นางชฎา ตอนที่ 16 อวสาน
บรรยากาศภายในบ้านเรือนไทยยามนี้ ทุกสิ่งอย่างในบ้านล้วนดูสวยงามเหมือนภาพฝัน เตชินนั่งอยู่ที่ชานเรือน หน้าตายิ้มแย้ม มีความสุข เมื่อหันไปเห็นริลณี เดินหน้าเครียดท่าทางกังวลเข้ามาหา ก็รีบลุกขึ้นไปหาด้วยความดีใจ
“ริน คุณไปไหนมา ผมมารอคุณนานแล้วนะ”
ริลณีหน้าเครียด“กลับไปเถอะค่ะเตชิน คุณอยู่ที่นี่ไม่ได้”
“ทำไมล่ะ ก็ที่นี่เป็นบ้านของเรา”
ริลณีพูดอย่างร้อนรนใจ “คุณอยู่ที่นี่ไม่ได้ค่ะ ถ้าคุณอยู่ คุณต้องตาย”
“รินพูดอะไร ผมไม่เข้าใจ”
เตชินมองริลณีอย่างแปลกใจ พอเห็นสายตาอีกฝ่ายที่มองไปตรงแผลที่ถูกยิงอยู่กลางลำตัว เขาจึงก้มมองตาม แล้วจึงพบว่าที่แผลมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นทำไมผม... ”
เลือดยังคงทะลักออกจากแผลไม่หยุด เตชินที่เสียเลือดมากถึงกับทรุดลงกองกับพื้น ริลณีรีบวิ่งเข้าไปประคอง ก่อนจะค่อยๆ วางมือปิดแผลบนแผลที่กำลังมีเลือดออก
“คุณไม่ต้องกลัวนะคะ รินจะไม่มีวันให้คุณเป็นอะไรเด็ดขาด”
ภายในรถพยาบาล เลือดจากแผลใหญ่กลางลำตัวของเตชินหยุดไหลอย่างน่าประหลาดใจ พยาบาลที่กำลังห้ามเลือดมองอย่างแปลกใจ ระคนไม่เชื่อสายตา
“ทำไมอยู่ดีๆ เลือดถึงหยุดไหลเอง”
ชมพูที่นั่งอยู่ในรถพยาบาลด้วย มองหน้าพยาบาลอย่างตื่นเต้น
“พี่เตชิน จะไม่เป็นอะไรแล้วใช่มั้ยคะ”
เสียงตี๊ดๆๆ ดังรัวออกมาจากเครื่อง EKG ก่อนจะเห็นที่หน้าจอว่าหัวใจของเตชินหยุดเต้นแล้ว พยาบาลตกใจ
“คนไข้หัวใจหยุดเต้น”
จากนั้นก็รีบใช้มือช่วยปั๊มหัวใจทันที ขณะที่ชมพูร้องลั่น
“พี่เตชิน”
ภายในบ้านเรือนไทย
เตชินมองแผลที่กลางลำตัวที่เลือดหยุดไหลไปแล้ว ก่อนจะรู้สึกเจ็บที่หัวใจขึ้นมาอีก ริลณีจะเอามือไปจับตรงนั้น แต่กลับถูกเขาห้ามมือไว้
“ทำไมล่ะคะเตชิน”
“ถ้าผมตาย ผมจะได้มาอยู่กับรินที่นี่ไง”
เตชินพูดพลางฝืนยิ้มเศร้า ริลณีส่ายศีรษะช้าๆ
“ไม่ค่ะ รินไม่ได้ต้องการอย่างนั้น”
“แต่ผมจะไม่มีวันทิ้งคุณไปอีกแล้ว นี่เป็นทางเดียวที่เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”
ริลณีหน้าสลด “แต่มันยังไม่ถึงเวลาของคุณ”
“เวลาที่เหลือของผม คงไม่มีความหมาย ถ้าจะไม่ได้เจอคุณอีกแล้ว”
เตชินพูดเสร็จก็จับหัวใจแน่นด้วยความเจ็บปวดและทรมาน ริลณีรีบเข้าไปจับมือเขาไว้ อย่างพยายามจะช่วย แต่หัวเด็ดตีนขาด เขาก็จะยอมตายให้ได้
ริลณีทำอะไรไม่ถูก ได้แต่รำพึงชื่อคนรักออกมาเบาๆ
“เตชิน”
หมอและพยาบาล กำลังใช้เครื่องช็อตหัวใจ ช็อตที่หน้าอกจนเตชินตัวลอย แต่กราฟการเต้นของหัวใจที่หน้าจอก็ยังไม่ขึ้น หมอมองหน้าพยาบาล ก่อนจะสั่งช็อตอีกครั้ง
ชมพูที่กำลังยืนมองอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ร้องไห้ด้วยความเป็นห่วง เอทีเอ็มเดินเข้ามาโอบปลอบ ฝ่ายถูกกอดถึงกับร้องไห้โฮ
“ช่วยพี่เตชินด้วย อย่าให้พี่เตชินตาย”
“ไม่ต้องห่วง หมอเค้าต้องช่วยคุณเตชินได้แน่ เค้าต้องไม่เป็นอะไร”
เอทีเอ็มเงยหน้ามองชัชและเฟื่องฟ้า ที่ต่างก็ทำหน้าเศร้า เพราะคิดว่าสิ่งที่เขาพูดคงเป็นไปไม่ได้แน่
พลันประตูห้องฉุกเฉินเปิดออก พยาบาลรีบวิ่งออกมา ชัชรีบวิ่งเข้าไปถามด้วยความตื่นเต้น
“มีอะไรเหรอครับคุณพยาบาล”
“คนไข้เสียเลือดมาก แล้วเลือดที่เรามีในคลังตอนนี้จะไม่พอค่ะ”
ชมพูรีบผละจากเอทีเอ็มวิ่งเข้าไปหาพยาบาลอย่างรวดเร็ว
“เอาเลือดของฉันค่ะ ฉันเลือดกรุ๊ปเดียวกับพี่เตชิน”
“งั้นเชิญทางนี้ค่ะ”
พยาบาลรีบพาชมพูออกไป ชัช เอทีเอ็ม เฟื่องฟ้า มองตามซึ้งใจ ไม่คิดว่าชมพูจะยอมทำเพื่อ
เตชินขนาดนี้
เตชินที่หน้าซีดขาว อาการดูเหมือนจะย่ำแย่มากแล้ว พยายามเอื้อมมือไปจับริลณีเอาไว้ด้วยความรัก
“ผมจะไม่มีวันทำผิดกับคุณเป็นครั้งที่สองแล้ว ต่อจากนี้เราจะอยู่ด้วยกัน”
แต่เธอกลับสะบัดมือเขาออกอย่างแรง
“ไม่ค่ะ ถึงคุณตายเราก็ไม่มีวันได้อยู่ด้วยกัน รินทำบาปทำกรรมไว้มาก ไม่มีวันได้ไปผุดไปเกิดที่ไหน เพราะฉะนั้น คุณต้องกลับไป ใช้ชีวิตที่เหลือให้มีความสุขแทนรินด้วย”
เตชินมองริลณีด้วยแววตาเศร้า “แต่ริน”
“คุณช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว กลับไปได้แล้วค่ะเตชิน”
“ไม่ ผมไม่ไป ผมจะอยู่กับคุณ”
ริลณีมองหน้าเตชินด้วยความโกรธ แววตาหวานกลายเป็นดุร้าย น่ากลัว ก่อนจะตะโกนด้วยเสียงดัง เอาเรื่อง
“คุณ ต้อง กลับ ไป”
พูดเสร็จก็ผลักเขาหงายหลังตกระเบียงไปทันที !!
เตชินลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ ห้อง แล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องในโรงพยาบาล และบนตัวก็มีสายอุปกรณ์ช่วยชีวิตระโยงระยาง พอมองไปที่ปลายเตียง ก็เห็นริลณียืนอยู่
“คุณปลอดภัยแล้วนะคะ ถึงเวลาที่รินต้องไปแล้ว”
“รินจะไปไหน”
ริลณีมองเตชินก่อนจะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว แต่ยังไม่ทันจะตอบ ชมพู เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม และชัช ก็เดินเข้ามาในห้อง ทั้งหมดไม่เห็นริลณีที่ยืนอยู่ ชัชรีบเข้าไปกอดเตชินด้วยความดีใจ ชมพูถึงกับสะอื้นไห้ด้วยความปลื้มปิติ
“พี่เตชินฟื้นแล้ว”
“ร้องไห้ทำไม” เตชินถามอย่างแปลกใจ
“ก็พี่เตชินนอนไม่รู้สึกตัวอยู่ตั้งหลายวันนี่คะ”
ชัชพูดขึ้นมาบ้าง “โหย ไอ้เต ฉันคิดว่าแกจะไม่รอดแล้ว แกนี่มันปาฎิหาริย์จริงๆ”
ชมพูจับมือเตชินแน่น
“ชมพูดีใจมากนะคะ ที่พี่เตชินไม่เป็นอะไร ตอนที่เห็นพี่เตชินถูกยิงชมพูคิดว่าพี่เตชินจะ ...”
ระหว่างนั้น ริลณีก็พุ่งมายื่นหน้าใกล้ๆ จ้องชมพูเขม็ง
“ถ้า.. ถ้าไม่มีใครพาพี่กลับมา พี่คงตายไปแล้ว”
เตชินพูดพลางมองริลณีที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่ปลายเตียง โดยที่ไม่มีใครเห็น
“แกยังตายไม่ได้ไอ้เต แกต้องลากคอไอ้ 2 คนที่เหลือมาลงโทษให้ได้ก่อน”
เตชินมองทุกคนอย่างสงสัย เอทีเอ็มรีบสรุปเรื่องให้ฟัง
“ตอนที่ตำรวจไปถึง พบศพปริมลดากับศพหมอผีที่ชื่ออาจารย์ดำ ที่ถูกฆ่าแล้วเอาศพมาฝังไว้กับขวดขังวิญญาณริลณี พวกเรามั่นใจว่าเอกราช ประวิทย์ ปริมลดา ต้องเป็นคนฆ่าหมอผีนั่นแน่ๆ”
“แล้วเอกราช กับตุลเทพล่ะ”
เฟื่องฟ้าทำหน้าโมโห “ก็หนีไปได้ตามฟอร์มน่ะสิ น่าเสียดายตำรวจน่าจะจับพวกนั้นเข้าคุกไปซะ”
ชัชเอื้อมมือไปตบบ่าเตชินเบาๆ
“ยังไงตำรวจก็ต้องตามจับพวกมันได้แน่ แค่ที่พวกมันยิงนาย แล้วไล่ฆ่าพวกเรา ก็ติดคุกหัวโตแล้ว”
ริลณีที่ยืนอยู่ปลายเท้า เดินเข้ามาหาเตชินแล้วยิ้มให้ โดยที่ไม่มีใครเห็น
“ไม่ต้องห่วงนะคะเตชิน รินจะแก้แค้นให้คุณเอง ใครที่ทำให้คุณต้องเจ็บ คนนั้นต้องตาย”
ขาดคำร่างนั้นก็หายวับไปทันที เตชินตกใจตะโกนเรียกเสียงดัง
“ริน”
ก่อนที่พยายามจะลุกตามไป แต่กลับเจ็บแผล จนร้องโอ๊ย ชมพูรีบเข้าไปประคอง
“พี่เตชินยังลุกไม่ได้นะคะ”
“ริน รินจะไปฆ่าพวกนั้น พวกเราต้องรีบไปห้ามอย่าให้รินทำบาปเพิ่มขึ้นอีก”
ทุกคนสะดุ้งโหยงมองไปรอบห้องกันเลิ่กลั่ก
“ระ..ระ..ริน..รินอยู่แถวนี้หรอ”
เฟื่องฟ้าถามอย่างกะตุกตะกัก ชัชมองเตชินอย่างเป็นห่วง
“เจ็บขนาดนี้จะเอาแรงที่ไหนไปช่วยเค้า เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”
“ไม่ ยังไง ฉันต้องห้ามริน”
เตชินพยายามจะลุก แต่ชัชพูดปรามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฟังนะไอ้เต ไม่ว่าแก หรือฉัน หรือใครหน้าไหนก็ห้ามริลณีไม่ได้หรอก ยิ่งพวกมันทำกับแกหนักขนาดนี้ ริลณีไม่มีวันหยุดแน่“
เตชินยิ่งฟัง ก็ยิ่งเครียดและกังวลอย่างที่สุด
ตุลเทพเดินเข้ามาภายในห้องพัก แล้วรีบหยิบข้าวของมีค่า และเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าด้วยความรวดเร็ว ระหว่างนั้นหางตาก็เหลือบเห็นหมือนเงาของริลณีผ่านแวบไปมาในห้อง เขารีบเงยหน้ามอง แต่กลับไม่เห็นอะไร เขาเหลียวมองไปรอบห้องด้วยความหวาดกลัว รู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว พอเห็นเงาใครบางคนเดินผ่านแวบไปที่หน้าต่าง ก็ยิ่งรู้สึกผวา ยิ่งได้ยินเสียงประตูหน้าห้องดังกุกกักๆ เหมือนจะมีคนเปิดเข้ามา ก็ยิ่งกลัวจนลนลาน พยายามมองหาเครื่องรางของขลังใกล้มือ ก่อนจะมองไปที่ประตูแบบลุ้นๆ
พลันประตูหน้าห้องเปิด ผลัวะออกมา พร้อมกับเอกราชที่เดินหน้าเอาเรื่องเข้ามา ตุลเทพถอนหายใจโล่งอก
“นี่นายคิดจะหนี โดยไม่บอกฉันเลยงั้นเหรอ”
ตุลเทพวางเครื่องราง ก่อนจะหันไปหยิบเสื้อผ้าใส่กระเป๋าต่อ
“ก็ถ้านายคิดจะอยู่ให้ตำรวจตามมาจับก็ไม่มีปัญหา แต่ฉันไม่ยอมติดคุกแน่”
“ถึงนายหนีตำรวจได้ แต่นายก็หนีผีริลณีไม่ได้”
ตุลเทพที่กำลังเอาเสื้อผ้า ข้าวของใส่กระเป๋าถึงกับชะงัก เอกราชพูดต่อ
“มันต้องตามมาแก้แค้นพวกเราแน่ ตอนนี้เราไม่มีอะไรป้องกันตัวอีกแล้วด้วย”
ตุลเทพยิ้มอย่างมั่นใจ “ นายไม่มี แต่ฉันมี เครื่องราง ของขลังในห้องนี้ ....”
