xs
xsm
sm
md
lg

นางชฎา ตอนที่ 9

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


นางชฎา ตอนที่ 9

ในเวลานั้น ประตูห้องชมรมนาฏศิลป์ค่อยๆ เปิดแง้มออก โดยเอทีเอ็ม ที่ค่อยๆ โผล่หน้าเข้ามาในนั้นอย่างกล้าๆกลัวๆ ครั้นมองเข้าไปในห้องพบว่าไม่มีใครอยู่ก็แปลกใจ รีบเปิดประตูเข้าไปดูในห้องท่าทีงงๆ

“หายไปไหนกันหมด”
ชมพูค่อยๆ ย่องเข้ามาด้านหลังเอทีเอ็มเงียบๆ แล้วแกล้งตะโกนเสียงดังลั่น
“ทำอะไรน่ะ”
เอทีเอ็มสะดุ้ง ตกใจ หันมาเห็นชมพูก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ แถมไม่ทันระวังหงายหลังหัวโขกขอบประตูเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย”
ชมพูรีบเข้าไปดูด้วยความตกใจ “เป็นอะไรมากรึเปล่าเอทีเอ็ม”
“เธอเล่นมาเงียบๆ แบบนี้ ก็ตกใจน่ะสิ”
“ก็นายอยากมาทำลับๆ ล่อๆ ทำไมล่ะ หรือว่าจะแอบมาหาสาว เสียใจด้วยนะวันนี้สอนเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง พวกสาวๆ กลับไปกันหมดแล้ว”
เอทีเอ็มจับหัวป้อยๆ ยังเจ็บไม่หาย “ใครว่าจะมาหาสาวล่ะ มาหาเธอต่างหาก”
ชมพู ชี้หน้าตัวเองอย่างแปลกใจ “มาหาเรา”
“ก็เห็นเธอเคยบ่นว่าชีวิตตอนนี้ว่างมาก ก็เลยอยากจะชวนไปทำอะไรสนุกๆ”
แววตาชมพูเป็นประกาย ถามด้วยความสนใจ “อะไรเหรอ”

ไม่นานต่อมา เอทีเอ็มและเด็กๆ ในชุดแฟนซีน่ารักๆ เปิดประตูเข้ามาในห้องทำงาน แล้วพากันส่งเสียง “แฮ่” ใส่เฟื่องฟ้าที่กำลังนั่งคิดบัญชีคร่ำเคร่งอยู่ในห้อง เฟื่องฟ้าตกใจ หน้าเหวอ มองทุกคนงงๆ
“ทำอะไร แล้วแต่งตัวอะไรกันเนี่ย”
เอทีเอ็ม และ เด็กๆ ไม่ตอบ แต่กลับร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ขึ้นพร้อมกัน โดยมีตัวมาสคอสการ์ตูนน่ารักๆ ถือขนมเค้กพร้อมจุดเทียนมาวางไว้ตรงหน้าเฟื่องฟ้า และช่วยร้องเพลงวันเกิดด้วย
เฟื่องฟ้าตื้นตันมองทุกคนด้วยสายตาปลื้มปริ่ม พอทุกคนร้องเพลงจบเธอถึงกับน้ำตาคลอ
“ขอบคุณมากนะทุกคน แต่ทุกคนรู้ใช่มั้ยว่าวันนี้ไม่ใช่วันเกิดพี่”
เอทีเอ็ม ตัวแมสคอท และ เด็กๆ ถึงกับเหวอ ส่งเสียงร้อง “อ้าว” ทั้งแถบ
“แต่เป็นวันที่ครูเจอพี่ถูกทิ้งไว้ที่กอเฟื่องฟ้าหน้าบ้าน เลยเอาพี่มาเลี้ยงที่นี่ ซึ่งพี่ก็ถือว่าเป็นวันที่พี่เกิดใหม่อีกครั้ง เด็กกำพร้าอย่างเรา น้อยคนนักที่จะรู้วันเกิดตัวเองจริงๆ เพราะฉะนั้นพี่ก็ขอให้ทุกคนถือว่า วันนี้คือวันเกิดของพวกเราทุกคน”
เฟื่องฟ้าพูดเสร็จก็เป่าเทียนดับจนหมด เด็กๆ วิ่งกรูเข้ามาแย่งกินเค้กกันใหญ่ เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม และ คนที่ใส่แมสคอทมองหน้ากันหัวเราะขำ ที่เห็นเด็กทุกคนมีความสุข ในบรรยากาศครึกครื้นและอบอุ่น

