รอยรัก แรงแค้น ตอนที่ 11
อีกฟากหนึ่ง ตรงบริเวณชายหาดอันเงียบสงบ สะอาด และสวยงาม มุกรินนั่งเหม่อมองผืนฟ้าและแผ่นน้ำอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง จนสักพักหนึ่งปรารภจึงเข้ามาหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ เธอ
“พี่นั่งตรงนี้ด้วยคน จะทำให้มุกเสียอารมณ์มั้ยครับ”
“มุกไม่เคยอารมณ์เสียเพราะพี่รภเลยซักครั้ง”
“ถือเป็นหนึ่งในความภูมิใจของพี่”
ปรารภยิ้มให้มุกรินอย่างอบอุ่น อีกฝ่ายยิ้มตอบ
“พี่รภมีแต่จะทำให้มุกอารมณ์ดีมากขึ้นต่างหาก”
“พี่ภูมิใจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะเนี่ย” พ่อหม้ายเมียสามลูกสองยิ้ม
“มุกอยากให้พี่รภรู้สึกอย่างนั้นค่ะ”
ทั้งสองต่างมองทอดสายตาออกไปไกล สักพักปรารภจึงเอ่ยปาก
“ถ้ามีใครมองมาที่เราตอนนี้ เขาต้องคิดว่าเราเป็นคู่รักกันแน่ๆ เลย”
มุกรินยิ้มนิดๆ ไม่เอ่ยปากอะไร
“เขาอาจจะคิดได้สองแบบ หนึ่ง ไอ้คู่นี้ต้องกำลังทะเลาะกันแน่ๆ น่าจะนัดกันมาเคลียร์ ปรับความเข้าใจ แต่ดูท่าแล้ว คงไม่สำเร็จ เพราะฝ่ายหญิงยังดูเฉยชา มึนตึง และห่างเหินฝ่ายชายอยู่มาก”
มุกรินมองหน้าปรารภ
“มุกทำท่าอย่างนั้นเหรอคะ”
“เปล่า...แต่มองมาจากระยะไกล อาจจะเข้าใจอย่างนั้นได้”
“แล้วถ้าคิดอีกแบบล่ะคะ”
“คิดแบบที่สอง ฝ่ายชายคงกำลังขอฝ่ายหญิงแต่งงาน”
มุกรินมองหน้าปรารภ เขาเองก็มองจ้องไปในดวงตาของเธอ มุกรินสัมผัสได้ถึงความรู้สึกลึกซึ้งบางอย่างจากตาคู่นี้ของปรารภ
“ผู้ชาย พยายามพร่ำพูดถึงความรักที่มีต่อเธอ และบอกให้เธอรู้ว่าเขาเฝ้ารอคอยเธอมานานแสนนาน และวันนี้เขารู้แล้วว่าเขาขาดเธอไม่ได้ ฝ่ายหญิงนั่งนิ่งเงียบ ฝ่ายชายก็พูดพรรณนาไม่ยอมหยุด”
ปรารภหยุดพูดชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ยปากต่อ
“ดูจากภาษากายแล้ว เชื่อได้ว่า ฝ่ายชายคงจะผิดหวัง”
“เป็นการมองจากระยะไกลใช่มั้ยคะ”
“แล้วถ้ามองในระยะใกล้ล่ะ ระยะเดียวกับที่พี่กำลังมองมุกอยู่ มุกว่าคนอื่นเขาจะคิดแบบไหนมากกว่ากัน”
“มุกตอบแทนคนอื่นไม่ได้หรอกค่ะ”
ทั้งสองยังคงมองหน้ากัน นิ่ง
“อาจมีบางคนคิดอีกแบบนึง เป็นแบบที่สาม”
“คิดว่า…”
“คิดว่าพี่ฉุดมุกมาแหงๆ”
มุกรินยิ้มขำ “มุกเต็มใจให้พี่รภพาหนีต่างหาก”
ปรารภยิ้มกว้างขึ้น
“ภูมิใจมากขึ้นอีกมั้ยคะ”
“ล้นถึงนี่เลยละ”
ปรารภยกมือบอกระดับความล้นที่คอตัวเอง
“แล้วพี่ชายมุกจะคิดอย่างมุกมั้ย”
มุกรินปั้นสีหน้าเป็นคำถาม
“น้าแป๋วโทร.มาบอกพี่ว่า มีนักข่าวบุกไปที่บ้าน เพื่อถามหามุก”
“ถามทำไม”
“เพราะคลิปล่าสุดที่พักตราเพิ่งโพสต์”
“คลิปอีกแล้ว” มุกรินถอนหายใจเหนื่อยหน่าย
“เป็นภาพเหตุการณ์ที่หน้าบ้านพี่เมื่อวาน พร้อมกับข้อความใส่ร้ายว่า มุกคือคนที่ชอบแย่งผัวชาวบ้านเป็นอาชีพหลัก ผู้ชายคนใดเฉียดเข้าใกล้เธอ เสียอนาคตทุกราย”
“พี่รภน่าจะรู้สึกไม่ดีมากกว่า ที่ต้องมาเสียชื่อกับมุก”
“มุกก็รู้ว่าพี่เต็มใจ แต่พี่กลัวว่าถ้าพี่ชายมุกเห็นคลิปนี้เข้า เขาอาจจะคิดเป็นอย่างอื่น”
มุกริน นิ่ง เครียด
“พี่ว่า มุกโทร.หาพี่ชายซะหน่อยก็ดีนะ แค่บอกให้เขารู้ว่า มันไม่ได้เป็นอย่างในคลิปนั้น ดีกว่าปล่อยให้เขาเข้าใจเราผิดนะ มุก”
ปรารภส่งโทรศัพท์มือถือของเขาให้เธอ มุกรินตัดสินใจกดหมายเลขเบอร์ดวงดาวลงบนโทรศัพท์เครื่องนั้น
ดวงดาวนั่งอยู่ลำพังตรงเบาะหลังรถแท็กซี่ที่แล่นมาตามถนน เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น ดวงดาวกดปุ่มรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล”
พลันน้ำตาของดวงดาวก็ไหลทะลักออกมา
“ดีใจจังที่ได้ยินเสียงเธอ”
มุกรินเดินพูดโทรศัพท์ไปตามชายหาด ฉงนในน้ำเสียง
“ร้องไห้เหรอ”
“เปล่า เราดีใจน่ะ”
“น้ำเสียงเธอไม่ได้เป็นอย่างที่พูดเลยนี่”
ดวงดาวพยายามพูดด้วยเสียงปกติ ทว่าน้ำตากลับไหลทะลักออกมามากยิ่งขึ้น
“เสียงฉันก็เป็นอย่างนี้แหละ ฉันมีเสียงเดียว ไร้อารมณ์ ไม่งั้นฉันคงเป็นนักร้องดังไปแล้ว”
“เธอเห็นคลิปล่าสุดที่ยายพักตราโพสต์รึยัง”
“เต็มๆ ตาเลย”
“พี่ใหญ่เห็นมั้ย”
“ฉันเล่าให้เขาฟัง เขาเป็นห่วงเธอ ตามหาเธอให้ควั่ก เธออยู่กับนายปรารภรึเปล่า”
มุกรินเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนี้
“ฉันไม่อยากให้พี่ใหญ่เข้าใจฉันกับพี่รภผิด”
“อย่าเพิ่งห่วงเรื่องนั้นเลย คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดตอนนี้ก็คือพี่ชายเธอ ฉันเพิ่งพาเขาไปส่งโรงพยาบาล ตอนนี้อยู่ในความดูแลของหมอแล้ว แต่หลังจากวันนี้ เขาจะไม่มีใครคอยดูแลอีกแล้วนะมุก”
มุกรินใจหายวับ “หมายความว่ายังไง ดาว”
“ถึงเวลาที่ฉันต้องไปแล้วละมุก ถ้าไม่ลำบากจนเกินไป เธอหาเวลาแวะไปดูแลเขาหน่อยนะ ฉันรู้ว่าเขาป่วยเป็นโรคอะไรซักอย่างนึง ซึ่งน่าจะรุนแรงไม่น้อย ก็มีแต่เธอเท่านั้นหละมุก ที่เป็นกำลังใจให้เขาได้”
น้ำเสียงมุกรินใจหายไม่น้อย “ดาว”
“ลาก่อนนะ เสียใจที่ไม่สามารถช่วยให้ความรักของเธอสมหวังได้ แต่ก็ดีใจที่ได้มีโอกาสรู้จักเธอ มุกริน”
ดวงดาวกดปุ่มเลิกการสนทนา น้ำตาของเธอ ทะลักท่วมท้น มากยิ่งขึ้น ตรงเบาะที่นั่งข้างกายเธอ เห็นห่ออุปกรณ์การตรวจครรภ์วางอยู่ตรงนั้น มันผ่านการใช้งานมาแล้ว
ดวงดาว สะอื้นไห้ นึกถึง เหตุการณ์เมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้านี้
โดย ดวงดาวขอซื้ออุปกรณ์ตรวจการตั้งครรภ์ที่ร้านค้าในโรงพยาบาล แล้วเดินถืออุปกรณ์นั้นเข้าไปในห้องน้ำหญิง
ดวงดาวดูผลที่อุปกรณ์การตรวจครรภ์ มันแสดงผลว่าเธอตั้งครรภ์ ดวงดาวลูบท้องตัวเอง พร้อมกับร้องไห้ออกมา
หมอเปิดม่านเข้ามาในห้องพักคนไข้ เห็นธาดานั่งอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องนี้ หน้าตาของเขาดูซีดเซียวไม่น้อย ธาดาเอ่ยปากถามหมอทันที
“ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“คุณไม่รู้สึกตัวเลยเหรอ”
“ตอบผมก่อนได้มั้ยหมอ”
“หลานสาวคุณพามา”
ธาดาพยายามลำดับเหตุการณ์ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้
“แล้วเขาไปไหนแล้ว...หลานสาวผมน่ะ”
“หมอไม่ทราบครับ สมาธิของหมออยู่ที่คนไข้ ไม่ใช่ญาติคนไข้”
“งั้นผมกลับละนะ”
ธาดาขยับตัวลงจากเตียง หมอเอ่ยปากพูดน้ำเสียงจริงจัง
“ผมขออนุญาตถามคุณตรงๆ นะครับคุณธาดา คุณพอใจที่ร่างกายคุณตกอยู่ในสภาพอย่างนี้หรือเปล่า”
ธาดามีอาการหงุดหงิด ร้อนรน กระวนกระวาย เล็กน้อย
“ผมไม่เข้าใจคำถาม”
“คำถามของหมอไม่ได้ยากเลยนะครับ ตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว”
ธาดานั่งนิ่งเฉย ไม่คิดจะตอบคำถามใดๆ
“คุณไม่อยากรู้เหรอว่า ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในสมองของคุณ มันคืออะไรกันแน่ จะได้เยียวยาแก้ไขถูก”
ธาดาก้มหน้านิ่ง
“หรือถ้าคิดจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปเลย เป็นอะไรก็เป็นไป เลิกสนใจใยดีต่อสุขภาพของตัวเองก็บอกหมอมา หมอจะได้ไม่ต้องตามตื๊อ คุณอย่างนี้”
ธาดาเริ่มรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง แต่ก็ยังก้มหน้านิ่ง
“คุณยังอยากจะมีชีวิตอยู่มั้ยครับ โลกนี้ยังมีสิ่งสวยงามสำหรับคุณอยู่อีกหรือเปล่า”
“หมออยากให้ผมทำอะไรก็ว่ามาเลย”
“หมอจะขอเจาะชิ้นเนื้อบริเวณสมองของคุณมาตรวจ หลังจากนั้นก็แล้วแต่การตัดสินใจของคุณครับ ต้องการให้หมอทำยังไงก็บอกมา”
ธาดานิ่งคิด เครียดต่อไป
โทรศัพท์ในห้องลับบ่อนเสี่ยอ๋าดังขึ้น เสี่ยยกโทรศัพท์ขึ้นมาพูดสาย
“ฮัลโหล ผมนึกว่าคุณเปลี่ยนใจแล้วซะอีก เห็นข่าวสังคมซุบซิบกันสนั่น ว่าคุณแต่งงานกับลูกสาวนายพลซะแล้ว ทำไมมันรวดเร็วปานสายฟ้าแลบอย่างนั้นครับ หรือว่าทำเขาท้อง”
คิมหันต์นั่งพูดโทรศัพท์กลางห้องทำงานชุมสาย
“เสี่ยอย่าสนใจเรื่องนั้นเลย เอาเรื่องของเราดีกว่า”
“ไม่มีปัญหาครับ คุณสั่งเมื่อไหร่ ผมก็พร้อมลงมือได้ทันที”
“เดี๋ยวนี้เลย...ผมต้องการได้ตัวน้องสาวมันกลับมา เร็วที่สุด”
“ได้” เสี่ยอ๋าหัวเราะเบาๆ “เจ้าชู้ไม่เบาเหมือนกันนะ คุณคิมหันต์”
คิมหันต์วางโทรศัพท์ลง หันไปหาชุมสายยืนอยู่ในห้องนั้นด้วย ทนายหนุ่มเอ่ยปากน้ำเสียงเป็นห่วงเพื่อนไม่น้อย
“แกถลำลึกจนเข้าข่ายเป็นเจ้าพ่อเข้าไปทุกทีแล้วนะไอ้คิม”
คิมหันต์นิ่งเงียบ ไม่ใส่ใจคำพูดของชุมสายนัก
“ฉันจะไม่ถามว่าแกสั่งให้เสี่ยอ๋าทำอะไรบ้าง แต่ขอเตือนให้แกรู้นะ วันนึงที่สังคมขุดคุ้ยเรื่องราวของแก แกจะต้องมีคำตอบที่ชัดเจนให้กับสังคม”
“ฉันรู้...ถึงวันนั้นค่อยว่ากันอีกที”
“แกไม่สงสารผู้หญิงบ้างเหรอวะ”
“พี่มลก็เป็นผู้หญิงแกลืมแล้วเหรอ ที่ฉันทำอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อพี่มล ฉันไม่ต้องการให้พี่สาวของฉันตายฟรี”
“นอกจากพี่มลแล้ว แกเคยมีความรักให้ใครบ้างมั้ย รักแท้น่ะ”
คิมหันต์นิ่งนึก ครุ่นคิด จนเสียงโทรศัพท์สำนักงานดังขึ้น ชุมสายยกมันขึ้นมาพูด
“สำนักงานกฏหมายบูรพาครับ ทนายชุมสายพูด มีอะไรให้เรารับใช้ไม่ทราบ”
จู่ๆ สีหน้าของชุมสายก็ นิ่ง เครียดไป เขาส่งโทรศัพท์ให้คิมหันต์
“ฉันว่าแกควรจะเป็นคนรับสายนี้ว่ะ”
คิมหันต์รับโทรศัพท์มาพูด
“ฮัลโหล...คิมหันต์พูดครับ”
พลโทอรรถ นั่งพูดโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ กลางห้องทำงานในมูลนิธิฯ
“เห็นแล้วใช่มั้ยว่าการตามหาตัวนาย ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉัน ซึ่งรวมถึงการใช้กำลังกับนายด้วย ฉันก็สามารถทำได้โดยง่าย แต่เพื่อเห็นแก่สถานะลูกเขยของฉัน ร่างกายของนายจึงไม่ควรบอบช้ำไปมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นนายจงมาหาฉันแต่โดยดี เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตาย หรือ ทุพพลภาพ ฉันพูดแค่นี้ เธอคงเข้าใจนะ...ไอ้ลูกชาย”
สองคนนัดเจอกันในคลับบรรยากาศอบอุ่น อุดมไปด้วยความหรูหรา ดูดี พนักงานสาวเดินนำคิมหันต์ตรงไปยัง โซฟานุ่มน่านั่ง คิมหันต์นั่งมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง จนพลโทอรรถก้าวเข้ามาจากทางด้านหลังเขา
