ปริศนา ตอนที่ 7
เวลากลางคืน ปริศนาทิ้งตัวลงนอนบนเตียง เจ้าวูปี้ วิ่งไปวิ่งมาอยู่รอบๆ
"อายุ 20 วันนี้ มีอะไรที่ไม่เหมือน อายุ 19 เลย ปีหนึ่ง ชีวิตเปลี่ยนไปมาก"
"เปลี่ยนไปทางไหน ปริศนา พี่ว่าจะต้องดีขึ้นใช่ไหม" อนงค์บอก
"แปลกไปมาก ตอน 19 ปริศนามีแต่คุณอาคนเดียว ตอน 20 มีทั้งแม่ อนงค์ สิรี อุบล"
"นักเรียน ประวิช ท่านชาย" อนงค์ต่อให้
"แล้วก็วูปี้"
ปริศนาว่าแล้วคว้าวูปี้ขึ้นมากอด
"นั่นสิ ตอนนี้ปริศนา มีคนที่รักปริศนามากมายไปหมด"
ปริศนา รู้สึกแปลกๆ เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่าคนรักเต็มไปหมด
"ดีจริง ..... ที่มีคนรักเรา ปีที่แล้ว ปริศนาฉลองวันเกิด กับงาน valentine’s day มีคนให้หัวใจปริศนาเยอะเลย แต่ปริศนาไม่รู้จักเขา มันก็เลยไม่มีความหมายอะไร แต่ปีนี้ไม่มีหัวใจ"
"ทำไมจะไม่มีหัวใจ นี่ไง"
อนงค์หยิบสร้อยข้อมือทองที่ประวิชให้ปริศนามีหัวใจ 2 ดวง
"อนงค์ ว่ามันสวยไหม"
อนงค์พยักหน้า
"ปริศนาให้ยืมใส่เอาไหม"
"ฮื้อ คุณประวิชเขาให้ปริศนา ไม่ได้ให้พี่"
"แต่ปริศนาให้อนงค์ยืมยังไงล่ะ อนงค์ยังช่วยปริศนาเลี้ยงวูปี้ด้วย เหมือนกันนี่นา อนงค์เลี้ยงมันดีๆนะ อย่าให้มันวิ่งออกถนนไป มาๆ วูปี้ นอนได้แล้ว อนงค์ เอามุ้งลงให้ปริศนาด้วยนะ"
ปริศนานอนลงไปบนเตียง อนงค์ต้องเอามุ้งลงให้ แล้วอนงค์ยืนมอง สร้อยข้อมือที่ประวิชให้ปริศนาอยู่
ปริศนาเดินเข้ามาแต่งชุดไปทำงาน ก้าวขึ้นมาบนเรือนยายในเช้าวันใหม่ ยายกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับใบหน้าที่เพิ่งล้างหน้าในยามเช้าเสร็จ ถือขันแปรงฟัน มาวางไว้ที่ชั้น
"คุณยายขา"
"ปริศนา....ทำไมมาแต่เช้าลูก ไม่ไปทำงานหรือ วันนี้"
"กำลังจะไปทำงานค่ะ แต่เมื่อวานวันเกิดปริศนา ไม่ได้มากราบคุณยายขอพร มีงานเลี้ยงตอนเย็น แล้วออกไปกินข้าวข้างนอกกันอีก"
"หนุ่มสาว ก็ต้องสนุกสนานกัน ดีแล้ว ขอให้มีแต่ความสุข ความเจริญนะปริศนา หลานรักของยาย ให้ได้ความรักความเมตตาจากทุกคน"
ยายลูบหัว ปริศนากราบไปที่ต้นแขนของยาย
"ปริศนารักคุณยายจังเลย"
"รักยาย เป็นคนดีของยาย... นะปริศนา เมื่อวาน แม่ของเรากับอนงค์ แบ่งของว่างมาให้เยอะมาก แทบไม่ต้องกินข้าวเย็นทีเดียว"
"ปริศนามาหาคุณยายใหม่วันหลังนะคะ"
ฝ่ายอนงค์ เดินขึ้นมาจากด้านล่าง หลังจากจัดโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว กำลังจะขึ้นมาแต่งตัว ระหว่างรอปริศนาไปหายายและรอสิรีแต่งตัวเสร็จ
แต่พออนงค์เปิดประตูห้องเข้าไปก็ต้องแปลกใจ เพราะ สิรีกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะแต่งหน้าที่ปริศนาและ อนงค์ใช้ร่วมกัน
"สิรี หาอะไรหรือจ๊ะ"
"ว่าจะขอยืม กำไล หรือสร้อยสักหน่อย"
สิรีหยิบสร้อยที่ประวิชให้ปริศนาขึ้นมาดู
"สร้อยเส้นนี้ได้ไหม"
อนงค์เสียงเหมือนจะค้าน
"นั่นของขวัญ ที่คุณประวิชให้ปริศนานี่ สิรี"
"สร้อยทองกับเสื้อลูกไม้สีครีม เข้ากันดีจริง ขอยืมสักวัน จะดูแลให้ดีทีเดียว เกี่ยวตะขอให้พี่ทีเถิดอนงค์"
อนงค์ยังช้า คิดว่า สิรีไม่น่าจะใส่ของปริศนา
"สิรีไม่ถามปริศนาก่อนหรือ"
"ประเดี๋ยว ก็ต้องนั่งรถไปทำงานด้วยกัน"
อนงค์ยังคงลังเล
เวลาต่อเนื่องมา ปริศนายืนคอยสิรีอยู่หน้าบ้าน สิรีและอนงค์ เดินออกมาจากภายในบ้านด้วยกัน
สิรีเพิ่งจะฟ้องปริศนาเรื่องอนงค์ไม่อยากให้สิรีขอยืมสร้อยข้อมือของปริศนา
"ได้สิ สิรียืมใส่วันเดียวได้ แต่ว่าเย็นนี้ต้องเอามาคืนปริศนานะ"
สิรีหันมายิ้มเย้ยอนงค์
"เจ้าของเขาไม่หวงเลยซักนิดเดียวเห็นไหม อนงค์"
"ไม่หวงหรอก ปริศนายังยืมเสื้อสิรีใส่บ่อยๆ จะหวงไปทำไม ไปสิรี ไปทำงานกัน อนงค์ดูแลวูปี้ให้ดีๆนะจ๊ะ ปริศนาฝากด้วย เย็นนี้ปริศนาจะพามันไปเดินเล่น"
ปริศนาและสิรีเดินไปขึ้นรถ อนงค์มองดูสองคนออกไปด้วยกัน
ภายในห้องทำงานของท่านชายพจน์ ในวังศิลาขาว วันเดียวกัน หม่อมเจ้าพจน์ ปรีชา มองดูรูปในกรอบเงินของอนงค์แล้ววางกรอบรูปนั้นลงบนกระดาษ นิ่มๆ หลายๆชั้น วางจดหมายลงไปแล้ว ห่อทับด้วยกระดาษสีน้ำตาลอีกที ท่านชายห่อภาพนั้น แล้วเอาเชือก รัดอีกที แล้วสั่นกระดิ่งเรียก นายสน
"สน"
สนปรากฏตัวขึ้น หน้าประตู
"จัดการให้ใครไปส่งให้คุณปริศนา สุทธากุลที"
"ขอรับ"
สนทำหน้าเฉยเหมือนเคย แต่อดรู้สึกไม่ได้ว่า เดี๋ยวนี้ท่านชายออกจะแปลก คงเป็นเรื่องดีในไม่ช้า ท่านชายหันไปคว้ากระเป๋าหมอ
"วันนี้อาจกลับค่ำ มีนัดเลี้ยงฝรั่งตอนเย็น"
ท่านชายพจน์พูดจบก็ออกเดินไป สนถือห่อกระดาษนั้นอย่างระมัดระวัง
ปริศนากำลังแกะห่อที่ท่านชายส่งมาให้ กระดาษห่อถูกเปิดออก เผยให้เห็นรูปท่านชาย ที่ดูหล่องามในภาพ มองตรงมาหาคนถือรูป กรอบรูปเป็นกรอบที่อนงค์ให้ปริศนาเมื่อวันเกิด
"อนงค์ นี่ไง ท่านชาย ประทานรูปกลับมาแล้ว เป็นรูปองค์ท่านเอง"
"ใส่กรอบเดิมหรือ"
"กรอบที่อนงค์ให้ แต่รูปเปลี่ยนไป รูปนี้ดีจัง ปริศนาเอาไปวางไว้ที่โต๊ะ เขียนหนังสือดีกว่า"
ปริศนา หยิบซองจดหมายขึ้นมา
"นี่ มีจดหมายด้วยนะอนงค์"
ปริศนาหยิบจดหมายแล้วหยิบรูปวิ่งขึ้นไปข้างบน อนงค์มองตามอย่างแปลกใจ
ปริศนาหอบรูปและจดหมายของท่านชาย รวมทั้งกระเป๋าถือที่เพิ่งกลับจากโรงเรียน เข้ามาในห้อง
ปริศนาเหวี่ยงกระเป๋าไปไว้บนเตียง แล้วเอารูปท่านชายมาวาง ตั้งให้มุมดีที่สุด แล้วนั่งลงยิ้มกับรูปนั้น อย่างรู้สึกเอ็นดูเจ้าของรูปมากขึ้นอีกโข
ปริศนาเปิดจดหมายท่านชายพจน์...
"15 กุมภาพันธ์ 2483
ถึงปริศนา
ฉันส่งรูปมาให้ตามที่สัญญากันไว้ พร้อมกับจดหมายฉบับนี้ เป็นรูปเก่า ถ่ายที่เมืองนอกเมื่อ 2 ปีกว่ามาแล้ว รูปใหม่ๆก็มีเหมือนกัน แต่ไม่พอดีกับกรอบเหมือนอันนี้ เธอจะไม่ให้รูปเธอแก่ฉันให้ดูเล่นบ้างหรือ
วันพุธนี้ตอนเย็นเธอว่างไหม? ถ้าว่างไปเล่นเทนนิสด้วยกันหน่อย ถ้าไปได้หรือไม่ได้อะไร สั่งประวิชมาบอกฉันด้วย
คิดถึง พจน์"
ปริศนาพับจดหมายเก็บอย่างทะนุถนอม อนงค์เปิดประตูเข้ามา
"ปริศนา ยังไม่อาบน้ำอีกเหรอ"
"ปริศนาเอารูปท่านชาย วางตรงนี้ดีไหมอนงค์"
"ดี สวยเก๋.... อย่าให้ท่านจ้องมองเห็นฉันทุกมุมล่ะ ไม่อยากหลบ"
"เป็นบ้า แล้วอนงค์ นี่แค่รูป"
"แต่เหมือนองค์ท่านจริงๆ ที่เราไม่กล้าจะสู้เนตรท่านน่ะสิ"
อนงค์ส่งผ้าเช็ดตัวให้ปริศนา
"ไปอาบน้ำได้แล้วปริศนา ประเดี๋ยวประวิชก็จะมาถึงแล้ว
ปริศนาเอาผ้าเช็ดตัวพาดบ่า แล้วเดินออกไป ไม่วายหันกลับมามองรูปอีก แล้วยิ้ม อย่างชอบใจ ก่อนออกจากห้องไป
สนามหลังบ้านสุทธากุล เย็นวันเดียวกัน บนโต๊ะวางขนม มีขนมเพียงอย่างเดียว อนงค์กำลังรินน้ำชาส่งให้ประวิช
"นี่ฝีมือคุณอนงค์ อีกแล้วใช่ไหม"
"ค่ะ"
ประวิชตักขนมใส่ปาก เป็นขนมรัสเซีย จำพวก Oladushki Syrniki Vatruski
"แปลกมาก อร่อยดี ไม่เคยกินมาก่อน มันชื่อขนมอะไรหรือ"
"ลืมชื่อไปเสียแล้วค่ะ ขนมรัสเซีย"
สิรีบอก
"คงอะไร สกี้ .... สกี้ กระมัง"
"อือม์ เก่งจริง คุณอนงค์ ทำขนมได้ตั้งหลายชาติ"
"มีคนสอน มีของที่จะใช้ทำได้ ก็ต้องลองทำค่ะ"
"ดี ครับ"
สิรี ตักขนมเข้าปากด้วย ประวิชเห็นสายสร้อยที่ข้อมือของสิรีพอดี วูบหนึ่ง สีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที อนงค์มองเห็นหน้าของประวิชตอนนั้นด้วย ก็รู้สึกเป็นห่วง
"มีอะไรหรือคะ คุณประวิช" สิรีถาม
"ผมว่าหมู่นี้คุณสวยขึ้นมาก ให้ตายสิ คุณปกติดีอยู่หรือเปล่า"
"เกิดอะไรขึ้นล่ะ อยู่ดีๆ ก็มาชม เปิ่น!"
