xs
xsm
sm
md
lg

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 8

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 8

เย็นวันนั้น เกื้อหิ้วกระเป่าเสื้อผ้าออกจากห้องพักมาไว้ตรงหน้าปิ่นกับกอบที่ยืนรออยู่ แจ่ม น้อย และสาวใช้ ทุกคนพากันยืนมองเกื้อด้วยใบหน้าโศกเศร้า

ปิ่นนั้นโมโหขึ้นมาอีก พูดอย่างเอาเรื่องว่า
“เอ็งจะไปทำไม ในเมื่อเอ็งไม่ได้ทำอะไรผิด เอ็งพูดความจริง แม่จะไปพูดกับเขา”
เกื้อดึงมือปิ่นที่จะเดินไปทางตึกใหญ่ไว้
“ไม่เป็นไรหรอกแม่ ฉันเข้าใจคุณหนู”
“แต่แม่ไม่เข้าใจ” ปิ่นกอดลูกชาย ระบายออกมาอย่างเจ็บปวดคับแค้นใจ “เอ็งช่วยคุณนาย ช่วยสมุทรเทวานะเว้ย ทำไมเอ็งต้องโดนไล่ออกจากบ้านอย่างกับหมูอย่างกับหมาอย่างนี้ แม่ไม่เข้าใจ...แล้วเขาไล่เอ็งไปอย่างนี้ เอ็งจะไปอยู่ที่ไหน”
เกื้อฝืนยิ้ม “เดี๋ยวฉันไปอาศัยเพื่อนที่ลงเรียนรามฯไว้ด้วยกันก็ได้จ้ะแม่ แม่ไม่ต้องห่วงฉันนะ พ่อแม่อยู่ที่นี่ดูแลคุณนายกับ...” เขามองไปทางตึกใหญ่สีหน้าเจ็บปวดแว่บหนึ่ง “คุณหนูดีๆ ท่านไม่มีใครจริงๆ”
“ไอ้เกื้อเอ๊ย รู้จักรักตัวเองสักที ถึงขนาดนี้แล้ว ยังไม่เห็นอีกเหรอว่าเอ็งทุ่มเทไป เขาก็ไม่เคยเหลียวแล เพราะเรามันก็แค่ขี้ข้า” กอบบ่น
เกื้อรู้สึกดีว่าตัวเองเป็นเพียงขี้ข้า แต่เขาไม่อาจห้ามหัวใจไม่ให้รักปานรุ้งได้
“ฉันไปนะ แล้วฉันจะมาหา”
เกื้อยกมือไหว้ลาพ่อกับแม่ ก่อนจะหันไปยิ้มลาน้อย แจ่ม และสาวใช้ทุกคน แล้วเดินไปมุ่งหน้าไปทางประตูใหญ่ ปิ่นกับกอบมองตามลูกชายสีหน้าหมองหม่น

เกื้อหิ้วกระเป๋าเดินมาจากหลังบ้าน หยุดยืนเหลียวมองไปทางตึกใหญ่ เขาเห็นปานรุ้งยืนอุ้มลูกอยู่บนระเบียงชั้น 2 มองออกมายังตน เกื้อสบตาผู้หญิงที่เขาทั้งรักและบูชาเป็นครั้งสุดท้ายจารจำเอาไว้ในใจ ปานรุ้งมองเกื้อนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินหายเข้าห้องไป
เกื้อมองตามจนร่างปานรุ้งลับตา แล้วค่อยๆ เดินหน้าเศร้าออกไป

จู่ๆ ทารกน้อยปานเทพในอ้อมกอดปานรุ้งก็ร้องไห้จ้าขึ้นมา น้อยเพิ่งเดินเข้ามาพร้อมตะกร้าของใช้เด็กได้ยิน ขยับเข้ามาดู
“ผ้าอ้อมมาแล้วค่าคุณปานเทพ เดี๋ยวน้อยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้นะคะ” น้อยหันไปจัดเตรียมพื้นที่ให้เปลี่ยนผ้าอ้อม
ปานรุ้งอุ้มลูกอยู่ “ไม่ต้องร้องนะลูก แม่ต้องช่วยพ่อของลูกออกมาให้ได้”
ปานรุ้งนึกอะไรบางอย่างออก เดินตรงไปที่ตู้เซฟแล้วรีบเปิดออก
“น้อย เดี๋ยวเธอช่วยเอาเครื่องเพชรพวกนี้ไปขายให้ทีสิ”
ปานรุ้งเปิดดูเครื่องเพชรทุกกล่องแล้วทยอยส่งให้น้อย
“ทั้งหมดนี่เลยเหรอคะ...”
ปานรุ้งไม่ตอบรื้อกล่องเครื่องเพชรส่งให้น้อยจนหมด น้อยมองคุณหนูด้วยความสงสาร

ทางด้านคมขวัญนั่งดูรูปปานรุ้งที่วางอยู่บนหมอนรองท้องที่ตนเย็บให้ แต่ไม่มีโอกาสได้ให้สักที เสียงเพลงกล่อมลูกที่เคยร้องเห่กล่อมปานรุ้งเมื่อตอนคลอด ดังก้องกังวานขึ้นในหูประมุขสมุทรเทวา
“วัดเอ๋ย วัดโบสถ์ ปลูกข้าวโพดสาลี ลูกเขยตกยาก แม่ยายก็พรากลูกสาวหนี ส่วนข้าวโพดสาลี ป่านฉะนี้ก็โรยรา”
คมขวัญหยิบรูปและหมอนขึ้นมากอด ร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ
ปริญญารีบร้อนเปิดประตูเข้าห้องมาโดยไม่ทันได้เคาะ พอเห็นอาการของคมขวัญก็ตกใจ
“ผมขอโทษครับคุณนาย”
คมขวัญปาดเช็ดน้ำตา แล้วตอบว่า “ไม่เป็นไร เรื่องที่ฉันให้ไปจัดการเป็นยังไงบ้าง”
“ผมไปตรวจเช็คราคาประเมินบ้านและที่ดินที่กรมที่ดิน เขาบอกว่าโฉนดบ้านสมุทรเทวาไม่ได้เป็นชื่อคุณปานรุ้งแล้วครับ”
คมขวัญช็อค “อะไรนะ”
“บ้านสมุทรเทวาถูกขายให้คนอื่นไปแล้วครับ”
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ถ้ารุ้งจะขาย ฉันต้องรู้” คมขวัญร้อยไม่เชื่อล้านไม่เชื่อ
“ผมว่าคุณรุ้งก็คงไม่รู้เรื่องนี้ เพราะผมให้พรรคพวกช่วยตรวจสอบสัญญาซื้อขาย มีลายเซ็นของคุณชูนามกับไอ้ขุน ลูกน้องเฮียโมเซ็นร่วมเป็นพยาน”
“นี่เธอจะบอกฉันว่า...”
ปริญญาเครียดจัด “คุณชูนามอาจสมรู้ร่วมคิดขโมยโฉนดที่ดินบ้านสมุทรเทวาไปขายใช้หนี้ครับ”
คมขวัญฟังแล้วรู้สึกหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก ช็อคอย่างเฉียบพลัน ร่างคมขวัญล้มลงหกับพื้นอย่างรุนแรง !!!
ปริญญาถลันไปรับ “คุณนาย”

อีกฟากหนึ่ง น้อย ปิ่น แจ่ม และเด็กรับใช้ในบ้านทุกคน ถูกตามมาพบปานรุ้ง เวลานี้นั่งอยู่ที่พื้นห้องนอนชั้น 2 ปานรุ้งปิดตู้เซฟเสียงดังด้วยความโกรธถึงขีดสุด ทารกปานเทพนอนอยู่ในเปล
“เครื่องเพชรทั้งตู้ของฉัน เป็นของปลอมหมด” ปานไล่ไล่สายตามองหน้าทีละคน “ใครเอาไป เอาคืนมา ก่อนที่ฉันจะเรียกตำรวจมาลากคอ”
แจ่มรีบพูด “แจ่มไม่รู้เรื่องนะคะ ในห้องนี้มีแต่นังน้อยกับไอ้เกื้อที่เข้ามาทำความสะอาด ถ้าจะโทษ ต้องโทษมันสองคน”
น้อยหันไปด่าแจ่ม “อ้าว ทำไมมาพูดอย่างนี้ล่ะ คนอย่างฉัน แม้แต่สลึงเดียวก็ไม่เคยคิดขโมย” น้อยหันไปทางปานรุ้ง “คุณหนูจะให้น้อยไปสาบานที่ไหนก็ได้ค่ะ น้อยไม่รู้เรื่องจริงๆ”
แจ่มยังไม่เลิก “งั้นก็ต้องเป็นไอ้เกื้อ”
ปิ่นโมโห “อย่ามาโยนขี้ให้ลูกชายข้านะเว๊ย ข้าสอนลูกข้าดี ขนาดทำความดี แต่โดนไล่ออกจากบ้าน มันยังยอมทำ ไม่ปริปากอ้อนวอนสักคำ”
ปานรุ้งรู้ว่าโดนเหน็บแหนมพยายามข่มใจ “ถ้าไม่ใช่คนในบ้านแล้วจะเป็นใคร”
ปิ่นพูดลอยๆ “ในห้องนี้ นอกจากนังน้อยกับไอ้เกื้อเข้ามา ยังมีอีกคนนะคะ ที่เข้ามาตลอด จะหยิบจะเอาอะไรไปก็คงไม่มีใครสงสัย”
ปานรุ้งฉุนกึก รู้ความหมายของปิ่น
“เธอกำลังกล่าวหาชูนามเหรอยายปิ่น”
ปิ่นพูดลอยหน้าลอยตา “อย่าบอกนะคะ ว่าคนเป็นสามีภรรยากันจะไม่รู้ว่าสามีชอบเล่นการพนันขนาดไหน”
“ยายปิ่น”
ยังไม่ทันที่ปานรุ้งจะโวยใส่ปิ่นอีก กอบก็วิ่งเข้ามาขัดเสียก่อน
“คุณหนูครับ คุณปริญญาโทร.มาบอกว่าคุณนายแย่แล้วครับ”
ปานรุ้งชะงัก ใจหายวับ หันไปมองกอบสังหรณ์ใจโดยประหลาด

พยาบาลถือขวดน้ำเกลือเดินนำหน้ามา บุรุษพยาบาลเข็นเตียงคมขวัญที่นอนไม่รู้สติไป ทางห้องผ่าตัด หัวของคมขวัญมีรอยเลือดไหลเป็นปื้นขนาดใหญ่ ปริญญาวิ่งตามอย่างเป็นห่วง
ปานรุ้งกับกอบมาถึงวิ่งตามมา
พยาบาลเปิดประตูห้องผ่าตัด เข็นเตียงคมขวัญเข้าห้องไป ปานรุ้งจะตามเข้าไป พยาบาลรีบขวางไว้ก่อน
“เข้าไม่ได้นะคะ กรุณารอข้างนอกก่อนนะคะ”
ปานรุ้งพยายามยื่นมือไปจับมือคมขวัญพร้อมกับพูดบอก
“รุ้งจะรอนายแม่อยู่หน้าห้องนะคะ นายแม่ต้องฟื้นขึ้นมานะคะ”
เตียงถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดไป หมอประจำตัวคมขวัญและทีมแพทย์คณะผ่าตัดเดินมา ปานรุ้งปรี่เข้าไปหา
“คุณหมอคะ นายแม่เป็นอะไร”
หมอพูดไปพร้อมกับเดินไปอย่างเร่งรีบ
“อาการตอนนี้เท่าที่ทราบ คุณคมขวัญล้มอย่างแรง จนทำให้เกิดรอยร้าวที่กะโหลกและมีเลือดไหลในสมอง เราต้องรีบเร่งห้ามเลือดในสมอง ไม่อย่างนั้นมันจะส่งผลกับโรคลิ้นหัวใจรั่วของคุณนาย”
ปานรุ้งอึ้ง “ลิ้นหัวใจรั่ว นายแม่เป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วเหรอคะ”
“ใช่ครับ เอาเป็นว่าตอนนี้เราต้องเร่งตรวจทั้งสมองและหัวใจ แล้วรีบผ่าตัดก่อนที่หัวใจคุณนายจะล้มเหลว ขอตัวก่อนนะครับ”

หมอรีบเดินเข้าห้องผ่าตัดไป ปานรุ้งได้แต่ยืนอึ้งๆ เครียดจัด

ปานรุ้งเดินตามมาถามปริญญาที่ยืนอยู่มุมหนึ่ง อย่างเอาเรื่อง

“นายแม่เป็นหนักขนาดนี้ ทำไมไม่เคยมีใครบอกฉัน”
ปริญญาโมโหกรุ่นๆ อยู่ “ถ้าคุณหัดมองแม่คุณบ้าง ไม่จำเป็นต้องให้ใครบอก คุณก็น่าจะรู้ว่าคนที่ทำงานทุกวันวันละ 24 ตลอดเวลา 30 กว่าปี ร่างกายจะเสื่อมสภาพขนาดไหน”
มิสเตอร์เจสัน นพพร และศุภกิจ พากันเดินเข้ามา นพพรเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“ได้ข่าวว่าคุณนายคมขวัญล้มในห้องทำงาน ตอนนี้พนักงาน สมุทรเทวาแตกตื่นกันใหญ่”
ปริญญามองสามคนอย่างโกรธขึ้ง
“แล้วไง เลยจะมาดูว่าคุณนายล้มแล้วรึยัง จะได้มาข้ามงั้นสิ ฉันบอกไว้เลย คุณนายไม่ยอมแพ้แค่นี้แน่ ตราบใดที่มีคุณนายอยู่ สมุทรเทวาจะไม่มีวันล้ม”
“แต่ฉันว่าคงไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไปแล้วล่ะ ที่ฉันมาที่นี่ ไม่ใช่มาดูคุณคมขวัญล้ม แต่จะมาบอกข่าวด่วน” มิสเตอร์เจสันมองปานรุ้ง “คุณคมขวัญยังฟังไม่ได้ งั้นผมฝากคุณบอกคุณแม่คุณแล้วกันนะ ตอนนี้คณะกรรมการบริษัทมีมติเอกฉันท์ ว่าจะปิดบริษัทสมุทรเทวา เพื่อขายทรัพย์สินที่มี ใช้หนี้สินทั้งหมด”
ปานรุ้งรับฟังอย่างอึ้งๆ ถามออกมางงๆ
“หมายความว่ายังไง”
ปริญญาหน้าเครียดจัด สวนออกมา “ไม่จริง คุณนายไม่ได้ร่วมประชุมด้วย ถือว่าการตัดสินใจนี้ คุณนายไม่ได้รับรู้”
ศุภกิจเยาะ “ก็บอสให้เกียรติมาบอกข่าวดีด้วยตัวเองแล้วนี่ไง”
“หยุดดิ้นเถอะปริญญา นายก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าดิ้นไปยังไงก็ไม่มีประโยชน์” มิสเตอร์เจสันยิ้มหยัน
“มันไม่จบเท่านี้แน่” ปริญญาขยับมาจ้องหน้านายทุนฝรั่ง พูดใกล้ๆ หู “คุณก็รู้ว่าคดีขนของเถื่อน มันไม่จบแค่คุณชูนาม อย่าคิดว่าผมกับคุณนายไม่เห็นคุณกับเฮียโมในคืนงานแต่งคุณรุ้ง”
มิสเตอร์เจสันมองหน้าปริญญานิ่งๆ แต่ผู้ช่วยแฝดชะงักที่ปริญญารู้ความลับว่ามิสเตอร์เจสันกับเฮียโมรู้จักกัน
มิสเตอร์เจสันพูดโดยไม่สะทกสะท้าน “รู้อย่างนี้ก็ดี ขอให้คุณโชคดี”
แล้วเดินกร่างผ่านปริญญาไปพร้อมกับนพพรและศุภกิจ ปริญญาคุมแค้น
ปานรุ้งมองตามสามคน แล้วหันมาถามปริญญา
“บอกฉันหน่อยสิ ว่านี่มันอะไรกัน”
“คุณชูนามร่วมมือกับพวกเจสัน ทำลายสมุทรเทวา”
ปานรุ้งอึ้ง ไม่เชื่อเด็ดขาด “ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ”
“ต้องให้แม่คุณตายตรงหน้าหรือไง คุณถึงจะเชื่อว่าสามีคุณ ไม่ได้ดีอย่างที่คุณคิดเลย”
ปานรุ้งมองหน้าปริญญาช็อค เธอคงปฏิเสธความจริงข้อนี้ไม่ได้แล้ว

มิสเตอร์เจสันเดินนำนพพรกับศุภกิจด้วยท่าทางโกรธสุดขีด
“ได้ยินแล้วใช่ไหมว่าไอ้ปริญญามันรู้เยอะขนาดไหน”
ผู้ช่วยแฝดรับ “ครับ”
“แล้วรู้ใช่ไหม ว่าควรจะหยุดมันยังไง”
สองคนรับ “ครับ” อีก
มิสเตอร์เจสันมองไปข้างหน้าด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม

ปานรุ้งนั่งนิ่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัด ท้องฟ้าตรงระเบียงเบื้องหลังของเธอเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากยามเย็นกลายเป็นกลางคืน ผู้คนเดินผ่านไปมามากมาย คนแล้วคนเล่า ในขณะที่ปานรุ้งนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิม ที่เดิม รอคอยการฟื้นของแม่
ในเวลาที่ล่วงผ่าน ในหัวปานรุ้งมีแต่คำพูดของปริญญาที่ดังก้องอยู่ในนั้น ตอกย้ำความรักที่คมขวัญมีต่อตัวเธอ
“คุณรู้ไหม ทำไมคณะกรรมการบริษัทถึงโจมตีคุณนาย เพราะคุณนายรับรองคุณชูนามเข้ามาทำงานในตำแหน่งใหญ่ ทั้งๆ ที่คุณชูนามไม่มีประสบการณ์อะไรเลย พอมีปัญหา คุณนายก็ออกรับแทนทุกอย่าง ยอมขายที่ดินของคุณตาคุณให้คุณวาสุเทพ เพื่อหาเงินมาแก้ไขภาวะหนี้สินในสมุทรเทวา แต่คุณชูนามกลับร่วมมือกับเฮียโมใช้เรือสมุทรเทวาขนของเถื่อน ตอนนี้เฮียโมมันหนีไปแล้ว เหลือหลักฐานทุกอย่างที่คุณชูนามเซ็นไว้เพื่อโยนความผิดให้คุณชูนามกับสมุทรเทวารับกรรมไป เรื่องเกิดขนาดนี้ มีสักคำไหมที่คุณนายจะบ่นกับคุณ แต่กลับเป็นคุณที่มาต่อว่าคุณนาย ผมบอกอะไรให้นะคุณปานรุ้ง ทั้งชีวิตของคุณนาย ไม่ได้ทำเพื่อ สมุทรเทวาหรอก แต่ท่านทำเพื่อคุณ”
คิดแล้วปานรุ้งร้องไห้ออกมาอีกระลอก เนื้อตัวสั่นสะท้าน เสียใจสุดจะประมาณ

