ปริศนา ตอนที่ 16
สมรเดินเข้ามาพร้อมกับปริศนา ปริศนาเอาตะกร้าดอกไม้ธูปเทียนมาวางที่หน้า หลุมฝังศพยาย สมรน้ำตารื้นขึ้นมา ปริศนาจึงถอยออกห่างๆ
สมรหยิบ ดอกไม้มาเปลี่ยนในแจกัน ซึ่งแห้งแล้ว ซึ่งคงจัดไว้ตั้งแต่วันบรรจุศพ ดึงก้านธูปเก่าๆออก ใส่กระดาษ ฟางที่เอามาด้วย เพื่อนำไปทิ้งที่อื่น แล้วหยิบดอกไม้จาก ตะกร้า รินน้ำจากขวดใส่แจกัน จัดดอกไม้ใหม่ แล้วจุดธูป
รตี เดินเข้ามาด้านหลังปริศนา มองกริยาของสมร และปริศนา อยู่
ปริศนาไม่ได้ดูด้านหลัง มัวแต่มองดูสมรที่นั่งคุกเข่า ก้มหน้า เหมือนส่งกระแสจิต คุยกับแม่ของเธออยู่
ปริศนารู้สึกว่าน้ำตาของตนรินออกมา เห็นใจแม่ที่มาไม่ทันยาย ก็ยกมือปาดน้ำตา และจะหันหลังเดินออกไป
พอหันมาก็ตกใจมากเพราะมีคนยืนอยู่ข้างหลัง ปริศนาสะดุ้งสุดตัว
"ตกใจมากหรือจ๊ะ"
ปริศนารีบปาดน้ำตา
"คุณรตี มาทำไมคะ"
"นึกแล้วเชียว ว่าต้องใช่เธอ"
"มีอะไรหรือคะ"
"ไม่มีจ้ะ เห็นแล้วก็เดินมาดูว่าใช่เธอไหม เสียใจด้วยนะ ที่ยายตาย ท่านชายเล่าให้ฉันฟังแล้ว ฉันก็ไม่ได้มางานกับท่านเพราะมัวแต่ดูแล จัดวังให้ สงสารท่าน ที่ต้องมาคอยดูแล ต้องเอาเงินมาช่วยเหลือพวกอนาถา"
ปริศนารู้สึกได้ถึงการหวังร้ายในตัวรตี จึงระแวดระวังมากขึ้น ถอยห่างไปนิดนึง
รตีเห็นแล้วรู้สึกได้ว่า ปริศนากลัวเธอ ก็หัวเราะเบาๆอย่างสะใจ
"ท่านให้ด้วยความเมตตา แต่อาจจะมีความเข้าใจผิด คิดว่าท่านเสน่หา มันน่าสังเวชจริงๆ คนพวกนั้น ท่านควรจะปล่อยให้เรื่องการสงเคราะห์คนยากจน ให้ภรรยาท่านดูแลน่าจะดีกว่า"
ปริศนาจ้องรตีเป๋ง
"วันนี้ ฉันก็เลยมาหาหลวงลุง ให้ท่านช่วยดูฤกษ์ยามแต่งงานกับท่านชายให้ แต่ฉันยังไม่บอกเธอหรอกนะ รอให้ท่านบอกกับเธอจะดีกว่า"
ปริศนาผงะ ตกใจซ้ำ 2 ทำไมมันรวดเร็วถึงเพียงนี้
"ชั้นมากับแม่ แต่ให้ท่านไปคอยที่รถก่อน เดี๋ยวท่านจะรอ ไปก่อนนะ ฉันเสียใจ เสียใจด้วยจริงๆ"
ปริศนาเจ็บใจมาก ไม่รู้ว่า รตีมาแสดงความเสียใจที่ยายปริศนาตาย หรือเสียใจแทนเธอเรื่องที่ท่านชายจะแต่งงานกับรตี แม้อยากจะพูดอะไรออกมาบ้าง แต่ไม่แน่ใจ จึงไม่พูดออกมา
รตียิ้มเยาะ แล้วเดินงามๆจากไป
ปริศนา ยังมึน และทำอะไรไม่ถูก สมรไหว้ศพเสร็จ ก็เดินเข้ามาหา
"นั่นคุณรตีไม่ใช่หรือ มาทำอะไรที่นี่ล่ะ"
ปริศนาหันไปมองแม่ เห็นสมรถือตะกร้ามาแสดงว่า ไหว้ยายเสร็จแล้ว
"ช่างเขาเถอะค่ะ เขามาพูดพล่าม เรากลับกันทีรึคะแม่"
สมรพยักหน้า ปริศนาเอาตะกร้ามาถือให้ตามเดิม แล้วเดินออกไปกับแม่
ในห้องนอน ปริศนามองรูปท่านชาย สายตาเต็มไปด้วยคำถาม
"วันนี้ ฉันก็เลยมาหาหลวงลุง ให้ท่านช่วยดูฤกษ์ยาม งานแต่งงานกับท่านชายให้ แต่ฉันยังไม่บอกเธอหรอกนะ รอให้ท่านบอกกับเธอจะดีกว่า"
ปริศนา เจ็บปวดมาก
"Cheer up! ปริศนาคนเก่ง อย่าเป็นคนขี้แยไปอีกคนเลย"
ท่านชายเชยคางปริศนาขึ้น ปริศนายังน้ำตาเต็มตา ท่านชายทั้งรักทั้งสงสาร ใช้นิ้วมือปาดน้ำตาที่อาบแก้มของปริศนาออก และเกือบจะจุมพิตลงไปที่ริมฝีปากของปริศนา
ปริศนาสับสนมากแทบจะคลั่งตาย
"ฉันรักเธอ ปริศนา รักมานานแล้ว"
ปริศนาโมโห และเจ็บช้ำมาก มองรูปอย่างโกรธเคือง แล้วปัดรูปท่านชายจนคว่ำลง ลุกพรวดขึ้น ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่เดินวนไปรอบๆห้อง
วันใหม่ สิรี และนงลักษณ์ กำลังนั่งคุยกันอยู่ในห้องโถง
"ตกลงว่า ยายรตีก็ยังมาตัดเสื้อกับเธอเสมอๆ"
"ยิ่งมากกว่าเดิมเข้าไปอีก แถมคุยโม้ว่าจะต้องจะต้องเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวของท่านชายพจน์"
ปริศนาเดินมาจากชั้นบน ได้ยินประโยคสุดท้ายของนงลักษณ์พอดี ปริศนายืนอึ้งไปพักหนึ่ง โดยสิรีและนงลักษณ์ยังไม่เห็น
"อยากจะเร่งให้สิรี กลับไปทำงานไวๆ งานมากเหลือเกิน"
"วันจันทร์หน้า ก็จะไปแล้วล่ะนงลักษณ์ ไม่ต้องห่วง"
"แหมดีจริงๆ ย้ายมาอยู่บ้านใกล้กันแล้ว เราไปร้านพร้อมกันได้เลยนะ"
"ดีจริง แน่ะ ปริศนามาพอดี วันจันทร์พี่จะไปทำงานแล้ว ปริศนา พี่นงลักษณ์ก็จะมาขึ้นรถด้วยกัน"
"ตอนเช้า จะให้รถที่บ้านไปส่ง และมารับสิรีไปด้วย รบกวนปริศนาเฉพาะตอนเย็น กลับจากโรงเรียนแล้ว แวะไปรับเราด้วย"
ปริศนาทำหน้าเฉย พยักหน้า
"ปริศนา ตานพ บ่นถึงปริศนาน่ะ ไม่เห็นไปนั่งที่หลังบ้านเหมือนเคย"
"ตรวจงานนักเรียนบ้าง แต่ส่วนใหญ่ปริศนาจะขี้เกียจน่ะค่ะ มักจะนอนเขลง อนงค์ไม่อยู่หรือคะ"
"ประวิชพาไปนั่งรถเล่น ไม่มีอะไรหรอก 2 คนนี่ อนงค์หายใจเข้าออกเป็นประวิช ส่วนประวิช ก็หายใจเข้าออกเป็นอนงค์"
"คงจะแต่งงานกันเร็วๆนี้อีกคู่" นงลักษณ์บอก
"เห็นแม่ว่า คงต้องรอให้พ้นทุกข์ก่อน คุณยายก็ว่าจะเก็บไว้ ร้อยวัน แล้วจะเผา"
"ไม่นานหรอก ระหว่างนี้ก็เตรียมตัวไปได้หาผ้าตัดเสื้อ เตรียมเรือนหอ มีอะไรต้องทำอีกมาก ว่าแต่เรามาพูดเรื่องเขา ไม่ได้เกี่ยวสักหน่อยนะ ต้องให้บ่าวสาวเขาจัดการเอง"
สิรีหัวเราะ ปริศนาหน้าตึง
ใต้ต้นไม้หลังบ้าน ปริศนานอนบนเสื่อ มีหมอนกอด กำลังตรวจการบ้านเด็กอยู่เหมือนเคย นพชะโงกหน้า ผ่านรั้วเข้ามา
"เฮ้ ปริศนา อยู่บ้านหรือ"
ปริศนาเงยหน้าขึ้นมอง
"นพ...มาแล้วหรือ เข้ามาสิ"
นพเปิดประตูรั้วเข้ามานั่งข้างๆ
"ว่างหรือ"
"ไม่ว่าง ตรวจงานนักเรียนอยู่นี่ไง"
"ว้า... ว่าจะชวนไปซื้อหนังสือสักหน่อย"
"จะไปซื้อหนังสือมาอ่านน่ะหรือ"
นพพยักหน้า
"ไปก็ได้ ไปสิ ได้ยินพี่นงลักษณ์ว่านพบ่นถึงฉัน"
"แน่นอน ตั้งแต่วันรดน้ำศพคุณยาย เราก็ไม่ได้คุยกัน"
"ก็อยู่บ้านไม่ได้ไปไหน แต่ตรวจงานบนบ้าน ขี้เกียจขนของยังไงล่ะ"
"แล้ววันนี้จะไปได้ไหม ขี้เกียจหรือเปล่า"
"ไปเป็นเพื่อนนพก็ไปได้สิ ไปกันดูหนังสือ อาจจะหายเบื่อได้บ้าง เผื่อได้หนังสือดีๆมาอ่าน"
ปริศนาลุกขึ้น
"ปริศนาไปเปลี่ยนเสื้อ เดี๋ยวนพไปรับที่หน้าบ้าน"
"ตกลง"
สงวนและสมร นั่งอยู่ด้วยกันในห้องโถงบ้านสุทธากุล
"แม่สมร ตั้งใจจะทำยังไงก็ทำเถิด เรื่องเงินทองค่าใช้จ่าย ก็จะมีคนมาช่วยเอง ไม่ได้มากมายอะไร"
"ดิฉันคิดมากเหลือเกินค่ะ คุณพี่ สมรทำน้อยไปก็จะเสียเกียรติคุณแม่ ทำมากไปเขาก็จะว่าไม่เจียม ครั้งนี้คงต้องบอกญาติทางคุณพระให้ครบ"