เสียงรถของเสมอเข้าบ้านมา ประวิชชะเง้อมอง แล้วก็หัวเราะก๊ากออกมา
"อ้อ อย่างนี้นี่เอง มิน่าเล่า"
"คุณประวิช หัวเราะอะไรคะ"
ปริศนา ไปยืนดูให้ และ หันมาบอก
"คุณเสมอคะ ทางนี้ค่ะ เชิญเลย"
สิรีลุกขึ้นยืนคอยต้อนรับเสมอ
ประวิช เลี่ยงมายืนข้างปริศนา สมร และอนงค์กำลังเตรียมขนมไว้ให้เสมอ ประวิชดึงปริศนาห่างออกมา
"สร้อยของผมใช่ไหม ทำไมไปอยู่ที่มือของสิรี"
"อ้อ นั่นสิรี ขอยืมไปใส่"
"คุณให้ เขายืมหรือ"
"ใช่สิ เรายืมของกันใส่เสมอ ปริศนายืมเสื้อสิรี สิรียืมโบว์ กระเป๋า ของปริศนา"
ปริศนามองประวิช ทำนองว่าแล้วเป็นยังไง
"มันไม่เหมือนกัน" ประวิชหงุดหงิดที่ปริศนามีท่าทีไม่เข้าใจ "นี่มันของพิเศษ ประวิชให้ปริศนา ปริศนาเอาไปให้คนอื่นได้อย่างไร"
"ไม่ได้ให้ ... ให้ยืมแค่นั้น"
"นั่นแหละ ประวิชให้ปริศนาคนเดียว แต่ปริศนาทำอย่างนี้"
ปริศนามองดูประวิชเห็นน้อยอกน้อยใจจริงๆ
"ถ้างั้น ปริศนาก็เสียใจ ... เดี๋ยว คืนนี้ เค้าก็คืนแล้วล่ะ"
สมรเดินเข้ามาหาปริศนา และประวิช
"ปรึกษาอะไรกันจ๊ะ จะชวนกันออกไปไหนหรือเปล่า"
"ผมว่าจะชวนปริศนาไปเล่นเทนนิสขอรับ"
"ปริศนาไม่ไปนะ มีนัดแล้ว"
"นัดกับใคร"
"วูปี้ ... ปริศนา นัดวูปี้จะพาไปเดินเล่น"
"แต่ประวิช จองคอร์ทไว้แล้ว"
"เทนนิส ไว้ไปวันพุธสิ ท่านชายชวนไว้แล้ว ท่านไม่ได้บอกประวิชเหรอ เราไปเจอกันที่คลับเลยก็ได้ แต่วันนี้ ปริศนาตั้งใจจะพาวูปี้ไปเดินเล่น"
"ปริศนา.... เลอเทอะน่ะ วูปี้ มันจะรู้เรื่องอะไร" สมรว่า
"ไม่เป็นไร ขอรับ หากปริศนาจะพาหมาไปเดินเล่น ประวิชก็ช่วยพาไปด้วย"
"ดีจัง ประวิชไปกินขนมให้เสร็จนะ ปริศนาจะไปเอาวูปี้กับสายจูงก่อน"
ประวิชหน้าแช่มชื่นขึ้น เดินกลับไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ
"ขนมอร่อยมากขอรับคุณอนงค์ คุณนี่ทำอาหารอร่อยทุกอย่างทีเดียว ไม่ว่าขนมไทย ขนมฝรั่ง" เสมอว่า
ยามเย็น บริเวณริมทาง ประวิชเข้ามาจอดรถ ปริศนาอุ้มวูปี้ลงมา พร้อมกับสายจูง และจูงวูปี้ไปอย่างเริงร่า
ประวิชมองปริศนาอย่างชื่นชม
"ปริศนารักหมาตัวนี้ จริงเลยนะ"
"มันเหมือนหมาที่ปริศนาเคยเลี้ยง ที่อเมริกายังไงล่ะ ท่านชายทรงเลือก หมาได้ตรงใจปริศนาเสียจริง"
"ฮึ ท่านชาย อะไรๆ ก็ท่านชาย ประวิชนี่ ไม่มีดีเลยหรือ"
"ประวิช เดี๋ยวนี้ประวิชเป็นอะไรไป ดูคุ้มดีคุ้มร้ายทีเดียว ประวิชน่าจะเห็นว่าท่านชายเป็นคนดี ท่านดูแล ประวิชทุกๆเรื่อง ถ้าปริศนาเป็นประวิช ปริศนาจะดีใจที่ได้ยินใครๆยกย่องท่านชาย"
"ไหนปริศนา เคยโกรธท่านชายเรื่อง อ้ายตัวเล็ก"
"ตอนนั้นปริศนาโกรธจริง เพราะท่านชาย ทำเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองผิด แต่วันนี้ ปริศนารู้แล้วว่า ท่านรู้ว่าท่านผิด และท่านอยากแก้ตัว ดีกว่าที่จะมาพูดขอโทษอีกนะ จริงไหม วูปี้"
วูปี้กระดิกหางให้ปริศนา
ปริศนายืนเล่นกับวูปี้
ประวิชมองปริศนาอย่างแสนเสียดาย อยากจะยึดปริศนาเป็นของตนเสียเดี๋ยวนี้ แต่ดูเหมือนปริศนาจะไม่รับรู้อะไรเลย
คืนเดียวกัน ที่ห้องนอน สิรียกแขนให้อนงค์ถอดสร้อยให้
"อนงค์ แกะตะขอให้ทีเถิด"
อนงค์ช่วยปลดตะขอให้
"สิรี ได้เห็นหน้าประวิชที่มองสร้อย ใช่ไหม"
"ทำไมหรืออนงค์"
"เหมือนจะหวงสร้อยนี้อยู่"
"อนงค์ไปคิดหวงแทนเขาล่ะสิ เขาไม่เห็นเอ่ยปากกระไรสักหน่อย"
สิรีกำลังให้อนงค์ถอดสร้อยข้อมือ ปริศนาเดินเข้ามาในห้องพอดี
"สิรีกับอนงค์ อยู่นี่หรือ"
"ปริศนา กินข้าวแล้วหรือยัง คุณประวิชล่ะ" อนงค์ถาม
"ไม่เห็นได้ยินเสียงรถ" สิรีบอก
"ส่งหน้าบ้าน ไม่ได้เข้ามา ประวิชนี่คบใหม่ๆก็ดีหรอก น่าจะเป็นเพื่อนที่ดีได้ แต่คบนานๆไป ชักรำคาญ"
"เป็นอะไรไปล่ะ"
อนงค์เอาสร้อยใส่กล่องวางบนโต๊ะให้ปริศนา
"เป็นโรคคิดมาก โรคน้อยใจ มากมาย หลายหน จนปริศนาชักเบื่อหน้า"
"ก็คุณประวิช เขาชอบปริศนาเป็นพิเศษนี่" อนงค์บอก
"ชอบมาก ชอบเป็นเพื่อนได้ ปริศนาไม่ว่าอะไร แต่พิเศษนี่คืออะไร ปริศนาไม่เข้าใจ ถ้าพิเศษแล้ว มีกะเกณฑ์ เยอะแยะอย่างนี้ ปริศนาขอว่าไม่ต้องพิเศษหรอก อยู่เฉยเสียดีกว่า ทำให้เสียอารมณ์ที่จะเที่ยวสนุก เล่นสนุกกันเสียหมด ทำแต่ให้เป็นเรื่องน่ารำคาญ"
พี่สาวทั้งสองมองหน้ากันว่า ปริศนาไม่สำนึกเลยหรือว่า ประวิชนั้นรักชอบตนเอง
ปริศนาเดินมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือที่วางรูปท่านชายไว้
"ท่านชายเนี่ย ใจดีเกินไป ท่านเลี้ยงใคร ก็สปอยล์ไปเสียหมด"
"ทูลท่านเองเลยสิ ปริศนา" สิรีบอก
"อือม์ ซักวันนึง คงต้องทำอย่างนั้น ปริศนาคงต้องหาเวลาที่ท่านอารมณ์ดีๆ"
อ่านต่อหน้า 2
ปริศนา ตอนที่ 7 (ต่อ)
บ่ายอีกวันหนึ่ง ณ สปอร์ตคลับ มีคนเล่นเทนนิสกันอยู่บ้างแล้ว ปริศนาถือไม้เทนนิส เดินเข้ามาตามทางเดิมสู่สนามเทนนิส
คนที่เดินผ่านไปมา มียกมือทักทายปริศนากันบ้าง ปริศนามีกระเป๋าใส่ผ้าเล็กๆมาด้วย
ปริศนาเดินเข้ามานั่งในคอร์ท ที่ท่านชายจองไว้ เพียงลำพัง เตรียมเอาผ้าขนหนูมาพาดไว้ และเอาขวดน้ำออกมาวาง ท่านชายเดินมาจากทางห้องแต่งตัว เข้ามาที่คอร์ท
ปริศนายกมือไหว้
"ประวิชล่ะเพคะ"
"มาส่งแล้วก็กลับไปแล้ว บอกว่าค่ำๆจะมารับ"
"อ้าว... แล้วกัน ปริศนานึกว่า จะมาเล่นด้วยกันเสียอีก"
"ชวนแล้วเหมือนกัน แล้วก็นึกว่าจะอยู่เล่นด้วย ถึงได้เอารถมาคันเดียว พอมาถึง กลับเปลี่ยนใจ"
"อ้าว... แล้วกัน ประวิชนี่ ชอบกลจริง"
"หมู่นี้อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย เอาเป็นอารมณ์ไม่ได้เลย"
"ไม่ถูกใจอะไรสักอย่างเดียว น่ารำคาญ ดูบ้าๆบอๆ ตั้งแต่วันที่นัดวันนั้นแล้ว ก็หายไป ไม่ไปบ้านปริศนาอีกเลย"
"ขี้เกียจจะไปสนใจ เด็กเก็บลูกมาแล้ว ลงสนามกันเถิด"
ท่านชายเดินนำลงสนาม แล้วลงมือตีเทนนิสเลย ทั้งสอง ตีโต้กัน และ
ผ่านเวลามาสักพัก ปริศนาคิดในใจว่า
"ฝีมือเทนนิสของท่านชาย เราจะเอาชนะได้หรือไม่นะ ดวลกันตัวต่อตัวอย่างนี้ ถ้าเป็นประวิชเราเอาชนะได้แน่นอน"
ปริศนาตั้งใจเล่น ท่านชายที่รู้ว่าปริศนาตั้งใจเล่น ก็ตั้งใจตีเหมือนกัน
ทั้งสองต่างตีเทนนิส กระดานคะแนน ที่มีคะแนนขึ้นเรื่อยๆ จนเป็น 6 - 4
ปริศนาออกมาพัก และดื่มน้ำที่เตรียมมา ส่วนของท่านชายนั้น เด็กมาเสิร์ฟน้ำให้
"ปริศนา ตั้งใจเล่น จริงเลยนะ"
"เพคะ อยากรู้ว่าปริศนาจะเล่นให้ดีขึ้นได้อีกไหม หากเราได้เล่นกับคนเก่งๆ คนที่เก่งกว่าเราบ่อยๆ เราก็อาจจะเก่งขึ้นได้"
"ความคิดของปริศนา เหมือนคนที่จะเล่นกีฬาอาชีพเลย"