จังหวะนั้นผีริลณีก็ปรากฏร่าง มองทั้งคู่ด้วยความเคียดแค้นอย่างที่สุด
“ไม่มีเครื่องรางของขลังไหน คุ้มครองคนเลวๆ อย่างพวกแกหรอก”
ขาดคำ เครื่องรางของขลังทุกชิ้นที่อยู่ในห้อง ก็ลุกไหม้ขึ้นมา เผาผลาญจนทุกอย่างกลายเป็นซาก เอกราช ตุลเทพ ตกใจรีบวิ่งพยายามจะหนี ริลณียิ้มน่ากลัวมาก ย้ายร่างไปขวางหน้าทั้งคู่อย่างรวดเร็ว
“ฉันพยายามอภัยให้พวกแกทุกคนมาตลอด แต่ก็ไม่เคยมีใครสำนึก กลับทำร้ายฉันกับคนที่ฉันรัก ครั้งแล้วครั้งเล่า มันถึงเวลาที่เวรต้องจองเวร เลือดต้องล้างด้วยเลือด ชีวิตต้องไถ่ด้วยชีวิตแล้ว”
เสียงริลณีดังกึกก้องไปทั่วห้อง เอกราชและตุลเทพพยายามจะหนีอีก แต่กลับขยับแขนขาของตัวเองไม่ได้
“ฉันไม่ยอมให้พวกแกหนี ถึงเวลาที่พวกเราจะได้สนุกกันแล้ว เอ...จะฆ่าใครก่อนดีน้า”
ตุลเทพรีบชี้หน้าเอกราช “ฆ่าเอกราช มันเป็นคนบีบคอให้เธอตาย”
เอกราชชี้หน้าตุลเทพบ้าง “ฆ่ามันน่ะแหละ ถ้ามันไม่เจ้าชู้จนยายลดาเกลียดเธอ เรื่องทุกอย่างก็คงไม่เกิดหรอก”
“นายฆ่ามันตาย ยังมาโทษว่าเป็นความผิดฉันเหรอ”
“เอ้า ก็นายบอกให้มันฆ่าฉันก่อนทำไมวะ”
ทั้งคู่ต่างก็โยนความผิดให้อีกฝ่ายอย่างหน้าด้านๆ ริลณีแสยะยิ้มร้าย
“พวกนาย 2 คนนี่มันน่าสมเพชกว่าที่ฉันคิดจริงๆ เอาเถอะ ไหนๆ พวกนายก็อยากให้อีกคนตายก่อนอยู่แล้ว งั้นก็ฆ่ากันเองก็แล้วกัน พวกนายชอบฆ่าคนอยู่แล้วนี่”
เอกราชและตุลเทพ ก้มมองไปที่มือ เห็นในมือแต่ละคนมีมีดปลายแหลมน่ากลัวถืออยู่คนละเล่ม ก่อนที่มือนั้นจะถูกผีริลณีบังคับให้ยกขึ้น ทำท่าเหมือนจะแทงกัน โดยที่ทั้งคู่ต่างก็บังคับมือและแขนของตัวเองไม่ได้
ตุลเทพกลัวตัวสั่น “อยะ อย่านะเอกราช”
เอกราชมองมีดตุลเทพ ที่กำลังเงื้อจะแทงด้วยความกลัวเหมือนกัน
“หยุดนะ ตุลเทพ”
ทั้งคู่เงื้อมีดใกล้เข้ามา ผีริลณีที่มองทั้งคู่จะฆ่ากันตายอย่างสะใจ เอกราช กับตุลเทพ ที่บังคับตัวเองไม่ได้ เงื้อมีดเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ทำท่าจะจ้วงแทงกัน
เตชินที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ สะดุ้งเหมือนรับรู้อะไรบางอย่าง จนต้องรีบผุดลุกขึ้นนั่ง จนชมพูที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงตกใจ รีบจับเขาไว้แทบจะไม่ทัน
“พี่เตชินจะไปไหนคะ”
“พี่จะไปห้ามริน พี่รู้สึกว่ารินกำลังจะฆ่าตุลเทพกับเอกราช พี่จะไม่ยอมให้รินทำบาปเพิ่มอีก แค่นี้รินก็ต้องทรมานจนแทบไม่ได้ไปผุดไปเกิดแล้ว”
“พี่เตชินจะไปห้ามยังไง ในเมื่อพี่ไม่รู้ว่าพวกเค้าอยู่ที่ไหน”
ชมพูพูดพลางมองไปที่แผลที่กลางลำตัว เห็นเลือดซึมออกมา
“ แล้วแผลแตกเลือดซึมแบบนี้ ชมพูไม่ยอมให้พี่ไปหรอกค่ะ”
เตชินพยายามสะบัดตัวชมพูออก แม้จะเจ็บที่แผลที่กำลังเลือดออกมากก็ตาม
“ปล่อยพี่ พี่ต้องไป”
“ไม่ค่ะ ชมพูจะไม่ยอมปล่อยไหนอีกแล้ว ถ้าพี่ไปครั้งนี้พี่ต้องตายแน่ๆ” ชมพูกอดแขนเตชินแน่น
น้ำตาไหลพราก “อย่าไปเลยนะคะ”
เตชินหันมองหน้าชมพู แล้วพูดอย่างจริงจัง
“แต่พี่ต้องช่วยริน”
มีดในมือเอกราชกับตุลเทพ กำลังเคลื่อนเข้าใกล้จนเกือบจะแทงอีกฝ่ายแล้ว ทั้งคู่พยายามฝืนมีดเอาไว้ แต่ก็ทำไม่ได้ เหงื่อกาฬออกเต็มหน้าอย่างรักตัวกลัวตาย น้ำตาไหลปริ่มที่ขอบตา
ริลณียืนมองอย่างสะใจที่เห็นทั้งคู่กลัวจนน่าสมเพช
“ฉันจะให้แก 2 คน ค่อยๆ ตายช้าๆ จะได้ซึมซับความเจ็บปวดและทรมานก่อนตายให้มากที่สุด”
พูดแล้วก็มองไปที่มือของเอกราชและตุลเทพ บังคับให้ปลายมีดของแต่ละฝ่ายกดลงบนผิวแล้วค่อยๆ กรีดไปบนร่าง เห็นเป็นแผลรอยมีดเบาๆ ทั้งคู่ร้องด้วยความเจ็บปวด ผีริลณียิ้มร้ายอย่างสะใจ มองไปที่มีดในมือทั้งคู่ แล้วบังคับให้มีดกดลึกลงไปอีก แต่กลับทำไม่ได้ เมื่อมีแสงสีทองมาขวางที่ปลายมีดไว้ พร้อมเสียงเตชินที่ดังแว่วเข้ามา
“ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดช่วยหยุดริลณี หากว่าเค้ากำลังคิดจะฆ่าใคร ขอให้เค้าได้รับรู้ว่า การฆ่าคนเป็นบาป ยิ่งเป็นการก่อเวรกรรมต่อกันไม่มีวันจบสิ้น และไม่มีวันทำให้เค้าพ้นทุกข์ที่กำลังเป็นอยู่ได้” ผีริลณีมองแสงสีทองที่มาขวางคมมีดด้วยความโกรธ
“เตชิน” จากนั้นก็รีบหายตัวไปจากตรงนั้น
เอกราชและตุลเทพ ที่มองไม่เห็นแสงสีทอง เห็นผีริลณีหายไป และร่างกลับมาขยับได้เหมือนเดิม ก็รีบวิ่งหนีออกไปจากห้องทันที
ริลณีปรารกฎร่างขึ้น ขณะเตชินกำลังไหว้พระอยู่ที่หน้าหิ้งพระเล็กๆ ในโรงพยาบาล เธอมองเขาด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว
“พวกมันทำร้ายคุณ ทำร้ายรินขนาดนี้แล้ว คุณจะช่วยพวกมันอีกทำไม”
เตชินไหว้พระอยู่หันมามองริลณีด้วยความตกใจ ระคนดีใจ
“รินกำลังจะฆ่ามันได้อยู่แล้ว”
“หยุดเถอะนะริน อย่าฆ่าใครอีกเลย” เตชินลุกขึ้น จับมือริลณี พยายามพูดอย่างใจเย็น “ทุกสิ่ง
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับคุณ กับผม มันอาจจะเป็นพวกเรา 2 คนอาจจะเคยทำอะไรร้ายแรงกับพวกเค้าในอดีตหลายๆชาติ หลายๆ ภพ พวกเค้าถึงได้ตามมาทำร้ายพวกเราอย่างนี้ ถ้าไม่มีใครหยุดการจองเวรซึ่งกันและกัน ก็คงไม่มีวันหยุดบ่วงกรรมนี้ได้หรอก”
“คุณจะขอให้รินหยุด ทั้งๆ ที่รินเป็นฝ่ายโดยทำร้ายมาตลอด ทั้งตอนที่มีชีวิต และที่ตายไปแล้วเหรอคะ มันไม่ยุติธรรมกับริน มันไม่ยุติธรรมจริงๆ”
“งั้นการฆ่าพวกเค้า รินคิดว่ามันยุติธรรมแล้วงั้นเหรอ” เตชินย้อนถาม
“ใครทำอะไรเอาไว้ ก็ต้องได้รับผลที่ทำไม่ใช่เหรอคะ” ริลณีพูดอย่างเคียดแค้น
“แล้วรินจะได้อะไร ในเมื่อยิ่งรินทำ ก็ยิ่งมีบาปติดตัวไม่จบไม่สิ้น ผมไม่อยากให้รินตกนรก ไม่อยากให้รินทรมานกับบาปกรรมที่รินต้องชดใช้ไม่มีวันหมดสิ้น”
ริลณียิ้มน่ากลัว
“ไม่มีอะไรทรมาน กว่าความแค้นที่รินมีอยู่ตอนนี้หรอกค่ะ สำหรับริน ความแค้นก็ทำให้รินเหมือนอยู่ในนรกทุกวันอยู่แล้ว ถึงจะไปอยู่ในนรกจริงๆ มันก็คงไม่แตกต่างอะไร คุณอย่าขวางรินอีกเลยค่ะ ถ้าคุณรักริน ขอให้รินได้แก้แค้น มันเป็นวิธีเดียวที่จะปลดปล่อยรินจากความทรมาน”
เตชินพยายามจับมือริลณี รั้งเอาไว้ “ไม่ริน ผมปล่อยให้คุณไปทำผิดไม่ได้”
“คุณห้ามรินไม่ได้หรอกค่ะเตชิน ยังไงพวกมัน 2 คนก็ต้องตาย”
สีหน้าของริลณีเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ก่อนจะหายตัวไปจากตรงนั้นทันที เตชินพยายามตะโกนเรียก
“ริน อย่าทำอย่างนั้นเลย ผมขอร้อง ริน”
ก่อนจะทรุดลงอย่างสิ้นหวัง
เอกราชที่ยังกลัวสุดขีด เหยียบคันแร่งจนมิด พยายามขับรถหนีด้วยความเร็วที่สุด ตุลเทพที่กลัวไม่แพ้กัน มองซ้ายมองขวาไปนอกกระจก ระแวงว่าริลณีจะตามมาฆ่าอีก
“แล้วเรา 2 คนจะหนีไปที่ไหนเนี่ย”
“ที่ไหนก็ได้ที่นังผีนั่นตามมาแก้แค้นพวกเราไม่ได้”
ตุลเทพเริ่มประสาทเสีย “แล้วไอ้ที่ไหน มันที่ไหนล่ะ”
“ไม่รู้เว้ย ถ้านายรู้ก็มาขับเองก็แล้วกัน”
ทั้งคู่หน้าตาเคร่งเครียด พยายามครุ่นคิด ก่อนที่ตุลเทพจะคิดออก
“ฉันคิดออกแล้ว ผีกลัวพระใช่มั้ย เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าไปอยู่ในวัด มันก็ตามมาทำอะไรพวกเราไม่ได้”
“วัดเนี่ยนะ แล้วพวกเราจะต้องไปอยู่วัดไหน”
“วัดไหนก็ได้ที่ใกล้ที่สุด ก่อนที่นังผีนั่นจะตามเรามา”
ทั้งคู่พยายามมองไป 2 ข้างทาง ก่อนจะเห็นป้ายวัดของหลวงตาคงอยู่ไม่ไกล
เอกราชและตุลเทพ เดินร้อนรนเข้ามาในโบสถ์ ขณะที่หลวงพ่อคงนั่งทำสมาธิอยู่ข้างใน ทันทีที่ทั้ง2 คนเดินเข้ามา ผู้ทรงศีลก็ลืมตามองด้วยความเมตตา
“หนีร้อนมาพึ่งเย็นเหรอโยม”
ทั้งคู่รีบเดินเข้าไปหา พร้อมยกมือไหว้ เอกราชรีบพูดทันที
“ขอพวกเรา 2 คน นอนในโบสถ์สักวันสองวันได้มั้ยครับหลวงพ่อ”
“หนีอะไรมาล่ะ”
ตุลเทพเหลียวซ้ายมองขวา “หนีผีครับ มีผีพยายามจะฆ่าพวกเรา”
หลวงพ่อคงมองทั้งคู่ ก่อนจะยิ้มเหมือนรู้อะไรเป็นอะไร
“ไปทำเวรทำกรรมอะไรกับเค้าไว้ล่ะ เค้าถึงได้แค้นขนาดนั้น”
เอกราชเริ่มโมโห “หลวงพ่อจะถามมากทำไมเนี่ย”
ตุลเทพรีบหันไปปราม ก่อนจะเป็นฝ่ายตอบด้วยอารมณ์เย็นกว่า
“พวกเราก็ไม่รู้หรอกครับหลวงพ่อ”
“ถ้าโยมไม่รู้ก็คงช่วยได้ยาก แต่ถ้ารู้ อาตมาก็อยากให้โยมขอโทษในสิ่งที่โยมทำกับเค้า บางทีความโกรธที่เค้ามีอาจจะเบาลงมาบ้างก็ได้”
เอกราชยิ่งโมโหหนัก
“จะให้ขอโทษนังผีบ้านั่น ไม่มีทางหรอก หลวงพ่อจะให้อยู่ที่นี่หรือไม่ให้อยู่ก็บอกมาเร็วๆ เถอะ
พูดมาก เสียเวลา”
“อาตมาไม่มีปัญหาอยู่แล้ว วัดนี้เป็นของทุกคน ขอให้โยม 2 คนพักผ่อนให้สบาย อยู่ในที่แบบนี้จิตใจที่ร้อนรุ่มของโยมทั้งสอง อาจเย็นลงได้บ้าง”
หลวงพ่อยิ้มให้อย่างเมตตา แล้วเดินออกไป เอกราชยิ่งได้ฟัง ก็ยิ่งโมโห โวยวายไล่หลัง
“เย็นลงงั้นเหรอ ลองมาโดนผีไล่ฆ่าดูบ้างสิ จะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง”
พอหลวงพ่อคงเดินออกมานอกโบสถ์ ก็เห็นริลณียืนรออยู่
“ดับความโกรธแค้นไม่ได้เหรอโยมริลณี”
ริลณีก้มลงไหว้ ก่อนจะตอบน้ำเสียงแข็งกร้าว “พวกมันฆ่าฉัน ถึงเวลาที่มันต้องชดใช้กรรม”
“แต่เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”
“ดิฉันขอรับเวรกรรมที่ก่อ ขอแค่ได้แก้แค้นพวกมัน”
หลวงพ่อคงถอนใจ “จะไม่มีใคร หรืออะไรมาเปลี่ยนใจโยมได้ใช่มั้ย”
“ไม่มีค่ะ”
ผู้ทรงศีลพยักหน้าเข้าใจ “ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกรรมของมันสินะ งั้นถ้าอาตมาจะขอชีวิต 2 คนนั้น ขอให้โยมอย่าทำร้ายพวกเค้า ตราบเท่าที่พวกเค้ายังอยู่ในวัดแห่งนี้ จะได้มั้ย”
“ถ้าพระอาจารย์ขอ ฉันก็จะให้ แต่ถ้ามันออกจากวัดนี้เมื่อไหร่ มัน 2 คนต้องตาย”
“นั่นก็คงเป็นเวรกรรมของเค้า สุดที่อาตมาจะรั้งไว้ได้จริงๆ”
หลวงพ่อพยักหน้าอย่างปลงๆ ก่อนจะเดินออกไป ริลณีมองเข้าไปในโบสถ์ แล้วยิ้มร้าย