ปริศนาแต่งตัวอย่างจะออกไปข้างนอก เดินเข้ามาในห้องโถง
"คุณป้าคะ แม่คะ ปริศนาจะขออนุญาตออกไปซื้อหนังสือกับนพนะคะ เย็นๆจึงจะกลับมา"
"ปริศนากลับมาทันกินข้าวเย็นนะ ป้าจะอยู่กินข้าวที่นี่ด้วย"
"ค่ะ"
นพโผล่หน้าเข้ามาจากด้านนอก แต่งตัวเรียบร้อยอย่างจะออกไปข้างนอกเหมือนกัน
นพเห็นสงวน และสมรอยู่ ก็เข้ามายกมือไหว้
"ผมมาชวนปริศนาออกไปบ้างนอกขอรับ ต้องขออนุญาตด้วย"
"ไปเถอะจ้ะ ปริศนาบอกน้าแล้ว กลับมากินข้าวเย็นด้วยกันนะ"
ปริศนาพยักหน้าให้นพ แล้วทั้งคู่เดินออกไปด้วยกัน สงวนมองตาม 2 คนแล้วหันมาพูดกับสมร
"สนิทสนมกันเหลือเกินนะเด็ก 2 คนนี่"
"วัยเดียวกันกระมังคะ"
ท่านชายแต่งลำลองเดินอยู่ในบริเวณทางเดินในตำหนักศิลาขาว สนโผล่ออกมาจากห้องอาหาร
"ของที่ให้เตรียมไว้ เรียบร้อยไหม"
"ตะกร้าของ เอาไว้ในรถเรียบร้อยแล้ว ฝ่าบาท"
ท่านชายพจน์ พยักหน้าแล้วเดินออกไป
ในเวลาต่อมา ท่านชายพจน์จอดรถแล้ว และกำลังจะลงจากรถ สงวนและสมร ยืนรอรับอยู่หน้าบ้าน
ท่านชายเดินลงมาหาพร้อมถือชะลอมเล็กๆ ใส่ผลไม้ จำพวกเงาะ และลางสาดมาด้วย
สงวน และสมร คารวะท่านชาย
ท่านชายพจน์รับไหว้แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน
"อาจารย์สงวนมาที่นี่เสมอทีเดียว"
"ต้องปรึกษาหารือ เรื่องงานต่างๆกับแม่สมรเขาเพคะ" สงวนบอก
"เชิญท่านชายประทับด้านในก่อนเถิด" สมรเชื้อเชิญ
ท่านชายตามสมรและสงวนเข้าไปยังห้องโถง
"อยู่บ้านกันเท่านี้เองหรือ"
"เพคะ สิรี ก็ไปหานงลักษณ์ ประวิชพาอนงค์ไปกินข้าวข้างนอก เห็นว่าอยู่บ้านทำงานมาแล้วทั้งวัน ส่วนปริศนาเพิ่งออกไปซื้อหนังสือกับนพ เมื่อสักครู่นี่เอง"
ท่านชายพจน์พยักหน้า แตะชะลอมผลไม้ที่วางไว้
"ญาติคนในวัง เขาทำสวนผลไม้รสดีมาก เลยขอปันเขาเอามาฝาก คุณนายสมร"
"ท่านชายเมตตาครอบครัวหม่อมฉันมามากแล้ว เพคะ"
"แม้ไม่ใช่ญาติกันแท้ๆ แต่ก็คบหากันเสมือนญาติ มีเรื่องให้ช่วยเหลือก็ดูแลกันได้ ฉันเคยอาศัยไหว้วาน ลูกๆของคุณนาย ให้ช่วยต้อนรับเพื่อนของฉันอยู่เสมอ คุณนายเองกับป้าสร้อย ก็คบหากันมานาน แกดีใจมากที่ได้ออกมาช่วยงาน ถ้าไม่ให้มา แกคงจะโกรธฉันแย่"
"เห็นจะจริงเพคะ คุณสร้อย คุมคนมาจากวังศิลาขาว จัดการทุกอย่างจนเรียบร้อย ทันเวลา หลานๆเองก็ไม่รู้เรื่องพิธี กับงุนงงทั้งเรื่องที่เกิดขึ้น กับอดหลับอดนอนกันตลอดคืน เพคะ" สงวนบอก
"และคงจะเหนื่อยกันอีกจนกว่า จะเผาเสียให้เรียบร้อย และจะได้พักผ่อนกันเสียที หากขาดเหลืออะไร อย่าได้รีรอทีเดียว ฉันยินดีที่จะช่วยเหลือเสมอ"
"มิเป็นไรมิได้เพคะ ที่ฝ่าบาทประทานมาให้นั้น มากมายอยู่เพคะ หม่อมฉันอยากจะถวายคืน วันนั้นไม่ได้คิดว่าจะมีเรื่องฉุกละหุก เอาเงินทิ้งไว้ให้ปริศนาน้อยนิดเดียว"
"เก็บไว้เถิด ถือว่าช่วยงาน ฉันเห็นจะต้องลากลับก่อนละ"
ท่านชายลุกขึ้น สงวน และสมรก็ยืนขึ้น ไหว้ท่านชาย
ปริศนาจอดรถอยู่หน้าบ้านนพ นพยกลังกระดาษใส่หนังสือ ลงไปวางที่หน้าบ้าน
"จะอ่านหมดเมื่อไหร่นะ"
"อ่านไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็หมดเอง ดีกว่าอยากอ่านหนังสือแล้วไม่มีหนังสืออ่าน ขอบใจมากนะ ปริศนา ที่เข้ามาส่งถึงบ้าน"
"มีรถ สะดวกตรงนี้ ที่ไม่ต้องยกของหนักเข้ามาเอง แล้วเจอกันนะ"
นพยกมือโบกลา ปริศนาออกรถไป แล้วนพก็ยกลังหนังสือเข้าบ้าน
สมรกับสงวนนั่งคุยกันเรื่อง ท่านชายพจน์ยังไม่จบ ผลไม้ที่ท่านชายเอามาให้ ก็ถูกจัดวางไว้ในถาดเรียบร้อยแล้ว
"ท่านพระทัยดี มีเมตตาน่ะ ฉันรู้ พี่สงวน แต่รู้สึกไม่ดีเลยที่จะรับเงินมากมายของท่านไว้ นี่มันไม่ใช่ช่วยงานแต่กลายเป็น ทำงานทั้งงานทีเดียว ฉันจะทำอย่างไรดี คนช่วยงานก็ยังมีอีกมาก"
ปริศนาเดินเข้ามาในห้อง ถือห่อหนังสือเล็กๆเข้ามา
"ดีจริง คุณป้ายังอยู่กับแม่"
ปริศนาลงนั่งด้วย และเด็ดผลไม้ในจานกิน
"มาคิดอีกที งานข้างหน้าก็ยังอีกมากนะ สมร เงินนี้ก็ไม่ได้มากมายอะไร
สำหรับท่าน ทั้งงานเผาแล้วยังเรื่องแต่งงานอนงค์อีกล่ะ" สงวนบอก
"เงินอะไรหรือคะแม่"
"เงินที่ท่านชายพจน์ประทานมา สำหรับงานคุณยายยังไงล่ะ ท่านชายประทานมาให้ก่อน แต่แรกที่เราขอยืม เพราะแม่ไม่ได้ทิ้งเงินไว้ให้เลย"
"อ้าว แม่ก็เขียนเช็คเอาไปถวายท่านแล้วไม่ใช่หรือคะ" ปริศนาแนะนำ
"เอาไปวันก่อนที่หาท่านที่วัง แต่ท่านไม่รับคืน"
"วันนี้ท่านก็มาเยี่ยมเรา แล้วยังประทานผลไม้ให้อีก"
ปริศนาที่กินผลไม้เพลินๆ ก็แทบจะคายทิ้ง นึกได้เรื่องรตีที่บอกจะแต่งงานกับท่านชาย
"แล้วเช็คนั่นตอนนี้อยู่ที่ไหนคะ"
"อยู่ที่ป้านี่ไง แม่เขาให้ป้า ถือไว้ ว่ายังไง จะต้องเอาไปคืนท่านให้ได้" สงวนบอก
ปริศนาหยิบเช็คมาดูอย่างถือดี
"ปริศนาจะเอาไปคืนท่านเอง อย่าเอาเงินของท่านมาเลย เดี๋ยวมีคนตามมาทวงคืน อนงค์จะแต่งงาน ถ้าไม่มีเงิน ก็ยังไม่ต้องแต่งสิคะ ไปเอาของเขามาแม้สตางด์แดงเดียว ก็เสียหายกันไปหมด"
ปริศนาเดินกลับออกไปหน้าบ้านทันที
"จะไปไหนน่ะ ปริศนา"
"ไปวังศิลาขาวไงคะ เอาเช็คไปคืนท่านชาย"
สมร และสงวนอึ้งอยู่ ปริศนาเดินออกไป
รถแล่น อย่างเร็วไปตามถนน ปริศนาหน้านิ่ว ทนไม่ได้ มุ่งมั่น อยากจะไปถึงวังให้เร็วที่สุด เช็ควางอยู่เบาะข้างคนขับ เธอเหยียบคันเร่ง รถวิ่งไปบนถนนค่อนข้างเร็ว
รถของปริศนาแล่นช้าๆเข้ามา วังปรากฏอยู่เบื้องหน้า อีกทั้งน้ำพุหน้าตำหนัก พลันนึกถึง
ภาพน้ำพุอันสวยงามวันหมั้นอนงค์ ท่านชายกับปริศนายืนดูน้ำพุด้วยกัน ปริศนาที่กำลังขับรถเข้ามา
ปริศนาดึงแขนท่านชายจะให้ไปรักษายาย และตอนที่ท่านชายจับตัวปริศนาไว้ และขอขับรถให้
ปริศนา เหยียบเบรก ชะลอรถ รถเข้าไปจอดหน้าตำหนักอย่างช้าๆ แต่ยังไม่ได้เปิดประตูลงมา เริ่มไม่มั่นใจการกระทำของตน
สนเดินเข้ามาหา
"คุณปริศนานั่นเอง"
ปริศนามองเช็คที่เบาะรถ หยิบเช็คมาใส่กระเป๋าถือเอาไว้ แล้วลงจากรถมาอย่างช้าๆ
"ท่านชายเด็จอยู่ไหม"
"อยู่ครับผม"
"ท่านกำลังทำอะไรอยู่หรือ"
"อยู่ในห้องทรงอักษรครับผม เชิญคุณ..."