"ปริศนา ทำอะไรแล้ว ก็อยากทำให้ดีเพคะ อยากรู้ว่า สิ่งที่เราทำนี่ จะทำดีที่สุดได้แค่ไหน ทุกเรื่อง"
"คิดอย่างปริศนา คาดไม่ถึงทีเดียว ถ้าเช่นนั้น วันนี้เราคงต้องเล่นกันให้จบ 3 เซ็ท"
"เพคะ อาจจะต้องกลับค่ำหน่อย"
"ได้ แล้วฉันจะเลี้ยงข้าวเธอ"
ปริศนายิ้มกับท่านชายอย่างเป็นมิตร
ทั้ง 2 ลงสนามกันอีกครั้ง และเริ่มตีในไม่ช้า ระหว่างนั้น มีพนักงานเสิร์ฟเดินมาจากทางด้านตึกใหญ่ มาถึงสนามพอดีเกมหยุด ลูกเสีย
ท่านชายหันมามอง และเดินออกจากสนามมาหาพนักงาน
"มีอะไรรึ"
"มีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลขอรับ"
ท่านชายหันมาหาปริศนา
"รอประเดี๋ยวนะ ปริศนา"
พูดจบท่านชายก็เดินแกมวิ่งออกไปทางอาคารสโมสร
ปริศนาเดินมานั่งพัก
เวลาต่อเนื่องมา ที่จอดรถของสโมสร สปอร์ตคลับ มีรถคันเก่าของปริศนาจอดอยู่ ท่านชายแต่งชุดเรียบร้อย แต่ปริศนายังแต่งชุดเทนนิสอยู่ ทั้งคู่เดินออกมาด้วยกัน
"ให้ปริศนาไปแวะส่งท่านเถิดเพคะ อย่าไปยืนรอแท็กซี่เลย คนเจ็บหนักรออยู่"
"ขอบใจมากปริศนา มาเสียท่า มีคนไข้ด่วน จำเพาะวันที่มีเรื่องขัดข้องอย่างนี้เสียด้วย"
ปริศนาเปิดรถให้ท่านชาย
"ยังดีเพคะ มีรถบุโรทั่งใช้"
ปริศนา ขึ้นรถ ขับออกไปอย่างเร็ว
รถแล่นผ่านหน้าโรงพยาบาล เข้ามาด้านใน ท่านชายพจน์ชี้ให้ว่า ควรจะจอดรถที่ตรงไหน ปริศนาจอดรถที่หน้าตึก ท่านชายลงจากรถ และหันมาสั่งปริศนา ก่อนที่จะเดินเข้าไปในตึก
"ขอบใจเธอมากปริศนา ถ้าพบประวิช บอกให้มารับฉันที่นี่ด้วย"
"ได้เพคะ ขอให้ท่านชายมีโชคดี"
"ขอบใจ"
ปริศนาเลื่อนรถออกไปได้สักนิดก็เบรก
ปริศนาคิด
"ประวิชเหรอ บอกประวิชให้มารับท่านชาย แล้วถ้าไม่เจอประวิชใครจะมารับท่านล่ะ"
ปริศนาถอยรถไปจอด ในที่ไม่ไกลจากตรงที่ส่ง
เวลาต่อมา ท่านชายพจน์ ปรีชาเปลี่ยนชุดเป็นชุดผ่าตัดแล้ว กำลังเดินที่จะเข้าไปทางห้องผ่าตัด ทีมแพทย์ และพยาบาลดูเคร่งเครียด
ผ่านเวลามา รถของปริศนา จอดอยู่อย่างโดดเดี่ยว กระจกรถเปิดค้างไว้เพื่อระบายลม ปริศนานั่งอยู่ที่เก้าอี้คนขับ และพิงตัว หลับตาเนื่องจากคอยมาเป็นเวลานาน
นาฬิกา บอกเวลาประมาณทุ่มหนึ่ง เปลี่ยนผ่านเป็นเวลาสองทุ่ม ยี่สิบกว่า
ปริศนา สะดุ้งตื่น
"ตายจริง"
ปริศนารีบค้นผ้าเช็ดหน้า ขึ้นมาซับหน้าให้หายงัวเงีย ยกนาฬิกาข้อมือออกมาดู มองไปรอบๆอย่างกังวล เพราะมืดค่ำแล้ว โดยเธอเองก็ไม่รู้ว่า ท่านชายกลับไปแล้วหรือยัง
"บ้าจริง.... เผลอหลับไปได้"
ปริศนายกน้ำที่ติดตัวมาด้วยขึ้นดื่ม แล้วสตาร์ทรถ ตั้งวงเพื่อที่จะขับออกจากโรงพยาบาล
ทันใดนั้น ท่านชายที่เปลี่ยนเป็นชุดเดิมตอนที่ปริศนามาส่ง ก็หิ้วกระเป๋า กลับออกมาจากโรงพยาบาล ปริศนาจึงถอยรถกลับไปที่บันได
ท่านชาย เห็นรถปริศนาก็แปลกใจ เดินมาทางฝั่งคนขับก่อน
"ปริศนา! อะไรกัน นี่ เธอทำอะไรอยู่ที่นี่"
"คือปริศนาไม่แน่ใจเพคะ ว่าจะได้พบประวิชไหม ก็เลยคอยท่านชายอยู่นี่เพคะ เด็จขึ้นมาซี จะได้รีบไป"
"คอยฉันอยู่ 2 ชั่วโมงกว่า คอยอยู่ทำไม"
"ปริศนา ก็ไม่รู้เหมือนกันเพคะ ว่าคอยทำไม แต่คงจะกลัวว่า ท่านชายผ่าท้องคนมาใหม่ๆ แล้วไม่มีรถกลับ น่าจะไม่ดีแน่ ปริศนาก็เลยคอย"
ท่านชายมองปริศนาด้วยแววตาอ่อนโยน สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงที่ปริศนามีต่อท่าน
ปริศนาออกจะเขินอยู่ จึงเอื้อมมือเปิดประตู ท่านชายอ้อมมาขึ้นรถ
"คนไข้เป็นยังไงบ้างเพคะ"
"ไม่ค่อยดี นี่ยังไม่ฟื้นเลย"
"แล้วจะรอดไหมเพคะ"
"ไม่ควรจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้แล้ว ปริศนา กลับบ้านเธอก็ได้นะ ป่านนี้แม่เธอคงเป็นห่วงแย่แล้ว แล้วนี่กินข้าวหรือยัง"
"มัวหลับอยู่เพคะ แต่ปริศนาไม่หิว ท่านชายก็ยังไม่ได้เสวยเหมือนกันไม่ใช่หรือเพคะ"
"งั้นกลับบ้านเธอเถอะ แล้วฉันโทรศัพท์เรียกรถไปรับเอง"
"แม่คอยอีกหน่อยคงไม่เป็นไร ปริศนาอุตส่าห์นั่งคอยตั้งนาน ให้ไปส่งท่านชายถึงวังเถิดเพคะ"
หม่อมเจ้าพจน์ ปรีชามองปริศนาด้วยแววตาอ่อนโยนซาบซึ้งอีกครั้ง)
"ตามใจ"
ปริศนาขับรถไปในความมืด
ยามค่ำ บริเวณโดยรอบด้านหน้าวังศิลาขาว ค่อนข้างเงียบ ปริศนาขับรถเลี้ยวเข้าประตูวังศิลาขาว รถแล่นต่อไปจนจอดอย่างเรียบร้อยที่หน้าตึก
ท่านชายเปิดประตูรถลงมา ปริศนาก็ลงมาด้วย ท่านชายพจน์ยื่นมือมาให้ปริศนาจับ
"ยินดีที่ได้แข่งเทนนิสกัน วันนี้ฉันสนุกมาก แม้จะแข่งไม่จบ"
ปริศนาจับมือท่านชาย
"เช่นกันเพคะ ปริศนาสนุกมาก"
แล้วท่านชายยกมือปริศนาขึ้นแตะริมโอษฐ์ แล้วชื่นชมจากจริงใจ
"เธอเป็นคนดีที่สุดในโลก ปริศนา"
ปริศนานิ่งไปพักหนึ่งเพราะไม่คาดคิดมาก่อน
"ทูลลาท่านตรงนี้เพคะ"
พอท่านชายปล่อยมือ ปริศนาก็เมินหน้าหลบด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ตรงขึ้นรถ ขับกลับออกไป ท่านชายมองตามจนลับตา
ระหว่างนั้นนายสนออกมายืนรับกระเป๋าเทนนิสของท่านชายไปจากพระหัตถ์
บริเวณห้องโถงบ้านสุทธากุล อนงค์ สิรี สมรแต่งชุดนอนกันเรียบร้อยแล้ว สมรกำลังเดินปิดหน้าต่างบ้าน
เสียงรถของปริศนาแล่นเข้าบ้านมา
"แน่ะ เสียงรถปริศนา" อนงค์ว่า
สิรีเหลือบตามองดูแม่วัดอารมณ์ก่อน แล้วหันมาหาอนงค์
"ทำไมเพิ่งกลับ ป่านนี้แล้ว เล่นเทนนิสอะไรกัน จะสี่ทุ่มแล้วนะ" สิรีถาม
ปริศนาเดินถือแร็กเก็ตเข้ามาในห้อง ยังแต่งชุดเทนนิสอยู่
"มีอะไรกินมั่งคะ ปริศนาหิวจัง"
สมรหันมามอง หน้าเฉยเย็นชา
"แกหายไปไหนมา"
ปริศนาทำเป็นไม่สนใจปฏิกิริยาแข็งกร้าวของแม่
ปริศนาทำเสียงเรียบวางไม้เทนนิสลง
"ไปโรงพยาบาลมาค่ะ"
"ไปโรงพยาบาล ไปทำไม แล้วแต่งตัวอย่างนี้หรือ ไปกับใครกัน"
ปริศนาเหนื่อยล้า
"เรื่องมันยาวค่ะแม่ ปริศนายังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย หิวออก"
"งั้นหรือ แม่ไม่รู้ เห็นผิดเวลาไปมาก ส่งให้เขาไปกินกันหมดแล้ว ให้จำเนียรไปดูข้าวผัด ปากซอยสิ"
อนงค์ขยับลุกขึ้น
"พี่ไปบอกจำเนียรให้ ปริศนาจะไปอาบน้ำก่อนมั้ย"
ปริศนาส่ายหน้า
"ไม่"
ปริศนาเดินไปหยิบกระเป๋าถือ เปิดออก แล้วเอาเงินส่งให้ อนงค์เดินออกไปทางหลังบ้าน ปริศนาหันกลับมามองแม่
"เมื่อกี้แม่ถามว่ายังไงนะคะ ถามอีกทีซิ ปริศนา จะได้ตอบ"
สมรมองปริศนา อย่างชั่งใจ
"แกไปไหนมา"
"ไปโรงพยาบาลค่ะ"
"ไปกับใคร ไปทำไม"
"ไปกับท่านชาย ไปส่งท่าน"
"แล้วไง?" สิรีถาม
"หือ สิรี ถามว่าแล้วไง ปริศนาตอบไม่ถูกล่ะนะ ถามใหม่สิ ถามให้ปริศนาตอบได้หน่อย"
