ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 2
ในนาทีชีวิตของบูรพา ที่เมฆกำลังหยิบยื่นให้ โดยกะจะจ้วงแทงให้แดดิ้นคามือ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงโครมครามที่ประตูเข้าออก จึงเหลียวมองไป มันเห็นเจ้าหน้าที่ปราบจลาจล และผู้คุมพังประตูเข้ามาพร้อมอาวุธหนักครบมือ ทุกคนอยู่ในท่าเตรียมพร้อมเพื่อสลายเหตุการณ์
เมฆโมโหที่กะเวลาผิด จึงหันไปสั่งพรรคพวก
“ระยำล่ะมึง ถอยก่อนพวกเรา”
สมุนของเมฆถอยกรูดกันออกไปยังประตูอีกทาง
เคี้ยงนั่งพังพาบอยู่ รอจังหวะที่เมฆจะหนี เอื้อมมือไปตะปบขาเอาไว้จนเมฆล้มลง บูรพาที่นั่งหมดแรงอยู่นั้นหันมาทางเคี้ยงที่ตะโกนถามเมฆ
“มึงจะหนีไปไหนไอ้เมฆ”
“ลุงเคี้ยง...อย่า...”
เคี้ยงตวัดแขนเข้ารัดลำคอของเมฆ จนเมฆตาเหลือกดิ้นกระแด่วๆ บูรพาตื่นตะลึงสภาพของเคี้ยงที่เลือดท่วมไม่ต่างจากสัตว์ร้ายบาดเจ็บ
“ลุงอย่า...”
เคี้ยงหันหน้ามามองบูรพา ขณะหักคอเมฆทิ้งจนเลือดทะลักจมูกตาลอยค้าง บูรพามองภาพนั้นอย่างตะลึงตะไล เห็นเคี้ยงถีบศพเมฆไปให้พ้นตัว แล้วก็เอนนั่งพิงกำแพง หอบแฮ่กๆ ทั้งคู่
“นี่ไง ที่ข้าเตือนเอ็ง ไอ้หนุ่ม”
เคี้ยงกัดฟันแข็งใจยืนขึ้น ก่อนจะยื่นมืออันเปื้อนเลือดของตนมาที่บูรพา
“แล้วแต่เอ็งจะเลือก ไปกับข้า หรืออยู่คนเดียวต่อไป”
บูรพาคิดสักพักก็ยอมส่งมือให้ เคี้ยงฉุดบูรพาให้ยืนขึ้นแล้วยิ้มให้ ทั้งคู่มองไปในโรงประชุมเห็นความวุ่นวายถูกเจ้าหน้าที่กำราบลงในที่สุด
วันนี้ตะวันฉายมีสอบสัมภาษณ์ และกำลังนั่งนิ่งอยู่ในสมาธิ รอฟังคำถาม
นายตำรวจคุมสอบหลายนาย นั่งอยู่ที่โต๊ะยาว ในห้องกว้างโล่ง ตะวันฉายนั่งอยู่ที่เก้าอี้กลางห้องคอยตอบคำถามการสอบสัมภาษณ์
สารวัตรเมธาเป็นคนสัมภาษณ์ โดยถามขึ้นว่า
“คุณว่าการปราบมิจฉาชีพเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนการดูแลทุกข์สุขของประชาชนเป็นเรื่องรอง ช่วยขยายความสักนิดได้มั้ยครับ สำหรับคุณการปราบมิจฉาชีพหมายถึงอะไร”
“ใช้อำนาจของกฎหมายเข้าควบคุมและจับกุม ผู้กระทำผิดครับผม” ลูกชายคนโตของจ่าเวศตอบฉะฉาน
“แล้วถ้าเกิดคนร้ายขัดขืนการใช้กฎหมายที่คุณว่าล่ะครับ คุณจะทำยังไง”
ตะวันฉายหยุดคิดนิดหนึ่ง “ใช้กำลังเข้าตอบโต้ครับ”
เมธาข้องใจจึงซักไซ้ “แปลว่าคุณจะยิงคนร้ายใช่มั้ย”
“ถ้าอยู่ในขอบเขตของหน้าที่ครับ”
นายตำรวจคุมสอบมองหน้ากัน ต่างคนต่างคิดในใจว่า “ไอ้นี่จริงจังน่าดู” บางคนเริ่มกรอกคะแนน
สารวัตรเมธา ถามอีก “แล้วคุณรู้รึเปล่าว่า ทุกวันนี้สถิติการจับกุมเป็นยังไงบ้าง” แล้วอธิบายเสริมแดกดันตะวันฉาย “90% คนร้ายจะขัดขืนการจับกุม ถ้าคุณทำอย่างที่คุณว่าจริงก็หมายถึง โดยเฉลี่ยคนร้ายสิบคน จะถูกคุณยิงไป 9 คน ผมไม่รู้ว่าปีๆ นึงคุณจะทำกี่คดี มีคนร้ายทั้งหมดกี่คนแต่กว่าคุณจะเกษียณ คนร้ายตายห่าไปเป็นร้อยแล้ว”
นายตำรวจคุมสอบที่อาวุโสสุด กระแอมขึ้นเบาๆ
“สารวัตรเมธาครับ”
“ขอโทษครับท่าน”
สารวัตรเมธาสำรวมทันควัน แล้วเงียบไป
นายตำรวจอาวุโสหันมายิงคำถามตะวันฉายบ้าง
“เอาล่ะคุณตะวันฉาย ผมขออีกแค่คำถามเดียวเท่านั้น เป็นคำถามง่ายๆ ที่ผู้มาสมัครส่วนใหญ่มักจะตอบเหมือนกันหมด แต่ผมเห็นว่าคุณเป็นคนกล้าคิดกล้าพูด ก็เลยอยากจะถามคำถามนี้กับคุณด้วยตัวเอง”
ตะวันฉายพยักหน้ารอฟังคำถาม
“สมมุติว่าคุณเกิดได้รับมอบหมายให้ไปจับกุมคนร้ายในคดีหนึ่ง ซึ่งแท้ที่จริงคุณรู้จักคนร้ายผู้นี้ดี สนิทกันพอจะรู้ว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ และถูกปรักปรำ ถ้าคนร้ายรายนี้ไม่ยอมมอบตัว และพยายามยิงต่อสู้
คุณจะทำยังไง / ก.ปล่อยเขาไปก่อน กลับมารายงานผู้บังคับบัญชา / ข. ยิงเค้าเดี๋ยวนั้น”
ตะวันฉายรอฟังข้อ ค. กับ ข้อ ง. แต่นายตำรวจอาวุโสกลับหยุดแค่นั้น จนเขาต้องย้อนถาม
“ไม่มีข้ออื่นอีกหรือครับ”
“หมายถึงข้อ ค. ประเภทถูกหมดทุกข้อรึเปล่าครับ” นายตำรวจท่านนั้นส่ายหน้า “ในสถานการณ์จริง เราต้องเลือกคำตอบที่ถูกเพียงข้อเดียวเท่านั้นครับ ตกลงคุณจะเลือกข้อไหนครับ คุณตะวันฉาย”
ตะวันฉายขยับจะตอบ แต่แล้วเขาก็เกิดความรู้สึกลังเลว่าคำถามนี้มันโครตหิน ยากฉิบหาย อะไรหนอ คือความถูกต้องกันแน่
สารวัตรเมธาถามย้ำ “ว่าไงครับคุณตะวันฉาย”
ตะวันฉายนิ่งคิดอีกชั่วขณะหนึ่ง ภาพเหตุการณ์ที่ฉัตรกราดยิงแม่และคนในครอบครัวของตะวันฉายผุดขึ้นมาให้ห้วงคิด ตะวันฉายคิดทวนแล้วตัดสินใจตอบอย่างหนักแน่น
“ผมจะยิงเค้า”
นายตำรวจอาวุโสสนใจ “ขอทราบเหตุผลด้วยครับ”
“ไม่ว่าเขาจะบริสุทธิ์หรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าเขามีอาวุธและยิงคนอื่น ผมถือว่าเขาผิด”
นายตำรวจคุมสอบทุกคนเหลือบมองหน้ากันอีกครั้ง
นายตำรวจอาวุโส ถามย้ำ “แน่ใจนะครับว่าคุณเลือกคำตอบนี้”
“ครับท่าน ผมแน่ใจ”
นายตำรวจคุมสอบทุกคนเริ่มลงคะแนนขั้นสุดท้าย
ตะวันฉายสบตากับสารวัตรเมธาที่กำลังมองมายังตน
จากสีหน้าท่าทางดูเหมือนว่าสารวัตรเมธาจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าตะวันฉายนัก
วันนี้ ตะวันฉายกำลังยืนถ่ายรูปติดบัตรในชุดตำรวจเต็มยศ แสงแฟลชสว่างวาบ ตะวันฉายยืนมองกล้องตรงหน้า ถ่ายรูปอยู่หลายแอ็ค ด้วยแววตาจริงจังคู่เดิม
ถัดมา เหล่านายตำรวจใหม่หลายนาย กำลังกล่าวคำปฏิญาณตน ถึงหน้าที่ตำรวจโดยพร้อมเพรียงกัน ตะวันฉายกล่าวคำปฏิญาณหนักแน่นจริงจังกว่าใคร
อีกวันหนึ่ง ตะวันฉายนั่งเขียนจดหมายถึงบูรพา จากในห้องนอนที่บ้าน
“ตอนนี้พี่ได้เป็นตำรวจแล้วบูรพา แม้จะไม่ง่ายดายอย่างที่ฝัน แต่มันก็ไม่ยากเกินกว่าจะเอาชนะมัน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกำลังใจไม่ใช่เหรอ”
อีกวัน ตะวันฉายฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้มือเปล่า ยูโด ขณะที่บูรพากำลังซ้อมมวย โดยมีจ๊อดเป็นพี่เลี้ยง
“พี่อยากจะบอกว่าแกคือกำลังใจของพี่ เป็นแรงผลักดันที่ทำให้พี่อยากจะเข้มแข็งขึ้น เข้มแข็งให้มากพอที่จะพิชิตไอ้พวกโจรนอกกฎหมายพวกนั้น”
ตะวันฉายโหนบาร์ยกข้อ ขณะที่อีกฟากหากมองเห็นเขาจะรู้ว่าบูรพากำลังวิดพื้นอยู่ในเรือนนอน
“บางทีนี่อาจจะเป็นทางเดียวที่พี่จะชดเชยความผิดของตัวเองได้ในเวลานี้ บูรพา พ่อเป็นห่วงแล้วก็คิดถึงแกมาก พี่ก็เหมือนกันเรากำลังรอวันที่ได้เจอกับแกอีกครั้งบูรพา”