สนผายมือให้และเดินนำไป
ปริศนาเริ่มไม่แน่ใจ แต่ไม่สามารถถอยได้แล้ว จึงถอนหายใจ เดินตามนายสนไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
อ่านต่อหน้า 2
ปริศนา ตอนที่ 16 (ต่อ)
ภายในห้องหนังสือ ท่านชายอ่านหนังสือ ตำราแพทย์อยู่ที่โต๊ะ เสียงเคาะประตูดัง ท่านชายไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากหนังสือเพราะกำลังพยายามทำความเข้าใจอยู่
ท่านชายหยิบดินสอมาวงในหนังสือไว้
"เข้ามา"
เสียงประตูเปิดดังก่อนปริศนาจะเคลื่อนตัวมายืนอยู่ตรงหน้า แต่ท่านชายยังไม่เห็น คิดว่าเป็นสน แต่ความเงียบนานเกินไป ท่านชายก็เงยหน้าขึ้นมอง
ปริศนายืนอยู่ตรงนั้น ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะทำยังไงดี
"ปริศนา"
ท่านชายลุกขึ้นยืนให้ทันที และผายมือไปที่เก้าอี้ตรงข้ามที่ท่านนั่งอยู่แต่เดิม
"เชิญนั่งก่อน มีธุระอะไรหรือ"
ปริศนากอดกระเป๋าไว้ ให้แน่ใจว่ามันอยู่ตรงนั้น และหย่อนตัวลงนั่ง
"มีอะไรให้ฉันช่วยได้อีกไหม ปริศนา"
คำถามของท่านชายจี้จุดปริศนาอย่างจัง
"ให้ท่านช่วยหรือ.... ปริศนาไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรจากท่านอีกหรอกเพคะ ที่ทรงกรุณา เพียงนั้นดีถมเถไปแล้ว พระเดชพระคุณล้นเหลือที่จะจดจำ"
ท่านชายออกจะแปลกใจที่ปริศนาดูห้าวนัก
"ปริศนา.... นี่เป็นอะไรไป ทำไมพูดอย่างนี้"
ปริศนาทวนคำ
"เป็นอะไรไป เงินที่เรายืมไปจัดงานให้คุณยายขอถวายคืน"
ปริศนาหยิบเช็คออกจากกระเป๋ามาวางไว้บนโต๊ะ ท่านชายมองเช็ค แล้วมองหน้าปริศนา
ปริศนา รู้สึกโมโหจี๊ดขึ้นมาอีก ลุกขึ้น เดินจะออกไปข้างนอก
"จะไปแล้วหรือ ตกลงฉันเลยไม่รู้ว่าเธอมาทำไมกันแน่"
ปริศนาหันมา โกรธมาก
"ปริศนาทูลแล้ว ว่าเอาเช็คมาถวายคืน เราไม่ต้องการเงินของท่านชาย แม้แต่สตางค์แดงเดียว"
ท่านชายมองปริศนา กริ้วในความอวดดีของหญิงผู้นี้ ทั้ง 2 ยืนจ้องกันอยู่สักครู่ ปริศนา ก็ยักไหล่ แล้วเปิดประตูเดินออกไป แต่พอจะปิดประตูตามหลังก็พบว่า ท่านชายเดินตามออกมาแล้ว
"ฉันจะไปส่งเธอ"
ท่านชายพจน์ ปิดประตูห้อง
ปริศนาเดินมาที่รถ ท่านชายเดินตามมาส่ง แล้วเปิดประตูรถให้ปริศนา
"วันหลังผ่านมาแล้วก็เอาเงินมาคืนฉันอีกนะปริศนา"
ปริศนามองมือท่านชายที่เปิดรถให้ แล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าท่านชาย เธอรู้ได้ทันทีว่าท่านชายประชดให้ ก็เริ่มใจอ่อน ดังนั้นจากท่าที่กำลังจะขึ้นรถ ปริศนาหันไปหาท่านชาย
"ท่านชายกริ้วปริศนาหรือเพคะ ถ้าอย่างนั้น ปริศนาก็ขอโทษ ปริศนาเสียใจเพคะ"
ท่านชายมองปริศนาอย่างไม่ไว้ใจ
"อะไรอีกล่ะ ฉันงงกับเธอเหลือเกินแล้วนะปริศนา เธอต้องการอะไร"
"ปริศนาต้องการให้ท่านชายเข้าใจว่า เราเอาเงินของท่านชายไม่ได้จริงๆ ท่านชายมีบุญคุณกับเรามากจนตอบแทนไม่หมดแล้ว เงินท่านชาย ปริศนาขอยืมมาเพราะไม่มีเงินติดบ้านจริงๆ แต่เมื่อแม่กลับมาแล้ว จัดการอะไรเสร็จแล้ว เราก็ขอคืนเงินท่านชาย โปรดเห็นใจพวกเราด้วยเถิดเพคะ"
ท่านชายถอยออกห่าง หน้ามึนเหมือนไม่ได้ฟังที่ปริศนาพูด เธอจับแขนท่านชายไว้
"ไม่ใช่ว่าเราจะไม่รู้บุญคุณคน แต่เราไม่อยากจะให้ใครมาลำเลิกได้ทีหลัง ปริศนาเสียใจจริงๆ ขอให้เข้าพระทัย ความจำเป็นของพวกเราด้วยเถอะเพคะ"
"ฉันจะขัดใจอะไรพวกเธอได้ คงต้องทำทุกอย่างตามประสงค์ของเธอ"
"ปริศนาอยากให้ท่านชาย ทรงทราบว่า ปริศนาเสียใจจริงๆ และขอโทษ อย่ากริ้วหม่อมฉันเลยนะเพคะ"
"ไม่จำเป็น"
ท่านชายมองมาตรงๆ อย่างมึนๆ
ปริศนา ทำท่าอยากจะพูดแต่พูดไม่ออก จึงได้แต่หันกลับมาขึ้นรถ สตาร์ทเครื่อง แล่นออกไป
ปริศนาขับรถกลับจากวังศิลาขาว รถวิ่งอย่างช้าไม่เหมือนกับขาไป เธอรู้สึกผิด น้ำตาคลอตา และไหลลงอาบแก้มในที่สุด
วันเดียวกัน ที่ระเบียงหลังห้องนอน รตีกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ กำลังคิดซีเรียส คิดไปไกล ข้างตัวมีผลไม้วางอยู่ และมีแก้วน้ำ แต่รตีไม่ได้สนใจเลย ชื่นเดินเข้ามาหา
"รตี วันนี้ไม่ไปไหนหรือลูก"
"ยังค่ะ แม่ รตียังคิดไม่ตก"
"คิดเรื่องอะไร เรื่องท่านชายหรือ"
รตีลุกขึ้นนั่งตัวตรง ทำท่าเป็นงานเป็นการ
"เวลานี้หลายคน คงได้ยินแล้วว่า ลูกจะแต่งงานกับท่านชาย"
"ท่านขอแต่งงานกับลูกแล้วหรือ"
รตีหันมาค้อนแม่
"ลูกว่า ที่ท่านถามครั้งก่อน เป็นการท้าทาย ซึ่งลูกเห็นว่าจะเฉยอยู่คงไม่ได้ ลูกคงต้องตอบให้ทุกคนรู้ว่า ท่านชายจะแต่งงานกับลูก"
ชื่นกังวลมาก
"อ้าว... แล้วถ้าท่านชายไม่ขอลูกแต่งงาน ลูกมิต้องอับอายเขาไปทั่วหรอกหรือ"
รตียิ้มอย่างมีนัย เดินเข้าไปหาชื่น
"ค่ะ กุลสตรีอย่างรตี ไม่ใช่คนที่จะให้ใครมายั่วแหย่ได้ง่ายๆ เรื่องแต่งงาน หากพูดพล่อย และไม่ทำให้เป็นเรื่องจริง รตีก็จะเสียหาย แม่คะ ท่านชายเป็นสุภาพบุรุษ ซ้ำรตี ยังมีศักดิ์เป็นน้องของท่าน รตีก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่า ถึงวันนั้นท่านจะทำอย่างไร"
รตีระเบิดหัวเราะออกมา ชื่นงงไปพักนึง คิดตามและพอจะเข้าใจ
"ถ้าไม่แต่งกันจริง คงเสียหายกันปี้ป่น"
รตีกับแม่คิดว่าเรื่องปล่อยข่าวลือ คงได้ผล
"ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง แม่คงต้องพูดกับท่านชายล่ะ ปล่อยให้เป็นเรื่องเสียหายคงไม่ได้"
รตียิ้มสมใจ
ปริศนาขับรถเข้ามาจอด ควักผ้าเช็ดหน้าออกมาซับตาและเช็ดมือ ปริศนาทำหน้าให้ไม่มีอะไร แล้วเปิดประตูรถลงออกไป เดินตรงไปขึ้นเรือน
บริเวณโถง สมร สงวน อนงค์ สิรี นั่งคุยกันอยู่
อนงค์บอก
"ประวิช เขาก็ว่าจะทูลท่านชาย เรื่องอื่นไม่เท่าไหร่ แต่หากแต่งงานแล้วจะอยู่ที่ไหน สำคัญที่สุด"
"จริง จะไปอยู่บนตึกรึ หากท่านชายเกิดแต่งงานกับ รตี เร็วๆนี้จริง" สมรว่า
"ตายละ แม่ขา ไม่อยากจะคิด เพราะประวิชเองก็อยู่บ้านรตีไม่ได้ ต้องมาอยู่กับท่านชาย หากรตีตามมาอีก... โอ...นึกไม่ออกเลยว่าจะเป็นยังไง" สิรีว่า
ปริศนาเดินเข้ามาพอดี ได้ยินเรื่องท่านชายแต่งงานกับรตี ก็ทำหน้าเฉยผิดปกตินั่งลง
"ว่ายังไง ปริศนา เอาเช็คไปคืนสำเร็จไหม" สงวนถาม
"ค่ะ"
"ท่านชายรับคืนไปแล้วหรือ" สมรถาม
"ปริศนาเอาวางไว้บนโต๊ะ แล้วปริศนาก็กลับมา"
"ท่านชายไม่ว่าอะไรหรอกหรือ" สงวนถาม
"ก็ดูเหมือนท่านจะโกรธมาก"
สงวนและสมรมองหน้ากัน อนงค์กังวล สิรีสนใจฟัง
"แล้วไง" สิรีถาม
"ก็สงสัยว่าปริศนาจะแย่แล้วน่ะสิ"
ปริศนาถอนใจ อนงค์หยิบจดหมายจากต่างประเทศมาให้ปริศนา
"จดหมายจากคุณอา"
ปริศนาหน้าตาดีใจอย่างเห็นได้ชัด คว้าจดหมายคุณอา แล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบนทันที
สมรบอกกับสงวน
"ได้จดหมายอา ต้องรีบวิ่งไปอ่านทุกทีค่ะ"
ปริศนาเข้ามาในห้อง แล้วเดินมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ เอามีดตัดซองจดหมาย แล้วคลี่จดหมายอ่าน
"หลานรักของอา จดหมาย 5 ฉบับท้ายๆนี้ มีแต่เรื่องท่านพจน์เต็มไปหมด ทั้งๆที่พริสไม่ได้บอก และอาไม่กล้าบอกตัวเอง ว่าพริสรักท่านองค์นี้ แต่พริสก็รักท่านไม่ใช่หรือ"
ปริศนาก็มึนกับตัวเอง ตกใจในความจริงที่ต้องยอมรับ ยกมือปิดหน้า
"Face the fact, my dear ส่วนท่านพจน์ ที่พริสเล่ามา นั้นอาเห็นว่ารักพริส อย่างแท้จริง เมื่อต่างคนต่างรักกันแล้วจะทรมานกันทำไมให้หมดความสุข"
ปริศนาเอารูปท่านชายบนโต๊ะตั้งขึ้นดู แล้วก็หลับตาลงอย่างเจ็บปวด
"โธ่.... แต่ท่านชาย ก็กำลังจะแต่งงานกับรตีต่างหาก คนเข้ารู้กันทั่วเมือง ท่านจะรักปริศนาได้อย่างไร ไม่จริงเลย"
ปริศนาเอามือกุมหัว
ในเรือนนงลักษณ์ ที่เคยเป็นบ้านของอุบล ถูกตกแต่งใหม่ ดูดี อานนท์เดินออกมาตรงบันไดหน้าบ้าน ดูเด่นเป็นสง่า
"ฮาโหล... ยินดีที่ได้รู้จัก ทุกคน"
นงลักษณ์ ก้าวเข้ามาด้านหน้าอานนท์
"ขอแนะนำให้รู้จัก อานนท์ พี่ชายคนโตของเราค่ะ"
ปริศนาและสิรียกมือไหว้
"นี่นะหรือเพื่อนบ้านเรา"
นพเดินมาใกล้ๆสิรี
"พี่สิรี กับปริศนา เพื่อนของนพ"