ผ่านไปอีกสักระยะ ปริญญาถือกล่องนม และถุงใส่ซาลาเปา เดินเข้ามานั่งข้างๆ ปานรุ้ง
“ทานอะไรสักนิดเถอะครับคุณรุ้ง”
ปานรุ้งพูดโดยไม่ยอมละสายตาจากห้องผ่าตัด “ฉันไม่หิว”
“คุณไม่หิว ก็ต้องกิน อย่าลืม ว่าตอนนี้ชีวิตคุณไม่ได้มีแค่คุณคนเดียว แต่คุณยังต้องกลับไปหาลูก”
ปานรุ้งได้ยินคำว่า “ลูก” ถึงกับน้ำตาตกใน ยิ่งตระหนักชัดว่าแม่ทำเพื่อลูกได้ขนาดไหน ปานรุ้งยอมรับขนมจากปริญญามา กัดกลืนกินอย่างยากเย็น
“ผมได้ยินเรื่องเครื่องเพชรของคุณจากกอบ ก็คงไม่แคล้วฝีมือคุณชูนาม”
“คนที่ควรนอนเจ็บในห้องผ่าตัด น่าจะเป็นฉันนะ ฉันมันไม่มีค่าจะเป็นอะไรไปก็ช่างมัน แต่แม่สิ แม่มีค่ากับทุกคน”
ปริญญาปลอบ “อย่าพูดอย่างนั้นเลยครับ คุณนายบอกผมเสมอว่าทุกปัญหา มีทางแก้เรื่องคุณชูนาม ผมจะช่วย อย่างน้อยคุณชูนามต้องไม่ได้รับโทษคนเดียว แต่ต้องเอาไอ้พวกนั้นเข้าคุกด้วย”
“ไม่ต้องช่วยชูนามหรอกค่ะ”
ปริญญาชะงัก มองปานรุ้งอย่างไม่อยากเชื่อหู “คุณว่ายังไงนะ”
“เขาทำกับฉัน กับลูก กับสมุทรเทวาขนาดนี้ เขาควรได้รับโทษ”
ปริญญาไม่อยากเชื่ออยู่ดี “คุณรุ้ง”
ปานรุ้งมองไปทางห้องผ่าตัดคมขวัญ ก่อนจะหันกลับมาถามเลขาคู่ใจมารดา น้ำเสียงเข้ม
“ถ้าฉันจะเอาบริษัทสมุทรเทวาคืน คุณจะช่วยฉันไหมคุณปริญญา”
ปริญญามองปานรุ้งแล้วยิ้มกว้างอย่างเต็มใจ

ถัดมา ปริญญาเดินส่งปานรุ้งที่รถบริเวณหน้าโรงพยาบาล
“คุณรุ้งไม่ต้องห่วงทางนี้นะครับ ผมจะคอยโทร.บอกตลอดว่า คุณนายเป็นยังไง คุณรุ้งกลับไปดูคุณหนูน้อยก่อน ส่วนเรื่องสมุทรเทวาผมจะหาทางคุยกับคณะกรรมการให้ระงับเรื่องขายบริษัทก่อน เราต้องแก้ปัญหาได้ครับ”
ปานรุ้งมองปริญญาอย่างซึ้งใจ “ไม่สายเกินไปใช่ไหม ที่ฉันจะบอกว่าขอบคุณ”
ปริญญายิ้ม “ผมยินดีครับ”
ปานรุ้งยิ้มตอบ แล้วจะเดินไปหากอบที่ยืนอยู่ที่รถ
ฉับพลันทันใดนั้นเอง มีผู้ชาย 2 คนขี่มอเตอร์ไซค์ซ้อนกันโฉบเข้ามาใกล้ปริญญากับปานรุ้ง
ชายคนซ้อนมอเตอร์ไซค์ชักปืนจ่อไปทางปานรุ้ง เหมือนจะจ่อยิงในระยะประชิด
ปานรุ้งเห็นปืนแล้วตกใจ กรีดร้องสุดเสียง “อ๊าย...”
พร้อมๆ กับที่เสียงปืนดังขึ้นสามนัดติดๆ กัน เปรี้ยง ๆๆ จากนั้นมอเตอร์ไซค์ก็ขี่ออกไปโดยเร็ว
กอบช็อค ตกใจอยู่นาน พอได้สติ รีบวิ่งเข้าไปดูปานรุ้ง
“คุณหนู...คุณหนูเป็นยังไงบ้างครับ”
ปานรุ้งค่อยๆ ได้สติฟื้นคืนมาจากเสียงของกอบ มองสำรวจทั่วตัวว่าโดนยิงรึเปล่า แต่ไม่พบแผลใดๆ
“ฉะ...ฉะ...ฉันไม่เป็นไร”
“แล้วมันยิง...” กอบจะถามว่า “แล้วมือปืนมันยิงใคร” แต่แล้วสายตาเหลือบไปเห็นร่างปริญญายืนโงนเงนอยู่ด้านหลังปานรุ้ง เลือดสีแดงฉานอาบซึมที่หน้าอกปริญญาเป็นปื้นขนาดใหญ่
“คุณปริญญา” กอบตะลึงตาค้าง
ปานรุ้งหันไปมองตาม อย่างตื่นตระหนก ร่างปริญญาล้มลงตรงหน้าปานรุ้ง ดวงตาเบิกโพลงอย่างคนมีห่วง

ปานรุ้งตะลึงตะไล มองร่างไร้วิญญาณที่นอนจมกองเลือด ในอาการช็อคสุดขีด!

เกื้อรู้ข่าวปริญญาถูกยิงตาย จึงแอบมาหาพ่อกับแม่ที่บ้านสมุทรเทวา

“คุณปริญญาโดนยิง ส่วนคุณนายก็ยังไม่ฟื้น แล้วคุณหนูล่ะ คุณหนูเป็นยังไงบ้าง”
ปิ่นหมั่นไส้อดพูดเหน็บไม่ได้
“มาถึงก็ถามแต่คนอื่น เคยคิดถามสารทุกข์สุขดิบพ่อแม่บ้างไหม”
กอบเข้าข้างเกื้อ “ก็ลูกเห็นแกสบายดี มันจะถามทำไม คุณหนูสิเป็นทุกข์กว่าแก ก็ต้องเห็นใจคุณหนู”
“เฮอะ จะไปเห็นใจลูกอกตัญญูทำไม เรื่องอย่างนี้เอ็งช่วยไม่ได้หรอกเกื้อ มันเป็นเรื่องของกรรมใครกรรมมัน ลูกที่ทำร้ายจิตใจพ่อแม่ให้น้ำตาตก เค้าเรียกลูกทรพี คอยดู มันจะต้องตกนรกทั้งเป็น ยิ่งกว่านี้หลายสิบเท่า”

คมขวัญนอนแน่นิ่งโดยมีเครื่องช่วยหายใจและสายน้ำเกลือระโยงรยางค์
ปานรุ้งเดินเข้ามาเงียบๆ คนเดียว หยุดมองดู แม่ที่ปลายเตียงน้ำตาไหล แล้วไปนั่งข้างเตียง เอามือไปกุมมือแม่มาแนบแก้มตัวเองช้าๆ

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านไปนี้ ปานรุ้งดำเนินชีวิตไป พร้อมกับแวะมาเฝ้าไข้แม่ และพูดบอกกับคมขวัญ พยายามทำสีหน้าร่าเริง ทั้งๆ ที่ระทมทุกข์

หนังสือพิมพ์พาดหัวว่า “ฟื้นคดีชูนาม อาการหนัก โดนหลายกระทง”
“แม่ หายเร็วๆ นะคะ รุ้งซื้อละมุดมาฝากเยอะแยะเลยละ น้อยบอกว่า แม่ชอบคว้านเม็ดละมุมแล้วแช่เย็น แม่ตื่นขึ้นมาเร็วๆ นะคะ จะได้สอนรุ้งคว้านเม็ดละมุด รุ้งอยากทำให้แม่กิน แม่จะได้ชื่นใจ”

ท่ามกลางความวุ่นวายบนโรงพัก ร้อยกรองมายืนเกาะกรงขังมองดูลูกชายที่ติดคุกอยู่หน้าเศร้า จนปัญญาไม่รู้จะช่วยลูกอย่างไร เพราะหลักฐานมัดแน่น แม่ลูกทุกข์ใจสุดๆ
ปานรุ้งอยู่กับคมขวัญตามเดิม “แม่ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรอกค่ะ เดี๋ยวพอแม่หายนะ รุ้งจะเป็นคนทำงานหาเงินเข้าบ้าน จะดูแลทุกอย่างแทนแม่ แม่จะได้พักผ่อน รุ้งสัญญา รุ้งจะไม่เหลวไหลอีกแล้ว แม่คอยดูสิ”

ตกกลางคืนปานรุ้งอุ้มลูกที่กำลังร้องไห้งอแงเดินไปมาในห้องโถง น้อยกับกอบคอยช่วยปานรุ้งดูแลลูก
“แต่ที่สำคัญแม่ต้องหายนะคะ หายมาดูลูกของแม่เลี้ยงหลาน...ว่ารุ้งเลี้ยงลูกให้ได้ดีเหมือนที่แม่เคยเลี้ยงเปี่ยมขวัญกับรุ้งไหม...”
ปานรุ้งนั่งกอดหมอนหนุนท้องที่คมขวัญเย็บให้ ก้มหน้าร้องไห้ใส่หมอนเพื่อไม่ให้ใครได้ยินเสียงร้องไห้
“อือ...กติยากับวาสุเทพเขาสร้างบ้านเสร็จแล้ว ทีนี้ยากับพี่เทพก็คงมีลูกกัน...อย่างนี้แม่ต้องรีบหายนะคะ...ไหนแม่ต้องมาโกนผมไฟให้ปานเทพ ไหนจะต้องเตรียมรับขวัญลูกของยากับพี่เทพอีกมีอะไรอีกตั้งเยอะแยะที่เราต้องทำด้วยกัน”
อีกวันหมอมีสีหน้าไม่ดีชี้ให้ดูฟิล์มเอ็กซ์เรย์ ปานรุ้งฟังอย่างจดจ่อ
“เดี๋ยวพอหายนะรุ้งจะจัดห้องทำงานแม่ที่บ้านให้เป็นห้องนอนเลย แม่จะได้ไม่ต้องขึ้นบันไดไงคะ แล้วเดี๋ยวย้ายห้องพระลงมาข้างล่างด้วยก็ได้ ดีมั้ยคะ เห็นมั้ยรุ้งไม่เหลวไหลอีกแล้ว ก็เรามีกันอยู่แค่นี้นี่คะ”

วันนี้นักข่าวมารอทำข่าวหน้าศาลอาญามากมาย ปานรุ้งใส่แว่นดำเดินออกจากศาล ชูนามถูกตำรวจคุมตัวออกมา โดยมีร้อยกรองร้องไห้เดินตามชูนาม ชูนามมองตากับปานรุ้งด้วยสายตาอ้อนวอนให้ปานรุ้งช่วย
“แม่รู้มั้ยสิ่งที่รุ้งอยากทำที่สุดตอนนี้คืออะไร คือหมุนเวลากลับไป ถ้ารุ้งหมุนเวลากลับไปได้นะ รุ้งจะเชื่อฟังแม่ทุกคำ รุ้งจะไม่ดื้อ จะไม่มีวันทำให้ทุกอย่างต้องเป็นอย่างนี้”

ปานรุ้งนั่งนิ่งอยู่ข้างเตียงคมขวัญ มองคมขวัญด้วยสายตาเจ็บปวด
“เรามักจะเข้าใจรับรู้อะไรสายไปเสมอ แต่ยังดีกว่าไม่รู้เลยเนอะแม่เนอะ”
สภาพคมขวัญตอนนี้ถูกโกนหัว นอนนิ่ง มีสายออกซิเจนช่วยหายใจอยู่ ร่างกายผ่ายผอม ซีดเซียว ไม่เหลือความสง่างามเป็นนางพญาอีกต่อไป
ปานรุ้งเอื้อมมือไปลูบแก้มคมขวัญ แล้วจับมือขวัญมาจูบ
“รุ้งรักแม่ค่ะ”
ปานรุ้งค่อยๆ เอื้อมไปหอมแก้มแม่แล้วน้ำตาไหลอย่างสุดกลั้น เธอสะอึกสะอื้นขึ้นมาทันที เพราะนี้คือ การจากลา
คมขวัญเหมือนลืมตาเฮือกสุดท้ายเพื่อมองปานรุ้งก่อนลาจาก พร้อมอ้าปากเหมือนพูดแต่เสียงเบาหวิว
“แม่...ขอโทษ ที่ทำให้รุ้ง...มีความสุขไม่ได้”
คมขวัญค่อยๆ หลับตาลง น้ำตาไหลรินที่หางตา ปานรุ้งรู้ทันทีว่าแม่สิ้นลมแล้ว ปล่อยโฮออกมาอย่างรุนแรง
ท้องฟ้าเหนือโรงพยาบาลครึ้มฟ้าครึ้มฝนดูโศกเศร้า หม่นหมอง ราวกับรับรู้การจากไปของ คมขวัญ สมุทรเทวา กระนั้น

เวลาผ่านไป ชูนามอยู่ในชุดนักโทษนั่งคุยกับปานรุ้งที่แวะมาเยี่ยม เพื่อแจ้งข่าวการเสียงชีวิตของคมขวัญ
ปานรุ้งสวมชุดดำ นั่งนิ่ง ชูนามพยายามเอื้อมมือไปจับมือปานรุ้งอ้อนวอน
“รุ้ง คุณกับลูกเป็นยังไงบ้าง ผมอยู่ในนี้ คิดถึงคุณกับลูกแทบขาดใจ”
ชูนามมองซ้าย มองขวาว่าผู้คุมไม่ได้จับตา จึงยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้กับปานรุ้ง
“ผมแทบจะทนอยู่ในนี้ต่อไปไม่ไหวสักวินาที ข้าวก็แข็งกินไม่ได้ ที่นอนก็แข็งนอนไม่หลับ คนในนี้ก็จ้องแต่จะหาเรื่องผม ผมอยากกลับบ้าน”
ปานรุ้งไม่สนใจฟัง พูดสวนออกไปนิ่งๆ “ฉันมาที่นี่ เพื่อมาบอกคุณ นายแม่เสียแล้ว”
ชูนามชะงัก ตกใจเพราะเมื่อสิ้นคมขวัญ ก็หมายความว่าไม่มีใครวิ่งเต้นช่วยตัวเองแล้ว
“นายแม่เสียแล้ว...คุณทำใจดีๆ นะ นายแม่ไปสบายแล้ว เหลือแต่คนเป็นอย่างเรานี่แหละ ถ้าไม่มีนายแม่ คุณก็ต้องดูแลสมุทรเทวาคนเดียว แล้วคุณจะไหวเหรอ” ชูนามนึกถึงปริญญาขึ้นมาแล้วยิ่งแค้น “ไอ้ปริญญายิ่งจ้องเล่นงานคุณอยู่ เหลือคุณคนเดียวอย่างนี้ มันต้องจ้องล้มคุณแล้วฮุบสมุทรเทวาไปแน่ๆ...รุ้ง คุณช่วยผมนะ ผมจะออกไปปกป้องคุณกับสมุทรเทวา”
ปานรุ้งมองหน้าชูนามด้วยแววตาอันเจ็บปวด
“ปกป้องฉันกับสมุทรเทวางั้นเหรอ คงไม่ต้องแล้วละ เพราะคุณทำสมุทรเทวาพังย่อยยับเรียบร้อยแล้ว”
“ผะ..ผะ..ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้ทำ”
“ตายไป 4 ศพแล้วนะชูนาม คุณยังปฏิเสธอีกเหรอ แต่ฉันไม่โทษคุณคนเดียวหรอก ฉันก็ผิด ผิดที่เชื่อมั่นว่าตัวเองเก่ง เอาคุณอยู่ และคิดว่าลูกจะทำให้คุณคิดได้ แต่เปล่าเลย ฉันกลับทำให้คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว คนที่หวังดีกับฉันด้วยหัวใจต้องมารับกรรมแทน คนๆ นั้นก็คือแม่”
ชูนามยังพยายามเว้าวอน “รุ้ง ผมยอมรับว่าผมผิด แต่ผมไม่ได้ตั้งใจพวกมันหลอกผม” เขาจับมือปานรุ้งกุมแน่น “คุณต้องเชื่อผมนะ ขอโอกาสผม ถ้าผมออกไปได้ ผมจะเลิกเล่นการพนัน ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพวกมัน ผมจะเป็นสามีที่ดี ของคุณ เป็นพ่อที่ดีของลูก”
“ชีวิตมันสอนฉันแล้วชูนาม” ปานรุ้งดึงมือออกจากมือชูนาม “ชีวิตฉันมีรอยด่างพร้อยเพราะความผิดพลาด ฉันจะไม่ยอมให้ชีวิตลูกต้องเป็นอย่างฉัน ถ้าคุณรักลูก คิดถึงลูกอย่างที่ปากคุณบอกฉัน ฉันขอสั่ง อย่ายุ่งกับลูกอีก”
“รุ้ง” ชูนามตะลึง
“ถ้าเขาต้องรับรู้ว่าพ่อของเขาเลวขนาดไหน สู้เขารู้ว่าพ่อตายไปแล้วดีกว่า”
“ไม่นะรุ้ง”
“ลาก่อน ชูนาม”
ปานรุ้งลุกขึ้นเดินจากไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ท่ามกลางเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายร้องของชูนาม
“รุ้ง อย่าทิ้งผม ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ผิด” เมื่อเห็นว่าปานรุ้งไม่ยอมเหลียวหลังก็เปลี่ยนเป็นโกรธ “รุ้ง คุณเอาลูกหนีผมไม่พ้นหรอก คุณไม่ช่วยผม วันนึง คุณจะเสียใจ”
ชูนามขู่อาฆาตตามหลังไป

