข้าทูลละออง มีเกียรติมีศรี พี่ชายโตน่ะ ต่อไปจะได้เป็นปลัดกระทรวง”
ดิเรกราชวิทย์ทำตาปริบๆ อยากขัดว่าคงยาก แต่ไม่กล้า จรวยยิ้มพึงใจ
“พี่ชายรองน่ะ ต่อไปก็จะเป็นเอกอัครราชทูต”
กิตติราชนรินทร์ถอนใจเบาๆ จรวยแอบค้อน หม่อมอำพันพูดต่ออย่างไม่พอใจ
“มีแต่แกที่แหกคอกไปทำงานต่ำๆ”
จรวยยิ้มระรื่นอุ้มตาตุ้มมาโอละเห่ในอ้อมแขน บดินทราชทรงพลยิ้มแป้น
“โธ่ ก็ทำงานสูงตั้ง 2 คนแล้ว ปล่อยให้ผมทำงานต่ำๆ ซักคนเถอะครับ หม่อม”
กิตติราชนรินทร์หันมาบอกแม่ “หม่อมแม่ครับ เงินเดือนนายเล็กน่ะ มากกว่าเงินเดือนผมกับพี่โตรวมกันซะอีกนะครับ”
หม่อมอำพันเริ่มมีทีท่าอ่อนลง แล้วไม่วายตะแบงต่อ
“ยังไงก็ไปเป็นขี้ข้าฝรั่ง”
“ทำงานกับฝรั่งนี่ดีนะครับ อะไรผิดอะไรถูกว่ากันตรงๆ แล้วก็จบกัน แต่ทำงานกับคนไทย ต้องคอยเกรงคุณวุฒิ วัยวุฒิ ชาติวุฒิ มีนิ้วก้อยหัวแม่มือเต็มไปหมด”
ดิเรกราชวิทย์เห็นด้วยกับน้อง “จริงแฮะ นายพูดเข้าท่านายเล็ก”
หม่อมอำพันค้อนขวับ “ นี่อย่ามาเข้าข้างมันนะยะ สิบพ่อค้ายังไงก็ไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง”
กิตติราชนรินทร์ช่วยพูด “ยุคมันเปลี่ยนไปแล้วนะครับ ตอนนี้พระยาก็แทบไม่เหลือแล้ว”
บดินรราชทรงพลอมยิ้มขำ “ถ้าเหลือก็เหลือพระยาเทครัวน่ะครับ”
นมย้อยกลั้นยิ้ม เจียมหลุดหัวเราะออกแล้วรีบตะครุบปาก หม่อมอำพันทำตาเขียว
“นี่อย่ามาทะลึ่งกับฉันนะยะ”
นมย้อยหันมาทางชายเล็ก
“คุณเล็กพูดอะไรเป็นเล่นเรื่อยเชียว ไปค่ะ ไปอาบน้ำอาบท่าก่อน”
บดินทราชทรงพลลุกขึ้น ก่อนจะยกแขนดมกลิ่นตัวเอง “ฮะ ผมไปอาบน้ำให้หม่อมหายเหม็นสาบดีกว่า”
หม่อมอำพันค้อนวงใหญ่ “ฮึ เจ็บใจนัก มีลูกไม่ได้อย่างใจเลยซักคน”
ดิเรกราชวิทย์กับกิตติราชนรินทร์ทำตาปริบๆ นมย้อยรีบท้วง
“อ้าว เมื่อกี้หม่อมยังชมคุณชายโตกับคุณชายรองอยู่แหม็บๆ”
“ฉันก็พูดไปอย่างงั้นแหละ ฮึ เป็นท่านทูตเป็นได้ง่ายๆ หรือ ต้องฝ่ากันอีกกี่ด่านก็ไม่รู้ ส่วนอีกคนก็ได้นังบ่าวก้นครัวเป็นเมีย คงได้เป็นหรอกย่ะปลัดกระทรวงน่ะ”
ดิเรกราชวิทย์หน้าเสีย จรวยกระแทกตาตุ้มลงพื้น จนหนูน้อยร้องไห้จ้า หม่อมอำพันหันมาดุ
“ดู๊ เด็กอะไรแหกปากได้ทั้งวัน นี่ ลูกร้องก็เห่กล่อมให้เงียบซียะ ไม่ใช่ดูแต่โทรภาพ ดูการละเล่นน่ะ มันอบายมุขนะยะ ทำให้เสื่อม”
เจียมแอบเหน็บ “แล้วเล่นไพ่ล่ะคะ”
กิตติราชนรินทร์รีบขยับตัว “ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ดิเรกราชวิทย์รีบเข้าไปดูลูก “เอาตาตุ้มไปอาบน้ำเถอะ ท่าทางจะร้อน”
“ค่ะ ข้างในนี้มันร้อนเต็มทนค่ะ”
ดิเรกราชวิทย์กับจรวยรีบอุ้มเอาตาตุ้มออกไป หม่อมอำพันมองค้อน
“ต๊าย พยศพเกียรติล้นพ้นตัวกันทั้งนั้น ฉันว่าอะไรไม่ได้ทุกคน อ้าว นมย้อย นังเจียม นี่ ข้าวเย็นน่ะจะตั้งกี่โมง หรือจะให้ฉันไปตั้งเอง”
นมย้อยไม่ทันตอบ หม่อมอำพันก็เดินปึงๆ ออกไป เจียมหน้าเสีย รีบลุกขึ้นประคองนมย้อย
“ว้าย โดนกันถ้วนทั่วทุกตัวตน วันนี้มันวันอะไรกันคะ”
“จะวันอะไร ก็วันหม่อมเสียไพ่น่ะซิ”
2 สัปดาห์ต่อมา
มาลากับวรรณาเดินเก็บดอกมะลิใส่ขันมาเรื่อยๆ ก่อนที่ฝ่ายแรกจะหันไปถาม
” คุณศรีจะถวายตัวเข้าวังเมื่อไรนะ”
“คุณแม่บ้านบอกว่ามีฤกษ์ดี ต้นเดือนหน้านี่”
มาลาตื่นเต้น “อุ้ย ก็อีกไม่กี่วันแล้วซี”
“ดีจัง คุณชายรองจะได้หายว้าเหว่เอกากายเสียที”
2 นางเดินเพลินเข้าในอาณาเขตตำหนักเล็ก จนเกือบถึงศาลากลางสวน มาลาเพ่งมอง
“อุ๊ย นั่นคุณชายรอง”
“อยู่กับใครน่ะ หม่อมอำพันหรือ”
2 นางยิ้มละไมแหวกกิ่งไม้ดู แล้วก็ชะงัก
ขณะที่บนศาลากลางสวน ที่จัดอาหารเครื่องดื่มไว้ที่โต๊ะเล็กกลางศาลา กิตติราชนรินทร์นั่งแนบชิดกับเทพีเพ็ญแสงอยู่บนโซฟาหวาย
“ลองนี่ซีคะ คุณรอง”
พูดพลางป้อนเอแคลร์เข้าปากอีกฝ่าย
“หวานจัง แต่ไม่หวานเท่าหญิง”
เทพีเพ็ญแสงทำเอียงอาย ก่อนจะโดนอีกฝ่ายคว้ามือมาจูบ พลางมองอย่างหลงใหล แล้วก้มลงจุมพิตเบาๆ
มาลา วรรณาตาเบิกโพลง มีอาการคล้ายถูกผีหลอกกลางวัน ก่อนที่มือของฝ่ายแรกจะหักกิ่งไม้แห้งดังเปาะสนั่น
เทพีเพ็ญแสงขยับออกจากอ้อมแขนของกิตติราชนรินทร์ ทั้งคู่หันขวับมองดูต้นเสียง แต่ไม่เจอใครแล้ว
ฟากคุณสอางค์นั่งคุมนางข้าหลวงสาวๆ นั่งร้อยมาลัยอยู่ พลางชะเง้อมอง
“แม่วิมาลา แม่เลื่อมลายวรรณนี่ยังไง ให้ไปเก็บมะลิมาเพิ่มแค่นี้ แม่คู้ณยากยังกะใช้แมวไปขอไฟ ว้าย”
มาลา วรรณาวิ่งหน้าตื่นมา ดอกไม้กระฉอกตกเป็นทาง เกือบหมดขัน
“อะไรยะ แม่คุณ ทำหน้าเหมือนเห็นผี”
วรรณาทำหน้าตื่นเต้น “อุ๊ย น่ากลัวกว่าผีอีกค่ะ คุณแม่บ้าน”
“หืมม์ อะไร ยังไง เล่ามาซิยะ”
มาลาเหลียวซ้ายแลขวา “เล่าตอนนี้ไม่ได้ค่ะ กำแพงมีหู ประตูมีตาเจ้าค่ะ”
คุณสอางค์หันมาดู เห็นนางข้าหลวงสาวจ้องมองตาแป๋ว
“ว้าย แม่พวกนี้ ไป ไปเลยย่ะ เอาไปร้อยข้างในไป”