อานนท์ยื่นมือออกมา ปริศนาเชคแฮนด์ด้วย อานนท์ยื่นมือมาให้สิรี สิรีเขินๆกระดากอาย เชคแฮนด์นิดเดียวก็ดึงมือกลับ
นงลักษณ์บอก
"สิรี ทำงานกับน้องที่ร้าน ฝีมือตัดเสื้อเยี่ยมยอด ส่วนปริศนาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ที่โรงเรียนสิกขาลัย"
"ผู้หญิงไทย เดี๋ยวนี้ เก่งกันทุกคน"
"เก่งมาตั้งนานแล้วล่ะ คุณอานนท์ งานบ้าน ก็ทำงานนอกบ้านก็ทำ"
อานนท์ยกนิ้วโป้งให้
"จริงๆ เย็นนี้ใครจะไปสโมสรกันบ้าง"
นงลักษณ์บอก
"เล่นกีฬา ตีเทนนิส ว่ายน้ำ ต้องปริศนาเลย เก่งทุกอย่าง ขี่ม้าก็ได้ ปริศนาโตเมืองนอกอยู่กับคุณอาเป็นทูตไง เลยเรียนไปหมดทุกอย่าง"
"เป็นทูต ก็อยู่ที่ Washington DC ใช่ไหม"
"เคยพบกันบ้างไหม" นพถาม
"จะพบกันได้อย่างไร พี่อยู่ LA นี่ผมเอาแผ่นเสียงมาเยอะเลย ขึ้นมาฟังเพลงกันเถอะ"
นงลักษณ์ ดึงสิรี ขึ้นไป ปริศนาเดินไปหานพดึงนพมาคุยกันที่เก้าอี้ริมสวน
"นพ หายไปไหนนาน หมู่นี้ไม่เจอเลย"
"เรามัวแต่ดูหนังสืออยู่ กำลังจะสอบ scholarship"
"scholarship ไปไหนหรือ"
"ไปอังกฤษ อยากได้ทุนไปจริงๆ อยากเรียนต่อเมืองนอก"
"แล้วทำไมต้องสอบชิงทุน นพไม่ไปเมืองนอกเหมือนอานนท์"
"คุณนนท์เขาไปตั้งแต่เด็ก เรียนไปทำงานไป แต่ผมอยากเรียนอย่างเดียว เรียนให้จบเร็วๆ แล้วกลับมาทำงาน"
"นพจะเรียนสถาปัตย์หรือ"
"ผมสมัครโรงเรียนได้แล้ว ดีใจมากที่เขารับ ตอนนี้ ติดอยู่อย่างเดียวคือหาเงินไปเรียน"
"แล้ว scholarship นี่ของใครหรือ"
"ของมหาวิทยาลัย เพิ่งประกาศให้ทุน ผมว่าจะลองสอบดู"
"ปริศนาเอาใจช่วยให้นพสอบได้"
"ขอบคุณมาก"
ในห้องนั่งเล่นบ้านนงลักษณ์ สิรีนั่งเลือกแผ่นเสียงอยู่ นงลักษณ์ถือถาดเครื่องดื่มออกมา อานนท์ปรี่เข้าไปช่วย เห็นปริศนาเดินคุยมากับนพ
อานนท์ลดเสียงถาม
"คุณพริส นี่เค้าเป็นคู่รักของตานพหรือ"
"คงไม่ใช่ แต่เขาสนิทสนมกันมาก ชอบเรื่องศิลปะเหมือนกัน"
"เฮ้อ... ค่อยยังชั่ว"
"ทำไมล่ะ"
อานนท์ยิ้มมีนัย
"ยายปริศนานี่ไม่รู้มีเสน่ห์ดียังไง ใครเห็นใครรัก" แล้วนงลักษณ์ก็พยักหน้าไปทางสิรี "แต่เพื่อนน้องสวยกว่านะ"
"โอ้ว ยัง...ยังครับ น้องพี่ ให้เวลาพี่ได้หายใจบ้าง สัญญากับแม่ว่าจะไม่เอาเมียแหม่มกลับมา ก็รักษาสัญญาแล้ว ขอดูก่อน ว่าใครจะเหมาะเป็นเจ้าสาวของผม แล้วผมจะประกาศให้ทุกคนรู้ทีเดียว แต่ขอเวลา อย่ารีบร้อน"
นงลักษณ์ค้อน ส่งถาดให้อานนท์ ถือเอาแก้วน้ำไปให้สิรี
พอดีกับที่นพและปริศนาเดินเข้ามา อานนท์ก็เสริฟ์ให้ 2 คนด้วย แล้วหยิบแก้วสุดท้ายของตน กับให้นงลักษณ์ ก่อนควงถาดไปเก็บหลังบ้าน
ในห้องโถงบ้านราชพรรลภ วันเดียวกัน รตีเดินเข้ามาหน้าตาไม่สบอารมณ์นัก ชื่นกำลังปอกมะม่วงลูกเล็กเพื่อทำผลไม้ดอง เงยหน้าขึ้นมองรตี
"วันนี้รตี ไม่ออกไปไหนหรือลูก"
"แม่คะ ลูกจะไปวังศิลาขาวดีไหมคะ"
"สวนที่ไปจัดวันก่อน ก็จัดเสร็จแล้วไม่ใช่หรือ ก็จัดเสร็จแล้ว แล้วจะไปทำไมอีก"
"แล้วจะให้ลูกทำยังไงคะแม่ ท่านชายหายไปอีกแล้ว เหมือนท่านไม่สนพระทัยเรื่องราวที่เกี่ยวกับลูกเลย"
"ประเดี๋ยวแม่จะโทรศัพท์หาท่าน ทูลเชิญให้เสด็จมาที่นี่ ถามเรื่องประวิชแต่งงานและ ลูกอาจจะขอให้ท่านพาไปกินข้าวที่สโมสร เราจำเป็นที่จะต้องไปกับท่านในหมู่สมาคม"
รตียิ้มออกมาทันที
"ดีจังค่ะ งั้นรตีไปเลือกชุดก่อนนะคะ"
ชื่นยิ้มพยักหน้า
เวลาต่อมา รตีเดินเคียงคู่มากับท่านชายพจน์ตามทางเดิน ท่าทางรตีมีความสุขมากๆ
แต่ท่านชายพจน์จะหน้าขรึม
ที่สนามเทนนิส ปริศนา อานนท์อยู่ด้วยกัน และมีชายอีก 2 คนที่เป็นเพื่อนอานนท์จะตีเทนนิสด้วยกัน
ชาย 1 บอก
"คุณรตีนี่แกสวยเหลือเกิน"
ชาย 2 บอก
"ข่าวว่าจะแต่งงานกับท่านชายพจน์ คงจะเป็นความจริง"
ปริศนามองออกมาจากสนามเทนนิส เห็นท่านชายพจน์ยืนอยู่คู่กับรตี กำลังทักทายกับฝรั่งคนหนึ่ง ที่แต่งชุดเทนนิส แล้วกำลังจะเดินไปเล่นเทนนิส
ปริศนารู้สึกเจ็บปวดมาก เมินหน้าหนี กัดปากสักครู่ ก็ทำท่าทางแจ่มใส ปัดความคิดนั้นทิ้ง
"เริ่มเล่นกันหรือยังคะ คุณอานนท์"
"มาอย่ามัวคุย อั๊วคู่กับปริศนาเอง"
อานนท์เดินเข้ามาโอบไหล่ปริศนา แล้วเดินไปสู่คอร์ทด้วยกัน เพื่อนของอานนท์จึงพากันเดินตาม
ท่านชายพจน์ หันไปโบกมือกับเพื่อน ซึ่งเดินไปสู่คอร์ทใกล้กับปริศนา แล้วเห็นอานนท์ โอบบ่าปริศนาเดินเข้าสู่คอร์ท
ท่านชาย จิ๊ดขึ้นมาแว๊บนึง
รตีมองตาม ทำท่าจะแซว แต่ท่านชายยื่นแขนให้รตีเกาะ รตีจึงควงแขนท่านชาย และเดินไปสู่อาคารห้องอาหารด้วยกัน
ปริศนามองตามท่านชายและรตี ลูกเทนนิสมาถึงตัวปริศนารับไม่ได้ เธอรู้ตัวเองว่าไม่มีสมาธิ
รตีและท่านชายพจน์นั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะในสโมสร มีเครื่องดื่มวางอยู่ข้างหน้า รตียิ้ม
"ยายปริศนานี่เขาเสน่ห์ดีนะเพคะ มีหนุ่มควงมาด้วยไม่ซ้ำหน้า"
"ใครหรือ?"
"หม่อมฉันก็ไม่เคยเห็นหน้า ไม่รู้จักเหมือนกัน ... ตกลงว่าท่านชายจะให้ประวิชมาอยู่บ้านที่ฝรั่งเขาเช่าอยู่จริงๆหรือเพคะ"
"เขาแต่งงานแล้ว ก็น่าจะอยู่ได้เป็นสัดส่วน ที่สำคัญไม่ไกลกันนัก อยู่ในซอยเดียวกัน ก็ยังไปมาหาสู่กันสะดวกเหมือนเดิม อนงค์เขาเป็นแม่บ้านแม่เรือน น่าจะอยู่บ้านที่เป็นของตัวเอง"
"โชคดีของประวิชจริงๆ ที่ฝ่าบาททรงเมตตา"
"เมื่อนับเขาเป็นน้อง ก็ต้องปฏิบัติต่อเขาได้เหมือนน้องจริงๆ"
"แล้วอย่างรตีนี่ ท่านชาย จะเมตตาอย่างไรบ้างเพคะ"
"รตี ก็เป็นน้องสาวของฉัน แน่นอนอยู่แล้ว"
รตีเจื่อน แต่ทำเป็นยิ้ม
อ่านต่อหน้า 3
ปริศนา ตอนที่ 16 (ต่อ)
กลางคืนต่อเนื่องมา ปริศนาขับรถเข้ามาส่งอานนท์ นพเดินลงมาจากบ้าน
"กลับมากันแล้วหรือครับ เป็นยังไง แพ้หรือชนะ" นพถาม
"แพ้สิ แต่ก็คู่กับปริศนา ผู้หญิงจะไปสู้กับผู้ชายได้อย่างไร"
ปริศนาทำหน้าเซ็ง เพราะรู้อยู่ว่าตัวเองไม่มีกำลังใจจะเล่น เพราะเห็นท่านชายไปกับรตี
นพ
"ปริศนาลงมาก่อนไหม กินข้าวด้วยกัน"
ปริศนาส่ายหน้า
"ปริศนา อยากอาบน้ำก่อน ขอบคุณนะ นพ"
"ผมรบกวนปริศนาก่อนนะ ประเดี๋ยวผมจะซื้อรถใหม่ พาปริศนาไปเองจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก ขอบคุณมาก"
ปริศนากลับรถออกไป หน้าตาเจ็บปวด อานนท์เดินขึ้นไปบนบ้าน
"วันนี้เจอ prince อะไรคนหนึ่ง คนฮือฮากันทั้ง sport club"
"prince?"
"คู่ควง เขา sexy น่าดู ชื่อรตี"
"อ๋อ... ท่านชายพจน์ล่ะสิ ท่านสนิทกับบ้านคุณปริศนาเหมือนกันนะครับ เสด็จมาบ่อย ก็คุณประวิช คู่หมั้นของคุณอนงค์ก็เป็นน้องชายคนละแม่ของคุณรตี"
"โอว... คนไทยทำไมเป็นญาติกันซับซ้อนอย่างนี้"
อานนท์ส่ายหัวอย่างงงๆ
ปริศนาเดินเข้ามาในห้อง และนั่งลงตรงเก้าอี้โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบจดหมายของอาออกมาอ่านอีกครั้ง
"พริสอย่าลืมว่า ชีวิตของคนเรานั้นอยู่ที่โชคชะตา โชคชะตากำหนดไว้อย่างไร ชีวิตของพริสก็จะเป็นไปตามเสมอ ถ้าโชคชะตากำหนดไว้ว่า พริสจะไม่ได้แต่งงานกับท่านพจน์จึงมีอันเป็นเช่นนี้ พริสจงอย่าเสียใจ เพราะพริส คงแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ถ้าโชคชะตากำหนดไว้ ตรงกันข้ามแล้ว พริสก็ไม่ต้องทำอะไรอีก เพราะอย่างไรก็ดี ทุกๆสิ่งจะเป็นไปอย่างเรียบร้อย"
แล้วปริศนาก็ลงนอนบนเตียงแล้วยกจดหมายอ่าน หลังอ่านแล้วก็ลุกขึ้น เอาจดหมายมาเก็บที่เดิม ปริศนามองดูรูปท่านชายที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ เสียงในความคิดดังขึ้น
"ปริศนาตั้งใจไว้แล้วว่า ปริศนาจะไม่ใช่คนเริ่มต้นพูดเรื่องนี้กับท่านชายแน่นอน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ปริศนาจะทน... ทนจนกว่าท่านชายจะเริ่มต้นก่อน เราจะมีวันนั้นไหม"
เย็นอีกวันหนึ่ง ปริศนาและสิรี นงลักษณ์เพิ่งกลับจากทำงาน และกำลังเดินจะเข้าประตูบ้าน รถของอานนท์ก็เลี้ยวเปรี้ยวเข้ามาในบ้าน อานนท์บีบแตรรถสาวทั้ง 3 หันไปดูอย่างแปลกใจ
นงลักษณ์ถาม
"ใครมาน่ะ"
แล้วเมื่อเห็นเป็นอานนท์ก็เบิกตากว้างอย่างตกใจ
"พี่อานนท์...!"