ปานรุ้งเดินสงบนิ่งออกจากเรือนจำ ตรงมาหากอบที่เปิดประตูรถรอ ปานรุ้งขึ้นรถ กอบปิดประตูให้ปานรุ้งแล้วรีบวิ่งขึ้นรถ ร้อยกรองลงจากรถสามล้อเห็นรถปานรุ้งพอดี
“หนูรุ้ง”
ร้อยกรองรีบวิ่งกระเร่อกระร่าเข้ามาหาปานรุ้ง เกาะขอบประตูรถอยู่ด้านนอก
“หนูรุ้ง หนูรุ้งต้องช่วยชูนามนะลูก”
“คนทำผิด ก็ต้องรับผิด รุ้งคงช่วยอะไรเขาไม่ได้หรอกค่ะ”
ร้อยกรองฟังปานรุ้งพูดอย่างไม่มีเยื่อใย แล้วรู้สึกโกรธ
“ทำไมหนูถึงพูดไม่มีน้ำใจอย่างนี้ล่ะ ชูนามเป็นผัวหนู เป็นพ่อของลูกหนูนะ”
“มันเป็นอดีตไปแล้วค่ะ ตอนนี้รุ้งกับชูนามไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
“เห็นแก่ตัว ตอนนี้ชูนามตกต่ำก็เขี่ยทิ้ง คนใจร้าย นังปีศาจ”
ปานรุ้งเหลียวขวับไปมองร้อยกรองด้วยแววตาน่ากลัว “ปีศาจเหรอคะ ยังหรอกค่ะ
ที่รุ้งทำ ยังไม่เรียกว่าปีศาจ ถ้าอยากเห็นรุ้งเป็นปีศาจ รุ้งจะทำให้ดู”
ปานรุ้งตะปบมือของร้อยกรองที่จับขอบหน้าต่างรถอยู่ ร้อยกรองมองมือตัวเองอย่างตกใจ
“แกจะทำบ้าอะไร”
“ชอบเกาะนักไม่ใช่เหรอ” ปานรุ้งหันไปสั่งกอบ “ขับรถไปนายกอบ”
กอบมองผ่านกระจกส่องหลัง เห็นร้อยกรองยังเกาะขอบหน้าต่างรถอยู่ ก็อึกอัก
“เอ่อ...แต่ว่า”
ปานรุ้งสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ฉันบอกให้ไป”
กอบเหยียบคันเร่งให้รถเคลื่อนไปช้าๆ ร้อยกรองโดนปานรุ้งตะปบมือไว้หนีไม่ได้ ทำให้ต้องวิ่งไปด้วยตามแรงรถ แหกปากร้องตะโกนโวยวาย
“ปล่อยฉันนะ นังบ้า”
ปานรุ้งหันไปสั่งกอบ “ขับเร็วกว่านี้อีก”
กอบมีสีหน้ากระอึกกระอัก จำยอมเหยียบคันเร่งเร็วขึ้น ร้อยกรองวิ่งตามรถเร็วขึ้นจนขาแทบพันกัน
“ปล่อยมือฉันนะเว้ย นังปานรุ้ง แกจะฆ่าฉันรึไง ปล่อยฉัน”
ในรถที่แล่นมาเรื่อยๆ ปานรุ้งจ้องหน้าร้อยกรอง
“ร้องทำไมล่ะ ชอบเกาะคนอื่นนักไม่ใช่เหรอ เกาะสิ เกาะไว้แน่นๆ”
ร้อยกรองแทบวิ่งไม่ไหวแล้ว “ปล่อยฉัน”
ปานรุ้งมองร้อยกรองที่ร้องโวยวาย แล้วสุดท้ายยอมปล่อยมือร้อยกรองไปร่างร้อยกรองเสียหลักล้มกลิ้งคลุกฝุ่นอยู่ข้างถนน หัวฟาดพื้นจนหัวแตก
ปานรุ้งมองผ่านกระจกอย่างไม่ใยดี
ร้อยกรองลุกขึ้นมาได้อย่างทุลักทุเล เจ็บระบมไปทั้งตัว เอามือแตะเลือดที่หน้าผากอย่างอาฆาตแค้น ตะโกนด่าตามรถปานรุ้งไป
“นังปานรุ้ง คอยดูนะ ฉันจะเอาคืนให้สาสมเลย”
ปานรุ้งนั่งนิ่งลำคอระหงมองตรงไปเบื้องหน้า ทิ้งร้อยกรองให้นั่งร้องไห้อยู่กับพื้นโดยปานรุ้งไม่แม้แต่จะหันไปมอง

บัดนี้ ปานรุ้ง ตัดสิ้นเยื่อใย กับสองแม่ลูกนี้เด็ดขาดแล้ว!

อ่านต่อหน้า 2

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 8 (ต่อ)

กอบขับรถเข้ามาจอดหน้าตึก ปานรุ้งลงจากรถแล้วหยุดมองบ้านทั้งหลัง เห็นพวงหรีดถูกจัดวางอบู่ตั้งแต่ประตูหน้าบ้านเรื่อยไปถึงด้านในห้องโถง บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ปานรุ้งมองรอบๆ แล้วแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่

น้อยอุ้มคุณหนูปานเทพออกมาหา
“คุณหนูปานเทพเพิ่งตื่นเมื่อกี้นี้เองค่ะ”
ปานรุ้งอุ้มปานเทพมาจากน้อย แล้วกอดลูกแน่นเหมือนลูกคือไม้หลักสุดท้ายในชีวิตของเธอ แจ่มกับเด็กรับใช้เดินเข้ามาหาปานรุ้งด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆ
“เอ่อ คุณหนูคะ เห็นน้อยบอกว่าคุณหนูจะจัดงานศพคุณนาย 7 วัน สวดทั้งพระไทยและพระจีน แล้วจะเก็บคุณนายไว้ 100 วันเหรอคะ” แจ่มพูดด้วยท่าทางเกรงใจ
“ใช่ ทำไมเหรอ”
แจ่มอึกอัก “เอ่อ คือ แจ่มว่าเราสวดคุณนาย 7 วันแล้วเผาเลยดีกว่าไหมคะ ช่วยประหยัดกว่าเยอะ”
ปานรุ้งโกรธ แหวใส่ “ทำไมเธอถึงพูดแบบนี้ นี่มันงานศพแม่ฉันนะ มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะทำให้แม่ได้ จะต้องใช้เงินเท่าไร ฉันยอมทั้งนั้น ถึงของฉันไม่มีให้ขาย แต่สมบัติอื่นก็ยังมี”
“เราไม่เหลืออะไรจะขายได้แล้วนะคะ หลังจากคุณนายเสีย เขาก็มายึดของไปขายใช้หนี้ให้สมุทรเทวาหมด” แจ่มบอก
ปานรุ้งเครียดจัด แต่พยายามเข้มแข็งไว้ “นายกอบ”
“ครับคุณหนู”
“เอารถของฉันไปขาย ได้เงินมาเท่าไร เอามาใช้จ่ายค่างานศพของแม่ให้หมด”
ปานรุ้งพูดจบ ก็อุ้มปานเทพเดินเข้าบ้านไป ทุกคนมองตามปานรุ้งด้วยสายตาสงสาร

ปานรุ้งอุ้มปานเทพเดินมายืนตรงหน้าโลงศพคมขวัญในโถง ค่อยๆ นั่งลง น้อยเดินเข้ามามองปานรุ้งอย่างสงสาร คลานเข้าไปนั่งใกล้ๆ
“วันที่นายแม่มีปัญหา แต่ไม่มีใครอยู่ข้างๆ แม่คงรู้สึกอย่างนี้สินะ”
น้อยเอื้อมมือไปแตะมือให้กำลังใจ “คุณหนูเข้มแข็งไว้นะคะ”
ปานรุ้งมองรูปคมขวัญในกรอบข้างโลงด้วยความหวังว่าความทุกข์จะผ่านไปอย่างที่น้อยพูด
รูปคมขวัญเหมือนมองมายังปานรุ้งกับลูกด้วยแววตาเศร้า

ตกตอนค่ำ แขกเหรื่อมาร่วมงานสงวดศพ ทยอยเข้ามาจุดธูปเคารพศพคมขวัญ ปานรุ้งยังนั่งอุ้มลูกอยู่ด้านหน้าโลงศพ แขกเข้ามาเคารพศพ แสดงความเสียใจ แล้วออกไป
ปานรุ้งนั่งนิ่ง แทบไม่ได้ยินเสียงอะไร แขกเหรื่อเดินไปนั่งเตรียมฟังพระสวดศพ หากปานรุ้งสังเกตดีๆ จะพบว่าในหมู่แขกนั้นมีเกื้อแอบมองปานรุ้งอยู่ไกลๆ เมื่อเห็นปานรุ้งร้องไห้ เกื้ออยากเข้าไปหา ไปปลอบ แต่ก็ไม่กล้า ได้แต่นั่งแอบมองอยู่ไกลๆ
ปานรุ้งทำท่าขยับเปลี่ยนท่านั่ง แต่เพราะปานรุ้งเหนื่อยและเพลียมาหลายวัน ทำให้ปานรุ้งเซเหมือนจะล้ม เกื้อจะเข้าไปหาปานรุ้ง
มือของวาสุเทพเข้ามาประคองปานรุ้งกับปานเทพไว้ ผู้ชายคนนี้คือคนที่ยื่นมือเข้า มาประคับประคองชีวิตของปานรุ้งเสมอ
ปานรุ้งหันหน้าไปมองวาสุเทพ เห็นกติยายืนมองอยู่ เชิดหน้านิดๆ ให้เห็นว่า “ฉันเหนือกว่าเธอ”
“รุ้งเป็นอะไรรึเปล่า”
กติยาเดินเข้ามายืนใกล้ปานรุ้งอีกนิด ยังไม่ยอมนั่ง จงใจแสดงให้เห็นว่าตอนนี้เธอเป็นผู้ยืนเหนือกว่า ในขณะที่ปานรุ้งล้มและอยู่ระดับต่ำลง
“รุ้งคงเพลียน่ะค่ะพี่เทพ ได้ข่าวว่าตอนนี้รุ้งเจอแต่ปัญหา ฉันเสียใจด้วยนะรุ้ง ทำใจนะรุ้ง ชีวิตก็อย่างนี้ ไม่มีใครอยู่สูงค้ำฟ้า ไม่มีใครอยู่ต่ำค้ำดิน สิ่งที่แน่นอนคือการเปลี่ยนแปลง เข้มแข็งให้สมกับเป็นปานรุ้งคนเก่งนะ”
ปานรุ้งมองกติยาอย่างรู้ทันว่าจงใจพูดซ้ำเติมเธอ
“ขอบคุณนะกติยา ที่พูดเตือนสติฉัน”
“พี่ว่ารุ้งไปพักก่อนดีกว่าไหม หน้ารุ้งซีดมาก เดี๋ยวทางนี้ พี่ดูแลแทนให้เอาไหม”
ปานรุ้งฮึด พูดอย่างเข้มแข็ง “ไม่เป็นไรค่ะพี่เทพ ตอนนี้รุ้งแค่เพลีย รุ้งยังลุกขึ้นได้ค่ะ”
ปานรู้สื่อความหมายบอกไปยังกติยาว่าฉันยังไม่ล้ม อย่าเพิ่งกระทืบซ้ำ
จากนั้นปานรุ้งใช้มือข้างหนึ่งอุ้มลูก ใช้อีกข้างดันตัวเองขึ้นมายืนประจัญหน้ากติยา แล้วจะเดินไป กอบเข้ามาหาปานรุ้ง
“คุณหนูครับ มีแขกมาขอพบครับ”
“ใคร”
วาสุเทพและกติยามองปานรุ้งกับกอบว่ามีเรื่องอะไร เกื้อมองมาทางปานรุ้งด้วยแววตาสงสัย

กอบเดินนำปานรุ้งที่อุ้มปานเทพมาด้วย เดินมาที่ท่าน้ำ ซึ่งผู้ชายแต่งตัวภูมิฐานยืนรอปานรุ้งอยู่
“คุณคนนี้บอกว่าเป็นทนาย อยากคุยกับคุณหนูน่ะครับ”
กอบเดินออกไปเลย ปล่อยให้ปานรุ้งคุยกับทนายลำพัง ปานรุ้งมองชายคนนั้นด้วยสีหน้าสงสัย
“คุณคือ...”
“ผมชื่อนิรุจน์ เป็นทนายของคุณกิตติ คนที่ซื้อบ้านสมุทรเทวาหลังนี้จากคุณ”
ปานรุ้งอึ้ง มองทนายด้วยสีหน้าแปลกใจระคนตกใจสุดขีด “อะไรนะ”

ไม่นานต่อมา ปานรุ้งอุ้มปานเทพที่กำลังร้องไห้งอแงโดยไม่ยอมโอ๋ ได้แต่ก้มมองลูกร้องไห้เพราะหัวใจของเธอตอนนี้ก็ร้องไห้ไม่ต่างกัน จากคำพูดของทนายที่ปานรุ้งเพิ่งได้รับฟังมา
“ฉันไม่เคยขายบ้านหลังนี้ให้ใคร”
“คุณจะปฏิเสธหรือไปฟ้องร้องก็คงยาก เพราะในใบซื้อ ขาย มีลายเซ็นของคุณชูนาม สามีของคุณเซ็นเป็นพยานด้วย”
“อะไรนะ ชูนามเหรอ” ปานรุ้งช็อค
“ตอนนี้ บ้านสมุทรเทวาเป็นของคุณกิตติถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นคุณกิตติจึงส่งผมมาให้แจ้งกับคุณว่า ขอให้คุณและสมาชิกทุกคน ย้ายออกภายในเวลา 3 วัน นับตั้งแต่วันนี้”
ปานรุ้งช็อคกว่าเก่า “ย้ายออก”
“ลูกสาวคุณกิตติจะกลับจากเมืองนอก ท่านต้องการยกบ้านหลังนี้ให้เป็นของขวัญลูกสาว แล้วถ้าลูกสาวท่านมาเห็นว่าบ้านหลังใหม่ กำลังจัดงานศพ คงไม่เหมาะแน่ๆ ยังไงรบกวนคุณปานรุ้ง ทำตามที่ผมได้แจ้งด้วยนะครับ”

เกื้อเดินตามมาแอบมองปานรุ้งอยู่มุมหนึ่งด้วยความเป็นห่วง
ปานรุ้งหยุดยืนมองตัวตึกด้วยความเจ็บปวดหัวใจถึงขีดสุด ท่ามกลางเสียงร้องไห้จ้าของทารกปานเทพ
เกื้อสงสารทนไม่ไหว จะเข้าไปหา ทว่าวาสุเทพเดินเข้ามาเห็นปานรุ้งก่อน เกื้อเห็นวาสุเทพ จึงหลบแอบมองสองคนอยู่ที่เดิม
“รุ้ง“
ปานรุ้งเห็นวาสุเทพ พยายามซ่อนความเจ็บปวดไว้
วาสุเทพเป็นห่วง “มีปัญหาอะไรรึเปล่า หรือว่าเรื่องเงิน”
ปานรุ้งมองวาสุเทพด้วยความกระดาก เขาช่วยเธอมากมายเหลือเกิน ทั้งๆ ที่เธอทำเขาสาหัสสากรรจ์ ปานรุ้งจึงไม่อาจขอให้วาสุเทพช่วยได้อีก เธอฝืนยิ้มไม่อยากให้ตัวเองน่าสังเวชกว่านี้
“พี่เทพเอาอะไรมาพูดคะ ถึงบริษัทสมุทรเทวาโดนยึด แต่แม่ก็ทิ้งสมบัติให้รุ้งเยอะแยะ รุ้งไม่มีปัญหาเรื่องเงินหรอกค่ะ”
วาสุเทพมองปานรุ้งอย่างรู้ทันเดินเข้าไปใกล้ แล้วเอื้อมมือไปแตะไหล่ปลอบปานรุ้ง
“ถ้าไม่ไหว อย่าฝืน”
ปานรุ้งมองมือวาสุเทพที่แตะไหล่อยู่ มันช่างอบอุ่นเหลือแสน ปานรุ้งมองหน้าวาสุเทพขยับเข้าใกล้อยากกอดเขาเหลือเกิน แต่แล้วกติยาเดินเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“เราต้องกลับกันแล้วล่ะค่ะพี่เทพ”
ปานรุ้งชะงัก รีบซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ไม่ให้กติยาเห็น วาสุเทพเอามือออกจากไหล่ปานรุ้ง แล้วหันไปมองกติยาด้วยสีหน้าปกติ
“เดี๋ยวเราต้องขับรถกลับสัตหีบ กว่าจะถึงคงดึก”
“พี่เทพกลับเถอะค่ะ รุ้งไม่เป็นไรหรอก”
วาสุเทพมองปานรุ้งอย่างอาลัยอาวรณ์
กติยามองสายตาวาสุเทพแล้วเจ็บแปลบขึ้นมา แต่พยายามข่มความรู้สึกไว้ แล้วเชิดหน้าไว้ เพราะตอนนี้ เธอเหนือกว่าปานรุ้งทุกอย่าง
“งั้นฉันกับพี่เทพไปนะรุ้ง และหลังจากนี้ เราคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก เพราะฉันกับพี่เทพคงย้ายไปอยู่เรือนหอเลย ดูแลตัวเองกับลูกดีๆ นะรุ้ง”
ปานรุ้งฝืนยิ้มให้กติยาเหมือนตัวเองไม่เป็นอะไร “จ้ะ ขอบคุณนะที่มางานของแม่ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะพี่เทพ” แล้วยกมือไหว้วาสุเทพ “ลาก่อนคะ”
วาสุเทพมองปานรุ้งนิ่งนาน จนกติยาต้องดึงวาสุเทพออกไป
ปานรุ้งฝืนยิ้ม ทำตัวเข้มแข็ง กลั้นน้ำตา เดินเข้าไปในงาน ไม่ให้ใครรู้ความทุกข์หนักปานใด