ตะวันฉายเขียนจดหมายเสร็จก็ปิดซอง
จดหมายฉบับนั้นถูกส่งถึงมือบูรพาในคุก แต่เขาโยนมันใส่กล่องโดยไม่สนใจเปิดอ่าน แล้วออกไปซ้อมมวยกับจ๊อด โดยมีพวกแก๊งมังกรแดงยืนดูอย่างชื่นชมพอใจ จ๊อดยอมแพ้
พอซ้อมมวยกับเข่ง บูรพาก็ชนะอีก เคี้ยงเข้ามาช่วยซ้อม บูรพาแพ้
อีกวัน ขณะบูรพาวิดพื้นอยู่ในเรือนจำ มีผู้คุมนำจดหมายมาส่งไว้ในกล่อง ซึ่งบูรพาไม่สนใจเปิดอ่านเช่นเดิม
ด้านตะวันฉายสอบภาคปฏิบัติตามกฎทุกสถานี ทั้งโรยตัวจากหอ ดึงข้อ แข่งยูโด ซิตอัพ สุดท้ายสอบยิงปืน
เช้าวันนี้ หลังจากวันเวลาล่วงเลยมากว่า 6 เดือนแล้ว
บนโถงกลางของสถานีตำรวจแห่งหนึ่ง ตำรวจหลายนายกำลังรุมดูบอร์ดแจ้งข่าว ภาพข่าวบนบอร์ดมีรูปของตะวันฉายที่จะย้ายมาใหม่
หมู่เสือ หรือ หมู่ปกรณ์ ยืนล้วงกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต มีนิตยสารปืนพับเหน็บไว้ที่กระเป๋าหลัง ยืนอ่านข่าว อยู่ใกล้ๆ จ่าบุญส่ง หรือ จ่าส่ง และ หมู่ยักษ์ ตำรวจสายสืบร่วมทีม
ดูได้สักพักเสือก็ส่ายหน้าอย่างดูแคลน ไม่นับถือ หรือให้ราคาหัวหน้าเด็กเส้น
“โธ่เอ๊ย ไอ้พวกสอบเทียบ เรียนจบมาด้านไหนก็ไม่รู้ ประสบการณ์ก็ไม่มี หน้าแบบนี้เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อซะล่ะมั้ง”
บุญส่งพยักหน้า “ได้ยินว่าเป็นลูกเป็นตำรวจเก่าซะด้วย สงสัยพวกเด็กเส้นแหงๆ”
“หล่ออย่างนี้เผลอๆ เป็นแต๋วอีกด้วยนาลุง แบบเดินตูดบิดเข้ารายงานตัว อย่างเงี้ย”
เสือยังทำท่าดีดดิ้นเดินตูดบิดน่าขันประกอบการเม้าท์ บุญส่งกับยักษ์ขำก๊าก เสือหันมาทำท่าตำรวจแต๋วแตกใส่หมู่ยักษ์
“หยุดนะตัวเอง นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ”
ตำรวจคนอื่นๆ ฮากันครืนใหญ่
“เอ๊ะ บอกให้หยุด ไม่หยุดเดี๋ยวแม่ตบนะ นี่แน่ะๆ”
เสือเล่นไม่เลิก ทำท่าตุ๊ดหยิกตุ๊ดตบอยู่อย่างสนุกสนาน ก่อนจะพบว่าจู่ๆ บรรยากาศก็เงียบกริบลง และพลตำรวจก็ต่างพากันแยกไปทำงาน เสือเริ่มเอะใจก่อนจะหันมาเจอสารวัตรเมธายืนอยู่กับตะวันฉาย
“ว่าไงหมู่เสือ”
เสือยืดตัวตรง เก้อๆ “สวัสดีครับสารวัตร”
สารวัตรเมธามองระอา ตัดบทหันมาแนะนำตะวันฉาย
“นี่ผู้หมวดตะวันฉาย เค้าเพิ่งบรรจุเข้ามา ต่อไปนี้จะประจำทีมเดียวกับพวกคุณ”
เสือ กับ บุญส่งมองหน้ากัน ในขณะที่ยักษ์ยังคงเฉยเมยไม่แสดงอาการรู้สึกรู้สาใดๆ
“จ่าส่ง เดี๋ยวคุณกับหมู่เสือพาผู้หมวดเค้าทัวร์ดูสถานที่เสียก่อน ค่อยเริ่มงานนะ” สารวัตรเมธาสั่ง
“ครับ”
บุญส่งกะเสือรับพร้อมกัน
เสือกับบุญส่งเดินนำตะวันฉายตระเวนแนะนำสถานที่ต่างๆ มาตามทางเดิน ทั้งคู่ไม่ค่อยสนใจให้ราคาตะวันฉายนัก เดินชี้มือชี้ไม้แนะนำไปเรื่อยๆ แบบไม่เต็มใจ เสือถือนิตยสารปืนในมือ สองคนสลับกับกันชี้บอกห้องต่างๆ บนโรงพัก
“นั่นส้วม” บุญส่งบอก
เสือบอกต่อว่า “นี่ห้องเก็บข้อมูล”
“นั่นห้องเก็บหลักฐาน”
“คลังแสงก็อยู่ด้านหลังนั่นแหละ ไม่ค่อยมีอาวุธอะไรใหม่หรอก มีแต่ปืนสมัยพระเจ้าเหา”
“โรงอาหารพอมีครับ แต่อาหารอร่อยบ้างไม่อร่อยบ้างกินได้ก็กิน กินไม่ได้ก็ตัวใครตัวมัน” ส่งว่า
เสือรายงานต่อ “ตึกโน้นตรงด้านหลัง มีสนามยิงปืนเล็ก ไม่มีสนามเทนนิสครับ”
“ไม่มีสระว่ายน้ำ ห้องอบซาวน์น่า แล้วก็ไม่มีสันทนาการอะไรทั้งนั้น”
ตะวันฉายมองเหมือนทำใจในความกระด้างกระเดื่องของลูกน้อง เสือกับลุงส่งแนะนำสถานที่เสร็จก็หันมายืนตรงอย่างเสียมิได้
“ทั้งหมดมีแค่นี้ครับผ๊ม” ส่งบอก
เสือปิดจ็อบทัวร์สน.เซ็งๆ ว่า “เสร็จสิ้นการแนะนำสถานที่ ครับ”
ตะวันฉายตั้งสติ เริ่มครุ่นคิดว่าจะญาติดีกับลูกน้องยังไง ก่อนจะเริ่มลองแนะนำตัว
“ผมชื่อตะวันฉาย”
เสือตอบไปแกนๆ “ทราบครับ”
ตะวันฉายมองที่บัตรห้อยคอ ของทั้งสองแล้วทักทาย
“จ่าบุญส่ง หมู่ปกรณ์”
เสือบอกเซ็งๆ “แถวนี้เค้าเรียกผมหมู่เสือครับ”
ตะวันฉายพยักหน้า “นักเรียนนายสิบเหรอ”
“ครับผม”
ตะวันฉายมองทั้งคู่อย่างตัดสินใจ ว่าควรจะเข้าหาลูกน้องในทีมยังไงดี
อ่านต่อหน้า 2
ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 2 (ต่อ)
กลายเป็นว่าคืนนี้ ตะวันฉายชวนลูกทีมมาทำความมักคุ้นกันในวงจิ้มจุ่มที่ร้านใกล้ๆ โรงพัก และผู้หมวดสุดหล่อกำลังลวกผักลวกปลาง่วนอยู่ที่หม้อไฟ พลางเงยหน้ามอง บุญส่ง เสือ และยักษ์ที่ยังยืนหัวโด่อยู่
จ่าส่งกับหมู่เสือมองหน้ากันงงๆ
“อ้าว กินสิ” ตะวันฉายเชื้อชวน
ยักษ์ขยับจะกิน ท่าทางดีใจที่จะได้กินฟรี แต่เสือฉุดคอเสื้อเอาไว้
“ไหนหมวดบอกว่าจะคุยงานกันไงครับ” เสือถามขึ้น
“ฮือ ก็คุยแบบนอกรอบไงล่ะ กินสิ”
สุดท้ายเสือ จ่าส่ง และยักษ์ยอมนั่ง เสือมองเหลียวหลังอย่างระแวดระวัง ขณะที่ส่งมองตะวันฉายอย่างครุ่นคิด ส่วนยักษ์เช็ดช้อนส้อมอย่างขะมักเขม้น
“ดีจัง ไม่ได้กินหม้อไฟตั้งนานแล้ว”
เสือกับส่งหันมามอง ยักษ์เซ็ง สงบอาการอยากกิน
เสือหันไปพยักหน้าให้จ่าส่งพูดอะไรบ้าง จ่าพยักพเยิดให้เสือพูด เสือส่ายหน้าไม่เอาเก๊าไม่พูด จนจ่าส่งรำคาญเลยพูดเอง...เป็นชุด
“หมวด ไหนๆ ก็ออกเวรแล้ว ผมพูดเปิดอกเลยละกันนะ ไอ้เสือมันกัดหมวด เพราะมันไม่ชอบเด็กเส้น ส่วนผม ก็ไม่ชอบเหมือนกัน แล้วหมวดยังจะมาเลี้ยงข้าวพวกผมทำไม”
“ผมก็ไม่ชอบเด็กเส้น พ่อผมก็ไม่ชอบ”
ตะวันฉายว่าพลางตักผักปลาที่ลวกไว้ใส่ถ้วย
“ถ้าชอบ พ่อผมคงไม่ติดยศจ่ามาจนป่านนี้” ตะวันฉายมองจ่าส่ง “ผมรู้ว่าเป็นเรื่องยากที่คนเราจะยอมเชื่อใจคนที่มีที่มาต่างกันกับเรา ซึ่งผมก็ไม่บังคับ เอาเป็นว่าให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ก็แล้วกันว่าผมเด็กเส้นรึเปล่า แต่วันนี้ผมเพิ่งมาเริ่มงานวันแรก เอาเป็นว่าผมขอฝากเนื้อฝากตัวก่อนละกัน
ตะวันฉายเสิร์ฟอาหารที่ลวกเองกับมือให้จ่าส่ง ทำเอาลูกทีมนิ่งเงียบไป
“ทีนี้กินกันได้รึยัง”
เสืออึ้งไป เหลียวมองจ่าส่งเหมือนจะถามว่าเอาไงต่อ จ่าส่งยิ้ม ก่อนจะตัดสินใจกินเป็นคนแรก เสือกับยักษ์เริ่มกินตามๆ กัน
บรรยากาศผ่อนคลายลง วี่แววมิตรภาพกระจายทั่วโต๊ะจิ้มจุ่ม ตะวันฉายสบายใจขึ้นที่ทะลายกำแพงทิ้งไปได้ ก่อนจะทานของตัวเองบ้าง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้นจากถนนฝั่งตรงข้าม
หญิงทึนทึก “ตายแล้วช่วยด้วย คนวิ่งราว ช่วยด้วย วิ่งราว”