“ก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าคนชั่วอย่างพวกนั้น จะทนอยู่ในวัดได้นานเท่าไหร่”
ชมพูยืนคุยโทรศัพท์ที่ทางเดินหน้าห้องในโรงพยาบาล หน้าตาเคร่งเครียด
“ตอนนี้พี่เตชินกำลังนอนพักผ่อนอยู่ค่ะ คุณหมอบอกว่าไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว คุณลุงอยู่ดูแลคุณป้าจิตราที่บ้านเถอะค่ะ เดี๋ยวชมพูจะดูแลพี่เตชินให้เอง ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ชมพูจะดูแลพี่เตชินอย่างดีที่สุด”
พอวางโทรศัพท์ ก็รีบเดินกลับไปที่ห้อง แต่พอเปิดประตูเข้าไป ก็ถึงกับชะงัก เมื่อเห็นผีริลณี ยืนอยู่ข้างเตียง มองเตชินที่กำลังหลับอยู่ด้วยความเป็นห่วง
ชมพูอุทานออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจ “ ริน”
ผีริลณีหันขวับมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้น และเกลียดชัง จนชมพูที่เห็นสายตานั้น เริ่มกลัวขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล มือที่จับประตูอยู่สั่นจนควบคุมไม่ได้
ริลณียังคงยืนจ้องหน้าชมพูอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ อีกฝ่ายกลัวจนทนไม่ไหวรีบปิดประตูแล้ววิ่งหนีออกไปทันที วิญญาณแค้นมองตาม ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างน่าสะพรึง สายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
ชมพูวิ่งออกมาหยุดยืนหอบด้วยความเหนื่อย ยกมือจับที่หน้าอก เพราะหัวใจเต้นแรงด้วยความกลัว
ตุลเทพนอนทำท่าเซ็งๆ อยู่ภายในโบสถ์ ในขณะที่เอกราชเดินไปเดินมา เหมือนหนูติดจั่น
“โว้ย ทำไมในนี้มันถึงได้อึดอัดขนาดนี้ จะดูทีวีก็ไม่ได้ จะเล่นมือถือก็ไม่มีสัญญาณ แถมยังไม่มีอะไรกินอีก นี่เราต้องอยู่ในนี้อีกนานเท่าไหร่วะ”
“แล้วคิดว่าฉันชอบงั้นเหรอ ต้องมานั่งๆนอนๆ อยู่หน้าพระแบบเนี้ย บอกตรงๆ เกร็งว่ะ”
ระหว่างนั้น หลวงพ่อคงเดินนำลูกศิษย์ที่ถือถาดอาหารเดินตามเข้ามาวางให้ เอกราชมองอาหารในถาด แล้วทำหน้ารังเกียจ
“ไม่มีอะไรที่มันอร่อยกว่านี้เหรอหลวงพ่อ”
“อาหารจากการบิณฑบาต เราเลือกไม่ได้หรอกโยม”
ตุลเทพรีบบอก“งั้นถ้าผมให้เงินลูกศิษย์หลวงพ่อไปซื้อของที่พวกผมอยากกินมาให้ ก็ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“ก็สุดแท้แต่โยมเถอะ แต่โบราณท่านว่า ถ้าลำบากก็อย่าเลือกกิน”
เอกราชทำหน้าเอือม “ขอร้องเถอะหลวงพ่อ อย่าเพิ่งเทศน์ เพิ่งสอนอะไรเลย พวกผมกำลังเครียด ไม่เห็นรึไง”
“หลวงพ่อมีทางช่วยพวกผมมั้ยครับ ถ้าต้องหลบผีอยู่แต่ในโบสถ์นี่พวกเราคงเฉาตายแน่”
“ทางมันก็มี ขึ้นอยู่กับว่าโยมจะเดินรึเปล่า”
ตุลเทพตาวาว “แสดงว่าหลวงพ่อมีเครื่องรางของขลัง หรือไม่ก็คาถาปราบผีใช่มั้ยครับ”
หลวงพ่อพูดนิ่งๆ “ถ้าโยมสองคนอยากรอด ก็บวชแล้วอยู่ในวัดนี้ซะ”
เอกราชแอบเบะปาก
“บวชแล้วอยู่ในวัด ไม่ไหวมั้งหลวงพ่อ แค่อยู่ในโบสถ์นี้ไม่ถึงวัน ผมยังอึดอัดแทบอ้วก ถ้าต้องอยู่ถาวรแบบหลวงพ่อ พวกผมคงตายแน่”
“ไม่มีทางอื่นแล้วเหรอครับหลวงพ่อ” ตุลเทพย้อนถาม
“อาตมาช่วยโยมได้แค่นั้น โยมจะทำตามหรือไม่ก็สุดแท้แต่โยมเถอะ”
พูดเสร็จก็เดินออกไปด้วยความสิ้นหวัง รู้สึกว่าทั้งคู่จิตใจมืดบอดเกินกว่าจะช่วยเหลือ
คล้อยหลังหลวงพ่อเดินพ้นไป เอกราชก็ส่ายหน้าเป็นเชิงดูถูก
“เชอะ ทำมาบอกให้บวช จริงๆ ช่วยอะไรไม่ได้มากกว่า เป็นพระซะเปล่า ไม่รู้วิธีปราบผี”
ลูกศิษย์วัดรีบพูดสวนขึ้นมาทันที
“พระอาจารย์คงท่านเป็นสายปฎิบัติ ไม่ใช่สายปราบผี แต่ถ้าพวกพี่อยากได้ของดี ผมมี”
เอกราชและตุลเทพหูผึ่ง มองลูกศิษยวัดที่กำลังหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าด้วยความตื่นเต้น
“ตะกรุดกันผี ทำมาจากตะปูโลงผี 7 วัด”
“จริงด้วย”
ตุลเทพรีบหยิบมาดูด้วยความตื่นเต้น เอกราชเดินเข้าไปมองอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
“นายรู้จักเหรอวะ ไอ้ตะกรุดอะไรเนี่ย”
“นี่แหละของดี สุดยอดเครื่องรางกันผี หาไม่ได้ง่ายๆ ตอนฉันเล่นของพยายามหาแทบตาย แต่ก็หาไม่ได้ ไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่ แล้วน้องมีอันเดียวเหรอ”
“มีแค่นี้แหละพี่ ผมเห็นพวกพี่เดือดร้อนก็เลยเอามาให้”
ตุลเทพรีบถามต่อ “แต่พวกพี่มีกัน 2 คน ตะกรุดอันเดียวจะใช้ได้ไง”
“เรื่องนั้นผมก็ไม่รู้ แต่พวกพี่เป็นเพื่อนกัน ก็แบ่งกันเองก็แล้วกัน”
พูดเสร็จลูกศิษย์ก็รีบวิ่งออกไป ไม่สนใจทั้งคู่ที่ยืนมองตะกรุดที่มีอยู่แค่อันเดียวอย่างอึ้งๆ
บรรยากาศยามค่ำคืนภายในวัด ดูวังเวง น่ากลัว เสียงหมาหอนโหยหวนไม่ขาดสาย
ตุลเทพนอนลืมตาโพลงเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะค่อยๆ พลิกตัวแอบเหลือบมองเอกราชที่นอนหันหลังให้ว่าหลับหรือยัง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหลับสนิทแล้ว ก็ค่อยๆ ลุกขึ้น แล้ว ค่อยๆ ย่องไปตรงที่วางตะกรุดเจ็ดวัด ที่วางอยู่ไม่ไกล ขณะกำลังจะก้มลงหยิบ เสียงเอกราชก็ดังขึ้นมา
“ทำอะไร”
ตุลเทพชะงัก หันไปมองเห็นเอกราชนอนลืมตาจ้องอยู่ ก่อนจะรีบแก้ตัว
“หิวน้ำ ก็เลยลุกมากินน้ำนิดหน่อย”
เอกราชมองอย่างรู้ทัน “ไม่ใช่นายจะแอบมาหยิบตะกรุดแล้วหนีไปหรอกนะ”
“เฮ้ย ฉะ ..ฉะ..ฉันจะทำแบบนั้นทำไม” ตุลเทพแก้ตัวตะกุกตะกัก
“ก็เพราะนายไม่อยากทนอยู่ในนี้ นายอยากเอาตัวรอดคนเดียวน่ะสิ”
ตุลเทพสวนกลับอย่างรู้ทันเหมือนกัน
“แล้วทำไมดึกป่านนี้นายยังไม่หลับ คิดจะแอบลุกมาขโมยตะกรุด แล้วแอบหนีไปเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ แต่งานนี้ใครดีใครได้เว้ย”
ขาดคำก็รีบคว้าตะกรุดแล้วรีบวิ่งออกไปจากโบสถ์ เอกราชรีบลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งตามออกไปทันที
“เฮ้ยหยุดนะ ฉันไม่มีวันให้แกหนีรอดไปคนเดียวหรอก”
ตุลเทพพยายามวิ่งหนี เอกราชวิ่งตามออกมาจนทัน ทั้งคู่ช่วงชิงแย่งตะกรุดกัน อย่างไม่มีใครยอมปล่อยมือ
เอกราชโมโหชกตุลเทพ จนเผลอปล่อยมือ ทำให้ตะกรุดตกอยู่ในมือเอกราช แต่ขณะจะรีบวิ่งหนี กลับถูกตุลเทพรีบไปกระโดดเกาะและพยายามแย่งตะกรุดกลับมา เอกราชพยายามสลัดตัวออกแต่ทำไม่ได้ กระทั่งเผลอทำตะกรุดตกพื้น
ทั้งคู่มองหน้ากัน ก่อนจะรีบวิ่งกันแย่งจะไปคว้าตะกรุดที่กำลังกลิ้งไปตามพื้น ทั้คู่ทั้งผลัก ทั้งดึง อย่างไม่มีใครยอมใคร ขณะกำลังจะเอื้อมมือคว้าตระกรุดไว้ได้ ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นเท้าของใครบางคนเหยียบย่ำตะกรุดจนแหลกละเอียด พอทั้ง 2 คนเงยหน้ามอง ก็เห็นผีริลณียืนแสยะยิ้มมองอย่างสมเพช
“พวกแกนี่มันน่าสมเพชจริงๆ เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งนาน แต่มาทะเลาะกันเพราะแย่งของที่ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด”
ทั้งคู่ถึงกับผวา รีบแย่งกันวิ่งหนีกลับเข้าไปในโบสถ์แทบไม่ทัน ผีริลณีหัวเราะอย่างเวทนา
“หลบไปเถอะ ยังไงฉันก็รอได้ อยากรู้เหมือนกันว่าพวกแกกับฉัน ใครจะมีความอดทนมากกว่ากัน”
ขณะที่วิญญาณของริลณีหายไป แต่เสียงหัวเราะที่โหยหวนน่ากลัวควบคู่ไปกับเสียงหมาหอนยังดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
เอกราชและตุลเทพที่อยู่ในโบสถ์ได้แต่มองหน้ากันด้วยความสยดสยอง
เอทีเอ็มจับมือชมพูที่นั่งหน้าเครียดอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า พร้อมกับพยายามพูดปลอบใจ
“ฉันว่าเธอคิดมากเกินไป รินจะโกรธเธอได้ยังไง ในเมื่อเธอกับเค้าเป็นเพื่อนรักกัน”
“แต่เค้าอาจจะไม่พอใจที่ฉันไปยุ่งกับพี่เตชินมากก็ได้”
เอทีเอ็มส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย
“ถึงรินเค้าจะรักคุณเตชินมาก แต่เค้าก็ต้องรู้สิ ว่าเค้าอยู่ดูแลคุณเตชินไม่ได้แล้ว และคนที่จะมาดูแลคุณเตชินแทนเค้าได้ดีที่สุด ก็คือเธอนะชมพู”
“แต่ฉันก็ยังรู้สึกกลัวสายตาที่รินมองฉันวันนั้น มันน่ากลัว เหมือนเวลาที่รินมอง...” ชมพูรวบรวมความกล้าก่อนตัดสินใจพูด “มองคนที่เคยฆ่าริน ฉันเคยเห็นรินใช้สายตาแบบนี้ เวลามอง เอกราช ตุลเทพ แล้วก็ปริมลดา”
เอทีเอ็มที่ได้ฟังอยู่ ถึงกับอึ้ง ก่อนจะทำเป็นตลกกลบเกลื่อน เพื่อให้ชมพูไม่คิดมาก
“คิดมากไปกันใหญ่แล้ว รู้ตัวปะเนี่ย ว่าตัวเองฟุ้งเว่อร์ไปแล้ว”
“มันจริงนะ ฉันไม่ได้คิดไปเอง”
เอทีเอ็มยืนยัน “เธอคิดไปเอง ชัวร์ ไม่ก็มโน จิ้น แถมเพ้อให้อีกเสต็ปด้วย ดึงสติกลับมาหน่อย อย่าคิดมาก จำเอาไว้ รินไม่มีทางเกลียดเพื่อนของตัวเอง”
ชมพูพยายามฝืนยิ้มเพราะไม่อยากให้เอทีเอ็มเป็นห่วง ทั้งๆ ที่ในใจมั่นใจว่าไม่ได้คิดมากหรือเพ้อไปเองอย่างแน่นอน
ประตูกุฎิค่อยๆ เปิดออก เอกราชและตุลเทพ มองซ้ายมองขว่า ก่อนจะค่อยๆ ย่องเข้าในกุฎิของหลวงพ่อพระอาจารย์คง
“แน่ใจนะว่าจะไม่มีใครขึ้นมาเห็นพวกเรา”
เอกราชหันมองออกไปทางโบสถ์ ที่มีเสียงทำวัตรเย็นดังเข้ามา
“ พระทั้งวัดไปสวดมนต์ทำวัตรเย็นกันหมด ใครจะมาเห็นเรา”
“แต่ขึ้นมาขโมยของบนกุฎิพระมันจะดีเหรอวะ”
เอกราชรีบบอก “เราไม่ได้มาขโมยของมีค่า แค่จะหาอะไรป้องกันตัวนิดหน่อย ฉันว่าหลวงพ่อนั่น ต้องมีอะไรดีๆ ติดตัวบ้างแหละ”
ทั้งคู่ช่วยกันรื้อค้นข้าวของในกุฎิ ท่ามกลางเสียงสวดมนต์ทำวัดเย็นที่ยังดังเข้ามา โดยที่ไม่ได้สำนึกใดๆ เลยสักนิด
ขณะที่ทั้งคู่กำลังช่วยกันค้นหาเครื่องรางของศักดิ์สิทธ์อยู่ ตุลเทพเปิดตู้เก็บหนังสือที่วางอยู่ในห้อง
พอเจอห่อผ้าดิบสำหรับห่อกระดูกที่มีชื่อ “ริลณี รักถิ่น” เขียนอยู่บนผ้า ก็ถึงกับชะงักด้วยความแปลกใจ
“เอกราชนายมาดูอะไรนี่ ฉันว่าเราเจอของดียิ่งกว่าเครื่องรางกันผีแล้วว่ะ”
เอกราชรีบวิ่งมาดู เมื่อเห็นห่อผ้าดิบบนมือตุลเทพที่มีชื่อริลณี ก็แปลกใจ “อย่าบอกนะว่า ในห่อผ้านี่เป็น....”