นางข้าหลวงค้อนขวับอย่างผิดหวัง แล้วรีบคว้างานเดินเข้าตึกไป มาลา วรรณารีบขยับมาใกล้
“เอ้า มีอะไร ยังไง”
“อิฉันกับวรรณาไปตำหนักโน้น เจอคุณชายรองจู๋จี๋กับสาวอยู่เจ้าค่ะ”
คุณสอางค์ตกใจ “หา”
วรรณายิ้มหยัน “ แต่ความจริงจะเรียกสาวไม่ได้ ต้องเรียกว่าแม่หม้ายแม่ร้างมากกว่า”
“ใคร ใครที่ไหน”
มาลารีบบอก “จะใครเล่าคะ ถ้าไม่ใช่หม่อมราชวงศ์หญิงเทพีเพ็ญแสง รัชนีกุล”
คุณสอางค์ยิ่งตกใจหนัก “ว้าย คุณหญิงก้อย ก็มีลูกมีผัวไปแล้วไม่ใช่หรือ”
“มีแต่ผัวค่ะ ยังไม่มีลูก”
“อ้าว แล้วที่มีข่าวว่ากลับมาก่อน ผัวเศรษฐีจะตามมาวันหลังล่ะ”
มาลาเบะปาก “ข่าวปล่อยเพราะกลัวจะเสียหน้าน่ะซีคะ ความจริงคือคุณหญิงเธอถูกผัวทิ้ง
เลยซมซานกลับเมืองไทย”
วรรณาพูดต่อ “พอถึงก็โร่กลับมาหาถ่านไฟเก่า เป่ากันแป๊บเดียวก็ไฟติดแดงโร่ขึ้นมา”
“นี่อิฉัน 2 คน เห็นกำลังเป่ากันอยู่คาตาเลยค่ะ”
มาลาพูดแบบมีนัย วรรณาหัวเราะคิก
“พวกอิฉันเลยไปสืบความกับคุณนมย้อย บอกว่าคืนดีกันมาร่วมครึ่งเดือนแล้วค่ะ”
คุณสอางค์ถอนหายใจ “ เฮ้อ ถ้าเสด็จทรงทราบเข้าก็คงกริ้ว ช่วยๆ กันปิดความอย่าให้ทรงทราบก็แล้วกัน ไม่งั้นคุณชายรองคงโดนขนาบแน่”
มาลารีบยื่นมือสะกิดสอางค์ “เอ คุณแม่บ้านคะ”
“ว้าย อะไรอีกยะ”
วรรณารีบถาม “แล้วที่ว่าคุณชายรองจะหมั้นกับคุณศรีล่ะคะ”
มาลาถามต่อ “คุณชายรองกลับไปคืนดีคุณหญิงก้อยแบบนี้ คุณศรีไม่เป็นหม้ายขันหมากหรือคะ”
คุณสอางค์เพิ่งนึกออก แล้วก็ตาเบิกกว้าง
“ยาดม ยาดม”
รถจากวังวุฒิเวสม์แล่นมาจอดลงหน้าบ้านราชดำริ
คุณสอางค์เปิดประตูรถผางวิ่งพรวดเข้าในตัวบ้าน คราวนี้นายยอด คนขับรถนั่งเซ็งอยู่ในรถ เลิกออกมาเปิดประตูให้แล้ว
คุณสร้อยอยู่บนตั่งใบหน้ายิ้มละไม อุ่นเรือนกับศรีจิตราอยู่กับที่พื้นตรงหน้ายิ้มแย้มไม่แพ้กัน กำไลกับยายพิศก็สลักผักคุยกันกระจุ๋งกระจิ๋ง
อุ่นเรือนหันมาบอกคุณสร้อย “เย็นนี้มีแกงเหลืองปลากระบอกกับไก่ทอดขมิ้นค่ะ คุณพี่”
“เออดี รู้ใจว่าฉันชอบกินอะไร ไม่เสียแรงอยู่กันมาตั้งนมนาน”
ศรีจิตราขันอาสา “งั้นเย็นนี้ หนูลงครัวเองนะคะ”
“อุ๊ย ไม่เอาลูก ตอนนี้ผิวพรรณวรรณะกำลังได้ที่ ขืนไปทำครัว เดี๋ยวจะหมองหมด ว้าย”
พูดพลางร้องเสียงหลง เมื่อจู่ๆ คุณสอางค์ก็โผล่พรวดมา
ทุกคนรีบยกมือไหว้เป็นฝักถั่ว คุณสอางค์รีบกระแทกตัวนั่งข้างคุณสร้อย
“แม่สร้อย เอียงหูมา”
คุณสร้อยยังคงยิ้มเอียงหูมา คุณสอางค์รีบป้องปากกระซิบ ทุกคนที่เหลือในห้องมองกันตาค้าง
ฟังจบ คุณสร้อยก็ตบตั่งผาง จนทุกคนสะดุ้งเฮือก พอสาวใช้นำน้ำมา ศรีจิตราก็รับต่อ พลางคลานเข้าไปเสิร์ฟ คุณสอางค์รับไปน้ำตาเอ่อไป
“โธ่เอ๋ย หนูศรี แม่ศรีเรือนแท้ๆ ดูรึ พิศพักตร์นวลละอองปลั่งเปล่ง ดังบุหลันวันเพ็งประไพศรี”
ศรีจิตรากับอุ่นเรือนมองหน้ากัน คุณสร้อยค้อน
“ทำไงได้ล่ะคะ อิเหนาไปหลงนางจินตหราแล้วนี่”
“ผิวยังกะแตงร่มใบ” คุณสอางค์พูดต่อ
“เป็นหนุ่มทั้งแท่งอยากกินแตงเถาตายก็ช่างเถอะ”
ศรีจิตรามอง 2 ป้าอย่างงงๆ “คุณป้าว่าอะไรนะคะ”
คุณสร้อยรีบพูดปด “ฉันว่าพรุ่งนี้ฉันจะกินแตงไทยน้ำกะทิ ให้เลือกให้ดี อย่าเอาแตงเถาตายมาทำ”
อุ่นเรือนนึกแปลกใจ “เอ๊ะ แต่คุณพี่ไม่รับประทานแตงไทยไม่ใช่หรือคะ”
ยายพิศพูดเสริม “เจ้าค่ะ เห็นท่านบ่นว่ากินแล้วลมขึ้น”
คุณสร้อยตาเขียว “นี่ แม่อุ่นเรือน นังพิศ ไม่ต้องมาสู่รู้ ดีฉันจะกินมันให้ลมขึ้นจะได้ตายๆ ไปซะ”
ทุกคนระย่อฤทธิ์คุณสร้อย ทันใดคุณสอางค์ก็หยิกน้องสาว
“นี่พอๆ”
“ว้าย คุณพี่ หนูเจ็บ”
คุณสร้อยคลำแขนป้อยๆ ค่อยสงบลงนิดหนึ่ง ยายพิศขยับเข้ามา
“คุณขา เดี๋ยวหนูต้องขอเบิกเงินไปตลาดเจ้าค่ะ”
“อุ๊ย ทำไมถึงได้สิ้นเปลืองนัก”
“ขมิ้นกับมะขามเปียกหมดเจ้าค่ะ ขัดผิวคุณศรีเมื่อเช้าจนหมดเกลี้ยงเลยเจ้าค่ะ”
คุณสร้อยยิ่งเดือดดาล “ว้าย สิ้นเปลืองอะไรขนาดนี้ไม่รู้ พอๆ เลิก ทีนี้ไม่ต้องข่งต้องขัดกันแล้ว
เลิกเด็ดขาด”
ศรีจิตราหันไปสบตาอุ่นเรือน
“งั้นทีนี้หนูก็ลงครัวได้แล้วใช่ไหมคะ คุณป้า”
“ย่ะ ตามใจย่ะ แม่คุณ เอาให้ผิวไหม้ เขม่าจับเลยนะยะ”
คุณสอางค์ทนไม่ไหว หันไปหยิกคุณสร้อยอีกคำรบ
ศรีจิตราพลิกหนังสือนิทานอยู่บนเตียง อุ่นเรือนกำลังเย็บซ่อมเสื้ออยู่ใกล้ๆ
“แม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีกหรือเปล่าคะ คุณป้าใหญ่กับคุณป้าถึงได้ทำท่าอย่างนั้น”
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันลูก”
ศรีจิตราหน้าเครียด “หนูฟังดู เหมือนกับว่าคุณชายวังโน้น มีเรื่องขัดข้องอะไรขึ้นมาอีก”
“ถ้ามีเรื่องอะไรขึ้นมาจริง คุณป้าก็บอกเองล่ะจ้ะ”
“ค่ะ เรา 2 คน อะไรก็สุดแท้แต่คุณป้า เฮ้อ บางที หนูอิจฉายายสาจัง”
สะใภ้จ้าว ตอนที่ 3 (ต่อ)