ทุกคนที่โต๊ะตะวันฉายลุกพรึบกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งหมดพากันวิ่งข้ามถนนไปอย่างรวดเร็ว ยักษ์ข้ามถนนไม่ทัน หันรีหันขวางชั่วครู่ แล้วเลือกวิ่งขึ้นสะพานลอยที่อยู่ไกลออกไป
หญิงทึนทึกคนนั้นโวยวาย ชี้มือบอกพวกตะวันฉาย ที่วิ่งมาถึง
“มันเอากระเป๋าฉันไปแล้วค่ะ กระเป๋าฉัน”
ตะวันฉายมองตามไป แล้วเห็น โจ หัวขโมยตัวกะเปี๊ยกใส่หมวก วิ่งหอบกระเป๋าเลี้ยวเข้าตรอกไปอย่างรวดเร็ว
“เสือคุณอ้อมไปด้านนี้ จ่าส่งไปด้านข้าง”
ตะวันฉายรีบวิ่งตามไป เสือกับจ่าส่งแยกกันตามคำสั่ง เห็นหญิงทึนทึกมองตามลุ้นๆ ก่อนจะเห็นยักษ์วิ่งกระหืดกระหอบลงมาจากสะพานลอย แล้วเพิ่งวิ่งอ้อมมาถึง หอบแฮ่กๆ หญิงทึนทึกทำท่าจะบอกให้วิ่งตามคนร้ายไป แต่ยักษ์โบกมือว่าอย่าเพิ่งพูด
โจเพิ่งวิ่งเข้ามาอีกตรอกหนึ่ง ตะวันฉายวิ่งตามมาไวๆ ก่อนชะลอฝีเท้าลงเมื่อมองไป และพบว่าโจหายหัวไปเสียแล้ว
ตะวันฉายสืบเท้าเดินไปอย่างระแวดระวัง โจที่หลบอยู่ค่อยๆ โผล่ตัวออกมาจะย่องหนี แต่แล้วตะวันฉายก็หันมาคว้าตัวไว้หมับ หัวขโมยตัวกระเปี๊ยกเดียวดิ้นกระแด่วอย่างกับหนู
“เฮ้ย ปล่อยๆ ปล่อยสิวะ”
โจหันมาทั้งทุบทั้งตบ ตะวันฉายจับแขนบิด ล็อคกดไปฝาผนัง
“เก่งเหลือเกินนะไอ้น้องชาย ตัวเท่าลูกหมา ริอ่านจะวิ่งราว”
“โอ๊ย เจ็บๆ พี่ๆ ไหล่หลุด เจ็บ โอ๊ย ไหล่หลุดแล้ว ฮือๆ ปวด”
ตะวันฉายตกใจนึกว่าโจไหล่หลุดจริงๆ
โจเหลือบตาดู แล้วฉวยโอกาสนั้นสะบัดแขนออก พร้อมกับหันมาชกโครมเข้าเต็มหน้า จากนั้นก็ระดมต่อยราวกับนักมวยจนตะวันฉายหงายหลังล้มไป โจหันไปคว้ากระเป๋าที่ขโมยมาจะวิ่งหนี
ตะวันฉายยกเท้าขัดขาโจไว้ จนล้มหน้าคะมำ ก่อนที่เขาจะโผตัวเข้ากอดปล้ำกะล็อคให้อยู่หมัด
ท่ามกลางการโรมรันพันตูนั้นเอง หมวกของโจก็หลุดออก เผยให้เห็นว่าที่แท้ เธอเป็นเด็กสาวผมยาวประบ่า ทำเอาตะวันฉายที่กำลังง่วนกับการล็อคแขนต้องชะงักกึก
โจมองหน้าตะวันฉายชัดๆ ตะลึงความหล่อพอกัน สุดท้ายถูกตะวันฉายจับพลิกแขนใส่กุญแจมืออย่างรวดเร็ว โจตกใจรีบเปลี่ยนมาใช้ไม้นวม
“ตำรวจนี่หว่า โธ่พี่นี่เอาจริงเหรอ กู เอ๊ย หนู ยังเข้าข่ายผู้เยาว์อยู่นะ เห็นใจกันบ้างสิ”
โจขืนตัวไม่ยอมเดิน ตะวันฉายไม่ฟังเสียงจับลากไปทั้งอย่างนั้น โจเอาตีนเกี่ยวข้าวของให้วุ่นวาย
“พี่ ทำแบบนี้ไม่ดีนะ หนูมีพวกนะ ขืนจับหนูเข้าห้องขัง พี่ต้องโดนดีแน่ๆ เลย ไม่ได้ขู่นะ พูดจริงนะจะบอกให้”
“ผิดถูกฉันว่าตามเรื่อง จะเด็กใครลูกน้องใครฉันไม่สน” ตะวันฉายบอก
โจพยายามพูดอย่างจริงจัง เสียงมีน้ำหนัก
“นี่อย่าทำเป็นทองไม่รู้ร้อนได้มั้ย สถานดัดสันดานนะ ไม่ใช่สวนสนุก อยู่ในนั้นนึกว่ามีความสุขหรือไง” โจลงทุนอ้อนเสียงเข้ม “คุณตำรวจ ชีวิตหนูขึ้นอยู่กับคุณตำรวจแล้วนะ”
คำพูดนั้นคำเดียว ทำเอาตะวันฉายสะดุดหูกึก หันมาเห็นโจเอื้อมมือมาจับแขนขอร้อง
“ชีวิตหนูขึ้นอยู่กับพี่แล้วนะ ถ้าพี่ไม่ช่วยหนูคงต้องไปกินข้าวแดงในคุกแน่ๆ เลย นะพี่นะ ขอกุญแจหนูเถอะ”
ตะวันฉายหวนนึกถึงอดีตขึ้นมาอีก
โดยเป็นเหตุการณ์ภายหลังจากบูรพาฆ่าสมุน 1 แล้วยิงฉัตร และพยายามอ้อนวอนขอกุญแจรถจากตะวันฉายเพื่อหลบหนี
แต่ตะวันฉายยังคงกำกุญแจไว้แน่น ไม่ว่าบูรพาจะยื้อยุดสักเท่าไหร่ บูรพาตัดสินใจอ้อนวอนพยายามระงับโทสะ และความกลัวในใจ
“พี่ ชีวิตผมตอนนี้ขึ้นอยู่กับพี่แล้วนะ ขึ้นอยู่กับพี่จะเลือกอะไรพี่ฉาย ขอกุญแจให้ผม”
ตะวันฉายดึงตัวเองออกมา แล้วหันมามองหน้าโจ
เสียงเสือดังขึ้น “หมวด...หมวด...หมวด”
“ขอกุญแจให้หนูเหอะนะคะคุณพี่ตำรวจ คุณพี่ตำรวจใจดี๊ใจดี”
ตะวันฉายมองมายังโจอย่างลังเลใจ
เสือกับบุญส่ง กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาในตรอกด้วยกัน
“หมวด...หมวด” เสือสอดตามองหาจนเหลือบไปเห็น “อ้าวนั่นไง หมวดอยู่โน่นไง”
เสือกับบุญส่งเดินมาหาตะวันฉายซึ่งเวลานี้ยืนอยู่คนเดียว
“เจอตัวรึเปล่าหมวด”
ตะวันฉายบอก “ไม่เจอ วิ่งไวชะมัด ได้แต่กระเป๋านี่”
“ปล่อยให้วิ่งตามอยู่ตั้งนาน เจอแม่งจับตบให้เข็ด” เสือหงุดหงิด
“งั้นเราเอาไปคืนเจ้าของกันเถอะครับป่านนี้คงรอแย่แล้ว” ส่งบอก
ตะวันฉายพยักหน้ารับ เขารอจนเสือกับจ่าบุญส่งเดินนำไป เหลียวมามองในซอกที่โจหลบซ่อนตัวอยู่จึงขยับตัวตามทั้งคู่ออกไป ทโมนสาวค่อยๆ ยื่นหน้าออกมามองตามตะวันฉายไปอย่างเป็นปลื้ม ด้วยในชีวิต ยังไม่ค่อยได้รับการช่วยเหลือจากใครเท่าไหร่นัก
บูรพานั่งทำงานอะไรสักอย่างหนึ่ง จนผู้คุมเดินมาตาม
“บูรพา มีคนมาขอพบ”
บูรพาหันมาหา สีหน้า และแววตาดูอำมหิตเย็นชาเป็นคนละคนกับตอนเข้ามาใหม่ๆ
ห้องเยี่ยมนักโทษวันนี้เงียบเหงา ไม่มีญาติคนอื่นอีกเลย นอกจากตะวันฉายที่ยืนรอเยี่ยมน้องชายอยู่ลำพัง รอสักครู่หนึ่ง บูรพาเดินเข้ามาหยุดมอง สายตาที่มองผ่านลูกกรง สะดุดเข้ากับบัตรตำรวจของพี่ชาย
ตะวันฉายมองอย่างเข้าใจ ก่อนจะเก็บบัตรเข้ากระเป๋าเสื้อ บูรพาทำท่าจะเดินหนีกลับออกไป
“พี่แค่อยากมาเยี่ยมแก”
บูรพาหยุดเดิน แต่ยังไม่ยอมหันมาหา
“แกเป็นยังไงบ้าง ทำไมไม่ส่งข่าวให้พี่รู้เลย”
บูรพานิ่งเงียบไปรอฟังว่าตะวันฉายจะว่าอย่างไรต่อ
ตะวันฉายทำใจ “บูรพา ถ้าแกยังโกรธพี่อยู่ล่ะก็ พี่ขอโทษ”
บูรพานิ่งเงียบไป ก่อนจะบ่ายหน้าจะเดินหนี ตะวันฉายขยับไล่ตามมาตามลูกกรง
“ทำไมบูรพา เราจะต้องเป็นอย่างนี้อีกนานแค่ไหน จะต้องแตกคอกันไปอย่างนี้จนตายหรือไง”
บูรพาเหลียวขวับมาหา “มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วล่ะผู้หมวด ใช่ว่าตายแล้วจะหายโกรธกันได้ง่ายๆหรอกนะ”
ตะวันฉายพยายามพูดดีด้วย
“แต่พี่เป็นห่วงแกนะ พี่อยากให้แกระวังตัว พี่ไม่อยากให้แกต้องเดินทางผิด”
บูรพาตะโกนเบาๆ “ก็ใครเล่าที่เขี่ยฉันมาไอ้ทางระยำนี่ ถ้าตอนนั้นแกใจกว้างกว่านี้ นึกหรือว่าฉันจะมีวันนี้” เขายิ้มแค่นๆ ให้พี่ชาย “ต่อไปนี้ทางของฉัน ฉันเลือกเอง แกไม่ต้องมาตัดสินใจอะไรแทนฉันอีกแล้ว”
บูรพาจะเดินไป ตะวันฉายนิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“อีกสี่ปี แกก็พ้นโทษแล้ว ถึงตอนนั้น เราสองคนจะเจอกันในฐานะอะไร ญาติห่างๆ งั้นเหรอ หรือว่าแค่คนรู้จัก บูรพา”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เราเป็นคู่อริกัน คุณตำรวจ อีกสี่ปีฉันจะทวงทุกอย่างที่เสียไป จากคุณ”
บูรพาเดินไปหยุดรอผู้คุมเปิดประตูให้ แล้วหันมาทำมือเป็นปืนยิงใส่ตะวันฉาย ด้วยสีหน้าอันเหี้ยมเกรียม ไม่เหลือคราบน้องชายผู้น่ารักอีกแล้ว