"ปริศนา แกนี่ มัวแต่จะเล่น พูดให้เข้าใจหน่อยได้ไหม ว่าไปทำอะไรที่โรงพยาบาล ไหนว่านัดไปเล่นเทนนิสกับท่านชายไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงกลายเป็นโรงพยาบาล ไป"
ปริศนาเหลือบตามองแม่ สงสัยว่าทำไมต้องหงุดหงิดขนาดนั้น
สมรบอก
"เมื่อค่ำ ประวิชมา นึกว่าท่านชายอยู่ที่นี่ เพราะไปรับที่สโมสรไม่พบ มานี่แกก็หายไป ประวิชไปเที่ยวตามหาออกแย่ เพิ่งกลับไปเมื่อกี้นี้เอง"
ปริศนาถอนหายใจ เข้าใจแล้วว่าทำไมแม่ถึงเต้นผิดปกติขนาดนี้
"ก็ปริศนาไปโรงพยาบาล ยังไงล่ะคะ เมื่อแรกเล่นเทนนิส แพ้ท่านได้... เจ็บใจจริง ตั้งแต่มาเล่นเดี่ยว ยังไม่เคยแพ้ใครเลย"
"แล้วเรื่อง โรงพยาบาล ล่ะ ว่าไง" สิรีถาม
"อ้อ...ทีนี้กำลังเล่น มีโทรศัพท์ มาถึงท่านชายว่า คนไข้เจ็บหนัก ต้องผ่าตัดทันที กำลังคอยอยู่ที่โรงพยาบาล ปริศนาก็เลยอาสา ไปส่งท่าน"
"กลางค่ำกลางคืน เป็นผู้หญิง เที่ยวไปส่งเขาทำไม เกินไปล่ะ" สมรว่า
"ไปส่งแล้วทำไม เพิ่งจะกลับ" สิรีถามอีก
"ก็ เป็นห่วงว่า ท่านชายจะกลับได้ยังไง เลยว่าจะรอท่านสักพัก แต่เกิดหลับไป มาตื่นก็สองทุ่มกว่าแล้ว ท่านชายเสร็จออกมาพอดี ปริศนาก็พาท่านกลับไปส่งวัง แล้วก็มานี่ ข้าวปลาเลยไม่ได้กิน"
"มัวแต่เป็นห่วงท่านชาย ไม่ห่วงตัวเองเลย" สิรีว่า
"ปริศนาไม่ได้คิดอะไร นอกจากเห็นว่าท่านชายดีต่อพวกเราเกลือเกิน ตั้งแต่ชวนพวกเราไปเที่ยว ประทานหมากับรูปมาให้ในวันเกิด ปริศนายังไม่ได้ตอบแทนอะไรท่านเลย มีแต่ล้อท่านทุกวี่ทุกวัน มีโอกาสตรงนี้ ปริศนาก็อยากฉวยไว้ตอบแทนท่าน จะเป็นไรไป จริงไหมคะแม่"
อนงค์เดินกลับเข้ามา
"ปริศนา ข้าวผัดมาแล้ว พี่ใส่จานให้แล้ว มากินเสีย"
สมรถอนใจ อย่างอ่อนใจและโล่งใจว่าไม่มีอะไรที่ต้องกังวล )
"ไปกินข้าว ไปปริศนา"
ปริศนาเดินตามอนงค์ไป สิรีหันมามองแม่
"แม่คะ เรื่องท่านชายกับปริศนา แม่คิดว่าอย่างไรคะ"
"ยังไม่คิด แม่ไม่รู้จะคิดยังไง ไปอาบน้ำนอนละ เหนื่อย เต้นมาตั้งแต่เย็น"
สิรีอึ้งไปออกขัดใจ ที่แม่ไม่ยอมคุยเรื่องนี้ด้วย จะสันนิษฐานเองตรงๆ ก็กลัวแม่ว่า
อนงค์เปิดประตูเข้ามา เพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนเสร็จ เห็นปริศนากำลังเอามุ้งลงปริศนา พอเห็นอนงค์ก็บ่น
"โอยอนงค์ ใจร้ายเสียจริงไม่เอามุ้งลงให้ปริศนา คืนนี้ยุงร้องลั่นแก้วหูปริศนาแน่
ไม่เห็นอกเห็นใจกันบ้างเลย"
อนงค์ ผึ่งผ้าเช็ดตัวของตนที่ราวของปริศนา ที่วางกองไว้ ขึ้นมาผึ่งด้วย
"จะไปรู้ด้วยเหรอ คุณแม่สั่งไม่ให้พี่เอาลงให้ อีกนี่นา บอกว่าปริศนา เคยตัว ตอนเช้าไม่ทำว่าไปทำงานไม่ทัน ก็สู้ไม่ว่าอะไรแล้ว นี่กลางคืนก็ยังไม่ทำอีก ใช้พี่ทำทุกวัน มาตั้งแต่ต้นเดือน"
"โธ่ ไม่เห็นใจกันบ้างเลย"
ปริศนา เอามุ้งลงเสร็จ หยิบหนังสือมาพลางคุย
"วันนี้แม่เป็นห่วงปริศนาใหญ่รึ"
"แน่ล่ะสิ อยู่ๆ หายไป ไม่บอกไม่กล่าว คุณประวิชน่ะ เอะอะ กว่าคนใครเพื่อน"
"เป็นบ้าน่ะสิ ปริศนาโตแล้ว เค้ารู้จักระวัง ตัวเขา ยุ่งยังกับยายแก่ เบื่อจัง
ประวิชนี่แปลกมาก หายหน้าไปหลายวัน พอมาถึงก็มายุ่ง ยุ่ง มากๆ"
"ไปว่าแก แกหวังดีแท้ๆ"
"หวังดีน่ะ รู้ล่ะ แต่มันเกินไป ยังกะยายแก่ ใจก็น้อย ผู้ชายอะไรเปิ่น อยู่ดีๆ ก็ โกรธ"
"อะไร นี่โกรธกันแล้วเหรอ"
"ไม่รู้... ปริศนาไม่ได้โกรธเขา แต่เค้าโกรธปริศนารึเปล่า ปริศนาก็ไม่รู้"
"อะไรกัน เป็นเพื่อนกันแท้ๆ โกรธ หรือไม่โกรธ ถ้าโกรธ โกรธเรื่องอะไร ทำไมถึงไม่รู้สักอย่าง"
"ก็ใครจะไปรู้ คนบ้าๆบอๆ เดี๋ยวก็หน้างอ ตอนที่แขกเมืองมา หายไปพักแล้ว กลับมาเป็นอีก"
ปริศนายักไหล่ แล้วก็เข้ามุ้งไป ทิ้งตัวลงกับหมอน หลับตาคล้ายหมดเรื่องพูด
อนงค์มองตามถอนหายใจ
ทันใดนั้นปริศนาลืมตาขึ้นอีกครั้ง
"ท่านชายดีนะ อนงค์"
อนงค์ลุกขึ้นยืน
"แล้วยังไง"
"ปริศนาชอบน่ะสิ ทั้งชอบ ทั้งนับถือ ยิ่งรู้จักยิ่งดี ไม่รู้สึกว่าน่าหมั่นไส้ เหมือนแรกที่รู้จัก"
"อืมม์ ใครๆ ก็ชอบท่านทั้งนั้น เพราะท่านรวย"
"แต่ปริศนาชอบเพราะมีความเข้าใจกัน ชอบด้วย นับถือด้วย อย่างประวิชนี่ ปริศนาชอบ ม้าก มาก แต่ไม่นับถือเลยจนนิดเดียว"
ปริศนาตะแคงตัว ทำท่าเหมือนจะหลับไป
อนงค์ ได้แต่ยืนอึ้ง ตั้งแต่คำว่า ประวิชนี่ปริศนาชอบม้ากมาก เสียงปริศนาดังก้องในความคิดของอนงค์ เธอปิดไฟเพดานจนห้องมืดมิด
ในห้องกินข้าว วังศิลาขาว เช้าวันใหม่ ประวิชเดินเข้ามาในห้องอาหาร เห็นสนยืนอยู่ ประวิชมองไปรอบๆเห็น อาหารยังอยู่เรียบร้อย
"ท่านชายยังไม่เสด็จลงมาหรือ"
"ขอรับ คุณประวิช รับประทานก่อนไหมขอรับ"
"ฉัน จะรอท่านชาย เมื่อคืนนี้ท่านเสด็จกลับมาตอนไหน"
"ใกล้ยามหนึ่งขอรับ คุณปริศนา มาส่ง"
"ปริศนาหรือ มาส่งท่านชายตอนยามหนึ่ง"
ประวิชนั่งลง สนตักข้าวต้มเครื่องให้ ประวิชตักกินอย่างกระแทกกระทั้น ท่านชายพจน์ ปรีชาเดินเข้ามา
"ยังไงประวิช เย็นนี้มีโปรแกรมไปไหนหรือเปล่า"
ประวิชเหมือนท้าทาย
"กระหม่อมไปหาปริศนา เหมือนเคย ใจเราอยู่ที่เขา ตัวก็อยากไปรวมกับหัวใจจนได้"
"หากจะให้ดี นายจะต้องได้หัวใจของเขามาครองให้ได้ จึงจะดีที่สุด"
ประวิชมอง พยายามตีความว่า ท่านชายท้าทายหรืออย่างไร
อ่านต่อหน้า 3
ปริศนา ตอนที่ 7 (ต่อ)
บ่ายวันต่อมา ประวิชขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านสุทธากุล และลงไปกดกริ่ง ช่วงเปิดประตูบ้าน มือยังถือกระป๋องน้ำรดน้ำต้นไม้อยู่ ประวิชเลื่อนรถเข้าไปในบ้าน
ประวิชนำรถมาจอดข้างรถปริศนา มองรถยิ้มยินดี เพราะคิดว่าปริศนาคงอยู่บ้าน ประวิชติดดอกกุหลาบแดงดอกหนึ่งมาด้วย จำเนียรเดินออกมาดู เพราะกำลังจัดบ้านอยู่
จำเนียรยกมือไหว้
"อ้อ คุณประวิช"
"ปริศนา อยู่ไหน"
"ไม่ทราบค่ะ อาจจะอยู่หลังบ้านมังคะ เห็นเล่นอยู่กับเจ้าวูปี้ เมื่อสักครู่"
ประวิช เดินไปทางหลังบ้าน
อนงค์สวมเสื้อของปริศนาทับเสื้อของตนอยู่ เสื้อตัวนั้นถูกกลัดเข็มกลัดไว้ แล้วจึงถอดเสื้อออกมาเพื่อจะสอย
ประวิชเห็นด้านหลังอนงค์คิดว่าเป็นปริศนาอีกเช่นเคย เขาคุกเข่าลงกับพื้น ข้างๆที่อนงค์ยืน ส่งดอกไม้ให้
"แต่งงานกับผมเถอะ ปริศนา"
อนงค์ตกใจ หน้าซีดไป ประวิชพูดจบเงยหน้าขึ้น เห็นเป็นอนงค์ ก็ยืนพรวดขึ้นจนอนงค์เองก็ตกใจหน้ายิ่งซีดมากขึ้น
"อนงค์! คุณเองหรือ ผมคิดว่าเป็นปริศนา เห็นจำเนียรว่าปริศนาอยู่หลังบ้าน"
อนงค์สับสนด้วยความรู้สึกข้างในที่ตนเองรักประวิช แต่ประวิชจะขอแต่งงานกับปริศนา!