“แผลหายดีรึยัง”
“ไม่มีปัญหาอะไรครับ”
“แล้วความแค้นล่ะ ได้รับการเยียวยาขึ้นบ้างมั้ย สะใจพอรึยัง กับความช้ำใจของมุกรินและนายธาดา หรือถ้านายต้องการให้มันมากกว่านี้ รุนแรงกว่านี้ ฉันส่งคนของฉันไปจัดการให้ได้...สนใจจะใช้บริการมั้ย”
คิมหันต์อดจะถามไม่ได้ “เพื่ออะไรครับท่าน”
“เพื่อลูกสาวฉันไง”
คิมหันต์นิ่ง ไม่สามารถเอ่ยปากคำใดออกมาได้ อรรถใช้วาทศิลป์โน้มน้าวลูกเขยต่อ
“พูดตรงๆอย่างลูกผู้ชายนะ ถ้าฉันเป็นนาย ฉันก็อาจจะทำเหมือนนาย คือไม่เอาลูกสาวฉัน เพราะอะไร เพราะพักตรามีทุกอย่างมากเกินไป เธอพรั่งพร้อมไปซะทุกอย่าง รูปร่างหน้าตา การศึกษา ฐานะ เครดิตในทางสังคม ผู้ชายหลายคนอยากได้ผู้หญิงที่ไม่ต้องสมบูรณ์ ไม่ต้องเพอร์เฟ็กท์ และต้องไม่เหนือกว่าเขา นั่นคืออุดมคติ แต่เพราะฉันเป็นพ่อของพักตรา ฉันจึงรู้ว่าใครก็ตามที่มีโอกาสอย่างนาย ควรจะเลือกพักตรา เพราะนายสามารถแสวงหาอุดมคติของนายได้ตลอดเวลาในชีวิตที่เหลือ แต่โอกาสที่นายได้รับจากฉันอย่างนี้ มันจะมีเพียงครั้งเดียวเท่านัั้นในชีวิต”
“ท่านได้อย่างที่ท่านต้องการแล้วนี่ครับ หลังจากที่ผมยอมจดทะเบียนสมรส”
“ไม่พอ วันนี้หัวใจพักตรากำลังจะแหลกสลายลงทีละนิด เพราะนาย”
“ผมเตือนท่านแล้ว”
“นายไม่ได้เตือนฉัน นายขู่ฉัน ซึ่งฉันไม่กลัว และฉันขอขู่กลับไปว่า ถ้านายยังเลือกเดินแบบนี้ นายจะไม่เหลืออะไรเลยในบั้นปลายชีวิต จำไว้”
อรรถค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้น
“ฉันจะไปยุโรปสามอาทิตย์ ไปคนเดียว ไม่ต้องถามนะว่าธุระอะไร แต่เมื่อฉันกลับมา ฉันหวังว่าจะเห็นพักตรามีความสุขมากกว่าวันนี้ ทำให้ฉันได้มั้ย”
คิมหันต์นั่งก้มหน้านิ่ง
“ฉันไม่มีเวลาผิดหวังกับนายอีกแล้วนะ ไอ้ลูกชาย”
อรรถบีบไหล่คิมหันต์แรงๆ แล้วจึงเดินออกไปจากร้าน
มุกรินเอาแต่นั่งซึมเซา ขณะปรารภเดินมายังโต๊ะอาหารบนระเบียงสวยริมทะเล ซึ่งมุกรินนั่งอยู่ที่นั่น
“ผมโทร.เจอนายแพทย์ที่ดูแลพี่ชายมุกแล้วนะครับ”
“หมอเขาว่ายังไงบ้างคะ”
“หมอไม่บอกอะไรเลย แกไม่ยอมพูดทางโทรศัพท์ โดยเฉพาะ กับคนอื่นที่ไม่ใช่คนไข้ หรือเจ้าของไข้”
มุกรินถอนหายใจอย่างแรง บอกให้รู้ระดับความหนักใจ
“อย่างน้อยเราก็รู้ว่า พี่ชายมุกอยู่ในมือของหมอจริง” ปรารภปลอบ
มุกรินมิได้ผ่อนคลายความกังวลลงแม้แต่นิด
“กลับไปดูอาการพี่ชายคุณมั้ยครับ”
“ถ้าคิมรู้ เขาจะต้องตามไปซ้ำเติมพี่ใหญ่ถึงปลายเตียงแน่ๆ”
“งั้นเรารออยู่นิ่งๆ อีกซักพักนึง ดีกว่า พี่เช่าบังกะโลนี้ยาวไปอีกสองเดือนเลย มุกอยากได้อะไรเพิ่มเติม บอกพี่นะ”
“พี่รภ คะ”
“ไม่ต้องขอบคุณพี่อีกแล้วนะ พี่บอกมุกแล้วว่าพี่ทำด้วยความเต็มใจ”
“มุกจะตอบแทนพี่รภยังไงได้บ้างคะ”
“เอาไว้ถึงเวลานั้นแล้วพี่จะบอก...วันนี้นอนก่อนนะ”
“ค่ะ”
“ถ้านอนไม่หลับ เคาะห้องพี่ได้”
มุกรินมองหน้าปรารภยิ้มๆ
“พี่จะได้ออกมานั่งคุยเป็นเพื่อนแถวล็อบบี้นี้ไง”
“ขอบคุณค่ะ”
ปรารภเดินออกจากฉากชีวิตนี้ไป ด้วยหน้าตาอันสดชื่น
คิมหันต์เดินเข้าไปนั่งนิ่งเบื้องหน้ารูปภาพวิมลรัตน์ เสียงความคิดคิมหันต์ดังขึ้นในหัวเขา
“พี่มลครับ ผมเริ่มไม่รู้ตัวแล้วว่า ผมทำอะไรลงไป และไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมทำนั้นส่งผลอย่างไร กับใครบ้าง”
ขณะเดียวกันพักตราลุกขึ้นจากเตียงนอน วิ่งไปอาเจียนในห้องน้ำ เสียงคิมหันต์ดังเข้ามาในฉากนี้ด้วย
“ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่ามันผิดหรือถูก...รู้แต่เพียงว่า ผมต้องทำ”
ส่วนที่โรงแรมชายทะเล มุกริน นั่งเหม่อมองทะเลเพียงลำพัง เสียงคิมหันต์ดังต่อเนื่องมา
“มันเป็นการตัดสินใจทำตามสัญชาตญาณ เพื่อชำระ สะสางทุกคนที่กระทำกับพี่มลอย่างโหดเหี้ยม”
ที่บ้านวิมลรัตน์ คิมหันต์ ยังคงนั่งจ้องรูปวิมลรัตน์ นิ่งอยู่ที่เดิม บอกกล่าวกับพี่สาวผู้จากไป
“ถ้าดวงวิญญาณของพี่มลยังวนเวียนอยู่แถวนี้ และสามารถรับรู้ความรู้สึกนึกคิดของผมได้ พี่มลช่วยส่งสัญญาณบอกผมทีได้มั้ยครับ ว่าสิ่งที่ผมทำนั้นไม่ผิด มันเหมาะสมแล้ว ถูกต้องแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ไปมากกว่านี้”
ขณะที่ธาดาเดินพ้นออกมาจากล็อบบี้โรงพยาบาล จู่ๆ กลุ่มชายฉกรรจ์สามสี่คน เดินเข้ามาขนาบสองข้างของเขา ธาดาเริ่มมีอาการหวาดวิตก เขาตัดสินใจวิ่งไปยังรถของเขาที่จอดอยู่ กดรีโมทเปิดประตูรถ แต่ชายฉกรรจ์อีกคนก้าวมา จับประตูรถธาดาไว้นิ่ง
“เสี่ยอ๋าให้มาถามว่า เมื่อไหร่จะใช้หนี้” ชาย 1 ถาม
“มีเมื่อไหร่ก็ให้เมื่อนั้น”
“ตอบง่ายไปมั้ง”
“มึงจะเอาแบบยากๆ มั้ยล่ะ กูไม่มีเว้ย ไปบอกเสี่ยอ๋าด้วยว่า จะฆ่ากันถึงตายกูก็ไม่มีให้”
“เสี่ยอ๋ารู้อยู่แล้ว เสี่ยจึงต้องการ การปฏิบัติตามเงื่อนไข ข้อตกลง”
“เงื่อนไข ข้อตกลงอะไร” ธาดามองฉงน
“มุกริน เสี่ยต้องการตัว มุกริน”
“ฉันยังไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่ไหน”
”งั้นก็ไปตอบเสี่ยอ๋าเอาเองก็แล้วกัน”
ชายฉกรรจ์ทั้งหมดช่วยกันลากตัวธาดาไปโยนใส่รถตู้ของพวกมัน แล้วรถคันนั้นก็เคลื่อนตัวออกไปโดยไว
ไม่นานถัดมา ร่างธาดาถูกคุมตัวพาเข้ามาในห้องแคบๆ อุดอู้ ชายฉกรรจ์วางจานอาหารหลายประเภทเบื้องหน้าเขา
“เสี่ยกลัวว่าคุณจะหิว เห็นว่าเพิ่งออกจากโรงพยาบาล คงยังไม่ได้กินอะไร มีให้เลือกหลายขนาน ถูกปากจานไหนก็กินเข้าไป กินเยอะๆ นะ หลังจากมื้อนี้อาจจะไม่มีอะไรให้กินอีกแล้ว
ธาดามองไปรอบๆ ห้องอย่างระแวดระวัง
“ฉันต้องอยู่ที่นี่อีกหลายมื้อเหรอ”
“คุณต้องถามเสี่ยอ๋าเอาเอง”
ธาดาตะโกนโพล่งด้วยความหงุดหงิด
“ก็ไปตามเสี่ยมาซี่ ฉันมาถึงนี่แล้ว จะคุยอะไรก็ออกมาเลย เล่นตัวอะไรนักหนา หรือต้องมีดนตรียิ่งใหญ่เปิดตัวด้วยมั้ย”
เสี่ยอ๋าก้าวเข้ามาด้านหลังธาดาในจังหวะนี้
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับคุณธาดา ผมมันก็แค่ผู้ชายธรรมดาๆ ที่รักความถูกต้องคนนึงเท่านั้น”
“อุ้มผมมาเนี่ยนะ ความถูกต้อง” ธาดาคุมแค้น
“แล้วที่ยืมเงินผมเป็นล้านๆ แล้วชักดาบ มันถูกต้องมั้ยล่ะครับ”
ธาดาอึ้งไปนิดหนึ่ง จึงย้อนออกมา
“คุณโกงผม หลอกให้ผมยืมเงิน แล้วก็โกงผมจนหมดตัว”
“พูดได้นะคุณธาดา ใครบังคับให้คุณเล่น มีใครบังคับให้คุณยืมเงินรึเปล่าเปล่าเลยนะ การลงทุนมีความเสี่ยง คุณก็รู้”
ธาดาก้มหน้ายอมจำนน สักครู่จึงเงยหน้าถาม
“คุณต้องการอะไรจากผม”
”เจ้าหนี้ทุกคนต้องงานเงินคืน แต่ผมรู้ว่าคุณไม่มีเงิน เพราะฉะนั้น น้องสาวคุณต้องเป็นของผม”
ธาดาจ้องหน้าเสี่ยอ๋าตาเขม็ง
“แกจะทำอะไรน้องสาวฉัน”
“ไม่ทำอะไร แค่ต้องการเก็บไว้ทะนุถนอมใกล้ๆ มือ ใกล้ๆ ใจ ก็เท่านั้น”
ธาดายื่นหน้าเข้าไปชิดเสี่ยอ๋า เขาเปล่งเสียงเข้มผ่านริมฝีปากที่เหยียดตรง
“ถ้าน้องสาวฉันบอบช้ำแม้แต่นิดเดียว”
“คุณไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะต่อรองอะไรได้นะครับ คุณธาดา”
ธาดาได้แต่จ้องหน้านิ่ง
“กินอาหารให้อิ่ม แล้วผมจะเข้ามาหาคุณอีกครั้ง เราจะไปรับตัวคนสวยด้วยกัน”
เสี่ยอ๋าเดินออกจากห้องไปพร้อมหมู่ชายฉกรรจ์
รถที่คิมหันต์ขับ แล่นไปบนถนนหลวง สีหน้าของเขาหมกมุ่นครุ่นคิด ถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา
โดยตอนนั้น โทรศัพท์คิมหันต์ มีเสียงสัญญาณเรียกเข้า เขาเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ ขณะนอนหลับอยู่กลางโถงบ้านวิมลรัตน์ เบื้องหน้ารูปพี่สาว คิมหันต์กดปุ่มรับด้วยความงัวเงีย
“ฮัลโหล...พักตรา”
พักตรานอนพูดโทรศัพท์บนเตียง หล่อนไม่ได้ใส่ชุดนอน หากเป็นชุดพร้อมเดินทาง สีหน้าหมองเศร้า
“พักตร์คิดว่าคิมจะไม่รับโทรศัพท์พักตร์อีกแล้ว”
“ว่าไงเหรอ”
“พักตร์ทำตามที่คิมบอกแล้วนะคะ อยู่นิ่งๆ กอดทะเบียนสมรสไว้ แปลว่าพักตร์ยังได้ชื่อว่าเป็นเมียคุณอยู่ใช่มั้ย”
อาการงัวเงียของคิมหันต์เริ่มหายไป
“ใช่”
“พักตร์ไม่ได้จะโทร.มาอาละวาดก้าวร้าวกับคิมหรอกนะคะ แค่จะโทร.มาบอกว่า พักตร์จะไม่อยู่ซักเดือนนึง เผื่อว่ามีซักวันที่คิมคิดถึงพักตร์ คิมจะได้รู้ว่าเมียคนนี้ยังรักคิมอยู่ แต่ขอไปพักผ่อน สร้างกำลังใจให้กับตัวเองซักพักนึง”
“คุณจะไปไหน”
“พักตร์จะตามพ่อไปยุโรป คิมอยากทำอะไรก็ทำได้เต็มที่เลยนะคะ พักตร์จะไม่หงุดหงิดกับคิมอีกแล้ว แค่ได้ชื่อว่าเป็นเมียคิมก็มากพอสำหรับพักตร์แล้ว อีกเดือนนึงเราค่อยเจอกันนะคะ”
พักตราวางโทรศัพท์ลง น้ำตาไหลพราก
คิมหันต์ขับรถ หน้าตายังคงเคร่งเครียด จนเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น คิมหันต์กดปุ่มรับสาย
“ว่าไงเสี่ย ได้เรื่องยังไงบ้าง”
เสี่ยอ๋ายืนพูดโทรศัพท์อยู่หน้าเซฟเฮ้าส์ ด้านหลังเห็นธาดานั่งหน้าเครียด อยู่ท่ามกลางวงล้อมของหมู่ชายฉกรรจ์
“ผมคิดว่ามันคงไม่รู้จริงๆ ว่าน้องสาวมันอยู่ไหน”
“เป็นไปได้เหรอ”
“ผมมั่นใจ สิ่งที่มันกำลังเป็นกังวลอยู่ตอนนี้ มีสองเรื่อง คือเรื่องอาการป่วยของมัน ซึ่งยังไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร ส่วนอีกเรื่องนึง ดูเหมือนว่ามันกำลังอกหัก”
คิมหันต์หัวเราะเบาๆ ด้วยความพึงพอใจ
“ขอบใจมากเสี่ย”
“แล้วจะให้ทำยังไงต่อ”
“เก็บตัวไอ้ธาดาไว้ซักพัก ผมจะไปหาคนที่รู้ว่ามันเป็นอะไร”
อ่านต่อหน้า 2
รอยรัก แรงแค้น ตอนที่ 11 (ต่อ)
อาคารหอพักให้เช่าขนาดปานกลางแห่งนี้ ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร มีเสียงเคาะประตูห้องพักห้องหนึ่งดังขึ้น ดวงดาวเปิดประตูห้องพัก ปรากฏร่างผู้ที่อยู่เบื้องหน้าคือ คิมหันต์ ที่ยืนยิ้มกว้างส่งมาให้เธอ
“แปลกใจสิที่เห็นหน้าผม”
ดวงดาวเอ่ยปากตอบ หน้าตายิ้มพอๆ กัน
”ไม่มาก”
“จริงอ้ะ”
“ฉันรู้อยู่แล้ว ว่าคุณต้องมา”
คิมหันต์เลิกคิ้วเหมือนเป็นคำถาม
“ไม่งั้นเพื่อนที่วงไม่มีทางบอกคุณหรอกว่าฉันอยู่ที่ไหน”
“อืม...”