ลลิตากางหนังสือพิมพ์อ่านข่าวสังคมอยู่ที่เคาท์เตอร์ห้องสมุด บราลีกำลังจัดหนังสือ จิตริณีเพิ่งมาถึงพอดี
ลลิตาร้องออกมา “ว้าย คุณหญิงเทพีเพ็ญแสงเลิกกับคุณอัศนีย์แล้ว”
“อุ๊ย แม่พยาธิ” บราลีอุทาน
“ตาย ออกข่าวแล้วหรือนี่” จิตริณีว่า
“อุ๊ย แปลว่าคุณจิตริณีรู้ข่าวนี้มานานแล้วหรือคะ”
“ค่ะ อัศนีย์เป็นเพื่อนฉันเอง คุณหญิงก้อยกะอัศนีย์เลิกกันมาสามเดือนแล้ว แต่ว่ามีการปิดข่าวไว้” จิตริณีบอก
“หรือคะ แล้วทำไมถึงมาเปิดข่าวตอนนี้ล่ะคะ” ลลิตาสงสัย
“คงเพราะ คุณหญิงก้อยเธอมีคู่ควงคนใหม่แล้วน่ะซีคะ ที่เราเห็นเมื่อวาน”
ลลิตาก้มดูหนังสือพิมพ์ใหม่
“อุ๊ยใช่ด้วย ในข่าวบอกว่าคุณหญิงไปดูแฟชั่นโชว์กับ ม.ร.ว. กิตติราชนริทร์ วุฒิวงศ์”
“แสดงว่าคุณชายขี้เก็กของยายสาลิน ที่แท้คือ ม.ร.ว. กิตติราชนรินทร์”
“ความจริงก็ไม่ใช่คนใหม่หรอกค่ะ คุณชายกิตติเป็นคนรักเก่าของคุณหญิงก่อนมาแต่งงานกับอัศนีย์ อุ๊ย ได้เวลางานแล้ว ไปนะคะ”
จิตริณีเดินไปยังชั้นบน ลลิตามองตามด้วยความเลื่อมใส
“ต๊าย เปรี้ยวจังเลย เป็นเพื่อนกะคุณอัศนีย์ด้วย”
“ใช่ เขาข่าววงในตัวจริง ไม่เหมือนเธอพวกสะเก็ดข่าว”
สาลินวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“ฮือ สายอีกแล้ว บอสมาหรือยัง”
“ยังย่ะ รอดตัวไป”
สาลินถอนใจเฮือกก่อนจะเข้ามานั่งหอบในเคาน์เตอร์ ลลิตายื่นมือมาสะกิด
“นี่เธอ เธอน่ะพวกผู้ดีเก่า รู้จักคุณชายกิตติราชนรินทร์ไหม”
“นี่ฉันวิ่งมาเหนื่อยแทบตับแล่บ มาถามอะไร ฉันไม่ใช่ผู้ดี ฉันเป็นชาวสวน ไม่เคยรู้จักคุณชายคนไหนทั้งนั้น” สาลินบอก
“แล้วรู้ไหมว่าคุณชายขี้เก๊กของเธอน่ะคือ” ลลิตาจะพูด
สาลินขัดขึ้น “ปวดเบามาก ขอตัวก่อน”
สาลินวิ่งไปห้องน้ำ
“งั้นไม่บอกดีกว่า” ลลิตาว่า
สอางค์ตาเบิกกว้างขณะกางหนังสือพิมพ์อ่านอยู่บนโซฟา มาลากับวรรณาคุกเข่าลงกับพื้น แต่ยืดตัวอ่านกับสอางค์ด้วย
สอางค์อ่าน “ถ่านไฟเก่าคุ ลุกโพลงแทบมอดไหม้ คงจะมีข่าวดีเร็วๆ นี้”
“ว้าย ถึงขั้นประกาศในหนังสือพิมพ์แล้ว”
“ถ้าเสด็จทรงทราบ ไม่กริ้วแย่หรือคะ คุณแม่บ้าน”
สอางค์ตาเบิกโพลงก่อนจะพับหนังสือพิมพ์
“ว้าย ตายจริง เอาหนังสือพิมพ์นี่ไปซ่อนเร็ว”
มาลารับหนังสือพิมพ์มาก่อนจะทำหน้าปริวิตก
“จะซ่อนได้ยังไงคะ พอเสด็จเสด็จลง ก็ถามหาหนังสือพิมพ์ทุกที” วรรณาว่า
“งั้นเอาคืนมา เอาน้ำพรมแล้วทูลว่า เมื่อเช้าฝนลงโดนหนังสือพิมพ์เปียกหมดกว่าจะผึ่งให้แห้งก็บ่าย ทรงงานอื่นเผื่อจะทรงลืมไปแล้ว”
“อุ๊ย คุณแม่บ้านหัวแหลมมากค่ะ”
สอางค์ตาเขียวแต่ไม่พูดอะไร สามสาวเอาน้ำในแจกันแก้วมาพรมหนังสือพิมพ์กันง่วน
“นั่นทำอะไรกันอยู่” เสด็จถาม
สาวสามชะงักแล้วหน้าเจื่อน เสด็จทรงอ้อมมาดู
“ทำฝนเพคะ” มาลาบอก
“คุณแม่บ้านสั่งเพคะ” วรรณาพูด สอางค์หยิก “ว้าย”
เสด็จมาประทับนั่ง สอางค์เลื่อนตัวลงกับพื้น
“ไหนเอาหนังสือพิมพ์มาซิ ฉันอยากรู้เหมือนกันว่า เขาลงข่าวตารองกับยายก้อยว่ายังไง”
สอางค์ มาลา และวรรณาตาเหลือก
“ว้าย ทรงทราบได้ยังไงเพคะ”
“บรรดาญาติมิตรฉัน เขาส่งข่าวกันมาตั้งแต่เช้าแล้ว”
เสด็จเปิดหน้าสังคมแล้วทรงอ่านแว่บหนึ่งก่อนจะถอนพระทัย
“ตารองนะ ตารอง คิดสั้นจริง ๆ”
“โธ่ คนเคยรักกันมาตั้งนาน คุณชายรองน่ะรักคุณหญิงก้อยมากนะเพคะ” สอางค์บอก
“ตารองน่ะรักจริง แต่ยายก้อยน่ะรักชายรองจริงหรือ ถ้ารักจริงจะทำกับตารองอย่างนั้นได้ยังไง”
มาลากับวรรณาพูดพร้อมกัน “จริงเพคะ”
เสด็จทรงขมวดขนง สองนางข้าหลวงคอหด
“แล้วจะทรงคิดอ่านยังไงคะ” สอางค์ถาม
“ถึงจะเป็นหลาน แต่ฉันก็ไม่ขอเอายายก้อยมาเป็นสะใภ้เด็ดขาด งานนี้ฉันขอเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายซักหน่อยเถอะ”
“แล้วเรื่องแม่ศรีล่ะเพคะ”
“ให้เตรียมตัวเข้าวังได้แล้ว” เสด็จบอก
ศรีจิตราหัวสั่นหัวคลอนอยู่ คุณสร้อยยิ้มระรื่นก่อนจะเอาส้มมะขามเปียกชุบน้ำทั้งก้อนถูข้อศอกศรีจิตรา
ทั้งคู่นั่งอยู่บนตั่ง รอบด้านกั้นม่านทั้งสี่ทิศ
“ละลายขมิ้นดินสอพองซักสองชาม ทาให้งามตลอดเท้าขาวทั้งตัว”
ศรีจิตราข่มความแสบโดยยังคงหัวสั่นหัวคลอนต่อไป พิศกับกำไลมองด้วยความสงสาร
ตกกลางคืน อำพันกับกิตตินั่งอยู่ที่โซฟา โดยมีชายโตและชายเล็กนั่งอยู่ด้วย นมย้อยนั่งอยู่ห่าง ๆ
“นี่ชายรอง วันนี้เด็จป้ามีรับสั่งให้แม่เข้าเฝ้า” อำพันบอก
“ครับ เด็จป้าทรงมีธุระอะไรหรือครับ” ชายรองว่า
“จะธุระอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องแกกับหญิงก้อย ทรงถามว่าแกกับหญิงก้อยน่ะจะยังไงกันแน่”
“ผมกับหญิงก้อยรักกันมากนะครับ”
“จ้า รักมาก ก็เลยจะรับของเหลือเดนมารับประทาน”
อำพันทำหน้ารังเกียจ ชายรองสะเทือนใจ
“หม่อมแม่ หญิงก้อยเป็นคนดี แค่ผิดพลาดไปครั้งเดียว” ชายรองว่า