"ไม่...ไม่อยู่ค่ะ ปริศนา เอ่อ ไปเดินเล่นข้างนอก กับวูปี้"
"โธ่เอ๋ย ผมนี่เปิ่นจริงๆ เข้าใจคุณว่าเป็นปริศนา ซ้ำแล้วซ้ำอีก อ้อเห็นเสื้อตัวนี้ คุ้นว่าเป็นปริศนา"
ประวิชชี้เสื้อในมือ อนงค์ก้มลงดูเสื้อ
"เสื้อของปริศนา ปริศนาไม่ยอมซ่อมชายเสื้อเอง ให้ฉันทำให้น่ะค่ะ แกว่า แกไม่ถนัดงานพวกนี้ เขาชอบคิดแบบให้ แล้วให้พี่ๆทำเสื้อให้ใส่"
ประวิชไม่ได้ฟังที่อนงค์พูด เขาก้มมองดอกกุหลาบในมือ
"นี่คุณอนงค์ เรายังเป็นเพื่อนที่ดีกันอยู่ใช่ไหม"
อนงค์มองประวิชอย่างแปลกใจ
"ค่ะ"
"ผมไว้ใจคุณได้นะ"
"ได้ค่ะ"
"ผมตั้งใจว่า วันนี้จะมาพูดกับปริศนาให้รู้เรื่อง ที่ผมพูดไปเมื่อกี้ อนงค์อย่าเพิ่งบอกปริศนานะ ผมตั้งใจจะบอกเขาด้วยตัวผมเอง แต่ผมอยากจะถามความเห็นคุณเหมือนกัน ว่า คุณเห็นว่าผมดีพอสำหรับน้องคุณไหม"
ตลอดที่ประวิชพูด อนงค์จะหลบตามองดูเสื้อที่กำไว้เฉยๆเหมือนจะทำอะไรแต่ไม่ได้ทำ เพื่อซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงของตน และก็พูดไม่ออกกลัวร้องไห้
อนงค์พยักหน้า
ประวิชไม่ได้สนใจอนงค์สักเท่าไหร่ หมกมุ่นอยู่แต่กับความรู้สึกของตนเอง
"ผมมาวันนี้ ตั้งใจจะว่าจะบอก ผมทนไม่ไหวอีกต่อไป นอนไม่ใคร่หลับมาหลายวันแล้ว คุณว่าผมดีพอสำหรับน้องคุณไหม"
อนงค์อยู่ท่าเดิม พยักหน้าอีกครั้ง ประวิช ยังวาดวิมานในอากาศต่อไป
"ถ้าน้องคุณยังเห็นผมไม่ดีพอ ผมก็จะพยายามทำตัวให้ดีขึ้น เวลานี้ผมได้เงินเดือนเดือนละไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเราใช้กระเหม็ดกระแหม่หน่อยทำไมจะไม่พอ เพราะเราจะอาศัยท่านชายอยู่ก่อน จนกว่าผมจะมีฐานะดีกว่านี้ ท่านชายเคยรับสั่งว่า ถ้าผมแต่งงานกับคนที่ดีด้วยท่านจะปลูกตึกประทานในบริเวณวังศิลาขาว แต่ถ้าเรารีบแต่งกัน ก็อาจจะอยู่ในตำหนักใหญ่ไปก่อน เพราะจะได้ไม่เปลือง ข้าวปลามีกินเสร็จ อยู่บ้านเล็กของเราเองแพงกว่า เรื่องอย่างนี้ท่านชายต้องเห็นด้วยแน่ เพราะท่านโปรดปริศนาจะตายไป คุณเห็นกับผมด้วยไหม"
คราวนี้ประวิชหันมามองอนงค์จริงๆจังๆ อย่างคาดคั้นคำตอบ
แต่สิ่งที่ประวิชเห็น คืออนงค์หน้าซีดขาว ด้วยน้ำตาที่ไม่กล้าปล่อยออกมา กลับย้อนไปท่วมปอด ท่วมหัวใจแทบสำลักน้ำตาภายในร่างสิ้นชีพอยู่ตรงนั้น
อนงค์พยายามฝืนพยักหน้าให้ประวิช แต่มันดูแย่และป่วยมาก
"อนงค์ คุณเป็นอะไรไป หน้าซีดจัง ไม่สบายหรือ"
อนงค์ฝืนทำปกติอย่างที่สุด
"ไม่ค่ะ.... คุณไม่คิดว่าปริศนาจะเด็กไปหรือ"
"ไม่เด็กหรอก ตั้ง 20 แล้ว ถ้าคุณเห็นว่าเด็กเกินไปที่จะแต่งงานก็หมั้นกันไว้ก่อน ผมถึงจะวางใจได้"
"ถ้าไม่ไว้ใจ คุณจะมาขอแต่งงานกับแกทำไม"
"ผมรักปริศนาจริงๆนะ คุณอนงค์ รักอย่างหมดหัวใจ"
อนงค์เหมือนถูกแทงหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"แต่ผมไม่รู้ว่าปริศนารักผมจริงหรือเปล่า บางครั้งก็ดูรัก บางคราวก็ดูเฉยๆ แต่บางที ผมก็เห็นว่าเกลียดเลย โอย... อนงค์รู้ไหม ผมจะเป็นบ้า ปริศนาไม่รักตอบผม"
อนงค์เริ่มมองประวิช อย่างสงสารเห็นใจ
"ดีแล้ว ที่พบคุณก่อน วันนี้ อนงค์ช่วยผมหน่อยนะ สืบให้ผมทีนะ ไหนๆเราก็เป็นเพื่อนกัน"
อนงค์นิ่งไปพักหนึ่ง
"ค่ะ... แต่คุณประวิชเอง ก็อย่าเพิ่งพูดกับปริศนาเหมือนกัน เพราะปริศนาเป็นคนใจแข็งเป็นที่สุด ถ้าแกพูดว่าไม่ ก็ไม่ไปจนตายทีเดียว ..... สัญญาสิคะ"
ประวิชจับมืออนงค์ไว้อย่างขอบคุณ
"คุณอนงค์ คุณเป็นคนที่น่ารักที่สุด ผมจะไม่ลืมบุญคุณของคุณเลย ผมไปก่อนนะ แล้วจะมาใหม่"
อนงค์พยักหน้า ประวิชเดินกลับออกไปทางหน้าบ้าน เธอไม่ได้หันไปดู ได้แต่ทรุดนั่งลง น้ำตาค่อยๆเอ่อออกมาแล้วรินลงมาเป็นสายโดยไม่ได้สะอื้นร้อง
ที่ถนนตรงทางแยก รถของประวิชแล่นฉิวออกไป รถของท่านชายพจน์ขับมาอย่างช้าๆ จากถนนอีกด้านหนึ่ง และเลี้ยวไปทางบ้านปริศนา โดยทั้งสองไม่ได้เห็นกัน
เมื่อถึงบริเวณหน้าบ้าน ท่านชายมองเห็นปริศนาจูงวูปี้ เดินกลับมาจากอีกด้านหนึ่ง ท่านชายก็จอดรถดับเครื่องอยู่ริมถนนหน้าบ้าน
ปริศนาเดินเข้ามาใกล้ แล้วผลักประตูรั้ว ปลดสายจูงวูปี้ ให้มันวิ่งเข้าบ้านไปก่อน แล้วเดินมาหาท่านชายเพราะจำรถได้
"ท่านชายจะเสด็จมาข้างในก่อนไหมเพคะ"
"เธอไปไหนมา เหรอ"
"พาวูปี้ ไปเดินเล่นเพคะ ปล่อยเขาเข้าบ้านไปแล้ว แล้วนี่ท่านเด็จไหนมาเพคะ"
"ไปสโมสร แต่ก็เบื่อ จะกลับบ้าน ก็ยังไม่อยากไป เลยขับรถมาเรื่อยๆ"
วูปี้วิ่งออกจากบ้าน มาหาปริศนาอีกครั้ง
"แน่ะ วูปี้ ออกมาอีกแล้ว"
ท่านชายเปิดประตูรถออกมา เพื่อจะมาหาวูปี้ แต่วูปี้วิ่งสวนกระโดดเข้าไปในรถแทน
"อ้าว ... ไหนว่าไปเที่ยวมาแล้ว"
"เดินเที่ยวเพคะ ต่มันคงอยากจะนั่งรถเที่ยว ทีนี้ล่ะเรียกไม่ยอมลงแน่นอน จะกว่าจะได้เที่ยว ปริศนาทำมันนิสัยเสียเองเพคะ"
ปริศนาเปิดประตูรถเพื่อจะเรียกวูปี้ลง แต่วูปี้วิ่งกระโดดไปมาอยู่ในรถ
ท่านชายพจน์มายืนข้างปริศนา
"ถ้าอย่างนั้น ก็พามันไปเที่ยวสิ ปริศนาขึ้นรถเลยดีกว่า"
"กลับมาก่อนค่ำนะเพคะ"
"อือม์ ได้สิ ปริศนาอยากขับรถเองไหม"
"ไม่เพคะ อยากนั่งมากกว่า กำลังสบาย"
ปริศนาเข้าไปนั่ง ท่านชายพจน์ปิดประตูให้แล้วมานั่งที่คนขับออกรถไป วูปี้เริงร่า มานั่งกับปริศนา
รถแล่นมาตามถนน วูปี้อยู่ในรถด้วย
"ทำไม ต้องกลับมาก่อนค่ำ"
"ปริศนาต้องเอามุ้งลงเองเพคะ แม่ไม่ให้อนงค์ทำให้แล้ว เอาลงตอนค่ำยุงเต็มมุ้ง นอนไม่ได้สบายเลย"
ท่านชายพจน์หัวเราะ
"แล้ววันอาทิตย์ยังต้องซักผ้าปูที่นอนอีกหรือเปล่า"
ปริศนาตาโต ท่านชายจำได้
"ทรงจำได้" ปริศนาหัวเราะ "ยังซักอยู่เพคะ นี่ยังดีนะ ปริศนาแค่เอามุ้งลงตอนกลางคืน กับซักผ้า วันอาทิตย์ แต่อนงค์นี่เขาต้องทำทั้งวัน ดูแลบ้าน ดูแลคุณยาย สงสารเขาเหมือนกัน
ถ้าปริศนารวย อนงค์จะสบายกว่านี้ ปริศนาก็จะสบายด้วย"
"แล้วนี่ยังไม่รวยหรือ"
"เรียกว่ามีพอกินพอใช้เพคะ ปีหน้า อาจจะสบายขึ้นอีกนิด คุณป้าสงวนว่าจะขึ้นเงินเดือนให้ แต่ปริศนาก็ต้องใช้จ่ายอีกมาก อย่างค่าเย็บเสื้อให้สิรี ก็ต้องจ่ายเหมือนกัน"
"แล้วทำยังไงถึงจะรวยล่ะ"
"นั่นสิเพคะ นึกไม่ออกเลย ท่าจะต้องแต่งงานกับคนรวยมั้ง แต่วิธีนี้ มันดูเป็นคนขุดทองราคาต่ำไม่ดีแน่ ปริศนาคงคิดและทำอย่างนั้นไม่ได้ ยอมจนอยู่อย่างนี้ดีกว่า แต่ไม่แน่นะเพคะ ปริศนาอาจจะถูกล็อตเตอรี่ก็ได้ เสียอย่างเดียวไม่ได้ซื้อ"
ท่านชายหัวเราะ จอดรถลงที่ร่มรื่นแห่งหนึ่งริมถนน แล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาส่งล็อตเตอรี่ให้ปริศนา
"งั้นใบนี้ฉันให้เธอ เพิ่งซื้อเมื่อคืนนี้เอง คนขาย อุตส่าห์ยื่นมือเข้ามาถึงในรถ"
ปริศนารับมาถือไว้ มองดูแล้วก็ชั่งใจ
"นี่ถ้าเผื่อถูก ท่านชายก็อดสิเพคะ ปริศนารับไว้ไม่ได้หรอก"
"ก็เธอว่าอยากรวย ลองดูสิ ว่าจะรวยไหม ให้เธอก็แล้วกัน ฉันยังไม่อยากรวย ปริศนาจะลงเดินไหม"
ปริศนาหันไปมองวูปี้
"น่าจะเหนื่อยแล้วเพคะ เอาเป็นว่านั่งรถเที่ยวเฉยๆ ปริศนาขับรถกลับให้ไหมเพคะ"