ตุลเทพตอบอย่างมั่นใจ “กระดูกริลณี”
“แล้วกระดูกนังผีนั่น มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ไอ้เตชินมันคงเอามาฝากไว้ ก่อนจะทำพิธีละมั้ง ไม่น่าเชื่อว่าเราจะได้มาเจอของดีแบบนี้”
เอกราชมองอย่างสงสัย “ดียังไงวะ”
“นี่นายไม่เคยรู้เลยใช่มั้ย วิธีจัดการผีเฮี้ยนๆ ที่ดีที่สุดน่ะ ก็คือการเอาร่าง หรือกระดูกมาเผาเพื่อส่งวิญญานมันไปนรก”
“งั้นถ้าพวกเราเผากระดูกนี่ ผีนังริลณีก็จะไม่กลับมาวุ่นวายกับเราอีก”
ตุลเทพพยักหน้ายิ้มๆ “ก็เท่ากับเราฆ่าฝังกลบ ส่งมันไปอยู่ในนรกอย่างสมบูรณ์”
ทั้งคู่มองหน้ากัน แล้วยิ้มชั่วอย่างสะใจ
“นังริลณี คราวนี้แกได้ตายไม่ได้ผุดได้เกิดสมใจแน่” เอกราชคำราม
อ่านต่อหน้า 2
นางชฎา ตอนที่ 16 อวสาน (ต่อ)
ชมพูเข็นวีลแชร์พาเตชินออกมาพักผ่อนในสวนสวยบนดาดฟ้าของโรงพยาบาล
“พี่เตชินอย่าโกรธรินเค้าเลยนะคะ ถึงเค้าจะทำสิ่งไม่ดี แต่เค้าก็รักพี่เตชินมากนะคะ พี่เตชินอาจจะไม่รู้ รินเค้ามาดูแลพี่เตชินที่โรงพยาบาลทุกวันเลย”
เตชินหน้าขรึมเครียด ตัดสินใจถามสิ่งที่ติดอยู่ในใจ
“แล้วเอกราชกับตุลเทพล่ะ เค้า 2 คน...”
“ชมพูยังไม่ได้ข่าวอะไรนะคะ ดูเหมือน 2 คนนั่น จะหนีไปหลบอยู่ที่ไหนสักที่นึง”
เตชินยิ้มดีใจ “แสดงว่ารินยังไม่ได้ฆ่าพวกเค้า”
“รินเค้าอาจจะเปลี่ยนใจแล้วก็ได้นะคะ”
“งั้นพี่อยากจะเจอริน รินเค้าอยู่ที่ไหน”
เตชินพูดพลางพยายามจะลุกจะเดินไปหา ก่อนจะเจอผีริลณีปรากฏร่างขึ้นมาอยู่ตรงหน้า
“ริน คุณเปลี่ยนใจที่จะไม่ฆ่าพวกเค้าแล้วใช่มั้ย”
ผีริลณียิ้มเหี้ยม
“รินยังไม่ฆ่าพวกมัน เพราะยังไม่ถึงเวลาต่างหาก แต่ดูเหมือนว่า ตอนนี้จะถึงเวลาแล้ว รินขอร้อง ถ้าคุณรักริน ขอให้รินได้แก้แค้น อย่าพยายามช่วยพวกมันอีก”
ขาดคำวิญญาณนางรำจอมแค้นก็วูบหายไป เตชินตกใจโวยวาย พยายามจะห้าม
“ริน รินอย่าไป”
ชมพูไม่เห็นผีริลณี เห็นแต่เตชินที่ร้องโวยวาย ก็รีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความแปลกใจ
“มีอะไรเหรอคะพี่เตชิน”
“รินกำลังจะไปฆ่าเอกราช กับตุลเทพ พี่จะต้องไปหยุดริน”
“พี่เตชินไปไม่ได้นะคะ ถ้าแผลแตกอีก คราวนี้มันจะอันตรายมากนะคะ”
“แต่พี่ต้องหยุดริน”
ชมพูคิดหาวิธีหยุดเตชิน “พี่เตชินไม่ต้องไปหรอกค่ะ ชมพูจะไปเอง ชมพูเป็นเพื่อนรักเค้า ถ้าชมพูพูดเค้าอาจจะยอมฟังก็ได้”
พูดเสร็จก็รีบวิ่งออกไป เตชินพยายามจะห้าม แต่ก็ห้ามไม่ได้เหมือนกัน
ชมพูรีบวิ่งออกมากดลิฟท์ พอประตูลิฟท์เปิดออก ก็รีบเดินเข้าไปพร้อมๆ พยายามกดโทร.หา
เอกราช แต่กลับไม่มีใครรับ
“เอกราช ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์นะ”
พอได้ยินเสียงคนกดรับสาย ชมพูรีบโพล่งออกไปด้วยความดีใจ
“เอกราช นายอยู่ที่ไหน รู้มั้ยว่าตอนนี้ริลณีเค้ากำลัง...”
ขณะกำลังจะพูดต่อว่า “จะไปฆ่านาย” แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะหลอนๆ ของริลณีดังมาจากโทรศัพท์ ชมพูชะงักรีบเอาโทรศัพท์ออกมาจากหู พบว่าเป็นหน้าจอโทรศัพท์ปกติ ไม่ใช่หน้าจอที่โทร.ติด พอเหลือบสายตาต่อไปที่พื้น ก็เห็นขาที่มีปลายกระโปรงของริลณียืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ความรู้สึกกลัวอย่างที่สุดวาบขึ้นกลางหลัง เธอถึงกับยืนตัวสั่น ค่อยๆ เงยหน้ามองไปที่ประตูลิฟท์ เห็นเงาสะท้อน เป็นผีริลณีหน้าตาน่ากลัวอยู่ด้านหลัง เธอพยายามจะหนีแต่ขยับไม่ได้ ผีริลณีขยับหน้าเข้ามาข้างๆ ก่อนจะกระซิบเบาๆ
“จะโทร.ไปบอกไอ้พวกชั่ว ว่าฉันจะตามไปฆ่ามันเหรอ นี่เธอจะอยู่ข้างฉัน หรืออยู่ข้างพวกมันกันแน่ เพื่อนรัก”
ผีริลณีเน้นคำว่า “เพื่อนรัก” ด้วยน้ำเสียงเย็นจับจิตชวนสยอง
“อย่าฆ่าใครเลยนะริน เราขอร้อง การฆ่าไม่ใช่การแก้ปัญหา”
ผีริลณียิ้มร้าย “งั้นเหรอ ไม่ยักรู้ว่าเธอคิดแบบนี้”
“เชื่อเราเถอะริน อภัยให้พวกเค้าเถอะนะ”
ผีริลณีสวนกลับด้วยอารมณ์โกรธ เสียงดังน่ากลัว
“ตัวเธอเองยังอภัยให้คนอื่นไม่ได้ แล้วจะมาขอให้ฉันอภัยให้พวกมันงั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก”
ขาดคำ ไฟในลิฟท์เริ่มติดๆ ดับๆ พร้อมๆ กับตัวลิฟท์เริ่มสั่นอย่างน่ากลัว ก่อนจะหยุดชะงัก ค้างกลางอากาศ พร้อมๆ กับไฟที่อยู่ในลิฟท์ดับมืด ได้ยินแต่เสียงชมพูกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
กองไฟลุกโชติช่วงอยู่ริมบึง เอกราชกับตุลเทพ ยืนอยู่ไม่ไกล ช่วยกันแกะผ้าดิบห่อกระดูกออก ทั้งคู่หันมายิ้มชั่วให้กันอย่างสมใจ
“แค่เราเผา ทุกอย่างก็จบ”
เอกราชพูดเร่ง “ก็รีบเผาเลยสิ”
ทั้งคู่ช่วยกันมัดห่อกระดูกอีกครั้ง ก่อนจะถือห่อนั้นโยนเข้ากองไฟ เปลวไฟที่ร้อนแรง ค่อยๆ เผารูปริลณีที่ติดอยู่ที่หน้าห่อให้ไหม้ไฟ แล้วลามมาที่ผ้าด้านนอก ก่อนจะเหลือแต่โครงกระดูก
ทั้งคู่หัวเราะให้กันอย่างสะใจ
“จบสิ้นสักทีนังริลณี”
สิ้นเสียงของเอกราช เสียงทรงอำนาจอันน่ากลัวของผีริลณีก็ดังสวนมา
“แกคิดว่าทุกอย่างมันจะจบสิ้นง่ายๆ งั้นเหรอ”
พร้อมกันนั้นร่างของผีริลณีที่ดูน่ากลัวและโหดร้าย ก็ปรากฏขึ้นกลางกองไฟ ก่อนจะค่อยๆ เดินออกมาจากเปลวไฟนั้นอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านสักนิด เอกราชและตุลเทพถึงกับผงะ
ตุลเทพปากคอสั่น “ระ…ระ..ริลณี แกมาได้ยังไง ทะ...ทำไมแกถึงไม่ถูกเผา”
พูดพลางมองโครงกระดูกที่ไหม้ไฟ สลับผินหน้ามองผีริลณีที่ดูไม่สะทกสะท้านอย่างไม่อยากจะเชื่อ ผีริลณียิ้มอย่างผู้ชนะ
“ก็เพราะกระดูกที่แกเผาไม่ใช่กระดูกของฉันน่ะสิ พวกหน้าโง่”
ที่แท้เรื่องราวก่อนหน้านี้เป็นดังนี้
โดยเตชินคุยกับชัชหน้าเครียดเคร่งหลังเจอกระดูกในบ้าน
“ฉันอยากเอากระดูกของรินมาเก็บไว้ที่บ้านเรือนไทย แต่ยังอยากให้ทุกคนเข้าใจว่ากระดูกของรินยังอยู่ที่วัดนั้น”
ชัชมองอย่างสงสัย “แกจะทำอย่างนั้นให้ยุ่งยากทำไมวะ”
“ฉันกลัวว่าจะมีคนแอบเอากระดูกรินไปทำอะไรไม่ดี ถ้าเราหลอกว่ากระดูกยังอยู่ที่เดิม แล้วถ้าคนพวกนั้นแอบมาเอาไปทำอะไรจริงๆ เค้าจะได้คิดว่าแผนของเค้าสำเร็จแล้ว แล้วก็จะได้มาวุ่นวายกับรินอีก”
“หมายความว่า แกจะเอากระดูกปลอมไว้หลอกพวกนั้น จะได้เลิกยุ่งกับรินใช่มั้ย”
“ใช่ ฉันอยากให้รินอยู่สงบ จนกว่าจะถึงวันที่ฉันต้องส่งเค้าไปจริงๆ”
ริลณีเล่าจบก็มองเย้ยอย่างสะใจในความโง่เง่าของทั้งคู่ ในขณะที่เอกราชและตุลเทพหน้าซีดจนถอดสี เพราะรู้ว่าพลาดครั้งใหญ่อีกแล้ว
“แกคงคิดว่าจะทำลายฉันได้ล่ะ แต่ขอโทษ พวกแกพลาด แล้วก็พลาดมากด้วยที่ออกมาจากที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งแก 2 คนไม่มีโอกาสจะกลับไปได้แล้ว ถึงเวลาที่พวกเราจะได้สะสางเรื่องราวในอดีตกันสักที ใช่มั้ยเพื่อนรัก”
ตุลเทพกลัวจัด รีบเอาตัวรอด ด้วยการลงนั่งคุกเข่ายกมือไหว้ อ้อนวอนขอชีวิต
“ฉันผิดไปแล้วริลณี เรื่องที่ฉันเคยทำไม่ดีกับเธอ ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ยกโทษให้ฉันเถอะนะ ฉันไม่ได้เป็นคนฆ่าเธอ ฉันทำเพราะฉันถูกบังคับจริงๆ”
เอกราชโมโห ที่โดนโยนความผิดให้
“มันก็ช่วยกันทุกคนน่ะแหละ พอใกล้จะตายก็คิดจะเอาตัวรอดงั้นเหรอวะ”
“ก็เออสิ ทำไมฉันต้องมาตายไปกับทุกคนด้วย ในเมื่อฉันไม่ได้เป็นคนผิด เอกราชมันเป็นคนฆ่าเธอ ฆ่ามันสิ ฆ่ามัน”
ผีริลณีมองไปทางเอกราชยิ้มเหมือนจะเข้าไปจัดการก่อน เอกราชกลัวตัวสั่น คิดว่าไม่รอดแน่ แต่ผิดคาด เมื่อวิญญาณแค้นหันขวับไปมองทางตุลเทพ เคลื่อนตัววูบไปอยู่ตรงหน้า แล้วยิ้มหยันด้วยสายตาเอาเรื่อง
“นายนี่มันเลวเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ”
ตุลเทพรีบยกมือไหว้ “อย่าทำอะไรฉันเลยนะริน ฉันจะยอมทำให้เธอทุกอย่าง ฉันจะทำบุญให้เธอทุกวัน หรือถ้าไม่พอ ฉันจะสร้างวัด สร้างโบสถ์แล้วอุทิศเป็นชื่อเธอ หรือถ้ายังไม่หายโกรธ จะให้ฉันฆ่าไอ้เอกราชให้ก็ได้ เอามั้ย”
เอกราชยืนฟังอยู่ ถึงกับอึ้ง ไม่คิดว่าตุลเทพจะเลวและเอาตัวรอดขนาดนี้
“ไอ้ตุลเทพ”
ผีริลณียืนยิ้มพอใจ ตุลเทพคิดว่าฝ่ายแรกยินดีกับเงื่อนไข ก็หันไปหยิบไม้หน้าสามที่เอามาใช้เป็นฟืนเดินเข้าไปหาเอกราช ก่อนจะเอาไม้นั้นฟาดไปอย่างตั้งใจจะเอาให้ตายจริงๆ
เอกราชหลบทัน ทั้งคู่ต่อสู้กันด้วยจุดประสงค์คนละอย่าง คนหนึ่งหมายมั่นจะให้อีกคนตาย อีกคนหนึ่งพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด
เอกราชสู้แรงไม่ไหวโดนตุลเทพเอาไม้ฟาดลงไปกองกับพื้น แล้วตามไปเตะไปถีบซ้ำ ก่อนจะเงื้อไม้จะฟาดหัวจนแน่นิ่งไป
ตุลเทพเป่าลมหายใจฟู่ หอบน้อยๆ เพราะเหนื่อยเอาการ หันไปมองทางผีริลณีที่ยืนมองอยู่ พลางยิ้มอย่างมั่นใจ
“เป็นไง เธอโอเครึยัง เห็นมั้ยว่าฉันทำทุกอย่างเพื่อเธอได้ เธอหายโกรธฉันแล้วใช่มั้ย”
ผีริลณียิ้มเยือกเย็น เคลื่อนตัววูบเข้าใกล้ สะบัดมือที่มีเล็บยาวแหลม กรีดหน้าอย่างแรง
“อ๊าก...ทำไมล่ะริลณี”
“สิ่งเดียวที่กูอยากได้จากมึง ก็คือชีวิตมึง ไอ้ตุลเทพ”
ตุลเทพมองหน้าผีริลณี รู้ดีว่านางผีร้ายคงไม่ยอมปล่อยเขาแน่ จึงตัดสินใจรีบวิ่งหนีจะไปขึ้นรถเอกราชที่จอดอยู่ แต่ก็ไม่มีกุญแจรถ ครั้นจะวิ่งย้อนกลับไปเอาที่ตัวเอกราช ก็เห็นผีริลณียืนอยู่ตรงนั้น เขารีบตัดสินใจวิ่งไปขึ้นเจ็ทสกีที่จอดอยู่ริมบึง แล้วขับออกไป ด้วยความเร็วสูง พร้อมๆ กับพึมพำกับตัวเองด้วยความกลัวสุดขีด