เกื้อมองคุณหนูของมันด้วยความสงสารจับจิต

แขกกลับหมดแล้ว ปานรุ้งนั่งน้ำตาซึม กอดปานเทพอยู่หน้าโลงศพคมขวัญ สะอื้นไห้ออกมาอย่างสุดทานทน กอบเข้ามานั่งเยื้องด้านหลัง เป็นห่วงเรื่องทนายที่มาพบตอนหัวค่ำ

ปานรุ้งรับรู้ พูดกับกอบ โดยสายตายังมองตรงไปทางโลงศพของแม่ตลอด
“เหนื่อยมั้ยนายกอบ”
“ธรรมดาครับ สำหรับคุณนายแล้วยิ่งกว่านี้ก็ได้ครับ”
“ขอบใจมากนะนายกอบ แม่คงยิ้มปลื้มใจในตัวนายกอบอยู่ ข้างบนโน่นแล้ว”
กอบยิ้มนิดๆ มองปานรุ้งท่าทีเกรงใจ “เอ่อ...คุณหนูครับทนายคนนั้นเขาพบคุณหนูเรื่องอะไรครับ หรือว่าเขามาบอกว่าคุณนายมีอะไรไว้ให้คุณหนู ผมว่าแล้ว คุณนายเป็นคนเก่ง ต้องรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณนายต้องเตรียมอะไรไว้ ไม่ทิ้งให้คุณหนูกับคุณหนูน้อยลำบากแน่ๆ”
ปานรุ้งอึ้ง นิ่งงันไปพักหนึ่ง “เราคงต้องจากกันเร็วๆ นี้แล้วล่ะ”
กอบชะงัก “อะไรนะครับ”
“เขาจะมายึดบ้านแล้ว”
กอบตะลึง “ห๊ะ”
“เพราะฉันเอง แม่ห้าม แม่สอน ฉันไม่เคยฟัง คิดเอาแต่ชนะแม่ เอาผู้ชายเลวทรามคนนั้นเข้ามาในบ้าน มาปล้นและเผาบ้านเราวอดวาย ไม่เหลืออะไรเลย”
กอบมองปานรุ้งอย่างเห็นใจและสงสาร “คุณหนู”
“เขาให้เวลาเราอยู่ในบ้านนี้อีก 3 วัน งั้นเราต้องเลื่อนเวลาเผาแม่เร็วขึ้น และเก็บข้าวของแยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น”
หลุดปากคำนี้ออกไป ปานรุ้งทนไม่ไหว ร้องไห้โฮ
“สิ่งสุดท้ายที่ฉันอยากทำให้แม่ ฉันก็ไม่มีปัญญาทำได้ ฉันเป็นลูกที่เลวจริงๆ”
กอบมองปานรุ้งร้องไห้อย่างเห็นใจ เกื้อแอบมองปานรุ้งอยู่ตรงริมประตูทางเข้าตึก เห็นปานรุ้งร้องไห้เขาแทบขาดใจ

คืนนั้นแจ่มกำลังเก็บข้าวของไม่ว่าจะเป็นหม้อ ครก จาน ชามที่พอจะเอาไปขายได้ สักครู่น้อยเข้ามาดึงชามจากมือแจ่มไว้
“แกจะเอาจาน-ชามไปไหน”
แจ่มสะบัดมือออก “ก็เก็บของไปขายไง บ้านโดนยึดอย่างนี้ ก็คงไม่มีเงินเดือนให้เราหรอก ! ใครจะอยู่ก็อยู่ไปนะ แต่ฉันไม่อยู่แล้ว”
แจ่มจะเดินหนีไปทางห้อง ปิ่น กับกอบเดินเข้ามาเห็นแจ่มกับน้อยทะเลาะกัน
น้อยดึงมือแจ่มไว้ “คุณนายยังไม่ทันเผา แกจะทิ้งคุณหนูไปแล้วเหรอนังคนเห็นแก่ตัว”
“ฉันเสิร์ฟน้ำให้แขกงกๆ ทุกวัน ไม่เรียกร้องค่าแรงสักบาท ยังเรียกว่าฉันเห็นแก่ตัวอีกเหรอ” แจ่มจิ้มหน้าผากน้อย “รู้ไว้ด้วย ไม่ใช่ฉันคนเดียวหรอกที่ไป ป้าปิ่นก็เตรียมเก็บของย้ายแล้วเหมือนกัน”
น้อยหันไปมองปิ่นด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ “จริงเหรอป้า”
“ฉันอยู่บ้านเพื่อรับใช้คุณนาย พอหมดคุณนาย ฉันก็ไม่จำเป็นต้องอยู่” ปิ่นบอก
“แล้วคุณหนูล่ะป้า ไหนจะคุณหนูปานเทพอีกป้าไม่สงสารคุณหนูเหรอ” น้อยว่า
“อย่าว่าแต่สงสารเลย แม้แต่คำว่าเห็นใจ ฉันก็ไม่มีให้ที่คุณนายต้องตาย ที่บ้านต้องพังพินาศ ที่ลูกชายฉันไม่มีที่ซุกหัวนอน ก็เพราะความอวดเก่ง ถือดีของผู้หญิงคนนั้น แกอยากอยู่รับใช้ต่อไปก็เรื่องของแก แต่ฉันจะไป”
น้อยเสียใจมาก “ป้าปิ่น”
ปานรุ้งยืนฟังอยู่นานแล้วที่มุมหนึ่ง สุดท้ายตัดสินใจเดินเข้ามา
“ใครจะไปไหน ฉันไม่ว่า”
แจ่มเห็นปานรุ้งแล้วชะงัก ส่วนปิ่นไม่แสดงอาการตกใจหรือเกรงกลัวปานรุ้งได้ยินคำพูดตัวเอง
น้อยเป็นห่วงความรู้สึกปานรุ้ง “คุณหนู”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินเดือน ฉันเตรียมเงินไว้ให้ทุกคน คนละก้อนเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว แต่ฉันขอร้อง ขอให้ทุกคนอยู่เผาแม่ก่อน หลังจากนั้นค่อยแยกย้ายไป อย่างน้อยให้แม่เห็นทุกคนร่วมงานท่านเป็น ครั้งสุดท้าย”
ปานรุ้งพูดจบก็เดินออกไปเงียบๆ ไม่มีเสียงโวยวายใดๆ อย่างที่เคยเป็น

ศพคมขวัญถูกนำมาเผาที่วัดแห่งหนึ่งละแวกบ้านตอนบ่ายวันนี้ มีคนมาร่วมงานราว 20 คน หลายคนกลับไปแล้ว เหลือแต่คนในบ้านสมุทรเทวาแหงนมองควันลอยพวยพุ่งออกจากปล่องควันของเมรุ ส่งวิญญาณคมขวัญเป็นครั้งสุดท้าย
ปานรุ้งอุ้มปานเทพยืนอยู่ตรงหน้าเตาเผา มองเปลวเพลิงในเตาที่กำลังโหมไหม้โลงและร่างของคมขวัญด้วยสายตาเจ็บปวดรวดร้าวสุดจะคณานับ
น้อย แจ่ม ปิ่น เด็กรับใช้ทุกคนร้องไห้อยู่ด้านหลังปานรุ้ง

เกื้อแอบมองปานรุ้งอยู่ด้านหลังทุกคน กอบเดินเข้ามาหาลูก
“พ่อเอาซองของฉันให้คุณหนูรึยัง”
“ให้แล้ว และก็บอกคุณหนูให้แล้วว่าแขกคนอื่นเป็นคนฝากมา ไม่ใช่เอ็ง”
“ขอบคุณนะพ่อ” เกื้อมองไปทางปานรุ้ง “ฉันรู้ว่าเงินแค่นั้นคงทำอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อย ให้ฉันได้ช่วยอะไรคุณหนูบ้างก็ยังดี”
เกื้อมองปานรุ้งที่ยืนกอดปานเทพร้องไห้อยู่หน้าเมรุด้วยความสงสารสุดหัวใจ

รุ่งเช้า ข้าวของประดับตกแต่งบ้าน ถูกเก็บใส่กล่องวางไว้ตรงมุมบ้านเรียบร้อย
ปานรุ้งยืนอุ้มปานเทพอยู่หน้าตึก มองกอบ ปิ่น แจ่ม และสาวใช้ทุกคนถือกระเป๋าเสื้อผ้า ด้วยสีหน้าเศร้า
น้อย กอบหน้าเศร้า ส่วนปิ่นหน้าเฉยๆ เพราะไม่มีความรู้สึกอะไรกับปานรุ้ง
กอบยื่นซองเงินให้ปานรุ้ง “นี่ครับ เงินเหลือจากค่าใช้จ่ายงานศพคุณนาย 1,527 บาท 75 สตางค์”
“ขอบใจนะกอบ” ปานรุ้งหยิบซองเงินเดือนแจกจ่ายทุกคน “นี่คือเงินเดือน เดือนสุดท้ายของทุกคน ฉันขอโทษที่ให้ทุกคนไม่ได้มากเท่าที่ทุกคนทำทุกอย่างให้ฉันกับแม่ แต่อย่างน้อย คิดเสียว่าเป็นเงินก้นถุง ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กันนะ”
แจ่มรีบตะครุบซองเงินจากปานรุ้งก่อนใครเพื่อน น้อยมองอย่างไม่พอใจ แต่แจ่มไม่แคร์
“ให้ผมอยู่กับคุณหนูเถอะครับ ไม่ว่าคุณหนูอยู่ที่ไหน ผมก็อยู่ได้ทั้งนั้น ไม่ต้องให้เงินเดือนผมก็ได้”
ปิ่นบอกผัวทันที “แต่ฉันไม่อยู่กับแกนะ”
กอบดุเมีย “แกนี่นะ”
ปานรุ้งมองอย่างเข้าใจ ว่ายายปิ่นเกลียดเธอมาก
“ไปเถอะกอบ ฉันต้องอยู่เองให้ได้”
“งั้นแจ่มลาเลยนะคะ ต้องรีบไป บขส. เดี๋ยวไม่ทันรถ”
แจ่มยกมือไหว้ลาปานรุ้ง แล้วหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเดินออกไปกับคนรับใช้คนอื่นๆ
น้อยมองแจ่มอย่างหมั่นไส้ “ดู๊ ..ดูคนเรา ได้เงินปุ๊บก็ไปเลย”
กอบหยิบกระเป๋าเสื้อผ้า มองปานรุ้งอย่างห่วงใย
“คุณหนูอยู่คนเดียวได้จริงๆ เหรอครับ ให้นังแจ่มไปกับคุณหนูด้วย ไม่ดีกว่าเหรอครับ”
ปิ่นดุน้อยแต่จงใจแดกดันปานรุ้ง “เขาสั่งอะไร ก็ฟังเขาสิ ไปได้แล้วตากอบ เราต้องไปอีกไกล อย่ามัวแต่เสียเวลา”
ปิ่นหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเดินออกไปทันที โดยไม่พูดลาปานรุ้งสักคำ กอบมองปิ่นอย่างหงุดหงิด
“ยายปิ่นนี่” กอบหันมายกมือไหว้ลาปานรุ้ง “ผมขอโทษแทนยายปิ่นด้วยนะครับ งั้นผมลานะครับคุณหนู”
กอบถือกระเป๋าเสื้อผ้าเดินตามยายปิ่นออกไป ปานรุ้งมองตามทุกคนที่กำลังเดินออกจากชีวิตตัวเองด้วยแววตาแสนเศร้า ปานรุ้งกอดกระชับลูกไว้ เหมือนยึดเป็นกำลังใจ แล้วหันกลับมาจะก้มหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าตัวเอง น้อยก้มจะหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าให้ปานรุ้ง
“ไม่ต้องน้อย”
น้อยชะงัก ปานรุ้งก้มลงหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองขึ้นมาเอง
“อย่าลืมสิ ตอนนี้เธอไม่ใช่คนรับใช้ของฉัน เธอมีเจ้านายคนใหม่แล้วฉันฝากน้อยไว้กับเจ้าของบ้านคนใหม่” ปานรุ้งมองบ้านด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ “น้อยจะได้อยู่ที่นี่ ดูแลบ้านนี้ให้ดีแทนฉัน”
น้อยมองปานรุ้งแล้วร้องไห้อย่างเสียใจ ปานรุ้งเข้าไปกอด น้อยชะงักนิดนึงแล้วกอดปานรุ้งแล้วยิ่งร้องไห้
“แต่น้อยห่วงคุณหนู คุณหนูจะไปอยู่ที่ไหนยังไงคนเดียว”
ปานรุ้งฝืนยิ้มให้น้อย ทำเป็นเข้มแข็ง “โธ่เอ๊ยน้อย อย่าลืมสิ ฉันเคยไปอยู่เมืองนอกคนเดียวมาก่อน ตอนนี้จะออกไปอยู่คนเดียวอีก จะเป็นอะไรไป ญาติโกโหติกาฉันก็เยอะแยะ ใครๆพร้อมช่วยเหลือฉันทั้งนั้น ฉันไปนะ”
ปานรุ้งจับมือน้อยกระชับ แล้วค่อยๆปล่อยมือน้อย แล้วตัดใจเดินออกจากบ้าน โดยห้ามตัวเองไม่ให้หันมามองอีก

ท้องฟ้าเบื้องบนเหนือบ้านสมุทรเทวา มืดครึ้ม ฟ้าแลบปลาบๆ บอกให้รู้ว่าเดี๋ยวฝนจะตก

ไม่นานต่อมา ฝนตกหนัก ไม่ลืมหูลืมตา ปานรุ้งอุ้มลูกนั่งสามล้อถีบมาลงที่หน้าบ้านญาติ คนถีบสามล้อ ตะโกนสู้เสียงฝนบอกปานรุ้ง

“ถึงแล้วครับ”
ปานรุ้งแหวกพลาสติกที่ไว้กันฝนออกมาพูดกับคนถีบสามล้อ
“พี่ช่วยเรียกคุณสมรให้ฉันหน่อยได้ไหม บอกว่าปานรุ้งมาหา”
คนถีบสามล้อลงไปตะโกนเรียกคนอยู่หน้าบ้าน
“คุณ คุณสมร คุณปานรุ้งมาหา”
สักครู่ จึงเห็นเด็กรับใช้กางร่มวิ่งมาเปิดประตู
“คุณสมรไม่อยู่หรอกพี่”
คนถีบสามล้อวิ่งฝ่าฝนมาหาปานรุ้ง
“คุณ เขาบอกว่าคนชื่อสมรไม่อยู่”
“เอ๊ะ แต่เมื่อวานฉันโทร.มาบอกแล้วนี่ ว่าฉันจะพาลูกมาอยู่ที่นี่”
ได้ยินเสียงสมรดังจากด้านในบ้าน ถามเด็กรับใช้
“ลำดวน บอกปานรุ้งไปรึยังว่าฉันไม่อยู่”
ปานรุ้งได้ยินเสียงสมรตะโกนมา เข้าใจได้ทันทีว่าที่นี่ไม่ต้อนรับเธอ

ถัดมา คนถีบสามล้อลงมาหลบฝนยืนรอปานรุ้งอยู่ใต้ต้นไม้ ส่วนปานรุ้งยืนคุยกับเพื่อนชื่อพิกุลใต้หลังคาหน้ารั้วบ้าน
“ฉันอยากให้เธออยู่ด้วยนะรุ้ง แต่ว่าฉันเพิ่งซื้อหมามาเลี้ยง ลูกเธอยังเล็ก คงอยู่กับหมาไม่ได้หรอก จริงไหม”
ปานรุ้งได้แต่ยิ้มรับคำตอบปฏิเสธกลายๆ จากเพื่อน แม้ในใจจะแสนขมขื่น

อีกฟากหนึ่ง ภายในสลัมฝนยังคงตกหนัก พวกเด็กๆ ออกมาวิ่งเล่นน้ำฝนกันอย่างสนุกสนาน เกื้อพายายปิ่นกับกอบฝ่าสายฝนมาดูบ้านเช่า ซึ่งเป็นบ้านไม้เก่าๆ มีลังของวางหน้าบ้านรก
“บ้านเช่านี่ อาของเพื่อนฉันเป็นเจ้าของ เขาลดค่าเช่าให้จาก เดือนละ 800 เหลือ 500 พ่อกับแม่พอจะอยู่ได้ไหม”
ปิ่นมองสภาพบ้าน “ทำไมจะอยู่ไม่ได้ ราคาถูกขนาดนี้ เดี๋ยวเก็บกวาดหน่อยก็อยู่ได้สบายแล้ว”
เกื้อหันถามกอบ “พ่อ แล้วคุณหนูล่ะ คุณหนูไปอยู่ที่ไหน”
กอบมองลูกชายแล้วถอนใจเฮือกใหญ่

เย็นแล้ว ฝนเพิ่งหยุดตก ปานรุ้งอุ้มลูกนั่งสามล้อถีบมาลงที่หน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง คนถีบสามล้อช่วยยกกระเป๋าเสื้อผ้าของปานรุ้งไปวางด้านในเพื่อหลบฝน ปานรุ้งอุ้มลูกลงจากรถสามล้อ แล้ววิ่งไปหลบฝนใต้ชายคาสถานีรถไฟ
“คุณอย่าคิดมากเลย คนสมัยนี้ นับวันมีแต่เงิน แต่ไร้น้ำใจแล้วคุณกับลูกมีที่ไปแน่นะ”
ปานรุ้งพยายามยิ้มสู้
“ฉันมีเพื่อนอยู่เชียงใหม่”
ปานรุ้งควักกระเป๋าเงินขึ้นมา หยิบเงินส่งให้คนถีบสามล้อ
จังหวะนี้ที่มุมหนึ่งในหัวลำโพลง แลเห็นผู้ชายแต่ตัวมอซอดูออกว่าเป็นคนจรจัดมองเขม็งมาที่กระเป๋าเงินของปานรุ้งที่กำลังยื่นเงินให้คนถีบสามล้อ
“ฉันไปล่ะ”
ปานรุ้งเก็บกระเป๋าเงินใส่กระเป๋าเสื้อผ้าแล้วสะพายไหล่ อุ้มลูกเดินเข้าในสถานีรถไฟ
ผู้ชายจรจัดมองตามปานรุ้งไม่วางตา