ถัดมา แมสคอสถูกถอดออกวางไว้ ไม่ไกลกันนั้นเห็นชมพูกำลังนั่งเช็ดเหงื่อ ท่าทางร้อน แต่ยิ้มมีความสุข โดยมีเอทีเอ็มถือพัดคอยพัดให้ใกล้ๆ เฟื่องฟ้ามองชมพูขำๆ
“ขอบใจมากนะชมพู อีตาเอทีเอ็มชวนเธอมาลำบากแท้ๆ”
เฟื่องฟ้าหันไปมองหน้าเอทีเอ็มที่อมยิ้ม ขำๆ
“สนุกดีออก” ชมพูยิ้มสดใส ท่าทางมีความสุข มองเด็กๆ ที่ถือเค้กกินอย่าง เอร็ด แอร่ม “นี่ถ้ารู้ว่าเด็กๆ ชอบเค้กกันขนาดนี้ จะซื้อให้ก้อนใหญ่กว่านี้อีก”
“แค่นี้แหละ พวกเค้าต้องเรียนรู้ความสุขที่ พอเพียง เด็กกำร้าอย่างพวกเรา ยิ่งเรียกร้อง ยิ่งต้องการมาก ก็ยิ่งเจ็บมาก”
เฟื่องฟ้าหมั่นไส้ “โหย ดึงเข้าโหมดเศร้าทำไมเนี่ย คนกำลังแฮปปี้แท้ๆ”
“แต่พวกเธอสองคนเก่งจริงๆนะ ช่วยกันดูแลบ้านหลังนี้ เอาไว้จนได้”
“ก็เพราะมันเป็นบ้านหลังเดียวของพวกเราน่ะสิ” เอทีเอ็มหันมายิ้มเท่ให้กับชมพู
“ถ้าว่างๆ ฉันจะมาช่วยพวกเธอนะ”
“จริงอ่ะ” เฟื่องฟ้ามองเหล่เอทีเอ็ม “อย่างนี้เอทีเอ็มดีใจแย่”
เอทีเอ็มอาย รีบโวยวายกลบ “ทำไมฉันต้องดีใจด้วย”
“ก็นายห่วงกลัวชมพูจะคิดมากเรื่องงานแต่งงาน ก็เลยพยายามหาอะไรให้ชมพูทำยุ่งๆ จะได้ไม่คิดมากไม่ใช่เหรอ”
เอทีเอ็มไม่ตอบ ได้แต่ก้มหน้าเขินๆ ชมพูมองเอทีเอ็มแล้วยิ้มให้
“ขอบใจมากนะเอทีเอ็ม ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าควรจะเลิกคิดเรื่องไร้สาระสักที เอาเวลามาทำสิ่งดีๆ ดีกว่า”
ชมพูยิ้มให้เอทีเอ็ม เป็นยิ้มที่จริงใจ เจิดจ้าน่ารักเอามากๆ เอทีเอ็มเห็นยิ้มนั้นถึงกับตะลึง ใจเต้นตึกตัก
“วันดีดีแบบนี้ คิดถึงรินเนอะ รินเป็นคนเดียวที่ไม่เคยลืมวันเกิดฉัน แล้วทุกๆ ปีรินก็จะเอาดอกกุหลาบ มาวางที่เตียงให้เป็นของขวัญวันเกิดด้วย” เฟื่องฟ้าว่า
“ถึงรินไม่มาวันนี้ แต่เชื่อเหอะรินไม่เคยลืม”
ชมพูมองนาฬิกา “อุ๊ย เดี๋ยวรถที่บ้านจะมารับแล้ว ฉันคงต้องกลับก่อน”
“ไว้มาบ่อยๆนะ ใครบางคนที่นี่เค้าคอยอยู่ อิอิ”
เฟื่องฟ้าหันไปมองล้อเอทีเอ็ม แต่เอทีเอ็มไม่ขำทำหน้าเหมือนจะเอาเรื่อง เฟื่องฟ้าเลยแก้ว่า
“ฉันหมายถึงพวกเด็กๆ น่ะ”
เอทีเอ็มหันไปทำปากขมุบขมิบเหมือนจะด่า แต่เฟื่องฟ้ายิ้มขำ ชอบใจ ระหว่างนี้สายตาของชมพูมองไปบนตึก ตรงห้องนอนเฟื่องฟ้า เหมือนมีใครบางคนยืนมองมาจากตรงนั้น ชมพูตกใจ รีบสะกิดชี้บอกทุกคน
“มีใครยืนจ้องเราอยู่บนนั้นน่ะ”
พอชมพูหันมาอีกที ไม่มีใครอยู่แล้ว เฟื่องฟ้า เอทีเอ็มก็ไม่เห็น
“อ๋อ นั่นห้องนอนฉัน ปิดล็อคเอาไว้ ไม่มีใครเข้าไปได้หรอก ตาฝาดแล้วละ”
เฟื่องฟ้าเอทีเอ็ม ไม่ได้คิดอะไร ชมพูเองก็คิดว่าคงตาฝาด รีบโบกมือบ๊าย บาย เดินกลับจากบ้านออกไปพร้อมเอทีเอ็มที่เดินไปส่ง โดยไม่เห็นว่าใครคนนั้นกลับมายืนจ้องทั้งสามอยู่ที่เดิม