“จะเข้ามาข้างในหรือจะยืนคุยอย่างนี้”
คิมหันต์เดินผ่านเธอเข้าไปในห้อง ดวงดาวปิดประตูลง คิมหันต์ลงนั่งแล้วจึงเอ่ยปากพูด
“ทำไมไม่ไปเล่นดนตรี”
“ไม่มีอารมณ์”
“จะไม่กลับไปหานายธาดาแล้วเหรอ”
ความรู้สึกบางอย่าง จุกขึ้นมาที่หน้าอกดวงดาว
“ฉันเลิกกับเขาแล้ว”
คิมหันต์ไม่แปลกใจนัก “ถามจริง”
“ฉันไม่เคยโกหกเรื่องแบบนี้”
ดวงดาวจ้องตาคิมหันต์ น้ำตาค่อยๆ เอ่อขึ้นมาทีละนิด คิมหันต์กระเถิบเข้าใกล้ เขายกมือขึ้นไปสัมผัสบริเวณแก้มของเธออย่างแผ่วเบา
“ฉันรู้นะว่าคุณคิดอะไรอยู่”
“ผมคิดอะไร”
“ฉันจะไม่มีอะไรกับผู้ชายอื่น จนกว่าจะเลิกกับคนเก่า คุณกำลังนึกถึงคำพูดประโยคนี้ของฉัน”
“เดาเก่งนี่”
“แต่ฉันเลือกคนที่จะมีอะไรด้วยนะ”
คิมหันต์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ดวงดาว ภาษากายคล้ายจะจูบเธอ
“และฉันจะไม่มีวันหลับนอนกับคนรักของเพื่อนเป็นอันขาด”
คิมหันต์หยุดริมฝีปากตัวเองไว้ใน ระยะที่ใกล้ริมฝีปากของดวงดาวมาก เขาค่อยๆ เปล่งเสียงแผ่วเบา”
“เราคงเจอกันช้าไปจริงๆ”
น้ำตาของดวงดาวไหลพรั่งพรูออกมาทันที
“ร้องไห้ทำไม”
“แค่อยากร้อง เคยเป็นบ้างมั้ย เวลาที่หาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้ น้ำตามันก็ไหลออกมาเฉยๆ”
คิมหันต์ดึงดวงดาวเข้ามากอดไว้แน่น น้ำตาของดวงดาวยิ่งทะลักล้นไม่หยุดหย่อน ร่างของเธอสั่นสะท้าน ขณะสะอื้นไห้ออกมาภายใต้วงแขนของชายที่เธอพึงใจ
“รู้สึกดีขึ้นมั้ย”
ดวงดาวตอบด้วยการพยักหน้า
“ขอผมนอนที่นี่คืนนี้ได้มั้ย สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรที่ไปไกลเกินกว่านี้เด็ดขาด”
“ค่ะ”
ร่างของเขาและเธอยืนกอดกันนิ่ง กลางห้องพักนี้ มั่นใจได้เลย ว่าจะไม่มีอะไรเกินเลย ตามคำสัญญา
มุกรินนอนหลับอยู่บนเตียงนอนใหญ่ในบ้านพักริมทะเล สักพักจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาอย่างสวยงาม อีกทั้งเสียงระลอกคลื่นในท้องทะเลสาดกระทบฟังดังเข้ามานุ่มหู มุกรินยิ้มบางๆ ออกมาอย่างสุขใจ แล้วจึงขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงนอนนี้
พอเดินออกมายังห้องโถง มุกรินมองไปก็เห็นผลไม้จัดลงจานสวยหน้าตาดีวางอยู่บนโต๊ะอาหาร พร้อมด้วยกระดาษโน้ตน่ารักหนึ่งแผ่นปักอยู่ข้างๆ จาน ข้อความบนกระดาษโน้ตเขียนด้วยลายมือสวยงามว่า
“อาหารเช้าเพื่อสุขภาพ ออร์แกนิกล้วนๆ
ไม่มี นม เนย น้ำตาลเจือปน
พี่ต้องเข้ากรุงเทพฯ ด่วน...เสร็จธุระแล้วจะโทร.หานะครับ
พี่รภ”
มุกรินยิ้มชื่น หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทร.หาปรารภ
ปรารภขับรถมาตามท้องถนน ด้วยหน้าตามีความสุข เขาพูดโทรศัพท์ผ่านระบบบลูทูธในรถ
“มอร์นิ่งจ้ะ...พี่ว่าจะลองโทรไปหามุกอยู่พอดี พอนึกถึงปุ๊ป มุกก็โทรมาปั๊ป แหมใจตรงกันจริงๆ อาหารเช้าพอทานได้มั้ยเอ่ย”
มุกรินยืนพูดโทรศัพท์ ริมระเบียงสวยหน้าชายหาดงามตา
“พี่รภดูแลมุกยังกับลูกเลยนะคะ”
ปรารภยิ้มกว้าง สีหน้าสดชื่น
“โอ๊ย ถ้าเป็นลูกพี่ พี่ไม่ค่อยดูแลหรอก พี่จะปล่อยให้มันล้มลุกคลุกคลานเอง มันจะได้แกร่ง อยากรู้มั้ย พี่ดูแลมุกเหมือนใคร”
มุกรินยิ้มแบบรู้ทันนิดๆ เธอไม่เอ่ยปากตอบ
“ไม่เหมือนใครเลย พิเศษเฉพาะมุกรินคนเดียวเท่านั้น...ฟังดูน่าหมั่นไส้นะ”
มุกรินยิ้ม “มุกจะโทร.มาบอกว่า พี่รภทำธุระตามสบายเลยนะคะ ไม่ต้องห่วงมุก มุกอยู่ได้”
“จ้า พี่มาทำวีซ่าให้เจ้าตัวแสบสองคนนั้นน่ะ มีอะไรมุกโทร.มาฝากข้อความไว้นะครับ เข้าสถานทูตพี่ต้องปิดมือถือ เสร็จธุระปั๊บ พี่จะบึ่งไปหาปุ๊บ”
“ไม่ต้องเร็วขนาดนั้นก็ได้ค่ะพี่”
“ไม่ได้สิ...เรื่องของมุก ด่วน และรวดเร็วกว่าทุกเรื่องอยู่แล้ว...บ๊าย บาย จ้ะ”
ส่วนที่หอพัก เวลาเดียวกันนี้ ดวงดาวลุกพรวดพราดก้าวลงจากเตียงนอน วิ่งตรงไปยังห้องน้ำ ยินเสียงอาเจียน ดังออกมาจากในนั้น เมื่อมองไปบนเตียงนอนยามนี้ พบว่าไม่มีร่างของคิมหันต์ ดวงดาวเดินโผเผกลับมานั่งบนเตียง ท่าทางดูอ่อนระโหยโรยแรง
เมื่อเหลือบตาไปมองที่โต๊ะข้างเตียง เห็นกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ วางอยู่ เขียนรูปลูกศรชี้ไปที่โทรศัพท์มือถือของเธอที่วางอยู่ข้างๆ กัน พร้อมตัวหนังสือกำกับว่า
“เปิดดู ทันทีที่ตื่น”
ดวงดาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู ปรากฏเป็นคลิปภาพคิมหันต์พูดกับกล้องของโทรศัพท์เครื่องนั้น
โดยเมื่อราว 4 ชั่วโมงก่อนหน้านี้ คิมหันต์ได้ใช้โทรศัพท์มือถือของดวงดาว ถ่ายคลิปตัวเอง
“อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าคุณนะ”
คิมหันต์ยกโทรศัพท์มือถือ สูงขึ้น เพื่อให้เห็นร่างของดวงดาวนอนหลับบนเตียงนอนนั้น
“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง...ทั้งเรื่องราวที่เล่าให้ฟัง และที่นอนหนานุ่ม รวมทั้งที่อนุญาตให้ผมนอนกอดคุณจนอุ่นอกอุ่นใจ ผมไปก่อนนะ มีธุระหลายอย่างที่ผมต้องทำให้เสร็จ ถ้ามีความคืบหน้าเรื่องอาการนายธาดาเมื่อไหร่ ผมจะส่งข่าวบอกให้ ถ้าคุณยังต้องการรู้ เช่นเดียวกับเรื่องราวของมุกริน ผมรู้ว่าคุณก็เป็นห่วงเธอพอๆ กับผม...เอ้อ...ดูเหมือนคุณจะป่วยนะ ผมพาไปหาหมอเอามั้ย”
คิมหันต์หัวเราะก่อนพูดต่อ
“รับรอง คุณต้องตอบผมว่า ไม่เป็นไร ฉันช่วยตัวเองได้ โอเค งั้นก็ไปอาบน้ำเอาน้ำราดหัวให้เย็นสบาย ไม่เลวนะ ผมก็เพิ่งทำแบบนั้นเมื่อกี้นี้เองแหละ บ๊ายบายนะ คนสวย”
คิมหันต์ยิ้มหล่อลากให้ ก่อนปิดกล้อง
ดวงดาวพรายยิ้ม หลังจากได้ดูคลิปนั้น
ด้านมุกรินยืนนิ่งปล่อยให้สายน้ำนั้นพุ่งเข้าปะทะหน้าของเธอ ความเย็นของน้ำ สร้างความสดชื่นให้เธอได้ไม่น้อย เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นแข่งกับเสียงน้ำจากฝักบัว มันดังนานจนมุกรินต้องหยุดการอาบน้ำชั่วขณะ คว้าผ้าเช็ดตัวและใส่เสื้อคลุม ก้าวออกมาจากบริเวณอาบน้ำ เดินมาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
หน้าจอปรากฏหมายเลขที่โทร.เข้า พร้อมคำว่า unknown มุกรินลังเลสักพักจึงกดปุ่มรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล ค่ะ...ดิฉันมุกริน กำลังพูดค่ะ”
มุกรินฟังเสียงจากปลายสายสักพัก สีหน้าของเธอเคร่งเครียดขึ้นมาทันที พร้อมกับอุทานออกมา
“พี่ใหญ่”
มุกรินถือโทรศัพท์แนบหูนิ่ง แล้วจึงเอ่ยปาก น้ำเสียงรีบร้อน ลนลาน
“ดิฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
มุกรินวางโทรศัพท์ หน้าตาเดือดร้อนเป็นกังวลุงขีดสุด ทำอะไรไม่ถูก
ไม่นานถัดมา รถมุกรินวิ่งไปบนถนนไฮเวย์ มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ ด้วยความเร็วในระดับเดียวกับความร้อนรนภายในใจเธอ
มุกรินขับรถมาด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียด เสียงปรารภบอกให้ฝากข้อความดังออกมาจากลำโพงบลูทูธในรถ มุกรินเอ่ยปากบอกข้อความไปในโทรศัพท์
“พี่รภคะ มุกต้องกลับกรุงเทพฯ ด่วนค่ะ พี่ใหญ่เป็นลมหมดสติอยู่ข้างทาง หมอ โทร.มาตามมุกให้เข้าไปดูอาการพี่ใหญ่ พี่รภไม่ต้องเป็นห่วงมุกนะคะ”
มุกรินกดปุ่มวางสายเมื่อพูดจบ
รถมุกรินแล่นเข้าไปจอดหน้าอาคารทำการคลินิกของเอกชนแห่งนี้ มุกรินก้าวลงจากรถเดินตรงเข้าไปในตัวอาคารนั้น
เจ้าหน้าที่ในชุดสูทเดินตรงเข้าไปหามุกรินทันทีที่เธอเดินเข้ามาในล็อบบี้
“คุณมุกริน คุรุรัตน์ ใช่มั้ยครับ”
“ใช่ค่ะ”
“เชิญทางนี้ครับ พวกเรากำลังรอคุณอยู่”
มุกรินเดินตามเจ้าหน้าที่ไปตามทางเดิน ถามถึงอาการของผู้เป็นพี่ชายด้วยความเป็นห่วง
“พี่ใหญ่เป็นยังไงบ้างคะ”
“คุณมุกรินอย่าเพิ่งตกใจไปเลยครับ”
“แล้วทำไมเอาตัวพี่ใหญ่มาไว้ที่นี่คะ นี่เป็นคลินิกส่วนตัวของคุณหมอเหรอคะ”
“ผมไม่ได้รับอนุญาตให้พูดอะไรได้ เดี๋ยวให้เจ้าของเรื่องเป็นผู้ตอบคุณมุกรินดีกว่านะครับ”
ถัดมาไม่นานนัก เจ้าหน้าที่คนเดิมเปิดประตูห้องเดินนำมุกรินเข้าไปในห้องรับรองพิเศษนี้ เจ้าหน้าที่เอ่ยปากอย่าง สุภาพ และ สุขุม
“คุณมุกริน นั่งรอที่นี่สักครู่นะครับ ผมจะไปเชิญผู้รับผิดชอบเรื่องนี้เข้ามาพบคุณครับ”
“ค่ะ”
“ดื่มน้ำ หรือ กาแฟก่อนมั้ยครับ”
“ไม่ค่ะ...ฉันอยากรู้เรื่องพี่ใหญ่”
“สักครู่ครับ...ทำใจเย็นๆ ไว้นะครับ คุณมุกริน”
เจ้าหน้าที่เปิดประตูเดินออกไปจากห้องนี้แล้วปิดประตูลง ทิ้งให้มุกริน มองไปรอบๆห้องอย่างกระวนกระวาย
สักพักประตูห้องจึงขยับเปิดออก มุกรินหันไปมองยังประตูบานนั้น ปรากฏร่างของผู้ที่ก้าวเข้ามาใหม่
เขาคือ คิมหันต์ สุริยะศักดิ์ มุกริน ตกตะลึง งงงัน
“คุณหนีผมไม่พ้นหรอก มุก”
“นี่มันอะไรกันเนี่ย” มุกรินถามเสียงขุ่น
คิมหันต์เอ่ยปากด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง ปราศจากอารมณ์ถากถางเย้ยหยันแต่อย่างใด
“ผมต้องการคุยกับคุณ”
“คุณหลอกฉันมาเหรอ”
