เพื่อน แพง ตอนที่ 10
แพงเข้ามาในห้องพักตัวเองได้ไม่เท่าไหร่ เพื่อนก็รีบตามเข้ามาอย่างไม่พอใจ
“อีแพง คิดว่ากระแนะกระแหนข้าเสร็จแล้วจะเดินหนีหน้าตาเฉยได้เหรอ”
เพื่อนพูดพร้อมกับคว้าข้อมือน้องสาวขึ้นมาบีบแน่นจ้องหน้าเอาเรื่อง
“ฉันไม่ได้กระแหนะกระแหนพี่สักหน่อย แค่พูดตามที่เห็นว่าพี่เพื่อนไม่สนใจพี่ลอเลย”
“แล้วเอ็งล่ะ ข้าเป็นพี่สาวเอ็งแต่ไม่เห็นจะถามสักคำ ข้าโดนพวกมันทั้งตบทั้งตี เจียนต้องเป็นกะหรี่ในซ่อง แต่เอ็งก็ยังมาฉอดๆ ว่าข้าใจจืดใจดำใส่พี่ลอ”
“ฉันก็เป็นห่วงพี่เพื่อนเหมือนกันนะ เรามีกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง ถ้าพี่เป็นอะไรไป ฉันก็คนหนึ่งแหละที่จะอกแตกตายต่อจากพี่ลอ เอาว่าฉันขอโทษพี่แล้วกัน พี่สองคน ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งนาน ฉันก็อยากเห็นพวกพี่รักกันให้หายคิดถึง”
“ข้าจะรักกันยังไงก็ไม่ใช่เรื่องที่เอ็งจะมาสาระแน จำไว้อีแพง”
เพื่อนหมั่นไส้จิ้มหน้าผากไสหัวแพงจนเซ แล้วหันไปเห็นเสื้อผ้าของแพงแขวนอยู่
“นี่เสื้อผ้าเอ็งเหรอ”
“น้าโฉมซื้อมาให้ แต่ฉันไม่ชอบหรอก บานอย่างกับสุ่มไก่ไม่รู้กล้าใส่เดินถนนกันได้ยังไง”
เพื่อนลูบคลำอย่างชื่นชม
“ของดีๆ สวยงามราคาแพงแบบนี้เอ็งตาไม่ถึงล่ะไม่ว่า”
“พี่เพื่อนชอบเหรอ งั้นฉันให้พี่เพื่อนก็ได้”
“จะให้ข้าเอาของๆ เอ็งไปใช้น่ะเหรอ ของเหลือเดนจากเอ็ง ข้าไม่อยากได้หรอก”
เพื่อนเหน็บแพงแล้วผละมือออกจากชุดกระโปรง เดินออกไปอย่างเชิดๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น แพงเดินออกมาที่ห้องโถงแล้วสังเกตเห็นเพื่อนยืนหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจก เพื่อนหันมาเห็นน้องสาวก็รีบเรียกให้เข้าไปดู
“อีแพง มานี่สิ ช่วยข้าดูหน่อยว่าเสื้อผ้าใหม่ที่น้าโฉมซื้อมาให้ข้าใส่สวยรึยัง”
แพงดูเพื่อนแต่งชุดกระโปรงบานสุ่มคล้ายชุดที่เพื่อนเห็นของแพงเมื่อคืน แต่ชุดนี้สวยกว่าสีแรงกว่า
“สวยดีนี่จ๊ะ พี่เพื่อนสวยอยู่แล้วใส่อะไรก็สวยทั้งนั้นแหละ”
“จริงเหรอ แล้วเอ็งว่าข้าสวยเหมือนตุ๊กตาฝรั่งตัวนี้รึยัง”
เพื่อนหันไปมองตุ๊กตาฝรั่งบนชั้นวาง แพงชะงักมองตุ๊กตาในมือเพื่อนแล้วอดขำไม่ได้
“ตุ๊กตาฝรั่งขาวเผือก หัวทองปากแดงเป็นลิงนี่น่ะเหรอ ขืนพี่เพื่อนอยากสวยแบบนี้ พี่ลอมาเห็นเข้าคงนึกว่าพี่จะไปเล่นลิเกแข่งกับพวกไอ้วอกมัน”
เพื่อนอึ้งหน้าเสีย ปรี๊ดใส่ทันที
“อีแพง ถ้าปากว่างมากนัก ข้าจะเอาถ่านร้อนๆ มาให้เอ็งอมเล่นซะเลย อีปากเสีย”
“ฉันพูดจริงนี่ พี่เพื่อนไม่ใช่สาวพระนคร จะจับปั้นจับแต่งยังไง พี่เพื่อนก็งามอย่างสาวบ้านสร้าง งามอย่างที่พี่ลอเขารักเขาชอบ”
“แต่ข้าไม่ได้แต่งตัวสวยเพื่อให้พี่ลอชมข้าสักหน่อย”
“พี่เพื่อนหมายความว่ายังไง”
เพื่อนชะงักที่เผลอหลุดปาก
“หมดธุระของเอ็งแล้ว จะไปไหนก็ไป”
“ฉันได้ยินนะ พี่บอกว่าไม่ได้แต่งตัวสวยให้พี่ลอชม งั้นพี่จะให้ใครชมพี่”
“เอ๊ะ อีแพง เรื่องของข้า บอกกี่ครั้งว่าอย่าสาระแน”
เพื่อนพยายามเบี่ยงประเด็นผลักแพงไม่ให้เซ้าซี้จนแพงเซเกือบล้ม โชคดีที่จำปาเข้ามาช่วยรับแพงเอาไว้
“เป็นอะไรไปอีแพง มีเรื่องอะไรกันเสียงดังไปถึงข้างนอก”
แพงนิ่งไปไม่พูด เพื่อนเชิดหน้าฃ ไม่ยอมพูดอะไร กลับแสดงท่าทางคอแข็งวางตัวใส่จำปา
“น้าโฉมกลับมารึยังจำปา”
“กลับมาแล้ว”
เพื่อนไม่มีแม้แต่คำขอบใจให้จำปา พอรู้ว่าโฉมฉายกลับมาแล้วก็รีบเดินออกไป จำปาข้องใจกับท่าทางเชิดหยิ่งของเพื่อน
“จะขอบอกขอบใจสักคำ ไม่มีเลยนะแม่เพื่อน”
แพงเดินเข้ามากับจำปา แพงทำหน้าสนใจเมื่อรู้เรื่องจากจำปา
“พี่เพื่อนขอให้น้าโฉมช่วยพาไปพบคุณมานพเหรอ”
“เออ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ข้าได้ยินแม่เพื่อนไปขอให้คุณนายช่วยพาไปพบคุณมานพ เห็น ว่าอยากไปขอบพระคุณที่คุณมานพช่วยเหลือเอาไว้”
แพงครุ่นคิด
“แล้วข้ายังได้ยินพี่สาวเอ็งออดอ้อนขอให้คุณนายซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ใส่ไปพบคุณมานพเขาด้วยนะ แหม ของมาใหม่ไม่ทันจะซักก็เอามาใส่ซะแล้ว ขี้อวดซะจริงเลยพี่สาวเอ็ง”
“อย่างนี้นี่เอง พี่เพื่อนนะพี่เพื่อน”
“เอออีแพง นิสัยเอ็งกับพี่ทำไมถึงได้ต่างกันนักวะ อย่างเอ็งข้าไม่เคยเห็นร้องขออะไรจากคุณนายสักอย่าง แต่พี่สาวเอ็งขออย่างกับเห็นคุณนายเป็นกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง”
จำปีถือตระกร้าจ่ายตลาดเข้ามา
“คุณเพื่อนเขาเป็นหลานสาวคุณนาย เขาจะขออะไรแล้วมันใช่เรื่องที่เอ็งควรสาระแนเหรออีจำปา”
“สาระแนเลยเหรอจ๊ะแม่ แค่กำลังจะบอกว่านิสัยของอีแพงกับพี่สาวมันต่างกันแค่นั้นเอง”
“แค่นั้นก็พูดไม่ได้ เอ็งเป็นบ่าว เรื่องของเจ้านายเขามันไม่สมควรเอามาพูดลับหลัง”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะป้า อย่าเห็นว่าฉันเป็นหลานน้าโฉมแล้วจะมีศักดิ์อะไรเลย ฉันก็เป็นอีแพงจากทุ่งบ้านสร้าง ไม่มีอะไรเปลี่ยนให้ฉันเป็นคนอื่นได้หรอกจ้ะ”
“เห็นมั้ยแม่ ต่างจากพี่สาวมันลิบ คนอย่างอีจำปาดูอะไรแล้วผิดที่ไหน เพราะฉะนั้นเชื่ออีจำปาเถอะ แล้วเดี๋ยว”
“พอเลยอีจำปา ปากเก่งดีนัก ไป ไปช่วยข้าเตรียมกับข้าวกับปลา”
จำปีไล่จำปาให้ไปช่วยงานในครัวต่อ แพงครุ่นคิด ยังติดใจไม่หายเรื่องเพื่อนกับมานพ
บริเวณสวนบ้านโฉมฉาย ลอปีนต้นไม้ขึ้นไปตัดแต่งกิ่ง กิ่งใหญ่ๆ ที่ขึ้นรกถูกลอเลื่อยลงมาโครม
“นายลอ ลงมาเถอะ เดี๋ยวเอ็งก็ร่วงลงมาแข้งขาหักหรอก”
“ฉันไม่ร่วงลงไปง่ายๆ หรอกจ้ะพี่จำปูน อยู่บ้านสร้างขึ้นลงต้นตาลเป็นว่าเล่น”
“แต่คุณนายท่านมีคนสวนไว้คอยดูแลอยู่แล้ว เอ็งเป็นแขกของบ้านนี้ คุณนายมาเห็นจะว่าข้าเอาน่ะสิวะ”
ลอตัดกิ่งเสร็จพอดีก็ปีนลงมาอย่างคล่องแคล่วแล้วยกมือไหว้จำปูนท่วมหัว
“ฉันขอล่ะจ้ะพี่จำปูน ช่วยบอกคุณนายอย่ายกฉันเป็นแขกบ้านแขกเรือนเลย คนอย่างไอ้ลอไม่มีปัญญามานั่งกระดิกตีนอยู่กินสุขสบายในคฤหาสน์หลังใหญ่อย่างนี้หรอก”
“เออเว้ย เอ็งนี่มันซื่อจริงๆ เลยว่ะ เขาให้อยู่กินสุขสบายก็ไม่ชอบ”
“น้ำใจน่ะฉันดีใจรับไว้ แต่ให้อยู่สบายเห็นจะไม่ไหว เดี๋ยวมันจะเคยตัวกลับไปบ้านสร้างแล้วพาลขี้เกียจไม่ขยันทำงาน จะหาเงินแต่งเมียไม่ได้จ้ะพี่จำปูน”
“ก็จริงของเอ็ง ข้าก็เคยมาจากบ้านนอก แต่มาอยู่พระนครแล้วก็ติดใจความสบายจนเคยตัวเหมือนกัน”
“แล้วยิ่งรู้ว่าแม่เพื่อนเป็นถึงหลานสาวคุณน้าโฉมอย่างนี้ ฉันก็ยิ่งต้องตั้งหน้าตั้งตาขยันอีกหลายเท่า ถึงฤกษ์แต่งกับแม่เพื่อนแล้วจะได้ไม่ขายหน้าน้าโฉมเขาด้วยจ้ะ”
“ผู้ชายอย่างเอ็งนี่มันประเสริฐแท้ ใครได้เป็นผัวล่ะก็โชคดีจริงๆ”
“พี่ลอจ๊ะ”
“อีแพง มีอะไรวะ”
“พี่ลอรีบไปแต่งตัวเถอะจ้ะ”
“เอ็งจะให้ข้าแต่งตัวไปไหนวะอีแพง”
“พี่ลอไม่ต้องถามหรอก รีบไปเถอะ มาเร็ว”
แพงรีบเข้าไปฉุดแขนลอ ลากออกไปด้วยกัน
เพื่อนยืนรอโฉมฉายออกมา เห็นกระจกนิดหน่อยก็อดส่องดูความสวยงามของตัวเองไม่ได้ แล้วแพงกับลอก็เดินเข้ามา
“เร็วเข้าสิพี่ลอ เดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก”
“จะเร็วได้ยังไงวะอีแพง ข้าไม่เคยแต่งตัวแบบนี้ เดินไม่ถนัดโว้ย”
เพื่อนหันไปเห็นลอตามแพงเข้ามาในสภาพที่ถูกแพงจับแต่งตัวสุภาพใส่กางเกงผ้าขายาว รองเท้าหนัง มีส้น เสื้อเชิ้ตสุภาพเหมือนกับเสื้อผ้าเสมียนที่จำปูนใส่
“พี่ลอ”
ลอมองเพื่อนแล้วอึ้งไป
“แม่เพื่อน อีแพงมันบอกพี่ว่าแม่เพื่อนแต่งตัวสวยอย่างกับตุ๊กตาฝรั่ง จริงอย่างมันว่า พี่ไม่เคยเห็นแม่เพื่อนของพี่สวยผิดตาไปแบบนี้เลย”
“แล้วพี่ลอทำไมถึง”
“แต่งตัวแบบนี้น่ะเหรอ ก็พี่ลอเขาจะไปพบคุณมานพพร้อมกับพี่เพื่อนด้วยไง ฉันก็เลยขอยืมเสื้อผ้าของน้าจำปูนมา พี่ลอจะได้ดูดีมีกาลเทศะคู่กับพี่เพื่อนไง”
เพื่อนชะงัก
“พี่ลอจะไปพบคุณมานพด้วยเหรอ”
“จ้ะแม่เพื่อน คุณมานพมีน้ำใจกับพี่ ตั้งแต่วันนั้นพี่ก็ยังไม่ได้ขอบพระคุณเขาเหมือนกัน”
“แต่ว่า”
“แต่อะไรเหรอพี่เพื่อน”
เพื่อนนิ่งไปพูดไม่ออก ระหว่างนั้นโฉมฉายเดินเข้ามา
“อ้าวนายลอ แต่งตัวซะหล่อเชียว จะไปพบคุณมานพด้วยกันรึพ่อ”
“จ้ะน้าโฉม”
“ดีแล้วล่ะนายลอ ฉันเองก็ว่าจะไปตามนายลอมาอยู่พอดี ไปด้วยกันกับแม่เพื่อน จะได้ถือโอกาสกราบท่านเจ้าคุณด้วย”
ลอยิ้มรับอย่างใสซื่อ ผิดกับเพื่อนที่กระอักกระอ่วน ไม่ค่อยพอใจที่ลอจะตามไปพบมานพด้วย แพงแอบเหลือบมองหน้าพี่สาวด้วยความสงสัย
แก้วถือห่อผ้าใส่กับข้าวเข้ามาบริเวณกองฟาง เหลียวซ้ายแลขวาแล้วเอากะลามาเคาะเรียก
“ไอ้หมาหลง ได้เวลากินข้าวของเอ็งแล้ว มาเร็ว”
แก้วเคาะกะลา เรียกอยู่อีกครู่ก้อนก็โผล่เข้ามาแล้วรวบกอดเอวแก้วทันที
“ข้าวปลาน่ะไอ้หมาตัวนี้มันไม่อยากกิน ขอกินแม่แก้วคนงามของมันก่อนได้มั้ยจ๊ะ”
“พี่ก้อน เอาอีกแล้ว ชอบย่องมาตอนฉันเผลอ ถ้าตกใจนึกว่าเป็นคนอื่นมาล่วงเกินฉัน แล้วฟาดผลั่วเข้าให้ล่ะ”
“ใครมันจะกล้ามาล่วงเกินแม่แก้วของพี่ บอกพี่มาเลย พี่จะเอาอีดาบไปเฉาะกบาลมัน”
“ทำเป็นอวดเก่งนะพ่อ ถ้าทำงานให้เก่งอย่างปากว่า ป่านนี้ก็คงมีขันหมากมารอขอฉันที่ชานเรือนแล้ว เชอะ”
แก้วหมั่นไส้ผลักก้อนแรงๆ แล้วหน้างอน้อยใจสะบัดไปยืนกอดอกบ่น
“เกิดเป็นหญิงมันก็เสียเปรียบไอ้ผู้ชายเจ้าคารี้สีคารมแบบนี้แหละ เสียทีคารมมันไปแล้ว ก็ต้องมานั่งชะเง้อคอยว่าเมื่อไหร่มันจะมาขอไปเป็นเมีย ถ้ามันหมดรักก็เป็นแม่สายบัวรอเก้อ ช้ำใจน่ะไม่ว่า แต่เจ็บใจที่ต้องเสียเวลากับคารมมันนี่สิ”
แก้วบ่นแล้วหันมาจะเอาความต่อกับก้อนแต่กลับไม่เห็นก้อนเสียแล้ว
“ไอ้ก้อน นี่ นี่เอ็ง สันดานเอ็งมันเห็นข้าเป็นของเล่นจริงๆ ไอ้หมาก้อน”
แก้วน้ำตาคลอเสียใจ แต่ต้องชะงักเมื่อก้อนโผล่มาข้างหลังแล้วยื่นสายสร้อยทองเส้นเล็กๆ ให้ตรงหน้า
“ไม่ใช่ไอ้ลอคนเดียวหรอกนะแม่แก้วที่จะบูชาความรักเหนือสิ่งอื่นใด สายสร้อยเส้นนี้ ไอ้ก้อนตั้งใจขยันทำงานเก็บเงินซื้อมาหมั้นหมายแม่แก้ว แม่แก้วรับไปได้มั้ย ไอ้ก้อนจะได้ชื่นใจว่ามันจะมีคู่หมั้นเหมือนไอ้ลอ”