"ได้"
ท่านชายกลับรถไปจอดอีกฝั่งหนึ่งของถนนแล้วเปิดประตูรถออกมา ให้ปริศนาเปลี่ยนที่มาเป็นคนขับ
รถแล่นออกไป
กลางคืนต่อเนื่อง ปริศนาขับรถมาจอดหน้าบ้าน และกดกริ่ง แล้วเดินกลับมาหาท่านชายที่รถ
ท่านชายอุ้มวูปี้ออกมาให้ใส่สายจูงให้เรียบร้อย
"ท่านชายจะเข้าบ้านก่อนไหมเพคะ"
"ไม่หรอกจะกลับเลย ปริศนาจูงวูปี้เข้าบ้านเองนะ"
"เพคะ ปริศนาทูลลาเพคะ"
ปริศนาไหว้ ท่านชายกลับมานั่งที่คนขับ
ช่วงเปิดประตูออกมา ท่านชายออกรถไป
ปริศนาโบกมือบ๋ายบาย แล้วเดินเข้าบ้านไป
ปริศนาเดินจูงวูปี้เข้ามา ตัวบ้านมืด ไม่เปิดไฟ เธอสงสัย หันไปถามช่วง
"ลุงช่วง ไม่มีใครอยู่บ้านหรือ"
"คุณนาย ออกไปซื้อของกับคุณสิรี ขอรับ ไปกับคุณเสมอ"
"แล้วอนงค์ล่ะ"
"ไม่เห็น ออกไปด้วยนะขอรับ"
ปริศนาส่งสายวูปี้ให้
"ลุงช่วงวานพามันไปเช็ดตัวแปรงขนหน่อยเถิด วิ่งตามพื้นสกปรกเต็มที ให้กินข้าวแล้วลงสนามให้เรียบร้อย ก่อนส่งขึ้นบ้าน"
ช่วงรับสายจูงวูปี้ไป ปริศนาเดินขึ้นบ้าน ปริศนาเปิดไฟในบ้าน ไฟห้องโถงเปิดขึ้น และไฟไล่ไปชั้นบน ถึงห้องนอน
ภายในห้อง อนงค์นอนอยู่บนเตียง ร้องไห้น้ำตาท่วม จนตาบวมไปหมด ผุดลุกขึ้นอย่างตกใจ ปริศนามองเห็นหน้าอนงค์ก็ตกใจ
"อนงค์ อยู่ตรงนี้เองเหรอ อนงค์เป็นอะไรไป ไม่สบายหรือ ทำไมหน้าตาเป็นอย่างนี้"
อนงค์ร้องไห้ออกมาอีก
ปริศนาเข้ามาหาอย่างกังวล และทำอะไรไม่ถูก
ปริศนายืนมองอนงค์อย่างตกใจ อนงค์ร้องไห้ หมุนตัวหลบปริศนา คำพูดของประวิช
แว่บเข้ามา
"ผมรักปริศนาจริงๆนะ คุณอนงค์ รักอย่างหมดหัวใจ"
อนงค์เจ็บปวดกับคำพูดของประวิชมาก ตัวงอลงไปร้องไห้อีก อนงค์จับขมับของตัวเองไว้ รู้สึกเหมือนว่าจะระเบิดออกมาได้ ปริศนายิ่งตกใจ
"อนงค์ อนงค์ เป็นอะไรไป ปวดหัวหรือ"
อนงค์พยักหน้าเพราะไม่รู้จะตอบว่ายังไง
"กินยามั้ย เดี๋ยวปริศนาไปเอาให้นะ"
อนงค์อยากให้ปริศนาออกไปพ้นๆจึงพยักหน้า ปริศนารีบเดินออกไป อนงค์ร้องไห้หนัก เมื่อนึกถึงตอนที่ประวิชนั่งลงและยื่นดอกไม้ออกมาข้างหน้า
"แต่งงานกับผมเถอะ ปริศนา"
อนงค์เจ็บลึกอย่างบอกไม่ถูก ปริศนาเป็นเพียงคนเดียวที่จะได้ความรักของประวิชอย่างเต็มเปี่ยม ปริศนาเดินกลับมา พร้อมยาและแก้วน้ำในมือ
"อนงค์ๆ หยุดร้องไห้ก่อน กินยาแล้วเดี๋ยวหาย กินยาก่อนนะ แล้วนอนพัก แล้วนี่กินข้าวหรือยัง ข้างล่างมายังไม่ตั้งโต๊ะเลย ยังไม่ได้กินใช่ไหม ถ้าอย่างนั้น อนงค์พักก่อนนะ ปริศนาเอายากับน้ำวางไว้ตรงนี้ เดี๋ยวเอามุ้งลงให้ ยุงจะได้ไม่กัด แล้วจะรีบไปหาอะไรให้อนงค์กิน ก่อนกินยานะ"
แล้วปริศนาก็จับอนงค์ให้นอนลง หยิบผ้าเช็ดหน้าในตู้ของอนงค์มาส่งให้ แล้วเอามุ้งลงให้ โดยใช้แส้ปัดไล่ยุงใต้เตียงให้ด้วย
อนงค์รู้สึกไม่พอใจปริศนาที่เป็นต้นเหตุของความเสียใจ แต่ก็ไม่แสดงออกเพราะ เห็นปริศนาเป็นห่วงตน
แล้วปริศนาก็เดินออกจากห้องไป
ปริศนาเดินเข้ามาในห้องอาหาร แล้วเดินไปยืนตรงประตูที่เปิดออกไปสู่ครัวหลังบ้าน
"จำเนียร จำเนียร."
จำเนียร โผล่เข้ามา
"มีข้าวอะไรกินบ้างไหม"
"คุณว่าจะซื้อมาฝากจากข้างนอกค่ะ เลยไม่ได้ทำอะไรไว้เลย มีแต่แกงจืด กับปลาแดดเดียวทอดที่ส่งไปให้คุณยาย ดูเหมือนยายเตียงแกจะกินไปหมดแล้วนะคะ จำเนียรก็คอยคุณนายนี่แหละค่ะ"
เสียงแตรดังขึ้นเบาๆ
"แน่ะ มาแล้วกระมังคะ"
จำเนียรกลับไปทางหลังบ้าน เพราะมีทางวิ่งออกไปสู่หน้าบ้านได้ ปริศนาเดินไปทางหน้าบ้าน
สิรีกับสมรลงมาจากรถของเสมอ นายเสมอเปิดท้ายรถเพี่อขนของลง จำเนียรเดินออกมาพอดี สมรจึงช่วยส่งของให้จำเนียรไปเป็นเถาปิ่นโต สองเถา
"จำเนียร เอาไปตั้งโต๊ะก่อนนะ" สมรบอก
ปริศนาเดินเข้ามา
"ไปซื้อของที่ไหนกันมาคะแม่"
"แยะ... บางรัก พาหุรัด สะพานหัน ในที่สุดไปเดินในสำเพ็ง แล้วก็ แวะซื้อของกินที่เยาวราชมา"
"แม่ซื้อผ้ามาฝากปริศนาด้วย และของฝากอนงค์เยอะเลย อนงค์อยู่ไหนล่ะ" สิรีบอก
ปริศนามองดูเสมอ เลยตัดสินใจไม่บอกความจริง
"อยู่ข้างบนแน่ะค่ะ ปวดหัวเลยนอนอยู่"
"ปริศนาไปตามอนงค์ลงมากินข้าวกันลูก ตรงนี้ช่วยกันขนเอง" สมรบอก
เสมอช่วยขนของเข้าไปในบ้าน โดยไม่มีใครส่งของให้ปริศนาช่วยถือ ปริศนาเลยกลับไปด้านในก่อน
เสมอ สิรี และสมร ยกของเข้าไปในบ้าน
อนงค์ยังนอนอยู่บนเตียง ปริศนาเปิดประตูเข้ามา
"อนงค์แม่กลับมาแล้ว ลงไปกินข้าวกัน"
อนงค์หันกลับไปลุกขึ้นนั่งช้าๆ กลัวปริศนาจะตอแยอีก
"พี่ไม่กินแล้ว"
"ไม่กินได้ยังไง ต้องกินซี เดี๋ยวปริศนาเอาขึ้นมาให้นะ"
"ไม่ต้องเอามาเองหรอก ให้จำเนียรเอาขึ้นมาก็ได้"
"ให้จำเนียรเอามา อนงค์ก็ไม่กินไง รอประเดี๋ยวนะ ปริศนาไปเอาข้าวมาให้"
ปริศนาถอยกลับออกไปอีกครั้ง อนงค์เงยหน้าขึ้น กลั้นน้ำตาที่จะไหลออกมาอีกครั้ง
อ่านต่อหน้า 4
ปริศนา ตอนที่ 7 (ต่อ)
ภายในห้องอาหารที่ศิลาขาว เวลากลางคืน ประวิชถามท่านชายพจน์
"พักร้อนปีนี้จะเสด็จหัวหินไหม ฝ่าบาท"
"ยังไม่รู้เลย ต้องดูวันที่ว่าง แต่น้องหญิง น่าจะไปนะ"
"หม่อมฉันว่าจะชวนปริศนา ไปตำหนักมโนรมย์เหมือนที่ครอบครัวคุณสมรไปเมื่อปีก่อน"
"เห็นว่า รตี ก็จองว่าจะไปด้วยเหมือนกันไม่ใช่หรือ"
"อย่างนั้นหรือฝ่าบาท กระหม่อมไม่รู้เลย"
"รตี โทรศัพท์มา ตอนฉันกลับมาถึงนี่แหละ"
"ต้องปรึกษาปริศนา เพราะเป็นครู น่าจะพักร้อนได้ยาวช่วงที่ไม่ต้องสอนนักเรียน กระหม่อมจะเกลี้ยกล่อมให้ปริศนา ไปหัวหินให้ได้ หม่อมฉันจะได้ไปจองคิว ลาพักร้อน ไว้ก่อนคนอื่น ให้ตรงกับวันที่ปริศนาจะไปหัวหินทีเดียว"
ท่านชายพจน์มองประวิชตรงๆ รู้สึกว่าวางแผนเยอะทีเดียว แต่ท่านชายไม่
แสดงกริยาอะไรออกมา
กลางคืนต่อเนื่องมา ปริศนาถือถาดอาหารเข้าไปในมุ้งที่อนงค์นอนอยู่ ขณะนั้นอนงค์นอนหันหลังให้ปริศนา
"อนงค์ เร็ว ลุกขึ้นมากินข้าว แม่ซื้อจากเยาวราชมา ยังอุ่นอยู่เลย กินเสร็จแล้วจะได้กินยา"
อนงค์ตาแดงก่ำไปด้วยน้ำตา แต่อยากให้ปริศนาไปพ้นๆสักที จึงฝืนตัวลุกขึ้น ปริศนาก็เอาถาดอาหารวางลงบนเตียง
"กินเสีย กินข้าว กินยาเสร็จ ปริศนาจะได้เอาถาดไปเก็บ หากอนงค์จะนอน จะได้นอนสบาย"
อนงค์มองปริศนา เช่นเดียวกับปริศนานั่งดูปฏิกิริยาของอนงค์ อนงค์รีบตักกิน เพราะอยากให้ปริศนาไปพ้นๆ
ปริศนาไม่รู้ตัว แต่อมยิ้มอย่างพอใจ เพราะอนงค์ไม่ดื้อแล้ว
อนงค์รวบช้อน เพราะกินข้าวไปหมดแล้ว ปริศนาหันไปหยิบยาและน้ำที่วางไว้หัวเตียงให้อนงค์กิน
"กินยาแก้ปวดหัว แล้วนอนเสีย ค่อยยังชั่ว ค่อยลุกไปล้างหน้าล้างตานะอนงค์"
ปริศนาหยิบถาดอาหารออกไปอย่างเรียบร้อย ปิดมุ้งให้อนงค์อย่างเรียบร้อยก่อนที่จะเดินไปเปิดไฟหัวเตียงและปิดไฟกลางห้อง
ปริศนาเดินผิวปากออกจากห้องไป
แล้วอนงค์ ก็นึกถึงคำพูดของประวิชอีก
"ถ้าผมแต่งงานกับคนที่ดีด้วยท่านจะปลูกตึกประทาน ในบริเวณวังศิลาขาว แต่ถ้าเรารีบแต่งกัน ก็อาจจะอยู่ในตำหนักใหญ่ไปก่อน"
"คุณเห็นว่าผมดีพอสำหรับน้องคุณไหม"
อนงค์งอตัวอย่างเจ็บปวดรวดร้าว ที่หลงรักประวิชข้างเดียว