ตะวันฉายนิ่งงันไป ลึกๆ เกิดความกลัวประสมความเศร้าสลดขึ้นในใจจนสุดประมาณ
ตะวันฉายยืนนิ่งคิดอยู่ที่ริมหน้าต่างห้องนอน หลังตื่นจากฝันร้าย และนึกทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาตลอด 1 ปี มานี้ได้สักระยะหนึ่ง
“จนถึงทุกวันนี้ผมยังคงถามตัวเองว่า จะมีวิธีไหนอีกที่จะทำให้บูรพาเข้าใจ ว่าผมรู้สึกอย่างไร”
ตะวันฉายนึกถึงภาพน้องชายที่เคยสดใสร่าเริงก่อนจะเกิดเรื่อง
“มันเป็นความรู้สึกที่ทรมานอย่างบอกไม่ถูก ที่ต้องไล่ตามสิ่งที่เรามองไม่เห็น”
สองพี่น้องวิ่งไล่กันในวัยเด็ก บูรพาวิ่งห่างออกไป
“ยิ่งเหมือนกับว่า พยายามเข้าไปใกล้เท่าไหร่ มันก็ยิ่งห่างไกลไปทุกที ทุกที บูรพาก็ยิ่งห่างไกลผมออกไปทุกที”
ตะวันฉายเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างร้าวรานใจ
วันเวลาผ่านไปอีก ภายในระยะเวลา 4 ปี นี้ ชีวิตของสองพี่น้อง ในสองสถานที่ ดุ่มเดินไปในที่ทางอันแปลกต่าง
ตะวันฉายมุ่งมั่นจริงจังอยู่กับอาชีพตำรวจนำคนร้ายมารับโทษอย่างเด็ดขาด หากมีเวลาว่างเขามักจะพาตัวเองมาฝึกยิงปืนในสนามยิงปืนอย่างบ้าคลั่ง
ส่วนบูรพาเดินสู่ดงนักเลงเต็มตัว มีเรื่องในคุก ชกต่อยเตะตีกันจนคู่ต่อสู้สลบ และในที่สุดเขาก็เข้ารวมตัวกับแก๊งมังกรแดง ของเคี้ยง ที่ดูจะพอใจในตัวลูกน้องคนนี้เป็นอย่างมาก
ทางด้านตะวันฉายนำลูกทีม เข้าตรวจค้นและจับกุมคนร้าย เขาหิ้วตัวผู้ต้องหาออกมาโดยไม่แคร์สื่อ นักข่าวถ่ายภาพ ตะวันฉายให้สัมภาษณ์อย่างมาดมั่น ไม่มีสร้างภาพอะไรทั้งสิ้น
ฟากบูรพาด่ำดิ่งสู้เส้นทางสีดำ ยัดเงินให้คนส่งข้าวสารในเรือนจำ เมื่อเปิดข้าวออกมาเห็นมีซองผงสีขาวอยู่ข้างใน
บูรพาแจกจ่ายเงินที่ได้จากเคี้ยงให้กับลูกน้องแก๊งมังกรแดง
วันหนึ่งตะวันฉายมารอเยี่ยมน้อง แต่บูรพาไม่ออกมาพบ เขาฝากจดหมายทิ้งไว้
บูรพารับจดหมายจากผู้คุมมาแล้วโยนทิ้ง พบว่าในกล่องเต็มไปด้วยจดหมายที่ตะวันฉายส่งมาให้ ทุกฉบับไม่มีการเปิดอ่าน!
อีกวันมีนักโทษคู่อริซ้อมจ๊อด บูรพามาช่วยไว้ ซัดอีกฝ่ายจนหมอบกระแต
ในเส้นทางชีวิตอันแตกแยกกันราวเส้นขนานของสองพี่น้องดำเนินไป ในขณะที่จ่าเวศผู้เป็นพ่อนั่งอยู่บนรถเข็นมองรูปถ่ายครอบครัวที่แตกร้าวอย่างโดดเดี่ยว
วันเวลาล่วงผ่านไป 4 ปี แล้ว
ค่ำคืนนี้ ที่ลานจอดรถใต้ตึกแห่งหนึ่ง ซึ่งทั้งเงียบและวังเวง สักพักก็ได้ยินเสียงปืนดังลั่นขึ้น ตามด้วยเสียงคนแผดร้องแว่วตามมา เสียงโหวกเหวกโวยวายนั้น ฟังสำเนียงคล้ายเป็นภาษาจีนฮ่อ
ตะวันฉาย เสือ และบุญส่ง ซึ่งนำกำลังเข้าจับกุมโจรต่างด้าวสองพี่น้องซึ่งจับตัวประกันเป็นสาวออฟฟิศไว้บนรถ กำลังฟังคำแปลจากล่าม
“โจรทั้งคู่บอกว่า อย่าเข้าไป ไม่งั้นจะยิงตัวประกัน”
ในลานจอดรถ ยางรถยนต์ถูกยิงจนแบนแต๊ดแต๋ เห็นมีเลือดไหลเป็นทางจากในรถมาหยดลงพื้น
โจรน้องชายนอนกุมแผลฉกรรจ์ที่อก หายใจระรวยอยู่บนรถ แผดร้องตะโกนบอกอะไรโจรพี่ชายที่บาดเจ็บเช่นกัน แต่กำลังยืนถือปืนก๋าอยู่นอกรถ ในมืออีกข้างจิกคอสาวออฟฟิศคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขนเป็นตัวประกัน รูปการดูเหมือนโจรน้องบอกให้โจรพี่หนีไป แต่โจรพี่ไม่ยอมทิ้งน้อง
โจรน้องชายหายใจกระตุกตาเหลือกค้าง ขาดใจตาย
จากความเสียใจกลายเป็นแค้น
โจรพี่ชาย หันมากราดยิงใส่ตำรวจอย่างบ้าคลั่ง
เสือ บุญส่ง และยักษ์ หลบแว้บๆ เข้าหลังที่กำบังตามเสาๆ ตามหลังรถ
เสือหันมาโบกมือให้นักข่าวจากสถานีโทรทัศน์ช่อง one ให้ถอยไปไกลๆ
“ไอ้บ้าเอ๊ยเข้ามาอีกแล้ว เดี๋ยวก็โดนยิงตาบอดหรอกมึง”
ตัวประกันร้องไห้ โฮๆ ด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด เมื่อความตึงเครียดมาถึงขีดสุด โจรพี่ชายหันไปตะคอกใส่ตัวประกัน อย่างบ้าคลั่ง อาการหนักขึ้นๆๆ
โจรพี่ชายกำลังแหกปากตะโกนด่าตัวประกัน โดยไม่ทันระวัง ตะวันฉายผลักประตูหนีไฟเดินพรวดออกมาทางด้านหลัง และจ่อยิงโจรพี่ชายเข้าอย่างรวดเร็ว และรุนแรง
เสือ บุญส่ง และยักษ์ กรูเข้าไปเคลียร์พื้นที่ ทุกคนเห็นนักข่าวยืนตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า ขณะที่ตากล้องบันทึกภาพทุกอย่างเอาไว้หมด
แน่นอนว่ามันเป็นข่าวดังในจอทีวีดิจิตอลเมืองไทย ในตอนเช้าวันต่อมา และแพร่กระจายไปทุกที่ไม่เว้นแม้แต่บนสถานีตำรวจท้องที่ซึ่งตะวันฉายประจำการอยู่ และหากมองไปที่นอกหน้าต่างเวลานี้ เห็นรถของสารวัตรเมธาแล่นเข้ามาจอดอย่างเร็ว
นักข่าวจอมเผือกสายอาชญากรรมที่มาดักรอทำข่าวอยู่ กรูกันเข้าไปที่รถ รุมสัมภาษณ์สารวัตรเมธาทันทีที่เขาก้าวลงจากรถ และเดินตามติดเป็นพรวนเข้าไปถึงด้านในโรงพัก
นักข่าวหญิง 1 ถามคำถามแรกขึ้นว่า “ท่านคะ ไม่ทราบว่าท่านได้รับรายงานเรื่องการวิสามัญแก๊งโจรจีนฮ่อรึยังคะท่าน”
ไม่ทันได้คำตอบ นักข่าวชาย 1 ก็ซักต่อ “ตกลงเป็นเจตนาวิสามัญอย่างที่ลือรึเปล่าครับ”
สารวัตรเมธาตอบไปเดินไป “ไม่ใช่เจตนาครับ ทางกรมตำรวจของเราไม่เคยมีมาตรการที่จะใช้ความรุนแรงในการปราบปรามผู้กระทำผิด”
นักข่าวหญิง 1 พยายามซัก “ท่านคะแล้ว…”
“ขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยว 10 โมงเช้า พรุ่งนี้จะมีแถลงข่าวกันอีกทีนึงนะครับ...นะครับขอตัว”
สารวัตรเมธาตัดบทอย่างสุภาพ แล้วเดินลิ่วๆ ขึ้นบันไดโรงพักไป กะจะชิ่งหนีนักข่าว แต่แล้ว ก็มีคำถามนักข่าว 1 แทงใจดำจัง ตามหลังขึ้นมาว่า
“ท่านครับ แล้วไม่ทราบว่าสมมุติว่ามีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องนี้ขึ้นมา ท่านคิดว่าใครควรจะเป็นผู้รับผิดชอบครับ”
เมธาชะงักกึกก่อนจะหันมาตอบอย่างไม่ค่อยประทับใจนัก
“ร้อยตำรวจตรี ตะวันฉาย พงศ์พิทักษ์ ขอตัวก่อนนะครับ”
สารวัตรเดินจากไปท่ามกลางเสียงซักเซ็งแซ่ของบรรดานักข่าวจอมเผือก
อ่านต่อหน้า 3
ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 2 (ต่อ)
เมื่อสารวัตรเมธาเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงาน และต้องหยุดจ้องมองอะไรบางอย่างในห้องอย่างเอาเป็นเอาตาย สิ่งที่สารวัตรมองจ้องอยู่ก็คือ ตะวันฉาย เสือ บุญส่ง และยักษ์ ที่ยืนรอรายงานตัวพร้อมหน้า
“เมื่อคืนพวกคุณทำอะไรกัน”
เงียบไม่มีใครกล้าตอบ มีเสือที่กลอกตาครุ่นคิดงงๆ ในใจว่า “ก็จับคนร้ายนี่หว่า ถามทำไมฟระ?”