“พี่ก้อน”
ก้อนเห็นแก้วยิ้มตื้นตันน้ำตารื้นก็รู้ว่าคือคำตอบ ก้อนบรรจงสวมสายสร้อยให้
“พี่ไม่ได้ทึกทักเองคนเดียวด้วยนะแม่แก้ว พี่คุยกับพ่อแล้ว พ่อบอกว่าพี่ตาแหลมที่เลือกแม่แก้วมาเป็นขวัญเรือนให้พี่”
“จริงเหรอจ๊ะ ฉันดีใจเหลือเกินจ้ะพี่ก้อน”
“งั้นทีนี้แม่แก้วจะให้พี่จูบมือ จูบแขน แล้วจูบแก้มได้รึยังจ๊ะ”
“ได้คืบจะเอาศอก นี่แน่ะ”
แก้วผลักก้อนอย่างเอียงอายแล้ววิ่งหนี ก้อนรีบวิ่งไล่ตาม แก้วล้มตัวลงบนกองฟางในอ้อมกอดของก้อน ใบหน้าทั้งคู่ใกล้ชิดกัน จมูกก้อนชนจมูกแก้วเบาๆ อย่างชื่นใจ แก้วเขินอาย แต่เสียงด้วงก็แทรกเข้ามาขัดจังหวะ
“ไอ้ก้อน อีแก้วโว้ย อยู่ไหนกันวะ”
ก้อนชะงัก เสียอารมณ์
“ไอ้ด้วง มันจะโผล่มาทำไมตอนนี้วะ มาทางนี้เถอะแม่แก้ว พี่ไม่อยากให้มันมาเป็นมารผจญความรักพี่”
“แต่ท่าทางไอ้ด้วงมันจะมีเรื่องมานะจ๊ะ”
“ตั้งแต่ไอ้วีมันหนีคดีหายหน้าไป บ้านสร้างก็สงบเงียบ แล้วจะมีเรื่องอะไรได้ มาทางนี้เถอะแม่แก้ว เดี๋ยวมันหาเราไม่เจอมันก็แจ้นกลับวัดเอง”
ก้อนกำลังจูงมือแก้วออกไปอย่างเงียบๆ ด้วงไม่ทันเห็นพวกนั้นเลยถอนใจ
“หายหัวกันไปไหนหมด อีแพงมันจดหมายมาไม่มีใครอยากรู้เรื่องพวกมันที่พระนครเลยเหรอไงวะ”
แก้วได้ยินชะงักดีใจ
“อีแพงจดหมายมา ไอ้ด้วง อีแพงจดหมายมาว่าไง”
“อ้าว พวกเอ็งอยู่แถวนี้หรอกเหรอ ทำไมข้าเรียกแล้วถึงไม่ออกมา”
“เอ็งไม่ต้องต่อความให้ยืดยาว เอาจดหมายอีแพงมานี่”
แก้วดึงจดหมายจากมือด้วงมาดูอย่างดีใจ ก้อนรีบถาม
“อีแพงจดหมายมาว่ายังไงแม่แก้ว ไอ้ลอเป็นยังไงบ้าง แล้วแม่เพื่อนล่ะเจอตัวรึยัง”
“ฉันอ่านหนังสือไม่ออกพี่ก้อนก็รู้ ไอ้ด้วง อ่านให้พวกข้าฟังสิ”
“ข้าอ่านได้ไม่หมดหรอก ไอ้ที่เรียนกับหลวงพ่อมันเข้าหูซ้ายแล้วทะลุออกขวาตลอด”
“อ้าว แล้วอย่างนี้จะรู้ความที่อีแพงมันเขียนมาได้ยังไง”
“ต้องรู้สิ มานี่เลย”
แก้วรีบจูงมือก้อนกับด้วงไปหาเรืองที่บ้าน เรืองอ่านจดหมายแล้วสรุปให้ทุกคนฟัง
“ไอ้ลอปลอดภัยดี หมอรักษามันให้หายจากไข้ป่าแล้ว ส่วนแม่เพื่อนก็เจอตัวแล้ว ตอนนี้ ทั้งอีแพง ไอ้ลอและแม่เพื่อนสบายดีอยู่ที่บ้านคุณนายโฉมฉาย”
ก้อนโล่งอก
“ค่อยยังชั่วหน่อย เห็นมั้ยแม่แก้ว คนอย่างไอ้ลอมันทำกรรมดีมาตลอด มันยึดมั่นคำสาบานที่ให้ไว้กับพระของพ่อมัน คุณพระคุณเจ้าถึงคุ้มครองมัน”
“ถ้าทั้งพี่ลอทั้งพี่เพื่อนปลอดภัยดี ฉันก็โล่งอกไปด้วยเหมือนกัน แต่อีแพงมันจดหมายมาบอกแค่นั้นเหรอไอ้เรือง”
“ยังไม่หมด อีแพงมันเขียนท้ายจดหมายฝากถึงเอ็งมาด้วยนะอีแก้ว”
“มันว่ายังไง”
“มันว่าเรื่องที่คุยกันไว้ เอ็งไม่ต้องห่วง มันจะพยายามทำให้ได้อย่างที่เอ็งเตือน”
ด้วงสงสัย
“เอ็งไปเตือนอะไรมันไว้วะอีแก้ว”
แก้วนิ่งไปนึกถึงคำสุดท้ายที่คุยกับแพงก่อนไปพระนคร ว่าความรักระหว่างแพงกับลอนั้นเป็นไปไมได้
“ไม่มีอะไรหรอก เป็นเรื่องของข้ากับอีแพงสองคน เอ็งอย่ามาสอดรู้ดีกว่า แล้วอีแพงมันว่าจะพากันกลับมาบ้านสร้างกันเมื่อไหร่ล่ะไอ้เรือง”
“อีแพงต้องเรียนหนังสือให้จบตามที่คุณน้าโฉมขอไว้ ส่วนไอ้ลอกับแม่เพื่อนอีกไม่นานก็คงพากันกลับมา เพราะไอ้ลอต้องมาทำงานหาเงินแต่งแม่เพื่อนให้ทันฤกษ์เดือนหก”
“เออ ดีใจแทนไอ้ลอว่ะ ทีนี้จะได้หมดเคราะห์หมดโศกกันซะที เหลือก็แค่อย่างเดียวที่ยัง จับตัวพี่สาวเอ็งไม่ได้น่ะสิวะไอ้เรือง”
เรืองชะงักไปเมื่อก้อนเผลอหลุดปากพูดเรื่องแรมขึ้นมา เรืองเศร้า แก้วหยิกก้อน
“พี่ก้อน ปากเสียอีกแล้ว ยังไงพี่แรมก็เป็นพี่สาวไอ้เรืองมันนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกอีแก้ว ข้าทำใจได้ แต่พ่อข้าน่ะสิวะ เฮ้อ”
เรืองถอนใจเฮือกใหญ่ ทุกคนมองสงสัย
ใต้ชานเรือน แสงเอาแต่นั่งเหม่อเหมือนคนอมทุกข์ เรืองเข้ามาเอาจานข้าวที่พ่อไม่ได้แตะเลยออก เพื่อเปลี่ยนจานใหม่ให้
“พ่อจ๊ะ พ่อไม่กินอะไรเลยแบบนี้ เดี๋ยวก็ล้มหมอนนอนเสื่อหรอก”
“ข้าไม่หิวหรอกไอ้เรือง”
“แต่ว่า”
“ไปๆๆ เถอะ เอ็งจะไปไหนก็ไป ข้าอยากอยู่คนเดียว ไปสิ”
เรืองหน้าเศร้าเดินออกมาเพราะอยู่ไปก็โดนพ่อไล่ไม่เลิก แล้วมาสมทบกับก้อน แก้ว และด้วงที่รออยู่
“ครูเป็นแบบนี้ตั้งแต่พี่แรมก่อเรื่องเลยเหรอวะ” ก้อนถาม
“เออ ข้าก็จนปัญญาไม่รู้จะทำยังไง พ่อแกเสียใจมากเพราะหวังฝากผีฝากไข้อาชีพนี้ไว้ที่พี่แรม แต่พอพี่แรมทำแบบนี้แกก็เลย”
“แล้วลูกศิษย์ลูกหาคนอื่นๆ ล่ะ”
“ใครจะทนอยู่ได้วะอีแก้ว ไม่มีงานให้ทำ จะอยู่ให้อดตายกันเหรอ”
“เสียดายวิชาความรู้ครูแกแย่เลยว่ะ”
“ไม่หรอกไอ้ด้วง ข้าตัดสินใจแล้ว ข้านี่แหละจะสืบวิชาความรู้ของพ่อของครูบาอาจารย์ ไม่ให้สูญหายไปเอง ต่อไปนี้ข้าจะไม่ใช่ไอ้เรืองคนเดิม พวกเอ็งคอยดู”
เรืองพูดอย่างมุ่งมั่น ก้อนตบบ่าให้กำลังใจ
เพื่อนกับลอเดินตามโฉมฉายเข้ามาภายในบ้านเจ้าคุณรัตน์
ลอเหลียวซ้ายแลขวาแล้วไม่ทันระวังเกือบไปชนแจกันข้างๆ ทางเดินตก เพื่อนหันมาดุทันที
“พี่ลอ ระวังหน่อยสิ ของเขาไม่ใช่ถูกๆ นะ เสียหายขึ้นมาขายข้าวขายนาไปก็ยังหาใช้เขาไม่หมด”
“ไอ้ของแค่นี้น่ะเหรอแม่เพื่อนมีค่าเท่ากับนาเท่ากับข้าวบ้านเรา”
“ท่านเจ้าคุณมียศมีศักดิ์ ทุกอย่างในบ้านเขาก็ต้องมีค่ามากกว่าเราทั้งนั้น โดยเฉพาะกับคุณมานพ เขาเป็นถึงลูกชายท่านเจ้าคุณ พี่ลออย่าเผลอเสียมารยาทกับเขาล่ะ”
“จ้ะ”
เพื่อนกำชับลอแล้วเดินหน้าเบื่อๆ ยังไม่หายหงุดหงิดที่ลอตามมาด้วย ลอยังซื่อไม่สังเกตสีหน้าเพื่อน เพราะมัวแต่หันไปมองแจกันราคาแพง พยายามจับให้อยู่กับที่นิ่งๆ กลัวตกลงมาอีก
“อยู่เฉยๆ นะเว้ย นาข้าข้าวข้ามีไว้แลกเงินมาแต่งแม่เพื่อนไม่ใช่มาจ่ายค่าตัวเอ็ง”
ลอพูดกับแจกันแล้วหันมามองหาเพื่อนกับโฉมฉายแต่ไม่เจอแล้ว ลอหันรีหันขวา งงๆ ว่าไปทางไหน
โฉมฉายทักทายกับเจ้าคุณรัตน์อยู่ที่เรือนรับรอง โดยมีมานพอยู่ด้วย
“ตามสบายเลยนะแม่เพื่อน คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านคุณน้าก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ ดิฉันเหมือนคนที่ตายแล้วเกิดใหม่ เพราะความเมตตาปราณีของท่าน ถ้าดิฉันไม่ได้มากราบท่านก็คงตายตาไม่หลับ”
“ฉันคงไม่ถึงกับให้ชีวิตใหม่แม่เพื่อนได้หรอก ต้องเรียกว่าแม่เพื่อนทำกรรมดีไว้เลยพาลได้พบคนดีๆ ที่คอยช่วยเหลือทั้งน้าโฉม ทั้งมานพ แล้วก็นายลอคู่หมั้นของแม่เพื่อน”
เพื่อนชะงักไป แล้วสังเกตสีหน้าของมานพเมื่อเธอถูกย้ำเรื่องมีคู่หมั้นแล้ว สีหน้ามานพดูเรียบเฉยไม่สนใจ ยิ่งทำให้เพื่อนกังวล
“เออ แล้วนายลอล่ะแม่เพื่อน ตอนเข้ามายังเห็นเดินตามกันมาอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”
“ทางนี้จ้ะน้าโฉม”
ลอรีบเดินเข้ามาแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเรือนรับรองยกมือไหว้ท่วมหัวอย่างซื่อๆ
“ฉันขอโทษด้วยจ้ะ บ้านท่านเจ้าคุณใหญ่โตกว้างขวางซะเหลือเกิน คลาดสายตาแม่เพื่อนไปนิดเดียว ฉันก็หลงออกไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้จ้ะ”
มานพเห็นท่าทางของลอแล้วอดยิ้มสมเพชไม่ได้ เพื่อนสังเกตเห็นก็พาลเสียหน้าไม่ชอบใจลอ รีบลุกไปดึงแขนลอให้เข้ามา แต่ก็แอบกระซิบดุ
“พี่ลอ ไหนบอกจะไม่ทำให้ฉันขายหน้าไง”
“พี่ขอโทษจ้ะแม่เพื่อน”
“เลิกเอาแต่พูดขอโทษฉันได้แล้ว ฉันขี้เกียจฟัง”
เพื่อนเชิดหน้าไม่สนใจแล้วรีบพาลอเข้าไปกราบท่านเจ้าคุณในเรือนรับรอง มานพค่อยๆ รินชาร้อนจากกาน้ำชากระเบื้องสวยงามหรูหราตามธรรมเนียมฝรั่งดื่มชายามบ่าย
“ชาสักหน่อยนะครับ ผมสั่งตรงมาจากอังกฤษ รสชาติดีเหมาะดื่มคู่กับของว่างยามบ่าย”
เพื่อนวางตัวเป็น เพราะตอนที่อยู่บ้านลั่นทมถูกจับฝึกให้เรียนรู้มารยาท
“ขอบคุณค่ะคุณมานพ กลิ่นหอมจริงๆ ด้วยค่ะ รสชาติก็ดีทีเดียว”
“นายลอล่ะ รับชาด้วยมั้ย”
“จ้ะ”
มานพรินชาใส่แก้วให้ ลอรับมาแล้วเลียนแบบที่เพื่อนวางตัวยกแก้วชาขึ้นมาจิบ แต่เพราะไม่รู้เรื่องตามวัฒนธรรมฝรั่ง น้ำชาร้อนๆ เลยลวกปาก ลอสะดุ้งโหยง
“โอ๊ย ร้อนๆ น้ำอะไรเนี่ย ไม่เห็นจะอร่อยเลย แม่เพื่อนว่ารสชาติดีได้ยังไง”
เพื่อนหน้าเสีย
“พี่ลอ มีมารยาทกับท่านเจ้าคุณหน่อยสิ”
เจ้าคุณรัตน์ยิ้มชอบใจเอ็นดู
“ไม่เป็นไรหรอก คนกันเองทั้งนั้น ถือซะว่าเป็นญาติกัน อะไรไม่รู้ก็ได้รู้ซะวันนี้ ถ้าไม่ชอบเดี๋ยวฉันให้บ่าวหาอะไรมาให้มั้ยนายลอ”
“ไม่ล่ะจ้ะท่านเจ้าคุณ บ่ายๆ อย่างนี้ไม่ใช่เวลาที่ฉันจะมานั่งกินอะไรหรอกจ้ะ กินแล้วเดี๋ยวหนังท้องตึง หนังตาพาลจะหย่อน เสียการเสียงานหมดพอดีจ้ะ”
“ก็จริงของนายลอนะคะท่านเจ้าคุณ บางเรื่องเราก็ไม่ควรเอาแต่เดินตามวัฒนธรรมฝรั่ง เพราะมันไม่ได้เหมาะกับสภาพแวดล้อมของบ้านเรา”
มานพขัด
“แต่การย่ำอยู่กับที่ ไม่รู้จักมองโลกภายนอกว่าเขาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ก็เหมือนกบในกะลานะครับคุณโฉม”
“มานพ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะท่านเจ้าคุณ คุณมานพเป็นนักเรียนนอก ย่อมต้องมีมุมมองความคิดที่ไกลกว่าดิฉันเป็นธรรมดา”
“เอาล่ะ ยังไงฉันก็ชื่นชอบความซื่อและจริงใจของนายลอนะ คุยด้วยแล้วสบายใจดี ถือว่าแม่เพื่อนโชคดีที่มีคู่หมั้นอย่างนายลอ ต่อไปชีวิตคู่ต้องมีความสุขแน่ๆ”
“ไอ้ลอรักแม่เพื่อนยิ่งกว่าชีวิตมัน ไม่มีวันไหนที่จะรักน้อยกว่าตัวเองเลยจ้ะ”
“คุณโฉมเล่าให้ฉันฟังว่านายลอกับแม่เพื่อนรักกันมานานแล้ว”
“จ้ะ ฉันโตมากับแม่เพื่อนตั้งแต่ยังไม่แตกเนื้อสาว แก้ผ้าเล่นน้ำกระโดดคลองด้วยกันจนรักกันนี่แหละจ้ะ”
ท่านเจ้าคุณหัวเราะชอบใจในความซื่อของลอ ผิดกับเพื่อนที่อายมานพจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี แต่ก็ทำได้แต่ก้มหน้า มือจิกผ้าเช็ดหน้าแน่น ก่อนจะตัดสินใจยุติการสนทนานี้ให้ได้ด้วยการปัดแก้วชาตกพื้นแตก
“ตายแล้ว ดิฉันขอโทษด้วยค่ะท่านเจ้าคุณ ดิฉันซุ่มซ่ามเหลือเกิน”
“ไม่เป็นไรหรอกแม่เพื่อน เนื้อตัวเลอะรึเปล่า”
“เจ้าค่ะ ดิฉันขอตัวนะเจ้าคะ”