ผ่านเวลา ... จนถึงวันหนึ่งใน ตอนกลางวัน
อนงค์ ยืนอยู่หน้าเตาในครัว แต่ปล่อยแกงเดือดล้นออกมา ขณะที่ตัวเองถือทัพพี ยืนเหม่อลอย จนสมรต้องเข้ามาเรียกจากด้านหลังจึงรู้สึกตัว
บริเวณสนามหลังบ้าน เย็นอีกวันหนึ่ง อนงค์นั่งถือเสื้อที่จะเย็บ แต่เหม่อลอย ยกมือค้างไว้บ้าง วางมือลงกับตักบ้าง แต่ไม่ได้งาน
ผ่านเวลาไปหลายวัน ตั้งแต่ แดดจ้า ไปจน แดดหลบ
วันนั้น สิรีกลับจากทำงานเดินมาหาหยิบเสื้อมา แล้วโวยวาย
"ตายจริง ยังสอยเสื้อไม่เสร็จอีกหรือ อุตส่าห์ เย็บไว้เรียบร้อย ตั้งแต่เมื่อวาน"
อนงค์ดูเงอะงะบอก
" เดี๋ยว ทำให้สิรี"
"จะทำได้ยังไง นี่จะมืดแล้ว"
ปริศนาโผล่หน้าออกมา
"สิรี อนงค์ แม่เรียกให้มากินข้าว เร็ว"
"ตายละ อนงค์ ทำไมเหลวไหลอย่างนี้ แล้วนี่ชั้นจะทำยังไง"
อนงค์ก้มหน้า ปริศนาต้องเดินมาช่วยเก็บของแล้วดึงตัวอนงค์ขึ้น
"อย่ามาทำตัวเป็นยายแก่ สิรี ไปกินข้าวก่อน เดี๋ยวปริศนาช่วยทำก็ได้"
สิรีดึงเสื้อไป
"ไม่ต้อง ฝีมือหล่อนคงทำให้ร้านนงลักษณ์เขาเสียชื่อแย่ ถ้าทำได้ คงใช้ให้ทำไปนานแล้ว พึ่งใครไม่ได้ ก็เห็นจะต้องทำเองไปหมดทุกอย่าง"
สิรีสะบัดสะบิ้งขึ้นบ้านไป
ปริศนาดึงตัวอนงค์ให้ขึ้นบ้าน แล้วช่วยถือตะกร้าเครื่องมือเย็บผ้าอีกมือหนึ่ง
ในห้องกินข้าว สิรีบอก
"ไว้ใจไม่ได้เลยเนี่ย"
"ใจเย็นๆเถอะสิรี แม่ว่าอนงค์คงจะไม่สบาย หมู่นี้เห็นหน้าซีดๆ ทำงานอะไรก็มึนๆงงๆไปหมด อาจจะเพราะอากาศไม่ดี"
ปริศนากับอนงค์เดินเข้ามา
"สิรี มาบ่นอะไรหรือคะแม่"
แม่ปรายตามองสิรี เชิงปราม ทำให้สิรีที่ขยับปากจะพูดเงียบลง ทุกคนเข้านั่งโต๊ะ จำเนียรตักข้าว
"กินข้าวเถอะ วันนี้แม่เลยทำไข่ตุ๋นเพิ่มให้อนงค์นะลูก กินเยอะๆหน่อย แม่ว่าลูกจะผอมไปหน่อยแล้ว"
"นั่งสิอนงค์ แล้วปริศนาจะขอแบ่งไข่ตุ๋นด้วยนะ"
อนงค์เลื่อนชามไข่ตุ๋น ที่สมรวางไว้หน้าตน ไปให้ปริศนา
"ปริศนาเอาไปสิ พี่ยกให้"
"ของอนงค์จ้ะ ปริศนาขอแค่ชิมเท่านั้น"
ปริศนาตักไข่ตุ๋น ใส่จานข้าว แล้วเลื่อนถ้วยไข่ตุ๋นไปหน้าอนงค์ตามเดิม
อนงค์มองไข่ตุ๋น เหมือนกับว่า ทุกอย่างปริศนาต้องเอาไปก่อนเสมอ เมื่อไม่ต้องการแล้วจึงมายกให้เธอ
อนงค์ฝืนตักรับประทาน แต่ก้อนร้องไห้มาจุกที่คอ ทำให้กินไม่ลง พยายามกลั้นน้ำตาสุดชีวิต กินไปได้สองคำ ก็รวบช้อน
"ขอโทษนะคะ ปวดหัวจริง"
แล้วอนงค์ก็ลุกขึ้น พยายามทำท่าเดินให้เป็นปกติ ไม่วิ่งหนีออกไปทั้งๆที่ใจอยากให้เป็นอย่างนั้น ทุกคนในโต๊ะ เงียบ มองตามอนงค์
"แม่คะ สิรีว่าอนงค์คงไม่สบายมาก พาไปปรึกษาท่านชายดีไหมค่ะ พบอะไรไม่ดี จะได้ตัดๆออกไปเสียให้หมด"
"เป็นบ้าแล้วสิรี อากาศอาจไม่ดีก็ได้ ปริศนายังคันยุบยิบตัวบ่อยๆเลย"
"อนงค์เขาไม่ได้กลับมาจากเมืองนอกเมืองนาเหมือนปริศนานี่ อยู่ เมืองไทยมายี่สิบกว่าปีแล้ว ร้อนนักก็ไปตากอากาศ"
"คงจะต้องไปตากอากาศ อย่างสิรีว่า แล้วคราวนี้สิรีจะไปกับเราด้วยไหม" สมรบอก
"ที่ร้าน นงลักษณ์ ก็กำลังวางแผนอยู่ค่ะ แต่อาจจะไม่ได้นาน หลายวัน สิรีว่า อนงค์ ควรจะไปอยู่สักเดือนหนึ่ง"
"แม่จะปรึกษาหลวงแพทย์ดู วันหลังท่านมาเยี่ยมคุณยาย ก็จะได้ตรวจดูอนงค์ด้วย หลวงแพทย์ท่านเก่งเรื่องยาบำรุง"
"นั่นสิ ปริศนากลับมาใหม่ๆ อนงค์ออกแจ่มใส ตอนนี้ ซีดจริงๆ"
วันใหม่ ... สมรพาหลวงแพทย์เดินมาจากทางหลังบ้าน หลังจากไปเยี่ยมยายมาแล้ว หลวงแพทย์ หิ้วกระเป๋าแพทย์มาด้วย หลวงแพทย์เป็นแพทย์แผนปัจจุบันกึ่งแผนโบราณ คือยังจ่ายยาสมุนไพรบ้าง และเริ่มศึกษาการแพทย์สมัยใหม่ เพื่อให้ทันสมัยตามยุคที่เปลี่ยนไป
หลวงแพทย์กับสมรเดินมา เห็นอนงค์นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวโปรด แต่นั่งนิ่งๆน้ำตาคลอ ในมือถือนิตติ้งอยู่เฉยๆไม่ได้ทำหรือถักอะไรเลย
สมรอธิบายอาการของลูกสาวให้หลวงแพทย์ฟัง
หลวงแพทย์พยักหน้า และเดินเข้ามาใกล้
"อนงค์จ๊ะ คุณอาหลวงแพทย์มาเยี่ยมคุณยาย"
อนงค์สะดุ้ง ตกใจ หันมายืนขึ้นไหว้หลวงแพทย์ ของในมือตกลงพื้น แล้วเงอะงะก้มลงเก็บ ปฏิกิริยาของอนงค์จะช้าไปสัก สองสามวินาที เพราะจิตใจว้าวุ่นอยู่ตลอดเวลา กว่าจะรู้ว่า อะไรเกิดขึ้นจึงกินเวลา
"แม่อนงค์ ขออาตรวจอาการหน่อยนะ แม่เขาเป็นห่วงว่า อนงค์ซูบซีดไป จะขอวัดไข้ ฟังหัวใจ ฟังปอด และคุยด้วยสักนิด"
"ขึ้นไปบนบ้านกันก่อนนะ อนงค์"
อนงค์พยักหน้า อย่างจำยอม
บนโต๊ะวางของเตี้ยๆ กระเป๋าแพทย์ของหลวงแพทย์เปิดอยู่ มีกล่องใส่ปรอทของที่บ้านสมรในลักษณะใช้แล้ว ขวดแอลกอฮอลล์สีขาว
หลวงแพทย์ กำลังฟังปอดด้านหลังของอนงค์ที่หายใจเข้าออกอย่างลึกๆ และอื่นๆ เมื่อตรวจเสร็จ หลวงแพทย์ละมือและเริ่มเก็บเครื่องมือใส่กระเป๋า เอาสำลีชุบแอลกอฮอล์ เช็ดปรอท แล้วใส่กล่องคืนสมร
"ไม่มีไข้ ปอดและหัวใจยังไม่มีอะไรน่าห่วง แต่หน้าตาแม่อนงค์ซูบซีดลงไปจริงๆ อาจจะลองรับประทานยาบำรุงไปสักหน่อยก่อน กินอาหารมากๆ กินให้ครบทุกมื้อด้วย"
"คุณหลวงจะจัดยาอะไรให้อนงค์บ้างไหมคะ"
"ประเดี๋ยวอาจัดยาให้ชุดหนึ่ง จะฝากตาช่วงให้เอากลับมา กินก่อนสักเดือน แล้วจะมาดูอาการกันอีกครั้ง ยานี่ ทำให้กินได้ นอนหลับดีขึ้น" หลวงแพทย์บอก
"ขอบพระคุณค่ะ คุณหลวง"
อนงค์ยกมือไหว้หลวงแพทย์ด้วย
ในครัวบ้านยายของปริศนา วันใหม่ ยายมายืนดูปริศนาเฝ้ากระทะทองเหลือง บนเตาถ่านเล็กๆ ที่มีสังกะสีรองพื้น และวางอิฐมอญทับ ก่อนวางเตาด้านบนอีกที เพื่อไม่ให้พื้นไม้ร้อน และเสียหาย
"นั่นแหละปริศนา เอากล้วยลงไปได้แล้ว อย่างนี้เขาเรียกน้ำเชื่อม เป็นดอกสวยงามแล้ว"
"นี่หรือคะ ที่เรียกว่าดอก"
"ฟองเล็กๆ สม่ำเสมอ พรายขึ้นมา แปลว่าน้ำเชื่อมได้ที่"
ปริศนาปอกกล้วยไข่จากหวี แล้วค่อยๆหย่อนในกระทะ
"แล้วอย่าไปเขี่ยมันมาก รอให้สุกก่อนแล้วกลับอีกด้าน"
ปริศนาปอกกล้วยใส่กระทะ อย่างตั้งใจ
"อนงค์เป็นยังไงบ้างล่ะ"
"เป็นยังไงคะ"
"เห็นแม่เขาปรึกษาคุณหลวงแพทย์อยู่ เห็นว่าซูบซีดไม่สบาย"
"ก็เห็นกินยาอยู่นี่คะ เป็นอะไรไปก็ไม่รู้ อยู่ๆก็ซึม ซีดไป ข้าวปลาอะไรก็ไม่ค่อยจะกิน ถามคำตอบคำ"
เตียงยกสำรับกับข้าวเข้ามา มีสมร และสิรี เดินตามเข้ามาด้วย
"วันนี้มากันหมดบ้านเลย แล้วอนงค์ล่ะ หมู่นี้ไม่ลงมาหาเลย" ยายว่า
"เขาอยู่แต่ในห้องข้างบนค่ะ ร้อนก็ร้อน ไม่ยอมมา"
"แม่กินข้าวก่อนไหมคะ"
"แล้วกินกล้วยเชื่อมของปริศนา เป็นของหวาน"
ยายเดินมานั่งที่โต๊ะเพื่อกินข้าว เตียงดูแลรินน้ำให้
"จ้ะ แล้ว ไม่ส่งอนงค์ไปพักผ่อนที่ไหนบ้างหรือ" ยายถาม
"ว่าจะพาไปหัวหินค่ะแม่"
"จะไปอาศัย แม่สร้อยเขาเหมือนปีก่อนน่ะหรือ"
"ครั้งนี้ว่าจะไปนานค่ะ ว่าจะไปเช่าบ้านเขาอยู่ แต่ก็ห่วงคุณแม่"
"ช่วงนี้คุณยายแข็งแรงค่ะคุณ เตียงดูให้เอง จำเนียรไปกับคุณด้วยใช่ไหมคะ" เตียงบอก
"ว่าจะเอาจำเนียรไป แต่สิรีอาจจะไม่ได้อยู่นานเท่ากับอนงค์" สมรบอก