ปานรุ้งมองดูผู้คนมากมายที่เดินกันสับสนวุ่นวายด้วยสีหน้าตระหนก คอยกระชับกอดลูกน้อยไว้กับอกจะเดินไปซื้อตั๋วอย่างทุลักทุเล
ชายจรจัดเดินเข้ามาจงใจชนปานรุ้งเต็มแรง ร่างปานรุ้งล้มลง แต่เธอยังกอดลูกไว้แน่น ไม่ให้ลูกเจ็บ
“โอ๊ย”
ปานเทพร้องไห้จ้าเพราะตกใจและเจ็บปานรุ้งโอ๋ลูก
ชายจรจัดสบโอกาสพุ่งเข้าไปกระชากกระเป๋าเสื้อผ้าของปานรุ้ง แล้วรีบวิ่งหายเข้าไปกับคลื่นฝูงชนทันทีปานรุ้งตกใจ
“ช่วยด้วย คนกระชากกระเป๋า ใครก็ได้ ช่วยจับที”
ปานรุ้งพยุงตัวลุกขึ้น อุ้มปานเทพกัดฟันวิ่งเท่าที่มีแรงจะวิ่งได้เพราะยังเจ็บที่โดนชนเมื่อครู่

ปานรุ้งอุ้มปานเทพที่ยังร้องไห้เสียงดังโยเย แต่วิ่งได้ช้าเพราะเจ็บแผล คอยแหวกฝูงชนมองหาผู้ชายจรจัดที่กระชากกระเป๋าไป ปานรุ้งตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างเหน็ดล้า
“ช่วยด้วย คนกระชากกระเป๋า ใครก็ได้...ช่วยที”
ผู้โดยสารคนอื่นไม่มีใครสนใจช่วยปานรุ้ง มีแต่หันมามองด้วยสีหน้าแปลกใจว่ามีเรื่องอะไร
ปานรุ้งมองซ้ายแลขวาหาผู้ชายจรจัดอย่างร้อนใจ จนเห็นด้านหลังใครคนหนึ่งคล้ายๆ ชายจรจัด เธอรีบเดินไปดึงคนที่ขวางให้ถอยออก มองหาชายจรจัดเหมือนคนสติแตก จนกระทั่งปานรุ้งพุ่งไปดึงเสื้อของผู้หญิง 1ให้ถอยออกไปอย่างแรง
“ถอยหน่อยค่ะ”
ผู้หญิง 1 เจ็บที่โดนกระชากตัว หันมาตวาดปานรุ้ง “มาดึงฉันทำไมเนี่ย”
ผู้หญิงคนนั้นปัดมือปานรุ้งสุดแรง จนปานรุ้งเซล้มลง ทารกปานเทพตกใจร้องไห้จ้า
ปานรุ้งรีบโอ๋ลูก “โอ๋ๆ อย่าร้องนะลูก” แล้วเงยหน้าขึ้นไปตะโกนด่าผู้หญิง1 “ฉันก็แค่จะตามหาคนที่ขโมยเงินฉัน ใครก็ได้ ช่วยฉันด้วย” ปานรุ้งก้มหน้าร้องไห้กอดลูกแนบอก “เงินของฉันกับลูกโดน ขโมย ใครก็ได้ช่วยที”
ปานรุ้งร้องขอและคอยมองหาคนที่จะช่วยเธอ แล้วจู่ๆ สายตาปานรุ้งแลเห็นชัชวาล เดินปะปนอยู่ในฝูงชนที่เดินไป เดินมา ชัชวาลเองก็มองปานรุ้งด้วยสายตาไม่คิดว่าจะเจอปานรุ้งในสภาพอย่างนี้
ปานรุ้งดีใจ เหมือนมีความหวัง “ชัชวาล”
แต่ชัชวาลพอเห็นปานรุ้งมองมาทางตัวเอง ก็รีบหันตัวเดินหนีไปโดยไว
ปานรุ้งรีบร้องเรียกไว้ “ชัชวาล เดี๋ยว”
ชัชวาลโกยแน่บ ปานรุ้งรีบอุ้มลูกตามไป

ชัชวาลเดินหนีมาขึ้นรถด้านนอก ปานรุ้งอุ้มปานเทพวิ่งเข้ามาจับแขนชัชวาลไว้
“เดี๋ยวก่อนชัชวาล”
ชัชวาลสะบัดมือปานรุ้งออก
“ปล่อย”
“ฉันรู้ ว่าที่ผ่านมา ฉันทำไม่ดีกับคุณ ฉันขอโทษ ให้อภัยฉันเถอะนะ”
ชัชวาลพูดน้ำเสียงเยาะ “อย่าครับ อย่าพูดขอโทษผม ผมแค่ผู้ชายหน้าโง่ไม่กล้ารับคำขอโทษจาก ผู้หญิงสูงศักดิ์อย่างปานรุ้ง สมุทรเทวา” เขาทำเป็นนึกได้มองปานรุ้งด้วยสายดูถูก “อ้อ ลืมไปว่าตอนนี้สมุทรเทวาไม่ได้ยิ่งใหญ่แล้ว มิน่า คุณหนูถึงได้ดูไม่ต่างจากขอทาน จะไปไหนก็ไป เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
ชัชวาลจะขึ้นรถ ปานรุ้งรีบเดินมาขวางหน้าไว้
“ขอร้องนะคะชัชวาล คุณจะโกรธฉันยังไงก็ได้ แต่ฉันขอให้คุณช่วยลูกฉัน ตอนนี้ฉันไม่มีเงิน ลูกฉันยังเล็กมาก ให้เขานอนที่แบบนี้ไม่ได้ ฉันไม่ขออะไรคุณมาก แค่ที่นอนให้ฉันกับลูก ถ้าฉันหาเงินได้ ฉันจะไม่กวนคุณอีกเลย” ปานจับมือชัชวาลแน่น “นะชัชวาล ได้โปรดเมตตาลูกฉันด้วย”
ชัชวาลมองปานรุ้งกับลูกน้อยด้วยสีหน้าสับสน ใจหนึ่งก็ไม่อยากยุ่ง แต่ใจหนึ่งก็สงสาร ปานรุ้งมองชัชวาลด้วยแววตาอ้อนวอน รอคอยคำตอบจากปากชัชวาล

ชัชวาลขับรถมาจอดหน้าบ้าน ลงรถมาเปิดประตูให้ ปานรุ้งอุ้มลูกลงจากรถ มองบ้านของชัชวาลอย่างชื่นชมในความใหญ่โต
“เชิญครับ”
ปานรุ้งยิ้มขอบคุณชัชวาล “ฉันขอบคุณคุณอีกครั้งนะชัชวาล ที่ให้ที่อยู่ฉันกับลูก”
ชัชวาลพูดนิ่งๆ “ไม่เป็นไร แต่ผมคงให้คุณอยู่ในบ้านไม่ได้หรอกนะ เพราะตอนนี้ผมไม่ได้อยู่คนเดียว”
ยินเสียงนิสาดังมาจากในบ้าน
“กลับมาแล้วเหรอคะชัช สาเพิ่งทำสาคูไส้หมูเสร็จพอดี”
นิสาเดินออกมาจากในบ้านเข้ามากอดชัชวาล พอเห็นปานรุ้งก็ชะงัก
ปานรุ้งเห็นนิสา ก็ชะงักค้างไปเหมือนกัน
พอได้สตินิสาตวาดแว้ดใส่ปานรุ้งทันที “แกมาทำอะไรที่นี่”
นิสาหันมาเอาเรื่องชัชวาล
“นี่มันอะไรกันชัช พานังนี่เข้ามาใน บ้านของเราทำไม จำไม่ได้แล้วรึไงว่านังนี่มันทำอะไรไว้กับเรา” นิสาหันไปตะเพิดปานรุ้ง “ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้”
“ใจเย็นๆ ก่อนนิสา รุ้งเขาไม่มีที่ไป ผมเลยให้เขามาอาศัยอยู่กับเราสักวันสองวัน” ชัชวาลหันไปทางปานรุ้ง “ผมแต่งงานกับนิสาแล้ว ตอนนี้เขามีสิทธิ์ทุกอย่างในบ้าน ผมให้คุณอยู่ที่นี่ได้ แต่คุณจะได้อยู่ยังไง ขึ้นอยู่กับนิสา”
ชัชวาลเดินเข้าบ้านไปเลย โดยไม่สนใจปานรุ้งอีก ปานรุ้งมองตามชัชวาล แล้วหันมามองนิสาที่มองมาด้วยสายตาเยาะหยัน
“ไม่มีที่ไปอย่างนั้นเหรอ”
“ถ้าเธอไม่พอใจ ฉันไม่อยู่ที่นี่ก็ได้”
ปานรุ้งอุ้มปานเทพจะเดินออกไป
“ฉันยังไม่ได้บอกสักคำว่าให้เธออยู่ไม่ได้”

ปานรุ้งหันมามองนิสาด้วยสายตาแปลกใจ นิสามองปานรุ้งด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์

อ่านต่อหน้า 3

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 8 (ต่อ)

ไม่นานต่อมา เปรี้ยว สาวใช้คนสนิทของนิสาเปิดประตูห้องเก็บของ ที่ในนั้นมีของวางเกะกะเต็มห้อง แถมทั้งห้องยังเต็มไปด้วยฝุ่นหนา ตรงมุมห้องมีที่นอนเก่าๆ วางซุกอยู่ นิสายืนมองสภาพห้องอย่างพอใจ แล้วหันมามองปานรุ้งด้วยสายตาสะใจ

ปานรุ้งอุ้มปานเทพอยู่ มองสภาพห้องอึ้งๆ ท่าทีกล้ำกลืน
“นี่นังเปรี้ยว ฉันว่าห้องนี้มันดูหรูไปสำหรับขี้ข้านะ” นิสาปรายหางตามองปานรุ้ง
“ถ้าจะให้โทรมกว่านี้ ก็ต้องให้ไปนอนในคอกไอ้ด่างแล้วล่ะค่ะ”
เปรี้ยวหัวเราะเยาะปานรุ้ง
“อย่าเลย เดี๋ยวหมามันจะไม่มีที่นอน”
นิสาหันไปหยิบกองเสื้อผ้าเก่าๆ จากมือเปรี้ยว โยนใส่ตรงหน้าปานรุ้ง
“นี่เสื้อผ้า ไม่ทราบว่าคุณหนูปานรุ้งพอจะใส่เสื้อผ้าพวกนี้ได้ไหมคะ”
ปานรุ้งพูดนิ่งๆ “ได้”
นิสามองท่าทางของปานรุ้งอย่างหมั่นไส้
“ดี” นิสาหันไปคว้ากระป๋องใส่ไม้กวาดและผ้าขี้ริ้วที่พื้น โยนใส่หน้าปานรุ้งอีก “เอาไปทำความสะอาดเอาเอง นี่ฉันไม่ได้ใจร้าย ที่ทำเนี่ย เพื่อช่วยเตือนเธอ ว่าตอนนี้เธอไม่ใช่คุณหนูอีกแล้ว แต่เป็นแค่คนจรจัดไร้บ้าน”
นิสาหัวเราะสะใจเดินผ่านปานรุ้ง โดยจงใจเตะกระป๋องน้ำที่วางกลิ้งตรงหน้าปานรุ้ง กระเด็นไปชนประตูดังปัง
เสียงนั้นทำเอาทารกปานเทพสะดุ้งตกใจเสียง ร้องไห้จ้า นิสามองปานเทพร้องไห้ แล้วยิ้มสะใจแล้วเดินออกไป ปานรุ้งกอดโอ๋ลูก อย่างพยายามอดทนความโกรธไว้
“ไม่ต้องร้องนะลูก อดทนหน่อย แม่จะต้องหาที่ที่ดีให้กับลูก แม่สัญญา”
ปานรุ้งกอดปานเทพไว้เหมือนยึดเป็นกำลังใจให้ตัวเอง

ถัดมา นิสานั่งไขว้ห้างอ่านนิตยสารอยู่ที่โซฟา
ปานรุ้งนั่งกับพื้น มือหนึ่งอุ้มปานเทพที่กำลังงอแง อีกมือหยิบดอกไม้มาจัดใส่แจกัน
นิสาปิดนิตยสารอย่างหงุดหงิดเสียงร้องของปานเทพ “โอ๊ย จะแหกปากร้องไปถึงไหนเนี่ย น่ารำคาญจริงๆ”
“ก็ลูกฉันเขาไม่สบายตัว เห็นไหมว่าผ้าอ้อมเขาเปียก เขาก็ต้องร้องสิ”
“ก็ไปเอาผ้าอ้อมมาเปลี่ยนสิ แล้วก็ไปเก็บดอกไม้มาเพิ่มด้วย” นิสาเข้าไปกระชากช่อดอกไม้ที่ปานรุ้งจัดใส่แจกันไว้ มาปาทิ้ง “นี่เหรอ ดีไซเนอร์ที่จบจากเมืองนอก จัดดอกไม้แค่นี้ยังทำไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าใช้สมองแลกปริญญาหรือใช้อย่างอื่นแลกกันแน่”
ปานรุ้งลุกขึ้นพรวด จ้องหน้านิสาอย่างข่มอารมณ์ถึงที่สุด นิสาจ้องตอบอย่างไม่กลัว
“ทำไม เธอจะทำอะไรฉัน”
“ฉันจะไปเอาผ้าอ้อมกับเก็บดอกไม้มาให้”
ปานรุ้งอุ้มปานเทพที่ยังร้องไห้จะเดินไป
“เดี๋ยว เอาลูกเธอมานี่”
ปานรุ้งมองนิสาอย่างไม่วางใจ “ฉันไม่ให้”
“นี่ ลูกตัวเล็กแค่นั้น เธอจะเอาไปตากแดดเก็บดอกไม้ด้วยทำไม เอามาให้ฉันนี่ ฉันไม่ใช่คนใจยักษ์ใจมาร ถึงจะให้เด็กออกไปตากแดดด้วย”
ปานรุ้งมองปานเทพที่ยังร้องไห้งอแงท่าทีลังเล
นิสาเร่ง “ส่งลูกเธอมาสิ เห็นไหมว่าลูกเธอร้องไห้จะแย่แล้ว”
ปานรุ้งมองปานเทพ แล้วตัดสินใจส่งลูกให้นิสาไป นิสาอุ้มปานเทพอย่างเอ็นดู
“อยู่กับน้านะ”

ปานเทพยังร้องไห้อยู่
ปานรุ้งมองปานเทพอย่างเป็นห่วง
นิสาเงยหน้ามองปานรุ้งที่ยังยืนอยู่ “ยืนอยู่ทำไม จะรีบไปทำอะไรก็ทำสิ”
ปานรุ้งมองปานเทพ แล้วจึงรีบเดินออกไปทางสวน
นิสามองปานรุ้งเดินลับตัวไปแล้ว จึงก้มมองปานเทพด้วยสายตาเกลียดชัง
“ไม่มีปัญญาทำให้ลูกหยุดร้อง เดี๋ยวฉันจะทำให้เอง”

ถัดจากนั้นปานรุ้งหอบช่อดอกไม้ที่เก็บจากสวน พร้อมกับผ้าอ้อมลูกเข้ามาในบ้าน
สายตามองไปเห็นนิสากำลังเล่นกับลูกหมาอยู่กับเปรี้ยวอย่างสนุกสนาน ปานรุ้งใจหายวับ มองไม่เห็นปานเทพก็ตกใจ
“ปานเทพล่ะ เธอเอาลูกฉันไปไว้ไหน”
นิสาหันมาตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร “ก็อยู่ในบ้านไง”
ปานรุ้งร้อนใจ “อยู่กับใคร”
นิสาตอบอย่างไม่รู้สึกผิด “อยู่คนเดียว เธอไม่ต้องห่วงหรอก ลูกเธอเก่งเห็นไหมว่าเสียงเงียบเลย ไม่แหกปากร้องสักแอะ”
ปานรุ้งใจหล่นวูบ ไม่รอช้า รีบวิ่งเข้าบ้านไปหาปานเทพทันที
นิสากับเปรี้ยวมองตามปานรุ้งแล้วหันมาหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก

ปานรุ้งวิ่งเข้ามาในบ้านแล้วชะงักอึ้ง เห็นปานเทพถูกวางให้นอนอยู่ที่พื้น โดยมีผ้าผูกปากอยู่ ปานเทพขยับดิ้นไป ดิ้นมา เห็นสภาพลูกแล้วปานรุ้งแทบขาดใจ
“ปานเทพ”
ปานรุ้งรีบเข้าไปอุ้มปานเทพขึ้นมาแนบอก แล้วปลดผ้าที่ผูกปากปานเทพออก นิสากับเปรี้ยวเดินหัวเราะเข้ามา
“เป็นยังไงล่ะ วิธีทำให้ลูกเธอหยุดร้อง ถูกใจไหม”
ปานรุ้งไม่อดทนอีกต่อไป วางลูกลงอย่างปลอดภัย แล้วถือผ้าที่เคยผูกปากปานเทพเดินมาหานิสา ปานรุ้งจิกผมนิสาให้เงยหน้า
นิสาตกใจ “อ๊าย ปล่อยฉันนะนังปานรุ้ง”
“ปล่อยคุณนิสานะ”
เปรี้ยวพุ่งเข้าไปหาปานรุ้ง แต่ถูกปานรุ้งที่ยังจิกผมนิสา ยกเท้าถีบหน้าอกของเปรี้ยวเต็มแรง จนเปรี้ยวกระเด็นหงายท้องนอนจุกอยู่ที่พื้น
ปานรุ้งด่านิสา “แกทำอะไรฉัน ฉันไม่ว่า แต่แกทำลูกฉัน ฉันไม่เอาแกไว้แน่”
ปานรุ้งจิกผมนิสาให้ก้มหน้าลงนั่งคุกเข่า ใช้เข่ากดหน้านิสาให้ก้มหน้าลง แล้วเอาผ้าที่เคยผูกปากปานเทพ มาผูกปากนิสาแทน นิสาสู้แต่สู้ไม่ได้ โวยวายแต่ฟังไม่รู้เรื่องเพราะถูกผ้าผูกปาก
“ปล่อยฉันนะ”
ปานรุ้งผูกปากนิสาเสร็จ ก็ผลักหัวนิสาให้หงายท้องไปนอนกองกับเปรี้ยว แล้วเดินไปอุ้มลูก
“คนอย่างปานรุ้ง ล้มไม่นานหรอก จำเอาไว้”
ปานรุ้งจิ้มหัวนิสาอย่างแรง จนนิสาเซล้มไปกระแทกหัวเปรี้ยว นิสาแหกปากโวยวาย แต่ฟังไม่รู้เรื่อง ปานรุ้งอุ้มปานเทพเดินข้ามตัวนิสาไป