“งั้นเดี๋ยวผมพาคุณเพื่อนไปทำความสะอาดเสื้อผ้านะครับ เชิญทางนี้เลยครับ”
เพื่อนสบตามานพ
“ขอบคุณค่ะคุณมานพ”
เพื่อนกับมานพออกไปด้วยกัน ลอเพียงแค่มองตามคนรัก ไม่ได้ผิดสังเกตกับพฤติกรรมที่เพื่อนทำ
เพื่อน แพง ตอนที่ 10 (ต่อ)
มานพเดินนำเพื่อนเข้ามาในบริเวณบ้าน มีบ่าวหญิงคนหนึ่งเดินตาม มานพหันไปสั่ง
“ฉันจะดูแลคุณเพื่อนเอง ออกไปได้แล้ว”
บ่าวย่อตัวรับคำแล้วเดินออกไป มานพจึงอยู่กับเพื่อนตามลำพังในห้อง เขาเดินไปปิดประตูเพื่อป้องกันไม่ให้ใครมารบกวน เพื่อนใจเต้น มานพเดินมาเกือบถึงตัวเพื่อนแล้วค่อยๆ ยื่นมือเพื่อจะสัมผัสแก้มหญิงสาว แต่กลับถูกเพื่อนปัดมืออย่างแรงพร้อมกับตบหน้ามานพทันที มานพอึ้งหน้าหัน เพื่อนน้ำตาคลอ
“คุณต้องการอะไรคะคุณมานพ ทั้งๆ ที่คุณรู้ว่าฉันเป็นใคร รู้ว่าคู่หมั้นฉันคือใคร แต่คุณกลับไม่บอกฉัน คุณทำให้ฉันหลงคิดว่าฉันไม่เหลือใครอีก”
“ผมขอโทษ การกระทำนั้นผมยอมรับว่ามันไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย”
“ใช่ค่ะ แล้วคุณก็ทำเหมือนฉันเป็นผู้หญิงโง่ๆ คนหนึ่งด้วย”
“เปล่าเลยครับ ผมยกยอคุณเพื่อนว่าควรอยู่เหนือนางฟ้าทุกองค์ ส่วนผมก็เป็นเพียงแค่มนุษย์เดินดิน ความดีที่เคยทำมาทั้งหมดจึงขอแลกกับความเลวครั้งเดียว แค่ได้ใกล้ชิดหญิงที่มีเจ้าของ”
“คุณมานพ”
มานพเล่นละครบีบเค้นน้ำตาแล้วเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มเพื่อนเบาๆ คราวนี้เพื่อนไม่ปัดมือเขา แต่กลับ ตัวสั่นสะท้านกับสัมผัสของชายหนุ่ม
“การที่ผมต้องจากมาและปฏิเสธที่จะพบคุณอีก นั่นก็คือการถูกลงโทษให้ต้องรับผิดนั้น เหลือก็เพียงแต่คุณเพื่อนที่จะบรรเทาโทษนั้นให้ผมบ้างได้มั้ยครับ”
ลอกับเจ้าคุณรัตน์และโฉมฉายเดินคุยมาตามทางเดินในสวน
“ฟังที่นายลอเล่ามา ฉันว่าทุ่งบ้านสร้างคงจะน่าอยู่มาก สงบเงียบ ไม่วุ่นวายเหมือนที่นี่”
“ตอนนี้พระนครกำลังเปลี่ยนแปลง หลายเรื่องที่ทำให้ท่านเจ้าคุณไม่สบายใจ บางทีการ ได้ไปพักผ่อนก็อาจจะช่วยให้ดีขึ้นบ้าง”
“คุณโฉมก็รู้ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงกระทันหัน ความขัดแย้งก็เลยมีมาก ผมยังไปไหนไม่ได้ จนกว่าทุกอย่างจะสงบ นายลอรู้มั้ย วันนี้นายลอไม่ได้มากราบขอบพระคุณฉันอย่างเดียวนะ ฉันก็อยากจะขอบใจนายลอเหมือนกันที่ช่วยชีวิตมานพเอาไว้”
“คุณมานพเป็นคนดีจ้ะ ถ้าไม่มีคุณมานพไอ้ลอก็คงต้องเสียแม่เพื่อน คงไม่ได้พากันกลับไปแต่งงานแน่ๆ เลยจ้ะ”
“เออ พูดถึงเรื่องที่นายลอจะต้องเก็บเงินแต่งงาน สนใจทำงานที่พระนครมั้ยล่ะ นายลอจะได้เงินเยอะแยะเลยนะ ฉันช่วยหางานให้ได้”
“ไอ้ลอไม่มีความรู้พอจะทำงานที่พระนครได้หรอกจ้ะ ถนัดก็แต่หว่านไถทำนา สู้คนที่เขาเรียนสูงๆ ไม่ได้ แต่ก็ขอบพระคุณท่านเจ้าคุณมากจ้ะที่ชี้แนะ”
ลอชะเง้อคอมองหาเพื่อน
“มองหาแม่เพื่อนแล้วเหรอนายลอ ไปเถอะ มานพคงชวนให้ดูนั่นดูนี่อยู่ในบ้าน ไปคุยกันเองตามประสาคนหนุ่มสาว ดีกว่ามาคุยแต่เรื่องบ้านเรื่องเมืองกับฉัน”
ลอไหว้ท่านเจ้าคุณแล้วเดินไปในตัวบ้าน เจ้าคุณกับโฉมฉายมองลออย่างชื่นชม
มือของมานพยังสัมผัสอยู่ที่แก้มเพื่อน ทำให้เพื่อนอดที่จะเคลิ้มกับสัมผัสและคำหวานของ ชายหนุ่มที่มากศักดิ์กว่าลอไม่ได้
“อย่าเอาแต่เงียบสิครับคุณเพื่อน รู้มั้ยว่าความเงียบมันฆ่าผมได้เลยนะครับ”
“ถ้าฉันทำร้ายคุณ ฉันก็คงได้ชื่อว่าเป็นหญิงใจไม้ไส้ระกำ ทำร้ายได้แม้แต่ผู้มีพระคุณ”
“คุณเพื่อนยกโทษให้ผม”
เพื่อนจับมือมานพออกจากแก้มเธอเบาๆ
“แม้ใจฉันอยากจะกล่าวโทษคุณ แต่ฉันก็ทำไม่ได้หรอกค่ะ เพราะว่าฉัน”
เพื่อนนิ่งไป แล้วหันหน้าหลบไม่อยากให้มานพเห็นสายตา
“เพราะคุณอยากอยู่ใกล้ผมใช่มั้ยครับคุณเพื่อน”
เพื่อนชะงักเพราะคำพูดมานพแทงใจ มานพเดินเกมเร็วเมื่อเห็นเพื่อนเริ่มตกหลุมพรางจึงปรี่สวมกอด
“ปฏิเสธผมมาสิครับว่าคุณไม่ได้อยากให้ผมใกล้ชิด ปฏิเสธมาแล้วผมจะปล่อยคุณคืนไปให้นายลอ”
“คุณมานพ ปล่อยฉันเถอะค่ะ เดี๋ยวพี่ลอมาเห็นเข้า”
“ไม่ครับ ผมจะไม่ปล่อยจนกว่าคุณไสส่งผมไปเอง”
เพื่อนพยายามแกะมือแต่มานพยิ่งกอดรัดแน่น
ลอเดินมาตามทางแล้วเรียกหาเพื่อนกับมานพ
“แม่เพื่อน คุณมานพ”
ลอเรียกหาแล้วมาหยุดที่หน้าประตูห้องหนึ่ง สงสัยว่าทั้งสองคนน่าจะอยู่ในห้องนั้น แต่พอเปิดเข้าไปแล้วกลับเจอห้องว่างๆ ไม่มีใคร ลอสงสัยจนเสียงบ่าวดังขึ้นด้านหลัง
“หาคุณมานพเหรอคะคุณ”
“จ้ะ ที่นี่ห้องหับเยอะจนฉันหาไม่ถูกเลยจ้ะ”
“มานี่สิ เดี๋ยวฉันบอกทางให้เอง คุณมานพอยู่ที่ห้องสุดทางเดินโน่นจ้ะ”
“ขอบใจจ้ะ”
ลอยิ้มซื่อสดใส
เพื่อนยังอยู่ในอ้อมกอดของมานพที่โอบรัดแน่นไม่ยอมปล่อย
“คุณมานพ ปล่อยฉัน กรุณาเถอะค่ะ”
“ผมจะปล่อยก็ต่อเมื่อคุณปฏิเสธผม คำเดียวครับคุณเพื่อน เรื่องของหัวใจไม่ต้องเอาบุญคุณมาตัดสิน ถ้าไม่ต้องการผม ผมก็จะปล่อยคุณ”
“คุณมานพ ได้โปรดเถอะ อย่าบังคับให้ฉันต้องเลือกเลย ได้โปรด”
“นางฟ้านางสวรรค์อย่างคุณจะงามอย่างนางทุ่งบ้านสร้างหรือนางพระนคร ชีวิตคุณ คุณมีสิทธิ์เลือกแล้วนะครับคุณเพื่อน”
ลอเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้องแล้วเคาะประตูเรียก
“คุณมานพครับ แม่เพื่อน”
เพื่อนสะดุ้งกับเสียงเคาะประตูเรียกของลอ มานพยิ่งจี้เร่งรัดให้เพื่อนตัดสินใจ
“ไม่ต้องลังเลครับ กัดฟัน หลับตา แล้วกระโจนไปตามที่หัวใจสั่ง พอคุณลืมตาขึ้นอีกครั้ง คุณก็จะพบว่าตัวเองได้ยืนอยู่บนชีวิตที่คุณเลือกแล้ว”
“คุณมานพครับ แม่เพื่อน”
เพื่อนสบตากับมานพอย่างตัดสินใจ ในขณะที่ลอยืนเคาะประตูเรียกอยู่หน้าห้อง เพื่อนเดินมาเปิดประตูรับลอ
“พี่ลอ”
“แม่เพื่อน พี่เรียกอยู่ตั้งนาน แม่เพื่อนทำอะไรอยู่”
“เอ่อ คือ คือว่าฉัน”
“แล้วคุณมานพล่ะ”
เพื่อนกระอักกระอ่วน มองไปทางประตูด้านในที่เปิดค้างเอาไว้ ลอไม่เข้าใจว่าเพื่อนมองประตูนั้นทำไม จนกระทั่งเสียงมานพดังขึ้น
“อ้าวนายลอ มาทำอะไรตรงนี้ หลงทางมาอีกเหรอ”
ลอหันไปเห็นมานพเดินเข้ามาพร้อมกับถือหมวกผู้ชายใบหนึ่งกับผ้าพันคออีกผืนหนึ่ง
“เปล่าจ้ะคุณมานพ ฉันเห็นแม่เพื่อนหายไปนานกลัวว่าจะมารบกวนอะไรคุณมานพจ้ะ”
“แม่เพื่อนไม่ได้รบกวนอะไรฉันหรอก ฉันชวนแม่เพื่อนดูของสวยๆ ในบ้านแล้วคุยกันเรื่องที่บ้านสร้าง กำลังสนุก พอดีนึกขึ้นได้ว่าเตรียมของไว้ให้นายลอกับแม่เพื่อนไว้ติดไม้ติดมือกลับ เลยแวะไปเอามาให้”
มานพยิ้มกลบเกลื่อนได้อย่างไร้ร่องรอย พร้อมยื่นหมวกผู้ชายให้ลอ
“หมวกใบนี้ฉันให้นายลอเอาไว้ใส่เดินในพระนครคู่กับแม่เพื่อน ไปไหนมาไหนเขาจะได้ชื่นชมว่าเป็นคู่เหมาะคู่สมกัน ส่วนผ้าพันคอผืนนี้ฉันได้มาจากฝรั่งเศสขอมอบให้แม่ เพื่อนแล้วกันนะ”
“ขอบพระคุณค่ะคุณมานพ”
“รู้ตัวมั้ยนายลอว่านายเป็นผู้ชายที่น่าอิจฉาที่สุดที่ได้เป็นเจ้าของดอกไม้งามๆ ดอกนี้แต่ผู้เดียว รักษาเอาไว้ให้ดีล่ะ อย่าให้หลุดมือ”
มานพบอกลอแล้วเดินออกไป มีเพียงหางตาที่เหลือบมองเพื่อนด้วยความนัยบางอย่างที่รู้กันแค่สองคน
“คุณมานพเขาเป็นคนดีจริงๆ เลยนะ ไอ้ที่เคยได้ยินมาว่าผู้คนในพระนครส่วนใหญ่แล้วจะแล้งน้ำใจเห็นจะไม่จริงนะแม่เพื่อน”
เพื่อนได้แต่ยิ้มรับลออย่างแกนๆ เพราะกำลังครุ่นคิดหนักใจ
บริเวณโรงเรียนคอนแวนต์ นักเรียนและแม่ชี ครูผู้สอนเดินผ่านไปมา แพงนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะใต้ร่มไม้ อยู่ๆ มีลมพัดมาทำให้กระดาษจดที่เหน็บอยู่ในสมุดปลิวไปหลายแผ่น แพงรีบลุกไปไล่ตามเก็บ
กระดาษแผ่นหนึ่งปลิวมาอยู่ใกล้เท้าของนักเรียนหญิงลูกท่านหลานเธอกลุ่มหนึ่ง แพงไล่เก็บกระดาษจดแผ่นสุดท้าย แต่กลับเจอนักเรียนสาวหัวโจกเหยียบกระดาษแผ่นนั้นอย่างจงใจ เพราะหมั่นไส้ไม่ชอบหน้าแพง
“อุ๊ยตายแล้ว ทำไมไม่รู้จักระวังเลยล่ะจ๊ะ ถ้าซิสเตอร์มาเห็นว่าเธอไม่รักษาสมุดเรียน เธอจะถูกลงโทษนะ”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ ลมมันพัดปลิวมา ช่วยยกเท้าเธอออกแล้วคืนมาให้ฉันด้วย”
“เธออยากได้คืน ก็คลานเข่ามากราบฉันก่อนสิ นังบ้านนอก”
พวกนักเรียนหัวเราะเยาะชอบใจ แพงชะงักอึ้ง นักเรียนสาวอีกคนเดินเข้ามาวนรอบตัวแล้วทำจมูกฟุดฟิด
“ได้กลิ่นอะไรมั้ยพวกเธอ กลิ่นเหม็นๆ สาบๆ ยังไงก็ไม่รู้”
“กลิ่นโคลนสาบควายไงจ๊ะเธอ กลิ่นพวกนี้ต่อให้มีเงินถุงเงินถังซื้อสบู่ฝรั่งยี่ห้อแพงแค่ไหนก็ล้างไม่ออกหรอกจ้ะ”
พวกนั้นยิ่งหัวเราะทับถมแพงจนทนไม่ไหว ปรี่เข้าไปผลักคนที่เหยียบกระดาษจดจนเซล้ม แพงไม่สนใจหยิบกระดาษตัวเองขึ้นมาปัดรอยเท้าแล้วจะเดินออกไป แต่พวกนั้นไม่ยอม กระชากไหล่แพงแล้ว ผลักจนแพงเซเกือบล้ม
“นังบ้านนอก กล้าดีมาทำร้ายฉันได้ยังไง ไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นลูกใคร”
“จะลูกเต้าเหล่าใครอีแพงไม่สน ถ้ามันมาทำอีแพงก่อน อีแพงก็ต้องสนองคืน”
“แต่ที่นี่พระนคร แกมาอวดเก่งผิดที่แล้วนังบ้านนอก”
นักเรียนพยักหน้าให้พรรคพวกเข้ามาจับแขนแพงล็อคไว้ แล้วเข้าไปแย่งกระดาษจดในมือมาฉีกทิ้ง
“อย่า อย่านะ บอกให้หยุด หยุด”
พวกนั้นจับตัวแพงเอาไว้แน่น ให้ดูกระดาษจดถูกฉีกทิ้งไม่เหลือชิ้นดีต่อหน้าต่อตา แล้วพากันออกไป
แพงทรุดลงมองเศษกระดาษตรงหน้าอย่างเสียใจและเจ็บใจ
กลุ่มนักเรียนคอนแวนต์ที่ทำร้ายแพงพากันเดินคุยกันมาตามทางริมถนน
แพงเดินตามหลังพวกนั้นก่อนจะหยุดหันไปที่พ่อค้าชาวจีนซึ่งหาบถังย้อมผ้าดำ เดินร้องเรียกลูกค้า
“ย้อมผ้ามั้ย ถูกๆ ไม่แพง ย้อมผ้ามั้ย”
แพงนิ่งมองจีนย้อมผ้าแล้วจิกหน้ายิ้มเอาเรื่อง หยิบเอาสตางค์ออกมายื่นให้
“ฉันเหมาหมดนี่เลยจ้ะ หน้ากับใจบางคนมันคนละสี ต้องย้อมให้เป็นสีเดียวกันจ้ะ”
จีนย้อมผ้ามองแพงด้วยความแปลกใจ แพงยิ้มให้แล้วไม่พูดอะไร นักเรียนคอนแวนต์เดินคุยกันมาตามทาง จนถึงทางเลี้ยวตัดถนน แพงก็ก้าวเข้ามายืนขวาง
“จะรีบไปไหนกันล่ะจ๊ะ อยู่คุยกับฉันก่อนได้มั้ย”
“หล่อน สำนึกได้แล้วเหรอว่าหล่อนควรจะต้องนับหน้าถือตาพวกฉันยังไง”