“แค่ไปให้ถึงอีกฝั่ง วิ่งไปอีกนิดเดียว ก็จะเจอวัด ไม่เป็นไรนะตุลเทพ นายจะต้องรอด จะต้องรอด จะต้องรอด”
ทันทีที่พูดจบ เจ็ทสกีที่กำลังขับอยู่ก็ดับกลางน้ำไปเฉยๆ แม้พยายามสตาร์ตอีกกี่ครั้ง แต่ก็ไม่ติด
“แกคิดว่าแค่นี้จะหยุดฉันได้ งั้นเหรอ ลืมไปแล้วรึไงว่าฉันเป็นนักว่ายน้ำเก่า ถ้าอยู่ในน้ำยังไงฉันก็ต้องรอด”
ตุลเทพพูดอย่างมั่นใจก่อนจะตัดสินใจกระโดดลงไปในน้ำ พยายามว่ายน้ำอย่างเร็วที่สุด เพื่อจะให้ไปถึงอีกฝั่งให้ได้ แต่ขณะกำลังยกแขน อยู่ดีๆ ก็รู้สึกเจ็บแขนด้านที่เคยถูกริลณีเอามีดกรีดจนแทบทนไม่ได้ เขารีบยกแขนขึ้นดู ก่อนจะพบว่าแผลเป็น กลับกลายเป็นแผลสด ราวกับว่าเพิ่งเกิดแผลใหม่
“คิดว่าแผลแค่นี้จะหยุดฉันได้งั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก ยังไงฉันก็ต้องรอด”
ขาดคำก็เหมือนมีบางสิ่งดึงดูดตัวให้หายลงไปใต้น้ำอย่างรวดเร็ว
ร่างตุลเทพถูกดึงลงมาใต้น้ำ เห็นผีริลณียิ้มมาอย่างน่ากลัว เขาตกใจกลัว พยายามจะกระเสือกกระสนหนี แต่กลับถูกอีกฝ่ายดึงลึกลงไปใต้น้ำ ลึกลงๆ จนเริ่มหายใจไม่ออก
ผีริลณียิ้มสะใจ มั่นใจว่าตุลเทพต้องตายแน่ แต่ชายชั่วยังไม่ยอมแพ้ พยายามดิ้นรน จนขาข้างหนึ่งหลุดออก แล้วจึงใช้ขาข้างนั้นกระทืบๆ จนได้โอกาสหนี ก็รีบตะเกียกตะกายขึ้นไปบนผิวน้ำเพื่อหายใจ ด้วยความเหนื่อย พร้อมกับสายตาเหลือบมองเห็นฝั่ง และวัดที่อยู่ตรงหน้าอีกแค่ไม่ไกล
“อดทนอีกนิดเดียว ถ้าถึงฝั่ง นายต้องรอด”
ตุลเทพกำลังจะว่ายน้ำต่อ แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์เจ็ทสกีถูกสตาร์ต และไฟด้านหน้าส่องตรงมา เมื่อหันไปมอง ก็เห็นว่าเจ็ทสกี กำลังแล่นตรงมาอย่างเร็วโดยไม่มีคนขับ แม้ยายามจะหลบ แต่ก็หลบไม่ทัน ถูกเจ็ทสกีชนเข้าอย่างรุนแรง
ร่างของตุลเทพถูกเจ็ทสกีชน ค่อยๆ จมลงไปในน้ำ เห็นเลือดไหลเป็นทางยาว ขณะกำลังจะหมดลมหาย ร่างนั้นก็ค่อยๆ จมลงผ่านผีริลณีที่อยู่ใต้น้ำ และมองอย่างสะใจ ระคนเปี่ยมสุขในช่วงวินาทีใกล้ตายของเขา
ตุลเทพในสภาวะใกล้ตายเต็มที ยังพยายามดิ้นรนพูดเป็นเฮือกสุดท้าย
“ฉัน ต้อง รอด”
ผีริลณีแสยะยิ้ม “ลาก่อนนะตุลเทพ”
เหยียบร่างตุลเทพไว้แน่น ฝ่ายถูกเหยียบพยายามดิ้นอย่างทุรนทุราย ทั้งเจ็บปวด ทั้งหายใจไม่ออก ก่อนจะขาดใจตายอย่างน่าเอน็จอนาถ
ผีริลณีที่มองอยู่ ยิ้มเหี้ยม ก่อนจะหัวเราะอย่างสะใจ
ฝ่ายเอกราชค่อยๆ ได้สติขึ้นมา ได้ยินเสียงหัวเราะโหยหวนของริลณีดังไปทั่วบริเวณ ก็รู้สึกเสียวสยอง รีบลุกขึ้น วิ่งไปที่รถของตัวเองที่จอดอยู่ แล้วขับออกไปทันที
ผีริลณีปรากฏร่างมองตาม พร้อมกับรอยยิ้มอันเลือดเย็นและน่ากลัวสุดจะประมาณ
ฟากเตชินพยายามกดโทรศัพท์โทร.หาชมพูซ้ำๆ แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ เขาวางมือถือลงบนเตียงอย่างหงุดหงิด ปนกับสังหรณ์ใจ
“ปกติชมพูไม่เคยปิดเครื่อง หรือว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับชมพู”
ในเวลาเดียวกัน ชมพูก็พยายามเคาะประตูลิฟท์ พร้อมกับร้องตะโกนให้คนช่วย
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยพาฉันออกไปที”
ทว่าไม่มีการตอบรับใดๆ จากภายนอก ชมพูพยายามเคาะประตูลิฟท์ จนรู้สึกเหนื่อย เริ่มหายใจแรงเพราะหายใจไม่ออก รอบๆ ลิฟท์มืดสลัว มีเพียงแสงไฟจากมือถือ ด้วยความกลัว และหวาดผวา เพราะไม่รู้ว่าผีริลณีจะโผล่มาเมื่อไหร่ ชมพูจึงหันหลังแนบผนังลิฟท์ ก่อนจะค่อยๆ กระเถิบตัวเข้าไปใกล้แผงปุ่มกด แล้วค่อยๆ ยื่นมืออันสั่นเทา ไปกดปุ่ม Emergency ในลิฟท์ ลองกดย้ำๆ หลายครั้ง ทว่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อากาศในลิฟท์เริ่มน้อยลงทุกทีๆ ชมพูเริ่มรู้สึกเหมือนกำลังจะวูบ แต่ยังทรงตัวไว้ พยายามตั้งสติ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.หาเตชิน แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับเช่นเดียวกัน จนเธอรู้สึกหมดหวัง
สายตาชมพู ที่มองไปในลิฟท์เริ่มพร่ามัว มึนงง และยิ่งหายใจไม่ออกยิ่งขึ้น เธอพยายามจะกดโทรศัพท์หาเตชินอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันกด ก็วูบหมดสติไปทันที
เอกราชขับรถหนีมาตามทางด้วยความเร็ว พร้อมโทรศัพท์ด้วยความเร่งร้อน
“พ่อ ผมจะไปฮ่องกง ให้คนเตรียมตั๋วเครื่องบินให้ผมด้วยทันทีที่ผมไปถึงสนามบิน ผมต้องการไปให้เร็วที่สุด”
พูดเสร็จก็วางโทรศัพท์ก่อนจะรีบขับรถด้วยความเร็ว พร้อมๆ กับที่เสียงเพลงไทยเดิมดังแว่วเข้ามาในรถ เอกราชค่อยๆ เหลือบมองไปที่ที่นั่งด้านหลัง แต่ก็ไม่เห็นใคร เขากำลังจะถอนหายใจโล่งอก แต่ก็ต้องช็อก
สุดขีด เมื่อหันมาเห็นผีริลณีในสภาพสุดสยอง น้ำเลือด น้ำหนองไลเยิ้ม น่าเกลียดน่ากลัว นั่งอยู่เก้าอี้ด้านหน้า
เอกราชตกใจมากรีบเหยียบเบรกอย่างเร็ว แล้วค่อยๆ หันไปมองที่เก้าอี้อีกครั้ง แต่กลับพบว่าผีริลณีหายไปแล้ว เขาเริ่มกลัวจนสติแตก เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักหน้ารถ หยิบปืนที่อยู่ในนั้นออกมา แล้วรีบเปิดประตูลงจากรถ เอาหลังแนบรถไว้ด้วยความกลัว ก่อนจะถือปืนมองไปรอบๆ เพื่อมองหาผีริลณี
ทันทีที่เห็นเงาวูบผ่านไหวๆ อยู่ริมถนน เอกราชรีบยิงปืนไปตรงนั้น แต่ปรากฎว่าไม่มีอะไร พอมีเงาวูบอีก เขาก็ยิงอีก แต่ก็ไม่มีอะไรเช่นเคย จนเขาเริ่มโมโหและโกรธ
“แน่จริงก็ออกมาสิวะ นังผีบ้า ก็อยากรู้เหมือนกันว่าผีกับปืน อะไรมันจะเจ๋งกว่ากัน”
พลันก็มีเงาวูบผ่านหน้าไป เอกราชรีบหันขวับ ก่อนจะมีอะไรวูบผ่านหลัง เขารีบหันขวับมอง เห็นผีริลณีปรากฏร่างอยู่ด้านหลัง เขาลั่นไกยิงไม่ยั้ง จนกระสุนหมดแม็กซ์ ผีริลณีหายวับไป เอกราชพยายามมองหา แต่ว่าไม่เห็นอะไรที่ดูผิดปกติแล้ว เขาจึงหัวเราะด้วยความสะใจ
“โธ่เอ๊ย นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็แพ้ปืน ถุย”
เอกราชรีบขึ้นรถ แล้วขับออกไปทันที
อ่านต่อหน้า 3
นางชฎา ตอนที่ 16 อวสาน (ต่อ)
เครื่องบินกำลังแล่นออกจากรันเวย์ เพื่อทะยานขึ้นสู้ท้องฟ้า พร้อมกับที่เอกราชได้ออกเดินทางไปแล้ว
ณ โรงแรมหรูในฮ่องกง เอกราชเปิดเข้ามาในห้องพัก เดินไปล้มตัวนั่งบนโซฟา แล้วถอนหายใจโล่งอก
“เฮ่อ ต่อให้นังริลณีกลับชาติมาเกิดใหม่ มันก็คงตามมาเล่นงานเราถึงที่นี่ไม่ได้แน่”
คิดพลางหยิบเวลคัมดริ้งค์ขึ้นมาจิบอย่างสบายใจ แล้วหยิบรีโมทขึ้นมากดดูทีวีเล่นแก้เซ็ง ภาพในทีวี เป็นภาพเจ้าหน้าที่มูลนิธิช่วยกันเอาศพตุลเทพขึ้นมาจากบึง พร้อมเสียงบรรยาย
“พบศพ นายตุลเทพ เศวตชัย เจ้าของบึงเจ็ทสกีสุดชิก ขวัญใจวัยรุ่น ลอยอืดสยองอยู่กลางบึง สันนิษฐานเบื้องต้น น่าจะถูกเจ็ทสกีชนและขยี้หัวเละจนดับสยอง”
เอกราชยิ้มสะใจกับตัวเอง “แล้วคนที่รอดก็ไม่ใช่นาย”
จากนั้นก็กดรีโมทเปลี่ยนช่อง ภาพในทีวีอีกช่อง เป็นภาพข่าว เจ้าหน้าที่กำลังเก็บศพปริมลดาออกมาจากสถานที่พบศพ ที่สยดสยองไม่แพ้ข่าวตุลเทพ
“สาเหตุเบื้องต้นการตายของดาราสาว น่าจะมาจากความประมาท ที่ทำให้ลื่นล้มจนตกลงมาถูกเหล็กเสียบตายสยอง แต่ก็ยังเป็นที่สงสัยว่า ดาราดังไปทำอะไรในเขตก่อสร้าง จนเกิดอุบัติเหตุตายอนาถแบบนี้”
พลันภาพในทีวีก็เปลี่ยนเอง กลายเป็นข่าวการตายของประวิทย์ หงส์หยก เชิงชาย สลับกันไปมารวดเร็วราวกับสายน้ำไหล
“เจ้าของร้านอาหารอิตาลีชื่อดังย่านสุขุมวิท ถูกฆ่าตัดคอดับสยอง” / “หญิงสาวโดดลงมาจากตึกตาย คาดว่าเกิดจากความเครียดจากข่าวใหญ่ที่รุมเร้า” / “เหตุฆาตกรรมสุดแปลก เมื่อเหยื่อถูกยัดดินให้กิน ก่อนจะฝังทั้งเป็นจนตาย”
เอกราชดูทีวีอยู่เริ่มงง รีบหยิบรีโมทพยายามกดเปลี่ยนช่อง แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนยังไง ข่าวพวกนั้นก็ยังวนเวียนให้เห็นอยู่ทุกช่อง ก่อนที่ภาพข่าวจะหยุดที่เหตุการณ์สุดท้าย
ภาพในทีวี เห็นเจ้าหน้าที่กำลังช่วยกันดับไฟรถที่ถูกไฟไหม้จนดูไม่ออกแล้วว่าเป็นรถอะไร พร้อมกับงัดศพที่ไหม้งอหงิก เป็นตอตะโกออกมา
“เกิดเหตุสะเทือนใจ ไฟไหม้รถยนต์หรูโดยไม่มีสาเหตุ คนขับที่อยู่ข้างในตายสยอง”
เอกราชดูข่าวไป ก็รู้สึกเสียงสันหลังวาบ เริ่มกลัวอย่างไม่มีสาเหตุ จนต้องรีบกดปิดทีวี! พร้อมๆ กับ.เสียงเคาะประตูดังขึ้นรัว จนเขาสะดุ้งด้วยความตกใจ รู้สึกระแวงขึ้นมาทันที
“ใครน่ะ”
“Room Service, sir”
เอกราชได้สติ ถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะรีบลุกไปเปิดประตู เห็นพนักงานเข็นรถอาหารที่สั่งไว้เข้ามา พร้อมกับพนักงานนวดสาวสวย
พนักงานนำอาหารจัดวางไว้บนโต๊ะ พอได้รับทิปจากเอกราชก็รีบเดินออกไป เหลือแต่พนักงานนวดสาวสวย ที่ถูกเอกราชจ้องมองด้วยสายตาเจ้าชู้
“ต้องการนวดแบบไหนคะ”
“ฉันอยากนวดแบบสบายๆ ในอ่างจากุชชี่ได้มั้ย”
พนักงานยิ้มหวาน “ได้ทุกอย่างตามที่ท่านต้องการค่ะ”
เอกราชยิ้มพอใจ แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ พนักงานสาวสวยยิ้มรับ เดินตามเข้าไปทันที