ปานรุ้งอุ้มปานเทพเดินอย่างคนไร้จุดหมายมาจนถึงวัดแห่งหนึ่ง บอกกับลูกมาตลอดทาง
“ไม่เป็นไรนะลูก ถึงไม่มีบ้านนั้น เราก็หาที่อื่นอยู่ได้”
ปานเทพร้องไห้งอแง ปานรุ้งอุ้มเขย่าตัวโอ๋ “เป็นอะไรลูก หิวใช่ไหม” ปานรุ้งสอดตามองหาที่ที่จะให้นมลูกได้ “เดี๋ยวแม่ให้กินนมที่ศาลาโน้นนะลูก”

ปานรุ้งอุ้มปานเทพผ่านกลุ่มวัยรุ่นที่นั่งสุมหัวดมกาวอยู่

หนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นได้ยินปานรุ้งจะไปให้นมลูก จึงเงยหน้ามองตามปานรุ้งด้วยสายตาเคลิ้มคล้อย ปนหื่นนิดๆ

เย็นแล้ว ปานรุ้งนั่งหลบให้นมปานเทพจนเสร็จ ปิดเสื้อ แล้วอุ้มให้ลูกชายเรอ

“อิ่มแล้วสิ อิ่มแล้วยิ้มเลย น่าหมั่นเขี้ยวจริงๆ ลูกใครเนี่ย น่าเกลียดน่าชังจริงๆ”
ปารุ้งซุกแก้มหอมลูก พูดคำว่า “น่าเกลียดน่าชัง” ออกมาแล้วคิดถึงเกื้อ
โดยตอนนั้น ห้องพักฟื้นของปานรุ้งโรงพยาบาล
น้อยกับเกื้อมองปานรุ้งที่ลืมตาตื่นอย่างดีใจ
“คุณหนูฟื้นแล้ว คุณหนูคะ คุณหนูน้อยจ้ำม่ำน่ารักมากเลย”
เกื้อดุน้อย “น้อย เขาห้ามบอกเด็กๆ ว่าน่ารัก แม่บอกว่าโบราณว่าไว้ ถ้าผีได้ยิน จะเอาไป ต้องบอกว่าน่าเกลียดน่าชัง” แล้วหันไปพูดกับปานรุ้ง “คุณหนูน้อยน่าเกลียดน่าชังมากเลยครับ”

ปานรุ้งนั่งเหม่อคิดถึงเกื้อ ในใจรู้สึกผิดที่เคยไล่เกื้อไปจากชีวิต
“ถ้าอาเกื้ออยู่ เราสองคนคงไม่ลำบากอย่างนี้” ปานรุ้งโยกตัวกล่อมปานเทพให้นอน “แม่นี่พูดมากจังเนอะ พูดจนลูกง่วงเลย นอนซะลูก”
แก๊งวัยรุ่นดมกาว 3-4 คน เดินตาเยิ้มเมากาวเข้ามา
วัยรุ่น 1 เอ่ยขึ้น “พี่สาวทำอารายคร้าบ”
ปานรุ้งสะดุ้ง มองกลุ่มวัยรุ่นอย่างหวาดระแวง
วัยรุ่น 2 ตบหัววัยรุ่น1 “กูบอกแล้วงาย ว่าพี่สาวมาให้นมลูก”
วัยรุ่น 1 ยิ้มตาเยิ้มให้ปานรุ้ง “ผมเป็นเด็กไม่มีแม่ พี่สาวเป็นแม่ผมได้ไหมคร้าบ”
กลุ่มวัยรุ่นเดินเข้ามาหาปานรุ้งจนใกล้ ปานรุ้งขยับหนี แต่วัยรุ่นดมกาวยืนล้อมดักปานรุ้งไม่ให้หนี
“อย่ามายุ่งกับฉันนะ ถอยไป”
วัยรุ่น 2 บอก “พี่สาวไม่ต้องกลัวหรอกคร้าบ พวกผมมันลูกไม่มีแม่ เห็นลูกพี่ได้กินนมแม่ ก็อยากกินบ้าง”
วัยรุ่น1 เรียกปานรุ้งว่าแม่ “แม่คร้าบ ผมคิดถึงแม่จัง ขอกอดแม่หน่อย”
กลุ่มวัยรุ่นจะเข้ามากอด ปานรุ้งพยายามผลักไสวัยรุ่นออกไปอย่างหวาดกลัว
“ออกไปนะ อย่ามายุ่งกับฉัน”
กลุ่มวัยรุ่นไม่ฟัง ยังเข้าไปรุมกอดพัลวัน ปานรุ้งกอดปกป้องปานเทพไป ดิ้นหนีกลุ่มวัยรุ่นไป
“ใครก็ได้ ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
หลวงพ่อเดินเข้ามาพร้อมถือไม้ตะพดฟาดกับเสาศาลาดังปัง!
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ปานรุ้งมองหลวงพ่อที่ถือไม้ตะพดเข้ามาชี้หน้าพวกกลุ่มวัยรุ่น แล้วดีใจจนน้ำตาไหลเหมือนเห็นแสงสว่างของชีวิต !

ค่ำคืนนั้น ปานรุ้งอุ้มปานเทพก้มกราบหลวงพ่อ หลวงพ่อนั่งมองปานรุ้ง
“หนูกราบขอบพระคุณหลวงพ่อ ที่ช่วยเราสองแม่ลูก”
“โยมไปไงมาไง ถึงได้ไปอยู่ตรงนั้นได้ แถวนั้นมันเปลี่ยว อาตมาแจ้งตำรวจให้มาจับไอ้พวกมารนั่นไปก็ไม่หมดสักที ไม่มีใครไปตรงนั้นตอนกลางค่ำกลางคืนหรอก”
ปานรุ้งพูดอย่างเจ็บปวด “หนูกับลูกไม่มีที่ไป แม่หนูเสีย บ้านหนูโดนยึด คิดจะอาศัยอยู่กับเพื่อน เขาก็รังแกลูกของหนู หนูเลยพาลูกออกมาตายดาบหน้า”
หลวงพ่อทอดถอนใจ “เอาๆ ถ้าไม่มีที่อยู่ ที่กิน ก็อาศัยวัดกันไปก่อน ช่วยดูแล ล้างถ้วยล้างชามกันไป พอมีหนทางไปเมื่อใด ก็ค่อยว่ากัน”
ปานรุ้งมองหลวงพ่ออย่างซาบซึ้งใจ ก้มลงกราบอย่างเคารพนบนอบสุดหัวใจ
“กราบขอบพระคุณอีกครั้งค่ะหลวงพ่อ”
ปานรุ้งกอดปานเทพแนบอกด้วยความดีใจ อย่างน้อยๆ ก็มีที่อยู่ที่กิน และที่ซุกหัวนอนแล้ว

รุ่งเช้าวันนี้ หลวงพ่อ และ พระ เณร สวดมนต์ให้ศีลให้พรหลังฉันอาหารเช้าเสร็จ ปานรุ้งใช้ผ้าขาวม้าผูกตะเบงมานห่อปานเทพไว้แนบอก เพื่อจะได้ทำงานสะดวก เข้าไปนั่งยกมือไหว้รับ
พระสวดมนต์จบ ชาวบ้านช่วยกันลำเลียงชามอาหารเก็บ ปานรุ้งช่วยยกอาหารอย่างไม่มีเกี่ยง
ปานรุ้งยังใช้ผ้าขาวม้าผูกตะเบงมานห่อลูกไว้แนบอก ใช้ไม้กวาดกวาดลานวัดอย่างขันแข็งโดยไม่รังเกียจความสกปรกใดๆ

เช้าวันถัดมา เด็กวัดนั่งล้อมวงกินข้าวก้นบาตร ปานรุ้งอุ้มปานเทพในมือถือชามข้าวราดแกงหลายอย่าง มีผลไม้ใส่มารวมๆ ดูไม่น่ากินเอาเลย แตกต่างจากอาหารหรูที่ปานรุ้งเคยกิน ปานรุ้งมานั่งที่มุมหนึ่งบนศาลา แล้วใช้ช้อนสังกะสีตักข้าวกินไม่ต่างจากเด็กวัดคนอื่นๆ
ตกกลางคืนปานรุ้งใส่เสื้อเก่าๆ สวมผ้าถุงสีซีด ไม่เหลือความเป็นคุณหนูไฮโซอีกแล้ว กำลังปูเสื่อตรงมุมศาลา มีหมอน 1 ใบกับผ้าห่ม1ผืน เป็นที่นอนง่ายๆ ปานเทพนอนบนผ้าห่มที่ปานรุ้งพับไว้ให้หนาหน่อย
ปานรุ้งคอยปัดเป่ายุงและตบก้นกล่อมให้ปานเทพนอน พอลูกหลับ อดีตสาวไฮโซโก้หร่านของเมืองกรุง มองสภาพตัวเอง ยังรู้สึกอดสูกับชีวิตที่เปลี่ยนแปลงชนิดหน้ามือเป็นหลังขนาดนี้

อยู่มาวันหนึ่ง เกื้อเดินถือปิ่นโตมาตามทางเดินในวัด พร้อมกับกอบ ด้วยท่าทีรีบร้อน
“ดีนะที่แม่เอ็งไม่ค่อยสบาย ถ้าวันนี้มาวัดด้วย แล้วเราพาหลงมีหวังบ่นหูยาน”
“ฉันก็บอกพ่อแล้วว่าทำบุญ ทำที่วัดไหนก็ได้ ไม่เห็นต้องมาไกลถึงวัดนี้เลย”
“เอ้า ก็เพื่อนพ่อบอกว่าพระเครื่องวัดนี้ดี ว่าจะเช่าสักองค์สององค์ เอ็งไม่ต้องบ่นมาก รีบเอากับข้าวกับปลาใส่จาน เดี๋ยวไม่ทันถวายเพล” กอบมองไปทางโรงครัวหลังศาลาการเปรียญ “ตรงโน้นน่าจะเป็นโรงครัว เอ็งไปหาดูถ้วย หาชามดูไป”
เกื้อเดินไปทางโรงครัว

เกื้อค่อยๆ เดินเข้ามาในโรงครัวท่าทีเก้ๆ กังๆ เพราะไม่เคยมา เขาหยุดมองซ้ายมองขวาว่ามี ใครอยู่ไหม จะได้ถามว่าถ้วยชามอยู่ที่ไหน
“เอ่อ...ขอโทษนะครับ...ผมจะมาเอาชาม มีใครอยู่ไหมครับ”
ได้ยินเสียงตะโกนมาจากด้านหลังครัวว่า
“ชามกำลังล้างอยู่ข้างหลังจ้า...มาเอาได้เลย”
เกื้อได้ยินเสียงแล้วรู้สึกชะงักคุ้นหูเหลือเกิน เขามองไปทางข้างหลังโรงครัว

ปานเทพนั่งได้แล้ว อายุประมาณ 3 เดือน นั่งอยู่ที่เสื่อ ส่วนปานรุ้งผมหยิกยาวกว่าเก่ามากแล้วกำลังนั่งล้างถ้วยล้างชามอยู่ใกล้ๆ
เกื้อค่อยๆ เดินมาทางด้านหลัง ทำให้ปานรุ้งยังไม่เห็นว่าคนที่เดินมาเป็นเกื้อ
เกื้อมองทารกน้อยที่นั่งเล่นอยู่ แล้วมองแผ่นหลังผู้หญิงที่สวมใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ผมยาวเป็นลอนยุ่งเหยิงอย่างอึ้งๆ
ปานรุ้งพูดทั้งที่ก้มหน้าล้างชามอยู่ “ชามที่ล้างแล้วอยู่ที่แคร่นั่นเลยนะจ๊ะ เอากี่ใบ หยิบไปได้เลย”
เกื้อฟังเสียงอีกรอบ ยิ่งมั่นใจว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าตัวเองคือปานรุ้ง เกื้อมองสภาพคุณหนู ของเขาอย่างอึ้งๆ ปานรุ้งที่เคยสวยงาม ต้องมาเป็นแบบนี้
“คุณหนู” เกื้อเอ่ยออกไปเสียงสั่นสะท้าน
ปานรุ้งได้ยินเสียงเกื้อเรียกตัวเองแล้วชะงัก ชาม จาน ในมือหล่นตกพื้น ปานรุ้งค่อยๆ หันหน้าไปมอง เกื้อมองมาด้วยแววตาเจิดจ้า ดีใจมากที่ได้เจอปานรุ้งอีก
“คุณหนูจริงๆ ด้วย”
ปานรุ้งมองเกื้อด้วยสายตาดีใจจนแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่
“เกื้อ”

ปานรุ้งลุกขึ้น ถลาเข้าไปสวมกอดเกื้อเต็มแรง เกื้อกอดตอบด้วยความรัก ความคิดถึง ห่วงหา อาทร ที่สั่งสมมาตลอดหลายเดือนมานี้

ปานรุ้งอุ้มปานเทพเดินคุยกับเกื้อและกอบ เกื้อนั้นเอาแต่มองร่างแบบบางที่เดินนำหน้าไม่วางตา ตอนนี้ปานรุ้งแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ เท่าที่พอจะมีผมเผ้าไม่ได้จัดทรงดูเรียบง่ายต่างจากคุณหนูปานรุ้งที่เขาเคยเห็นมาทั้งชีวิต
 
กอบมองหน้าเกื้อ ช่างเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากเชื่อว่าคนอย่างปานรุ้ง สมุทรเทวา จะมาอยู่วัดในสภาพนี้ สุดท้ายกอบพูดอย่างกระอึกกระอัก ด้วยไม่รู้จะหาคำพูดไหนเหมาะสมมาถาม
“ไม่คิดเลยว่า...จะเจอคุณหนูที่นี่”
ปานรุ้งชะงักไปนิดหนึ่ง แม้ชีวิตจะตกต่ำปานนี้ แต่เธอก็รู้สึกกระดากที่จะให้พ่อลูกอดีตคนขับรถที่บ้านรู้ความจริง จึงพูดโกหกแถไปให้ตัวเองยังดูพอมีค่าอยู่บ้าง
“ก็บ้านญาติฉันอยู่แถวนี้พอไม่มีอะไรทำฉันก็เลยมาทำบุญช่วยงานวัด ก็อย่างว่า ญาติฉันเขาไม่ยอมให้ฉันทำอะไร เขาอยากให้ฉันอยู่อย่างสบาย”
กลุ่มเด็กวัด 5 คน ช่วยกันแบกกระสอบใส่กระป๋องเก่าๆ เป็นพวกกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าข้าวของที่ปานรุ้งเก็บจากถังขยะละแวกวัดมาซ่อนไว้เพื่อนำไปขาย
ปานรุ้งเห็นคาตาจึงรีบวิ่งเข้าไปดึงกระสอบใส่ของเก่านั้นไว้ เกื้อกับกอบชะงักมองกันงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ปานรุ้งตวาดเด็กวัด
“ขโมยของของฉันอีกแล้วเหรอ บอกแล้วใช่ไหม ถ้าอยากได้ก็ไปเก็บเอาเอง อย่ามายุ่งของของฉัน”
ปานรุ้งกระชากกระสอบคืนจากเด็ก แล้วเดินไปดึงมัดหนังสือพิมพ์เก่าคืนมาด้วย
เด็กวัดพูดกวนตีน “แค่นี้งก เคยอดข้าวทั้งวันไม่เข็ดใช่ไหมป้า คอยดู พรุ่งนี้เช้า อย่าหวังจะได้กินข้าวก้นบาตรเลย” เด็กผีหันไปพูดกับเพื่อน “ไปเว้ย”
กลุ่มเด็กวัดเดินออกไปแล้ว ปานรุ้งทั้งอุ้มลูกและเก็บกระป๋องที่หล่นจากกระสอบ มาใส่คืน ขณะจะหยิบกระป๋องที่หล่นตรงหน้าเกื้อและกอบ ปานรุ้งชะงัก นึกได้
“คงไม่คิดสินะ ว่าคนอย่าง ปานรุ้ง สมุทรเทวา จะตกต่ำมาอาศัยวัด เก็บขยะขาย แย่งข้าวเด็กวัดกิน” พูดไปก็แทบจะร้องไห้กับชะตาชีวิตตัวเอง “ทำยังไงได้ล่ะ ไปขอใครเขาอยู่ เขาก็ไม่ให้อยู่”
เกื้อกับกอบฟังปานรุ้งด้วยความหดหู่ กอบนั้นรู้สึกเจ็บแค้นแทน
“ทำไมล่ะครับ ตอนคุณนายอยู่ ใครเดือดร้อน คุณนายก็ช่วยไม่เคยเกี่ยง แล้วทำไมทีคุณหนู ...”
ปานรุ้งสวนออกมาอย่างเจ็บปวด “เพราะฉันไม่ใช่แม่ และฉันก็ไม่มีอะไรให้เขา ไปอยู่กับใคร ฉันกับลูกก็ไปเป็นภาระเขาเปล่าๆ”
“จะเป็นภาระได้ยังไง คุณหนูเรียนจบตั้งเมืองนอก ใครๆ ก็อยากรับคุณหนูทำงาน”
ปานรุ้งฟังกอบพูด ยิ่งรู้สึกเจ็บกว่าเดิม
“นอกจากฉันจะโกหกแม่เรื่องไม่ได้เรียนบริหารแล้ว ฉันยังโกหกว่า ฉันเรียนจบด้วย”
เกื้อกับกอบมองปานรุ้งอย่างชะงัก
“แปลว่าคุณหนู” เกื้อถาม
ปานรุ้งเจ็บปวด เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเคยกระทำ “ฉันเรียนไม่จบ”
พ่อลูกชะงักนิ่งงันกันไป
ปานรุ้งยิ้มหยันชีวิต “ฉันเอาเงินที่แม่ส่งไป เอาไปเที่ยวกับเพื่อนใช้ชีวิตหาความสนุก ประชดที่แม่ไม่สนใจฉัน เอาแต่บ้าเงิน บ้าอำนาจ แต่วันนี้ วันที่ฉันมีแต่ตัว ต่อให้อดตายต่อหน้าใคร เขาก็มองฉันแค่ หมาตัวนึง มันทำให้ฉันรู้ว่าที่แม่ทำทุกอย่างก็เพื่อ ชีวิตฉัน ชีวิตที่วันนึงแม่ไม่อยู่ ลูกจะได้สบาย”
ปานรุ้งร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ปาดเช็ดน้ำตาออกอย่างเข้มแข็ง แล้วนั่งลงเก็บกระเป๋าเก็บขวดใส่กระสอบโดยไม่อายสองพ่อลูกแล้ว
เกื้อกับกอบมองปานรุ้งด้วยความสงสาร เกื้อเดินไปหาปานรุ้ง ลงนั่งพร้อมกับเอื้อมมือหยิบกระสอบจากมือปานรุ้งให้หยุดทำ ปานรุ้งค่อยๆ หันมามองหน้าเกื้อ
“ไปอยู่กับผมนะครับคุณหนู”
ปานรุ้งชะงัก ไม่คิดว่าเกื้อจะชวน ในใจคิดว่าเขาคงโกรธไม่หายที่เคยไล่ออกไปจากบ้าน