“จ้ะ ฉันมาอยู่ผิดที่ผิดทางเอง อีแพงจากบ้านสร้างมันต่ำต้อย ไม่ควรเสนอหน้าไปเท่าเทียมบรรดาลูกๆ พระเดชพระคุณอย่างพวกเธอ”
“ใช่ แต่ถึงหล่อนจะรู้ตัวก็ไม่ได้หมายความว่า พวกฉันจะยอมรับนังบ้านนอกหรอกนะ”
“ฉันก็ไม่ได้อยากให้ยอมรับฉันหรอกจ้ะ ก็แค่อยากสนองพระเดชพระคุณของพวกเธอให้หนำใจก็แค่นั้นเองจ้ะ”
พวกนักเรียนตัวแสบมองหน้ากัน สงสัยแปลกใจคำพูด จนหันมาอีกทีก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะแพงมีถังสีดำ ที่ไว้ย้อมผ้าอยู่ในมือ แพงสาดน้ำยาย้อมผ้าดำใส่ทันที สามสาวนักเรียนคอนแวนต์กรีดร้องลั่น ตัวดำ หน้าดำเพราะน้ำยาย้อม
“สมน้ำหน้า ต่อไปนี้คนอื่นเขาจะได้รู้ว่าหน้ากับใจของพวกเธอมันสีอะไร”
พวกสาวนักเรียนคอนแวนต์ร้องไห้โฮอับอาย แพงยิ้มชอบใจก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงของซิสเตอร์ดังขึ้น
“แม่แพงทำอะไรของเธอน่ะ”
แพงนั่งถอนหายใจเซ็งอยู่ริมหน้าต่างในห้องส่วนตัว ครู่หนึ่งจำปาเข้ามา
“ซิสเตอร์กลับไปแล้วเหรอจำปา”
“เมื่อตะกี้นี้เอง ข้าแอบฟังอยู่ แหม เอ็งนี่ใจเด็ดจริงๆ นะอีแพง หน้าอินทร์หน้าพรหมณ์ไม่สน เอาสะใจเข้าว่าจริงๆ”
“ฉันไม่ได้อยากทำเอาสะใจหรอก มีเรื่องกับพวกนั้นมันดีที่ไหน แต่มันอดไม่ได้ หน้าตารึก็ดี ยศฐาบรรดาศักดิ์ก็มี แต่จิตใจคับแคบ สั่งสอนไปซะบ้างจะได้ไม่ไปดูถูกคนอื่น”
“ดีแล้ว อีนังพวกนั้นมันก็จองหอง เจออีแพงบ้านสร้างเข้าไป ขี้ขึ้นสมองเข็ดจนตาย”
“แต่ฉันทำให้น้าโฉมต้องเดือดร้อน”
โฉมฉายเข้ามา
“ก็รู้ตัวนี่จ๊ะแพงว่าทำไปแล้วจะมีแต่เรื่องเดือดร้อนตามมา”
แพงชะงักหน้าเสีย
“น้าโฉม”
โฉมฉายเข้ามาในห้องส่วนตัว แพงหน้าจ๋อยๆ ตามเข้ามานั่งพับเพียบ ก้มหน้ารับผิด
“เรื่องที่แพงทำลงไปวันนี้ ทางคอนแวนต์ขอฉันมาว่าคงให้แพงไปเรียนที่นั่นไม่ได้อีกแล้ว”
“แพงกราบขอโทษค่ะคุณน้า”
แพงคลานเข้าไปกราบตักโฉมฉายอย่างอ่อนน้อม โฉมฉายรับไหว้แพงแล้วจับมือมากุมเอาไว้อย่างปลอบโยน
“แต่ฉันไม่โทษแพงหรอกนะ เพราะสืบสาวราวเรื่องแล้ว ฉันเชื่อว่าแพงไม่ได้โกหกที่ถูกเขากลั่นแกล้งก่อน”
“ทุกคำที่แพงเล่าให้น้าโฉมฟังไม่มีคำไหนที่ปดเลยสักคำ แต่ถึงยังไงแพงก็ยังผิดอยู่ดี ทำให้น้าโฉมอับอายเสียชื่อเสียง แพงขอรับผิดทุกอย่างไม่ขอแก้ตัว”
“อยากให้น้าลงโทษแพงใช่มั้ย”
“จ้ะ จะส่งแพงกลับบ้านสร้างก็ได้เลยนะจ๊ะ แพงจะได้ไม่ทำให้น้าโฉมต้องเสียหายอีก”
“แพง งั้นน้าถามจริงๆ ห้ามปดน้านะ แพงไม่อยากอยู่พระนคร อยากกลับไปบ้านสร้างใช่มั้ย”
“น้าโฉม”
กลางคืน เพื่อนยืนอยู่บริเวณซุ้มในสวน มองผ้าพันคอผืนสวยที่ได้จากมานพ คำพูดของเขายังก้องอยู่ในหัว แล้วเสียงเรียกของลอก็ทำให้เพื่อนตื่นจากภวังค์
“แม่เพื่อนมาทำอะไรอยู่ตรงนี้จ๊ะ”
“พี่ลอ ฉัน ฉันก็ออกมาเดินเล่น อยู่แต่ในห้องมันอุดอู้”
ลอมองผ้าพันคอของมานพในมือเพื่อน
“แม่เพื่อนชอบผ้าผืนนี้เหรอ”
“จ้ะพี่ลอ”
“คุณมานพเขาเป็นคนดีนะ ใจกุศลเผื่อแผ่ รู้ว่าเราจะกลับก็ยังมีของติดไม้ติดมือให้ แต่ผ้าเนื้อดีอย่างนี้ เอาไปใช้กันแดดกันฝนที่บ้านสร้างคงเสียดายแย่”
“ใช่จ๊ะ ของสวยๆ งามๆ บอบบางน่าทะนุถนอมมันก็ควรอยู่ในที่ที่เหมาะกับมัน”
“งั้นแม่เพื่อนก็คงต้องพับเก็บใส่กล่องเอาไว้ระลึกถึงอย่างเดียวซะล่ะมั้ง เอาล่ะ พี่ว่าแม่ เพื่อนกลับเข้าไปเก็บข้าวของเถอะ อย่ามายืนตากน้ำค้างเลย”
“เก็บข้าวของ”
“เราหมดธุระที่พระนครกันแล้วนี่จ๊ะ พรุ่งนี้พี่ว่าจะกราบลาน้าโฉม จะได้พาแม่เพื่อนกลับบ้านสร้างกันซะที พี่รู้ว่าแม่เพื่อนคงคิดถึงทุ่งนาบ้านเราเหมือนพี่แล้ว”
ลอจับมือเพื่อนมากุม แล้วหอมแก้มเพื่อนอย่างที่เคยทำ แต่เพื่อนชะงักเอียงแก้มหลบ
“พี่ขอโทษ มันเคยตัว ที่นี่ไม่ใช่บ้านเราเอาไว้กลับบ้านสร้างแล้วพี่จะชื่นใจแม่เพื่อนให้หายคิดถึง”
ลอเดินออกไป เพื่อนเครียด มองลออย่างครุ่นคิดตัดสินใจ
“พี่ลอ เดี๋ยวก่อนจ้ะ”
โฉมฉายจับไหล่แพงจากพื้นขึ้นมานั่งข้างบนด้วยกัน
“น้าไม่อยากบังคับแพงหรอกนะ แต่น้าคงปล่อยให้แพงกลับไปบ้านสร้างไม่ได้”
“ทำไมล่ะจ๊ะน้าโฉม”
“แพงเป็นคนฉลาด โอกาสได้ดิบได้ดีอยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้าน้าไม่เลี้ยงให้แพงได้ดี ตายไป น้าคงไม่มีหน้าไปพบแม่ของแพง”
“แต่ว่า”
“ฟังน้านะแพง น้าไม่ได้บอกให้แพงทิ้งบ้านสร้าง ทิ้งพ่อทิ้งพี่เพื่อน โรงเรียนคอนแวนต์ไม่ต้องไปแล้ว แต่น้าจะให้แพงไปเรียนภาษาอังกฤษกับครูฝรั่ง หัวไวอย่างแพงไม่นานก็คงอ่านออกเขียนได้ แล้วน้าจะพาแพงไปเรียนเมืองนอก”
“ไปเมืองนอกเลยเหรอจ๊ะ ไม่เอาหรอกจ้ะน้าโฉม น้ำหน้าอย่างอีแพงแค่มาพระนครก็เกินจะคิดจะฝันแล้ว แล้ว จะให้ไปถึงเมืองนอกเมืองนา ไม่เอาหรอกจ้ะ”
“น้าไม่ได้ให้แพงไปคนเดียว น้าจะไปด้วย คิดถึงอนาคตสิจ๊ะ มีความรู้สูงๆ กลับมาเป็นหน้าเป็นตาให้พ่อให้พี่ แม่ที่เฝ้าดูอยู่บนสวรรค์ก็คงดีใจที่เห็นแพงไม่โดนใครว่าอีก”
แพงตัดสินใจลำบาก
ลอแปลกใจเมื่อได้ยินคำร้องขอจากเพื่อน
“แม่เพื่อนจะไม่กลับบ้านสร้างกับพี่”
“ไม่ได้บอกว่าจะไม่กลับ แต่ยังไม่กลับตอนนี้ต่างหาก ถ้าพี่ลออยากกลับก็กลับไปก่อน เสร็จธุระทางนี้แล้วฉันจะตามกลับไปเอง”
“ทำไมล่ะ แม่เพื่อนยังมีธุระอะไรที่นี่อีก”
เพื่อนนิ่งไป
“บอกพี่มาสิ ธุระอะไรสำคัญนักหนาถึงทำให้แม่เพื่อนไม่อยากกลับบ้านสร้าง”
ลอเซ้าซี้จะเอาคำตอบ เพื่อนรำคาญเลยสะบัดแขนปัดมือลอ
“ธุระที่ฉันต้องสำนึกบุญคุณคนที่เขามอบชีวิตใหม่ให้ฉันน่ะสิจ๊ะพี่ลอ”
“แม่เพื่อนหมายถึง”
เพื่อนอึกอัก ระหว่างนั้นแพงเดินผ่านเข้ามาหยุดมองเพื่อนกับลอคุยกัน
“ก็ทั้งน้าโฉม ท่านเจ้าคุณแล้วก็คุณมานพไงล่ะพี่ลอ คิดดูสิ เขาช่วยเหลือฉันให้รอดจากขุมนรกมาได้ แต่ฉันกลับตอบแทนพวกเขาได้แค่กราบขอบพระคุณ ฉันว่ามันน้อยไป”
“เรื่องนั้นพี่ไม่เถียง บุญคุณใหญ่หลวงขนาดนั้นพี่ต้องชดใช้เขาให้สมน้ำสมเนื้อแน่ แต่อีกไม่กี่เดือนจะได้ฤกษ์แต่งงานของเรานะแม่เพื่อน พี่ไม่อยากเสียฤกษ์”
“เรื่องฤกษ์แต่งมันสำคัญกว่าการทดแทนบุญคุณคนเหรอพี่ลอ พระที่คอพี่คงไม่ได้สอนพี่แบบนั้นกระมัง”
ลอชะงักไป
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าวของเราปีนี้เกี่ยวได้เท่าไหร่พี่จะยกมาให้ทุกคนหมด”
“พี่ลอ ข้าวในนาของเรามันเทียบได้แค่เศษสะตุ้งสตางค์ของพวกเขาเท่านั้นแหละ”
“แล้วแม่เพื่อนจะให้พี่ทำยังไง เงินทองพี่ไม่มี มีแต่เรี่ยวแต่แรงทำนาเท่านั้น”
“พี่ลอไม่ต้องทำอะไร แค่กลับไปบ้านสร้างก่อนก็เท่านั้น ส่วนฉันจะทดแทนบุญคุณเขาเอง”
เพื่อนพูดแค่นั้นแล้วไม่ต่อความอีก รีบเดินเข้าไปในบ้าน ลอได้แต่ยืนอึ้ง แพงเห็นแล้วอดสงสารลอไม่ได้
เพื่อนนั่งลงหน้ากระจกในห้อง มองตัวเองแล้วอดยิ้มไม่ได้ที่บอกปัดเรื่องกลับบ้านสร้าง แต่เสียง แพงแทรกเข้ามาทำให้เสียอารมณ์
“ไอ้ที่บอกจะทดแทนบุญคุณเขานะ คิดจะแทนคุณเขาด้วยอะไรเหรอพี่เพื่อน”
“อีแพง นี่เอ็งแอบฟังข้ากับพี่ลอคุยกันอีกแล้วเหรอ”
“อยากด่าว่าสาระแนก็ด่าไปเถอะ ฉันชินแล้ว เพราะคราวนี้ฉันอยากสาระแนจริงๆ มันจะเกินไปแล้วนะพี่เพื่อน”
“การกตัญญูรู้คุณคน หลวงพ่อไม่ได้สอนเอ็งมาเหรอไง”
“สอน แต่ถ้าตั้งใจกตัญญูจริงๆ ฉันก็ไม่ว่าหรอก กลัวก็แต่พี่เพื่อนจะสนองคุณเจาะจงเฉพาะบางคนซะมากว่า”
“อีแพง เอ็งพูดอะไร”
“ฉันเป็นน้องสาวพี่นะ เห็นพี่มาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย กับไอ้แค่ไปกราบขอบพระคุณคุณมานพ ไม่เห็นจำเป็นต้องแต่งตัวสวยไปอวด ไปเสนอหน้ารอคำชมจากเขาเลย ใช่มั้ย”
“อีแพง นี่ นี่เอ็ง เอ็งจะดูถูกข้าเกินไปแล้ว”
“ใช่ ฉันดูพี่ไม่ผิด ไม่เหมือนพี่ลอที่รักบังตาจนมองไม่เห็นว่าคู่หมั้นตัวเองกำลังคิดทรยศ”
“อีแพง อีปากสวะ”
เพื่อนปรี่เข้าไปตบหน้าแพงอย่างแรงทันที แพงหน้าหันน้ำตาคลอ หันกลับมาจ้องหน้าพี่สาว
“อีแพงก็อยากเป็นคนปากสวะ ถ้าพูดออกไปแล้วมันไม่เป็นจริงก็ดี”
แพงทิ้งท้ายอย่างน้อยใจแล้วรีบวิ่งออกไป เพื่อนมือสั่น กำแน่น ไม่คิดว่าแพงจะรู้
เพื่อน แพง ตอนที่ 10 (ต่อ)
ลอนั่งในห้องพัก ครุ่นคิดถึงคำพูดของเพื่อนที่กรอกหูเมื่อครู่
“เรื่องฤกษ์แต่งมันสำคัญกว่าการทดแทนบุญคุณคนเหรอพี่ลอ พระที่คอพี่คงไม่ได้สอนพี่แบบนั้นกระมัง”
ลอกำพระที่คอ ถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันไปหยิบผ้าขาวม้ามากางออกแล้วเก็บเสื้อผ้าใส่เตรียมไว้เดินทาง แพงเข้ามา
“พี่ลอ นี่พี่ลอจะทิ้งพี่เพื่อนไว้ที่นี่แล้วกลับบ้านสร้างคนเดียว จริงๆ เหรอ”
“อีแพง เอ็งแอบฟังพวกข้าคุยกันอีกแล้วล่ะสิ สันดานไม่เปลี่ยนนะเอ็ง”
“ไม่ใช่เวลาจะมาอบรมสั่งสอนฉันนะจ๊ะพี่ลอ”
แพงเข้าไปแย่งเสื้อผ้าออกจากมือ
“พี่ลอไม่ต้องกลับบ้านสร้าง พี่ต้องอยู่ที่พระนคร”
“อ้าวอีนี่ ทะลึ่งมายุ่งกับข้าอีก แม่เพื่อนเขาพูดถูก หนี้บุญคุณมันต้องชดใช้ ถ้าข้ามัวเห็นแก่ตัว ก็อย่าเอาพระมาคล้องคอ ไปเอาอิฐเอาหินที่ไหนมาคล้องคอก็ได้”
“โธ่ พี่ลอไม่เข้าใจ พี่ลอต้องอยู่พระนคร ห้ามกลับไปโดยไม่มีพี่เพื่อนกลับไปด้วย”
“เอ๊ะ เอ็งนี่ชักเกเร ร้องกระจองอแงเหมือนเด็กๆ เกินไป ทำไม หะ อีแพง”
“ก็ ก็”
แพงไม่รู้จะพูดอย่างไรให้ลอเข้าใจ จะพูดเรื่องเพื่อนกับมานพก็กลัวลอเสียใจ กลัวลอไม่เชื่อแล้วจะด่า พาลเกลียดเอา
“ว่าไงอีแพง เอ็งห้ามไม่ให้ข้ากลับเพราะอะไร”
“เพราะ เพราะว่าฉัน ฉันต้องไปเรียนเมืองนอก ไปหลายปีเลยนะจ๊ะพี่ลอ”
“ว่าไงนะ เอ็งน่ะเหรอจะไปเรียนเมืองนอกเมืองนา”
“จ้ะพี่ลอ น้าโฉมเขาอยากพาฉันไปหลังจากที่ฉันเรียนภาษากับครูฝรั่งที่นี่จนรู้เรื่อง เขาก็จะพาฉันไปทันที ฉันต้องไปหลายปีไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่นะจ๊ะ”
แพงพูดไปก็น้ำตาคลอ เข้าไปกอดเอวลอซบหน้ากับแผ่นอกร้องไห้ตัวโยน
“คิดว่าฉันขอนะจ๊ะพี่ลอ ช่วยอยู่กับฉันก่อนได้มั้ย จนกว่าฉันจะต้องไปเมืองนอก นะจ๊ะพี่ลอ ฮือๆๆ อยู่กับอีแพง อย่าเพิ่งกลับบ้านสร้าง เมืองนอกไม่ได้ใกล้ๆ กว่าฉันจะได้กลับมาอีกที พี่ลออาจจะลืมหน้าฉันไปแล้วก็ได้ ฮือๆๆ พี่ลอ”