“จ้ะ หญิงก้อยน่ะดี วิเศษ เลิศล้ำสารพัด แต่ไอ้ที่ผิดพลั้งไปครั้งเดียวน่ะแหละ เสด็จท่านไม่มีวันยอมหรอก”
“แต่เด็จป้า อาจจะทรงเข้าใจ”
อำพันตบเข่าฉาด
“นี่ชายรอง คราวนังจรวยสวยกราก นังสะใภ้นอกคอกนั่น” อำพันบอก
“หม่อมครับ”
“ไม่ต้องมาห้ามตาโต แกทำฉัน เอ๊ย ทำเด็จป้าทรงผิดหวังมาทีนึงแล้ว ชายรองเธอจะมาทำซ้ำสองซ้ำสามอีกหรือ”
ชายรองถอนใจ “หม่อมแม่ครับ อะไรที่จะสนองพระเดชพระคุณเด็จป้า อะไรที่ทำให้หม่อมแม่พอใจ ผมทำได้เสมอ”
อำพันยิ้มออกก่อนจะเข้ามาลูบหลังลูบไหล่ชายรอง
“อุ้ย ดีจริงลูกจ๋า เห็นไหมตาโต ชายรองเขามีเหตุผล”
ดิเรกอ่อนใจ บดินทร์มองขำ ๆ
กิตติพูด “แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผม ขอเวลาผมคิดใคร่ครวญดูก่อนได้ไหมครับ แล้วผมจะกราบทูลเด็จป้าเอง”
อำพันหุบยิ้มก่อนจะหน้างอหงิกแล้วถอยห่างออกมาทันที ดิเรกอมยิ้ม บดินทร์เกือบหัวเราะออกมา
“ย่ะ ตามใจเถอะย่ะ เหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง ฮึ” อำพันว่า
“ก็คลานตามกันมานี่ครับหม่อม” บดินทร์บอก
“ทะลึ่ง เจ้าเล็ก”
อำพันสะบัดหน้าหนีไป
“ไง นายรอง ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเองแล้วนะ” ชายโตว่า
“อะไรเหรอครับ” กิตติถาม
“ก็นายเคยให้ฉันตัดใจจากจรวย แล้วตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ถึงตราวตัวเองบ้าง นายก็ตัดใจจากหญิงก้อยไม่ได้”
“อย่าเปรียบกันครับ เพราะผมเลือกหญิงก้อยเพียงคนเดียว ไม่ใช่เหมาหมดแบบพระยาเทครัวอย่างพี่”
กิตติแยกขึ้นชั้นบนไป ดิเรกมองด้วยความหมั่นไส้เต็มที
“จะขัดพระประสงค์เสด็จก็ให้มันรู้ไปซี้”
ชายโตกลับห้อง จรวยรีบเดินตาม
“เฮ้อ กลัวจังนม”
“กลัวอะไรคะคุณเล็ก” ย้อยถาม
“กลัวเป็นพระยาเทครัวกับเขาบ้าง อิฮิ” บดินทร์ว่า
“คุณมัวแต่พูดเล่นอยู่นั่น อิฉันน่ะสงสารคุณศรีจิตราจริง ๆ ถ้าเธอรู้เข้าว่าทางเราไม่อยากแต่งกับเธอทั้งพี่ทั้งน้อง เธอจะรู้สึกยังไง”
“อยากเห็นตัวจริงเสียแล้วซีนม สวยไหม”
“ยังไม่เคยเห็นเลยค่ะ เห็นคุณสอางค์บอกว่าสวยมาก”
ชายเล็กคิดแผนบางอย่าง
ณ บ้านราชดำริเวลาเช้า ที่ชั้นบนหน้าต่างใหญ่เปิดออก คุณสร้อยที่ใส่ชุดนอนผมสยายเยี่ยมหน้าออกมารับลมเช้า เสียงคนจ้วงตักน้ำรดตัวซู่ๆ ดังแว่วมา สร้อยขมวดคิ้วมองหาต้นเสียง
สร้อยเห็นว่าที่โรงเรือนตีด้วยสังกะสีเป็นที่พักชั่วคราวมีตุ่มเรียงราย คนงานชาย 3 คนตัวดำล่ำสัน ท่อนล่างมีผ้าขาวม้าผืนเล็กกำลังอาบน้ำกัน สร้อยตาเบิกโพลงเอามือทาบอบ
คนงานชายคนหนึ่งคล้ายมีพลังจิต เขารู้สึกว่ามีคนมองจึงหันมามอง คนงานเห็นสร้อยยืนผมสยาย ลมพัดผ้าม่าน ชุดนอนไหวป่วนปั่นคล้ายเลดี้แชตเตอร์เลย์ในห้วงรัก คนงานชายสะกิดกันให้มองดูคุณสร้อย คนหนึ่งยิ้ม อีกคนโบกมือให้ แล้วล้วงเข้าไปล้างในผ้าขาวม้า
สร้อยร้องอุทานก่อนจะกระชากหน้าต่างปิดโครม
สร้อยกำลังบ่นให้ สาลิน ศรีจิตรา พิศ กำไล และนาง ๆ ทั้งหลายฟังในห้องครัว
“นี่นังพิศ ช่วงนี้บ้านคุณหญิงรัชฎาเขาต่อเติมบ้าน มีพวกคนงานก่อสร้างมาอยู่กันหลายคน หน้าตาเหมือนโจรห้าร้อย ตัวมันเลื่อม มีกล้ามเป็นก้อน ๆ เตือน ๆ พวกเราให้ระวังไว้”
“ระวังอะไรคะ” พิศถาม
“ก็ระวังมันจะกลัดมันเข้ามาปลุกปล้ำชำเราเข้าน่ะซี โบราณว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนัด”
“กำหนดมากกว่ามั้งคะ” พิศว่า
สร้อยค้อนขวับก่อนจะเช็ดมือ
“เอาล่ะ ได้เวลาไปตลาดแล้ว นังผาด ไปกับฉัน” สร้อยบอก
ผาดรับคำ “เจ้าค่ะ”
สร้อยกับผาดเดินออกไป
“พี่ศรี บ้านคุณหญิงมีมะม่วงเต็มต้นเลย สาไปขอมะม่วงคุณหญิงดีกว่า”
“ยายสา คุณป้าเตือนอยู่หยก ๆ ไม่ให้ไปยุ่งบ้านนั้น”
“นั่นซีคะ เดี๋ยวจะโดนพวกก่อสร้างมันแทะโลมเอา” พิศว่า
“งั้นกำไลไปเป็นเพื่อนนะคะ ถ้ะพี่กล้า พี่ชาย พี่คำสิงห์ มาแทะโลมละก็ กำไลจะต่อว่าเอง”
กำไลทำหน้าดุแต่ตาเคลิ้มฝัน
“นังกำไล ไปรู้จักพวกมันหมดทุกคนเลยเรอะ” พิศถาม
“ไม่ทุกคนหรอกค่ะ ยังเหลือที่ไม่ได้คุยก็ พี่ชาติ พี่อ๊อด พี่ป๊อก ลุงเขียว”
พิศส่ายหน้า
ศรีจิตรากับสาลินกำลังเก็บพืชสวนครัวริมรั้ว สาลินมองไปยังสวนบ้านคุณหญิงก็เห็นประตูรั้วเปิดอยู่ เธอเห็นคนสวนรดน้ำต้นไม้อยู่ไม่ไกล
“พี่ศรี เตรียมทำน้ำปลาหวานไว้เยอะ ๆ เลยนะ”
“ทำไมล่ะ”
“สาจะไปเก็บมะม่วงมากินน่ะซี”
สาลินไม่รอให้ศรีจิตราทัก เธอลอดรั้วเข้าบ้านคุณหญิงทันที
“ยายสา อย่าเข้าไป เฮ้อ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ”
ศรีจิตราส่ายหน้าแล้วก็สะดุ้งเมื่อรถของชายรองแล่นเข้ามา ศรีจิตรามองอย่างแปลกใจเพราะไม่คุ้น เธอรีบหลบเข้าหลังพุ่มไม้เพื่อแอบดู รถแล่นมาจอดหน้าบ้าน นายยอดรีบเปิดประตูให้ป้าสอางค์ ชายรองก้าวลงจากรถอีกด้าน ศรีจิตรามองด้วยความตกตะลึง
“ขอบคุณนะคะคุณชายรอง ที่แวะมาส่งดิฉัน”