"สิรีต้องกลับมาทำงานค่ะแม่ นงลักษณ์เขาว่าจะปิดร้านไปเหมือนกัน สิรี ก็คงไปได้ช่วงนั้น แต่อาจจะอยู่ต่อนานกว่านั้นได้อีกหน่อย ถึงเดือนคงไม่ไหว"
"เตียงก็ทำกับข้าวเผื่อคุณสิรี เช้าเย็น เท่านั้นเองสิคะ"
"แล้วให้ลุงช่วงไปรับไปส่งสิรีเหมือนเคย หรือว่า มิสเตอร์ always จะอาสาค่ะ"
"ปริศนานี่ ยุ่งเรื่องของคนอื่นตลอดทีเดียวนะ"
"ปริศนาก็เป็นห่วงสิรีนี่ เคยไปส่งทุกวัน"
"ไม่เห็นต้องห่วง ก่อนปริศนากลับมา พี่ก็ไปทำงานทุกวันอยู่แล้ว"
"นี่ถ้าไม่อยู่กัน บ้านน่าจะเงียบ ยายคงเหงา แต่ยายอยากเห็นอนงค์ แจ่มใสเหมือนเก่า พาลูกไปพัก ไปตากอากาศนะ สมร"
ยายตัดบททำให้สิรี และปริศนาเงียบไป
สมรรับปาก
"ค่ะแม่"
ปริศนายกจานแก้วใส่กล้วยเชื่อม สองสามลูกมาให้ยาย
"ร้อนมากๆ เลยนะคะ คุณยาย อย่างนี้ใช้ได้หรือยัง"
"น้ำเชื่อมน่าจะข้นไปแล้ว เดี๋ยวปริศนาตักขึ้น แล้วใส่น้ำไปนิดหน่อยนะ รอ
ให้น้ำเชื่อมได้ที่แล้วค่อยใส่กล้วยลงไปใหม่"
"ค่ะ คุณยาย"
ยายมองปริศนาอย่างเอ็นดู แต่สิรีค้อนหมั่นไส้น้องสาว
ภายในห้องนอนรตี บ้านราชพรรลภ ตอนกลางวัน รตียืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า แล้วหยิบเสื้อออกมาดู หลายตัว ทั้งเสื้อคลุมอาบน้ำ เสื้อว่ายน้ำ ท่าทางไม่ค่อยจะได้อย่างใจนัก
ชื่นเดินเข้ามา
"รตี ทำอะไรน่ะลูก จะรื้อของไปไหนจ๊ะ"
"ดูเสื้อผ้าค่ะแม่ จะร้อนแล้ว เดี๋ยวจะต้องไปตากอากาศ รตีกำลังดูว่าจะตัดชุดอะไรบ้าง"
"ท่านชายพจน์ จะเสด็จหัวหินเมื่อไร"
"ท่านยังไม่ได้บอกมาชัดๆค่ะ แต่รตีบอกท่านไว้แล้วว่าจะไปเมื่อไร ให้บอกรตีด้วย จะดูซิว่า บ้านโน้น จะกล้าติดคุณสร้อยไปเหมือนปีก่อนไหม"
"แม่ล่ะ เป็นห่วงจริงๆ คนบ้านโน้น มันหน้าด้านหน้าทน ปีที่แล้วก็ยกโขยงกันไปอยู่ที่ตำหนักมโนรมย์กันทั้งบ้าน ยายสร้อยก็ตัวดี เจ้ากี้เจ้าการจัดให้ ดีเท่าไหร่ ที่ท่านชายไม่ได้เสด็จไปช่วงนั้น"
"ตอนนั้นรตียังกลับมาไม่ถึงนี่คะแม่ รตีอยู่นี่แล้ว ไม่ยอมหรอกค่ะ โดยเฉพาะนังเด็กคนนั้น"
"เขามาลือกันว่า วันก่อนไปสโมสร กับท่านชาย เล่นเทนนิสกันสองคน ... แปลก ตาประวิชเคยคุมแจ ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ไหน"
"อยู่ที่ไหนหรือคะ มัวโง่อยู่ไงคะ ตาประวิชน่ะหรือจะมาทันนังเด็กนั่น เปรียวจะตาย ทั้งคนไทย ทั้งฝรั่ง ไม่เคยเว้น"
"เลือดแม่มันแรง!" ชื่นบอก
"แต่รตีจะไม่มีวันยอม จะไม่ยอมถอยให้เด็ดขาดทีเดียว แล้วจะได้รู้กัน ว่าใครคือผู้ชนะ"
"ถ้าอย่างนั้น รตีแต่งตัวเลย เราจะไปวังศิลาขาวด้วยกัน"
รตีพยักหน้า หันกลับไปที่ตู้เสื้อผ้า เฟ้นหาชุดที่คิดว่าเหมาะที่สุด
ยามบ่าย ริมระเบียง วังศิลาขาว เป็นเวลาน้ำชา แต่ทุกคนเดินไป เดินมาและเล่นไปด้วย มีเครื่องน้ำชายังวางอยู่ แต่หม่อมเจ้าหญิงรัตนาวดี ถือแซนวิชเดินกินเล่น วิมลวิ่งเล่นกับนโปเลียน
ประวิชนั่งซึมกองอยู่
ท่านชายพจน์ช่วยท่านหญิง เล่นเกมกับนโปเลียน ชื่น และรตีเดินเข้ามา โดยมีสนเป็นผู้นำทางเข้ามา
ท่านชายรีบลุกขึ้นไหว้ชื่น และรับไหว้รตี
"น้องหญิงขา... คุณน้าชื่นมา"
ท่านหญิงรัตนาวดีหยุดมองอย่างไม่เต็มใจนัก แต่แต่งมรรยาทให้งามยกมือไหว้
วิมล นั่งลงไหว้อย่างงามทั้งคุณหญิงและรตี ประวิชก็ลุกขึ้นไหว้ชื่น
"กำลังดื่มน้ำชากันพอดี เชิญคุณน้ากับรตี ดื่มน้ำชากับเรา"
"เพคะ ท่านชาย ขนมวังศิลาขาวนี่ขึ้นชื่อ ป้าสร้อยทำอร่อยจริงๆ"
ประวิชลุกขึ้น กุลีกุจอช่วยสนรินน้ำชามาวางให้ รตี และ ชื่น
"กำลังคุยกันเรื่องอะไรอยู่หรือเพคะ" ชื่นถาม
"ไม่ได้คุยเรื่องอะไรจ้ะ น้องหญิงจวนจะปิดเทอมแล้ว ก็แพลนกันว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี"
"ไหนว่าจะเสด็จหัวหิน ไงเพคะ"
"หัวหินก็คงจะต้องไป น้องหญิงว่าคิดถึงทะเลมากมาย"
"ค่ะ พี่ชาย หญิงอยากไปอยู่มโนรมย์ ซัก 3 เดือน" ท่านหญิงรัตนาวดีบอก
"ไปหัวหิน 3 เดือน เลยไม่ต้องไปเที่ยวที่อื่นเลยสิคะ" ท่านชายว่า
"ถ้าท่านพี่จะพาหญิงไปเที่ยวที่อื่น หญิงก็ไปเพคะ วิมลไปหัวหินด้วยกัน
นะ พี่ชายเด็จด้วยนะเพคะ"
"ดีจัง ไปด้วยกันหลายคน น่าสนุก ท่านหญิงเพคะ น้าชื่นจะไปกับท่านหญิงด้วยนะเพคะ พี่รตีก็จะไปด้วย" รตีว่า
หม่อมเจ้าหญิงตกใจทำตาโต แล้วทำตาว่างเปล่า รู้สึกว่าตัวเองพลาดมากที่คุยเรื่องไปหัวหินต่อหน้าแขกอย่างคุณหญิงราชพรรลภ
"ตกลง จะเสด็จหัวหินวันไหน เพคะ รตีจะได้เตรียมตัว นั่งรถไฟไปพร้อมๆกัน สนุกจะตาย ไม่มีเพื่อนนั่งรถไฟล่ะก็ เบื่อเป็นที่สุด"
ท่านหญิงรัตนาวดีหันมาทำตาเหล่ใส่วิมล และแลบลิ้นหลอกอีก
"มา มา นโปเลียน มานี่ แก้เบื่อ"
ท่านหญิงรัตน์ นำนโปเลียนวิ่งไปรอบๆห้อง เล่นกันสนุกสนาน รตีร้องวี๊ด เพราะไม่ชอบที่นโปเลียนวิ่งมาใกล้ๆ
"อุ๊ยตายแล้ว อะไรกันนี่"
ท่านชายรู้สึกได้ว่าน้องสาวซนเกินไปจึงยืนขึ้น ออกคำสั่งหมา
"หยุด... นโปเลียนหยุด"
นโปเลียนหยุดนิ่งทันทีและนั่งลง
ท่านหญิงรัตนาวดียังคงส่งเสียง และวิ่งนำวิมลอยู่ แต่วิมลจะค่อยๆวิ่งช้าลง และทำตัวลีบลงเรื่อยๆ
"น้องหญิงคะ พานโปเลียน ออกไปวิ่งในสนามดีกว่า"
ท่านหญิงรัตน์หยุดวิ่ง แล้วหันมายิ้มให้ท่านชายอย่างประจบประแจง
"แต่หญิงยังดื่มน้ำชาไม่เสร็จเลย เพคะ"
"เล่นเสร็จแล้ว กลับมาดื่มก็ได้ค่ะ แล้วเอานโปเลียนไปไว้หลังบ้านด้วย หรือจะให้สนพามันไปก่อน แล้วน้องหญิงดื่มน้ำชาให้เสร็จ"
ท่านหญิงรัตน์หันมามองวิมลเชิงหารือ แล้วก็รู้สึกว่าถ้าออกไปวิ่งข้างนอกจะพลาดอะไรไป จึงหันไปหาสน
"สนพานโปเลียงลงไปหาป้าสร้อย หญิงจะดื่มน้ำชาก่อน ดีไหมวิมล"
"เพคะ"
รตีค้อนวิมล สะบัดหน้า
"โอย... เมื่อกี้พูดถึงไหนนะเพคะ รตีลืมไปหมดแล้ว อ้อ...เรื่องไปหัวหิน"
ท่านชายพจน์และประวิช ออกมายืนที่หน้าตำหนัก รตีกับชื่นกำลังจะขึ้นรถ โดยคนขับรถของชื่นเป็นคนเปิดประตูรถให้ ก่อนรตีขึ้นรถยังหันมายิ้มโบกมืออย่างน่ารักให้กับท่าน
ท่านชายพจน์ยกมือรับ รตีทำหน้าระรื่นขึ้นรถไป
เมื่อรตีอยู่บนรถแล้วเรียบร้อย
"เดี๋ยว ไปพาหุรัดเลยนะ"
"ไปทำไมจ๊ะ พาหุรัด" ชื่นถาม
"จะไปซื้อผ้า ตัดเสื้อ แม่ไม่ได้ยินหรือค่ะ เรามีเวลาอีกเดือนเดียวที่จะเตรียมตัว เจ็ดวันเต็มๆที่หัวหิน เทียวนะคะ"
"จริงทีเดียว ตกลง ไปพาหุรัด"
รถของชื่นและรตีเคลื่อนออกไป
ท่านชายและ ประวิช หันหลังกลับเข้าไปในตำหนัก
ท่านชายเดินกลับเข้ามาในวัง หลังจากไปส่ง รตี และชื่น ประวิชถามทันที
"ฝ่าพระบาทจะเสด็จหัวหิน วันไหนแน่ กระหม่อมว่าจะไปชวนปริศนาให้ไปด้วยกัน"
ท่านชายพจน์อึ้งไปนิดหน่อย
"ยังไม่รู้เลยประวิช น้องหญิงคงไปแน่ หัวหิน แต่ฉันอาจจะต้องไปเชียงใหม่ช่วงนั้น"
"อ้าว แล้วกัน แล้วที่รตีวางแผนเสียออกมากมาย ไม่ทรงค้านสักนิด"
"จะค้านไปทำไม ในเมื่อแผนก็ดำเนินไปได้ ไม่มีอะไรเสียหาย ทุกคนอยากไปเที่ยวอยากไปพักผ่อน มโนรมย์ ก็ออกจะกว้างขวาง ประวิชจะชวนใครไปอีก ก็จะไม่มีปัญหา"
ประวิชรู้สึกงงๆ กับคำตอบของท่านชาย
หม่อมเจ้าพจน์ ปรีชาเดินเลยออกไปเหมือนไม่สนใจ
อ่านต่อตอนที่ 8