“ไม่งั้นเราคงไม่มีโอกาสได้คุยกัน”
“ฉันไม่ต้องการคุยกับคุณ ฉันต้องการพบพี่ใหญ่”
มุกรินโกรธมากเอาการ ขยับจะเดินออกจากห้อง คิมหันต์ใช้ตัวขวางไว้
“พี่ชายคุณปลอดภัยดี อยู่ในมือของหมอแล้ว”
“หมอที่ไหน”
“หมอที่โรงพยาบาล...ไม่ใช่ที่นี่”
“ถึงว่าสิ ที่นี่มันเหมือนบ่อนการพนันมากกว่าจะเป็นโรงพยาบาล คุณจ้างใครให้วางแผนหลอกฉันอย่างนี้”
“ก็แค่คนรู้จักกันไม่กี่คน ที่เขาเห็นใจผม เขาอาสาโทร.ไปหาคุณ”
ที่เซฟเฮ้าส์เสี่ยอ๋า ช่วงเช้ามืดของวันนี้ เป็นเสี่ยอ๋านั่นเองที่เป็นคนโทร.ไปแจ้งข่าวกับมุกริน
“ฮัลโหล ใช่มือถือคุณมุกรินหรือเปล่าครับ ผมมีข่าวไม่ค่อยดีนักของพี่ชายคุณ”
มุกรินอุทานออกมา “พี่ใหญ่”
“ครับ เขาหนีออกจากโรงพยาบาล เราพบว่านอนสลบไม่ได้สติอยู่ข้างทาง รบกวนคุณในฐานะญาติช่วยมาดูอาการ และผลการตรวจสมองคนไข้โดยด่วนเลยครับ ไม่ใช่ที่โรงพยาบาลนะครับ เดี๋ยวผมจะส่งแผนที่คลินิกไปให้ทางมือถือนะครับ”
พอได้ฟังมุกริน ก็เอ่ยปากโต้ตอบคิมหันต์อย่างชัดถ้อยชัดคำ
“นี่มันลักพาตัวกันชัดๆ”
“ผมไม่ได้ลักตัวคุณไปไหน แค่ต้องการทำความเข้าใจกับคุณเท่านั้น”
“สิ่งที่ฉันต้องการจะเข้าใจก็คือ ตอนนี้พี่ชายฉันอยู่ที่ไหน”
“คุณจะได้พบพี่ชายคุณทันที หลังจากเคลียร์กับผมแล้ว”
“ฉันไม่มีอะไรต้องเคลียร์กับคุณ”
“แน่ใจเหรอ”
“แน่ใจ”
“งั้นคุณตอบคำถามผมมาก่อน ข้อเดียวเท่านั้น”
“คุณไม่มีสิทธิ์มาบังคับฉัน”
“ผมไม่ได้บังคับ...ผมขอร้องให้คุณเลือก”
“ฉันต้องเลือกอะไร”
“ระหว่างผมกับนายปรารภ คุณเลือกใคร”
มุกรินนิ่ง ไม่เอ่ยปากใดๆออกมา
“ว่าไงครับ คุณมั่นใจเหรอ ที่จะให้นายปรารภมาแทนที่ผม”
“บอกฉันมาก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ใหญ่”
คิมหันต์เล่าเรื่องให้มุกรินฟังอย่างละเอียด จนเห็นเป็นภาพว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา ธาดานอนดิ้นพล่านอยู่กลางห้องนอนที่เซฟเฮาส์ของเสี่ยอ๋า
พอลูกน้องมารายงาน เสี่ยอ๋าจึงรีบกดโทร.หาคิมหันต์ แจ้งอาการ อยู่ข้างๆ ร่างของธาดา
”เอายังไงดีครับคุณคิมหันต์...ท่าทางเหมือนมันจะตายให้ได้เลย”
คิมหันต์เล่าอีกว่า
“ผมรู้ว่า ดวงดาวพาพี่ชายคุณไปหาหมอที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร”
มุกรินมองจ้องหน้าคิมหันต์
“ดวงดาวเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังแล้ว”
“งั้นเราก็รู้เท่าๆ กัน”
“แน่ใจ”
“ผมอาจจะรู้มากกว่าคุณนิดหน่อย เพราะผมรู้ด้วยว่า ตอนนี้เขาปลอดภัย กลับไปอยู่ที่บ้านแล้ว”
คิมหันต์นิ่งนึก ตอนเสี่ยโทร.หา เขาอยู่ในห้องพักดวงดาว และยืนพูดโทรศัพท์ริมหน้าต่างห้อง ส่วนดวงดาวนอนหลับอยู่บนเตียง
“พามันไปส่งที่บ้านเถอะเสี่ย ให้มันไปตายที่บ้านมันดีกว่า”
คิมหันต์เดินไปหย่อนตัวลงนั่งในห้องรับรอง เบื้องหน้ามุกริน
“แค่รอผลการตรวจจากหมอ คุณก็จะรู้ได้ว่าพี่ชายคุณป่วยเป็นโรคอะไรแน่”
“ฉันคงจะได้พบหมอหรอกนะ ถ้ายังต้องนั่งอยู่ในห้องนี้”
“คุณอยู่ที่นี่ไม่นานหรอกครับ แค่ตอบผมมาว่าระหว่างผมกับนายปรารภ คุณแคร์ใครมากกว่ากัน คุณก็จะได้กลับไปเยี่ยมพี่ชายคุณทันที”
คิมหันต์รับรู้จากเสี่ยอ๋าว่า เมื่อตอนเช้ามืดที่ผ่านมา รถธาดาแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านเช่าย่านชานเมืองของเขา โดยมีรถเสี่ยอ๋าวิ่งตามหลังมาอีกคัน
ธาดานั่งนิ่งข้างๆ นักเลงลูกน้องเสี่ยที่เป็นผู้ขับรถ ก่อนที่นักเลงจะเอ่ยปากพูดกับธาดาเสียงเข้ม
“เสี่ยให้เวลาคุณอีกนิดหน่อย ตัดสินใจให้ดีว่าจะเคลียร์หนี้กับเสี่ยยังไง”
ธาดานั่งนิ่ง เครียด
“เงินสดๆ หรือน้องสาวสดๆ เสี่ยแกรับได้ทั้งนั้น แต่ย้ำว่า อย่าคิดหนี รอดยาก มือคนละชั้น”
ธาดาก้าวลงจากรถ ก่อนที่รถเสี่ยอ๋าจะเคลื่อนตัวออกไป
มุกรินยังคงนั่งนิ่งไม่เอ่ยปากใดๆ
“ต้องให้ผมทวนคำถามมั้ยครับ”
มุกรินค่อยๆ ขยับปากออกมาว่า
“คำว่าแคร์ของคุณ กินความหมายแค่ไหน”
“ง่ายๆ เลย คุณบอกมาว่า คุณรักเขามากกว่าผมหรือเปล่า”
“คุณคิดว่าฉันยังรักคุณอยู่อีกเหรอ”
“ผมต้องการคำตอบ ไม่ใช่คำถาม”
มุกรินนิ่งไปอีกครั้ง คิมหันต์รุกเร้า คาดคั้นมากขึ้น
“บอกมาเลยว่าคุณไม่รักผมแล้ว คุณไม่แคร์ผมแล้ว คุณไม่ใส่ใจ ไม่รู้สึกอะไรเลยเวลาที่ผมอยู่ใกล้ๆ ไม่รู้สึกอะไรเมื่อผมหายหน้าจากคุณไป บอกมาเลย พูดเลย ว่าคุณเห็นผมเป็นอากาศธาตุ ไม่มีความหมายอะไรทั้งสิ้น”
มุกรินเปิดปากพูดอย่างอึดอัดใจ
“ฉันไม่ต้องการกลับไปที่จุดเดิมอีกแล้ว”
“ทำไมล่ะ ในเมื่อที่จุดเดิมของเรา เราเคยรักกัน เราเคยมีฝันร่วมกัน มันเป็นความสวยงามระหว่างเราไม่ใช่เหรอ มันคือความรักที่เราทั้งคู่โหยหานะ”
มุกรินพูดออกมาด้วยความสะเทือนใจ
“ใช่ แต่คุณเป็นคนทำลายมันทั้งหมดเองนะคิม”
“คุณไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ทำไมผมถึงทำอย่างนั้น”
“ฉันเบื่อที่จะฟังคำตอบเก่าๆ ฉันรู้อยู่แล้วว่าคุณจะพูดอะไร” มุกรินพรั่งพรูความรู้สึกของเธอออกมา “คุณเกลียดพี่ชายฉัน เพราะเขาทำร้ายพี่สาวคุณ”
คิมหันต์ไม่ปฏิเสธ “เขาฆ่าพี่มล อย่างเหี้ยมโหด”
“คุณก็เลยทนไม่ได้ที่จะรักกับน้องสาวเขา ทั้งๆที่ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด”
“คุณให้การเท็จ มันก็คือความผิดอย่างหนึ่ง”
“แล้วทำไมคุณไม่ตัดขาดจากฉันไปซะทีล่ะ คุณมาสร้างความหวังกับฉันอีกทำไม เหตุผลก็คือคุณต้องการใช้ฉันเป็นเครื่องมือทำร้ายจิตใจพี่ชายของฉันใช่มั้ย คุณมีเหตุผลครบถ้วนรองรับอารมณ์ของคุณ แต่สิ่งที่คุณไม่เคยมีก็คือคุณไม่เคยนึกถึงจิตใจของคนที่คุณเคยรักเลยสักนิด”
ความจริงนี้ ทำเอาคิมหันต์เป็นฝ่ายนิ่งไปบ้าง
“คุณแสดงอาการหึงหวงฉัน ทั้งๆที่คุณไม่มีสิทธิ์แม้แต่น้อย ฉันจะรัก จะแคร์พี่ปรารภมากแค่ไหน คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะมารู้ใจฉัน เพราะฉันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณมานานแล้ว”
“งั้นก็บอกมาสิว่า คุณรักไอ้หมอนั่น ไอ้พ่อหม้ายจอมกระล่อนคนนั้น บอกมาเลย แล้วผมจะไปจากคุณจนชั่วชีวิต”
“ฉันไม่ต้องตอบคำถามอะไรของคุณ คุณก็จากฉันไปชั่วชีวิตอยู่แล้ว คนที่ผูกพันกับคุณคือยายพักตรา เขาเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณ ไม่ใช่ฉัน”
คิมหันต์พยายามใช้เหตุผลอธิบาย
“มันเป็นเหตุผลเกี่ยวกับความปลอดภัย เป็นเรื่องของการใช้อิทธิพลขู่บังคับ ผมอธิบายยังไง คุณก็คงไม่เชื่อ”
“ใช่ ฉันไม่เชื่อ”
“ผมถึงต้องการฟังคำตอบจากปากของคุณไง มันสำคัญต่อการตัดสินใจของผมหลังจากวันนี้ ถ้าคุณรังเกียจผมจริง คุณก็แค่พูดออกมา คำเดียวเท่านั้น พูดเลย ว่าคุณรักนายปรารภ รักอย่างสุดชีวิตจิตใจ มีความสุขเวลาที่เขามาเคลียคลอใกล้ๆ เวลาที่สูดกลิ่นกายของไอ้พ่อหม้ายนั่น มันทำให้คุณมีอารมณ์แบบที่ไม่เคยมีกับผมพูดออกมาสิ ทุกอย่างจะได้จบ ผมจะได้เลิกตอแยคุณซะที พูดมาสิ”
มุกรินพูดโพล่งออกมาในที่สุด
“ค่ะ ฉันรักพี่ปรารภ”
คิมหันต์นิ่ง ชะงัก มุกรินเอ่ยปากเต็มคำ
“ฉันจะแต่งงานกับเขาทันทีที่เขาขอฉันแต่งงาน”
คิมหันต์ช็อก ตะลึงตะไล ดวงตาเบิกโพลง
“ได้ยินเต็มสองหูแล้วใช่มั้ยคะ คุณคิมหันต์”
อ่านต่อหน้า 3
รอยรัก แรงแค้น ตอนที่ 11 (ต่อ)
มุกรินขับรถแล่นมาจอดหน้าบ้านธาดาในตอนเย็น เธอนั่งนิ่งอยู่ในรถนานสองนาน ทอดถอนลมหายใจออกมา สายตาเหม่อมองตรงไปเบื้องหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย เหตุการณ์เมื่อช่วงบ่าย ยังคงวนเวียนอยู่ในความครุ่นคิดของเธอ
ตอนบ่ายนั้นคิมหันต์ตกอยู่ในอาการช็อก เขาหย่อนตัวลงนั่ง ไม่ไกลจากมุกรินนัก ทั้งคู่ ต่างอยู่ในอาการเย็นชาต่อกัน คิมหันต์ค่อยๆ เอ่ยปากเสียงเรียบ
“เพื่อไม่ให้พี่ชายคุณต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่านี้ คุณไม่ควรบอกเขาว่ามาเจอผม”
“ฉันรู้”
จังหวะที่มุกรินขยับตัวลุกขึ้น เหมือนจะเดินออกจากห้อง คิมหันต์เอ่ยปากอีกครั้ง
“คุณพอจะทำอะไรอีกซักอย่าง เพื่อให้ครั้งสุดท้ายระหว่างเรามีความหมายและน่าจดจำมากขึ้น ได้มั้ยครับ”
มุกรินชะงัก หยุดการก้าวเดิน หันมามองคิมหันต์ รอฟัง คิมหันต์ผินหน้าไปหามุกริน ทั้งสองจ้องหน้าสบตากันนิ่ง ไม่มีคำตอบ
มุกรินสลัดความคิดนั้นทิ้งไป พาร่างเดินเข้าบ้านอย่างเซื่องซึม เมื่อมาถึงกลางห้องโถง หน้าห้องธาดา
เธอเห็นว่า มีเสื้อผ้าของพี่ชายกระจัดกระจาย เต็มพื้น มุกรินค่อยๆ ก้าวเข้าไปในห้องนั้น ใจรุ่มร้อนกังวล จนเห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เปิดวางอยู่ในห้อง มุกรินมีสีหน้าแปลกใจมากขึ้น เธอกวาดสายตามองหาผู้เป็นพี่ชาย พร้อมกับส่งเสียงเรียก
“พี่ใหญ่”
มุกรินเดินอ้อมผ่านเตียงนอนตรงเข้าไปยังห้องน้ำ จนพบร่างของธาดา นอนสิ้นสติอยู่กลางห้องน้ำ มุกรินตะโกนลั่น
“พี่ใหญ่”