“ไม่เป็นไรครับคุณป้า เพราะผมแวะมาที่สีลมอยู่แล้ว” ชายรองอึดอัด “เออ ถ้าอย่างนั้น ผมลาเลยนะครับ”
“อุ๊ย อย่าเพิ่งซีคะ ไหน ๆ มาแล้วเข้าไปนั่งพ้กในบ้านก่อน เดี๋ยวจะเรียกแม่ศรีจิตรามากราบคุณชายด้วย”
ชายรองชักสีหน้า “ครับ”
“งั้นเชิญที่ห้องรับแขกก่อนนะคะ”
“ผมขอเดินชมสวนสักครู่นะครับ”
“ได้ค่ะ”
สอางค์รีบเดินเร็วเข้าบ้านไปทันที ศรีจิตรามองชายรอง
“บ้านร่มรื่นดีนะ”
“ครับ สาว ๆ ที่นี่ก็สวยน่ารักกันทุกคนเลยครับ โดยเฉพาะคุณศรีจิตรา” ยอดว่า
“งั้นงานนี้คุณป้าก็ตั้งใจจะให้ฉันมาพบเขา”
“ผมก็ว่าอย่างนั้นล่ะครับ”
ชายรองส่ายหน้าแล้วถอนใจ ศรีจิตรานิ่งงัน
“แล้วทำไมคุณชายทำหน้าเบื่ออย่างนั้นล่ะครับ”
“ก็ฉันไม่ได้อยากมาเจอน่ะซี ผู้ใหญ่ก็ชอบบังคับฉันเสียจริง”
ศรีจิตรานิ่งงันเพราะทำอะไรไม่ถูก ชายรองเดินแยกไปทางรั้วบ้าน ศรีจิตราน้ำตารื้นขึ้นมาก่อนจะค่อย ๆ ไหลพรากอาบแก้ม
สอางค์เอะอะต่อหน้าพิศกับกำไลที่หอบแฮ่กๆ บรรดานางคนใช้วิ่งหาสองสาวกันอยู่ด้านนอก
“อ้าว หาตัวไม่เจอเหรอ”
“ค่ะ ก็เห็นอยู่เมื่อกี้ทั้งคุณสา คุณศรี หายไปข้างไหนแล้วไม่รู้” พิศบอก
“ฉันอุตส่าห์วางแผนคะยั้นคะยอให้คุณชายแวะมา จะได้เจอกับยายศรี แต่มาถึงแล้วกลับไม่เจอ เวรกรรมจริง ๆ เอ๊ะ แล้วยายสร้อยล่ะ หายไปไหน”
“ออกไปตลาดค่ะ” กำไลตอบ
“เออ เจริญ เจริญกันทุกคน อ้าว ยืมซึมกะทืออยู่ทำไม ออกไปรับหน้าคุณชายก่อนซี้”
“ค่ะ ค่ะ เตรียมน้ำเตรียมท่า นังกำไล”
ทุกอย่างดูวุ่นวาย
ชายรองเดินเรื่อยเปื่อยเข้าไปในสวนบ้านคุณหญิงรัชฎาเพราะเข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของบ้านราชดำริ
เขามองเลยไปก็เห็นกลุ่มคนงานกำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่แคร่ไม้ไกล ๆ ชาายรองไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจจึงจะเดินกลับ แต่แล้วก็สะดุดเมื่อเห็นผ้าถุงวางกองอยู่เป็นวงๆ เสียงเรียกมาจากเหนือหัว
“คุณ คุณ ช่วยเก็บมะม่วงหน่อยค่ะ กำลังจะหลุดแล้ว”
ชายรองมองไปเหนือตัวเห็นสาลินกำลังขมักเขม้นดึงช่อมะม่วงด้วยไม้สอยอยู่บนต้นไม้ สาลินกระชาก
อย่างแรงจนมะม่วงหลุดมาทั้งช่อ เศษใบไม้ร่วงกราว หล่นมาบนหัวของชายรอง แถมด้วยมะม่วงช่อใหญ่
ร่วงมาใกล้ ๆ ตัว ชายรองกระโดดโหยงเพราะรับไม่ทัน มะม่วงทั้งช่อหล่นมาแทบเท้า ที่พื้นมีเศษใบไหม้แห้ง
เกลื่อน ชายรองยิ่งหัวเสียปัดเศษใบไม้ออกจากหัว สาลินกำลังปีนต้นไม้ลงมาแล้วเสียหลัก
“โอ๊ย โอ๊ย คุณ ช่วยด้วย ขามันเกี่ยว”
ชายรองเข้าช่วย สาลินหันหลังให้เลยยังไม่เห็นหน้ากัน
“เอาขาออกมาก่อน ฉันช่วยรับเธอไว้แล้ว”
“ค่ะ ค่ะ”
สาลินเอาขาออกจากง่ามไม้แล้วเซลงมาจากต้น ชายรองประคองไว้ สาลินเซมาซบ
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“ไม่เป็นไรค่ะ” สาลินตอบ
สาลินเงยหน้ามองชายรอง
“ขอบคุณนะคะ คุณ คุณ”
ชายรองตกใจ “เธอ”
ชายรองปล่อยร่างสาลิน ทั้งสองแยกจากกันทันที
“อย่า อย่าบอกนะว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ที่ต้องมาเจอเธอที่นี่”
“เวรกรรมทำเข็ญ ฉันอยู่ของฉันดี ๆ คุณตามมารังควาญฉันถึงที่นี่”
“เธออยู่ที่นี่เหรอ อย่าบอกนะว่าเธออยู่ที่บ้าน” ชายรองจะชี้ไปที่บ้านราชดำริ
เสียงกลุ่มหนุ่มคนงานตะโกนมา
“น้อง เก็บมะม่วงได้เยอะไหม เดี๋ยวพี่จะทำน้ำปลาหวานให้”
“อ้อ นั่นเพื่อน ๆ เธอซีนะ”
“แล้วคุณล่ะมาทำอะไรที่นี่ บ้านคุณหญิงรัชฎา อ้อ คงมาหาลูกสาวคุณหญิงซีนะ นักเรียนนอกเหมือนกันนี่”
“วันนี้ฉันโชคร้ายจริง ๆ คนนึงฉันถูกบังคับให้มาเจอ ส่วนเธอ ไม่ได้อยากเจอแต่ก็ต้องมาเจอจนได้ เวรกรรมอะไรแบบนี้”
“ตายแล้ว มะม่วงฉัน”
สาลินรีบถลาไปเก็บมะม่วงใส่กระจาดแล้วแอบโกยเอาเศษใบไม้แห้งใส่กระจาดมาจนเต็ม
“คนอะไร รับมะม่วงก็ไม่ได้ อ้อ ลืม เป็นคุณชายนี่เอง คงจะสำรวยสวยกราก หยิบโหย่งจนทำอะไรไม่เป็น” สาลินว่า
“นี่เธอว่าฉันเหรอ”
ชายรองดึงแขนสาลินขึ้น
“โอ๊ย ปล่อยนะ ฉันเจ็บ”
“ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นเธอนะ สารภาพมาเสียดี ๆ ว่าเธอว่าฉัน แล้วขอโทษฉันด้วย”
“ไม่ นอกจากจะไม่ขอโทษ ฉันจะลงโทษคุณอีกต่าง”
“ลงโทษฉัน ยังไงเหรอ จะเอาน้ำมาราดฉันอีกละซี เสียใจนะ เพราะในสวนอย่างนี้คงไม่มีน้ำไว้ราดกางเกงฉันหรอก”
“ไม่ต้องใช้น้ำก็ได้นี่คะ ฉันราดด้วยไอ้นี่ก็ได้”
พูดจบ สาลินก็ราดเศษใบไม้ลงเต็มหัวชายรอง
“ฮ่ะฮ่ะ อุ๊ย คุณชาย หล่อกว่าเดิมเยอะเลย”
ชายรองปัดเศษใบไม้
“ขอฟาดหน่อยเถอะ”
ชายรองหยิบกิ่งไม้แห้งเอามาทำเป็นไม้เรียว ก่อนจะวิ่งไล่สาลินไปรอบ ๆ ต้นไม้
“จ้างให้ก็จับไม่ได้”
สาลินวิ่งหนีไปทางสวนบ้านคุณหญิงแล้วหันมาแลบลิ้นใส่
“แหยะ ตาเจ้าไม่มีศาล”