เอกราชนอนหลับตาแช่น้ำอย่างสบายใจในอ่างจากุชชี่ มือของพนักงานนวดค่อยๆ นวดไล้ไปตามบ่าไหล่อย่างชำนาญ จนฝ่ายถูกนวดถึงกับเคลิ้ม และผ่อนคลายสุดๆ
“เลื่อนลงมาต่ำหน่อยได้มั้ย ตรงนั้นแหละ ดีมาก ขยี้หนักๆ เลย หลังของฉันตึงมากใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ ตึงมากขนาดนี้ คุณต้องมีเรื่องเครียดมากใช่มั้ยคะ”
เอกราชตอบโดยไม่ทันได้มองหน้า
“มันก็มีแหละ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ฉันหนีมันมาพ้นแล้ว ไม่มีใครหรืออะไรตามมาทำร้ายฉันได้อีกแล้ว”
เอกราชหลับตาเคลิ้ม ปล่อยให้พนักงานค่อยๆ นวด โดยไม่รู้ตัวว่าเจ้าของมือที่กำลังนวดไล้ไปตามร่างกายนั้น คือ ผีริลณี
“ในฐานะลูกค้าวีไอพี คุณอยากให้ดิฉันบริการพิเศษมั้ยคะ คุณจะได้สบายมากกว่านี้”
“จัดมาเต็มที่เลย”
ริลณียกมือที่นวดเอกราชอยู่ออก แล้วยิ้มร้ายอย่างน่ากลัว เล็บค่อยๆ ยาวออกมาแหลมเปี๊ยบ คมกริบไม่ต่างกับมีดผ่าตัด ก่อนจะดึงแขนเอกราชออกมาวางไว้บนขอบอ่าง แล้วค่อยๆ กรีดเล็บลงไปบนผิวจนเป็นทางยาว
เอกราชที่หลับตาอยู่ รู้สึกสบายตัวอย่างประหลาดโดยไม่รู้ว่าริลณีกำลังทำอะไร
“นี่เธอทำอะไรของเธอ ทำไมฉันรู้สึกสบายจัง”
ริลณีใช้เล็บกรีดไปบนผิวเอกราชเป็นเส้นริ้วๆ ก่อนจะใช้มือค่อยๆ ถลกหนังออกมา โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่อง
“ไม่มีอะไรมาก ก็แค่ถลกหนังที่มือคุณออก มือของคุณจะได้ไม่ไปทำอะไรชั่วๆ อีก”
เอกราชสะดุดกึกขึ้นมาทันที รีบลืมตาขึ้นมา พร้อมกับดึงมือกลับไปดู เห็นว่ามือข้างหนึ่ง ถูกถลกหนังออกไปจนหมดจริงๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างสะใจดังกึกก้อง พอเขาหันกลับไปมอง ก็เห็นว่า ริลณีกำลังจะเอาเล็บกรีดหนังอีกข้างอยู่
“ริลณี กะ กะ แกตามฉันมาได้ยังไง”
“ต่อให้แกหนีฉันไปไกลแค่ไหน ก็ไม่มีวันหนีฉันพ้นหรอก”
ริลณีพูดพร้อมกับใช้เล็บกรีดลงไปบนแขน เอกราชกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
เอกราชสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ และพบว่าตัวเองนอนหลับฟุบอยู่ที่พวงมาลัยในรถ และรถก็ยังจอดอยู่กลางถนนที่เดิม
“นี่เราฝันไปเหรอเนี่ย”
จู่ๆ เสียงวิทยุในรถก็ดังขึ้น
“เกิดเหตุสะเทือนใจ ไฟไหม้รถหรูต์โดยไม่มีสาเหตุ คนขับที่อยู่ข้างในตายสยอง”
เอกราชตกใจ รีบขยับแขนจะปิดวิทยุ แต่แล้วก็ต้องช็อก เมื่อเห็นว่าแขนถูกถลกหนังไปแล้วและ แขนอีกข้างก็ถูกกรีดเป็นทางยาว จนเลือดซิบ
“นะ …นะ… นี่มัน”
เสียงในวิทยุก็พูดประโยคนั้นซ้ำๆ ย้ำๆ และเร็วขึ้นๆ จนน่ากลัว
“เกิดเหตุสะเทือนใจ ไฟไหม้รถหรูโดยไม่มีสาเหตุ คนขับที่อยู่ข้างในตายสยอง เกิดเหตุสะเทือนใจ ไฟไหม้รถหรูโดยไม่มีสาเหตุ คนขับที่อยู่ข้างในตายสยอง เกิดเหตุสะเทือนใจ ไฟไหม้รถหรูโดยไม่มีสาเหตุ คนขับที่อยู่ข้างในตายสยอง”
เอกราชเริ่มประสาทเสีย จนทนฟังไม่ไหวแล้ว
“หยุดสักที หยุด”
เสียงวิทยุหยุดลงทันที เอกราชลืมตามองไปรอบๆ รถอย่างระแวงสุดๆ ก่อนจะเห็นริลณีในสภาพผีน่ากลัว ปรากฏตัวตรงที่นั่งข้างคนขับ มองเด้วยสายตาสะใจ
“คงคิดละสิว่าจะหนีฉันพ้น แต่สุดท้าย แกก็หนีไปไหนไม่รอด แต่ฉันก็ยังใจดีให้แกสมหวังเล็กๆ น้อยๆก่อนตาย ไม่เหมือนพวกแก ที่ทำลายความหวังของฉันไม่มีชิ้นดี คนรักที่แสนดี ครอบครัวที่มีความสุข พวกแกทำลายความสุขที่ฉันรอคอยมาตลอดชีวิต จนกลายเป็นผีที่มีแต่ความแค้น คราวนี้แหละ พวกแกจะได้รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวด สิ้นหวังที่ฉันได้รับบ้าง”
ขาดคำประตูรถทุกบาน ก็ถูกปิดล็อก เอกราชพยายามจะเปิดยังไงก็ออกไม่ได้
“แกจะทำอะไร”
“แกก็รู้อยู่แล้วนี่”
ผีริลณียิ้มเย็นยะเยือก พร้อมกับเสียงวิทยุที่ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“เกิดเหตุสะเทือนใจ ไฟไหม้รถหรูโดยไม่มีสาเหตุ คนขับที่อยู่ข้างในตายสยอง”
เอกราชที่เริ่มรู้ชะตากรรมของตัวเอง กลัวจนลนลาน “ไม่นะ ริลณี ไม่”
“ลาก่อน เอกราช”
ผีริลณียิ้มอย่างสยอง ก่อนจะหายตัวออกไปจากรถ เอกราชพยายามจะเปิดประตูแต่เปิดยังไงก็เปิดไม่ได้
“ปล่อยให้ฉันออกไปนังผีบ้า ปล่อยฉันออกไป”
ผีริลณีที่ยืนอยู่นอกรถ ยิ้มให้อย่างแสนหวานเป็นครั้งสุดท้าย แล้วทันใดนั้นไฟก็ลุกพรึ่บขึ้นเผารถ เอกราชที่อยู่ในรถพยายามจะออกมา แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ออกมาไม่ได้
“ริลณีปล่อย ปล่อยฉันออกไป ฉันยังไม่อยากตาย ฉันยังไม่อยากตาย ปล่อยฉันสิ ปล่อย”
แต่ไม่ว่าจะพยายามร้องแค่ไหน ผีริลณีก็ไม่สนใจ กลับยืนมองร่างที่ค่อยๆ ถูกไฟที่ลุกโชนแผดเผาอย่างสาแก่ใจ
เอกราชดิ้นทุรนทุรายอย่างเจ็บปวดเมื่อโดนไฟคลอก เสียงร้องอย่างโหยหวน พร้อมเสียงเคาะกระจกพยายามจะออกมาให้ได้
มือเอกราชที่พยายามเคาะกระจกถูกไฟเผาไหม้อย่างรวดเร็ว และจนในที่สุดเปลวไฟก็ไหม้จนท่วมรถมิด เอกราชที่อยู่ในรถ ถูกไฟไหม้จนกลายเป็นตอตะโกสีดำ ผีริลณียืนมองภาพนั้น ด้วยความสะใจสุดๆ
เสียงหัวเราะอย่างสะใจดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
เจ้าหน้าที่กำลังงัดเพื่อเปิดลิฟท์จากภายนอก พร้อมกับพูดคุยกันอย่างแปลกใจ
“แปลกมากเลยนะครับ ลิฟท์ติดอยู่ทั้งคืน ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนรู้ ลิฟท์นี้เป็นตัวใหม่ด้วย ไม่น่าจะค้างแบบนี้”
ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออก ชมพูนอนหมดสติกองอยู่ที่พื้น เอทีเอ็มรีบผวาเข้าไปอุ้มมากอดไว้ด้วยความเป็นห่วง
“ชมพู เป็นอะไรรึเปล่า”
ชมพูค่อยๆ ลืมตาเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มบางๆ แทนคำตอบว่าไม่เป็นไร จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้งด้วยความอ่อนเพลีย ระคนโล่งใจที่มีคนมาช่วยแล้ว
หลายวันผ่านพ้น วันนี้เฟื่องฟ้าวางแท็บเล็ตลงบนโต๊ะ หลังอ่านรายงานข่าวการตายของทั้ง 6 คน หงส์หยก ปริมลดา ประวิทย์ เชิงชาย ตุลเทพ และ เอกราช รวมถึงการตายของริลณี ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ
“คดีของรินจบแล้ว”
“ตอนนี้รินคงไปอยู่ที่ในที่สงบแล้ว”
ชมพูซึ่งแวะมาหาที่บ้านเด็กกำพร้าพูดยิ้มๆ เฟื่องฟ้ากับเอทีเอ็มพลอยยิ้มดีใจไปด้วย เพราะต่างก็มั่นใจว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ชมพูหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลยื่นให้ เฟื่องฟ้าทำหน้างง
“อะไร?”
“คุณหญิงป้าฝากเงินมาให้พวกเธอ เผื่อเอาไว้ใช้จ่ายที่จำเป็น” เธอหมายถึงคุณหญิงจิตรา มารดาเตชิน
เฟื่องฟ้าเปิดออกดู เห็นธนบัตรจำนวนมาก ก็ประหลาดใจ “ทำไม ต้องให้เยอะขนาดนี้”
“ท่านก็คงอยากชดเชยความผิด ที่เคยทำให้พวกเธอเดือดร้อนน่ะ”
เฟื่องฟ้าส่ายหน้าช้าๆ “ฝากกลับไปคืนเถอะ เงินชดเชยไม่ได้ทุกอย่างหรอก”
เอทีเอ็มรีบบอก “พวกเราขออโหสิกรรมให้ดีกว่า เผื่อผลบุญจะไปถึงริน”
ชมพูหันมามองเอทีเอ็ม สุดท้ายตัดสินใจถามตรงๆ
“ตกลงนายจะไปเรียนต่อเมืองนอกจริงๆ เหรอ”
เอทีเอ็มพยักหน้าช้าๆ ชมพูถามต่ออีก
“แล้วไม่ห่วง เฟื่องฟ้า กับเด็กๆ ที่นี่เหรอ”
“ทุกคนที่นี่เข้มแข็ง ฉันมั่นใจว่าเค้าจะอยู่ได้ แต่เธอสิ โอเคนะ”
ชมพูพยายามฝืนยิ้ม ทำเป็นเข้มแข็ง
“นายกับเฟื่องฟ้า คอยดูแลช่วยเหลือเรามาตลอด ตอนนี้เราก็เข้มแข็งไม่แพ้เด็กๆ ที่นี่เหมือนกัน ขอบคุณนะเอทีเอ็ม เฟื่องฟ้า เธอ 2 คนเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ”
ทั้ง 3 คนมองหน้ากัน ต่างก็ยิ้มเศร้าๆ ให้กัน
ขณะที่เตชินยืนอยู่บริเวณสวน ตรงที่ที่เคยเป็นหลุมฝังศพริลณี พลางหางตาก็เหลือบเห็นเท้าใครคนหนึ่งเดินเข้ามา พร้อมกับเสียงเหยียบใบไม้ดังกรอบแกรบ เขารีบหันขวับไปมอง เพราะคิดว่าเป็นเธอ คนที่กำลังคิดถึง
“ริน”
แต่คนที่เดินเข้ามากลับกลายเป็นชมพู เตชินแอบถอนหายใจ ด้วยความผิดหวัง
“พี่เตชิน จะเผากระดูกรินจริงๆ เหรอคะ”
เตชินพนักหน้าช้าๆ “พี่อยากให้รินเค้าไปสงบสุขจริงๆ”
“เมื่อรินสงบแล้ว พี่เตละค่ะ?” ชมพูย้อนถาม “ชมพูอยากให้พี่เตชินมีความสุขด้วย ชมพูรู้ดีค่ะ ว่าการที่เราจะทำใจให้มีความสุข ทั้งที่คนที่เราไม่ได้มีคนที่เรารักอยู่เคียงข้าง มันยากที่จะทำใจได้”
เตชินสะเทือนใจ จนยืนนิ่ง ใบหน้าเศร้า
“ชมพูขออะไรพี่เตชินอย่างนึงได้มั้ยคะ”
เตชินมองชมพู รู้สึกอึดอัดใจ
“ชมพู พี่รู้ว่าชมพูหวังดีและเป็นห่วงพี่มาก แต่ชีวิตนี้ พี่คงรักใครอีกไม่ได้แล้วเพราะ...”
ชมพูส่ายหน้ายิ้มๆ
“ชมพูไม่ได้จะขอให้พี่เตชินรักชมพู แต่ชมพู จะขอเป็นน้องสาวของพี่เตชินตลอดไปได้มั้ยคะ”
เตชินพยักหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะสวมกอดชมพูอย่างอบอุ่นฉันพี่ชายกับน้องสาว ครู่หนึ่งชมพูก็ค่อยๆ เลื่อนตัวออกจากอ้อมกอด
“พี่เตชิน อยู่ลารินเถอะนะคะ ชมพูไปก่อนนะคะ”
เตชินพยักหน้าให้ ก่อนจะหันกลับไป ชมพูมองหลังของอีกฝ่าย แล้วยิ้มศร้าๆ น้ำตาคลอ รีบตัดใจหันหลังจะเดินกลับออกไป แต่แล้วก็ต้องผงะ เมื่อเห็นผีริลณี ยืนจ้องอยู่ข้างหน้า มองด้วยสายตาเคียดแค้น
“ทำกับฉันไว้ขนาดนั้น แล้วคิดว่าจะหนีไปง่ายๆ งั้นเหรอ เพื่อนรัก”
ผีริลณีแสยะยิ้มน่ากลัว ชมพูตกใจแทบช็อก
“ริน...”