"คุณอานนท์นั่นเอง ตายแล้ว เก๋ไก๋ จัง"
"ไปเอารถที่ไหนมา อานนท์"
อานนท์ลงจากรถเดินมาหาสาวๆ สิรีจะถอยออกไปห่างหน่อยเพราะ กลัวผู้ชายเสียแล้ว
"รถของผมสิ เพิ่งจะเอาออกจากอู่มาวันนี้เอง"
"รถสวยจริง" ปริศนาบอก
"นงลักษณ์มีรถมารับแล้วนี่นะ" สิรีบอก
"โอ้ว... แย่แล้ว ผมอุตส่าห์ขับรถมาถึงบ้านคุณ กลายเป็นว่าผมมารับน้องสาว บ้านอยู่ตรงนี้เอง เดินกลับเร็วกว่า แต่นี่ผมทำตามที่สัญญาไว้กับปริศนา คือไปสโมสรครั้งนี้ ผมจะเป็นคนขับรถพาปริศนาไปเอง"
"ตายจริง ไม่ได้นัดไว้เลย คุณนนท์นัดเพื่อนไว้หรือเปล่าคะ"
"นัดไว้เหมือนเคย"
"ถ้าอย่างนั้น ปริศนา ขับรถตามไปได้ไหมคะ เพิ่งกลับจากโรงเรียน ยังไม่ได้ทำอะไรเลยค่ะ"
"โธ่เอ๋ย ผมรึ อุตส่าห์ขับรถมารับ คุณยังจะขับรถตามไปอีกหรือ"
"เพิ่งกลับมาบ้าน ยังไม่ได้ทำอะไรเลย"
"ไปก่อนเถอะ อานนท์ วันหลังจะชวนปริศนาไปเล่นเทนนิส ก็ขอให้นัดไว้ก่อน มาถึงแล้วจะให้เขาไปเลยไม่ได้หรอก" นงลักษณ์บอก
"งั้นก็พานงลักษณ์กลับไปส่งบ้านก่อนเอามั้ย"
"ไม่ต้องจ้ะ เดี๋ยวจะเดินกลับไปเอง สิรีบอกจะเลี้ยงของว่าง กินเสร็จแล้วถึงจะไป"
"โธ่เอ๋ย... มันเศร้ามากๆ"
"รับรองว่าปริศนาจะตามไปแน่นอนค่ะ จะเร่งมือให้เร็วที่สุด"
"OK จะไปก่อนนะ"
อานนท์เดินจ๋องๆไปขึ้นรถ นงลักษณ์ส่ายหัว
"พ่อคุณ"
เย็นต่อเนื่องมา ปริศนาเดินถือแรคเก็ต และใส่ชุดเทนนิส เดินเข้ามาในคอร์ทเทนนิส แล้วต้องแปลกใจมาก เพราะในสนามมีคนเล่นอยู่ แล้วก็ยิ่งแปลกใจมากขึ้นไปอีก ที่เห็นว่า คนที่เล่นเทนนิสอยู่คือ ท่านชายพจน์ และอานนท์
ปริศนาหยุดยืนอยู่ตรงทางเข้า อานนท์เห็นเธอก็หยุดเล่น เดินเข้ามาหา
"มาแล้วหรือพริส"
"มีคนเล่นด้วยแล้วหรือ"
"พอดีเพื่อนคนหนึ่งไม่มา เห็นท่านชายพจน์ ก็เลยชวนท่านเล่นด้วย"
"รู้จักกันแล้วหรือ"
"ใช่สิ ท่านรู้จักน้องผมเกือบทุกคน พริสคอยตรงนี้ก่อนนะ ผมจะไปตาม
เพื่อนก่อน เขาบอกว่าจะไปหาอะไรดื่ม"
อานนท์วางแรคเก็ตไว้ที่โต๊ะแล้ววิ่งออกไป ท่านชายพจน์หันกลับไปนั่งที่โต๊ะ รินน้ำดื่ม อย่างไม่สนใจปริศนา
"วันนี้ไม่มีใครมาด้วยหรือเพคะ"
"มาสโมสรต้องมีใครมาด้วยหรือ อานนท์ ก็ยังมาพบกันที่นี่"
"ท่านชายเพคะ...ใครๆเขาก็ลือกันว่า"
"ลืออะไรกันอีก คนเรานี่ช่างลือ ช่างคิดเอาเอง น่าเบื่อจริงคนอย่างนี้ อย่าเอาเรื่องข่าวลือมาพูดกับฉันเลย เพราะฉันไม่เคยเชื่อถือข่าวลือ"
ท่านชายเดินไปนั่ง แล้วเอาไม้เทนนิสมาพิจารณาอย่างสนใจมากๆ โดยไม่สนใจปริศนาเลย ปริศนาน้อยใจ น้ำตาพาลจะไหล อยากจะพูดแต่หาคำพูดไม่ได้
อานนท์เดินกลับเข้ามาในสนามเทนนิส พร้อมเพื่อนหนุ่มอีกคนหนึ่ง
"ท่านชายคู่กับทะนง เพื่อนผมก็แล้วกัน ผมจะตีคู่กับปริศนาเอง"
ท่านชายจับมือกับทะนง ปริศนายกมือไหว้
"วันนี้ปริศนา คงตีได้สักสามเซ็ทนะ จะต้องรีบกลับบ้าน"
แล้วทั้งหมดเดินเข้าไปสู่สนามเทนนิส และเริ่มตีเทนนิสกัน ปริศนาพยายามที่จะตี แต่รู้สึกว่าเจ็บปวดมาก
เวลาต่อมา ปริศนาเดินถือไม้เทนนิสมา ด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน เดินมาเพียงลำพังในบรรยากาศกลางคืนอย่างเหงาๆ หน้าตาของเธอดูเหนื่อยล้า ปริศนาเปิดประตูรถด้านหลังเอาไม้เทนนิสไว้ด้านหลัง แล้วเปิดประตูคนขับขึ้นมานั่ง ปริศนาสตาร์ทรถ
เสียงรถแป๊ก ไม่ติด ปริศนาพยายามสตาร์ทอีก 2 ครั้ง เสียงเงียบเหมือนเดิม เธอลงมาเปิดกระโปรงรถ แล้วก็ทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่รู้เรื่องเครื่อง เธอเดินมาดูว่ามีใครอยู่แถวนั้นไหม ที่จะช่วยเธอได้ แต่ก็มีแต่ความเงียบ
ปริศนาเปิดประตูรถออก แล้วทรุดตัวลงนั่ง ที่เก้าอี้คนขับ และซบหน้าลงกับมือ
สักพักก็มีมานะหาไฟฉาย และเครื่องมือลงไป ตรวจดูที่เครื่องรถ
ฝ่ายท่านชายพจน์ เปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลองแล้ว ถือกระเป๋าใส่ชุดเทนนิส และไม้เทนนิสใส่ถุงมาเรียบร้อย
"มานานแล้วรึสน"
"ไม่นานขอรับฝ่าบาท กลับวังเลยรึเปล่ากระหม่อม"
"กลับเลย วันนี้รู้สึกเหนื่อยๆ"
ท่านชายส่งกระเป๋าเสื้อผ้าให้ สนถือ ตัวท่านเองถือไม้เทนนิส ทั้ง 2 เดินออกไป
ณ ที่จอดรถในสโมสร ปริศนายังส่องเครื่องรถยนต์ขยับโน่นขยับนี่อยู่ โดยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ลองเดาว่า สายตรงนี้หรือเปล่า พอขยับแล้วไม่รู้จะทำอะไร ไม่แน่ใจ ก็เสียบไว้ที่เดิม พลางนึกภาวนาให้ใครก็ได้มาช่วยที โดยเธอนึกถึงท่านชายมากที่สุด
ท่านชายเดินนำสนเข้ามา และเห็นปริศนาก้มๆเงยๆอยู่ที่รถก็หยุดดู
"ปริศนา... นี่ยังไม่กลับอีกหรือ"
ปริศนาหันมาเห็นท่านชาย ตอนแรกคิดว่าเป็นความฝัน เพราะคิดภาวนาถึงอยู่
"รถเป็นอะไรก็ไม่รู้เพคะ สตาร์ทไม่ติด ปริศนาไม่รู้เรื่องเครื่องเลย มองไปมันก็เหมือนเดิมทุกครั้ง แย่จังขับเป็นอย่างเดียว"
ท่านชายลองไปสตาร์ทเครื่องดู
"น่าจะแบตเตอรี่อ่อน"
"แล้วจะทำยังไงดีคะ"
ท่านชายทำหน้าเฉยชา
"ให้สนเขาดูแลเอารถกลับไปให้ก็แล้วกัน ส่วนฉันจะไปส่งเธอก่อนดีไหม ที่บ้านจะเป็นห่วง"
ปริศนายืนงงอยู่สักครู่
"จะดีหรือเพคะ"
ท่านชายพจน์ไม่สนใจปริศนา เดินเรื่อยไป จะไปขึ้นรถท่าน นายสนเดินเข้าไปดูรถ
ปริศนาเลยตัดสินใจไปหยิบไม้เทนนิสเร่งฝีเท้าเดินตามท่านชายพจน์ไป
"นายสน...ฝากรถด้วยนะจ๊ะ"
ท่านชายพจน์กับปริศนา นั่งคู่กันมาในรถ
"ปริศนาไม่ยักรู้ว่านายสน เป็นคนขับรถของท่านชายด้วย"
"เขาไม่ใช่คนขับรถ แต่ฉันให้เขาไปทำธุระให้ฉัน แล้วให้เขากลับมาแวะรับฉันด้วย คนขับรถฉันชื่อสมบูรณ์"
"แล้วท่านให้เขาแก้เครื่องรถ"
"เขาขับรถเป็น แก้เครื่องเก่ง ยังไงล่ะ"
ปริศนาจึงไม่พูดอะไรต่อ
ท่านชายปรายตาดูปริศนานิดนึง แล้วขับรถต่อไป รถแล่นไปบนถนน
ท่านชายพจน์กับปริศนานั่งรถมาคู่กัน เธอมองไปด้านหน้าไกลๆแล้วท่านก็ชะลอรถให้ช้าลง
"ไปเที่ยวกันไหม"
ปริศนาหันมามองสงสัย
"ไปไหนเพคะ"
"ไปไหนก็ได้"
"ไม่ได้เพคะ วันนี้ผิดเวลามาก ถ้าท่านชายลำบากก็ไม่ต้องไปส่งปริศนาก็ได้"
ท่านชายพจน์เริ่มกวน
"เธอจะทำยังไง"
ปริศนาจริงใจปนน้อยใจ
"ปริศนากลับเองก็ได้เพคะ ... จริงๆ"
รถมาถึงทางแยกพอดี ท่านชายพจน์พยักหน้ารับคำปริศนา แล้วเลี้ยวรถไป เธอชะเง้อมองไปทางถนนด้านหน้าที่ท่านชายควรจะตรงไป แล้วไม่ไป
"โธ่ ... ท่านชายเพคะ ปริศนาจะรีบกลับบ้าน"
"ก็กลับยังไงล่ะ"
"กลับก็ต้องตรงไปซีเพคะ"
"ก็ทางนี้ทางลัดยังไงล่ะ ถึงเร็วกว่า เธอจะรีบไม่ใช่หรือ"
ปริศนาชักเคือง
"ถ้าท่านชายไม่อยากไปส่งปริศนา ปริศนาลงที่นี่ก็ได้เพคะ"
"ไม่มีรถ 3 ล้อนะ แถวนี้ ลงไปก็ต้องเดินเท่านั้น"
"ช่างปริศนาเถอะ หยุดรถสิท่านชาย ปริศนาจะได้ลง"