“คุณต่อรองอะไรกับมันรึยัง ตะวันฉาย” เมธาจ้องหน้าตะวันฉาย
“มันเอาปืนจ่อตัวประกันอยู่นะครับ”
“ผมถามว่าคุณต่อรองกับมันรึยัง”
“ผมเป็นคนต่อรองกับมันครับสารวัตรแต่มันไม่เอาอะไรทั้งนั้น” บุญส่งพยายามช่วย แก้ให้อีกที
สารวัตรเมธาหันมาชี้หน้าคาดโทษ “รอเดี๋ยวจ่าส่ง เดี๋ยวถึงคิวคุณแน่” สารวัตรหันมาหาตะวันฉาย “คุณเดินมาจ่อ ปืนถึงหัวมันแล้ว ทำไมไม่บอกให้มันวางอาวุธ”
“ผมว่ามันไม่วางแน่”
“รู้ได้ยังไง”
“สัญชาตญาณครับ” ตะวันฉายตอบเสียงเข้ม
สารวัตรเมธายัวะ “สัญชาตญาณ บรรลัยน่ะสิ คุณไปบอกนักข่าวข้างนอกได้มั้ย ไปบอกมั้ย แล้วดูพรุ่งนี้หนังสือพิมพ์จะลงข่าวคุณว่ายังไง ตะวันฉาย คุณเป็นตำรวจนะไม่ใช่เพชฌฆาต 50% มันอาจจะไม่วางปืน แต่อีก 50 % มันก็อาจวางก็ได้”
ตะวันฉายต่อให้ “หรือไม่ก็ยิงตัวประกันทิ้ง สารวัตรไม่คิดถึงเรื่องนี้บ้างหรือไงครับ
หมู่เสือ เหลือบสบตากับจ่าบุญส่งและยักษ์ เป็นเชิงบอก ผู้หมวดลองของเสียแล้ว
สารวัตรเมธายิ้มเหี้ยม “แล้วตอนที่คุณระเบิดหัวมันต่อหน้านักข่าวน่ะ คุณคิดเรื่องอะไรอยู่ไม่ทราบ ผู้หมวด อย่าสนว่าผมคิดอะไร เพราะผมไม่เคยสนเหมือนกันว่าคุณจะคิดบ้าบอคอแตกอะไร ผมสนอย่างเดียวก็คือคุณทำถูกตามกฎแล้วรึเปล่า”
ตะวันฉายย้อนเอา “แค่นั้นหรือครับ”
“ใช่แค่นั้น แค่นั้นที่คุณทำไม่ได้ซะที คุณจะเป็นคนคุมกฎได้ยังไงตะวันฉาย ในเมื่อคุณรักษามันไว้เองยังไม่ได้”
ตะวันฉายอึ้ง ผิดถูกยังไงเขาก็นึกเคลือบแคลงอยู่
“กลับไปเขียนรายงานมาให้ผมด่วนที่สุด” เมธาสั่งเสียงเข้ม
หมู่เสืออึดอัดใจ “สารวัตรครับ”
สารวัตรเมธาดักคอ “คุณด้วยเสือ ทุกคนเขียนของตัวเองคนละชุด ผมจะอ่า”
สารวัตรเมธาลุกขึ้น ทั้งหมดลุกขึ้นยืนทำความเคารพอย่างเซ็งๆ
รอจนสารวัตรออกพ้นห้องไป ตะวันฉายถอนใจเฮือก
ในเวลาเดียวกันนั้น รถขนเสบียงแล่นเข้ามาจอดในลานจอดของเรือนจำ นักโทษกรูกันเข้าไปช่วยกันแบกข้าวสารอาหารแห้งลงมาจากรถ นักโทษอีกกลุ่มยืนมองอยู่ บูรพาเดินมากับสมุนของเคี้ยงซึ่งหนีบหนังสือโป๊ย่างกรายเข้ามาสมทบด้วย
คนขับรถหันมามองบูรพาแล้วก็พยักหน้าให้ ก่อนจะหิ้วแตงโมในชะลอมเชือกลงมาจากรถ
บูรพายิ้มแกล้งทำเป็นไม่มอง เห็นสมุนเคี้ยงที่ยืนข้างกายบูรพามองซ้ายมองขวาก่อนจะเดินไป
สมุนของเคี้ยงยืนคุยทักทายกับคนขับรถเหมือนปกติ ก่อนจะส่งหนังสือโป๊ให้คนขับ ส่วนคนขับส่งแตงโมให้แลกกัน
พอขนของเสร็จคนขับกลับขึ้นรถ เปิดหนังสือโป๊ออก พบว่ามีเงินเป็นปึกเล็กๆ ซ่อนอยู่ คนขับยิ้มพอใจสตาร์ต รถแล่นออกไปจากเรือนจำเหมือนไม่มีอะไร
สมุนของเคี้ยงเดินกลับมายืนข้างบูรพา และโบกมือส่งให้คนขับอย่างเป็นกันเอง ขณะที่บูรพายังไม่สนใจเอาแต่ยืนทำเป็นเหม่ออยู่
ตรงมุมลับตา เคี้ยง จ๊อดและพรรคพวก นั่งมองแตงโมผลนั้นราวกับเป็นแตงโมผลเดียวที่เหลืออยู่ในโลก ซึ่งเวลานี้มีผ้าปูรองไว้
สมุนของเคี้ยงถอดแตงโมออกจากชะลอมก่อนจะลองเคาะแตงโม แล้วแงะฝาของแตงโมออก เห็นว่าภายในแตงโมเป็นถุงยางรัดผงขาวไว้เป็นปั้นๆ จนเต็มลูก
จ๊อดทึ่งสุดๆ “อู้หู ทำไมมันเยอะอย่างนี้วะ เยอะจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้วเนี่ย”
เคี้ยงยิ้ม “พูดแค่คำเดียวก็พอ...”
บูรพาเหลือบมองว่าเคี้ยงจะพูดอะไร
เคี้ยงเน้นคำต่อมาว่า “รวย!”