พูดยังไม่ทันจบดี ก็ถูกผีริลณีตรงเข้าสิงร่างทันที จังหวะเดียวกับที่เตชิน ค่อยๆ หันกลับมามอง
“เอ่อ ชมพูครับ”
ชมพูหันมามอง แล้วยิ้มหลอนๆ กิริยาที่ริลณีชอบทำจนเตชินถึงกับชะงัก
“ชมพูจะไปไหนเหรอครับ”
ชมพูเงยหน้ามองยิ้มๆ และพูดเหมือนที่ริลณีเคยพูดไว้
“ไปที่ที่เราเคยหยุดเวลาเอาไว้”
พูดจบก็ยิ้มยะเยือก เดินจากไปอย่างเร็ว เตชินมองตามด้วยความรู้สึกแปลกๆ
ถัดมา เตชินหยิบห่อกระดูกของริลณีออกมาจากในตู้ มองด้วยสายตาเศร้า ขณะกำลังจะเดินออกมาจากห้อง สมหมายก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“คุณเตชินครับ คุณหนูล่ะครับ”
เตชินทำหน้างง “ชมพูกลับออกไปนานแล้วนะครับ”
“ไม่นะครับ แต่ผมรออยู่ที่รถ คุณหนูก็ไม่ออกมาสักที โทร.ไปก็ไม่มีใครรับสายด้วย คุณหนูไปไหนครับเนี่ย”
ทันทีที่ได้ยินคำว่า “คุณหนูหายไปไหน” เตชินก็นึกย้อนไปถึงสิ่งที่ชมพูพูดไว้
“ไปที่ที่เราเคยหยุดเวลาเอาไว้”
เขาคิด พลางพึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัย “ที่ที่เราเคยหยุดเวลาเอาไว้”
จากนั้นภาพความทรงจำวันที่เขากับริลณีไปทะเลด้วยกัน ก็ผ่านเข้ามาในหัวเตชินอย่างรวดเร็ว
“รินอยากหยุดเวลาของเราไว้ตรงนี้”
เตชินนึกถึงรอยยิ้มแปลกๆ ของชมพู ในแบบเดียวกับที่ริลณียิ้ม พลางก้มมองห่อกระดูกในมือ พลันก็นึกได้ว่าต้องเป็นริลณีแน่ๆ เขาถึงกับอึ้งด้วยความตกใจ จนตะโกนเสียงดังลั่น
“ริน”
อ่านต่อหน้า 3
นางชฎา ตอนที่ 16 จบบริบูรณ์
ชมพูยืนโดดเดี่ยวอยู่บนหน้าผาสูง ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองไปเบื้องหน้า เห็นภาพลางๆ ของทิวทัศน์แปลกตา เบื้องล่างเป็นน้ำทะเลดูน่ากลัว
พอหันกลับมา หน้าของผีริลณีก็พุ่งเข้ามาหน้าประชิด ชมพูร้องกรี๊ด ก่อนจะผงะหงายหลังล้มลงกับพื้น ผีริลณีรีบพุ่งเข้าไปประกบจ้องหน้าจนชิด แล้วถามเสียงเย็น
“ชอบที่ตายของเธอมั้ย เพื่อนรัก”
ชมพูผงะ ตกใจ “ริน...จะ...จะ ทำอะไร”
“ก็สะสางเรื่องที่เหลือของเราไง”
ชมพูทำหน้าสงสัย “เรื่อง อะ อะไร เธอพูดอะไรของเธอ ฉันไม่รู้เรื่อง”
ผีริลณีตาวาวด้วยความโกรธเค้นคำด่าว่า “ตอแหล” ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มหวาน “งั้นเดี๋ยวฉันจะทำให้เธอรู้เองนะ เพื่อนรัก”
ขาดคำก็ตวัดสายตามองไปที่มือข้างที่มีแผลเป็นของชมพู อีกฝ่ายมองตาม ก่อนจะเห็นว่ามือตัวเองกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
“โอ๊ย”
ชมพูค่อยๆ ยกมือขึ้นมา ในมือมีเลือดไหลโดยไม่มีสาเหตุ พอแบมือออก ก็เห็นเข็มกลัดนางรำอยู่ในมือ
“เข็มกลัดนางรำ”
ผีริลณีหัวเราะร่าอย่างสะใจ
“จำได้แล้วนี่ ฮ่าๆ จำได้แล้วใช่มั้ยเพื่อนรัก”
ชมพูจ้องมองผีริลณีอย่างกลัวๆ ก่อนที่ภาพเหตุการณ์ในอดีตจะย้อนกลับมาในความทรงจำ เริ่มตั้งแต่เมื่อครั้งที่ริลณีให้เข็มกลัดครั้งแรก ในวันงานรำครบรอบของมหาวิทยาลัย
จากนั้นก็เห็นภาพตัวเองนั่งอยู่บนรถตู้ มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นรถเอกราชที่มี ตุลเทพ
ปริมลดา หงส์หยก ประวิทย์ และเชิงชาย อยู่ในรถแล่นเข้ามา พร้อมๆ กับที่เสียงของเอกราชและตุลเทพดังเข้ามาในสมอง
“พวกเราจะลงมือจัดการนังนั่น หลังจากที่มันกลับมาจากประกวดรำแล้ว”
ตุลเทพพูดต่ออย่างมาดมั่นด้วยว่า “คราวนี้ มันไม่มีทางรอดแน่ๆ”
ชมพูใจเต้นตึกตักด้วยความกลัว พลางก้มมองจี้นางที่อยู่ในมือ ก่อนจะยื่นให้ริลณีหวังว่าจะช่วยคุ้มครองเพื่อนจากเหตุร้ายครั้งนี้ได้
“ขอบใจมากนะที่เคยให้ยืม”
“ชมพูเก็บไว้ใช้ก่อนเถอะ ไว้คืนหลังประกวดเสร็จก็ได้”
ชมพูรีบบอก “ไม่เป็นไรหรอก เธอเอาคืนไปเถอะ บางทีเธออาจต้องการใช้ มันเป็นเครื่องรางประจำตัวของเธอนี่”
ริลณีรับจี้นางกลับไป ชมพูรีบสะบัดหน้าหันไปอีกทาง ด้วยไม่กล้ามองสู้หน้า เพราะรู้สึกผิดและกลัวเรื่องเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น
คิดถึงตอนนี้ชมพูเงยหน้าขึ้นมามอง พอผีริลณีพุ่งหน้าเข้าไปประชิด เธอก็รีบหลับตาปี๋ พร้อมกับเบือนหน้าหลบ
“จำได้แล้วใช่มั้ย เพื่อนรัก”
ชมพูส่ายหน้า แล้วเริ่มร้องไห้ออกมา “ฉันไม่รู้...ฉันไม่รู้”
ผีริลณีตวาดเสียงดังลั่น ด้วยความโกรธ “จะตายแล้วยังจะแกล้งโง่”
ขาดคำก็ใช้มือที่สวมแหวนตะปบหมับบีบคอชมพูเต็มแรง
“ในความทรงจำของเธอ มันมีฉันอยู่บ้างมั้ย ชมพู”
ชมพูอยากจะร้องตะโกน แต่กลับร้องไม่ออก ได้แต่พยายามช่วยตัวเอง ขณะที่สายตาก็ไปเห็นแหวนที่ริลณีสวมอยู่
พลันภาพความทรงจำเก่าๆ เกี่ยวกับแหวนก็หวนกลับมาฉากแล้วฉากเล่า
เวลานั้นพิสมัยยิ้มกริ่ม ก่อนจะพูดกับชมพู ที่นั่งอยู่ในห้องโถงที่บ้านด้วยความดีใจ
“คุณป้าจิตราส่งข้อความมาบอกว่า พี่เตชินเข้าร้านจิลเวลลี่ เตรียมซื้อของขวัญมาเซอร์ไพร์ส
วันเกิดลูกด้วยนะ”
ชมพูรีบส่ายหน้าปฎิเสธอย่างเขินอาย
“ไม่จริงหรอกค่ะคุณแม่ พี่เตชินเค้าไม่ทำแบบนั้นหรอก เป็นไปไม่ได้”
“เป็นไปได้สิจ๊ะ นี่ไงล่ะหลักฐาน”
พิสมัยเยื้อนยิ้ม ขณะยื่นโทรศัพท์ให้ดูภาพแหวน ชมพูรีบหยิบมาดูใกล้ๆ แววตาตื่นเต้นและมีความสุขอย่างที่สุด
เช่นเดียวกัน ผีริลณีเห็นชมพูมองแหวน ก็นึกถึงเหตุการณ์ในวันที่ตัวเองตาย มือที่กำลังบีบคอีกฝ่ายค่อยๆ คลายออกแต่ยังไม่ปล่อย
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นภายในห้องชมรมนาฎศิลป์ ยามค่ำ
ชมพูมองหน้าริลณี ด้วยความรู้สึกผิด ตัดสินใจจะบอกความจริงเกี่ยวกับเรื่องเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในคืนนี้ แต่ริลณีพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“เอ่อ ชมพู รินมีเรื่องบางอย่าง อยากจะบอก...”
พลันเสียงโทรศัพท์มือถือของริลณีที่วางอยู่บนกระเป๋าก็ดังขัดจังหวะขึ้นมา ชมพูที่นั่งใกล้กว่าเอื้อมมือจะไปหยิบให้ ริลณีก็รีบเอื้อมมือเข้าไปพร้อมกัน มือของทั้งคู่ชนกัน จนปัดเอาทั้งมือถือและกระเป๋าของริลณีร่วง ข้าวของหล่นออกจากระเป๋ากองเต็มไปหมด
ทั้งคู่รีบช่วยกันเก็บข้าวของที่หล่นกระจาย ขณะนั้นชมพูก็เหลือบเห็นแหวน จึงหยิบขึ้นมาดู แล้วชะงัก อึ้ง
ความรู้สึกอยากให้อภัยมลายหายไป ความรู้สึกโกรธที่ถูกแย่งคนรัก และถูกหักหลังจากเพื่อนรักกลับประดังมาอีกครั้ง ชมพูรู้สึกโกรธแค้น ก่อนจะยื่นแหวนคืนให้ริลณีที่แอบหน้าเสียเล็กน้อย
“แหวนสวยดีนะ”
ริลณีรับแหวนไว้ สีหน้าเจื่อนลง “ เอ่อ คือ แหวนนี้ ริน…..”
ริลณีพยายามจะเข้าเรื่องเพื่อบอกความจริง แต่ชมพูที่กำลังจะน้ำตาไหล กลับลุกขึ้นพรวดเดินออกไปด้วยความโกรธ และเสียใจ
“เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
โดยไม่รอคำตอบจากริลณี ชมพูรีบเดินออกไปจากห้องทันที
ริลณีมองตามทอดถอนลมหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม ที่ยังไม่มีโอกาสได้บอกความจริงสักที
ถึงตอนนี้มือของผีริลณีที่คลายออกกลับมากระชับอีกครั้ง พร้อมกับสะบัดชมพูล้มลงไป แล้วตะคอกซ้ำ
“คราวนี้แกจำได้แล้วใช่มั้ย นังเพื่อนรัก”
“ฉันไม่รู้จริงๆ” ชมพูพยายามยกมือขึ้นไหว้ “ขอร้องละริน อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันเป็นเพื่อนรัก
ของเธอนะ”
ผีริลณีแสยะยิ้ม “เพื่อนรักเหรอ ฉันอยากจะรู้ว่าถ้าเธอรู้ว่าแกทำอะไรกับฉัน แกยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าเพื่อนรักอีกมั้ย”
พูดจบก็เดินปราดเข้าหาอีก ชมพูถอยจนสุดหน้าผา มือเกาะอยู่ที่ขอบหน้าผา ก่อนจะถูกผีริลณีจิกหัว กระชากขึ้นมายืน จังหวะนั้นขาของชมพูหล่นไปที่หน้าผา 1 ข้าง ผีริลณีรีบดึงกลับขึ้นมา
“ฉันไม่ปล่อยให้แกตายหรอก นังเพื่อนรัก”
ผีริลณีพูดเสียงหวาน ชมพูยิ้มดีใจ คิดว่าเพื่อนจะอภัย ทว่าอีกฝ่ายกลับเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเหี้ยม
“เพราะมันยังไม่ถึงเวลา แกต้องจำให้ได้ทั้งหมด ว่าแกทำชั่วอะไรกับฉันไว้บ้าง อีนังเพื่อนรัก”
ชมพูร้องไห้สะอึกสะอื้น เนื้อตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัว
ภาพเหตุการณ์ในอดีตหวนย้อนกลับมาอย่างต่อเนื่อง
ชมพูวิ่งมาถึงหน้าห้องน้ำ แต่ยังไม่ยอมเข้าไป ทว่ากลับยืนนิ่ง มือกำแน่น น้ำตาไหลออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะยกมือที่กำทุบไปที่กำแพงด้วยความโกรธ
“ชมพู”
ชมพูสะดุ้งตกใจ รีบปาดเช็ดน้ำตา พยายามทำตัวปกติ ฝืนยิ้มสดใส ก่อนจะหันไปตามเสียง เห็น
ปริมลดายืนมองอยู่
ปริมลดาพยายามพูดเกลี้ยกล่อม ขณะที่ในหัวของชมพูคิดไปถึงสิ่งที่ริลณีและเตชินหลอกลวงเธอมากมาย ทั้งๆ ที่เธอเคยปกป้องริลณีมาตลอด ภาพเตชินที่แสดงออกกับเธอเหมือนรัก และภาพแหวนที่กลายเป็นของริลณีไม่ใช่ของเธอ
ชมพูเจ็บปวดเหลือแสน ก่อนจะก้มหน้ามองพื้นด้วยสายตาร้ายกาจ แล้วเงยหน้าทำหน้าปกติ ก่อนจะพูดยิ้มๆ กับปริมลดาอย่างคนมีน้ำใจมากที่สุด
“ก็ได้ฉันจะไปเป็นเพื่อน”
ท้องฟ้าบริเวณหน้าห้องชมรมนาฎศิลป์ดูปั่นป่วน ลมพัดแรง คล้ายฝนจะตก เสียงฟ้าร้องแปลบปลาบอยู่ไกลๆ
ชมพูวิ่งเข้ามาที่ตึก เห็นน้าไหวและกล้าเดินกอดคอร้องเพลงเดินออกมา เธอหยุดยืนมอง จน 2 ยามเดินออกไป ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในห้องนาฏศิลป์อย่างตื่นเต้น
เมื่อวิ่งโผล่หน้าเข้าไปในห้องนาฎศิลป์ กลับไม่พบริลณีไม่อยู่ในห้องนั้นแล้ว ชมพูใจหายวาบ ทั้งกลัว ทั้งตกใจ และตื่นเต้น รีบวิ่งออกไปจากห้องทันที
ชมพูวิ่งมาที่ทางเดินกำลังจะวิ่งไปที่ถนน ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเอกราช ประวิทย์ เชิงชาย กำลังอุ้มริลณีออกไป เธอตกใจตัวสั่น ยืนมองภาพนั้นนิ่ง แต่ไม่กล้าทำอะไร
ริลณีกำลังถูกอุ้มออกไปเห็นคาตาว่าชมพูยืนแอบมองอยู่ ก็พยายามร้อง และดิ้น จนจี้นางตกลงที่พื้น แต่ชมพูกลับยืนมองเฉยไม่ยอมทำอะไรเลย
ประวิทย์และเอกราชจับริลณีแน่นขึ้น เอกราชเข้ามาปิดปากจนริลณีร้องและดิ้นไม่ได้อีกแล้ว
สายตาของริลณีมองมาทางชมพู ด้วยแววตาเศร้า และสิ้นหวัง น้ำตาไหลรินด้วยความเจ็บปวดมากที่สุดเท่าที่คนๆ หนึ่งจะเจ็บปวดได้ เพราะไม่คิดว่าเพื่อนที่รักที่สุดจะทรยศหักหลังกันอย่างนี้
เอกราช ประวิทย์ เชิงชาย และ ตุลเทพ อุ้มร่างริลณีใส่ท้ายรถ ก่อนจะขับออกไป ชมพูที่ยืนมองอยู่ หันไปเห็นจี้นางของริลณีตกอยู่ ก็รีบวิ่งเข้าไปเก็บไว้ เพราะกลัวจะมีใครมาเจอหลักฐาน ก่อนที่จะรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้นทันที
ชมพูวิ่งหน้าตื่นมาตามทางเดิน มือข้างหนึ่งกำจี้นางของริลณีไว้แน่น ขณะที่ยิ่งกลัวยิ่งเตลิด มือที่กำจี้นางไว้ก็ยิ่งกำแน่นมากขึ้น จนปลายแหลมของจี้แทงทะลุเข้าเนื้อ จนรู้สึกจ็บแปลบ ตกใจ รีบหยุดวิ่ง แล้วก้มมองมือของตัวเอง เห็นว่ารอยที่จี้นางจิ้มทะลุเข้าไปในเนื้อ ความเจ็บจี๊ด ทำให้ชมพูถึงกับชะงัก
แล้วภาพความหลัง ครั้งเมื่อยังเป็นเพื่อนที่ดีกับริลณี ก็ย้อนเข้ามาปะทะในสมอง