สาลินวิ่งหายไป กิตติหอบจนตัวโยน กลุ่มคนงานหัวเราะขำ กิตติหันขวับไปมอง คนงานก้มหน้างุดทันที
“ยายเด็กบ้า อ้อ คงเป็นพวกคนงานบ้านนี้ ถึงได้ไม่มีใครสั่งใครสอน”
ชายรองเดินกลับไปทางบ้านราชดำริ โดยเศษฝุ่น เศษใบไม้ยังติดตามตัว
สะใภ้จ้าว ตอนที่ 3 (ต่อ)
ชายรองเดินกลับมาอย่างหัวเสีย เขาพบสอางค์ยืนรออยู่โดยยิ้มอย่างฝืนเต็มที
ศรีจิตรายังหลบอยู่หลังพุ่มไม้ กำไลกับพิศยืนรออยู่ด้วย ทั้งสองมองชายรองด้วยความปลาบปลื้มที่เพิ่งเห็นตัวจริงครั้งแรกวันนี้
“ได้เวลา ผมคงต้องกลับแล้วละครับ”
“แหม คุณชายขา ดิฉันขอร้องให้อยู่อีกสักพักได้ไหมคะ ยายศรีคงจะออกไปตลาด เดี๋ยวก็กลับค่ะ”
“ขอโทษนะครับ ผมมีนัดพอดี แล้วก็ควรจะตรงเวลาด้วย”
“เหรอคะ งั้น ไม่เป็นไรค่ะ” สอางค์บอก
“ผมลาครับ” ชายรองบอก
ชายรองไหว้สอางค์ ยอดเปิดประตูให้ชายรองแล้วขึ้นขับแล่นออก
“ฉันอ่อนใจจริง ๆ ลงทุนลงแรงไป เสียหมด”
พูดจบ รถสามล้อถีบก็แล่นเข้ามา สร้อยและนางผาดถือตะกร้าของสดมาเต็มรถ พิศและกำไลช่วยขนของ
“คุณพี่ สวัสดีค่ะ เอ รถใครคะ คันใหญ่เบ้อเริ่มแล่นสวนออกไป”
“จะรถใครล่ะยะ ก็รถคุณชาย กิตติน่ะซี”
“หา รถคุณชาย คุณชายมาที่นี่เหรอคะ”
“ย่ะ แม่มหาจำเริญ ฉันอุตส่าห์หน้าด้านหน้าทน ทำทีเป็นขอติดรถคุณชายให้มาส่งที่นี่ หวังจะให้เจอแม่ศรี แต่หล่อนกลับพาแม่ศรีไปตลาด เจริญจริง ๆ”
“เปล่าค่ะ ยายศรีไม่ได้ไปตลาดกับหนู”
“อ้าว แล้วหายไปไหนล่ะ”
“หาทั่วบ้านก็ไม่เจอค่ะ”
ศรีจิตราแอบฟังนิ่งอยู่
สาลินหัวหูเลอะไปด้วยเศษใบไม้แห้ง เธอลอดรั้วเข้ามาพร้อมมะม่วงใส่มาเต็มชะลอม ศรีจิตรารีบเช็ดน้ำตา
“พี่ศรี เมื่อกี้สาเจอใครรู้ไหม อีตาคุณ”
ศรีจิตราทัก “เงียบก่อนยายสา”
สาลินมองไปที่สองป้าและสาวใช้ที่กำลังออกงิ้วกันอยู่
“อ้าว ป้าสอางค์มา แล้วเอะอะอะไรกันคะ” สาลินถาม
“เอะอะที่เราสองคนหายไปน่ะซี”
สาลินงง
“สา เอาอย่างนี้นะ เดี๋ยวเราออกไปพร้อมกัน สาบอกนะว่าพี่ไปเก็บมะม่วงบ้านคุณหญิงกับสา”
“ทำไมคะ”
ศรีจิตราว่า “เอาเถอะน่า”
สองสาวหิ้วชะลอมออกมาจากรั้ว เดินตรงมาหาสองป้า
“นั่นไงคะ มาแล้ว” พิศบอก
“ยายศรี หายไปไหนมา หากันทั่วบ้าน” สอางค์ถาม
“ไปเก็บมะม่วงบ้านคุณหญิงรัชฎาค่ะ”
“ว้าย....ฉันห้ามแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ไปยุ่งบ้านโน้น มีแต่คนงานกลัดมัน”
“แหม....มะม่วงก็กำลังกลัดมัน เอ๊ย สุกงอมพอดีค่ะ”
“น่าตีจริง ๆ ยายคนนี้ พาพี่สาวไปโลดโผนกับหล่อนด้วย”
“มีอะไรเหรอคะ”
“คุณชาย กิตติเขามารอพบเราอยู่ พอไม่เจอเขาก็ลากลับ”
“หา คุณชายมารอพบ”
“หนูไม่ทราบค่ะ ขอโทษค่ะคุณป้า”
สาลินมองพี่สาวด้วยความสงสัยว่าทำไมต้องโกหก
“หวังว่าจะให้เจอกัน ทำความรู้จักก่อนที่เราจะเข้าวัง ความหวังฉันพังหมด”
“ถ้าเขาอยากเจอจริง เขาก็ต้องอยู่รอซีคะ แสดงว่าเขาไม่อยากเจอ”
สอางค์อึ้งไปเพราะคิดในใจว่าจริงของมัน
“อ้าว แม่นี่ ยังจะไปว่าคุณชายเขาอีก หล่อนทำผิดยังไม่สำนึก ไป ไปไหนก็ไป”
“ค่ะ”
สาลินรีบพาศรีจิตราแยกไปทันที พิศ กำไล ผาดเดินตาม สอางค์กระซิบสร้อย
“นี่ฉันก็หวังนะ คุณชายมาเจอแม่ศรี เห็นน่ารักกะหลิบกะร่อย อาจจะลืมยายคุณหญิงก้อยเลยก็ได้”
“นั่นซีคะคุณพี่ ยายศรีงามเหมือนบุษบาอย่างนี้ ภูมีดูนางไม่วางตาแน่ ๆ” สร้อยบอก
สาลินดึงศรีมามุมปลอดคน
“พี่ เห็นอีตาคุณชายแล้วเหรอ หน้าตาเป็นยังไง”
ศรีจิตราซึม “ก็หล่อนะ ภูมิฐาน เป็นผู้ใหญ่ แต่”
“แต่อะไร”
“แต่ก็เย็นชา ดูหยิ่ง ๆ ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่”
“มาอีหรอบเดียวกันเลย แล้วทำไมพี่ไม่แสดงตัว แถมโกหกว่าไปเก็บมะม่วงกับสาอีก” สาลินบอก
“พี่ไม่อยากเจอเขาตอนนี้น่ะซี”
“สาเข้าใจ พวกคุณชายขี้เก๊ก หยิ่ง ๆ น่าหมั่นไส้ คิดว่าตัวเองวิเศษคนเดียว คนอื่นต้อยต่ำไปหมด ถ้าพี่ไม่ชอบเขานะ ทูลเสด็จปฏิเสธการหมั้นหมายไปเลย”
“ยายสา อย่าให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลย”
“เมื่อกี้คุณป้าบอกชื่อ กิตติ กิตติอะไรคะ”
“กิตติราชนรินทร์ วุฒิวงศ์”
“ยี้ คนอะไร ชื่อยาวตั้งวา ยาวกว่านามสกุลอีก เอาไปตั้งชื่อคนได้อีกสามสี่คน”
เสียงสร้อยแว่วมา
“ยายศรี ยายสา หายไปไหนอีกแล้ว มาเคี่ยวน้ำตาลทำน้ำปลาหวานซียะ”
สาลินรีบกลับไป ศรีจิตรายังถอนใจกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่
ศาลาท่าน้ำไม้เลื้อยคลุมหลังคาออกดอกพราว
คุณยาย สาลินและเจ้าแกะกำลังใส่บาตรที่บันได คุณยายถือขันข้าว สาลินถือถาดวางกระทงใบตองใส่กับข้าวและห่อขนมทรงเรียวสวย ในเรือหลวงตาใจดีนั่งอยู่กับเด็กวัดพายเรือ หลวงตาปิดฝาบาตร
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ ก็จะเลิกพายเรือบิณฑบาตรแล้วนะโยม” หลวงตาบอก
“อ้าว ทำไมล่ะคะ หลวงตา” สาลินถาม