สมุนของเคี้ยงขยับเทห่อมัดยาออกมากองพะเนินลงบนผ้าปูที่รองไว้ ทำเอาสมาชิกทุกคนในแก๊งยิ้มตามๆ กัน
แต่ละคนตบบ่าตบหลังชอบใจเหมือนจะได้รวยกันก็คราวนี้
ผู้คุมกำลังติดใบประกาศ อภัยโทษ อยู่ ที่กระดานข่าวในโรงอาหาร มีบรรดานักโทษห้อมล้อมเข้ามาดู จ๊อดวิ่งเข้ามาถามเพื่อนนักโทษที่ดูอยู่ก่อน
“ประกาศอะไรวะ”
“อภัยโทษ”
จ๊อดหน้าตาตื่น รีบวิ่งไปบอกเคี้ยงและบูรพาที่โต๊ะ ทำเอาคนกลุ่มอื่นพลอยตื่นเต้นไปด้วย
“ลุงเคี้ยง ไอ้บูรพา ลุงเคี้ยง ไอ้บูรพา เค้า...ประกาศอภัยโทษ”
จ๊อดรีบวิ่งนำทุกคนไป บูรพากับเคี้ยงและลูกน้องรีบเดินตาม
จ๊อดชี้บูรพา “ไอ้บูรพา”
บูรพางุนงง จ๊อดบอกต่อ
“เอ็งนั่นแหละ เอ็งได้อภัยโทษโว๊ย”
บูรพายิ้มออกมาอย่างดีใจ
“อภัยโทษ”
เคี้ยงตบบ่า “วะ! ดีใจด้วยโว๊ย ไอ้หนุ่มงานนี้ยิ่งกว่าถูกหวยอีกนะเอ็งเอ๊ย”
จ๊อดดูบอร์ดต่อ
“เฮ้ย ผมด้วยลุง ผมด้วย” จ๊อดดีใจเวอร์ “วู้ ได้ออกไปขุดท่อแล้ว ยิปปี้”
จ๊อดทำท่าเหมือนนักบอลยิงลูกเข้าประตู มันเอาเสื้อคลุมหน้าวิ่งพล่านไปทั่ว จนสะดุดล้ม ทำเอาคนอื่นฮาครืน บูรพาหัวเราะขำจ๊อดอย่างมีความสุข
จ่าเวศรับรู้ข่าวนี้ทางหน้าหนังสือพิมพ์ในมือ จ่าเข็นรถเข้ามาชนโต๊ะในครัวพร้อมละล่ำละลักเรียกตะวันฉายด้วยความดีใจ
“ไอ้ฉายๆ แกมาดูนี่เร็ว”
“อะไรหรือครับ”
จ่าเวศเปิดหนังสือพิมพ์ “แกดูสิ เค้ามีประกาศจะอภัยโทษผู้ต้องขังเป็นร้อยๆ เชียวนะแก”
ตะวันฉายหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน
“เฉพาะนักโทษที่ประพฤติดี อาจได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ”
จ่าเวศตื่นเต้น “ก็ใช่สิ แล้วนี่แกว่าเจ้าบูรพามันจะมีสิทธิ์กับเค้าด้วยมั้ย”
“มีสิพ่อ เจ้าบูรพามันเด็กดีจะตาย”
“ขอให้มันได้รับการอภัยโทษเถอะ จะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันซะที”
จ่าเวศท่าทางมีความสุขเอามากๆ
ตะวันฉายหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่านอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม
ตะวันฉายอุ้มจ่าเวศลงจากรถเข็นไปนอนบนเตียง ห่มผ้าให้พ่อเสร็จแล้ว เขาจะหยิบหนังสือพิมพ์เล่มที่จ่าเวศถือคามือไปเอาจะเก็บ แต่จ่ายื้อไว้ไม่ให้เอาไป
“ฮือ”
“โธ่พ่อ จะนอนถือไว้อย่างนี้ทั้งคืนหรือ”
“เอาเหอะน่า ถือไว้มันอุ่นใจดี”
ตะวันฉายขำพ่อ “เอาๆ ก็ได้ครับ ฝันดีนะพ่อ”
จ่าเวศพยักหน้า ยิ้มให้ลูกชายเป็นเชิงขอบใจ ตะวันฉายปลีกตัวออกมาจากห้อง โดยเปิดไฟดวงเล็กข้างเตียงทิ้งไว้
ตะวันฉายปิดประตู แล้วหยุดถอนใจเบาๆ เริ่มนึกเป็นห่วงว่าบูรพาจะได้รับอภัยโทษหรือไม่ และจะออกมาสู่โลกภายนอกในสภาพเช่นไร สุดท้ายเขาเขียนจดหมายถึงน้องชายในคุก
“พี่คิดว่าป่านนี้แกคงจะได้ยินข่าวเรื่องอภัยโทษมาบ้างแล้ว”
ตอนเย็นอีกวัน บูรพากับจ๊อด กำลังทำความสะอาดบริเวณภายในคุก จ๊อดดีใจเป็นพิเศษ ด้านหลังเห็นนักโทษที่กำลังทำความสะอาดเรือนจำ
“พ่อดูมีความหวังกับข่าวนี้มาก เพราะเชื่อว่ามันจะช่วยให้แกพ้นโทษได้เร็วขึ้น พี่เองก็หวังอย่างเดียวกัน และอยากจะขอร้องแกให้ยอมรับข้อเสนอต่างๆ ของทางเรือนจำ ในการที่จะได้รับลดหย่อนโทษครั้งนี้”
บูรพาได้รับจดหมายฉบับนั้นจากผู้คุม พลิกดูจ่าหน้าซองคุ้นตากับลายมือ และหากเปิดอ่าน เขาจะรู้ว่าพี่ชายเขียนมาว่า
“มันคงจะเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเราทุกคน ที่จะได้พร้อมหน้ากันอีกครั้งได้เร็วขึ้น พี่รอแกอยู่นะบูรพา รอที่จะชดใช้ความผิดพลาดในเรื่องที่ผ่านมาให้กับแก หวังว่าคงได้เจอกันในเร็วนี้ รัก ตะวันฉาย”
ทว่าบูรพาทิ้งจดหมายฉบับลงไปในกล่องข้างที่นอน
ตะวันฉายนั่งอยู่หน้าคอมพ์เปิดเว็บรับสมัครงาน ไม่เท่านั้นบนโต๊ะยังมีหนังสือพิมพ์สมัครงานกางอยู่เต็ม เขานั่งอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ค่ำจนดึกดื่นด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
เช้าวันอันสดใส เห็นรถบรรทุกลอกท่อขนนักโทษแล่นไปตามถนน
บูรพาสวมหมวกแก๊ปนั่งอยู่หน้ารถข้างๆผู้คุม สายตาทอดมองตึกรามบ้านช่องอย่างกระตือรือร้น
บูรพามองภาพเมืองหลวงเต็มไปด้วยความศิวิไลซ์ เปลี่ยนแปลงไปมากมายในระยะเวลา 4 ปีมานี้
จ๊อดซึ่งนั่งอยู่ท้ายรถ ห้อยตัวมาเคาะประตูเรียกบูรพา ชี้ชวนให้ดูไปทางหนึ่ง
“เฮ้ย ดูเมียมึงเดะ”
บูรพามองไปยังป้ายคัตเอาท์ขนาดยักษ์เป็นรูปนางแบบในชุดชั้นในวาบหวาม บูรพายิ้มขำจ๊อด ถอดหมวกออกฟาด
นักโทษท้ายรถพอเห็นรูปปลุกใจก็ตีปีก เป่าปากกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง
นักโทษชั้นดีหลายสิบคนดังกล่าว ออกมาบำเพ็ญตนด้วยการขุดท่อ และกำลังแบ่งงานกันอยู่ตามหลุมต่างๆ โดยมีผู้คุมคอยดูแล
บูรพาซึ่งมีผ้าปิดจมูกกำลังคอยสาวเชือกดึกถังตักขี้โคลนจากจ๊อดที่ยืนแช่อยู่ในท่อ
“หมดยังวะ”
“หมดแล้ว ช่วยดึงข้าหน่อยโว๊ย” เสียงจ๊อดดังขึ้น
บูรพายื่นมือไปฉุดจ๊อดขึ้นมา พอพ้นจากหลุมมาได้จ๊อดถึงกับนั่งแผ่หรา
“โฮ่ย หายใจไม่ออก เหม็นฉิบหาย” จ๊อดป้องตามองไป “เหลืออีกกี่อันเดอร์พาร์วะ”
“หลุมสุดท้ายแล้ว” บูรพาบอก
จ๊อดพยักหน้าเซ็งๆ บูรพาหิ้วถังแล้วฉุดจ๊อดยืนขึ้น ทั้งคู่เดินไป
เวลาผ่านไป บูรพาเดินมาเทโคลนลงถังใหญ่ ก่อนจะคว้าชะแลงมาช่วยจ๊อดเปิดฝาท่อตรง
หน้าสตูดิโอวาดรูปของธิชา
พอยกฝาท่อเสร็จ สายตาบูรพาก็พลันเหลือบมองเห็นบางอย่างจึงชะงักมือ จ๊อดจึงหันไปมองบ้าง
สองคู่หูพบว่าหน้าสตูดิโอของธิชามีรูปวาดจัดโชว์อยู่ที่ตู้กระจกหน้าร้าน รูปใบหนึ่งเป็นทางเดินยาวไกลทอดผ่านแนวสวนไปยังบ้านร่มรื่นน่าอยู่
“ประทับใจอะไรนักหนาวะ วาดเละๆ แบบนี้หลานข้าที่บ้านนอกก็วาดได้”
บูรพาไม่ตอบ หากแต่เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ราวกับถูกดูดดึงเข้าหา เขามองอย่างพินิจพิเคราะห์ โดยไม่ทันสังเกตว่าที่ด้านหลังตอนนั้น ปู ได้ขับรถเข้ามาจอด และลงจากรถมาขนของ
ขณะที่ธิชาลงมาช่วยหิ้วของ เดินมาจะเข้าสตูดิโอ แต่ก็ต้องชะงัก เพราะบูรพากับจ๊อดยืนขวางทางเข้าอยู่
“ฮืม ไม่รู้สิ แต่ข้าว่ารูปนี้สวยกว่ารูปอื่นนะบ้านมัน...มันดูเป็นบ้านว่ะ ได้อารมณ์ดีนะมองแล้วเหมือนกับข้างในมีอาหาร มีที่นอนดีๆแล้วก็มีคนรอเราอยู่”
ธิชาได้ยิน เหลือบมองบูรพาอย่างสนใจ
“แก้ผ้านอนรอรึเปล่าวะ” จ๊อดปากเสีย
บูรพารำคาญจ๊อด หันไปเงื้อตีนฉุนๆ จ๊อดหัวเราะขำ กระโดดหลบไปชนธิชาเข้า
“อุ๊ย”
จ๊อดตกใจ “ทะ..โทษครับเจ๊ เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
ในวินาทีนั้นบูรพากับธิชาต่างสบตาซึ่งกันและกันนิ่งนาน
ปูเห็นเข้าก็หิ้วของเข้ามาโวย
“นี่พวกนายทำอะไรน่ะ หาเรื่องเหรอ ถือดียังไงมาวุ่นวายหน้าบ้านคนอื่นเค้าน่ะ”
“โทษทีครับ พวกผมไม่ได้ตั้งใจ” บูรพาขอโทษ
“ทำหน้าที่อะไรอยู่รีบๆ ทำไปเลยนะ ขืนมาจุ้นจ้านอีกฉันโวยจริงๆ ด้วย บ้าจริงๆ ไปธิชา”
ปูฉุดธิชาเข้าร้านไป ธิชาเหลือบมามองหน้าบูรพาอีกครั้งหนึ่ง
บูรพาเองก็มองธิชาอยู่เช่นกัน ในขณะที่จ๊อดบ่นตามหลัง
“อะไรวะของป้าแกวะ มาถึงก็ซัดเป็นชุด ปากอย่างกับจักรเย็บผ้า” จ๊อดจับสังเกตบูรพา “เอ้ามองเข้าไป เดี๋ยวก็โดนอีกคดีจนได้หรอกเอ็ง แหม ตาหวานตาแฉะเชียวนะพ่อหนุ่ม”
บูรพาแกล้งทำเป็นรำคาญ เลี่ยงหันไปทำงานต่อ ขณะที่จ๊อดยังมองตามขำๆ
อ่านต่อหน้า 4
ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 2 (ต่อ)
ภายในสตูดิโอ สภาพยังตกแต่งไม่ค่อยเรียบร้อยนัก ดูออกว่าเพิ่งเปิดใหม่ ปูกำลังจัดเรียงข้าวของที่ซื้อมาออกจากถุง ขณะที่ธิชานั้นจัดดอกไม้ใส่แจกัน
“แหม ฉันละกลัวไอ้พวกนี้จริงๆ เลย ไม่รู้ปล่อยออกมาทำงานข้างนอกได้ยังไง”
“คงใกล้จะพ้นโทษแล้วละมั้ง”
“ก็ไม่ได้แปลว่าจะพ้นสันดานเดิมนี่แม่คู๊ณ ใครต้องโทษอะไรบ้างก็ไม่รู้ เกิดเป็นพวกบ้ากาม ขุดๆท่ออยู่แล้วหื่นขึ้นมาล่ะ บรื๋อ...นึกแล้วขนลุก”
ธิชาฉุนกึก “นี่เค้าอาจจะไม่ได้เลวอย่างที่เธอคิดก็ได้ คนเราติดคุกก็ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นคนไม่ดีนี่”
ปูนึกขึ้นได้ หันมาหน้าเจื่อน
“ขอโทษ ชั้นลืมไปว่าพ่อเธอก็...”