“รินขอบคุณที่ชมพูช่วยเหลือรินมาตลอด ชมพูเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของรินเลยนะ”
จากนั้นภาพของริลณีที่พยายามดิ้นรนขัดขืนอย่างน่าสงสาร ขณะโดนมัดมือมัดเท้าอุ้มออกไปใส่หลังรถ ก็แวบเข้ามาแทนที่ พร้อมกับคำพูดของปริมลดา ดังเข้ามา
“ถ้าพวกเราทำตามแผนสำเร็จเมื่อไหร่ รับรองว่านังริลณี นอกจากมันจะไม่กล้าสู้หน้าใครบนโลกนี้แล้ว มันจะไม่มีวันกลับเข้ามาในชีวิตของพวกเราทุกคนอีกแน่นอน”
ระหว่างที่ผีกับคนรำลึกความหลังอยู่นี้ เตชินวิ่งมาตามชายหาดที่เคยมากับริลณี พลางพยายามสอดตามองหาทุกที่ แต่ก็ยังไม่เจอชมพู จนเมื่อคิดถึงคำพูดของชมพู สายตามองไปเห็นเธอยืนบนปลายหน้าผา
“ชมพู”
เขารีบวิ่งไปทันที
ผีริลณียืนประชิดชมพูที่ริมหน้าผา ฝ่ายหลังน้ำตานองหน้า ปากคอสั่น ก้มมองมือที่กำเข็มกลัดแน่น ผีริลณียิ้มน่าสะพรึง แลดูเลือดเย็นสุดๆ
“ในที่สุดแกก็จำเรื่องระหว่างเราได้สักที นังเพื่อนรัก แกนี่แหละที่ปล่อยให้ฉันไปตาย”
ขาดคำก็จ้องหน้าด้วยความโกรธแค้น ชมพูร้องไห้ด้วยความเสียใจ
“ก็ฉันไม่คิดว่า พวกนั้นจะทำกับเธอถึงขนาดนี้ ตอนนั้นฉันก็แค่..อยาก... อยาก ให้เธอเจ็บเหมือนที่ฉันเจ็บบ้าง”
ชมพูพูดไปก็ร้องไห้ไป ผีริลณียิ่งโกรธจัด กระชากหัวอีกฝ่ายจนหน้าหงาย ก่อนจะยื่นหน้าพุ่งมาใกล้
“ฉันไปทำอะไรให้แกเจ็บ ฉันเป็นเพื่อนที่ดีกับแกมาตลอด”
ชมพูหลับตาปี๋ ก่อนจะเถียงกลับ
“เธอแอบคบกับพี่เตชิน ทั้งๆ ที่รู้ว่าเค้าเป็นว่าที่คู่หมั้นฉัน”
ผีริลณีชะงักกึก ชมพูรู้สึกได้จึงลืมตาขึ้นจ้องหน้า แล้วตะคอกกลับบ้าง
“เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอริน นี่เหรอ เพื่อนที่ดีมาตลอด? เธอก็แทงข้างหลังฉันมาตลอดต่างหากล่ะ”
ผีริลณีชะงัก ภาพในอดีตที่ริลณีแอบคบกับเตชินแวบเข้ามาในสมอง ก่อนที่แววตาจะอ่อนลงเหมือนรู้สึกผิด แต่เพียงครู่เดียว ดวงตาก็กลับกลายเป็นจ้องมองด้วยความแข็งกร้าวยิ่งกว่าเดิม
“แต่ฉันก็ชดใช้ความผิดนั้นด้วยชีวิตไปแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่แกจะต้องชดใช้ให้ฉันบ้าง อีนังเพื่อนอำมหิต”
ขาดคำก็เดินข้าหาอย่างเอาเรื่อง ชมพูกลัวจนตัวสั่น ร้องไห้น้ำตานองหน้า ค่อยๆ ถอยหนีไปใกล้หน้าผาเรื่อยๆ
“อย่านะริน อย่าทำอะไรฉันเลย” พูดพลางยกมือไหว้ขอชีวิต มือสั่นระริก “ฉันขอโทษ”
“ความผิดของแกมันมากกว่าไอ้พวกชั่วคนหกคนรวมกันซะอีก เพราะพวกนั้นไม่เคยบอกว่าเป็นเพื่อนรักของฉัน”
ผีริลณีพูดพลางพุ่งมือไปบีบคอแน่น
“ไม่นะริน เราเป็นเพื่อนรักกัน ฉันไม่ได้อยากให้เธอตายจริงๆ”
“ฉันไม่มีวันเชื่อคนอย่างแกอีกแล้ว ในเมื่อวันนั้นแกยืนดูฉันไปตายได้ วันนี้ฉันก็ขอยืนดูแกตายบ้างก็แล้วกัน”
ชมพูกรีดร้องเสียงดัง “อย่า”
เตชินที่กำลังวิ่งสุดชีวิตใกล้เข้ามาทุกที ได้ยินเสียง ก็รีบตะโกนเรียกออกไป “ชมพู”
ผีริลณีหันขวับไปมองเตชินยิ้ม แล้วหันขวับกลับมาทำหน้าเหี้ยมใส่ชมพู
“ดีแล้ว แกรักเตชินของฉันมากนักนี่ รักมากก็ตายให้เตชินของฉันดูซะเลย”
ชมพูกลัว จนตาเหลือก “อย่า อย่านะ ไม่นะริน”
“ทำไม รักมากก็ไม่ต้องกลัวสิ ดูอย่างฉัน ความตายก็ไม่อาจพรากฉันกับเตชินให้จากกันได้ ตายซะเถอะ”
“อย่า ริน อย่า”
ผีริลณียิ้มร้าย ก่อนจะเข้าสิงร่าง ชมพูชะงักรู้ตัวแต่ขัดขืนไม่ได้ วิญญาณร้ายที่ซ้อนตัวอยู่ ค่อยๆ พาร่างชมพูหันกลับ และเดินตรงไปทางหน้าผาทันที
ชมพูที่ยังมีสติ ไม่อยากตาย กลัวจนน้ำตาปริ่ม พยายามขัดขืนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จังหวะนั้นเตชินที่วิ่งเข้ามา ทันเห็นชมพูกำลังจะเดินไปทางหน้าผา
“ชมพู จะทำอะไรน่ะ หยุดนะ มันอันตราย”
เตชินเห็นใบหน้าของชมพูที่พยายามขอความช่วยเหลือ ก่อนจะกลายเป็นหน้าของผีริลณี ที่ยิ้มอย่างสะใจ
“ริน “
ผีริลณีในร่างชมพูมองเตชิน แล้วยิ้มอย่างสะใจ ชมพูยังไม่อยากตายก้มมองความสูงเบื้องหน้าด้วยความกลัว พยายามหันหน้ามองเตชินให้มาช่วย
“ช่วย...ริน...ไปช่วยรินแล้ว”
ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมาในความทรงจำของชมพูอีกครั้ง
ชมพูเห็นภาพตัวเองกำลังพยายามวิ่งตามรถยนต์ของเอกราชที่แล่นห่างออกไปอย่างรวดเร็ว ในมือที่กำจี้นางรำเอาไว้ มีเลือดออกเต็มไปหมด พลางพยายามตะโกน
“กลับมาก่อนอย่าเพิ่งไป ริน ฉันขอโทษ ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกนั้นทำร้ายเธอ ริน ริน”
รถเอกราชค่อยๆ แล่นห่างออกไป ชมพูตัดสินใจวิ่งออกจากสนามไปบนถนน พร้อมตะโกนเรียกชื่อริลณี
“ริน”
แต่ยังเรียกไม่ทันจบ ก็ถูกรถของเตชินวิ่งเข้ามาชนอย่างแรงโดยไม่ทันได้รู้ตัว เตชินรีบวิ่งลงมาจากรถ เข้าไปประคองชมพู พร้อมทั้งพยายามเขย่าเรียก
ชมพูที่สติใกล้จะหมดเต็มที มองเตชินด้วยสายตาพร่าเลือน พยายามพูดอะไรบางอย่าง
“ช่..ว...ย....ริ.....น”
น้ำเสียงนั้นแผ่วเบามากจนแทบไม่ได้ยิน ก่อนที่ร่างนั้นจะหมดสติไป
นึกเรื่องนี้แล้ว ชมพูน้ำตาไหลริน พลางหันมาพูดกับเตชินว่า
“ช่วย...ริน...ด้วย”
เตชินชะงัก พร้อมกับรีบวิ่งเข้ามา “ชมพู”
ใบหน้าของชมพู กลับกลายเป็นหน้าผีริลณีที่โกรธจัด เมื่อเห็นเขากำลังจะเข้ามาช่วย
“หยุดนะ รักนังนี่งั้นเหรอ”
เตชินมองอย่างงุนงง “ริน”
“คุณจะรักใครไม่ได้เตชิน คุณต้องรักรินคนเดียว รักรินคนเดียว คุณสัญญาว่าจะรักรินคนเดียว”
เตชินทั้งอึ้ง ทั้งสับสน “ริน ผมรักคุณ ผมรักคุณคนเดียว”
ผีริลณียิ้มร้าย “ดี งั้นนังนี่ ตาย”
ร่างชมพูกระตุกเฮือก เตรียมพุ่งลงหน้าผา เตชินมองเห็นหน้าของชมพูทับซ้อนกับหน้าของผีริลณีสลับกันไปมาอย่างรวดเร็ว
“อย่า อย่านะชมพู”
ใบหน้าของชมพูกลายเป็นผีริลณีอีกครั้ง
“ลาก่อน นังเพื่อนรัก”
ขาดคำ ร่างของชมพูก็กระโดดพุ่งลงไปจากหน้าผา แต่สายตาเตชินกลับเห็นเป็นร่างของผีริลณี ที่กำลังพุ่งลงไป
“ริน อย่า”
เตชินกระโดดพุ่งไปจะรวบตัวริลณีในร่างของชมพูกลางอากาศ แต่กลายเป็นร่างของเขากับชมพูกลับร่วงลงไปด้านล่างด้วยกันทั้งคู่
ผีริลณีวูบออกมาจากร่างชมพูมายืนมองที่ขอบหน้าผา เมื่อเห็นเตชินกระโดดตกลงไปเบื้องล่างพร้อมร่างชมพู ก็ช็อกสุดขีด แหกปากตะโกนก้อง
“ไม่นะ เตชิน ไม่.....”
ร่างของชมพูและเตชิน ค่อยๆ ร่วงลงกระแทกผิวน้ำ ก่อนจะจมหายไป ผีริลณีที่ยืนมองอยู่ ถึงกับทรุดลงกับพื้น พร้อมกับกรีดร้องโหยหวน
“ไม่ มันต้องไม่เป็นแบบนี้ คุณทำแบบนี้ทำไม เตชิน รินอยู่นี่ รินอยู่ตรงนี้ เตชิน ไม่”
ผีริลณีร้องไห้คร่ำครวญอยู่บนหน้าผาอย่างเสียสติ เสียงสะอื้นไห้ก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ทอดสายตามองผืนน้ำที่กลืนร่างของเตชินคนที่เธอแสนรักไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวสุดจะประมาณ
ภาพหน้าศพของเตชินและชมพูถูกนำมาวางคู่กัน เช่นเดียวกับศพของทั้งคู่ ก็ถูกวางทำพิธีคู่กัน
จิตรานั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่หน้าศพ ด้วยความเสียใจ และจ็บปวดอย่างเหลือแสน จนณรงค์ต้องคอยปลอบ“อย่าร้องไห้ไปเลยคุณ ลูกพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว”
จิตราหันไปกอดสามี แล้วร้องไห้โฮ
“เราพยายามมาตลอดให้เค้าสองคนได้อยู่ด้วย ไม่นึกเลยว่าเค้าจะได้ไปอยู่ตอนที่ตายแบบนี้ มันเป็นความผิดของฉันเอง ถ้าฉันไม่กีดกันลูกตั้งแต่แรก เรื่องก็ไม่เป็นแบบนี้ แม่ขอโทษ คนที่ตายควรจะเป็นแม่ไม่ใช่ลูก เตชิน”
จิตราร้องไห้คร่ำครวญจนแทบจะเสียสติ ผู้คนในงานต่างมองด้วยความสงสารแกมสมเพช
พิสมัยที่ยืนอยู่ไม่ไกล ก็ร้องไห้ครำครวญด้วยความเสียใจไม่ต่างกัน พิชัยต้องกอดปลอบไว้
“ทุกอย่างเป็นเรื่องของเวรกรรม เราก็ไม่รู้ว่า ชมพู เคยก่อเวรสร้างกรรมกับใครไว้ เค้าถึงได้จากเราไปเร็วแบบนี้”
“ลูกไปสบายแล้ว อย่างน้อย เค้าก็ได้ไปอยู่กับคนที่เค้ารัก”
จังหวะนั้นผีริลณีก็ปรากฏร่างขึ้น ตะโกนใส่หน้าพิสมัยด้วยความโมโห จนแทบคลั่ง
“ไม่ มันจะไม่มีวันได้อยู่กับเตชิน เพราะเตชินเค้ารักฉัน เค้าจะต้องกลับมาหาฉัน เราจะต้องได้อยู่ด้วยกัน แม้ความตายก็จะพรากเราจากกันไม่ได้”
พูดพลางเดินเข้าไปยืนมองที่หน้าโลงศพเตชิน
“ใช่มั้ยคะเตชิน คุณจะกลับไปอยู่ที่บ้านกับฉัน”
พลันเสียงของพระอาจารย์คงก็ดังเข้ามา
“บาปกรรมที่โยมทำไว้ จะทำให้โยมไม่มีวันได้เจอกับโยมเตชินอีก จนกว่าโยมจะชดใช้กรรมที่ทำไว้จนหมดสิ้น”
“แล้วเมื่อไหร่เวรกรรมจะหมดสิ้น”
เสียงผู้ทรงศีลหายไป โดยไม่ตอบคำถาม ผีริลณีโวยวายด้วยความโมโห
“ฉันไม่เชื่อหรอก ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ฉันก็จะรอ”
พูดจบก็เดินเข้าไปที่รูปหน้าศพเตชิน มองรูปนั้นด้วยความรักสุดหัวใจ
“รินจะไปรอคุณที่บ้านของเรานะคะ”
ผีริลณีนั่งรอเตชินที่ระเบียงบ้านทรงไทยอันทรุดโทรม ด้วยความหวังว่าวิญญาณเขาจะกลับมาอยู่ด้วย แต่รอแล้วรอเล่าเตชินก็ไม่กลับมาอยู่ด้วยกันสักที
เนิ่นนานผ่านไป ยามนี้ริลณีในชุดรำ กำลังร่ายรำด้วยความร้อนใจ ท่ารำเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากการรอคอย ที่เตชินยังไม่กลับมาสักที ผีนางรำร้องไห้คร่ำครวญปิ่มว่าจะขาดใจ
“เตชิน คุณอยู่ที่ไหน ทำไมยังไม่กลับมา รินรอคุณอยู่”
ริณณีเริ่มรำต่อไปไม่ได้แล้ว แต่กลับยิ่งร้องไห้คร่ำครวญสิ้นหวังอย่างที่สุด
สภาพเรือนไทยอันสวยงามกลายเป็นบ้านร้างทรุดโทรมน่าสยดสยอง และผีริลณีร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่นั่น
“ทำไมคุณถึงไม่กลับมาหาริน ไหนคุณสัญญาว่าจะไม่ทิ้งริน ไหนคุณสัญญาว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป รินคิดถึงคุณเหลือเกิน รินใจจะขาดแล้ว เตชิน”
วิญญาณที่รอคอยคนรักกรีดร้องลั่น ก่อนจะตะโกนลั่นสุดเสียงทั้งน้ำตาเหมือนเสียสติ
“ทำไมคุณไม่กลับมา”
สิ้นเสียงตะโกน ร่างนั้นก็ทิ้งตัวลงกับพื้นอย่างหมดอาลัย และเจ็บปวดเหลือแสน เสียงร้องไห้ยังคงระงมดังไปทั่ว
หลวงพ่อพระอาจารย์คงที่นั่งสมาธิอยู่ เห็นภาพความเสียใจของริลณี ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“ผลกรรมที่โยมก่อไว้ มันมากมายเกินกว่าที่จะทำให้โยมได้อยู่กับคนรัก ถึงแม้ว่าโยมจะอยู่ในภพเดียวกันแล้ว แต่ผลกรรมต่างกัน กรรมที่เกิดจากความแค้น กรรมที่เกิดจากความอาฆาต กรรมที่โยมสร้างมันขึ้นมา โยมต้องชดใช้กรรมที่โยมก่อไว้”
ผีริลณีกรีดร้องลั่น “ทำไมคุณไม่กลับมา”
เรือนไทยกลายเป็นบ้านร้างที่มีแต่เสียงหวีดร้อง สลับกับเสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญหวนไห้ จากผีริลณีที่ยังคงรอคอยชายคนรักอยู่ที่นั่น และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไร เธอก็จะยังคงรออยู่ที่เดิมด้วยความเจ็บปวด ไม่สามารถไปที่ไหนได้
เพราะบาปกรรมหนักหนาสาหัสที่ตนได้ก่อไว้ ทำให้เธอจะไม่มีวันให้เธอได้พบกับคนที่รักไปตลอดกาล
จบบริบรูณ์