เธอถลันเข้าไปประคองร่างพี่ชายด้วยความห่วงใย
ไม่นานถัดมา หมอเจ้าคารมคนเดิมผู้เป็นนายแพทย์เจ้าของไข้ที่ธาดาคุ้นตา เดินคุยกับมุกริน ไปตามทางเดินหน้าห้องตรวจ
“พี่ชายคุณเป็นคนไข้ที่ไม่ให้ความร่วมมือกับหมอเลย คุณรู้มั้ย”
“ดิฉันทราบค่ะ”
“นึกจะมาหาหมอก็มา นึกจะไม่อยากเจอหน้าหมอก็หนีไปเฉยๆ ทำอย่างนี้ ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น ถ้าคุณจะช่วยเตือนพี่ชายคุณได้ก็จะดีมาก เพราะมันเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเขาเอง หมอไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วยเลยโตๆ กันแล้ว ไม่น่าเข้าใจอะไรยาก”
“ดิฉันจะพยายามค่ะ”
หมอเดินมาถึงหน้าห้องฉุกเฉินแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้อง มุกรินเดินตามเข้าไปด้วย
ในห้องนั้น ธาดานอนอยู่บนเตียง สภาพของเขาดีขึ้นแล้วจากการปฐมพยาบาลของทีมแพทย์ ธาดาขยับตัวลุกขึ้น เมื่อหมอก้าวเข้ามาในห้อง
“เป็นยังไงบ้าง หายปวดศีรษะรึยังคุณธาดา”
“ค่อยยังชั่วแล้วครับ”
คุณหมอเจ้าคารมเหน็บ “สนุกมั้ย ปวดหัวทีก็หามมาหาหมอที หายดีแล้วก็เผ่นแนบ”
“หมอจะว่าผมยังไงก็ว่าเลย ผมไม่เถียง”
“หมอไม่ได้จะว่าครับ หมอเป็นห่วง แต่ความเป็นห่วงของหมอฝ่ายเดียวมันช่วยอะไรไม่ได้นะครับคุณธาดา”
“ครับ ต่อไปนี้ผมจะทำตามที่หมอบอกทุกอย่าง”
“งั้นเริ่มต้นด้วยการฟังหมอให้ดี จะได้รู้ว่าอาการทั้งหมดที่คุณเป็นอยู่ตอนนี้ เกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง”
“เอ้อ ผมขอให้น้องสาวผมออกไปรอข้างนอกได้มั้ยครับ ผมอยากฟังเพียงคนเดียว”
“เป็นสิทธิ์ของคนไข้อยู่แล้วครับ”
ธาดาหันไปพูดกับน้องสาวของเขา
“มุก ออกไปรอพี่ข้างนอกก่อนนะ แล้วพี่จะเล่าให้ฟังทีหลัง”
“ค่ะ”
รอมุกรินเดินออกไปจากห้องฉุกเฉินแล้ว หมอจึงหันมามองหน้าธาดา
มุกรินหย่อนตัวลงนั่งหน้าห้องตรวจฉุกเฉินดังกล่าว เหตุการณ์ช่วงบ่ายที่ผ่านมา ยังติดอยู่ในความคิดคำนึงของเธอ
คิมหันต์นั่งก้มหน้านิ่ง เอ่ยปากเสียงเรียบแต่หนักแน่น โดยมีมุกรินยืนฟังอยู่ด้านหลังของเขา
“ดูแลพี่ชายของคุณให้ดีนะ ผมเชื่อว่ากรรมที่เขาทำไว้กับพี่มลกำลังย้อนกลับมาเล่นงานเขาอย่างรุนแรง มันอาจจะรุนแรงจนคุณคาดไม่ถึงก็ได้”
“คุณเตือนฉัน หรือ ขู่ฉันกันแน่”
“ผมไม่ได้ขู่ ผมพูดถึงเรื่องกฏแห่งกรรม เรื่องเวรกรรม ที่ทุกวันนี้เราไม่ต้องรอจนถึงชาติหน้าอีกแล้ว”
“เนี่ยเหรอคะ ที่จะทำให้การพบกันครั้งสุดท้ายของเรามีคุณค่าน่าจดจำ ด้วยคำพูดถากถางกันอย่างนี้น่ะเหรอ”
“ผมยังพูดไม่จบ”
คิมหันต์ขยับตัวลุกขึ้น เดินไปยืนเบื้องหน้ามุกริน เขาและเธอมองหน้ากันนิ่งนาน
“ผมเองก็มีกรรมไม่น้อยกว่าพี่ชายคุณ ผมทำบาปกับคนอื่นๆรอบตัวผม ทั้งกับคุณ และกับพักตรา”
มุกรินจ้องมองคิมหันต์ นิ่งๆ
“ผมก็กำลังรอเวลาชดใช้กรรมเหล่านั้น”
คิมหันต์ค่อยๆ ดึงมือมุกรินขึ้นมากุมไว้แน่น
“เพื่อเห็นแก่ช่วงเวลาดีๆ ที่เราเคยมีร่วมกันมา คุณจะกรุณายกโทษให้กับความผิดบาปของผมได้มั้ย อโหสิกรรมให้ผม ก่อนที่เราจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีก”
มุกรินตื้อ จนพูดอะไรไม่ออก
“ความเมตตา และการให้อภัย คนที่เรารัก หรือเราเคยรัก นั่นแหละจะเป็นเรื่องที่มีคุณค่าที่สุด ในวาระสุดท้ายของเรา”
ปรารภเดินเข้ามา เขาตรงดิ่งไปหามุกรินที่นั่งนิ่งสีหน้าเหม่อลอยอยู่หน้าห้องตรวจนั้น
“มุก...มุก”
มุกรินรู้สึกตัว สะดุ้ง หลุดออกจากภวังค์
“พี่รภ”
“เป็นอะไรรึเปล่า ดูเหมือนหน้าซีดๆ นะ”
“แค่รู้สึกเพลียน่ะค่ะ ก็เลยเคลิ้มๆ เผลอหลับไปมั้ง”
“พี่ได้ข้อความจากมุก พี่ก็รีบบึ่งมาเลยนะเนี่ย”
“พี่รภคะ...มุก...”
ปรารภเอ่ยปากสวนออกมาก่อนที่มุกรินจะพูดต่อ
“ไม่ต้องนะมุก ไม่ต้องขอโทษพี่ ไม่ต้องขอบคุณพี่ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น พี่รีบมาเพราะพี่อยากมา พี่เป็นห่วงมุก เท่านั้นแหละ เลิกเกรงใจพี่ได้แล้ว รู้มั้ย”
มุกรินมองหน้าพ่อหม้ายเมียสามลูกสองด้วยความซาบซึ้ง น้ำตาของเธอค่อยๆ เอ่อออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“มุก มุกไม่มีใครจริงๆ ค่ะ”
ปรารภจับมือมุกรินมากุม ปลอบด้วยเสียงอันนุ่มนวล
“มุกยังมีพี่ มุกมีพี่อยู่เสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พี่ก็จะยืนอยู่ข้างมุกเสมอไป จำได้ใช่มั้ย”
“ขอบคุณค่ะ”
“พี่ชายมุกเป็นยังไงบ้าง”
มุกรินส่ายหน้า
“มุกคงต้องดูแลพี่ใหญ่อยู่ที่นี่ คงไม่ได้กลับไปบ้านริมทะเลอีกแล้วมั้ง”
“คงงั้นละค่ะ”
ปรารภมองหน้ามุกรินชั่วขณะ แล้วจึงตัดสินใจเอ่ยปากถาม
“เรื่องนายคิมหันต์ยังกวนใจมุกอยู่อีกรึเปล่า”
มุกรินนิ่ง ไม่มีคำตอบออกจากปากเธอ
“ถึงเวลาที่มุกต้องเข้มแข็งมากขึ้นแล้วนะ เราไม่มีทางวิ่งหนีอะไรไปได้ทั้งชีวิตหรอกมุก”
“ค่ะ มุกจะไม่หนีอีกแล้ว มุกจะเผชิญหน้ากับมัน และจะต้องผ่านมันไปให้ได้ ไม่นานนี้ละค่ะ”
ปรารภยิ้มให้กำลังใจอย่างอบอุ่น
“นายคิมหันต์เขาคงยังไม่รู้สินะว่ามุกอยู่กับพี่ชายที่นี่”
มุกรินนิ่ง ไม่มีคำตอบหรือความเห็นใดๆหลุดออกจากปากเธอ
คืนนั้นคิมหันต์แวะไปที่สำนักงานกฎหมายบูรพา เอ่ยปากพูดกับชุมสายที่นั่งเอนหลังอยู่ในห้องทำงานของเขา
“ถ้ามันอ้างว่าป่วยร้ายแรงจนไม่สามารถไปศาลได้ล่ะ เราจะทำยังไง”
“นายธาดา”
“เออ”
“นายธาดาเป็นจำเลย ยังไงก็ต้องไปฟังคำพิพากษา แต่ถ้าป่วยจริง ศาลก็เลื่อนให้ นัดวันใหม่ได้”
“อย่างนี้มันก็อ้างป่วยถ่วงเวลาเลื่อนไปเรื่อยๆได้น่ะสิ”
“ศาลท่านใช้ดุลพินิจ วินิจฉัยได้ แกอย่ากังวลไปเลย”
“ที่ผ่านมาดุลพินิจศาลกับดุลพินิจฉัน มันไม่ค่อยจะตรงกันนี่หว่า”
“แกก็ต้องเลิกตัดสินอะไรตามใจตัวเองซะที และหัดเคารพศาลบ้าง”
“แล้วถ้าจำเลยตายก่อนล่ะ”
“ศาลก็จำหน่ายคดีออก ไม่มีการอ่านคำพิพากษาใดๆ”
คิมหันต์ ขมวดคิ้ว เคร่งเครียด
“แกกำลังคิดอะไรอยู่”
“ถ้าอย่างนั้น มันจะเป็นอะไรไม่ได้ จนกว่าศาลจะพิพากษาว่ามันฆ่าพี่มล”
ด้านธาดาเดินออกมาจากห้องตรวจ หลังคุยกับหมอเสร็จ มุกรินตรงเข้าไปหาพี่ชายทันที
“หมอว่ายังไงบ้างคะพี่ใหญ่”
“สั่งยาให้กิน...แล้วก็ให้มาหาหมอตามนัด”
“หมอบอกว่าพี่เป็นอะไร”
“มีโอกาสเป็นได้หลายอย่าง แต่ต้องตรวจอีกเยอะ กว่าจะรู้แน่ชัด หมอบอกว่า ยังไม่ต้องกังวลจนเกินไป”
มุกรินมองหน้าธาดา เหมือนไม่ค่อยจะเชื่อ
ธาดาจึงยืนยันว่า “จริง ไม่เชื่อถามหมอก็ได้”
“หมอก็คงไม่บอกมุกหรอก”
“งั้นมุกก็ต้องเชื่อพี่...อย่ากังวลเกินเหตุ”
ธาดาหันไปเห็นปรารภ
“มาด้วยเหรอคุณ...มาทำไมไม่ทราบ”
“ผมเป็นห่วงมุกริน ก็เลยตามมาเป็นเพื่อน”
“แน่ใจนะว่า มาเป็นแค่ เพื่อน”
“คุณคิดจะหาเรื่องอะไรผมอีกไม่ทราบ” ปรารภถามตรงๆ
“เปล่า...ผมแค่อยากรู้ว่า คุณพร้อมจะดูแลมุกรินแทนผมได้มั้ย”
ปรารภอึ้งไป เช่นเดียวกับมุกริน
“พี่ใหญ่พูดอะไร มีอะไรที่มุกยังไม่รู้อีกรึเปล่าคะ”
“เราไปคุยกันในรถเถอะนะ มุก”
ธาดาเดินออกไปจากฉาก
ในรถธาดาที่วิ่งไปบนถนนหลวง ยามค่ำคืน มุกรินเป็นคนขับรถ โดยมีพี่ชายนั่งข้างๆ ธาดามีสีหน้านิ่ง เหม่อลอยออกไปนอกรถ มุกรินเหลือบมองพี่ชายสักพัก จึงเอ่ยปากเรียก
“พี่ใหญ่”
“หึ๊”
“มุกรอฟังพี่อยู่นะ”
ธาดาถอนหายใจแรงๆ แต่ก็ยังไม่เอ่ยปากออกมา
“มุกรู้สึกว่าพี่ใหญ่กำลังปิดบังอะไรบางอย่าง...เหมือนไม่อยากบอกมุก”
“เปล่า...พี่อยากบอกมุกทุกเรื่อง...ทุกเรื่องจริงๆ”
“ก็บอกสิคะ”
ธาดาหายใจแรงอีกครั้ง ก่อนเอ่ยปาก
“สัญญาก่อนได้มั้ย ว่าจะไม่โกรธพี่ จะไม่หนีไปจากพี่อีก”
“ค่ะ”
“จอดรถก่อนดีกว่า”
มุกรินเลี้ยงรถรถธาดาเข้าจอดบริเวณไหล่ทาง
หลังจากจอดรถนิ่งสนิท มุกรินหันหน้าไปหาธาดา ผู้เป็นพี่ชายอ้าปากพูดเสียงเรียบๆ
“พี่ติดการพนัน”
“การพนัน” มุกรินตกใจไม่น้อย
“ใช่...”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“นานแล้ว พี่มลเขาโกรธพี่เรื่องนี้มาก”
“ตั้งแต่พี่มลยังอยู่”
“มันเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พี่กับเขาทะเลาะกัน”
“วันนั้น”
“ใช่ วันนั้นด้วย”
มุกรินจ้องหน้าธาดา เหมือนจะค้นหาความจริง
“เป็นต้นเหตุให้ พี่ใหญ่…”
ธาดารีบพูดสวนก่อนที่มุกรินจะปะติดปะต่อเรื่องไปไกลกว่านี้
“ศาลตัดสินแล้วนะว่าพี่ไม่ผิด”
“เพราะมุกโกหกศาลเรื่องโทรศัพท์”
“เพราะมุกเชื่อพี่ต่างหาก ศาลก็เชื่อเหมือนมุก อย่าให้อะไรมาทำลายความ เชื่อของมุกสิ”
“แต่พวกเขากำลังฟ้องอุทธรณ์พี่นะคะ”
“พี่ไม่กลัว...ยังไงๆ พี่ก็ไม่แพ้เรื่องนี้หรอกมุก”
“งั้นพี่ใหญ่เครียดเรื่องอะไร”
ธาดาหายใจลึกๆ ก่อนเอ่ยปากออกมาว่า
“พี่มีหนี้”
มุกรินอึ้ง “หนี้”
“ใช่ เยอะมาก ทรัพย์สินทั้งหมดที่พี่แบ่งมาได้จากพี่มล หมดไปกับการพนัน หมดแล้ว แต่พี่ก็ยังไม่ยอมหยุด พี่ยืมเงินในบ่อน ก่อหนี้สินเพิ่มอีกนับสิบ นับร้อย นับพัน...”