“อีแพง หน้าเอ็งข้าไม่มีวันลืมหรอก”
“ไม่เอา ฉันไม่ได้อยากได้คำปลอบจากพี่ ฉันอยากให้พี่อยู่ที่นี่ อยู่หางานทำ เก็บเงินไว้แต่งงานกับพี่เพื่อน แล้วค่อยพากันกลับไปบ้านสร้างก็ได้ นะจ๊ะพี่ลอ ฉันขอล่ะ”
แพงกอดแน่นอ้อนวอนจริงจัง ลอนิ่งไป มองแพงอย่างสงสารแล้วครุ่นคิด
ลอเดินออกมาส่งแพงบริเวณทางเดินในบ้าน
“เอ็งควรจะเลิกร้องไห้ขี้แยได้แล้วล่ะอีแพง เป็นวาสนาของเอ็งจะได้เป็นนักเรียนเมืองนอก กลับมาอีกทีพวกข้าคงต้องเอาเสลี่ยงไปรอรับ แห่ตั้งแต่จังหวัดยันบ้านสร้าง”
“ฉันยอมไปก็เพราะพี่ลอยอมอยู่ อย่าลืมสิ”
“เออ ย้ำอย่างกับข้าเป็นคนแก่ขี้หลงขี้ลืม”
“จริงนะพี่ลอ เก่งอย่างพี่ ขยันอย่างพี่ กว่าจะได้ฤกษ์แต่งเดือนหก พี่ก็คงเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ที่นี้ล่ะได้กลับไปเป็นเศรษฐีบ้านสร้างเลยเชียว”
“เออ ฟังเอ็งแล้วข้าชักจะเคลิ้มตาม ถ้าเงินในพระนครมันหาได้ง่ายจริงๆ แม่เพื่อนก็จะได้ไม่น้อยหน้าใคร เอ็งไปนอนได้แล้ว ไว้พรุ่งนี้ข้าจะไปคุยกับน้าโฉมเรื่องของานทำ”
แพงดีใจกอดเอวลอ
“ฉันดีใจจริงๆ ขอบใจนะจ๊ะพี่ลอ”
ลอลูบหัวเอ็นดูแพงแล้วเดินออกไป แพงรู้สึกเหมือนมีคนแอบมองเลยมองไปที่มุมเสา เพื่อนแอบมายืนดูอยู่ รีบหลบไม่ให้แพงเห็น แพงเกือบจะเดินมาถึงเพื่อน แต่เสียงจำปาดังขึ้น
“อ้าว อีแพง เอ็งยังไม่เข้านอนอีกเหรอ”
“เพิ่งจะหัวค่ำเองยังไม่ง่วงเลยจ้ะจำปา”
แพงบอกจำปาแล้วหันไปที่เสาตรงที่คิดว่ามีคนอยู่ แต่มองแล้วไม่เจอใคร เพราะเพื่อนชิงออกไปแล้ว
คืนนั้น เพื่อนหนีออกมาจากบ้าน โดยนั่งรถสามล้อถีบ
“เร็วหน่อยได้มั้ยสามล้อ”
สามล้อถีบรับคำแล้วรีบถีบเร่งพาเพื่อนไปตามถนนพระนคร เพื่อนคิดถึงคำพูดของมานพเมื่อกลางวัน ก่อนที่มานพจะชิงออกประตูข้างในห้องนั้น ขณะที่ลอกำลังเคาะประตูเรียก มานพยื่นหน้ากระซิบข้างหูเพื่อน
“คุณต้องฟังเสียงหัวใจตัวเอง อย่าไปฟังเสียงใคร ตัดสินใจได้อย่างไรแล้ว คุณไปพบผมได้ที่สมาคม”
มานพพูดแค่นั้นแล้วผละไปเปิดประตูออกจากห้อง ผ่านทางประตูข้าง
ภายในสมาคมนักเรียนนอก บริกรรินวิสกี้ใส่แก้วให้มานพ มานพทิปให้บริกร
แล้วหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาเปิดดู ยิ้มอย่างซ่อนนัยบางอย่าง วิชิตเข้ามานั่งชนแก้วด้วย
“เห็นทีคืนนี้แกจะต้องเสียพนันให้ฉันซะแล้วล่ะมั้งไอ้มานพ”
“ยังเหลือเวลาอีก สงครามยังไม่จบจะรีบนับศพทหารไปทำไม”
“ก็ได้ ฉันจะรอดูว่าเกมรุกขั้นต่อมาของแก จะทำให้ผู้หญิงที่มีคู่หมั้นแล้วร้อนรนทนคิดถึงไม่ไหว จนต้องแจ้นมาหาแกในเวลากลางค่ำกลางคืนได้รึเปล่า”
“จะเพิ่มพนันกับฉันไม่ล่ะวิชิต ได้ข่าวว่าแกก็ใช่ย่อย เล่นละครตบตาปิดเรื่องเมียน้อย แล้วไปปั่นหัวเมียหลวงจนทำให้พ่อตายอมยกที่ดินเพิ่มให้อีก”
“ฮ่าๆๆ ไม่มีเรื่องอะไรในพระนครที่เล็ดลอดสายตาแกไปได้เลยจริงๆ พับผ่าเถอะวะ”
มานพยิ้มรับได้ครู่ สายตาหลายคู่ของกลุ่มนักเรียนนอกในห้องก็จับไปที่ ร.ต.จรัญ นายทหารในคณะราษฏร์ที่มาพร้อมกับผู้ติดตาม และโสภี หญิงสาวสวยเฉี่ยวปากแดง แต่งตัวสวยจัดหน้าคม
ร.ต.จรัญขยับเข้ามาข้างในห้องแล้วมองไปที่มานพกับวิชิต มานพสบตากับร.ต.จรัญอย่างมีนัยยะบาง อย่างก่อนจะปล่อยให้ ร.ต.จรัญเดินผ่านเข้าไปข้างในสมาคมพร้อมกับโสภีเหมือนคนไม่รู้จักกัน แล้วจึงลุกตามพวกร.ต.จรัญไป
ร.ต.จรัญนั่งรออยู่ในห้องพักผ่อนส่วนตัวกับโสภี รอจนมานพกับวิชิตเข้ามา ทหารผู้ติดตามจึงปิด ประตูเพื่อไม่ให้ใครเข้ามารบกวน
“นั่งก่อนสิมานพ วิชิต”
“ผมไม่คิดว่าท่านจะมาพบพวกผมที่นี่” มานพกล่าวขึ้น
“ความจริงท่านส่งคนมาแจ้งแล้วเราจะไปพบท่านเองเหมือนทุกครั้งก็ได้”
“ที่นี่เป็นที่พักผ่อนของคนหนุ่มรุ่นใหม่ การมาที่นี่ก็ไม่ได้โจ่งแจ้งจนน่าผิดสังเกตหรอก แต่ที่สำคัญที่ฉันอยากมาพบพวกนายก็เพราะอยากจะแนะนำให้รู้จักกับคุณโสภี”
จรัญผายมือให้มานพกับวิชิตรู้จักโสภี หญิงสาวสวยเฉี่ยวแต่งตัวจัดโชว์ไหล่และเนินอก โสภียิ้มให้มานพอย่างยั่วยวน มานพชื่นชอบและติดใจอยู่ในที จับมือโสภีมาจูบหลังมือ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณโสภี”
“ยินดีที่ได้รู้จักคุณมานพเช่นกันค่ะ ได้ยินท่านพูดถึงคุณบ่อยๆ ว่าเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง อนาคตคือมันสมองของชาติ”
“ท่านชมผมมากเกินไป ผมก็แค่คนหนึ่งที่อยากเห็นประเทศเปลี่ยนแปลง ไม่เอาแต่ถอยหลังเหมือนที่ผ่านมา”
“โสภีเป็นนักร้องอยู่ในไนท์คลับที่ฮ่องกง แต่ตอนนี้ย้ายมาร้องที่พระนคร เธอจะเป็นหูเป็นตาให้ฉันในระหว่างที่มีงานให้เธอช่วย”
“ต้องการให้ผมช่วยอะไรอีกครับท่าน”
“ตั้งแต่คณะรัฐมนตรีชุดเดิมถูกยุบ และมีการงดใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว ฉันก็ได้ข่าวมาว่า อาจจะมีการก่อความวุ่นวายขึ้น เรื่องนี้จะช่วยฉันสืบเพิ่มเติมได้มั้ยมานพ”
มานพนิ่งไปครู่ มองร.ต.จรัญและโสภที่ยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มยั่วยวนชวนฝัน มานพยิ้มรับ
เพื่อนนั่งสามล้อถีบมาถึงหน้าสมาคม รีบลงจากสามล้อแล้วเดินเข้าไปข้างใน ขณะนั้น แรมแต่งตัวสวยหรูหรายืนหัวเราะต่อกระซิกกับบรรดาสาวๆ ที่จับกลุ่มคุย ดื่ม แรมได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
“ฉันมาหาคุณมานพ เขาอยู่ไหน”
แรมหันไปตามเสียงแล้วถึงกับเลิกคิ้วแปลกใจ
“นังเพื่อน”
เพื่อนเดินเข้าหาบริกรอีกคน
“ฉันมาหาคุณมานพ ช่วยบอกฉันทีว่าเขาอยู่ไหน”
เพื่อนต้องการเจอมานพมาก จนทำให้แรมอดคิดถึงเรื่องที่คุยกับวิชิตก่อนมาที่นี่ไม่ได้
“คุณมานพเพื่อนคุณน่ะเหรอคะกำลังหัวปักหัวปำกับผู้หญิงบ้านนอก”
“ใช่ ที่ต้องเรียกว่าหัวปักหัวปำ เพราะตอนนี้ไอ้หมอนั่นหายใจเข้าออกเป็นผู้หญิงคนนั้นตลอดเวลา”
“ไหนคุณว่าคุณมานพไม่เคยคิดสนใจผู้หญิงคนไหนเลย”
“มานพเป็นพวกชอบเอาชนะ อะไรที่มันได้มาง่ายๆ มันไม่สนหรอก มันชอบอะไรที่ยากๆ ท้าทายความสามารถ เพราะเวลาที่มันได้อย่างใจแล้ว นั่นแหละมันถึงจะมีความสุข”
แรมเจ็บใจ นึกถึงตัวเองที่เคยจับมานพแล้วพลาด
“แล้วคุณเคยเจอผู้หญิงคนนั้นรึยังคะคุณวิชิต”
“ยังเลย แต่ได้ยินร่ำลือกันมาว่าสวยอย่างนางฟ้านางสวรรค์เลยเชียวล่ะ ไว้ไปที่สมาคม ถ้ามีโอกาส มานพมันคุยว่าเราคงจะได้เจอ”
วิชิตพูดไปก็อมยิ้ม แรมครุ่นคิดสนใจ
แรมมองเพื่อนที่เดินไปตามทาง หลังจากบริกรบอกว่าจะไปพบมานพได้ที่ไหน
“ที่แท้ก็เป็นแก นังเพื่อน สงสัยฉันจะเคยทำบุญร่วมชาติมากับแกซะจริงๆ แล้วล่ะมั้ง หึๆ”
แรมยิ้มร้าย
ภายในสมาคม มานพรีบเดินตามโสภีซึ่งกำลังจะเดินกลับ
“เดี๋ยวสิครับคุณโสภี”
“มีธุระอะไรที่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอคะคุณมานพ”
“เรื่องที่ผมคุยกับท่านจรัญไป ผมทราบและเข้าใจหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบดีแล้วครับ”
“แล้วคุณยังต้องการอะไรอีกไม่ทราบคะ”
“ท่านจรัญไว้วางใจให้ผมช่วยงาน เพราะผมมีความสามารถที่พิสูจน์แล้วว่าไม่เคยทำให้ท่านผิดหวัง”
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ นักร้องไนท์คลับอย่างฉันคงทำให้คุณเกรงว่าฉันจะ ทำเสียงาน พาลเป็นอันตรายถึงชีวิตคุณ”
“คำพูดนั้นดูเป็นการไม่ให้เกียรติหญิงสาวสวยๆ อย่างคุณ เอาเป็นว่า งานนี้มันเสี่ยงเกินไปสำหรับผู้หญิง”
“ขอบคุณค่ะที่เป็นห่วง ไว้ฉันจะปรึกษากับท่านจรัญถึงความห่วงใยของคุณ ขอตัวนะคะ”
โสภียิ้มให้อย่างอ่อนหวานแล้วจะเดินออกไป แต่อยู่ๆ ก็เกิดหน้ามืดเซจะเป็นลม มานพรีบเข้าไปประคอง
“เป็นอะไรไปครับ ไหวรึเปล่า”
“ขอโทษด้วยค่ะ ตั้งแต่ฉันโดยสารเรือมาถึงพระนครยังไม่ได้พักผ่อนเลย”
“ถ้าอย่างนั้นผมพาคุณไปนั่งพักนะครับ”
ไม่ทันที่มานพจะประคองโสภี เสียงขึ้นไกปืนก็ดังเบาๆ มานพชะงักอึ้งก้มมองที่ท้องตัวเอง โสภีจ่อปืนสั้นไปที่พุงมานพ
“ขอโทษด้วยนะคะคุณมานพ ชั่ววินาทีที่ผ่านมา ชีวิตคุณอยู่ในมือฉันไปแล้วค่ะ”
มานพอึ้งพูดไม่ออก โสภีผละออกจากมานพ ยิ้มร้ายลึก
“ฉันต้องไปจริงๆ แล้ว เดี๋ยวท่านจรัญจะรอ หวังว่าคุณคงไม่ทำให้งานของฉันเสียนะคะ”
โสภีเดินออกไป มานพอมยิ้ม ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะร้ายได้ถึงขนาดนี้
เพื่อนเดินผ่านห้องบิลเลียดเพื่อไปหามานพ แต่ต้องชะงักเพราะเสียงเรียกที่คุ้นเคย
“ดึกดื่นค่ำคืนขนาดนี้แล้ว คนงามแห่งทุ่งบ้านสร้างมาเดินปะปนกับสังคมกลางคืนของ ชาวพระนครได้ยังไงจ๊ะ”
เพื่อนนิ่งงัน มั่นใจว่าเสียงนี้คือเสียงของคนที่อยากแก้แค้นที่สุด
“พี่แรม”
เพื่อนหันกลับมาก็เห็นแรมนั่งจิบวิสกี้วางท่าอยู่ที่เคาน์เตอร์
“ดูทำหน้าเข้าสิแม่เพื่อน ตกใจที่เจอหน้าฉันถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
“แก ฉันรอที่จะเจอหน้าแกมาตลอด รอเพื่อเอาคืนที่แกทำลายชีวิตฉัน”
เพื่อนปรี่เข้าไปเงื้อมือจะตบ แต่แรมยกมือขึ้นรับทันที
“อย่าดีกว่านังเพื่อน ที่นี่เป็นสมาคมของผู้ดี ถ้าแกริจะทำตัวต่ำสถุนสกุลไพร่ล่ะก็ คงขายหน้าคุณมานพแย่”
“นี่แกรู้จักคุณมานพด้วยเหรอ”
“ไอ้เรื่องไขว่คว้าหาชีวิตที่สุขสบายกว่าบ้านนอกคอกนาล่ะก็ ฉันเดินนำหน้าแกมาตลอดนังเพื่อน”
“อย่าเอาฉันไปเปรียบเทียบกับแก ฉันไม่ใช่ผู้หญิงหน้าด้านร่านได้มั่วไปหมด”
“หึ ตอนนี้น่ะยัง แต่ต่อไปล่ะไม่แน่ เพราะน้ำหน้าอย่างหล่อนชั้นเชิงยังไม่ดีพอที่จะจับผู้ชายอย่างคุณมานพอยู่ พนันกันได้เลยว่าหล่อนต้องผิดหวังเสียทั้งคุณมานพเสียทั้งไอ้ ลอ แล้วทีนี้แหละหล่อนก็จะไม่เหลืออะไรให้เกาะ สุดท้ายก็ต้องร่านยิ่งกว่าฉัน”
เพื่อนกัดฟันเจ็บใจคว้าแก้ววิสกี้สาดใส่หน้าแรมทันที
“ฉันจะให้คุณมานพ ลากคอแกเข้าตะราง”
แรมหน้าโชกไปด้วยวิสกี้ แต่ก็ยังใจเย็นเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับ
“ถ้าแกอยากเล่นงานฉันก็เอาเลย ไอ้ลอมันจะได้หูตาสว่างซะทีว่ามันกำลังโดนคู่หมั้น ทรยศ แล้วไอ้เรื่องชั่วๆ ที่ผู้หญิงใจคดอย่างแกเคยช่วยฉัน คุณมานพก็จะรู้ทุกอย่าง”
เพื่อนชะงัก ระหว่างนั้นมานพเดินเข้ามาพร้อมกับวิชิต
“คุณเพื่อน นี่คุณมาพบผมจริงๆ เหรอครับ”
“เอ่อ คุณมานพ”
เพื่อนกระอักกระอ่วนมองมานพที มองแรมทีอย่างตัดสินใจ แรมรีบเข้าไปควงแขนวิชิตตีหน้าซื่อ
“คุณเพื่อนเขามารอพบคุณมานพได้ครู่ใหญ่แล้ว แรมกำลังชวนเธอคุยกันสนุกเลย สม กับที่คุณวิชิตว่าจริงๆ เพราะคุณเพื่อนสวยหยาดฟ้ามาดินขนาดนี้ คุณมานพถึงได้หลงหัวปักหัวปำ”
แรมพูดไปก็จิกหน้ามองเพื่อน อยากรู้ว่าเพื่อนจะฟ้องเรื่องของตัวเองหรือไม่ เพื่อนกำมือแน่นเจ็บใจ
มานพพาเพื่อนเข้ามาอีกห้องหนึ่งของสมาคม
“ผมดีใจที่คุณเพื่อนมาพบผม ทั้งๆ ที่เวลาแบบนี้มันเสี่ยงที่จะทำให้คุณเสื่อมเสีย”
มานพจะดึงเพื่อนมาสวมกอด แต่เพื่อนบ่ายเบี่ยง
“อย่าค่ะคุณมานพ การที่ฉันมาพบคุณในคืนนี้ อาจจะเป็นคำตอบให้กับคำถามของคุณได้ แต่ว่าไม่ใช่ทั้งหมด”
“ทำไมล่ะครับ”
เพื่อนเบือนหน้าหลบอย่างหนักใจ มานพพอจะเดาออก
“เพราะนายลอเขาไม่ยอมปล่อยคุณให้อยู่พระนครคนเดียวใช่มั้ยครับ”
“ไปว่าพี่ลอไม่ได้หรอกค่ะ ฉันเป็นคู่หมั้นเขา ก็เหมือนเป็นสมบัติของเขาไปครึ่งตัวแล้ว และที่ผ่านมาเขาก็ดีกับฉัน กับครอบครัวฉันมาตลอด อยู่ๆ จะให้ฉันตะเพิดเขาไปจากชีวิต ก็ดูจะใจไม้ไส้ระกำกับเขาเกินไป”
เพื่อนหันหลังพูดให้มานพฟัง มานพหัวเสียแอบบ่นเบาๆ
“ไอ้มารผจญเอ๊ย”
“เมื่อกี้คุณว่ายังไงนะคะ”
“ผมขอโทษครับ เพราะผมที่ยั้งใจไม่ได้เลยทำให้คุณต้องอยู่ในสภาพหนักใจ”
“ฉันไม่โทษคุณค่ะ ที่คุณถามฉันมันถูกแล้ว แม้ตัวฉันจะถูกตีตราจอง แต่หัวใจของฉันก็พร้อมกระโจนออกมาเสมอ”
เพื่อนโผเข้าสวมกอดมานพ
“คุณทำให้ผู้หญิงที่กำลังหลงทางอย่างฉันได้พบทางออก”
มานพแอบยิ้มที่ล่อหลอกจนทำให้เพื่อนหลงตนจนหมดรักลอ มานพค่อยๆ เชยคางแล้วจะจูบแก้ม แต่ แรมเข้ามากับวิชิตและกระแอมขัดจังหวะ
“ขอโทษด้วยค่ะคุณมานพ ไม่คิดว่าจะเข้ามารบกวนคุณ แต่วิชิตเขาอยากชวนพวกเราไปหาของอร่อยๆ กินกันที่ราชวงศ์”
“ไปด้วยกันนะครับคุณเพื่อน”
เพื่อนครุ่นคิดมองแรม
มานพมาส่งเพื่อนที่สามล้อถีบซึ่งรออยู่หน้าสมาคม
“ฉันอยากมีเวลาอยู่กับคุณมากกว่านี้ แต่ถ้าคนที่บ้านน้าโฉมจับได้ว่าฉันแอบหนีออกมาหาคุณ ฉันจะไม่ได้พบกับคุณอีกเลย”
“ผมเข้าใจครับ ความสุขเพียงชั่วยามไม่ยืนยาวเท่าชั่วนิรันดร์”
“ค่ะคุณมานพ ไว้เราจะค่อยๆ ช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องพี่ลอไปด้วยกัน ถ้าบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น เราก็จะได้มีความสุขด้วยกัน”
แรมเข้ามาขัดจังหวะ
“แม่เพื่อนจ๊ะ ฉันดีใจที่ได้รู้จักหญิงงามอย่างเธอ ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะ”
แรมเข้าไปสวมกอดเพื่อนแล้วกระซิบข้างหู
“ฉลาดมากนังเพื่อน คุณวิชิตกับคุณมานพเป็นเพื่อนสนิทกัน แกกับฉันก็ควรจูงมือได้ดิบได้ดีไปด้วยกัน ดีกว่ามาห้ำหั่นกันเอง”
เพื่อนไม่ชอบใจ ผละออกจากแรม แต่แรมก็ยังตีสองหน้าฉีกยิ้ม
“เราคงได้เจอกันอีกนะจ๊ะแม่เพื่อน”
แรมหอมแก้มเพื่อนลาอย่างธรรมเนียมฝรั่ง ส่งเพื่อนขึ้นรถสามล้อออกไป
แสงนอนซม อิดโรย ซูบผอมจนเห็นได้ชัด ระหว่างนั้นเสียงตีระนาดเอกดังคลอเข้ามา แสงชะงักหันไปฟัง รู้ทันทีว่าเสียงนั้นเพี้ยนแม้จะพยายามเล่น เขาเดินตามเสียงระนาดออกมาที่ชานเรือน เรี่ยวแรงก็ไม่ค่อยจะมีเพราะไม่ได้พักผ่อนจากอาการตรอมใจ เรืองขะมักเขม้นซุ่มซ้อมตีระนาด ตั้งอกตั้งใจเอาดีให้ได้
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยไอ้เรือง”
“พ่อ เสียงฉันซ้อมระนาดไปรบกวนพ่อเหรอ”
“เออ”
“งั้นเดี๋ยวฉันเอาระนาดไปซ้อมในสวนก็ได้จ้ะ”
“ไม่ต้อง เอาไปเก็บไว้ในห้องแล้วใส่กุญแจปิดตาย อย่าให้ข้าเห็นเอ็งเอามาเล่นอีก”
“ทำไมล่ะพ่อ กับไอ้แค่พี่แรมทำเอาไว้เจ็บแสบ แต่ก็ไม่ได้ความว่าพ่อจะต้องทิ้งอาชีพ ที่พ่อหวงแหนนี่”
“หุบปาก ถ้าเอ็งยังพูดถึงอีแรม ข้าจะเอาเลือดหัวเอ็งออกจากกบาล”
แสงจะเข้าไปเอาเรื่องลูกชาย แต่ไปได้แค่ไม่กี่ก้าวก็หมดแรงล้มลง
“พ่อ”
เรืองรีบเข้าไปประคองพ่อขึ้นมา ระหว่างนั้นพิศกับผาดแวะมาเยี่ยมพอดี
“ไอ้แสง”
พิศกับผาดช่วยกันประคองแสงมานอนพัก
“เดี๋ยวเอ็งเอายาบำรุงไปต้มให้พ่อเอ็งกินนะ หลวงพ่อเขาฝากมาให้”
“จ้ะอาพิศ”
“ไม่ต้องไอ้เรือง ฝากขอบใจหลวงพ่อ แต่ข้าไม่กินอะไรทั้งนั้น”
“อย่าดื้อด้านให้มันมากนักไอ้แสง ถ้าเป็นคนอื่นเขาอยากตาย ข้าจะไม่ห้ามหรอก แต่เอ็ง ข้าปล่อยให้ตายไม่ได้”
“ไม่ใช่เพราะข้ากับไอ้ผาดเป็นเพื่อนเอ็งเลยต้องมาร้องขอ แต่หลวงพ่อก็ฝากมาให้ข้าพูดกับเอ็งเหมือนกัน”
“เอ็งไม่ใช่วัวใช่ควายที่มันไม่มีเรี่ยวแรงไถนา แล้วต้องสงเคราะห์ให้มันไปสบายนะเว้ย แต่เอ็งคือครู ครูที่สะสมวิชาความรู้เอาไว้เพื่อสืบทอดให้ลูกให้หลาน” ผาดบอก
“ถึงเอ็งจะเสียใจเรื่องนังแรมเพราะหวังไว้กับมันมาก แต่ก็ใช่ว่าเอ็งจะต้องหมดหวังไปซะทีเดียว ดูไอ้เรืองมันสิวะ มันตั้งใจสืบทอดวิชาของเอ็ง แล้วเอ็งยังจะไม่ดูดำดูดีมันอีก”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะอา ฝีมือฉันมันฝึกยังไงก็ไม่ได้เรื่อง ยิ่งฝึกก็ยิ่งทำให้พ่อเขาปวดกบาล ไม่ได้มีพรสวรรค์เหมือนพี่แรม”
“พรสวรรค์มันสู้ความตั้งใจไม่ได้หรอกเว้ยไอ้เรือง ไม่เชื่อก็ถามพ่อเอ็งดู คำพูดแบบนี้ คน เป็นครูต้องเข้าใจดีที่สุด” ผาดท้วง
“พ่อ”
แสงนิ่งไป มองลูกชายแล้วพลิกตัวหันหลังให้ พิศกับผาดพากันถอนใจ
ด้วงกับก้อนถือสุ่มดักปลาเดินกลับเข้ามาเจอแก้วรออยู่ที่เถียงนา
“เป็นไงบ้าง ได้ปลากันมาเยอะเลยล่ะสิ ถึงได้พากันหายไปนานสองนาน มาๆๆ เอามา ย่างกินกับน้ำพริกกัน”
“ได้ที่ไหนล่ะแม่แก้ว ไอ้ที่หายไปนานสองนาน ย่ำโคลนหาก็แล้วไม่ได้ปลามาสักกะตัว” ก้อนบอก
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“ก็น้ำมันแห้งขอดจนมองเห็นสันทรายเลยน่ะสิวะอีแก้ว พูดแล้วก็ยิ่งร้อนจนแสบคอ ขอ ข้ากินน้ำให้ชื่นใจหน่อยเถอะวะ”
ด้วงเซ็ง เดินมานั่งหลบแดดใต้ชายคาเถียงนา คว้าขันน้ำจากตุ่มมาดื่มอั้กๆ
“น้ำมันแล้งขนาดนั้นเลยเหรอพี่ก้อน”
“แล้งปีนี้มาเร็ว ได้ข่าวว่าแถวบ้านนาแม้แต่กบแต่เขียดก็ยังแห้งตาย”
“เสียดาย นังเพื่อนมันไม่อยู่ซะด้วย ไม่งั้นจะให้มันเป็นเทพีขอฝนอีก”
“ถึงนังเพื่อนอยู่ก็ไม่ได้ช่วยหรอกไอ้ด้วง นี่มันแล้งฤดู ไม่ใช่ฝนทิ้งช่วงเว้ย”
“ถ้าเดือนนี้ยังแล้งขนาดนี้ กว่าฝนจะมาเดือนหก คงได้พากันอดตายกันทั้งบ้านสร้างน่ะสิจ๊ะพี่”
ก้อนเครียด มองไปยังทุ่งนาที่แห้งแล้งจนไอแดดระอุอย่างครุ่นคิด
สามล้อถีบเข้ามาจอดส่งแพงที่เพิ่งกลับจากไปเรียนภาษาอังกฤษ แพงลงจากรถได้ก็ รีบร้อนจะเข้าไปข้างใน แต่เจอจำปามาดักรอ
“อีแพงกลับมาแล้วเหรอ มานี่ๆ เป็นไงบ้างวะไปเรียนภาษาปะกิตกับครูฝรั่ง”
“ก็งั้นๆ แหละจำปา”
“เฮ้ย จะงั้นๆ ได้ยังไง วาสนาเอ็งได้เรียนกับฝรั่งแบบนี้ ข้าก็อยากรู้อยากเห็นว่าเขาสอนอะไรเอ็งมั่งน่ะสิวะ”
“ก็สอนเอบีซีดี ไอ้โน่นไอ้นี่เรียกว่าอะไรแค่นั้นแหละ”
แพงบอกแล้วจะรีบเดินเข้าไป แต่จำปายังอยากรู้ ดึงถามอีก
“เดี๋ยวสิวะ อย่าเพิ่งไป ข้ารู้ว่าเอ็งอยากไปดูพี่ลอทำงานกับพ่อข้า เอ็งไม่ต้องห่วงหรอก พ่อข้าเก่ง ช่วยงานคุณนายมาตั้งแต่เป็นหนุ่ม เดี๋ยวก็ฝึกให้พี่ลอทำงานได้เองแหละ”
“แน่ใจนะจำปา”
“เออ เชื่ออีจำปาเถอะ แล้วเดี๋ยวดีเอง ว่าแต่เอ็งช่วยสอนข้าพูดภาษาปะกิตมั่งสิวะ เดี๋ยว นี้ฝรั่งมันเดินกันให้ควั่ก เวลาข้าเจอจะได้พูดให้ดูโก้กับเขามั่งไง นะๆๆ สอนข้าหน่อย”
“ก็ได้ งั้นถ้าเจอฝรั่งตอนเช้าก็ทักไปว่ากู้ดมอร์นิ่ง เจอตอนกลางวันให้พูดว่ากู้ดอาฟเตอร์นูน แล้วถ้าเจอตอนกลางคืนก็กู้ดอีฟนิ่ง”
“เฮ้ย ทำไมต้องมีกู้ดเช้ากลางวันเย็นด้วยวะ ปวดกบาลแย่”
“ก็ธรรมเนียมเขา ภาษาเขา เราอยากเป็นอย่างเขาก็ต้องทำตามเขา”
“เหรอ งั้นข้าก็ต้องจำให้ได้ใช่มั้ยวะ”
“ใช่ ท่องเอาไว้เช้ากู้ดมอร์นิ่ง กลางวันกู้ดอาฟเตอร์นูน กลางคืนกู้ดอีฟนิ่ง จำได้นะจำปา ฉันไปดูพี่ลอก่อนล่ะ”
แพงบอกจำปาเสร็จก็รีบเดินเข้าไป
เพื่อน แพง ตอนที่ 10 (ต่อ)
ที่โต๊ะทำงานในบ้านโฉมฉาย ลอนุ่งกางเกงสีกากี เสื้อเชิ้ตสีขาว
แต่งตัวอย่างเสมียน แต่หน้าหงิกเกา หัวแกรกๆ งงๆ กับสมุดบัญชีตรงหน้า ยิ่งดูก็ยิ่งง จำปูนเดินเข้ามา
“เป็นไงบ้างนายลอ พอจะทำงานที่ข้าสั่งให้ช่วยได้มั้ย”
“เอ่อ คือ ไม่ได้จ้ะพี่จำปูน”
“ไม่ได้ตรงไหนล่ะ ถามข้ามาได้เลยข้าจะได้ช่วยสอนให้”
ลอดันสมุดบัญชีทั้งเล่มคืน
“ทั้งหมดนี่เลยจ้ะ ไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเดียวจ้ะ”
“อ้าว ไหงงั้นล่ะไอ้ลอ หรือว่าเอ็ง”
“จ้ะ ฉันอ่านหนังสือได้แค่ชื่อฉันเท่านั้น ส่วนไอ้บวกลบเลขพวกนี้ยิ่งไปกันใหญ่ โง่ได้ไม่เผื่อฉลาดเลยจ้ะ แหะๆ”
“ปั๊ดโธ่เอ๊ยไอ้ลอ ก็ไหนตอนเอ็งไปของานคุณนายท ำเอ็งบอกว่าทำได้หมดทุกอย่างไง”
“ก็ตอนนั้นฉันอยากได้งานทำ เพราะจะได้อยู่ที่พระนคร จะได้เก็บเงินไว้แต่งงานกับแม่เพื่อนเยอะๆ เลยพูดไม่ได้คิดจ้ะ”
“เฮ้อ เอ็งไม่ผิดหรอก ข้าเข้าใจ แต่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แบบนี้ ข้าคงต้องหางานอื่นให้เอ็งทำน่ะสิวะ”
“งานใช้ความรู้ฉันคงทำไม่ได้ แต่งานใช้แรงอย่างวัวอย่างควายล่ะก็บอกไอ้ลอเลยนะจ๊ะ พี่จำปูน ไอ้ลอทำได้หมดจ้ะ”
จำปูนนิ่งไป ครุ่นคิด ระหว่างนั้นลอเหลือบไปเห็นเพื่อนแต่งตัวสวยเดินผ่านประตูไป
“ช่วยดูให้ฉันหน่อยนะจ๊ะพี่จำปูน ฉันไปล่ะ”
ลอรีบเดินตามเพื่อนออกไป
“แม่เพื่อน”
“พี่ลอ”
“แม่เพื่อนแต่งตัวสวยอีกแล้ว จะออกไปไหนอีกเหรอ”
“ฉัน เอ่อ ฉันก็จะไปทำงานให้ผู้มีพระคุณของฉันน่ะสิ”
“คุณมานพน่ะเหรอจ๊ะ แม่เพื่อนจะไปช่วยอะไรเขาเหรอ”
“งานที่สมาคมนักเรียนนอก คุณมานพเขามีหุ้นส่วนอยู่ที่นั่น เลยมาขอตัวฉันจากน้าโฉม อยากให้ฉันไปช่วยงานดูแลสมาชิก”