ปิ่นกำลังง่วนอยู่กับขายอาหารตามสั่ง ถือจานข้าวเสิร์ฟให้ลูกค้าด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“หายหัวกันไปไหนหมดวะเนี่ย ลูกค้าเต็มร้าน แทนที่จะมาช่วยกัน กลับหายหัวไปทั้งพ่อทั้งลูกเลย”
เกื้อกับกอบเดินเจี๋ยมเจี้ยมเข้ามา ปิ่นหันไปมองผัวกับลูก
“แหม...ตายยากจริงๆ หายหัวไปไหนกันมา”
เกื้อกับกอบมองหน้ากันกระอึกกระอักกันไปมา
เกื้อตัดสินใจพูดขึ้น “แม่ ฉันมีเรื่องจะบอก”
ปิ่นเดินเข้ามาเท้าสะเอวมองหน้าเกื้อกับกอบอย่างจ้องจับผิด
“อย่าบอกนะ ว่าพ่อเอ็งแอบไปเช่าพระเครื่องมาอีก”
กอบรีบพูด “เปล่า วันนี้ฉันยังไม่ได้พระเครื่องสักองค์”
ปิ่นผินหน้ามามองเกื้อ “แล้วเอ็งจะบอกอะไรข้า”
ลูกค้าชาย 1 ที่มักคุ้นกัน แซวว่า “ไอ้เกื้อแอบไปทำสาวท้องรึเปล่าป้าปิ่น”
ปิ่นตวาดลูกค้า 1 “ลูกข้าไม่ใช่เอ็งนี่ จะได้เที่ยวไข่ไปทั่ว” ลูกค้าก้มหน้ากินข้าวต่อเซ็งๆ ที่โดนตอกกลับ ปิ่นหันไปกระซิบถามเกื้อ “จริงเหรอวะ”
“ไม่ใช่จ้ะแม่”
ปิ่นเริ่มหงุดหงิด “แล้วเอ็งจะบอกเรื่องอะไร”
ปิ่นมองจ้องหน้ากอบที เกื้อที แต่สองคนเอาแต่มองหน้ากันไปมา
สุดท้ายปิ่นทนไม่ไหว แหวขึ้นเสียงดังลั่น “บอกมา”
ปานเทพตกใจเสียงนั้นร้องไห้จ้า ปิ่นเหลียวขวับไปมองตามเสียงร้องเด็ก เห็นปานรุ้งอุ้มปานเทพเดินเข้ามาถึงกับชะงัก

ปิ่นหนีเข้ามาในครัว มองเกื้อกับกอบด้วยสายตาเอาเรื่อง
“ฉันไม่ให้อยู่”
ปานรุ้งอุ้มปานเทพยืนแอบฟังอยู่ตรงประตูหน้าบ้านด้วยสีหน้าเครียด
“แต่ยายปิ่น” กอบเว้าวอน
ปิ่นพูดสวนออกมาไม่ยี่หระ “ฉันบอกว่าแล้วไง หมดคุณนายแล้วก็หมดกัน คนอื่นไม่มีบุญคุณอะไรให้ต้องชดใช้กันอีก”
“ฉันขอร้องล่ะแม่ ตอนนี้คุณหนูลำบากมาก แม้แต่ที่จะนอนยังไม่มี ต้องไปอาศัยวัดอยู่ ไหนจะคุณหนูน้อยอีก คุณหนูกับคุณหนูน้อยต้อง นอนตากยุง ตากน้ำค้าง ตามตัวมีแต่ผื่นยุงกัด มดกัด...”
“ก็สมควรแล้วนี่” ปิ่นเอานิ้วจิ้มหัวลูกชายอย่างไม่พอใจ “จำได้ไหมว่าเขาเคยทำอะไรไว้กับเอ็ง ไล่เอ็งออกจากบ้านเหมือนหมูเหมือนหมา เขาเคยสนใจไหมว่าเอ็งจะมีที่ซุกหัวนอนไหม จะนอนตากยุง ตากน้ำค้างรึเปล่า”
“มันไม่เหมือนกันนะแม่” เกื้อแย้ง
ปานรุ้งอุ้มลูกเดินเข้ามา แม้ตอนนี้จะจน แต่เธอก็ยังหยิ่งในศักดิ์ศรีไม่ทนอ้อนวอน คนที่เกลียดตัวเองเข้ากระดูกอย่างยายปิ่น
“ไม่เป็นไรเกื้อ แม่เธอไม่ให้อยู่ ฉันก็ไม่อยู่”
เกื้อเป็นห่วง “แล้วคุณหนูจะไปอยู่ไหนครับ”
“ฉันเคยอยู่ที่ไหน ก็ไปอยู่กลับไปอยู่ที่นั่น ถึงฉันจะลำบากตัวแต่ก็ยังดีกว่าอยู่ให้คนอื่นเขาลำบากใจ”
ปานรุ้งอุ้มปานเทพเดินลิ่วออกไป
“คุณหนู” เกื้อรีบวิ่งตามไป
ปิ่นมองตามปานรุ้งอย่างหมั่นไส้
“นี่ไง เรียกว่ากรรม ลูกที่ทำให้พ่อแม่น้ำตาตกใน โดนแค่นี้ยังน้อยไป”
กอบฉุน ประชดเมียออกมา
“เอาเลย ตะโกนสมน้ำหน้าคุณหนูดังๆ ให้วิญญาณของ คุณนายได้ยิน คุณนายจะได้รู้ว่าคนที่คุณนายคอยช่วยเหลือชุบเลี้ยงมาค่อนชีวิต มันใจดำกับลูกกับหลานคุณนายขนาดไหน แค่ที่ซุกหัวนอน เล็กๆ ยังให้ลูกหลานคุณนายอยู่ไม่ได้ เอาเลย ตะโกนเลย”

กอบเดินหุนหันหนีไปอีกคน ยายปิ่นมองตามผัว แล้วมองไปทางเกื้อที่เดินตามปานรุ้งอย่างขัดใจสุดจะประมาณ

อ่านต่อหน้า 4

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 8 (ต่อ)

ปานรุ้งอุ้มปานเทพเดินตามทางในสลัม เกื้อวิ่งมาดักหน้าไว้

“ผมให้คุณหนูกลับไปอยู่วัดไม่ได้หรอกครับ”
ปานรุ้งมองเกื้ออย่างรู้สึกผิด “ตอนฉันไล่เธอออกจากบ้าน เธอลำบากมากใช่ไหมเกื้อ”
เกื้อชะงักไปนิด รีบบอกไม่ให้ปานรุ้งคิดมาก “ผมเป็นผู้ชาย จะกินจะนอนที่ไหนก็ได้ ไม่ลำบากอะไรเลยครับ คุณหนูอย่าไปฟังแม่เลยนะครับ”
ปานรุ้งเข้าใจปิ่น พูดโดยไม่ได้ประชด “ฉันไม่ฟังแม่เธอไม่ได้ เพราะตอนนี้เขาเป็นเจ้าของบ้าน เขามีสิทธิ์ไม่ให้ฉันอยู่ อย่าห่วงเลย ฉันไม่โกรธ ฉันเข้าใจว่าฉันทำกับแม่เธอ ทำกับเธอไว้ไม่น้อย กลับบ้านไปเถอะเกื้อ ฉันกับลูกอยู่ได้”
ปานรุ้งจะเดินไปต่อ กอบวิ่งกระหืดกระหอบมาหาตะโกนเรียกไว้
“คุณหนูครับ คุณหนู”
เกื้อกับปานรุ้งหันไปมองกอบ
กอบหยุดหอบหายใจ ตรงหน้าสามคน “คุณหนูไม่ต้องไปไหนหรอก ครับ ยายปิ่นให้คุณหนูอยู่บ้าน 3 วัน ระหว่างหาบ้านเช่าใหม่ให้คุณหนู”
เกื้อกับปานรุ้งมองกอบด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง

เกื้อเปิดประตูห้องนอนให้ปานรุ้งอุ้มปานเทพเข้ามา แล้วมองสภาพห้องของเกื้อ
“คุณหนูกับคุณหนูน้อยนอนในห้องผมนะครับ เดี๋ยวผมเปลี่ยนหมอนกับผ้าปูที่นอนให้คุณหนูใหม่ ห้องแคบไปหน่อย คุณหนูพออยู่ได้ไหมครับ”
“เท่านี้ก็ดีที่สุดสำหรับฉันกับลูกแล้วล่ะเกื้อ”
ปานรุ้งมองรอบๆ ห้อง จนสายตาไปสะดุดกับโกศใส่กระดูกที่วางอยู่บนหิ้ง
“นั่น…”
เกื้อมองตาม หน้าเสียเหมือนคนแอบทำผิด แล้วโดนจับได้
“เอ่อ โกศใส่กระดูกคุณนายน่ะครับ ผมขอโทษครับที่ผมแอบเก็บกระดูกของคุณนายมา”
ปานรุ้งอุ้มปานเทพเดินไปที่หิ้ง มองโกศนั้นด้วยสายตาหวนหาอาลัยแม่เหลือเกิน เธอเอื้อมมือไปลูบโกศใส่กระดูก เอ่ยออกมาอย่างตื้นตัน
“ขอบใจนะเกื้อ”
เกื้อรับคำมองงงๆ “ครับ”
ปานรุ้งพูดพร้อมมองโกศด้วยสายตาอาลัย “กระดูกของแม่ที่ฉันจะเก็บไว้ มันถูกขโมยไปพร้อมกับกระเป๋าของฉัน ตอนนั้นฉันไม่เหลือทั้งเงิน ไม่เหลือทั้งกระดูกแม่ ฉันคิดว่าชีวิตฉันคงไม่เหลืออะไรแล้ว” ปานรุ้งหันมามองเกื้อ “แต่วันนี้ เธอทำให้ฉันรู้ว่าฉันยังมี...”
ปานรุ้งมองเกื้ออย่างซาบซึ้งใจ
เกื้อสบตาปานรุ้ง แล้วรู้สึกวาบหวามขึ้นมา จนต้องหลบตาวูบ
“เอ่อ คุณหนูหิวไหมครับ เดี๋ยวผมไปทำอะไรให้รับประทาน”
เกื้อเดินเก้อๆ จะออกไป แต่ดันเดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้าหัวใจมันเต้นแรงจะทำอะไรผิดๆ ถูกๆ ปานรุ้งมองเกื้อ ยิ้มขัน อย่างเอ็นดู
“ประตูอยู่ทางนั้นเกื้อ”
เกื้อหันมายิ้มให้ปานรุ้งอีกที แล้วเดินออกไป

เกื้อเข้าครัว ลงมือทำแกงเลียงเอง ผิวปากอย่างมีความสุข ปิ่นเดินเข้ามายืนมองลูกชายที่ทำกับข้าวให้ปานรุ้งอย่างมีความสุข ก็แดกดันด้วยความหมั่นไส้
“ฉันทำกับข้าวมาเกือบทั้งชีวิต ไม่เคยรู้ว่าการทำอาหาร มันมีความสุขขนาดนี้”
เกื้อหยุดผิวปาก แล้วหันมามองยายปิ่น เกื้อรู้ว่ายายปิ่นเหน็บ จึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“หิวข้าวรึยัง ฉันทำยำหัวปลี ฟักทองผัดไข่ ไก่ผัดขิง แกงเลียง”
“มีแต่อาหารเรียกน้ำนมทั้งนั้นเลยนะ”
เกื้อชะงัก “คุณหนูดูผอมไปเยอะ คุณหนูน้อยก็กำลังโต ฉันก็แค่…”
“แกคิดว่าเขาตกต่ำ แล้วแกจะเอื้อมเขาถึงเหรอ”
“ฉันไม่ได้…” เกื้อใจหล่นวูบ สะท้อนในอก
“ผู้หญิงคนนั้นไม่มีวันอยู่บนดินกับแกหรอกไอ้เกื้อ คนเคยมีชีวิตอยู่บนฟ้า ยังไงก็ต้องหาทางตะเกียกตะกายขึ้นไปอยู่บนฟ้า อย่าหวังอะไรเกินตัวไม่อย่างนั้น คนที่ต้องเจ็บ คือเอ็ง”
ปิ่นพูดจบ แล้วเดินออกไป เกื้อยืนหน้าจ๋อย เพราะตัวเองรู้ดีว่าไม่อาจเอื้อม กอบเดินเข้ามาเทน้ำดื่มแล้วพูด พูดลอยๆ
“ใครจะไปรู้ เวลามันเปลี่ยนไป อะไรก็เกิดขึ้นได้ ความดีของคนมันชนะได้ทุกอย่าง ขนาดนางฟ้ามัทนายังรักมนุษย์อย่างท้าวชัยเสนได้เลย เนอะไอ้เกื้อ”
เกื้อมองกอบนิ่งๆ คิดตามคำพูดให้แรงใจจากพ่อ

รุ้งเช้า เกื้อพาปานรุ้งที่อุ้มปานเทพแนบอกออกมามาหาห้องเช่า เวลานี้คุยต่อรองกับเจ้าของบ้านเช่าละแวกใกล้เคียงกัน
“ตอนนี้เหลือห้องเดียว เดือนละ 500 ค่าน้ำค่าไฟต่างหาก”
ปานรุ้งหันมาพูดกับเกื้อ “ตั้ง 500 ฉันไม่ไหวหรอกเกื้อ เหลือสัก 300 ได้ไหม ฉันยังพอหาเงินจ่ายค่าเช่าได้”
เกื้อขอร้องกับเจ้าของบ้าน “ลดหน่อยได้ไหมพี่ สักเดือนละ 300”
“อะไรกั๊น ขอลดค่าเช่าจาก 500 เหลือ 300 ไม่ขออยู่ฟรีไปเลยล่ะพ่อคู๊ณ”
เกื้อขอร้องอีก “ช่วยๆ กันหน่อยนะพี่ อยู่กันแค่ 2 คนแม่ลูก เครื่องเรือนก็ขอแค่เตียง อย่างอื่นฉันก็ไม่เอา”
“ไม่ได้หรอก บ้านเช่าฉันเนี่ยราคาถูกที่สุดแล้ว ถ้าไม่เอา ก็ไปหาที่อื่น”

เจ้าของบ้านเดินหัวเสีย ท่าทางหงุดหงิดหนีปานรุ้งกับเกื้อไป

เกื้อเดินนำปานรุ้งที่อุ้มปานเทพมองหาบ้านเช่ามาอีกมุมในสลัม ชี้ไปทางบ้านเช่าอีกหลัง

“นั่นครับ บ้านเช่าเดือนละ 300 ที่คนเขาบอก”
ปานรุ้งมองไปทางห้องเช่า เห็นกลุ่มวัยรุ่นตัวผอมเกร็งเหมือนคนติดยา นั่งกินเหล้าอยู่หน้าบ้านเช่า รอบๆ ดูออกว่าเป็นแหล่งอบายมุข ปานรุ้งทำหน้าหวาดผวา เกื้อมองอย่างเข้าใจ

เย็นลง ปานรุ้งอุ้มปานเทพเดินมาตามทางริมคลอง ท่าทางเหนื่อยล้า เพราะหาบ้านเช่ามาหลายที่แล้ว เกื้อมองปานรุ้งอย่างเห็นใจ
“คุณหนูพักดื่มน้ำที่ร้านค้านั่นก่อนไหมครับ”
“ไม่เป็นไร เรารีบหาบ้านเช่าต่อเถอะ วันนี้วันสุดท้ายแล้วที่ยายปิ่นจะให้ฉันอยู่บ้านเธอ”
“แต่บ้านเช่าราคา 300 เราก็ตระเวนหาดูหมดแล้วนะครับคุณหนู ผมว่าคุณหนูอยู่บ้านผมเถอะครับ แม่ก็พูดไปอย่างนั้น แต่ถ้าคุณหนูไม่มีที่ไป แม่ก็ต้องให้คุณหนูอยู่”
“ขอบใจนะเกื้อ แต่ฉันคงไม่อยู่รอให้ยายปิ่นตะเพิดเป็นครั้งที่ 2 หรอก เอาเถอะ ถ้าหาบ้านเช่าไม่ได้ อย่างมากฉันก็กลับไปอยู่วัดสักพัก รอขายของเก่าเก็บเงินได้สักนิด ก็ค่อยออกมาหาบ้านเช่า”
เกื้อมองปานรุ้งด้วยแววตาอ้อนวอนเป็นเชิงขอให้ปานรุ้งอยู่กับตัวเอง
“คุณหนู”
ปานรุ้งตัดบท เรียกความเข้มแข็ง “กลับบ้านเถอะ ฉันจะได้ไปเก็บของด้วย”
ปานรุ้งเดินนำเกื้อ แล้วหูรองเท้าแตะดันขาด ปานรุ้งสะดุดจนเล็บเท้าหักเลือดซึมออก
เกื้อเข้าไปพยุงไว้
“คุณหนูเดินไหวไหมครับ” เขาก้มลงหยิบรองเท้าปานรุ้งมาดู “รองเท้าคุณหนูขาด คุณหนูใส่รองเท้าผมก่อนนะครับ”
เกื้อถอดรองเท้าตัวเองให้ปานรุ้งใส่ โดยเขายืนเท้าเปล่า
“ไม่เป็นไรเกื้อ ฉันเดินเท้าเปล่าได้”
“ไม่เป็นไรครับ” เกื้อหยิบรองเท้าปานรุ้งขึ้นมาหอบไว้ในอ้อมแขนโดยไม่รังเกียจ “กลับบ้านแล้วผมซ่อมให้ ไปกันเถอะครับ”
เกื้อใช้มืออีกข้างหอบรองเท้าปานรุ้ง อีกมือประคองแขนให้เธอกับลูกเดินไปพร้อมกัน
ปานรุ้งเดินไป คอยเหลือบมองเกื้อที่ถือรองเท้าตัวเองอย่างไม่รังเกียจอย่างซึ้งใจ