“พวกทางถนนเขาขอมาว่าให้ไปรับบาตรทางถนนบ้าง อีกอย่างไอ้เบิ้มนี่มันเต็มที มันพายเรือถลากถลำ วันก่อนไปล่มหน้าวัด ข้าวปลา หนมนมเนย ลอยฟ่องทั้งคลอง”
คุณยายตกใจ สาลินกลั้นหัวเราะ เจ้าแกะสอดขึ้น
“อย่างงี้ก็เรือล่มเมื่อจอดซีหลวงตา”
หลวงตาค้อน คุณยายเอาขันข้าวโขกหัวเจ้าแกะโป๊ก
“พรุ่งนี้ อิฉันก็ต้องไปใส่บาตรที่ถนนแล้วซีคะ เฮ้อ บ้านเมืองเปลี่ยนไปเยอะนะเจ้าคะ ตั้งแต่มีถนนตัดมานี่”
“เจริญพร ไปล่ะนะ โยม นังหนู เจ้าแกะ”
สาลิน คุณยาย และเจ้าแกะไหว้พระด้วยความนอบน้อม คุณยายมองดูสาลิน
“เออ ยายสา ไหว้พระไหว้เจ้าดี ๆ ก็เป็นนี่”
“แหม คุณยาย หนูก็เป็นกัลยาณีเหมือนกันนี่คะ ถึงจะไม่ครบห้า เป็นเบญจกัลยาณีอย่างพี่ศรีก็เหอะ”
สาลินทำมือประสานยิ้มละไม คุณยายเอาขันข้าวโขกหัวโป๊ก สาลินกุมหัวโดยเลิกเป็นกัลยาณีในฉับพลัน
ถนนตัดใหม่สองข้างทางยังคงเป็นเรือกสวนเห็นต้นไม้เขียวขจี มีตึกแถวขึ้นใหม่ประปราย ถัดไปมีปั้มน้ำมันใหม่เอี่ยมที่กำลังก่อสร้าง ซอยเข้าบ้านอยู่ถัดจากปั้มไปเล็กน้อย คุณตา คุณยายแต่งตัวแบบจะไปตลาด สาลินแต่งตัวสวย เจ้าแกะใส่ชุดนักเรียนโรงเรียนประชาบาลออกมา เจ้าแกะยกมือไหว้ลา แล้ววิ่งข้ามถนนหายไป
รถเก๋งคันใหญ่แล่นมาจอด สาวใหญ่ผิวคล้ำ หน้ากร้านกรำแดด แต่แต่งตัวแต่งหน้าทำผมโป่ง ลงมากับเด็กสาวหน้าซีด แต่งตัวทันสมัย
“จะไปไหนกันคะ คุณน้า” พุดซ้อนถาม
“ใครกันหือม์ อ้าว แม่พุดซ้อนเองหรือนี่” ตาถาม
“เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นพุทธชาติแล้วค่ะ”
สองตายายกับสาลินทำตาปริบๆ พุทธชาติวางท่าคุณนายแล้วกระดิกนิ้วให้แหวนเพชรวูบวับ
“แต่งตัวซะเปิ๊ดซะก๊าดเชียว”
พุดซ้อนฉีกยิ้ม “อ้าว ชบาทิพย์ สวัสดีคุณตา คุณยายหรือยัง”
ชบาทิพย์ยิ้มแหยด้วยท่าทางยังไม่คุ้นชินกับชีวิตใหม่ เธอยกมือไหว้
“หนูไหว้จ้ะ” ชบาทิพย์พูด พุดซ้อนถลึงตา “สวัสดีค่ะ”
พุดซ้อนหันมาลูบรถตนเอง
“นี่รถคันใหม่ค่ะ ซื้อมา 2-3 คัน รถยุโรปทั้งนั้น”
“แล้วนี่แม่พุด” ยายชะงัก
“พุทธชาติค่ะ”
“แม่พุทธชาติมีธุระอะไรเหรอจ๊ะ”
“แวะเอาขนมมาให้! พุทธชาติมาดูปั้มน้ำมันค่ะ นี่ก็เกือบแล้วเสร็จ ก็ลงทุนลงรอนไว้ให้ลูกชบาทิพย์ดูแล อ้อ ขอตัวก่อนนะคะ นัดช่างรับเหมามาคุยจะสร้างตึกแถวน่ะค่ะ ลาค่ะไปนะจ๊ะ สาลิน”
สองแม่ลูกเศรษฐีใหม่ยกมือไหว้แล้ววางท่าไปขึ้นรถ
“เมืองนนท์เราทำท่าจะเป็นเมืองกรุงไปแล้ว”
“ถนนตัดมา ที่ขึ้นราคา เลยขายที่ร่ำรวย กลายเป็นเศรษฐีกันหมด”
“ชื่อพุดซ้อนก็กลายเป็นพุทธชาติ หนูชบาก็กลายเป็นชบาทิพย์” สาลินว่า
“เถอะน่า เขาเป็นคหปัตนีแล้ว จะให้มีชื่อเป็นชาวบ้านอยู่ได้ยังไง” ยายบอก
“ฮึ มีแต่คนอยากเป็นผู้ดีกันทั้งนั้น” สาลินว่า
แท็กซี่ตาผลขับมาจอด ตาผลลงมา
“เติมน้ำมันเรียบร้อยแล้วครับ”
“ไปค่ะ คุณตา คุณยาย ส่งคุณยาย คุณตาที่ตลาดก่อนนะ แล้วไปส่งหนูที่ห้องสมุดเลย”
ทุกคนขึ้นรถแต่ยังได้ยินเสียงสาลิน
“ทีหลังก็ไม่ต้องไปเติมน้ำมันไกลแล้วนะตาผล เติมปั้มน้าพุทธชาตินี่ก็ได้”
“พุทธชาติ อ๋อ นังพุดซ้อนน่ะหรือครับ มันขับรถไปอวดเค้าทั่วทุกบ้านแหละครับ” ผลว่า
เสด็จประทับบนตั่ง คุณสร้อยและคุณสอางค์อยู่ตรงหน้าโดยเรื่องที่คุยกันค่อนข้างส่วนตัว
มาลาและวรรณาจึงถูกไล่ออกไป
“เรื่องศรีจิตรามาอยู่ที่นี่ แม่สร้อย เธอคิดเห็นเป็นยังไง”
สร้อยสบตาสอางค์แล้วพูดอึกอัก
“เอ้อ เพคะ”
“มีอะไรก็พูดมาแม่สร้อย อึกอักอ้ำอึ้งอยู่ได้” เสด็จบอก
“ก็เรื่องคุณชายรองกับคุณหญิงก้อยน่ะซีเพคะ หมู่นี้มาพร่ำพรอดกันที่ตำหนักโน้นแทบทุกเย็นเลยเพคะ”
“ก็นี่แหละฉันถึงจะได้ให้ศรีจิตรามาอยู่ที่นี่ ตารองจะได้เลิกพาแม่ก้อยมาซักที”
“แต่ยังไงมันก็ยังคาราคาซัง เอ้อเร้อเอ้อเต่ออยู่นะเพคะ”
“เสด็จจะไม่ทรงยื่นคำขาดกับคุณชายรองหรือเพคะ”
“เรื่องจะไปยื่นคำขาดแบบนั้นฉันทำไม่ได้หรอก ตารองโตป่านนี้แล้ว ให้เขาตัดสินใจเอง”
“เพคะ”
“แต่แม่สร้อยเย็นใจได้ ฉันไม่มีวันรับยายก้อยเป็นสะใภ้แน่นอน”
สร้อยยิ้มออกสบตาสอางค์
“ถ้าอย่างงั้นหม่อมฉันก็คลายใจเพคะ”
“ไป ได้เวลาน้ำชาแล้ว ไปกันเถอะ”
เสด็จประทับยืน สอางค์เดินนำมาที่ประตู สร้อยเดินตามหลัง
“นี่นางมาลา วรรณา คงพาพวกมาแอบฟังตามเคย”
“ยิ่งทรงพระทัยดี นังพวกนี้ก็ยิ่งลามเพคะ”
สอางค์เปิดประตูผางออกไปแล้วพบว่านอกประตูว่างเปล่าไม่มีใคร เสด็จทรงแปลกพระทัย
สอางค์กับสร้อยมองทางซ้ายก็เห็นว่าตลอดด้านว่างเปล่าไร้ผู้คน สอางค์ สร้อยยื่นหน้ามองทางขวา
พบว่าด้านขวาก็ดูร้างไร้ผู้คน
“ว้ายอะไรกันนี่ ยังกะวังร้าง นังพวกจริตดกหายไปไหนกันหมด”
นางข้าหลวงหมดทั้งวัง ทั้งสาวน้อย สาวใหญ่ สาวใกล้แซยิดนั่งกันอยู่สลอน บ้างหัวเราะคิกคัก บ้างเอียงอาย บ้างแอบหลังพุ่มไม้ บ้างกอดเสาศาลา มองตรงขึ้นไปบนศาลาด้วยดวงตาวาววาม