“ดวงดาวหนีพี่ใหญ่ไปก็คงเพราะเรื่องนี้”
“เขาอาจจะมีคนอื่น”
มุกรินเหน็บ “เหตุผลเดียวกับที่พี่ใหญ่กล่าวหาพี่มล”
ธาดานิ่ง สักพัก จึงตัดสินใจเอ่ยปาก
“มุก...เราต้องหนี”
มุกรินฉงน “เรา”
“ถ้าพี่หาเงินมาใช้หนี้ไม่ได้ มันจะมาฉุดตัวมุกไป”
“อะไรนะคะ...ใครจะทำอย่างนั้นได้ยังไง” มุกรินตกใจอีก
“พี่ไปรับปากพวกมันไว้ว่าจะยกมุกให้เสี่ย ถ้าพี่หาเงินมาใช้เสี่ยไม่ได้”
มุกรินถึงกับช็อกในเบื้องแรก แหละเธอโกรธมากเอาการ
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่รับปากอะไรอย่างนั้น...บ้าไปแล้วเหรอ”
“เราถึงต้องหนีไง มุก พวกมันทำอะไรได้มากกว่าที่เราจะคาดถึงนะ มันเป็นพวกนักเลง พวกเจ้าพ่อนะมุก”
“พี่ใหญ่ไปยุ่งกับคนพวกนั้นทำไม แล้วยังเอามุกเข้าไปเกี่ยวด้วยอีก แล้วจะให้มุกทำยังไงล่ะ ทีนี้”
“มุกต้องแยกห่างจากพี่ก่อน พวกมันจะได้ตามหาตัวมุกได้ยากขึ้น แล้วพี่จะค่อยๆ หาทางแก้ไขต่อไป”
มุกรินถอนหายใจแรง เธอเครียดจัด
“นะมุก อยู่คนเดียวซักพัก เพื่อความปลอดภัยของมุก ได้มั้ย”
“มุกไม่มีปัญหากับการอยู่ตัวคนเดียวหรอกค่ะ”
ธาดาดึงร่างมุกรินเข้ามากอดด้วยความรัก
“พี่เป็นห่วงมุกนะ”
“พี่ใหญ่ควรจะห่วงตัวเองมากกว่า”
ธาดาหายใจลึกๆ ก่อนเอ่ยปากถามน้องสาว
“นายปรารภเขาเป็นคนดีใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“เขารักมุกหรือเปล่า”
มุกรินนิ่งไปนิด ก่อนตอบ
“พี่รภยังไม่เคยพูดอย่างนั้น”
“แล้วมุกล่ะ รักเขาบ้างมั้ย”
มุกรินนิ่งงันไป ครุ่นคิดถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาอีกครั้งจนได้
โดยเมื่อตอนบ่ายในวันนี้ คิมหันต์ยืนจ้องหน้ามุกริน สายตามีแต่ความอาลัยอาวรณ์ มุกริน ยืนประจันหน้าคิมหันต์เช่นกัน แต่สุดท้ายเธอต้องเบือนสายตาไปทางอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงการจ้องมองตากัน คิมหันต์เอ่ยปากอย่างแผ่วเบา
“ผมขอถือโอกาสอวยพรให้คุณตรงนี้เลยก็แล้วกัน ก่อนที่เราจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีก ขอให้คุณมีความสุขกับนายปรารภ สมหวังดังที่คุณต้องการ”
คิมหันต์หายใจลึกๆก่อนพูดต่อ
“ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้พบกันอีกครั้ง เพื่อผมจะทำให้คุณมีความสุข มากกว่าที่ทำในชาตินี้”
มุกรินเริ่มอารมณ์หวั่นไหวไปกับท่าทีและคำพูดของคิมหันต์
“มีความจริงที่ผมอยากจะพูดเป็นคำสุดท้าย แม้มันจะไม่มีความหมายอะไรสำหรับคุณ แต่มันมีความหมายกับผมมาก รู้มั้ย ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมไม่เคยรักใครเท่าคุณ และชีวิตที่เหลือนับจากนี้ ก็จะไม่มีวันรักใครได้เหมือนรักคุณ แม้จะไม่สมหวัง แต่ผมก็ดีใจที่ได้รักคุณ...โชคดีครับมุก”
น้ำใสๆ ไหลออกมาจากสองตาของมุกรินโดยไม่รู้ตัว คิมหันต์ตัดสินใจ ขยับตัวเดินออกจากห้องนี้
มุกรินโผเข้าไปกอดคิมหันต์ไว้จนแน่น บอกความจริงออกไป
“มุกไม่เคยตัดใจจากคิมได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว”
ธาดาเดินเข้าไปในบ้านสักครู่แล้ว เขานำเสื้อผ้าและเครื่องใช้ส่วนตัวมาวางกองลงบนเตียงในห้องนอน แล้วเก็บสัมภาระเหล่านั้นยัดใส่กระเป๋าเดินทาง
สักครู่มุกรินจึงตามเข้ามา เอ่ยปากถามผู้เป็นพี่ชาย
“พี่ใหญ่จะไปอยู่ที่ไหน”
“พี่ยังไม่รู้ คงเป็นห้องเช่าเล็กๆ ซักห้อง ได้ห้องแล้ว พี่จะรีบติดต่อมานะ”
“ถ้าดวงดาวอยู่ เขาคงจะช่วยดูแลพี่ใหญ่ได้”
ธาดาพูดโดยไม่เงยหน้ามองน้องสาว
“อย่าพูดถึงเขาอีกเลย”
“มุกช่วยตามเขากลับมา เอามั้ย”
“เขาไม่ได้รักพี่ เหมือนที่พี่รักเขาหรอก...ลืมซะเถอะ”
ธาดาก้มหน้าก้มตาจัดกระเป๋าต่อไป
“แล้วมุกล่ะ หอพักเดิมที่เคยอยู่ ค่าเช่าไม่แพงใช่มั้ย”
“มุกอาจจะลองหาดูที่อื่น พี่ใหญ่ไม่ต้องห่วง”
“ได้ห้องแล้วบอกพี่ด้วยนะ พี่จะรับโทรศัพท์เฉพาะจากมุกเท่านั้น”
มุกรินพยักหน้ารับคำ
“มุกก็เหมือนกัน อย่ารับโทรศัพท์ใคร อย่าบอกใครว่ามุกอยู่ที่ไหน อย่าเชื่อใครนอกจากพี่”
“มีอะไรที่พี่ใหญ่ยังไม่ได้บอกมุกอีกมั้ยคะ”
ธาดาหยุดจัดกระเป๋า มองหน้ามุกริน
“เหลืออีกเรื่องเดียว เรื่องสำคัญ อย่ายอมให้ไอ้คิมหันต์เข้าใกล้มุกอีกเป็นอันขาด ผู้ชายคนนี้ทำได้ทุกอย่างเพื่อทำลายพี่ ทำลายมุก ไม่มีใครเลวเท่ามันอีกแล้ว มุกอย่าแม้แต่จะคิดว่าจะกลับไปหามัน ถึงวันนึงมันจะเลิกกับยายพักตราก็เถอะ เชื่อพี่นะมุก”
มุกรินมองหน้าธาดานิ่ง และตกอยู่ในอาการครุ่นคิดคำนึงถึงเขาคนนั้นอีกคำรบ
อ่านต่อหน้า 4
รอยรัก แรงแค้น ตอนที่ 11 (ต่อ)
ที่ห้องรับรองคลินิกกำมะลอ คิมหันต์และมุกรินยังคงยืนกอดกันอยู่กลางโถงห้องนิ่งนาน จนกระทั่งคิมหันต์เอ่ยปากพูดขึ้นว่า
“นี่คงจะแทนคำตอบได้ว่า คุณไม่ได้แคร์นายปรารภมากกว่าผม ใช่มั้ย”
“ถึงอย่างไร ระหว่างเรามันก็ไม่มีวันเหมือนเดิมค่ะ ฉันเพียงแต่ลืมเรื่องราวดีๆ ระหว่างเราไม่ได้ก็เท่านั้น แต่มันจะไม่มีวันกลับไปเหมือนเก่าได้อีก”
“ให้เวลาผมอีกหน่อยได้มั้ย มุก”
มุกรินส่ายหน้า
“อย่าเสียเวลาเลยค่ะ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
“ไม่เป็นไร แค่คุณยังไม่มีใคร ผมก็ถือว่าผมยังมีความหวัง เพราะผมก็ไม่มีใครเหมือนกัน”
มุกรินนึกหมั่นไส้ “พักตราตัวเบ้อเร่ออยู่ทั้งคน”
คิมหันต์ส่ายหน้า
“พักตราคือวิบากกรรมของผม เป็นกรรมที่ผมต้องชดใช้ด้วยตัวเอง”
คิมหันต์กุมมือมุกรินไว้แน่น นิ่ง
“โทร.หาผมบ้างนะ นึกถึงผมก่อนนายปรารภทุกครั้งได้มั้ย”
มุกรินวางโทรศัพท์ลง ทอดสายตาออกไปไกล ความคาดหวังเล็กๆ ผุดขึ้นท่ามกลางความกังวลใจที่ยังมีหลงเหลืออยู่
เช้าตรู่วันนี้ ประตูบ้านธาดาเปิดออกโดยมุกริน เมื่อเธอมองไปเห็นคิมหันต์ยืนรออยู่ตรงหน้าประตูนั้น เขาเอ่ยปากพูดเสียงนุ่มหู
“พร้อมจะย้ายบ้านรึยังครับคุณมุกริน”
“ฉันเก็บของใส่รถเรียบร้อยหมดแล้ว”
“เราขับตามกันไปเลยนะ”
“คุณจะไม่บอกเหรอว่าหาบ้านเช่าที่ไหนให้ฉัน”
“มันเป็นบ้านที่คุณรัก บ้านที่คุณพักอาศัยมาตั้งแต่เด็กๆ บ้านที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของพ่อแม่คุณ”
เมื่อได้ฟัง ม่านตาของมุกรินเปิดกว้างขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“คิม...”
“บ้านที่คุณเคยบอกว่าเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่คุณมี”
“คุณยังไม่ได้ขายมันเหรอ”
“ครับ”
“จริงเหรอคิม”
“ผมเคยโกหกคุณมั้ย”
มุกรินจ้องหน้าคิมหันต์ยิ้มๆ แทนคำตอบว่า เคย
“ก็ไม่ทุกเรื่องหรอกน่า”
รถคิมหันต์แล่นเข้าไปจอดหน้าบ้านหลังเดิมของมุกริน โดยมีรถมุกรินตามหลังมาใกล้ๆ คิมหันต์ก้าวลงจากรถ ตรงไปเปิดประตูรถให้มุกรินอย่างสุภาพ
“ขอต้อนรับกลับบ้านของคุณครับ”
คิมหันต์ส่งกุญแจบ้านให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ”
มุกรินยิ้มดีใจ สวมกอดคิมหันต์แน่น
มุกรินและคิมหันต์เดินเข้ามาในโถงกลางของบ้าน พบว่าภายในบ้านนั้นโล่ง ไม่มีข้าวของเลยแม้แต่ชิ้นเดียว คิมหันต์เอ่ยปากอธิบาย
“ผมล็อคบ้าน ปิดตายตั้งแต่วันที่คุณย้ายออกไป”
มุกรินเดินไปรอบๆ บ้าน
“ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ไม่ได้รื้อ ไม่ได้ทุบ ไม่ได้ประกาศขาย ผมตั้งใจจะปรับปรุงซ่อมแซมให้สวยขึ้นด้วยซ้ำ เพื่อวันนึงผมจะคืนบ้านหลังนี้ให้คุณ ในวันที่เหมาะสม”
“วันที่เหมาะสม”
คิมหันต์พยักหน้ารับคำ
“วันที่พี่ใหญ่ถูกตัดสินว่าผิด” มุกรินตอบ
คิมหันต์ส่ายหน้า “วันที่เราจะใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขต่างหาก”
“คงไม่มีวันนั้นหรอกค่ะ”
“ถ้าเราเริ่มตั้งแต่วันนี้ เราก็อาจจะมีวันนั้นได้ ใครจะรู้”
ทางด้านธาดาแล่นรถเข้ามาจอดบริเวณมุมลับตา หน้าตึกอพาร์ตเม้นต์ค่อนข้างเก่าแห่งนี้ ธาดาก้าวลงจากรถ กวาดสายตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จึงเดินตรงเข้าไปในอาคารนี้
ระหว่างนี้ มีรถคันใหม่ติดฟิล์มดำสนิทแล่นเข้ามา คนขับเลือกจอดบริเวณฝั่งตรงข้ามของอาคาร จนเมื่อกระจกหน้าต่างรถเลื่อนลง จึงเห็นว่ามันเป็นลูกน้องเสี่ยอ๋า ที่นั่งอยู่ในนั้น แหละมันมองตามธาดา แล้วจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลข
เสี่ยอ๋ารับสาย และพูดโทรศัพท์มือถืออยู่ในเซฟเฮ้าส์
“ว่าไง มันย้ายบ้านแล้วเหรอ”
ลูกน้องคนเดิมนั่งพูดโทรศัพท์ในรถคันนั้น
“ครับ ข้าวของมีไม่มากเท่าไหร่ มันมาเช่าอพาร์ตเมนต์แถวลาดพร้าวชื่อธีรพรอพาร์ตเม้นต์ ท่าทางมันคงไม่ค่อยจะมีตังค์”
“ก็แหง ไม่งั้นไม่ย้ายบ้านหนีหรอก...เฝ้าไว้ให้ดี อย่าให้คลาดสายตาเชียว”
ประตูห้องเช่าหนึ่งในอพาร์ตเม้นต์แห่งนี้เปิดออก ผู้จัดการสาวใหญ่เดินนำธาดาเข้าไปในห้อง สภาพห้องที่ไม่ใหญ่โตนัก ทว่าโล่ง เรียบ สะอาดตา เฟอร์นิเจอร์วางตัวกระจายกันอยู่พองามตา เหมาะแก่การใช้งาน ผู้จัดการอธิบายเงื่อนไขของการเข้าพักที่นี่
“ห้องขนาดกำลังดีเหมาะสำหรับคนตัวคนเดียว มีห้องนอนเล็กให้ด้วย เผื่อจะมีแขกมาพัก มุมห้องครัวสามารถทำอาหารได้ แต่ต้องไม่มีควัน ไม่มีกลิ่น จนเป็นที่รำคาญของเพื่อนข้างห้องนะคะ...ที่เราเน้นก็คือเรื่องเสียงและอบายมุขทั้งหลาย ห้ามเสพ ห้ามซื้อ ห้ามขาย หรือจัดปาร์ตี้ยาเสพติดทุกประเภท”
“ผมไม่มีเรื่องพวกนั้นหรอก ไม่ต้องห่วง”
“การพนันก็ไม่ได้นะคะ เราไม่อนุญาต”
ธาดาพยักหน้า “อืม”
“ดี สัญญาเช่าหนึ่งปี จ่ายล่วงหน้าสามเดือน เข้าอยู่ได้เลย”
“โอเค เดี๋ยวผมลงไปจ่ายให้ข้างล่าง”
“ได้ค่ะ เจอกันข้างล่างนะคะ”