“ติดคุกแล้วก็ตายในคุก โดยไม่มีความผิดอะไรเลยไง”
ธิชาถอนใจ ก่อนจะมองผ่านกระจกไปดูทางข้างนอกอีกครั้ง เห็นบูรพายังทำงานอยู่ ด้านบูรพารู้สึกไหวตัว เลยเงยหน้าขึ้นมาสบตาเข้ากับธิชาอีกครั้ง
ธิชาดูจะสนใจบูรพาอยู่ไม่น้อย แต่เฉไฉทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดินหนีไป
คืนนั้นถุงร้านสะดวกซื้อวางอยู่บนโต๊ะกลางห้องรับแขก ตะวันฉายท่าทางเหมือนเพิ่งออกไปข้างนอกอีกรอบและไปซื้อนสพ. มาหลายฉบับ และซื้อเสบียงมาตุน กะอยู่ยาวทั้งคืน
ตะวันฉายวางแก้วกาแฟ แล้วเริ่มเปิดหนังสือพิมพ์ออกดูหน้าสมัครงาน อีกมือถือปากกาแล้วเริ่มลงมือวงกลมเลือกงานที่คิดว่าบูรพาน่าจะทำได้
ข้อความรับสมัครงาน มากมาย ผ่านหน้าตะวันฉายไป เห็นตะวันฉายนั่งเพ่งดูอย่างหน้าดำคร่ำเครียด มีบางแห่งระบุเลยว่าผู้สมัครต้องไม่มีประวัติต้องโทษ ซึ่งตะวันฉายจะกากบาททิ้งไป
นาฬิกาล่วงเลยไปจนดึกดื่น ตะวันฉายชักเริ่มล้า เอนตังพิงพนักโซฟา นวดเฟ้นหัวคิ้ว
ตะวันฉายลืมตาขึ้น ระงับความอ่อนล้า ด้วยการขยับตัวเปลี่ยนท่า แล้วเปิดอ่านหนังสือสมัครงานต่อ โดยไม่รู้ว่าจ่าเวศได้แง้มประตูลอบมองมาจากในห้อง พลางยิ้มให้กำลังใจลูกชาย ก่อนจะปิดประตูลง และเข็นรถมาที่รูปบูรพาตรงตู้โชว์ แล้วหยิบมาดู
ตะวันฉายหอบเอกสารในซองมาสมัครงาน เมื่อเปิดซองออกมาจะเห็นว่าเป็นรูปของบูรพา ทำให้คนรับสมัครประหลาดใจ สมัครให้คนอื่น ตะวันฉายต้องนั่งลงอธิบาย
คนรับสมัครงานอีกเจ้าหนึ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจหรือเห็นใจ เห็นว่าตะวันฉายมาสมัครงานอีกที่หนึ่ง แล้วต้องพูดจาอธิบายหว่านล้อมเช่นเดิม
ตะวันฉายถือซองเอกสารเดินมาสั่งอาหารริมทาง และง่วนกับการพลิกดูโพยสำนักงานหางานที่จะไปสมัครให้บูรพา แต่แล้วก็ชะงักเข้า เมื่อมองไปยังถนนฝั่งตรงข้าม เห็นมีนักโทษกำลังลอกท่ออยู่ ตะวันฉายชะเง้อมองอย่างสนใจ
บูรพาซึ่งกำลังช่วยจ๊อดยกเครื่องมือลงจากรถ เหลือบเห็นตะวันฉายยืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามเช่นกัน ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างคาดไม่ถึง
บูรพายืนเซ็ง ขณะตะวันฉาย เดินข้ามถนนมาหาน้องมองหน้าบูรพาอย่างดีใจ
จ๊อดมองสองคนอย่างจับสังเกต
“อดทนหน่อยนะ อีกไม่นานกจะพ้นโทษแล้ว”
บูรพาไม่สนใจ ตะวันฉายเข้าไปหาเรื่องคุยด้วย
“พี่หางานไว้ให้แกแล้วนะ แกไม่ต้องเป็นห่วงว่าออกมาแล้วจะลำบาก เห็นคนจัดหางานเค้าบอกว่าเงินดี แล้วก็โอกาสก้าวหน้าก็มีมากด้วย” พอเห็นบูรพายังนิ่ง เลยปรับน้ำเสียงให้ร่าเริงขึ้น “บังเอิญจริงๆ เลย มาเจอแกแบบนี้ ว่าจะไปถามแกอยู่พอดีเลยว่าแกอยากจะทำงานแบบไหน พิเศษรึเปล่า รึว่า...”
บูรพาทำงานไปเรื่อย ไม่ได้สนใจฟัง
“หรือถ้าแกไม่ชอบทำงาน แกอยากจะเรียนต่อก็ได้นะ บูรพา...”
บูรพาหยุดทำงาน แล้วหันมากระแทกโคลนลงพื้น โคลนกระเด็นโดนหน้าตะวันฉายจังๆ
บูรพาละสายตาจากตะวันฉาย ก่อนจะตัดสินใจหันไปทำงานต่อไปยอมพูดด้วย ตะวันฉายได้แต่มองตาม และทำใจฝืนยิ้มปลอบตัวเอง ว่าน้องคงเหนื่อย อารมณ์ไม่ดี เลยไม่อยากคุยด้วย
บูรพาแบกจอบเดินไปได้หน่อยหนึ่ง เมื่อหันมา พบว่าตะวันฉายหายไปแล้ว จ๊อดเดินมาถาม
“เฮ้ย ตะกี้ใครมาคุยกับเอ็งวะ”
“ไม่รู้ เค้ามาถามทาง”
จอมกะล่อนจ๊อดไม่เชื่อ แต่ก็ไม่กล้าเซ้าซี้
บูรพามองไปทางตะวันฉายอีกเล็กน้อย แล้วลงมือทำงานต่อโดยไม่สนใจใคร
นักโทษที่ไปลอกท่อ กำลังนั่งฟังผู้คุมและหัวหน้าผู้คุมอ่านรายชื่อคนที่จะได้รับการอภัยโทษอยู่ที่โรงอาหาร แต่ละคนหน้านิ่วคิ้วขมวด
บางคนอายุมากแล้ว นั่งมองอย่างลุ้นรอความหวัง เสียงหัวหน้าผู้คุมดังขึ้น
“นช.เทียนทอง แซ่ซึง นช.สมาน บุญทิวา นช.อาภรณ์ เพ็ญกระจ่าง”
บางคนพอได้ยินชื่อตัวเอง ก็หันไปตบไหล่ตบบ่าดีใจกับเพื่อน บูรพานั่งอยู่ในกลุ่มด้วย ออกอาการลุ้นฟังอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
“นช.เทอดพร เชี่ยวชล”
จ๊อดแผดเสียงโดดตัวลอยด้วยความดีใจ
“ได้แล้วโว๊ย ได้แล้ว...ได้อภัยโทษแล้ว”
หัวหน้าผู้คุมเงยหน้าเอ็ด “เดี๋ยวก็ได้อยู่ต่อหรอกมึง”
จ๊อดจ๋อยนั่งลงสงบเสงี่ยมได้ยินเสียงนักโทษหัวเราะเบาๆ หน.ผู้คุมพลิกแฟ้มหน้าต่อไปแล้วเอ่ยขึ้นก่อนจะขานชื่อต่อ
“หน้าสุดท้าย ถ้าใครไม่มีชื่อก็แปลว่าอด ซึ่งก็ต้องเข้าใจไว้ด้วยว่าที่อดน่ะ เพราะพฤติกรรมของตัวเอง ออกไปทำงานแล้วดันมีเรื่องวิวาท หรือไม่ก็เพราะมีประวัติไม่น่าไว้วางใจ หรือ ทำวางตัวเป็นผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ในคุก”
ประโยคสุดท้ายนั้นผู้คุมมองเล็งมายังเคี้ยงกับบูรพา เคี้ยงแสยะปาก ”อีโธ่” ออกมาเซ็งๆ ขณะที่บูรพายังรอลุ้น
หัวหน้าผู้คุมอ่านชื่อที่เหลือ “เอาล่ะ 4 ชื่อสุดท้าย นช.ประดิษฐ์ เพชรพ่วง นช.เดชา ส่องแสงงาม นช.วีระ ประดับเมือง”
หัวหน้าผู้คุมเห็นชื่อสุดทายก็เงียบไป กวาดสายตามองหาไปเรื่อยๆ ผ่านบูรพาไป และถอยกลับมาอีกครั้ง
“นช.บูรพา พงศ์พิทักษ์ เอาล่ะมีแค่นี้”
นักโทษคนที่ได้พากันไชโยโห่ร้อง ขณะที่คนที่ไม่ได้ก็หงอยไป จ๊อดหันมากอดบูรพา
“ไอ้บูรพา มึงได้ออกไปแล้ว ได้กลับบ้านแล้วโว้ย”
บูรพายิ้มดีใจ
“เจ๋งไหมเพื่อน ออกไปข้าจะล่อทุกอย่างเลย ดื่มเหล้าเคล้านารีปิ๊ดปี้ปิ๊ด มีความสุขเสียทีไอ้จ๊อด”
เห็นบูรพาหุบยิ้ม จ๊อดจึงค่อยๆ ลดอาการดีใจลง
“อ้าวทำไมวะ เอ็งไม่ดีใจเหรอไง หรือว่าไม่อยากกลับบ้าน”
จ่าเวศลงทุนรีดเสื้อผ้าชุดใหม่สีขาวสะอาดขึ้นแขวนอย่างชื่นชม ขณะตะวันฉายกลับเข้าบ้านมา
“นี่เจ้าฉายมาดูนี่สิ พ่อเตรียมชุดใหม่ให้เจ้าบูรพา แกว่าสวยมั้ย”
“สวยครับพ่อ เอ ผมว่าตัวนี้เข้ากับตัวนี้กว่านะครับพ่อ” เขาหยิบเสื้อกับกางเกงมาเทียบกัน “อืม...แต่เรียบๆ นิด”
“นี่ผ้าเนื้อดีเชียวนา พ่อบอกขนาดเค้าไป ฝากให้เค้าไปซื้อที่ห้าง เจ้าบูรพามันคงไม่ตัวใหญ่ขึ้นหรอกนะ”