“โอ้โห งานของแม่เพื่อนหรูหราไม่เบาเลย มิน่าล่ะแม่เพื่อนของพี่เลยต้องแต่งตัวสวย”
“พี่ลอเองก็เหมือนกัน น้าโฉมให้พี่ช่วยงานพี่จำปูนไม่ใช่เหรอ มาชวนฉันคุยแบบนี้ไม่เสียการเสียงานแย่”
“พี่คงช่วยงานพี่จำปูนเขาไม่ได้แล้วล่ะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“พี่ไม่ได้ฉลาดเหมือนอีแพง หนังสือหนังหารู้แค่หางอึ่ง ก็เลยขอให้พี่จำปูนหางานที่ใช้แรงอย่างเดียวทำดีกว่าจ้ะ”
“แต่งานใช้แรงในพระนคร ค่าตอบแทนมันไม่ได้สูงเท่าคนมีความรู้นะ”
“ได้เท่าไหร่พี่ก็เอา ที่คุ้มกะลาหัวก็มีให้กินให้อยู่ไม่ต้องเสียสะตุ้งสตางค์ ค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อยไป ยังไงก็มากพอไว้จัดงานแต่งเราอยู่แล้วจ้ะ”
“งั้นตามใจพี่ลอก็แล้วกัน แต่ฉันเตือนนะ ใช้แรงงานที่นี่มันเหนื่อย สู้กลับไปอยู่บ้านเราไม่ได้หรอก ถ้าพี่ไม่ไหวจะกลับไปก่อนก็ไม่ต้องห่วงฉันทางนี้ ฉันไปล่ะสายแล้ว”
เพื่อนเดินออกไป สวนกับแพง เพื่อนไม่สนใจเชิดหน้าเดินผ่านไป
ลอถือมีดถางหญ้าเดินออกมาที่สวน แพงเดินตามหลัง ลอก้มหน้าก้มตาดายหญ้า
“พี่ลอปล่อยให้พี่เพื่อนไปทำงานแบบนั้นได้ยังไง ทำไมไม่ห้าม”
“ทำไมข้าต้องห้ามด้วยวะอีแพง งานที่แม่เพื่อนไปทำก็ฟังดูดี ที่สำคัญแม่เพื่อนชอบแต่งตัวสวยๆ ได้แต่งตัวแบบนี้ทุกวัน เห็นแม่เพื่อนมีความสุขข้าก็สบายใจ”
“พี่ลอ ฉันว่าพี่โง่จนกู่ไม่กลับแล้ว โง่ไม่ลืมหูลืมตา ไอ้เปลี่ยวมันยังจะฉลาดกว่าพี่อีก”
“อีแพง ข้าเป็นพี่เอ็งนะเว้ย”
“ก็เพราะเป็นพี่ไงฉันถึงต้องด่าให้ได้สติ พี่ไม่ควรปล่อยให้พี่เพื่อนไปทำงานเจอผู้ชายมากหน้าหลายตา เพราะถ้าเกิดพี่เพื่อนเขาไปรักไปชอบพอคนอื่น คำว่าโง่สำหรับพี่มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ”
“อีแพง นี่แน่ะ”
ลอเขกหัวแพงแรงๆ แพงสะดุ้งร้องเจ็บลั่น
“พี่สาวเอ็งเขาเป็นคู่หมั้นข้า รักกับข้ามาตั้งแต่ยังไม่แตกเนื้อสาว ถ้าเขาคิดจะนอกใจข้า ป่านนี้เขาไปเป็นเมียไอ้วีตั้งนานแล้วอีแพง”
“น้ำหน้าอย่างไอ้วีพี่เพื่อนไม่เอา เพราะสันดานมันมหาโจร แต่ที่นี่พระนคร ผู้ชายที่ดีกว่าไอ้วีมีให้เกลื่อนถนน ยิ่งคนสวยๆ อย่างพี่เพื่อน พี่ไม่กลัวเลยเหรอว่าผู้ชายจะมารุมตอม แล้วแย่งพี่เพื่อนไปจากพี่”
“เป็นไปไม่ได้หรอกอีแพง แม่เพื่อนกับข้ารักกัน คำสาบานต่อหน้าพระของพ่อข้านี่ไงที่ ทำให้ข้ามั่นใจว่าแม่เพื่อนไม่มีวันรักคนอื่นมากกว่าข้า”
“งั้นฉันถามหน่อยเถอะพี่ พี่เพื่อนสาบานร่วมกับพี่ หรือว่าพี่สาบานคนเดียว”
ลอชะงัก
“อีแพง”
แพงไม่พูดอะไรอีก เพราะต้องการเตือนสติลอแค่นั้น ลอครุ่นคิดหนัก
เจ้าคุณรัตน์ยืนคุยกับสงวนก่อนจะพยักหน้ารับรู้ คล้อยหลังสงวน มานพเดินมา หยิบหมวกที่แขวนอยู่มาสวม เตรียมจะออกไป
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไปมานพ”
“คุณพ่อ ผมมีนัดที่ต้องรีบไป เอาไว้คุยกันวันหลังนะครับ”
“ที่จะรีบไป เพราะธุระทำให้บ้านนี้เมืองนี้มันวุ่นวายไม่จบไม่สิ้นรึเปล่า ฉันบอกแกแล้วใช่มั้ยให้อยู่เฉยๆ อย่ารนหาเรื่องใส่ตัว”
“คุณพ่อ”
“แกเลี่ยงตอบคำถามฉันเรื่องปืนที่เห็นในห้องแกมาตลอด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะ เมินไม่สนใจว่าลูกชายฉันมันกำลังทำอะไรอยู่”
“มิน่าถึงได้เห็นคนสนิทของคุณพ่อมาป้วนเปี้ยนอยู่ที่นี่ มันคงไปคาบข่าวที่เชื่อถือไม่ได้ มาหลอกเอาสตางค์กับคุณพ่อแล้วล่ะครับ”
“แกคงลืมไปแล้วสิ ที่แม่เพื่อนปลอดภัยกลับมาได้ก็เพราะข่าวจากคนของฉันเหมือนกัน”
“งั้นผมก็ไม่มีอะไรต้องคุย สิ่งที่ผมทำมันคือการพาประเทศก้าวไปข้างหน้า ถ้าคุณพ่อคิดจะขัดขวาง ผมก็จะถือว่าคุณพ่อคือกลุ่มคนที่ล้าหลังสมควรแก่การถูกจองจำ”
“ไอ้มานพ ฉันเป็นพ่อแกนะโว้ย”
“ยิ่งเป็นพ่อ ยิ่งต้องคิดถึงอนาคตของลูกหลานให้มากเข้าไว้สิครับ ไม่ใช่คอยแต่จะฉุดให้ล้าหลังแข่งกับคนอื่นเขาไม่ได้แบบนี้”
มานพพูดเสร็จก็เดินออกไปอย่างไม่สนใจ เจ้าคุณรัตน์ชะงัก โกรธจนตัวสั่น
แรมกับสาวๆ หลายคนกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ข้างสนามเทนนิส ครู่หนึ่งแรมหันไปสังเกตเห็นเพื่อนเปลี่ยนเสื้อผ้ามาใส่ชุดเล่นเทนนิสเดินเก้ๆ กังๆ เข้ามา แรมรีบผละมาหาเพื่อน
“ดูเข้าสิ ดูเข้า แม่เจ้าโว้ย นังเพื่อนสาวบ้านสร้าง นับวันมันยิ่งเป็นสาวพระนครเข้าไปทุกที เนื้อตัวก็หอมกลิ่นโคโลญจน์ ไม่เหลือกลิ่นโคลนสาบควายให้เตะจมูก”
เพื่อนดันแรมออกห่าง
“อย่าเข้ามาใกล้ฉัน ที่ฉันยอมใจดีไม่เล่นงานแก ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะยอมเป็นเพื่อนกับแก”
“หึ ฉันก็ไม่ได้คิดว่าแกใจดีอะไรกับฉันหรอกนังเพื่อน แต่แกกับฉันมันก็เหมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ถ้าไม่ช่วยเหลือกันก็ต้องพากันซมซานกลับไปตายซากอยู่บ้านสร้าง”
“แต่ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากแก”
เพื่อนสะบัดหน้าใส่แล้วเดินไปที่สนามเทนนิส แต่ระหว่างนั้นสาวๆ พระนครที่จับกลุ่มคุยกับแรมอยู่เมื่อครู่ แกล้งทำเป็นตีลูกเทนนิสพลาดพุ่งมาทางเพื่อนจนเกือบโดน
“ว้าย”
เพื่อนล้มก้นจ้ำเบ้าเป็นที่ตลกขบขันของบรรดาสาวๆ พระนครกลุ่มนั้น ที่แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความสมเพช แรมขำ
“หึๆๆ อย่ามั่นใจไปนักนังเพื่อน ที่นี่พระนคร ถึงคุณมานพจะแสดงออกว่าชอบแก แต่ก็มีผู้หญิงที่นี่อีกมากที่พร้อมจะเล่นงานและแย่งผู้ชายทุกคนที่แกเลือกไปจากมืออย่างหน้าด้านๆ ได้ทุกเมื่อ”
แรมพูดพร้อมกับยื่นมือไปช่วยพยุง แต่เพื่อนนิ่ง
“ยกเว้นก็แต่แกจะมีฉันเป็นพวก จะได้ไม่ต้องหัวเดียวกระเทียมลีบ”
เพื่อนมองแรมเขม็งแล้วปัดมือไม่สนใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเองแล้วเดินออกไป แรมมองตามเบ้ปาก
บริเวณเคาน์เตอร์บาร์ มานพเดินเข้ามาและได้รับคำตอบจากบริกร
“คุณเพื่อนมารอพบคุณได้ครู่ใหญ่แล้วครับ”
“ขอบใจ”
มานพเหน็บธนบัตรใส่กระเป๋าเสื้อให้เป็นค่าทิป ระหว่างนั้นเสียงโสภีดังขึ้นจากเคาน์เตอร์ที่นั่งดื่มรอ
“สมเป็นหนุ่มเนื้อหอมในวงสังคมอย่างที่ร่ำลือกันในหมู่สาวๆ พระนคร สาวๆ มารอต่อขบวนยาวๆ ไปถึงหัวลำโพง”
“ขอบคุณสำหรับคำเหน็บแนมครับคุณโสภี ผมกำลังคิดถึงคุณอยู่พอดี ว่าจะไปพบคุณที่โรงแรม”
“งั้นความคิดถึงของคุณคงลอยตามลมไปทำให้ฉันต้องมารอพบคุณที่นี่”
โสภีเลื่อนแก้ววิสกี้ที่อยู่ใกล้ๆ มือเธออีกแก้วหนึ่งให้ เป็นการเชิญมานพให้ดื่ม มานพลังเล โสภีอดขำไม่ได้
“กลัวว่าฉันจะใส่ยาคิดแกล้งคุณเหรอ หึๆ ความร้ายกาจของฉันทำให้ชายอกสามศอกอย่างคุณถึงกับขยาดกลัวจนอ่านสีหน้าออกเลยเหรอคะ โธ่เอ๊ย แล้วแบบนี้คุณจะทำ งานใหญ่ให้ท่านได้ยังไง”
โสภีลุกขึ้น หางตามองมานพอย่างดูแคลน มานพกัดฟันเจ็บใจหันไปคว้าแก้ววิสกี้ขึ้นมากระดกดื่มจน หมดแล้วรีบเดินตามไปคว้าแขนโสภีให้หันกลับมา ระหว่างนั้นเพื่อนเดินเข้ามา เห็นมานพกำลังจับแขนยื้อยุดอยู่กับหญิงสาวสวยแต่งตัวจัด เพื่อนอดสงสัยไม่ได้ โสภีแกะมือมานพแล้วสะบัดเดินออกไป มานพยิ่งหัวเสียที่ถูกโสภีจองหองใส่ เลยรีบเดินตาม เพื่อนแปลกใจ สงสัยว่ามานพกำลังตามใคร เสียงของแรมก็ดังขึ้นข้างหลัง
“หึ ผิดไปจากที่ฉันพูดมั้ยล่ะ ผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างคุณมานพ มีแต่ผู้หญิงล้อมหน้า ล้อมหลัง อย่าหวังว่าหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างแกจะเป็นเจ้าของเขาได้ ถ้าไม่ได้ฉันช่วยล่ะก็ เตรียมตัวตามไอ้ลอกลับไปก้มหน้าก้มตาไถนาต่อเถอะ หึๆๆ”
แพงนั่งสามล้อถีบ แล้วหันไปบอกคนถีบสามล้อ
“รอเดี๋ยวนะจ๊ะ ต้องรับอีกคนหนึ่งก่อนแล้วค่อยไป”
สามล้อพยักหน้า แพงหันไปเห็นลอเดินออกมาพอดีก็รีบเข้าไปเรียก
“พี่ลอ พี่ลอ ไปกันเถอะ”
แพงเข้าไปดึงแขนยื้อยุดจะพาลอไปขึ้นสามล้อถีบ
“จะไปไหนของเอ็งหาอีแพง ข้าเพิ่งจะตะเพิดด่าให้เลิกจุ้นจ้านกับข้า แต่มันไม่เข้าหูเอ็งเลยเหรอวะ”
“ฉันยอมให้พี่ลอดุด่าฉันยังไงก็ได้ เพราะมันก็ยังดีกว่าฉันต้องมานั่งทนเห็นพี่ฟูมฟายเสียใจเวลาที่พี่เพื่อนเห็นผู้ชายคนอื่นดีกว่า”
“อีแพง พอซะทีเถอะ ข้าชักจะเหลืออดแล้ว เอ็งดูถูกพี่สาวเอ็งมากเกินไป แม่เพื่อนเป็นคนดี เขาไม่มีวันเป็นผู้หญิงใจคดอย่างที่เอ็งว่า”
“แล้วมันจะเสียหายตรงไหนถ้าพี่ลอจะไปดูให้เห็นกับตา ถ้าพี่เพื่อนรักเดียวใจเดียวกับพี่จริงๆ พี่จะได้กลับมาด่าฉันให้สาแก่ใจกว่านี้ไง นะพี่ลอ ไปกับฉันเถอะ”
แพงลากแขนดึงลอให้ไปด้วยกัน โฉมฉายเดินออกมา
“แพง นายลอ จะไปไหนกันเหรอ”
“เอ่อ น้าโฉม คือ คือพี่ลอเขาอยากจะไปหาพี่เพื่อนจ้ะ”
“ที่สมาคมนักเรียนนอกน่ะเหรอ ก็ดีนะ ไปเปิดหูเปิดตาดูบ้างเถอะนายลอ เผื่อจะได้รอรับแม่เพื่อนกลับมาด้วยกัน”
“เห็นมั้ยพี่ลอ ไปกันเถอะจ้ะ”
“เดี๋ยวก่อนแพง ให้นายลอเขาไปหาแม่เพื่อนคนเดียวเถอะ น้ามีเพื่อนมาจากปีนัง น้า เล่าให้เขาฟังเรื่องความฉลาดของแพง เขาสนใจอยากคุยกับแพงด้วยจ้ะ”
“แต่ว่า”
“มาเถอะจ้ะ ภาษาอังกฤษที่เรียนมาต้องหมั่นฝึกใช้บ่อยๆ นะถึงจะคล่อง”
โฉมฉายไม่ปล่อยให้แพงไปกับลอ เลยเข้าไปจับมือแพงพาเดินไป แพงหันมาสั่งลอ
“พี่ลอ ไปพาพี่เพื่อนกลับมาเถอะนะ นะจ๊ะพี่ลอ”
ลอครุ่นคิด
มุมหนึ่งบริเวณสวนข้างตึกสมาคม
มานพตามโสภีเข้ามา แต่ไม่เจอตัว ก่อนจะชะงักเมื่อโสภีโผล่มาข้าง หลังแล้วดึงมานพไปคุยกันอย่างระมัดระวังที่ข้างมุมตึก
“หายกลัวฉันแล้วเหรอคะคุณมานพถึงกล้าตามฉันมา”
“ผมชายอกสามศอก ไม่มีคำว่ากลัว”
“งั้นก็ดีค่ะ เพราะงานที่ท่านฝากให้ฉันมาสั่งคุณวันนี้ค่อนข้างเสี่ยงต่อชีวิต หวังว่าคุณจะแสดงความกล้าทำงานให้สำเร็จมากกว่าแสดงความเจ้าชู้”
“คุณโสภี”
มานพไม่พอใจจับไหล่โสภีกระชากตัวเข้าหาอย่างแรงจนหน้าเกือบชิดกัน แต่โสภีไม่มีทีท่าเจ็บหรือกลัว มานพเลย กลับจ้องตามานพไม่กระพริบ
“ไว้ผมทำงานนี้ให้สำเร็จก่อนเถอะ ผมจะจัดการกับความอวดเก่งของคุณ”
“ถ้าคิดว่าฉันง่ายเหมือนผู้หญิงที่กำลังตามหาคุณอยู่นั่นล่ะก็ คิดใหม่เถอะค่ะคุณมานพ”