ผู้จัดการเดินออกจากห้องไป ธาดาเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำออกมาดื่ม ค่อยๆหย่อนตัวลงนั่ง ครุ่นคิด เซื่องซึม
เรื่องนั้นเกิดขึ้นตอนกลางดึก เมื่อคืนที่ผ่านมานี้เอง โดยธาดาขยับตัวลงนั่งเบื้องหน้านายแพทย์คนนั้น
“เนื้อร้ายใช่มั้ยหมอ”
หมอพยักหน้าช้าๆ แต่หนักแน่น ธาดาหน้าซีดเผือดลงไปอย่างเห็นได้ชัด
“อย่าเพิ่งเสียกำลังใจนะครับ คิดซะว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด และเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราก็ต้องหาทางเยียวยาให้ดีที่สุด บางคนบอกว่า โรคนี้มันเป็นเวรเป็นกรรม ก็แล้วแต่จะคิด แต่หมอมีหน้าที่รักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ ซึ่งไม่ใช่วิธีตัดกรรม ทำบุญอะไรแบบนั้น”
“ผมมีเวลาเท่าไหร่”
“พร้อมเมื่อไหร่บอกหมอได้เลย ทีมผ่าตัดของหมอพร้อมอยู่แล้ว ยิ่งเร็วยิ่งดีครับ”
“เปล่า ผมหมายถึงว่า ผมจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”
หมอเงียบ ไม่ตอบ
ธาดาดึงความคิดตัวเองกลับมา ในมือของเขามีเอกสารชุดหนึ่ง มันเป็นสำนวนยื่นฟ้องอุทธรณ์ของฝ่ายโจทก์ ซึ่งศาลส่งต่อมายังผู้เป็นจำเลย ธาดามองเอกสารในมือนิ่ง ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ครุ่นคิดหลายเรื่องในหัว
คิมหันต์ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงบริเวณระเบียงหลังบ้าน โดยที่ด้านหลังเห็นมุกรินจัดข้าวของอยู่ในบ้าน
“หมกตัวอยู่แต่ในห้องเหรอ”
คู่สนทนาเป็นเสี่ยอ๋านั่งพูดสายอยู่กลางห้องที่ใดที่หนึ่ง
“ใช่ครับ ท่าทางเหมือนคนซึมเศร้า ไม่รู้ว่าคิดจะฆ่าตัวตายรึเปล่า”
“ถึงขนาดนั้นเลย”
“ไม่รู้สิครับ แต่ผมสั่งเด็กให้เฝ้าดูอย่างใกล้ชิดแล้ว แบบไม่ให้คลาดสายตาเลย จนกว่าคุณคิมหันต์จะมีคำสั่งให้ทำอะไร นะครับ”
“โอเค ตามนั้น ขอบคุณมาก”
คิมหันต์วางสาย มุกรินจัดของเสร็จ ก้าวเข้ามาทางด้านหลัง คิมหันต์พลิกหน้าไปหาเธอแล้วโกหก
“ชุมสายโทร.มาน่ะ มันมีธุระที่ต้องคุยกับผมนิดหน่อย”
“เรื่องฟ้องอุทธรณ์เหรอคะ”
“อื่อฮึ”
คิมหันต์ขยับตัวเข้าใกล้มุกริน
“คุณทำใจได้รึยัง ถ้าคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ต่างไปจากครั้งก่อน”
“ไม่มีปัญหาค่ะ กระบวนการยุติธรรมว่ายังไงก็ต้องเป็นไปตามนั้น แล้วถ้ามันไม่เป็นอย่างที่คุณคิดล่ะ”
“เราไม่พูดเรื่องนี้ดีกว่า”
มุกรินเดินเลี่ยงไปจัดข้าวของในบ้านต่อ
“ผมกลับละ แล้วจะแวะมาหาใหม่นะ...ถ้าคุณอนุญาต”
“ถ้าคุณจะไม่ละลาบละล้วงเข้ามาเอง”
“ไม่ต้องกลัวครับ ผมไม่มีกุญแจบ้าน”
คิมหันต์ขยับตัวจะเดินออกจากบ้าน มุกรินเรียกเขาไว้
“คิม”
คิมหันต์ หันไปหามุกริน
“พักตรากลับเมื่อไหร่”
“อีกเดือนนึง...มั้ง”
“คุณควรจะ ดูแลเขาบ้างนะคะ”
คิมหันต์ยักไหล่ แล้วเดินออกจากบ้าน
ที่ร้านอาหารสงบเงียบบรรยากาศเหมาะแก่การเจริญอาหาร ตรงโต๊ะอาหารตัวใหญ่ ธาดานั่งอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง เขาสอดส่องสายตามองไปรอบๆ เหมือนกำลังรอใครซักคน
ไม่นานนักหนุ่มใหญ่ผมสีดอกเลาในสูทเนี้ยบก้าวเข้ามา ขยับตัวลงนั่งเบื้องหน้าธาดา เขาคือทนายบรรเจิด
“ดูเหมือนว่าคุณจะมาก่อนเวลานัดนะ”
“ผมตั้งใจมารอคุณบรรเจิดครับ”
“ไม่ได้ทำให้ผมประทับใจอะไรในตัวคุณมากขึ้นหรอกครับคุณธาดา ที่จริงผมไม่คิดว่าจะต้องเจอคุณอีกด้วยซ้ำไป”
“ถ้าพวกมันไม่ฟ้องอุทธรณ์ผม ผมก็คงไม่ต้องรบกวนคุณหรอกครับ”
ธาดาส่งสำนวนให้บรรเจิดดู
“คุณมาหาผมช้าไป”
ธาดาชักสีหน้า งง
“ผมอ่านสำนวนหมดแล้ว และก็เขียนคำค้านอุทธรณ์ส่งกลับไปที่ศาลแล้วด้วย”
“แล้ว ผมต้องทำอะไรบ้าง”
“รอ รอจนกว่าศาลจะนัดฟังคำพิพากษา”
“อีกนานมั้ย”
“ผมตอบไม่ได้ ผมไม่ใช่ผู้พิพากษา เพราะฉะนั้นหมดหน้าที่ผมแล้ว”
“ผมไม่แพ้ใช่มั้ย”
บรรเจิดยื่นหน้าเข้าไปใกล้ธาดาอย่างจงใจ
“ประวัติของผม ว่าความให้ใครไม่เคยแพ้ ทั้งสามศาล”
ธาดายิ้มพอใจที่สุด
“เสธ.เลือกทนายได้ถูกคนจริงๆ”
“แต่จำไว้อย่างนึงนะ ชัยชนะของคุณเป็นชัยชนะในแง่ของกฎหมาย แต่ตลอดชีวิตของคุณ คุณจะไม่สามารถเอาชนะกฏแห่งกรรมได้”
ธาดาอึ้ง บรรเจิดกล่าวสำทับอีกว่า
“คุณต้องรู้อยู่แก่ใจเองว่า คุณทำกรรมไว้ที่ไหนบ้าง”
ธาดาหลบสายตาทนายบรรเจิด
“ผมว่าหลังๆ นี่ราศีคุณหายไปเยอะนะ ไม่เหมือนคนชนะคดีเลย ไม่ทราบว่าคนรอบๆ ตัวคุณยังอยู่ครบรึเปล่า”
“คุณหมายถึงใคร”
“แฟนคุณ น้องสาวคุณ คุณมุกริน เธอเป็นยังไงบ้าง”
ธาดายังคงนิ่ง ไม่เอ่ยปากตอบ
“ฝากบอกเธอด้วยว่า อย่าคิดมาก ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหละ ผมไปนะ”
บรรเจิดขยับตัวลุกขึ้นจากโต๊ะ
“ไม่กินอะไรก่อนเหรอครับ ผมเลี้ยงเอง”
“อย่าเลย...คุณเก็บเงินไว้ใช้เถอะ...ผมหากินเองได้”
บรรเจิดเดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ธาดาครุ่นคิดสักพัก เขาตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ดวงดาว แต่ยังคงไม่มีเสียงสัญญาณใดๆ ปรากฏ ธาดาค่อนข้างหงุดหงิด
ธาดาเดินเข้ามาในร้านเหล้าแห่งนี้ลำพัง เขากวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วจึงเอ่ยปากเรียกพนักงานเสิร์ฟใกล้ตัว ถามถึงดวงดาว
“น้อง วันนี้แฟนพี่เล่นรึเปล่า”
“แฟนพี่ คนไหนครับ”
“นักร้องผมหยิกๆ ชื่อดวงดาว”
“อ๋อ วงนั้นหมดสัญญาแล้วครับ”
“ยังไง”
“เห็นหัวหน้าวงเขาว่า จะย้ายไปเล่นที่อื่นน่ะครับ นี่ก็หายไปหลายวันแล้ว กีตาร์น้องดาวก็ทิ้งไว้หลังเวที ยังไม่มาเอาเลย”
“เขาไปเล่นที่ไหนรู้มั้ย”
“ไม่ทราบครับ พี่ลองถามแขกคนนั้นดูมั้ย เป็นแฟนประจำน้องดาวเหมือนกันเขาอาจจะรู้”
“คนไหน”
“โน่นไง คนหล่อๆนั่น”
บ๋อยชี้มือไปที่โต๊ะในมุมมืด ธาดามองตาม เห็นคิมหันต์นั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น และคู่ปรับยักไหล่ให้เป็นเชิงทัก
ธาดาเดินตรงไปที่คิมหันต์ เขาเอ่ยปากทันทีที่เดินไปถึง
“ดวงดาวอยู่กับมึงรึเปล่า”
“คำถามน่าสนใจ...คำตอบคือ ตอนนี้ยัง”
ธาดาโกรธมากขึ้น เขาส่งเสียงดังขึ้นกว่าเก่า
“แกพาดวงดาวเข้าโรงแรม”
“ถ้าจะให้ถูก ต้องพูดว่า...ดวงดาวพาฉันเข้าโรงแรม”
“มึง”
“ก็จริงนี่ เพราะฉันเมา เธอก็เลยช่วยสงเคราะห์หาที่นอนให้ฉัน แต่ระหว่างที่ฉันหมดสติ เธอจะช่วยสงเคราะห์อะไรอย่างอื่นด้วยรึเปล่า อันนี้ไม่รู้นะ”
ธาดากระชากคอเสื้อคิมหันต์เต็มแรง
“บอกมาเดี๋ยวนี้ว่า ดวงดาวอยู่ไหน”
“มึงก็ไปหาเอาเองสิ”
“ฉันถามว่า ดวงดาวอยู่ไหน”
คิมหันต์หัวเราะ “เขาทิ้งแกแล้วใช่มั้ย ไม่มีปัญญาตามหาเองรึไง”
ธาดาตะโกนลั่นร้าน “ถามว่าดวงดาวอยู่ไหน”
“อยู่ในนี้มั้ง”
คิมหันต์ชี้มือไปที่เป้ากางเกงของตัวเอง ธาดาโกรธ พุ่งเข้าไปสาวหมัดใส่คิมหันต์ทันที คิมหันต์ชกกลับอย่างแรงไม่แพ้กัน ธาดาล้มคว่ำสะเปะสะปะ
“เรี่ยวแรงไม่ค่อยจะมีแล้วนะคุณอา มิน่าล่ะเมียถึงได้ทิ้ง”
ธาดาพุ่งเข้าไปหาคิมหันต์อย่างโกรธแค้น คิมหันต์เหวี่ยงร่างธาดากระแทกโต๊ะใกล้ๆ กัน ล้มระเนระนาด
“ผมว่าคุณอากลับบ้านไปนอนเอาแรงเหอะ”
ธาดายันตัวลุกขึ้นยืนอย่างลำบาก
“หาวิตามินกินหน่อยก็ดีนะ รักษาสุขภาพให้แข็งแรงไว้ จะได้อยู่จนถึงวันขึ้นศาล”
“ขึ้นอีกกูก็ไม่แพ้เว้ย”
คิมหันต์แสยะยิ้มให้ วางสตางค์ค่าทิปบนโต๊ะ แล้วจึงเดินออกไป
ธาดาหันไปหาบ๋อยคนนั้น
“ดวงดาวมาเอาของวันไหน ช่วยโทร.บอกพี่ที”
ธาดาส่งเงินและเบอร์โทรของตัวเองให้บ๋อย
ดวงดาวเปิดประตูห้องพักของเธอ คิมหันต์ยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง
“รู้ได้ไงว่าฉันยังอยู่ที่นี่”
“ถ้าจะย้าย คุณคงบอกผมก่อน”
“คุณเป็นคนสำคัญของฉันเหรอ”
“อย่างน้อยก็ตอนที่คุณยังไม่มีใคร”
ดวงดาวหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องของเธอ
“จะอนุญาตให้ผมเข้าไปมั้ยครับ”
“เคยเข้ามาแล้วไม่ใช่เหรอ”
คิมหันต์เดินตามเข้าไปในห้องดวงดาว
“พูดอย่างนี้แปลว่าอนุญาตให้ผมมาหาได้เรื่อยๆ”
“วันนี้เท่านั้น พรุ่งนี้ฉันจะไม่อยู่แล้ว”
คิมหันต์สังเกตุท่าทีดวงดาวก่อนเอ่ยปากถาม
“ถามได้มั้ยว่าจะไปไหน”
“ภาคใต้”
“เล่นดนตรี”
“คงเล่นซักพัก แล้วค่อยหาที่ปักหลัก อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่”
“กับใคร”
“ไม่บอก”
“แอบมีคนรักใหม่ตอนไหนเนี่ย” คิมหันต์เย้า
“อย่าเดาเลย”
คิมหันต์ขยับตัวนั่งเอนหลังสบายๆก่อนเอ่ยปากพูด
“นายธาดาเขาตามหาคุณทั่วไปหมดเลยนะ...ไม่สงสารเขาบ้างเหรอ”
ดวงดาวนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนถามว่า
“เขาเป็นยังไงบ้าง”
“หมอง คล้ำ แทบจะไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว คงจะมีหนี้สินเยอะ”
“คุณน่าจะบอกให้มุกไปดูแลเขาหน่อย”
คิมหันต์ส่ายหน้า
“ผมพอใจที่มันเป็นอย่างนี้...สะใจดี”
ดวงดาวไม่แสดงอารมณ์ใดๆ กับคำพูดนั้นของคิมหันต์
“พรุ่งนี้ คุณจะไปยังไง ผมไปส่งให้เอามั้ย”
ดวงดาวมองหน้าคิมหันต์ แต่ไม่เอ่ยปากตอบ
เวลานั้นมุกรินนั่งทอดสายตาออกไปไกล เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น มุกรินหยิบมันขึ้นมากดปุ่มรับ
“ฮัลโหล พี่รภ”
อีกฟาก ปรารภขับรถไปพร้อมกับพูดโทรศัพท์ไปด้วย หน้าตาของเขามีความเป็นห่วงเป็นใยปะปนอยู่
“มุก พี่มาหามุกที่บ้าน ไม่มีใครอยู่เลย มีป้ายให้เช่าบ้านติดอยู่ที่รั้วด้วย มุกย้ายบ้านเหรอ”
“ค่ะ”
“แล้วตอนนี้มุกอยู่ที่ไหนครับ”
“มุก ปลอดภัยดี พี่รภไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“มุกไม่อยากให้พี่รู้ว่าอยู่ที่ไหนเหรอ”
มุกรินลังเลที่จะตอบ
“เอ่อ...”