ท่านชายหยุดรถ แล้วลงมาเปิดประตูรถให้ปริศนา
"ถนนเปลี่ยวออก จะเดินไปได้ยังไง ผู้หญิงคนเดียว"
ปริศนาลงมาจากรถ โดยหยิบไม้เทนนิสลงมาด้วย แล้วเดินมุ่งกลับมาทางเก่าที่ตนจะตรงไป ที่ทางค่อนข้างมืด สองข้างทางไม่มีบ้านใกล้ๆถนนเลย
ปริศนาเดินช้าลง หวาดกลัว แต่แล้วด้วยความมานะอวดดี ปริศนาออกเดินต่อไปเร็วขึ้น ท่านชายมองปริศนาที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆอย่างวิตกและเป็นห่วง ไม่นึกว่าปริศนา จะเอาจริง แต่พอเห็นปริศนาไม่กลับมาจริงๆ ท่านชายก็ขึ้นรถเลี้ยวรถกลับ แต่รักษาระยะอยู่ด้านหลังของปริศนา จนเธอรู้สึกตัวว่าถูกตามม จึงหันไปมองและเร่งฝีเท้าขึ้น
เธอเดินสะดุดก้อนหินริมถนนหลายครั้งเพราะรีบเดิน
ท่านชายจึงขับรถมาคู่กับปริศนา
"เมื่อยหรือยัง ปริศนา ถ้าเดินไม่ไหวก็ขึ้นรถ จะพาไปส่ง"
ปริศนาเจ็บใจไม่ได้ตอบทันที แต่เห็นท่านชายตามมาไม่เลิกจึงหันไป
"อย่ามายุ่งเลย เด็จไปเสียเถอะ"
"จะรีบไปทำไมล่ะ ฉันจะตามดูเธอ ว่าไปได้ถึงไหน แล้วก็ไปอย่างนี้ ก็ยังมีคนคุยด้วยไปเรื่อยๆ แร็กเก็ตนั่นหนักไปไหม เอามาให้ฉันก่อนก็ได้ เธอจะได้เดินสบายๆ"
ปริศนาแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว แต่ไม่สามารถที่จะหยุดเดินได้ ยังคงเดินต่อไป และก็สะดุดก้อนหินไปด้วย แต่ยังมีมานะเดินต่อไปไม่ยอมแพ้ท่านชาย
ท่านชายหัวเราะเบาๆในมานะของปริศนา
"ดูสิ ยังไม่มีรถผ่านมาสักคัน"
ปริศนายังก้มหน้าเดินต่อไป เหงื่อไหลลงมา เพราะโมโหและเหนื่อย ท่านชายจึงเร่งเครื่อง ขับผ่านปริศนาไป
ปริศนาหยุดยืน มองตาม ใจหาย คิดว่าแย่แน่แล้ว พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ร้องไห้ รีบเร่งเท้า เดินต่อไปในทันที แต่แล้ว ปริศนา ก็แปลกใจมาก เพราะท่านชายกลับรถอีกครั้ง ปริศนาหยุดยืนดู ว่าท่านชายจะทำอะไร
ท่านชายขับรถกลับมา จอดตรงที่ปริศนาหยุดยืน แล้วเดินลงมายืนหน้า
"ปริศนา...เธอ จะทรมานตัวเองไปทำไม อวดดีไม่เข้าเรื่อง นี่เวลาอะไรแล้ว ป่านนี้แม่เธอห่วงแย่แล้ว"
ท่านชายแตะแขนปริศนา ตอนแรกปริศนาสะบัดแขนจะเดินหนี แต่ท่านชายก็เดิน
ไปดักหน้าไว้
"อย่าทำบ้าไปเลย ปริศนา ฉันขอร้องล่ะ ขึ้นรถเถอะ"
ท่านชายเดินมาเปิดประตูรถให้
ปริศนา คิด และรู้ว่ายอมแพ้ไปก็อาจจะดีกว่า ก็เดินมานั่งรถอย่างทระนงคอแข็งหน้าเชิด ท่านชายอมยิ้มเมื่อปริศนาขึ้นรถไป แล้วท่านอ้อมมาที่คนขับ
"ความจริง ฉันเลี้ยวผิดมาแล้ว เธอไม่เห็น มาทักตอนฉัน กลับเข้าทางถูก ถ้าขืนเชื่อเธอ ได้อ้อมกันอีกไกล อย่าคิดแต่จะเอาชนะกันเลยปริศนา"
ปริศนานิ่ง รถวิ่งออกไปโดยเร็ว ปริศนาน้ำตาไหลออกมายกแขนเสื้อปาด แม้ท่านชายพจน์มองไปข้างหน้า แต่รู้ว่าปริศนาร้องไห้
รถของท่านชายพจน์แล่นเข้ามาจอด และบีบแตร 2 ครั้ง นายช่วงวิ่งออกมาเปิดประตูให้ รถแล่นเข้ามาจอดในสนาม ปริศนา เปิดประตูลงมา ท่านชายก็ลงมาด้วย
"ท่านจะลงมาทำไมเพคะ"
"ก็จะไปส่งเธอกับแม่เธอยังไง"
ปริศนารีบเดินขึ้นบ้าน ท่านชายรีบเดินตาม
คนอื่นๆในบ้านนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร จ่างรวบช้อนกันไปแล้ว กับข้าวเหลือไม่มาก
"ใครมาล่ะนั่น" สมรถาม
ท่านชายพจน์เดินตามปริศนาขึ้นบ้านมา ปริศนาถือแร้กเก็ตมาด้วย
"ท่านชาย ทำไมเสด็จมากับปริศนาเพคะ" สมรถาม
สมร อนงค์ สิรี รีบยกมือไหว้ท่านชาย ท่านชายก็รีบรับไหว้
"รถของปริศนาเสียอยู่ที่สปอร์ตคลับ ก็เลยให้คนของฉันอยู่แก้ไขรถให้ เลยพาปริศนามาส่งก่อน นี่รับประทานข้าวกันแล้วหรือ เรามัวเสียเวลา เลยช้า"
"รอนานจนหิวหน้ามืดกันหมด ผิดเวลาไปนาน ไม่รู้จะติดต่อกันได้อย่างไร ก็รอฟังข่าวจากบ้านนงลักษณ์เหมือนกันเพคะ"
"ถ้างั้น ฉันขออนุญาตพาปริศนาไปกินที่ราชวงศ์ หรือที่ไหน ได้ไหมจ๊ะ"
"ได้สิ เพคะ ปริศนา ไปผลัดกางเกงก่อนไป๊ เร็วหน่อยนะ ท่านจะคอยนาน"
"ไม่ต้องก็ได้ค่ะ แม่ ปริศนากินอะไรก็ได้ อะไรเหลือ"
"มันไม่เหลือแล้วน่ะสิจ๊ะ จนป่านนี้แล้ว ไปเถอะ รีบไปอย่าร่ำไร ท่านชายอุตส่าห์ชวน"
ปริศนาเม้มปาก ไม่เถียง เดินขึ้นไปข้างบน
"ไหนๆวันนี้จะต้องกินข้าวคนเดียว เลยต้องหาเพื่อนไปกินด้วย ประวิชก็ไม่ได้มาที่นี่หรอกหรือ บอกว่าจะกลับดึก"
"ไปกินเลี้ยงกับเพื่อนเพคะ"
"งั้นหรือ แล้วเธอล่ะ จะให้ฉันเลี้ยงบ้างไหม อิ่มข้าวแล้ว ไปกินไอศกรีม กันหน่อยไหมทุกคน"
"คนแก่ต้องขอตัวเพคะ แต่สาวๆ ไปกันก็แล้วกัน"
"ถ้าอย่างนั้น ขอไปหยิบของบนห้องก่อนนะคะ" สิรีบอก
สิรีพยักหน้าให้อนงค์ แล้วทั้ง 2 คนก็รีบเดินขึ้นข้างบน
ปริศนาเปลี่ยนชุดใหม่แล้ว หน้าตาผ่องใสขึ้น แต่ยืนเกาะหน้าต่างมองออกไปข้างนอก
อนงค์เดินเข้ามา
"ปริศนา เราจะไปกันทุกคน พี่กับสิรีจะแต่งตัวเดี๋ยวนี้ ปริศนาเสร็จแล้วลงไปคุยกับท่านชายก่อนไป"
ปริศนาขยับตัว เหมือนจะทำอะไรแต่ไม่ได้ทำอะไร อนงค์ หยิบผ้าเช็ดตัวออกไป
ปริศนา ค่อยๆเดินออกไปจากห้อง
รถของปริศนา แล่นเข้ามาในบ้าน โดยสนเป็นคนขับเข้ามา สมร และท่านชายพจน์ เดินออกมาจากห้องโถง สนลงมาจากรถ พร้อมกุญแจรถของปริศนา
"แก้ดีแล้วกระหม่อม"
"ทำไมนานนัก"
"ยางแบนด้วยกระหม่อม ต้องเปลี่ยนยางก่อน"
"สนกลับบ้านไปเลย แล้วบอกเขาด้วยว่า ฉันไม่กลับไปกินข้าวบ้านละคืนนี้ ไม่ต้องรอ"
"กระหม่อม"
สนเดินออกไปจากบ้าน ท่านชายรับกุญแจรถ
ปริศนาเดินอย่างช้าๆใช้เวลาให้หมดไป เดินลงบันไดมา และรีๆรอๆอยู่ตีนบันได พอดีกับ ที่ สิรีและอนงค์ เดินอย่างรวดเร็วมาจากชั้นบน
ท่านชายพจน์ และสมร เดินกลับมาจากทางหน้าบ้านพอดี
"มาพร้อมกันแล้ว สาวๆ ไปกันสักที"
ท่านชายส่งกุญแจรถให้สมร
"กุญแจรถของปริศนา"
สมรรับไว้
ท่านชายพจน์ผายมือให้สาวๆ ไปขึ้นรถ สิรี และอนงค์ หิ้วรองเท้ามาด้วย ทั้งหมดเดินออกไปเพื่อขึ้นรถ สมรมองท่านชายอย่างปลาบปลื้ม
อ่านต่อหน้า 4
ปริศนา ตอนที่ 16 (ต่อ)
ภายในห้องอาหารจีน ย่ายราชวงศ์ ซึ่งเป็นห้องส่วนตัวโต๊ะกลม ที่นั่ง ได้ 5-6 คน
ปริศนานั่งอยู่ตรงข้ามกับท่านชายพจน์ มีอนงค์ และสิรี นั่งด้านซ้าย และขวาของท่านชาย
อนงค์ และสิรีคีบอาหารมากินเล็กๆน้อยๆ ส่วนท่านชายเสวยได้มาก
ปริศนาพยายามจะใช้ตะเกียบคีบอาหาร แต่ความที่ไม่ถนัด เพราะอยู่เมืองนอกไม่เคยใช้ ทำให้คีบอาหาร ไม่ค่อยได้ แต่ดูเหมือนไม่มีใครสนใจ มีเสียงคนเมา เฮฮา จากห้องข้างๆ เข้ามากวนตลอดเวลา
"อนงค์ หากมีเวลา อยากให้เธอไปดูบ้านสักหน่อยนะ ว่าจะต้องแก้ไขปรับปรุงอะไรบ้าง ควรทำให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ส่วนตกแต่งภายใน จะค่อยๆทำไปหลังจากเข้าไปอยู่ก็ได้ ดูส่วนที่จำเป็นต้องใช้ ให้เรียบร้อยก่อน"
"ทรงเมตตามากจริง เพคะ"