ชายเล็กนั่งอยู่เป็นไข่แดง มาลากับวรรณานั่งระทวยอยู่ใกล้ บดินทร์มีหนังสือภาษาอังกฤษและ
สมุดจดโน้ต ปากกาด้ามทองวางอยู่
“โธ่ แหม่มน่ะสวยหรอก แต่ตัวยังกะตึก ไม่เอวบางร่างน้อยเหมือนมาลา” ชายเล็กบอก
“ว้าย คุณชาย วันก่อนคุณแม่บ้านยังว่ามาลาเอวช้างร่างหนาอยู่เลย”
“แล้วผิวพรรณวรรณะล่ะคะ วรรณาเห็นว่าขาวยังกะงาช้าง”
“ขาวก็ขาวหรอกฮะ แต่ว่าผิวมันหยาบกร้าน แถมยังขนเยอะ ดีไม่ดีบางคนมีหนวดด้วย”
“อี้ย์ ขยะแขยง”
“ไม่มีผิวเรื่อเหลืองนวลละอองอย่างวรรณาหรอก”
“วุ้ย คุณชายเล็ก”
มาลากับวรรณาคิกคัก บรรดานางอื่นๆก็คิกคักด้วยเหมือนบดินทร์พูดกับตัวเอง ทางเบื้องหลัง สอางค์กับสร้อยยืนทำตาปริบๆอยู่
“เอ้านี่ แม่คุณ แม่ทูนหัว มาหลงรูปจูบเงาอยู่นี่เอง”
ทุกนางสะดุ้งตื่นจากภวังค์รัก สอางค์กับสร้อยก้าวแหวกดงนางข้าหลวงเข้าไป
“เสด็จจะเสด็จลงเดี๋ยวนี้แล้ว เครื่องว่าง เครื่องน้ำชาอยู่ไหนยะ”
“ว้ายหลงเวลา ไป เร้ว”
มาลากับวรรณานำขบวนข้าหลวงวิ่งกรูเกรียวคิกคักกันไป พริบตาเดียวก็หายไปหมด สอางค์กับสร้อยก้าวขึ้นศาลา ชายเล็กลุกขึ้นรับยกมือไหว้ก่อน สอางค์และสร้อยรีบรับไหว้โดยย่อตัวอย่างต่ำ
“สวัสดีครับ คุณสอางค์ โอ นี่ คุณสร้อยใช่ไหมครับนี่ โธ่ ผมจำแทบไม่ได้”
สร้อยยิ้มโดยเริ่มมีอาการระริกระรี้
“วุ้ย ไปเมืองนอกแค่ 3-4 ปีเท่านั้นเอง ถึงกับจำอิฉันไม่ได้เชียวหรือคะ”
“โธ่ ก็คุณสร้อยสาวขึ้น สวยขึ้นอย่างนี้ ผมจะจำได้ยังไงล่ะครับ”
สร้อยระริกระรี้ไม่ผิดจากนางข้าหลวงเมื่อครู่
“วุ้ย คุณชายเล็ก นี่คงพูดแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนใช่ไหมคะ”
สอางค์ค้อน “ก็ใช่น่ะซี คราวก่อนก็พูดกับพี่แบบนี้ทุกคำ”
“โธ่ ก็พูดกับคุณสร้อย คุณสอางค์เท่านั้นแหละครับ นี่เด็จป้ายังไม่เด็จลงหรือครับ”
“เด็จเข้าไปในห้องสมุดค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวผมไปเชิญเด็จมาเอง”
ชายเล็กเดินลงจากศาลาโดยทิ้งหนังสือนิยายไว้บนโต๊ะ สอางค์และสร้อยมองตามอย่างชื่นชม
ชายเล็กเดินผิวปากมาในสวนแล้วชะงักก่อนจะตบดูตามเสื้อและกางเกง
“อ้าวเฮ้ย ลืมหยิบหนังสือนิยายมาคืนเสด็จ”
ชายเล็กหันกลับไป
สอางค์ดึงสร้อยลงนั่งก่อนจะมองดูรอบๆเห็นไม่มีใคร
“นี่แม่สร้อย เธอคิดเหมือนฉันหรือเปล่า”
“คิดเรื่องอะไรคะ คุณพี่” สร้อยถาม
“คุณชายเล็กน่ะยังตัวเปล่าเล่าเปลือย อย่าลืมซี เรายังมีหลานสาวอีกคน” สอางค์ว่า
“แม่สาลินน่ะหรือคะ ว้าย ไม่ไหวล่ะค่ะคุณพี่ แม่นั่นน่ะยิ่งกว่าทหารพระราม”
ชายเล็กก้าวมาชะงักกึกอยู่หลังพุ่มไม้
“กิริยามารยาทยังกะอีแก้วหน้าม้า ให้อยู่ก้นสวนเมืองนนท์น่ะดีแล้ว”
“แหม คุณชายเล็กก็ซุกซนหยอกอยู่เมื่อไร อาจจะติดเนื้อต้องใจก็ได้”
“หนูกลัวจะขายหน้าวันละห้าเบี้ย”
“ก็เอาแม่สาลินมาฝึกซะในวัง”
“หนูก็ยังกลัวว่าเป็นทหารพระลักษณ์”
สองสาวยังคงถุ่มเถียง ชายเล็กยืนยิ้มในหน้าด้วยดวงตาที่มีแววสนุกสนาน
รถของชายเล็กแล่นมาตามถนน
ชายเล็กอยู่หลังพวงมาลัยโดยมีคุณสร้อยนั่งข้าง
“เกรงใจคุณชายจริงๆค่ะ แต่วันนี้รถที่บ้านเสีย จะขึ้นแท็กซี่ก็กลัว”
“กลัวอะไรครับ”
“ก็ที่เป็นข่าวอยู่ตอนนี้ไงคะ แท็กซี่โปะยาสลบผู้โดยสาร “สาว” แล้วพาไป เอ้อ ทำมิดีมิร้าย”
ชายเล็กทำหน้าพิกลคล้ายแทบจะบอกว่า “อย่างคุณสร้อยไม่โดนหรอกครับ”
ชายเล็กพูด “วันนี้เห็นคุณสร้อยขนผลไม้มาถวายเสด็จป้าเยอะแยะ คุณสร้อยมีสวนที่นนท์ด้วยหรือครับ”
“ไม่ใช่ของอิฉันหรอกค่ะ แต่เป็นของแม่อุ่นเรือนน้องสะใภ้ดิฉัน”
“บ้านสวนนี่ต้องนั่งเรือไปหรือเปล่าครับ”
“เดี๋ยวนี้ไม่ต้องแล้วค่ะ มีถนนตัดผ่าน เจริญขึ้นกว่าเดิม มีรถเมล์ผ่านแล้วค่ะ เห็นว่าอยู่เยื้องกับตลาดใหญ่ มีปั๊มน้ำมันอยู่ใกล้ๆค่ะ”
ชายเล็กทบทวนเบาๆ
“เยื้องตลาดใหญ่ มีปั๊มน้ำมันอยู่ใกล้ๆ”
“อะไรนะคะ”
“เปล่าครับ”
ชายเล็กทำหน้าเฉย
รถชายเล็กแล่นมาจอดลงหน้าประตูรั้วบ้านราชดำริ ชายเล็กกดแตร ทันใดนั้นประตูบานเล็กก็เปิดออก กำไลโผล่มา คุณสร้อยสะดุ้ง
“ว้าย นังกำไล” สร้อยชะโงกหน้าออกจากรถ “เอ้าเปิดประตูเร็วๆซี่หล่อน”
กำไลผลุบเข้าไปแล้วประตูรั้วก็เปิดออก บานหนึ่งกำไลจับเปิดออก บานหนึ่งศรีจิตราเป็นคนเปิด
ชายเล็กมองดูศรีจิตรา แสงไฟหน้ารถส่องเข้าที่ศรีจิตราทำให้ผิวที่เหลืองยิ่งเรืองรองขึ้น ชายเล็กมองอย่างทึ่ง แล้วขับรถผ่านศรีจิตราพลางหันมามองซ้ำ ศรีจิตรามองเข้าไปพอเห็นสายตาชายเล็กร์ก็ชะงักจึงนิ่งอย่างไว้ตัว รถชายเล็กแล่นเลยเข้าไป กำไลก้าวมายืนข้างศรีจิตราแล้วชะเง้อมองตาม
“คนขับรถวังเสด็จนี่หน้าตาดีจังค่ะ คุณศรี ฮิ ฮิ ฮิ”
“ไม่ใช่คนเก่าที่ขับมาบ้านเราบ่อยๆ นี่”
“คงคนขับรถตำหนักเล็กน่ะค่ะ วังโน้นมี 2 ตำหนักไงคะ”
ศรีจิตราพยักหน้า
จบตอนที่ 3