“แล้วทำไมต้องย้ายด้วยครับ”
“มุกมีเหตุผลบางอย่าง ที่ยังไม่อยากบอกใครค่ะ”
“แม้แต่พี่”
“เอ้อ...ค่ะ พี่รภ”
ปรารภถอนใจเล็กน้อย ก่อนตั้งใจพูดต่อด้วยน้ำเสียงปกติ
“ไม่เป็นไรครับ ไม่บอกก็ได้ แต่พรุ่งนี้มีงานแล้วนะ”
น้ำเสียงมุกรินเต็มไปด้วยความฉงน “งาน”
“งานของเรา บริษัท MVP ของเราไง พรุ่งนี้มุกเข้าออฟฟิศหน่อยนะ เรามีงานต้องทำแล้ว”
มุกรินมีสีหน้าแปลกใจ
“ออฟฟิศ”
ปรารภเอ่ยปากอย่างภาคภูมิใจ
“ก็บ้านหลังที่พี่เคยพามุกไปอยู่ไงล่ะ นั่นหละบริษัท MVP ของเรา พรุ่งนี้เจอกันนะครับ”
ปรารภกดปุ่มวางโทรศัพท์ กึ่งดีใจ กึ่งครุ่นคิด
มุกรินกดวางสายไป คิมหันต์ยืนอยู่หน้าประตูบ้านสักพักแล้วจึงเอ่ยถามขึ้น
“คุยกับเจ้านายเก่าเหรอ”
มุกรินมองหน้าคิมหันต์นิ่งๆ
“ผมไม่ได้ว่าอะไร...แค่ถามดู”
“ค่ะ”
“ขยันทำแต้มกับมุกน่าดูเลยนะ พ่อหม้ายคนนี้”
“ก็พอๆ กับที่คิมขยันเสียแต้มกับมุกนั่นแหละ”
คิมหันต์ตอบรับด้วยการยักไหล่
“คุณบอกเขารึเปล่าว่าคุณอยู่ที่นี่”
มุกรินส่ายหน้า
“งั้นเขาก็คงพยายามชวนคุณออกไปเจอกันข้างนอก”
“เขาชวนมุกไปทำงาน...บริษัทใหม่ของพี่รภ”
“แล้วคุณตกลงมั้ย”
“ฉันต้องทำงานนะคะ จะให้อยู่เฉยๆไม่ได้หรอกค่ะ ฉันไม่ได้มีสมบัติติดตัวมากมายอย่างคุณ”
“เข้าใจ”
คิมหันต์เดินเข้าไปเอนตัวนอนบนโซฟาในบ้าน
“แต่ถ้าเราแต่งงานอยู่กินกัน มุกก็คงไม่ต้องทำงานมากอย่างนี้หรอก”
มุกรินมองคิมหันต์นิ่งๆ แล้วจึงพูด
“การที่ฉันเลือกมาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพื่อให้คุณมาหาฉันได้ง่ายๆ นึกจะมาเมื่อไหร่ก็มา นึกอยากจะมานอนก็มานอนตามใจชอบนะคะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็จะเลือกไปอยู่ที่อื่น”
“ผมรู้ครับ และผมไม่ได้คิดจะรุกล้ำล่วงเกินคุณมากไปกว่า ขอนอนเล่นข้างล่างตรงนี้แหละ คุณก็นอนในห้องของคุณไป โปรดเห็นใจคนไม่มีที่ไปสักนิด ได้มั้ยครับ”
คิมหันต์ส่งสายตาอ้อนวอนมา
“ฉันจะไปเอาหมอนกับผ้าห่มมาให้”
มุกรินเดินไปหยิบเครื่องนอนจากห้องเก็บของใกล้ๆ คิมหันต์ตะโกนถาม
“คุณรู้รึยังว่าพี่ชายคุณอยู่ที่ไหน”
“พี่ใหญ่ยังไม่ได้ติดต่อมา”
”ถ้าเขาหาเงินใช้หนี้ไม่ได้ ก็ต้องหลบหนี อย่างนี้ตลอดไปเหรอ”
มุกรินเดินถือหมอนและผ้าห่มกลับเข้ามา
“พี่ใหญ่คงกำลังพยายามหาเงินอยู่”
“เอาที่ผมมั้ย ผมให้ยืม”
“พูดเป็นเล่นไป”
“เท่าไหร่”
“พี่ใหญ่บอกแต่ว่าเยอะมาก”
“ถ้าเขากล้าขอ ผมก็กล้าให้ยืม แต่ต้องคืนให้หมดก่อนติดคุกนะ”
“แล้วที่ฉันอยู่ที่นี่ ฉันต้องจ่ายค่าเช่าให้คุณเท่าไหร่”
“ไม่ต้อง ผมให้คุณอยู่ฟรีๆ แลกกับการอนุญาตให้ผมมานอนที่นี่ได้บ้าง นอนตรงนี้นี่แหละ นะมุก”
“ค่ะ”
มุกรินเดินขึ้นบันไดบ้าน กลับไปห้องนอนของตน คิมหันต์นอนลืมตานิ่ง สีหน้าดูออกว่าเขาสบายใจเอาการ
ธาดาเดินไปตามทางเดินในอพาร์ตเมนต์ เมื่อมาถึงหน้าห้อง สีหน้าเขาเปลี่ยนไป เมื่อพบว่าที่ประตูมีกระดาษแผ่นย่อมๆ ติดอยู่ ข้อความบนกระดาษข่มขู่คุกคามชัดเจน มันอ่านได้ใจความว่า
“อย่าคิดว่าจะหนีรอดได้ง่ายๆนะ
รักษาสุขภาพให้ดี จะได้หาเงินมาใช้หนี้เร็วๆ
หรือไม่ก็ส่งตัวน้องสาวมาเร็วๆ
เลือกเอา”
ธาดาหน้าเครียดจัด
ในเวลาเดียวกัน โทรศัพท์มือถือของมุกรินดังขึ้น หญิงสาวเอื้อมมือหยิบขึ้นมากดรับสาย
“ฮัลโหล พี่ใหญ่เหรอคะ พี่ใหญ่ได้ที่อยู่รึยัง”
ธาดาเดินพูดโทรศัพท์อยู่กลางห้องพักของเขา
“อืม เป็นอพาร์ตเมนต์เก่าๆ นอกเมืองน่ะ มุกล่ะ”
“มุกได้ที่อยู่เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ยังไม่ต้องบอกพี่นะว่าอยู่ที่ไหน พี่ไม่รู้เลยจะดีกว่า เพราะไอ้พวกนั้นมันชักจะข่มขู่พี่มากขึ้นเรื่อยๆ พี่ไม่อยากให้มันถึงตัวมุก”
“พี่ใหญ่” น้ำเสียงมุกรินเต็มไปด้วบยความเป็นห่วงพี่ชาย
“ไม่ต้องกลัวนะมุก พี่จะไม่ยอมให้ใครทำอะไรมุกได้ พี่สัญญา”
“แล้วพี่จะหาเงินที่ไหนมาใช้หนี้เขาล่ะ”
“พี่กำลังพยายามอยู่”
“ให้มุกช่วยอะไรมั้ย เผื่อว่าพอจะหยิบยืมใครได้”
ธาดาเอ่ยปากออกมาเสียงเข้มและหนักแน่น
“อย่ามุก มันเป็นหนี้ของพี่ พี่ต้องเป็นคนชดใช้เอง”
มุกรินนิ่งเงียบไป ได้แต่สงสารผู้เป็นพี่ชาย
“นอนหลับเถอะนะ...แล้วพี่จะโทรไปหาใหม่”
“ค่ะ”
“กู๊ดไนท์นะ”
ธาดากดวางสายสนทนา อากาศปวดศีรษะก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เขารีบหยิบยาใส่ปาก ดื่มน้ำตาม หน้าตาเครียด
รถมุกรินแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านสวนของปรารภหลังนี้ เจ้าของบ้านก้าวออกมารับ ด้วยหน้าตายิ้มแย้ม
พร้อมๆ กับที่มุกรินก้าวลงจากรถ
“บริษัท MVP ยินดีต้อนรับ คุณมุกริน คุรุรัตน์ ครีเอทีฟและหุ้นส่วนคนเดียวของบริษัทครับ”
“บริษัทเรามีพนักงานกี่คนคะ”
“คุณกับผม เท่านั้นแหละ เชิญข้างในดีกว่าจ้ะ”
ปรารภเดินนำมุกรินเข้าไปในบ้าน
ปรารภเดินนำมุกรินเข้ามายังโถงบ้าน ซึ่งถูกปรับเป็นออฟฟิศไปแล้ว โดยโต๊ะยาวกลางบ้านได้ถูกดัดแปลงเป็นโต๊ะทำงาน มีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ถูกติดตั้งอยู่สองเครื่อง รวมทั้งอุปกรณ์สำนักงานต่างๆ ที่ต้องใช้ ครบครันปรารภเดินอธิบายรายละเอียดของงาน อย่างกระฉับกระเฉง
“ลูกค้าเก่าหลายราย ถามถึงพี่ จะส่งงานให้เราทำก็เยอะ พี่ต้องบอกว่าทำไม่ทัน ขอเป็นทีละงานแล้วกัน รอให้บริษัทโตอีกหน่อย พี่ก็เลยเลือกงานแรกที่เราน่าจะพร้อมทำได้ เป็นงานคอนเซ็ปต์ เราต้องวางคอนเซ็ปต์ให้น้ำดื่มตัวใหม่ที่จะออกมาสู่ตลาดปลายปี”
“อย่าบอกว่าชาเขียวนะคะ”
“ไม่ เราไม่ชา ของเราเป็นน้ำดื่มบริสุทธิ์เพื่อสุขภาพ มีค่า pH เป็นด่าง มีค่า ORP เป็นลบ ซึ่งจะต้านอนุมูลอิสระได้ดี แจ๋วกว่าชามั้ย เราจะเริ่มต้นด้วยการอ่านข้อมูลโปรดักส์ของเขาให้ละเอียด แล้วลองวางแนวทางเบื้องต้นเสนอเขาซัก สองสามแบบ โอเค นะ”
“พี่รภคะ”
“หืม”
“พี่ไม่โกรธใช่มั้ย ที่มุกไม่บอกพี่ว่ามุกอยู่ที่ไหน”
ปรารภส่ายหน้า ยิ้มให้มุกริน “ทำงาน อย่าคิดมาก”
สภาพของร้านเหล้าในเวลาที่ยังเปิดบริการแบบนี้ ทั้งรก ทั้งเละ ระเกะระกะ ไปหมด ดวงดาวเดินผ่านความรกเรื้อนี้ตรงไปยังด้านหลังเวที เธอเอื้อมหยิบกีตาร์ของเธอที่ซุกอยู่หลังตู้ บ๋อยที่นอนเฝ้าร้านหน้าตายังไม่หายง่วง เดินเข้ามาหาดวงดาว
“มาเอาของแล้วเหรอดาว”
“อืม...”
“ดาวไม่อยู่แขกถามหาอื้อเลยนะ”
“ถามจริง”
“จริง ไม่เปลี่ยนใจเล่นที่นี่ต่อเหรอ”
“ต้องถามพี่จ๋าย พี่เขาไม่เล่น ดาวจะเล่นได้ยังไง”
“ได้ซี่ แยกวงเลย ดังแล้ว แยกวงได้”
“ไม่ใช่นิสัยฉัน ไปนะ”
ดวงดาวเสร็จธุระ จึงขยับตัวจะเดินออก ธาดาเดินเข้ามาขวางหน้าเธอไว้
“ดาว”
“อา”
ดวงดาวชะงัก กับสภาพทรุดโทรมของสามีหนุ่มใหญ่ เธออึ้งไปนานพอสมควร
“ทำไมต้องทิ้งอาด้วย ดาว กลับมาอยู่กับอาเถอะนะ อาขอโทษที่ทำรุนแรงกับหนู ต่อไปนี้อาจะไม่ทำอย่างนั้นอีก อาจะไม่ทำให้หนูเสียใจอีกเลย อาสัญญา”
ดวงดาวจ้องหน้าธาดา ตัดสินใจชั่วครู่ ก่อนเอ่ยปาก
“เด็กที่ร้านบอกอาเหรอว่าหนูจะมาวันนี้”
“ใช่”
“แล้วเขาไม่ได้บอกเหรอว่า หนูมาเอาของแป๊ปเดียวแล้วจะรีบไป”
ดวงดาวเดินผ่านหน้าธาดาเพื่อออกไปยังหน้าร้าน ธาดาฉุดมือเธอไว้
“เดี๋ยวก่อนสิดาว”
“เราเลิกกันแล้วค่ะอา”
“เลิกเมื่อไหร่...อายังไม่อยากเลิกนี่”
“ทันทีที่อาใช้ความรุนแรงกับหนู เราก็จบกัน ตามสัญญา”
“แต่เราเริ่มต้นกันใหม่ได้นี่”
“อย่าเสียเวลาดีกว่าค่ะ”
ดวงดาวพยายามสะบัดมือออก แต่ธาดาไม่ยอมยังดึงรั้งเธอไว้อีก
“ดาว”
“ปล่อยหนูเถอะค่ะ เพื่อนหนูรออยู่”
ธาดาพาลตะโกนลั่นร้านด้วยอารมณ์โกรธ
“เพื่อนหรือใคร ดาวจะหนีตามผู้ชายไปใช่มั้ยบอกอามาตรงๆ ดีกว่า”
ดวงดาวเหนื่อยใจ จ้องธาดานัยน์ตาแข็งกร้าว
“ไม่ทันไรเลย พูดจาดูถูกหนูอย่างนี้อีกแล้ว ไหนว่าจะไม่ทำให้ดาวเสียใจอีกแล้วไง”
ธาดานิ่งไป
“เลิกคือเลิก ทางใครทางมันดีกว่าค่ะอา แต่ถ้าอายังต้องการหนู อาก็ปรับปรุงตัวใหม่ แล้วค่อยมาจีบหนูใหม่ก็แล้วกัน”
พูดจบดวงดาวสะบัดมือเดินหนีจากธาดาทันที
ดวงดาวเดินมุ่งไปยังประตูทางออกหน้าร้าน ธาดาก้าวตามมาติดๆ เจอคิมหันต์ขวางหน้าประตูไว้ พูดเยาะเย้ยถากถางอีกด้วย
“เด็กเขาไม่เล่นด้วยแล้ว ยังจะตื๊อไม่เลิกอีกแน่ะ ผู้เฒ่าเอ๊ย”
“ไอ้คิม มึง”
ดวงดาวหันไปหาธาดาทันที
“หนูไม่ได้นัดเขามานะอา”
“ใช่ ดาวไม่ได้นัดฉัน แต่ใจเรามันถึงกัน ฉันรู้สึกได้เองว่าเขาน่าจะกำลังต้องการฉันอยู่” คิมหันต์เล่นไม่เลิก
“ใครบอกคุณ” ดวงดาวฉุน
“ผมจะขับรถไปส่งให้ไง ไม่ดีเหรอ ผู้หญิงตัวคนเดียวเดินทางไกลๆ อันตรายนะ”
ธาดาปราดเข้าไปประชิดตัวคิมหันต์
“มึงเลิกยุ่งกับดวงดาวเดี๋ยวนี้นะ”
“ทำไม มึงเป็นพ่อเขาเหรอ ทีหลังก็แขวนป้ายห้ามยุ่งไว้ด้วยซี่”
“มึง”
“มึงอะไร มึงจะทำอะไรกู”
“จะฆ่ามึงน่ะสิ”
ขาดคำ ธาดาคว้าของแข็งใกล้ตัวฟาดไปที่คิมหันต์เต็มแรง คิมหันต์ตั้งรับทันชกตอบหลายหมัด สองคนแลกหมัดซัดอาวุธใส่กันพัลวัน
เด็กในร้านวิ่งกรูเข้ามาพยายามแยกคู่กรณีออกจากกัน ดวงดาวส่ายหน้าระอาเหลือ เดินหนีสองคนไปด้วยความเซ็งธาดาตะโกนตามหลังดวงดาวไป
“ดาวจะทิ้งอาไปก็ได้ แต่ดาวอย่าไปยุ่งกับไอ้คนเหี้ยๆ อย่างไอ้คิมได้มั้ย”
คิมหันต์เยาะเย้ยด้วยความสะใจ “เสียใจนะ...ไม่ทันแล้วว่ะ อา”
“มึงมันเลวไอ้คิม มึงไม่ตายดีแน่จำไว้” ธาดาทำได้แค่เพียงด่า
“คอยดูก็แล้วกันว่า ใครกันแน่ที่จะไม่ตายดี”
คิมหันต์เหยียดยิ้ม เย้ยหยันอดีตพี่เขยคู่ปรับเต็มที่ ดูเหมือนเขาจะสะใจมาก ถึงมากที่สุด
อ่านต่อตอนที่ 12