โสภีมองไปที่เพื่อนซึ่งกำลังเดินเข้ามามองหามานพ เธอผละออกจากมานพ แล้วเหน็บกระดาษแผ่นหนึ่งใส่กระเป๋าเสื้อของเขา
“รายละเอียดทุกอย่างที่คุณต้องไปสืบมาอยู่ในนั้นแล้ว ระวังตัวให้ดีล่ะ อย่าเอาชีวิตไปทิ้ง ก่อน จะกลับมาจัดการกับฉัน”
โสภีเดินออกไป
แรมคุยโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะในล็อบบี้อย่างหัวเสีย
“ว่ายังไงนะคะคุณวิชิต คุณบอกให้แรมมารอพบคุณ แต่คุณกลับไม่ยอมมา ทำไมคะ หรือว่านังเมียคุณมันกักคุณไว้ คุณวิชิต คุณวิชิต”
เสียงปลายสายตัดไปดื้อๆ แรมกระแทกสายวางไปอย่างหัวเสีย
“นังบ้าเอ๊ย ฉันไม่ยอมให้แกแย่งน้ำบ่อสุดท้ายของฉันไปหรอก”
แรมหงุดหงิดหัวเสีย แล้วตกใจเมื่อเห็นลอเดินเข้ามา เก้ๆ กังๆ ชนเข้ากับสุภาพสตรีคนหนึ่ง
“ขอประทานโทษด้วยจ้ะ ไอ้ลอซุ่มซ่าม ไม่ทันระวังจ้ะ”
“เอามือสกปรกของแกออกไป อย่ามาโดนเสื้อผ้าฉัน”
หญิงสูงศักดิ์ปัดมือลอที่จะช่วยพยุง ลอรีบหดมือกลับทำหน้าจ๋อยๆ พูดขอโทษซ้ำแล้วซ้ำอีก
“ขอประทานโทษจริงๆ จ้ะ ไอ้ลอมาหาแม่เพื่อน รู้จักแม่เพื่อนมั้ยจ๊ะ”
หญิงสาวเชิดหน้าดูถูก ไม่ตอบ แล้วเดินผ่านไป ลอยืนเซ็งๆ มองหาคนที่จะถาม แรมสะดุ้งโหยงกลัวลอเห็น ต้องรีบหันหลังหลบ แต่ลอจะเดินเข้ามาหา แรมใจหายวาบ จนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่ของสมาคมเข้ามาขวางลอไว้
“ที่นี่เป็นที่ส่วนบุคคล ถ้าไม่ได้เป็นสมาชิกเข้าไม่ได้”
“ขอประทานโทษจ้ะ ไอ้ลอรู้จักกับคุณมานพ ลูกชายท่านเจ้าคุณรัตน์ ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามคุณมานพได้ แม่เพื่อนคู่หมั้นของไอ้ลอก็มาช่วยงานอยู่ที่นี่”
ลอตอบคำถามอย่างซื่อๆ
เพื่อนเดินเข้ามาหามานพภายในสมาคม สักพัก มานพจึงเข้ามา
“หาอะไรอยู่จ๊ะแม่นางฟ้านางสวรรค์ของผม”
“คุณมานพ คุณหายไปไหนมาคะ”
“ผมจะหายไปไหนได้ยังไง ผมเพิ่งมาถึงครับ”
“แต่ฉันเพิ่งเห็นคุณเดินตามผู้หญิงคนหนึ่ง ลับๆ ล่อๆ ชวนให้สงสัยนัก ฉันอยากจะคิดว่าตาฝาด แต่คุณกลับมาโกหกคำโตแบบนี้ คุณดูถูกฉันเกินไปแล้วค่ะคุณมานพ”
เพื่อนโมโห ผลักมานพออก แล้วเดินหนีไป มานพเซ็ง
“โธ่เว้ย เรื่องไม่น่าพลาดดันพลาด”
มานพครุ่นคิดจะทำอย่างไรดี
ลอถูกเจ้าหน้าที่ของสมาคมกันและพยายามจะไล่
“ออกไปได้แล้ว ที่นี่ข้าเจอไอ้พวกชอบแอบอ้างรู้จักคนนั้นคนนี้เยอะแล้ว ไปให้พ้น”
“แต่ฉันรู้จักคุณมานพจริงๆ นะจ๊ะ แม่เพื่อนก็เป็นคู่หมั้นฉัน คุณมานพชวนเธอให้มาทำงานที่นี่ ฉันไม่ได้ปดเลยนะจ๊ะ”
“ไม่เชื่อโว้ย จะให้ออกไปดีๆ หรือจะให้จับโยนออกไป”
เจ้าหน้าที่ทั้งผลักทั้งดันไล่จนลอเซ แรมแอบดูอยู่เป่าปากเกือบจะโล่งอก แต่ระหว่างนั้นเพื่อนเดิน หนีมานพด้วยอารมณ์น้อยใจ ผ่านเข้ามาพอดี ลอเหลือบไปเห็นเข้า
“นั่นไง แม่เพื่อนคู่หมั้นของฉัน แม่เพื่อน แม่เพื่อน พี่อยู่นี่”
เพื่อนตกใจ
“พี่ลอ”
ลอรีบปรี่เข้าไป แต่กลับถูกพวกเจ้าหน้าที่ตามมาล็อคตัวเอาไว้ และพยายามลากออกไป
“ปล่อยฉันเถอะจ้ะ นั่นแม่เพื่อนคู่หมั้นฉันจริงๆ ฉันไม่ได้ปด ปล่อยฉันเถอะจ้ะ”
เพื่อนยืนอ้ำอึ้งตัดสินใจไม่ถูก ทั้งๆ ที่ลอกำลังถูกลากออกไปต่อหน้าต่อตา มานพเข้ามา
“ปล่อยเขาเถอะ ฉันรู้จักเขา”
“คุณมานพ”
พวกเจ้าหน้าที่เห็นมานพมายืนยันก็ยอมปล่อย ลอรีบเดินเข้ามาหาเพื่อนด้วยความดีใจ
“แม่เพื่อน”
“พี่ลอมาทำอะไรที่นี่”
“พี่แวะมาหาแม่เพื่อนจ้ะ อยากมาดูแม่เพื่อนทำงานแล้วก็จะรอรับกลับด้วยกันเลย”
เพื่อนชะงักอึ้ง มานพได้โอกาส ทำตัวดี ตบบ่าลอตีสนิท
“ดีแล้วล่ะนายลอ แสดงว่าเขารักแล้วก็เป็นห่วงแม่เพื่อนมากเลยนะ แต่ทีหลังถ้าจะแวะมาก็บอกฉันล่วงหน้าก่อน ฉันจะได้บอกเจ้าหน้าที่เขา เพราะที่นี่เขาไม่ให้คนนอกเข้ามา”
“ขอบใจจ้ะคุณมานพ”
“แต่เดี๋ยวฉันขอคุยเรื่องงานกับแม่เพื่อนสักหน่อยนะ พอดียังคุยกันไม่เสร็จ เรียบร้อยแล้วจะพามาคืน”
“ตามสบายเลยจ้ะ ฉันต่างหากที่มากวนคุณมานพ”
มานพยิ้มให้อย่างผู้ดีแล้วหันไปผายมือเชิญเพื่อน เพื่อนอึกอักแต่ก็ยอมเดินตามมานพไป
ลอหน้าซื่อมองทั้งสองคนไม่คิดอะไร ในขณะที่แรมซุ่มดูอยู่ตลอด
เพื่อนเดินตามมานพเข้ามาอีกห้องหนึ่ง มานพยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะหันมาตีหน้าเศร้าเล่นละครตบตา หวังใช้เป็นคะแนนสงสาร
“ผมขอโทษที่ต้องแยกคุณมาจากคู่หมั้น แต่ผมขอใช้เวลาไม่นานเพื่ออธิบาย”
“ฉันไม่อยากฟังหรอกค่ะ ฉันเองก็ไม่มีสิทธิ์โกรธการกระทำของคุณ ในเมื่อฉันกับคุณก็เป็นแค่คนรู้จักกัน”
เพื่อนจะเดินออกไป แต่มานพรีบเข้าไปคว้ามือเธอดึงมาสวมกอดทันที
“ปล่อยฉันนะคะคุณมานพ ปล่อยฉัน”
“ถ้าเราเป็นแค่คนรู้จักกันผิวเผินจริงๆ คำพูดนั้นมันคงไม่ทรมานเราทั้งคู่หรอก จริงมั้ยครับคุณเพื่อน”
เพื่อนชะงักไป
“ได้โปรดฟังผมอธิบายก่อนเถอะครับ แล้วผมจะปล่อยให้คุณกลับไปกับนายลอ หลังจาก นั้นคุณจะตัดสินอนาคตของเรายังไงต่อก็แล้วแต่คุณ”
มานพกอดเพื่อนแน่นขึ้นอีก เพื่อนพยายามขัดขืนแต่ก็เริ่มอ่อนตาม
“ผมยอมรับว่าผมโกหกเรื่องผู้หญิงคนนั้น แต่ผมจำเป็น เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร เธอกำลังเดือดร้อน ต้องการความช่วยเหลือในการว่าคดีความกับสามีของเธอ”
“หมายความว่า”
“ใช่ครับ ผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกความของผม เรื่องที่เธอกับผมต้องปรึกษากันเป็นเรื่องที่ให้คนอื่นรู้ไม่ได้ ผมจึงต้องปิดไม่ให้คุณรู้”
“จริงเหรอคะคุณมานพ”
“ถ้าคุณอยากฟังคำสาบาน ที่ไหนศักดิ์สิทธ์ผมจะรีบเอาชีวิตไปวางเดิมพันทันที แต่แค่คำ สาบานมันยังไม่พอ ผมขอเอาเกียรติยศและศักดิ์ศรีอาชีพผมเดิมพันคำพูดด้วย”
“พอเถอะค่ะคุณมานพ ฉันเชื่อคุณแล้ว คนอย่างคุณคงไม่มีทางแลกเกียรติยศและศักดิ์ ศรีเพื่อหลอกลวงผู้หญิงอย่างฉัน”
“ครับ”
เจ้าหน้าที่พาลอมานั่งรอที่ล็อบบี้ นำชุดชาพร้อมขนมจัดวางในถาดอย่างดีเข้ามา
“ชากับของว่างครับคุณ”
“ลอจ้ะ เรียกฉันว่าไอ้ลอเฉยๆ ก็ได้จ้ะ”
“ไม่ได้ครับคุณลอ มันไม่สุภาพ ถ้าคุณมานพทราบพวกผมอาจจะต้องตกงาน”
“ไม่ต้องห่วงจ้ะ ไอ้ลอไม่ถือสาเอาความหรอก ที่นี่ออกจะหรูหรามีแต่คนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ น้ำหน้าอย่างไอ้ลอมันบุญเบากระเป๋าถอย จะเข้าใจผิดก็ไม่แปลกจ้ะ”
“ขอบคุณครับคุณลอ ถ้าอย่างนั้นเชิญทานน้ำชากับขนมที่คุณมานพสั่งให้จัดเตรียมไว้สำหรับคุณตามสบายครับ”
“ขนมฝรั่งแบบนี้ฉันกินไม่เป็นหรอกจ้ะ แต่ฉันขอเอากลับไปฝากน้องสาวฉันได้มั้ยจ๊ะ”
“ได้สิครับ”
เจ้าหน้าที่ยิ้มให้แล้วเดินออกไป ลอหันมามองน้ำชากับหยิบขนมหน้าตาแปลกๆ ที่มันไม่คุ้นเคยขึ้นมามอง
“คุณมานพดีกับข้ากับแม่เพื่อนขนาดนี้ เอ็งยังใจแคบไปมองเข้าในแง่ร้ายอีกอีแพงเอ๊ย”
เพื่อนอยู่ในอ้อมกอดของมานพ ใบหน้าซุกแนบแผ่นอก
“ฉันขอโทษคุณมานพค่ะ อย่าโกรธฉันเลยนะคะ ทั้งๆ ที่ฉันก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีพร้อมสำหรับคุณ แต่คุณก็ยังกล้าเอาเกียรติมาแลกเพื่อฉัน”
“มากกว่าเกียรติและศักดิ์ศรีผมก็ให้คุณได้ครับ”
มานพจับไหล่เพื่อนแล้วบรรจงหอมหน้าผาก เพื่อนตัวสั่นสะท้านหลงเชื่อ
“เอาล่ะครับ ในเมื่อคุณเข้าใจเหตุผลของผมดีแล้ว ผมก็หมดธุระที่จะรั้งคุณไว้ นายลอเขารอคุณอยู่ คุณกลับไปหาเขาเถอะ”
“แต่ว่า”
“ไม่ต้องห่วงว่าผมจะรู้สึกยังไงหรอกครับ ถึงมันจะหดหู่บ้างแต่ก็ยังชื่นใจที่ยังมีคุณคอยถนอมน้ำใจผมอยู่”
มานพจับมือเพื่อนขึ้นมาหอมหลังมือเบาๆ แล้วผละจะออกไป เพื่อนตัดสินใจพูดขึ้น
“อย่าไปเลยค่ะคุณมานพ ฉันจะไปบอกให้พี่ลอกลับไปเอง”
“คุณเพื่อน”
“อยู่กับฉันเถอะค่ะ อย่าให้ฉันต้องเป็นสาเหตุทำให้คนดีๆ อย่างคุณต้องทนกับความหดหู่ใจ รอฉันนะคะ ฉันจะไปขอให้พี่ลอกลับเอง”
เพื่อนรีบเดินออกไป มานพหัวเราะชอบใจ สนุกสนานกับการเอาชนะ
ลอยังนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ เก็บเอาขนมที่กินคู่กับชาใส่ห่อผ้าเล็กๆ หวังจะเอากลับไปให้แพง เพื่อนเดินเข้ามายืนมองลอห่างๆ เคร่งเครียดครุ่นคิด
“หนักใจเลยสินังเพื่อน คิดจนกบาลจะแยกก็ไม่รู้ว่าต้องไปไล่ไอ้ลอกลับยังไงดีใช่มั้ย”
“พี่แรม”
“โถๆๆ ความรักของแกกับคุณมานพช่างเจออุปสรรคใหญ่หลวงนัก ประตูสวรรค์อยู่ตรงหน้าเแท้ๆ แต่กลับมียักษ์มีมารถือตะบองมาขวาง”
“ยังไม่ไปให้พ้นหน้าฉันอีก อย่ามาสาระแนกับเรื่องของฉัน”
เพื่อนเผลอขึ้นเสียงใส่แรมด้วยความไม่พอใจ ทำให้ลอแว่วเสียงหันมา แรมรีบดึงเพื่อนให้ไปหลบหลังเสา ได้ทัน
“ฉันกำลังช่วยแกอยู่นะ ถ้าคิดจะกำจัดไอ้ลอไปให้พ้นทาง แกคนเดียวทำไม่ได้หรอก”
“นี่แกแอบฟังฉันคุยกับคุณมานพ”
“ฉันเห็นไอ้ลอตั้งแต่มันเข้ามาแล้ว แล้วฉันก็คิดหาทางทำให้แกกับคุณมานพได้มีเวลาสำลักความสุขด้วยกันโดยไม่มีเสี้ยนหนามได้แล้วด้วย”
“ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากแก”
เพื่อนปัดแรมอย่างไม่แยแสแล้วเดินออกมามองลออย่างครุ่นคิดจะหาทางให้ลอไปอย่างไรดี
“แน่ใจเหรอว่าจะไม่ให้ฉันช่วย ถ้าแกคิดหาทางกำจัดไอ้ลอได้ แกคงไม่หน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนี้หรอกมั้ง”
เพื่อนชะงักหันมามองเคืองๆ แรมยิ้มเยาะแล้วหยิบตั๋วละคร 2 ใบขึ้นมาจากกระเป๋าถือ
“ฉันมีตั๋วละครจันทร์เจ้าขาอยู่ 2 ใบ นัดเอาไว้จะไปชมกับคุณวิชิต แต่ตอนนี้คุณวิชิตไม่ว่างไปด้วย สนใจชวนคุณมานพไปชมแทนมั้ยล่ะ”
เพื่อนชะงัก มองตั๋วละครอย่างสนใจ
“หึ รับไปเถอะน่า การไปดูละครถือเป็นการยกระดับว่าแกไม่ใช่แค่อีสาวบ้านนอกคอกนา แต่เป็นสาวพระนครที่เหมาะสมและคู่ควรกับคุณมานพ ส่วนไอ้ยักษ์มารที่ควงตะบองขวางทางรักของแก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันจัดการให้”
เพื่อนรับตั๋วละครที่แรมยัดใส่มือแล้วนิ่งมองอย่างครุ่นคิด
“เรื่องนี้ไม่ต้องขอบใจฉัน ถือว่าเป็นการชดใช้ที่ฉันเคยทำไม่ดีไว้กับแก”
แรมยิ้มอย่างมิตรไมตรีให้เพื่อน
จบตอนที่ 10