"เพราะเต็มใจให้จริงๆ เธอสองคนจะไม่ต้องมีกังวลเรื่องนี้อีกยังไงล่ะ"
เสียง "เอ้า เฮ" ดังลอดเข้ามา
เสียงคนเมาออกจากห้อง แล้วเดินกระทืบเท้า ตบมือห่างออกไป
"เฮ้อ.. ไปเสียได้ ไม่เกรงใจใครเลย นี่ถ้ามากันแต่พวกเรา คงต้องหนีกลับกันแล้ว" สิรีบอก
"คนที่ไม่มีความเกรงใจคนอื่น มีมากขึ้นทุกที"
"คนเมาเพคะ เมาแล้วก็ลืมตัว" อนงค์บอก
"แต่ก็ยังจะเมากันอยู่ต่อไป ถ้าครองสติได้ก่อนกิน ก็ยังจะคงความเป็นคนอยู่ได้"
อนงค์ส่ายหัว อย่างเอือมระอากับพวกคนเมา ปริศนาไม่สนใจเรื่องที่คุย นั่งก้มหน้าอยู่
"ปริศนา ดูไม่ค่อยจะกินอะไรเลย อิ่มไหม อยากกินอะไรสั่งเพิ่มได้นะ"
"อิ่มแล้วเพคะ"
ปริศนาดื่มน้ำ
"งั้น เดี๋ยวไปกินไอศกรีม ที่ราชวงศ์กัน แม่อนงค์ ช่วยกดกริ่งเรียกบ๋อยหน่อยจะได้ไปกันเสียที"
อนงค์กดกริ่ง เรียกให้ท่านชาย
บริเวณร้านขายขนมหวานย่านเยาวราช มีคนผ่านไปมาพอสมควร ท่านชายและอนงค์เดินนำออกมาก่อน สิรีคอยดึงตัวปริศนาให้ตามมา คนผ่านไปผ่านมาแถวนั้นกำลังมุงดู อะไรบางอย่างที่ถนนริมฟุตบาธ
ท่านชายและอนงค์ก็หันไปดู ชายเมา 3 คนที่ล้มอยู่กับพื้น พากันพยุงตัวขึ้นมา และคนที่อีก 2 คนเมาดึงขึ้นมาคือ ประวิช
ท่านชายพจน์และอนงค์ จำได้ทันที ทั้งคู่หน้าเครียด
อนงค์ ทั้งเครียด ทั้ง อับอาย ตกใจ เสียดายมากๆ
"อนงค์ มาช่วยฉันเลือกขนมไปฝากคุณสร้อยหน่อยเถอะ"
อนงค์เดินตามท่านชาย แต่ใจไม่อยู่กับตัวไปแล้ว
"ปริศนา เร็ว อย่าเที่ยวไปมุงดูอะไรกับเขา" สิรีบอก
"สม คนพวกคนเมาตะกี้น่ะสิ หกล้มหกลุกบนถนน น่าอายเต็มที" ปริศนาบอก
คนเมาทั้ง 3 เริ่มร้องเพลงกันต่อ แล้วเดินต่อไปอีกทางหนึ่ง สิรี และปริศนาเดินไปข้างๆท่านชาย
แต่อนงค์ ซึ่งเดินไปที่ร้านขนมกับท่านชายก่อน กลับหมุนตัวหันมามองตาม เห็นชายเมาทั้ง 3 คนเดินห่างออกไป
ท่านชายกำลังรับขนมที่ใส่มาในถุงกระดาษ โดยพ่อค้า ทำเป็นกระทงใบตองแห้ง และใส่ขนมมาให้
ท่านชายหันไป เห็นอนงค์ยืนเหม่อมองไปทางหนึ่ง ก็เลยเดินเข้าไปถาม
"ว่าไง จะกินไอศกรีมต่อไหม ดึกแล้วนะนี่"
อนงค์หันมาทำท่าสดใสให้มากที่สุด
"ไปสิเพคะ ท่านชายว่าอยากเสวย ไม่ใช่หรือ"
"งั้นเราไปกัน"
ท่านชายพยักหน้า ทั้ง 3 สาว เดินตามออกไป
ท่านชายพจน์กับ 3 สาว ขับรถมาจอด ทั้งหมดลงจากรถเพื่อไปรับประทานไอศกรีม
แต่ทันใดนั้น รถของประวิช โดยประวิชไม่ได้ขับ เข้ามาจอดไม่ห่างจากรถของท่านชาย เพื่อนคนหนึ่งเป็นคนขับ
ประวิชก็เปิดประตูออกมาทันทีที่รถจอดยังไม่ดับเครื่อง
"มาแล้ว มาแล้ว เอามาเสิร์ฟเร็ว จะเลี้ยงฉลองกัน"
เพื่อน 1บอก
"เร็วๆหน่อย จะรีบไป"
ทุกคนหันไปดูเสียงเอะอะนั้น หลายคนหัวเราะ หลายคนหมั่นไส้
"ต๊าย ตายจริง นั่นประวิชนี่" สิรีบอก
สิรีหันไปมองอนงค์ที่ทำท่าเหมือนจะเป็นลม รับไม่ได้
"อนงค์ เป็นอะไรน่ะ"
"ฉันอยากกลับบ้าน"
ท่านชายเห็นท่าของอนงค์ ก็หยิบกุญแจรถขึ้นมา
"ปริศนา ขับรถฉันเป็นไหม"
"น่าจะพอได้อยู่ค่ะ"
"พาพี่เธอกลับไปบ้านก่อน แล้วทิ้งไว้ที่นั่น พรุ่งนี้ฉันจะให้คนไปเอา"
"ท่านจะเด็จไหนเพคะ" สิรีถาม
"จะพาประวิชกลับบ้านไง เมากันอย่างนี้จะให้ขับรถได้ยังไง"
ท่านชายประคองอนงค์ให้ขึ้นนั่งคู่คนขับ สิรีจึงขึ้นด้านหลังปริศนาขึ้นรถไปแล้วถอยรถออก อนงค์เมินหน้าไม่อยากเห็น ประวิชมุดเอาหัวเข้าไปในรถ แล้วกดแตรเสียงดังสนั่น ท่านชายกำลังเดินตรงเข้าไปหาประวิช
สมรเดินออกมาจากห้องนอนของตน อาบน้ำแต่งตัวพร้อมนอน แต่สมรยังไม่ได้เดินมาถึงบันได อนงค์ก็เดินแกมวิ่ง เข้าห้องนอนตัวเองไป ปริศนาซึ่งหน้าตาไม่มีความสุข ตามมา เข้าห้องนอนไปอีกคน สมรได้แต่ยืนดูอย่างงงๆ
ไฟด้านล่างถูกปิด และสิรีเดินตามขึ้นมา เห็นสมรยืนอยู่ก็ดีใจ
"นี่ไปไหนกันหมดแล้วคะ"
"เข้าห้องไปแล้ว ไม่พูดกับแม่สักคน สนุกไหม"
สิรีประชดนิดๆ
"สนุกค่ะ สนุกมาก แม่คะ ท่านชายซื้อขนมว่าจะเอาไปฝากคุณสร้อย สิรีเอาขึ้นจากรถมาวางไว้ที่โต๊ะกินข้าว มดจะขึ้นไหมไม่รู้"
"เอ้า แล้วทำไม ขนมคุณสร้อยมาอยู่ที่เรา"
"อยู่ในรถท่านน่ะค่ะ ท่านชายให้ปริศนาขับรถท่านมา เวลานี้จอดอยู่ในบ้านเรา"
"อ้าว....แล้วท่านไปไหน"
"ขับรถพาประวิชกลับบ้าน"
สมรตกใจ
"ประวิชเป็นอะไร"
"เมาค่ะ เดี๋ยวมาคุยต่อ แม่ลงไปดูขนมหน่อยนะคะ ตอนแรกนึกว่าแม่หลับไปแล้ว"
"จ้ะ จะไปดูบ้าน ดูรถท่านด้วยว่าปิดเรียบร้อยไหม"
สมรเดินลงไปข้างล่าง แล้วเปิดไฟอีกครั้ง
สิรีเดินเข้าห้องตัวเอง
ในห้องนอน สมรเดินมานั่งที่เก้าอี้ และจัดเก้าอี้ไว้เผื่อสิรี จะเข้ามาคุยด้วย สมรนั่งรอ พร้อมครุ่นคิด สิรีเคาะประตู และผลักเข้ามา
"นั่งสิลูก ไหนเล่ามาซิ ว่าเกิดอะไร"
"ก็ไปเยาวราช ราชวงศ์ คนเยอะแยะเต็มถนน เพราะหนังเพิ่งเลิก เจอนายประวิชค่ะ กับเพื่อนอีก 2 คน เมาตะโกนร้องเพลงลั่นถนน หกล้มหกลุกกลางถนน"
"ตายจริง แล้วเป็นอะไรหรือเปล่า"
"ไม่รู้ว่าเป็นอะไรหรือเปล่าค่ะแม่ รู้แต่ว่ามันทุเรศมาก ลูกว่าใครๆที่เห็นก็จะรู้สึกว่าทุเรศน่าสังเวชกันทุกคน ใครๆก็พากันมองเป็นตาเดียวกัน แล้วคนเหล่านั้นจะไม่รู้จักหรือคะว่า ประวิชเป็นใคร เพื่อนเขาเป็นใคร ประเดี๋ยวก็จะไปลือกันแซ่ด"
"ตายจริง แล้วอนงค์ว่ายังไงบ้าง"
"ทำเก่ง แต่ยืนหน้าซีด มือเย็นเฉียบ จริงๆ แล้วเมาตั้งแต่ร้านจีนที่ท่านชายพาไปกินทีแรก แต่เราไม่ได้เห็นหน้ากันเอง มาเห็นตอนออกถนนแล้ว กริยาทรามมากค่ะแม่ เสียงดัง โวยวาย กระทืบเท้าด้วย"
สมรสะดุ้ง
"ท่านชายเลยว่า ปล่อยไม่ได้แล้วต้องพาตัวกลับ เลยให้ปริศนาขับรถท่านพาพวกเรามา ตัวท่านไปเอาตัวประวิชกับรถกลับวัง ไม่น่ามาเจออย่างนี้เลย สงสารอนงค์จัง"
สมรนิ่งคิด
"จริงๆ แม่ก็ว่าดีนะ ที่อนงค์ได้เห็นประวิช ในสภาพไม่เคยคิดมาก่อน ก่อนที่จะแต่งงาน ถ้าไปพบหลังจากแต่งงานแล้ว จะเสียใจมากกว่านี้หลายเท่าทวีคูณ"
"แม่คะ แล้วเรื่องแต่งงาน อนงค์กับประวิชจะมีปัญหาอะไรไหมคะ ลูกคิดนะคะ ถ้าเป็นลูก ลูกเลิกเลย"
"อนงค์ คงจะต้องตัดสินใจเอง เรื่องนี้เราตัดสินใจให้เขาไม่ได้"
แม่ลูบหัวสิรี
"ขอบใจ ที่สิรีมาเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง ถ้าอนงค์คิดอย่างสิรีละก็เป็นเรื่องใหญ่แน่ แม่หวังว่าด้วยความรักที่สองคนมีให้แก่กัน ก็คงจะต้องช่วยกันคิดเรื่องนี้ให้รอบคอบ"
ภายในห้องนอนประวิชที่วังศิลาขาว ประวิชเปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้ว มีอุปกรณ์เช็ดตัวทั้งกาละมัง และผ้าขนหนู สนกับใจเป็นคนดูแลให้
ท่านชาย เดินเข้ามา พร้อมถ้วยยา
"สนกรอกยาให้ด้วย เสร็จแล้วก็ไปพัก ส่วนใจ รอดูอยู่ให้เขาสงบ แล้วคอยดูให้ด้วย"
"กระหม่อม" ใจตอบ
ท่านชายพจน์ เท้าสะเอวดูประวิช แล้วส่ายหัวอย่างสมเพช