ตะวันฉายยิ้มให้พ่อ “พ่อ วันก่อนผมเพิ่งไปหางานให้เจ้าบูรพามาด้วย วันนี้เค้าโทร.ตอบรับมาแล้ว”
จ่าเวศดีใจ “เรอะ เออดีๆ ดีจริง คราวนี้ล่ะมันต้องขอบใจแกไม่หยุดปากแน่ ทีนี้แกกับมันคงได้ลงรอยกันได้เสียที”
ตะวันฉายยิ้มรับ จ่าเวศหันไปรีดเสื้อต่ออย่างมีความสุข
“เห็นมั้ย แล้วทุกอย่างจะต้องดีขึ้น เชื่อพ่อสิฉาย มันจะต้องดีขึ้น”
อีกฟาก ในเรือนนอนเรือนจำ เคี้ยงกับพวกแก๊งมังกรแดง ได้จัดปาร์ตี้เล็กๆ เลี้ยงฉลองให้บูรพากับจ๊อด ทุกคนต่างร้องรำทำเพลงกันสนุกสนาน โดยเฉพาะจ๊อดเริงร่าน่าถีบ ส่วนบูรพาเดินออกมาจากกลุ่มไปนั่งอยู่คนเดียว คิดไม่ตกว่าจะเอายังไงกับชีวิตในวันพรุ่ง
เคี้ยงพอจะมองออกว่าบูรพารู้สึกอย่างไร จึงเดินออกมาหาส่งน้ำให้
“ตอนที่ข้าติดคุกครั้งแรก วันที่ข้าพ้นโทษ เมียข้าหอบลูกมารอถึงหน้าเรือนจำ ข้าจำได้ว่าดีใจแค่ไหนที่เห็น”
เคี้ยงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปวดร้าว
“น่าเสียดาย พอได้ชีวิตใหม่มาไม่ทันไร ขาก็ทำมันฉิบหายเหมือนเดิม เหมือนกับทุกๆ ครั้งที่ข้าทำเอาไว้ มาคิดเอาตอนนี้ก็สายเสียแล้ว” ตอนท้าย เคี้ยงพูดเหมือนรำพึง ยิ้มเข้มแข็ง แต่ในใจเจ็บลึกๆ
“ลุงเคยมีครอบครัว” บูรพาพูดเป็นเชิงถาม
“เคยมีเหมือนกับเอ็งนั่นแหละ พ่อ แม่ พี่ น้อง และก็ผู้หญิงที่ข้ารัก”
สำหรับบูรพาในยามนั้น คำพูดของเคี้ยงดูงดงามและมีความหมาย
“ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวข้าเอง ข้ามันเลวเกินไป ตอนนี้เมียข้ามันได้ผัวใหม่ไปแล้ว หล่อกว่าข้าอีกนะ เค้าบอกข้าว่า คุกมันทำให้ข้าเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจนเค้ากลัว ข้าไม่เข้าใจว่าเค้ากลัวอะไร ตอนหลังข้าถึงได้รู้ว่าที่นี่ มันเปลี่ยนเราได้จริงๆ”
“แล้วลุงไม่คิดถึงลูกเมียลุงเหรอ”
“ทำไมจะไม่คิดถึง เพราะข้าคิดถึงไง เพราะข้ารักไง ข้าถึงยอมให้เค้าได้มีชีวิตนี้ดีกว่า” เคี้ยงหัวเราะ “เพราะข้าเชื่อว่า ถ้าตัวเราเปียกฝนก็อย่าเสือกลากขี้โคลนกลับบ้าน”
เคี้ยงยกมือลูบหัวบูรพาเขย่าๆ อย่างเอ็นดู พลางกำชับ
“เดี๋ยวตามมานะโว๊ย”
บูรพานิ่งไป เคี้ยงทิ้งรอยยิ้มไว้ให้ ก่อนจะเดินจากไปเงียบๆ
เรือนจำทั้งหลังตกอยู่ในความมืด
บูรพานั่งพิงกำแพงเรือนนอน มองผ่านลูกกรงออกไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงหยิบกล่องจดหมายของพี่ชายออกมาเปิดดู ครุ่นคิดอย่างลังเลว่าจะอ่านหรือไม่อ่าน สุดท้ายเก็บทั้งปึกกลับเข้าที่เดิม
เวลาล่วงเลยไป จากค่ำคืน เป็นดึกดื่น แสงที่สาดลงมาเปลี่ยนทาง แต่ยังเห็นบูรพานั่งอยู่ที่เดิมท่าเดิม
จนกระทั่งรัตติกาลผ่านพ้นไป กลายเป็นอรุณรุ่งแห่งอิสรภาพของบูรพา
วันนี้ จ่าเวศและตะวันฉายมาถึงเรือนจำแต่เช้าตรู่ สองพ่อลูกปะปนอยู่กับบรรดาญาติมิตรและผู้ปกครองคนอื่นๆ ที่ต่างพากันมารอรับนักโทษที่จะพ้นโทษในวันนี้ จ่าเวศทักทายพ่อแม่นักโทษคนอื่นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ตามประสาคนหัวอกเดียวกัน
ด้านใน นักโทษที่พ้นโทษกำลังกล่าวสวดมนต์ตามพระสงฆ์ที่เรือนจำนิมนต์มา พวกเขาสาบานตนเสียงดังว่าจะประพฤติดี บูรพาอยู่ในหมู่นักโทษนั้น สีหน้าครุ่นคิด สายตาของเขาจับจ้ององค์พระพุทธรูป ประหนึ่งว่าจะไม่แน่ใจในคำสาบานของตัวเอง
จ่าเวศค่อนข้างตื่นเต้นกระวนกระวาย ในขณะที่ตะวันฉายยืนมองไปตามทางเดินที่ทอดไปสู่ประตูเรือนจำอย่างใจจรดใจจ่อรอเวลาที่บูรพาจะออกมา
“ตกลงมันจะออกมาทางนี้แน่ใช่มั้ยเจ้าฉาย ทางนี้แน่นะ”
ตะวันฉายพยักหน้ายิ้มๆ จ่าเวศชะเง้อรอต่อไปพึมพำไม่หยุดปาก
“บูรพา ไอ้บูรพา ลูกพ่อ”
เวลาผ่านไปอีกสักระยะแล้ว มีนักโทษเดินทยอยกันเดินออกจากเรือนจำ และต่างก็โผเข้ากอด ไหว้ ทักทาย ญาติมิตรของตน
จ่าเวศยังคงชะเง้อรอบูรพา เช่นเดียวกับตะวันฉายที่ยืนรอน้องอย่างมีความหวัง
บูรพาแต่งตัวเรียบร้อยสะพายกระเป๋าสัมภาระแอบมองดูจ่าเวศอยู่ด้วยความรัก สงสาร และรู้สึกผิด ก่อนจะตัดใจ กระชับกระเป๋าเป้เดินออกไปพร้อมจ๊อด
จ่าเวศและตะวันฉายยังคงชะเง้อหาบูรพา เห็นพ่อแม่คนอื่นๆพาลูกกลับไปแล้ว บางคนยังยิ้มลาจ่าเวศด้วยซ้ำ จ่าเวศรับไหว้แบบไม่มีกระจิตกระใจ
บูรพาเดินมาทางหน้าเรือนจำ จ่าเวศยังรอคอยลูกชายเต็มความหวัง เช่นกันตะวันฉายยังลุ้น
บูรพาเดินก้มหน้าเดินหลีกหลบจ่าเวศกับตะวันฉายออกไปในกลุ่มผู้คนนั้น ในเสี้ยววินาทีซึ่งบูรพาเดินสวนผ่านพ่อและพี่ไป ตะวันฉายรู้สึกผิดสังเกต มองตามหลังบูรพาไปเหมือนมีลางสังหรณ์ แต่ก็ไม่ได้ฉุกคิด
จ๊อดหันมากระซิบถามบูรพา
“เอ็งแน่ใจหรือวะ ว่าจะทำแบบนี้”
บูรพาหันมายิ้มให้จ๊อด แทนคำตอบ มันช่างเป็นรอยยิ้มที่หมองหม่น แห้งแล้งเหลือทน
เท้าของบูรพาสัมผัสถูกพื้นนอกคุกก้าวแรก
ตะวันฉายหันมามองอย่างกระวนกระวายใจ เห็นนักโทษบางตา ไม่มีนักโทษคนอื่นออกมาอีกแล้ว และประตูด้านในปิดลง
ตะวันฉายนึกสังหรณ์ใจ จึงค่อยๆ เอื้อมมือไปจับบ่าพ่อ จ่าเวศสีหน้าสลดมองตะวันฉาย และชูมืออันสั่นเทาห้ามไม่ให้ตะวันฉายพูดอะไรออกมาทั้งสิ้น
“มันต้องมา มันต้องมาหาพ่อ ไอ้บูรพามันต้องมาหาพ่อ”
จ่าเวศมองไปรอบๆ และรอต่อไปอย่างมีความหวัง ในขณะที่ตะวันฉายนั้นตระหนักชัดแล้วว่าน้องชายหลบหน้า ไม่มาพบแน่
นักโทษกับญาติๆ คนอื่น ทยอยกันกลับบ้าน จนเวลานี้เหลือแต่ตะวันฉายกับจ่าเวศที่ยังคงรอบูรพา
อยู่อย่างเดียวดาย ตะวันฉายเสียใจเหลือแสนที่บูรพาไม่ยอมยกโทษให้ตน
ฝูงนกพิราบจิกกินอาหารบริเวณหน้าเรือนจำ แล้วโผบินหนีไป ขณะจ๊อดกับบูรพาสะพายกระเป๋าเดินดุ่มกันมาตามลำพังริมฟุตบาท
ใบหน้าบูรพาเย็นชาสะกดกลั้นอยู่ได้สักพัก ก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นบูดเบี้ยวเหมือนจะร้องไห้ แต่สุดท้ายบูรพาก็พยายามแข็งใจ กลืนกินน้ำตาลงไปในอก
บูรพาและจ๊อดเดินเท้ามุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองใหญ่ ที่นั่น สังเวียนชีวิตที่แท้จริงรอพวกเขาอยู่แล้ว
อ่านต่อตอนที่ 3