กอบแต่งตัวดูดีเพื่อไปงานวัดกับเพื่อนบ้าน นั่งรอยายปิ่นอยู่ ส่งเสียงตะโกนเรียกไปบ่นไป
“ยายปิ่น แต่งตัวเสร็จรึยัง ชักช้าอยู่นั่นแหละวัดอยู่ตั้งพระประแดงนะ คนทั้งวัดเค้าไม่รอแกไปฝังลูกนิมิตหรอกนะ...ยายปิ่น”
สักครู่ปิ่นเดินหน้าเครียดออกจากบ้านมา
“ฉันเปลี่ยนใจไม่ไปได้ไหม ตากอบ”
“เอ้า แกจะทำอย่างนั้นได้ยังไง ในเมื่อแกเป็นตัวตั้งตัวตีชวนคนโน้นคนนี้ไปงานนี้ ตอนนี้ทุกคนแต่งตัวรอแกอยู่คนเดียวแล้ว”
“งั้นแกไปบอกพวกนั้นให้รอข้าก่อนได้ไหม ให้ข้ารอถามไอ้เกื้อก่อนว่าหาบ้านเช่าให้คุณหนูมันได้รึยัง ถ้ายัง ก็จะได้ให้ออกไปตามที่ข้าบอก”
กอบหมั่นไส้ปนโมโห “ใจคอแกจะไล่คุณหนูจริงๆ เหรอวะ ทำไมแกถึงใจดำอย่างนี้”
“แกจะด่าจะว่าอะไรข้าก็ตามใจ แต่ให้รู้ไว้ว่าสิ่งที่ข้าทำ ก็เพื่อไอ้เกื้อ”
กอบไม่สนใจฟังคำพูดเมีย แกล้งมองนาฬิกาแล้วทำท่าตกใจลนลาน
“เฮ้ย ห้าโมงกว่าแล้ว รีบไปเถอะยายปิ่น”
ปิ่นยังไม่ยอมไป “เดี๋ยว ตากอบ”
กอบดึงมือปิ่นให้เดินออกจากบ้านโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของผู้เป็นเมีย

สองคนเข้าบ้านมา ฝนด้านนอกยังคงตกหนัก ฟ้าแลบ ฟ้าร้องคะนองเป็นระยะ
ปานรุ้งเนื้อตัวเปียก อุ้มปานเทพเข้ามาวางที่ตั่งอย่างเป็นห่วง ปานเทพร้องไห้งอแงไม่หยุด
เกื้อเดินตัวเปียกตามเข้ามา ตรงไปทางครัวหลังบ้าน
ปานรุ้งกล่อมลูก “โอ๋ๆ อย่าร้องนะลูก แม่ขอโทษ แม่ผิดเอง แม่ลืมเอาร่มไป ทำให้หนูต้องเปียก เดี๋ยวแม่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้นะลูก” พลางรีบหาผ้าขนหนูมาเช็ดตัวลูก “เกื้อ ฝากดูปานเทพแป๊บนึงนะ เดี๋ยวฉันขึ้นไปเอาผ้าขนหนูก่อน”
เกื้อถือผ้าขนหนูที่เก็บจากราวหลังบ้าน มายื่นให้
“ผ้าขนหนูครับคุณหนู ผมเพิ่งซักเมื่อเช้า คุณหนูเช็ดตัวก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมล้างตัวคุณหนูน้อยให้เองครับ เมื่อกี้ผมเข้าไปต้มน้ำไว้แล้ว”
ปานรุ้งมองเกื้ออย่างซึ้งใจ “ขอบใจนะเกื้อ แต่เกื้ออาบน้ำเด็กได้เหรอ”
เกื้อมองปานเทพ “ได้ครับ คุณหนูไม่ต้องห่วง ผมสัญญา จะดูแลคุณหนูน้อยให้ดีที่สุด”
ปานรุ้งตื้นตัน มองเกื้อด้วยแววตาอ่อนโยน
“ฉันไว้ใจเธอ เกื้อ”
สองคนยิ้มให้กัน เกื้อมองปานรุ้งยิ้มให้ตัวเองแล้วรู้สึกวาบหวามจนไม่กล้าสบตา ปานรุ้งขำอาการเขินของเกื้อ แล้วเดินขึ้นห้องไป

เกื้อมองตามปานรุ้งด้วยแววตาสุขล้น

ปานรุ้งเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมเผ้ายังเปียกอยู่ เนื่องเพราะห่วงลูกจึงรีบร้อนแต่งตัว แต่พอมองเข้าไปในห้องต้องชะงัก เมื่อเห็นปานเทพนอนหลับอยู่บนที่นอนเรียบร้อย มีหมอนข้างวางกั้นไว้กันตก ข้างๆ ปานเทพมีขวดนมผงขวดเล็กวางอยู่ ดูออกว่าลูกน้อยเพิ่งกินนมจากขวดแล้วหลับไป

เกื้อถือกะละมังใส่น้ำอุ่นพร้อมกล่องใส่ยาเดินมายืนอยู่หน้าห้อง ไม่กล้าเข้าจนกว่าปานรุ้งจะอนุญาต
“คุณหนูน้อยเพิ่งดูดนมหลับไปเมื่อกี้นี้เองครับ”
“น่าแปลกนะ ปกติปานเทพต้องให้ฉันกล่อม ไม่อย่างนั้นก็ไม่หลับแปลว่าเขาคงคุ้นกับเกื้อแล้ว”
เกื้อถือกะละมังใส่น้ำอุ่นมาวางลงที่พื้นข้างๆ เก้าอี้ในห้อง
“คุณหนูน้อยคงเหนื่อย พอกินอิ่มก็เลยหลับ” เขามองที่เท้าปานรุ้ง “เท้าคุณหนูยังเจ็บไหมครับ ผมเอาน้ำอุ่นมาให้คุณหนูแช่เท้า เผื่อจะได้สบายขึ้น”
“ขอบใจนะเกื้อ”
เกื้อยิ้มรับอย่างเต็มหัวใจ ปานรุ้งเดินไปนั่งที่เก้าอี้แล้วเอาเท้าแช่ในกะละมัง เกื้อยังนั่งอยู่ข้างๆ กะละมังนั้น หยิบผ้าขนหนูสีขาวผืนที่พาดไหล่ตัวเองลงมาวางที่หน้าขาตัวเอง เพื่อรอเช็ดเท้าให้ ปานรุ้งชะงักมอง สีหน้าฉงน
“ทำอะไรน่ะเกื้อ”
“ผมจะเช็ดเท้าให้คุณหนู แล้วจะทำแผลให้”
“ไม่ต้อง”
เกื้อชะงัก
“เธอช่วยเหลือฉันมากพอแล้ว เท่านี้ฉันก็ไม่รู้จะทดแทนเธอยังไงแล้วเกื้อ”
เกื้อเยื้อนยิ้ม เอามือลงไปล้างเท้าให้คุณหนูของมันอย่างทะนุถนอม ปานรุ้งมองเกื้อที่ล้างเท้าให้ตัวเองด้วยความตื้นตัน
“คุณหนูไม่ต้องทดแทนอะไรผมเลยครับ เพราะทุกอย่างที่ผมทำ ผมทำด้วยความเต็มใจ”
เกื้อบรรจงช้อนเท้าปานรุ้งมาวางบนผ้าขนหนู แล้วค่อยๆ ซับเช็ดน้ำให้
“เกื้อ” ปานรุ้งครางเบาๆ
เกื้อเช็ดเท้าไปพูดไป
“ผมไม่เคยโกรธ ไม่เคยขุ่นเคืองที่คุณหนูไล่ผมออกจากบ้าน แต่ความรู้สึกในวันที่ผมต้องออกมา มันเต็มไปด้วยความกังวล ห่วงแสนห่วง ว่าคุณหนูจะเป็นยังไง”
เกื้อเช็ดเท้าปานรุ้งจนเห็นแผลบนฝ่าเท้าอันเกิดจากการที่ปานรุ้งต้องผจญกับความยากลำบาก เกื้อใช้มือแตะร่องรอยเหล่านั้นด้วยความรู้สึกเสียใจ
“ผมรู้ว่าผมก็แค่คนขับรถ ไม่มีปัญญาทำอะไรเพื่อคุณหนูได้ แต่อย่างน้อยถ้าคุณหนูเจ็บ ผมก็จะอยู่เจ็บแทนคุณหนูเอง ไม่ปล่อยให้คุณหนูต้องเผชิญเรื่องเลวร้ายตามลำพังแบบนี้”
เกื้อประคองเท้าของปานรุ้งกอดแนบอก เหมือนขอโทษที่ตัวเองปล่อยให้ปานรุ้งต้องเจ็บอยู่ตามลำพัง ปานรุ้งมองอย่างซึ้งใจ
“ฐานะของเธออาจจะต่ำต้อยกว่าคนอื่น แต่ตอนนี้เธอพิสูจน์ให้ฉันเห็นแล้วว่า ความดีในตัวเธอ ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย และอาจจะ สูงกว่าผู้ชายฐานะดีที่ฉันเคยเลือกเข้ามาในชีวิตด้วยซ้ำ”
เกื้อเงยหน้ามองปานรุ้งที่มองมาเช่นกัน ปานรุ้งค่อยๆ ขยับตัวลุกจากเก้าอี้เพื่อจะลงไปนั่งกับพื้นระดับเดียวกับเกื้อ ท่าทางหวั่นกลัวนิดๆ ในการก้าวเข้าไปหาผู้ชายที่ฐานะต่ำต้อยกว่า แต่ความดีของเกื้อ ทำให้เธอกล้าที่จะลดตัวลงไปหา
เกื้อมองปานรุ้งอึ้งๆ คาดไม่ถึง ถดตัวถอยห่างอย่างเจียมตัว
“คุณหนูอย่าลงมาครับ”
ปานรุ้งจับมือเกื้อไว้ ไม่ให้เกื้อหนี เกื้อมองมือปานรุ้งอย่างชะงัก
“แค่เธอบอกฉัน ว่าฉันไม่ได้เลือกคนผิดอย่างในอดีต แล้วฉันจะไม่เสียใจที่ลงมา”
เกื้อมองใบหน้าสวย แล้วละสายตามามองมือปานรุ้งที่จับมือตัวเองไว้ แล้วเอื้อมจะไปกุมมือปานรุ้งอย่างกล้าๆ กลัว ราวกับว่าเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญใหญ่หลวงในชีวิตของเขา ที่อาจเอื้อมเด็ดดอกฟ้า ปานรุ้งมองเกื้อด้วยสายตาลึกซึ้ง
เกื้อสบตาปานรุ้ง แล้วกอบกุมมือปานรุ้งไว้แน่น แสดงความมั่นคงของหัวใจ
“นับจากนี้ ผมจะไม่มีวันทำให้คุณหนูกับคุณหนูน้อยต้องบอบช้ำอย่างที่ผ่านมา ผมขอสัญญา ผมยอมแลกชีวิต เพื่อทำให้คุณหนูและคุณหนูน้อยมีความสุข”
ปานรุ้งมองเกื้ออย่างเชื่อมั่นในคำสัญญาของเกื้อ ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องฟ้าคำรณเบื้องนอก สองร่างกอดประคองกันล้มลงบนฟูกในห้องนอน เสียงเรียกร้องของหัวใจดังกลบเสียงฝนฟ้าด้านนอกสนิท!

รุ่งเช้า ปิ่นกับกอบเดินท่าทางง่วงงุนเข้าบ้านมา
“วันหลังเอ็งไม่ต้องจ้างรถไอ้เล็กไปแล้วนะตากอบ คราวก่อนจ้างไปทอดกฐิน หม้อน้ำแห้ง มาคราวนี้น้ำมันหมดกลางทาง กว่าจะโบกรถซื้อน้ำมันมาเติมได้ ล่อไปรุ่งสาง”
“เอาน่าๆ ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วขึ้นไปนอน”
กอบดันตัวเมียให้ขึ้นบันได แต่ปิ่นนึกบางอย่างได้
“เดี๋ยว ขอดูรองเท้าสิ ว่าไปรึยัง”
“ใครไปไหน” กอบงง
“ก็ใครซะอีกล่ะ ฉันบอกให้เวลา 3 วัน ก็คือ 3 วัน ถ้าหาบ้านเช่าไม่ได้ ก็ออกไป” ปิ่นมองไปที่ชั้นวางรองเท้า เห็นรองเท้าปานรุ้งยังถอดวางอยู่ก็โมโห “นั่นไง คิดแล้วไม่มีผิด ไอ้เกื้อต้องไม่ยอมให้ไป ฉันจะไปไล่เอง”
ปิ่นถลกแขนเสื้อ จะเดินขึ้นบันไดไปเอาเรื่อง แต่เกื้อเดินลงบันไดมาด้วยสีหน้าเหมือนมีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกแม่กับพ่อ
“พ่อ...แม่ กลับมาแล้วเหรอ”
ปิ่นมองเกื้อที่เดินลงบันไดมาอย่างหวาดระแวง
“เอ็งขึ้นไปทำอะไรแต่เช้าไอ้เกื้อ ทำไมไม่อยู่ที่ตั่งข้างล่าง”
เกื้อมองปิ่นท่าทีกระอึกกระอัก
ปิ่นมองอาการลูกแล้วใจหล่นวูบ กลัวว่าสิ่งที่ตัวเองกลัว มันได้เกิดขึ้นแล้ว ปิ่นกระชากแขนเสื้อเกื้อเต็มแรง คาดคั้นให้เขาพูด “ฉันถามแก ได้ยินไหม”
เกื้อมองแม่นิ่งๆ “ฉันมีเรื่องจะบอกพ่อกับแม่”
ปิ่นชะงัก ใจหายวับ รู้ทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ปิ่นเดินหุนหันหนีออกมาจากบ้าน ด้วยสีหน้าเก็บกดคุมแค้น อกแทบแตกตาย กอบกับเกื้อรีบเดินตามออกมา
“เดี๋ยวก่อนแม่”
ปิ่นไม่สนใจเสียงเรียกของเกื้อ ยังคงเดินต่อไปเหมือนจะหนีจากเรื่องนี้ไปไกลๆ ไม่อาจยอมรับได้
เกื้อวิ่งมาจับแขนปิ่นไว้ “แม่...ได้โปรด เข้าใจฉันหน่อย”
ปิ่นสะบัดแขนจากมือเกื้อสุดแรง “เอ็งไปไกลๆ ก่อนที่ข้าจะฆ่าเอ็ง ทำไมนะไอ้เกื้อเอ็งอยากได้ผู้หญิงคนนั้นจนลืมกำพืดตัวเองว่าตัวเองเป็นใคร เขาเป็นใคร ลืมแม้แต่ความผิดชอบชั่วดี เขามีลูกมีผัวแล้ว เอ็งนอนกับเมียชาวบ้าน”
เกื้อแย้ง “คุณหนูไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณชูนามแล้ว คุณหนูพร้อมจะเริ่ม ต้นชีวิตใหม่กับฉัน”
ปิ่นมองลูกด้วยแววตาอันเจ็บปวด “ตัณหามันปิดตา ปิดหูเอ็งหมดแล้วสินะ เอ็งถึงไม่ฟังที่ข้าพร่ำเตือน ทั้งสั่ง ทั้งสอน ว่าไอ้ดอกบัวที่เอ็งเห็น แท้จริงมันเป็นกงจักร ที่มันพร้อมจะเชือดเฉือนเอ็ง”
“แม่ ฉันรู้ว่าแม่รู้ว่าฉันรักคุณหนูมานานขนาดไหน ในชีวิตฉันไม่เคยคิดว่าคุณหนูจะก้มมามองฉัน แต่วันนี้คุณหนูยอมลงมาหาฉัน ขอฉันได้รักษาความรักและคนที่ฉันรักไว้เถอะนะแม่”
“ข้าเตือนเอ็งแล้วนะไอ้เกื้อ” ปิ่นมองลูกอย่างเจ็บปวดพร้อมกับมองขึ้นไปที่หน้าต่างห้องเกื้อ “เอ็งอยากให้ใครอยู่ก็อยู่ไป แต่อย่ามายุ่งกับข้าแล้วกัน”
ปิ่นเหลียวมองขึ้นไปที่หน้าต่างห้องชั้นสอง จงใจประกาศให้ปานรุ้งรับรู้ว่ากูไม่มีวันเอามึงเป็นสะใภ้!
ปานรุ้งอุ้มปานเทพมายืนมองเหตุการณ์อยู่ตรงริมหน้าต่าง กอดลูกแนบอกแล้วพูดกับปานเทพว่า
“ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ขอแค่ครั้งนี้ แม่เลือกทางไม่ผิดก็พอ”
ปานรุ้งผินหน้าทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตามุ่งมาดวาดหวังเต็มเปี่ยม

อนิจจา...แม้แผ่นฟ้ายามนี้จะแลดูยิ่งใหญ่ หมู่เมฆสีขาวลอยเลื่อนต้องแดดเช้าอันงดงาม แต่ความสวยงามยิ่งใหญ่เบื้องหน้า จับต้องไม่ได้ เสมือนความหวังในใจของปานรุ้ง กระนั้น!

อ่านต่อตอนที่ 9
กำลังโหลดความคิดเห็น