เช้าวันรุ่งขึ้น รตีนั่งพูดโทรศัพท์อยู่ ชื่นยืนฟังอย่างสนอกสนใจ ไม่ห่างนัก
"แย่จริง ขอบใจมากนะ อร ที่โทรศัพท์มาบอก"
รตีวางหูลงไป
"ใครเป็นอะไร" ชื่นถาม
"ประวิชค่ะ เมื่อคืนนี้อรเขาไปดูหนัง ออกมาเห็นประวิช เมาโวยวายเอะอะ กลางถนนที่ราชวงศ์ เลยโทร.มาเล่าให้ฟัง"
"แล้วไง"
"เขาเห็นท่านชาย มากับผู้หญิง 3 คนฟังที่เล่า น่าจะเป็นบ้านโน้น"
ชื่นเลิกคิ้ว เป็นคำถาม
"ท่านแยกตัวมาเอาตัวประวิชกลับไป ยกรถให้ สามคนนั่นไปรถท่าน เขาว่าจอดรถข้างๆกัน เห็นทั้งหมด"
"อ้อ"
ชื่นแอบยิ้มสะใจเล็กน้อย
"แม่ว่า รตี คงต้องไปเฝ้าท่านชายดู ยังไงเสีย ประวิชก็เป็นน้องของเราเหมือนกัน"
"ค่ะ เรื่องด่วนอย่างนี้ รตีคงจะโทรศัพท์ไปทูลท่านที่โรงพยาบาลได้ ยังไงเสียอาจจะต้องรอเวลาเย็น รตีจะชวนท่านไป dinner เรื่องครอบครัวของเราสักหน่อย"
รตี กางสมุดจดเบอร์โทรศัพท์ และลงมือหมุนโทรศัพท์ ชื่นยิ้มพยักหน้าพอใจ
อนงค์นั่งถือเสื้อที่จะสอยชายอยู่ แต่หน้าตาเหม่อลอย ไม่มีความสุข และไม่ได้ทำงาน สมรนั่งอ่านหนังสือไป เหลือบตามองอนงค์ เป็นระยะๆไป นายช่วงโผล่หน้าขึ้นมาจากทางหน้าบ้าน
"คุณนายขอรับ คนจากวังศิลาขาว จะมาขอรับรถท่านชาย"
สมรลุกขึ้นทันที
"อ้อ มากันแล้วหรือ"
สมรลุกขึ้น เดินไปหยิบกุญแจรถท่านชาย ที่วางไว้บนพาน แล้วเดินออกไปทางหน้าบ้าน
อนงค์ยังนั่งนิ่งเหมือนไม่ได้ยิน
เมื่อสมรเดินมาถึงช่วงหน้าบ้าน สนยืนอยู่ในสนาม ท่าทางนอบน้อม นายช่วงยืนอยู่ไม่ห่าง
"มารับรถท่านชายใช่ไหม"
"ขอรับ"
"ดูแลรถให้เรียบร้อยก่อนไปล่ะ เรียนคุณสร้อยนะว่า ขนมเมื่อวานที่ท่าน
ชายซื้อฝากติดอยู่ในรถ ฉันเลยกินไปแล้ว และจะหาของไปใช้คืนคุณสร้อย"
สนอมยิ้ม และล้วงกระเป๋าหยิบจดหมายส่งให้สมร
"จดหมายของใครจ๊ะ"
"คุณประวิช ฝากมาให้คุณอนงค์ขอรับ ว่าให้ให้กับมือ แต่กระผมขอฝากคุณนายให้"
สมรหน้าซีเรียส แต่รับไว้
"ขอบใจมาก สน"
"คุณประวิช บอกว่าให้รอคำตอบไปด้วยขอรับ"
สมรจึงหันกลับเข้ามาในห้องโถงอีกครั้งหนึ่ง
สมรเดินกลับเข้ามาในห้อง อนงค์ยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม เหมือนไม่ได้รู้สึกรู้สากับอะไรทั้งสิ้น สมรเดินเข้าไปหาอนงค์
"อนงค์ จดหมายของประวิช นายสนเอามาเขา รอคำตอบอยู่ลูก ลูกจะว่าอย่างไร"
สมรเอาจดหมายวางหน้า อนงค์ก้มหน้าไม่มองจดหมาย
"แม่ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรสำคัญหรือเปล่า จะขออ่านนะ เผื่อจะได้ให้คำตอบนายสนได้บ้าง"
อนงค์เมินหน้าไปอีกทาง สมรเดินไปหยิบกรรไกร มาตัดซองอย่างเรียบร้อย และก้มลงดูจดหมาย
"ประวิชเขาเขียนมาว่าที่นัดว่าจะมาหาอนงค์วันนี้เขามาไม่ได้เพราะป่วยอยู่ที่วังศิลาขาว เขาคิดถึง อยากให้อนงค์ไปเยี่ยมเขา ติดกับรถไปก็ได้"
อนงค์น้ำตาร่วงพรู สมรเงยหน้าขึ้น อนงค์ทิ้งงานบนตักให้ร่วงลงพื้น อย่างไม่สนใจวิ่งร้องไห้ขึ้นไปข้างบนทันที สมรมองตามหนักใจ
ประวิชนั่งซึมอยู่ในห้องนอน ข้างหน้าเป็นชามอาหารอ่อนๆ กับ โถน้ำชา
สนยืนอยู่ข้างหน้าประวิช
"ตกลงอนงค์ไม่มา แล้วไม่ได้สั่งอย่างอื่นมาด้วย"
"ขอรับ"
"แกได้เห็นคุณอนงค์ไหม"
"ไม่เห็นเลยขอรับ เห็นแต่คุณนายสมร"
"ฉันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ ไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรไปบ้าง จนท่านชายมาเล่าให้ฟังเมื่อเช้า"
"ขอรับ เมามาก"
ประวิชเอามือกุมหัว
"อนงค์ต้องโกรธฉันแน่ โกรธมากด้วย ตัดเป็นตัดตาย โธ่เอ๊ย ประวิชจะอยู่ยังไงนี่"
สนมองประวิชอย่างเห็นใจแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ลงมือเก็บชาม แล้วเดินออกจากห้องไป
ท่านชายพจน์นั่งอยู่ในห้องอาหารของสโมสร กับรตี
"แย่จริง แต่ท่านชายไม่กริ้วประวิชนะเพคะ"
"ตอนที่เห็นน่ะ โกรธ โกรธมากทีเดียว แต่ตอนนี้ไม่รู้จะหัวเสียไปทำไม เหนื่อยเปล่า ประวิช เองก็กำลังจะได้รับผลจากการกระทำโดยไม่คิดของเขา"
"คู่หมั้นเขา โกรธหรือเพคะ"
ท่านชายยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบ
"หวังว่าจะโกรธอยู่ไม่นาน ฝ่าบาทต้องเตือนให้เขาไปง้อคู่หมั้นบ่อยๆ อีกไม่ช้า ก็คงใจอ่อน รตีเข้าใจผู้หญิง"
รตีหยุดไปนิดหนึ่ง เพราะเห็นใครบางคนเดินเข้ามาในห้องอาหาร ท่านชายจึงหันไปมองตาม ปริศนาเดินเข้ามากับ อานนท์และนพ
รตีทำเป็นไม่สนใจปริศนา พูดต่อ
"ที่รักเดียวใจ เดียว... ว่าจะต้องให้อภัย คนที่เรารักได้เสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คู่หมั้นประวิช เขาก็จะเป็นอย่างเดียวกัน"
"ก็น่าจะจริงอย่างเธอว่า"
รตีช้อนตายิ้มอย่างอ่อนหวานกับพจน์
ปริศนาพยายามเดินให้นั่งห่างโต๊ะท่านชายพจน์ให้มากที่สุด นพแต่งชุดนักศึกษา ถือสมุดหนังสือ 2-3 เล่มแบบนักเรียน มีบริกรคนหนึ่งเดินตามทั้งหมดมาให้ด้วย แต่คนค่อนข้างว่าง เพราะ ยังไม่ค่ำ
"นั่งตรงนี้แหละปริศนา นี่เธอจะเดินไปไหน ประเดี๋ยวเลยไม่ได้ฟังนายนพ"
ปริศนาก็ทรุดนั่งลงทันที โดยหันหลังให้ท่านชายกับรตี
อานนท์นั่งลงตรงกันข้ามกับปริศนา จึงเห็นท่านชายพจน์เต็มตา
"แน่ะ วันนี้ prince charming มากับสาวสวยเสียด้วย คู่รักท่านหรือ"
"เบาๆหน่อย อานนท์ นั่นคุณรตี ราชพรรลภ" นพบอก
"อือ ชื่อคุ้นๆ แต่ไม่เคยรู้จักนะ"
"แม่คุณรตีเขาเป็นน้องสาวแท้ๆของ หม่อมแม่ของท่านชาย"
"เหรอ... นายพยายามจะบอกอะไรฉัน บอกว่าสองคนนี่ไม่มีอะไรกันงั้นหรือ เป็นพี่เป็นน้องกันจริงๆ หรือเป็นแค่เพื่อน นายดูประกายตาระยิบอย่างที่เธอมองท่านชายสิ"
"อานนท์ คุยเรื่องอื่นได้ไหม ถ้าขืนนินทาผู้หญิงอีก ปริศนาจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้"
"โหย คุณปริศนาดุจริง"
บริกร เอาเมนูมาให้
ปริศนาไม่รับเมนู
"ขอแซนวิชแฮมชีส กับชาร้อนค่ะ"
อานนท์หันไปสั่งอาหารให้ตนเอง และนพ
"ยังไง นพ เรื่องทุน" ปริศนาถาม
"เราคงไม่ได้สอบแล้ว คนที่สมัครมีแต่อักษรศาสตร์ มีเราคนเดียวที่แปลกไป อาจารย์เลยบอกให้ถอน"
"ก็ที่นพให้ปริศนาดูวันก่อน มันไม่ใช่ทุนมหาวิทยาลัยไม่ใช่หรือ มันเป็นทุนของสถานทูต ต้องถามสถานทูตสิ ว่าเขาให้ทุนกับใครบ้าง"
"แล้วไง"
"นพก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลายังไงล่ะ ได้ไปเรียนต่อเลย ใครกันนะที่จะสนิทสนมไปถามสถานทูตได้"
นพมองไปทางท่านชาย แล้วพยักหน้าไปทางท่าน ปริศนานึกออกทันที
"คือท่านชายพจน์ใช่ไหม"
นพพยักหน้า
ปริศนา ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวเรื่องจะช่วยนพ เธอลุกขึ้นยืนหมุนตัว เดินไปหาโต๊ะท่านชายทันที ท่านชายทำท่าไม่สนใจ
รตีแปลกใจ และเตรียมตัวชนเต็มที่
อ่านต่อตอนที่ 17