เมื่อเฟื่องฟ้าไขกุญแจเข้ามาในห้องนอน จะเดินไปหยิบของ แต่ต้องชะงัก เมื่อสายตาเหลือบไปเห็น ดอกกุหลาบสีแดงวางไว้บนเตียง เฟื่องฟ้าเดินมาหยิบกุหลาบดูด้วยความแปลกใจ
“ห้องก็ล็อคนี่ ใครแอบเข้ามาได้ยังไง”
ขณะที่เฟื่องฟ้ากำลังงง ร่างของริลณีค่อยๆ เดินเข้ามาด้านหลัง แล้วกระซิบที่ข้างหูเพื่อนรัก
“สุขสันต์วันเกิดนะเฟื่องฟ้า”
เฟื่องฟ้ารู้สึกหนาววูบที่ด้านหลังขึ้นมาอย่างฉับพลัน หันไปมองโดยเร็วแต่ไม่เห็นมีใคร เฟื่องฟ้ารู้สึกว่าอยู่ๆห้องนั้นก็วังเวงน่ากลัว รีบทิ้งดอกกุหลาบ เดินไปหยิบของแล้ววิ่งออกไปจากห้องทันที
ริลณีมองตามเฟื่องฟ้า ก่อนจะก้มลงหยิบกุหลาบมาถือ มองกุหลาบนั้นด้วยสายตาเศร้า

สองคนเดินมาด้วยกัน เอทีเอ็มสังเกตเห็นชมพูหน้าเครียดเหมือนครุ่นคิดอะไร
“คิดอะไรเหรอ หน้าเครียดๆ”
“กำลังพยายามคิดถึงเรื่องริลณี แต่ไม่รู้ทำไมคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก แถมพอพยายามคิดมากๆ ก็จะปวดหัวจี๊ดขึ้นมาเลย”
“นั่นอาจจะเป็นเพราะ ความจำกับจิตใต้สำนึกของเธอมันสวนทางกัน สมองอยากจำ แต่ จิตใต้สำนึกอยากลืม มันก็เลยทำให้ปวดหัวทุกครั้งที่คิด”
ชมพูมองเอทีเอ็มทึ่งๆ “นี่นายมีความรู้เรื่องสมองด้วยเหรอ”
“ศาสตราจารย์ นายแพทย์ กูเกิล ดอท คอมเป็นคนบอก”
สองคนมองหน้ากันขำๆ แวบหนึ่งเอทีเอ็มมองหน้าชมพูแล้วนึกสงสัย
“จริงๆ เธอกับรินสนิทกันมากๆ เลยนะ ไม่น่าจะมีอะไรที่ทำให้เธอไม่อยากจะจำริน พวกเธอสองคนคงไม่ได้โกรธอะไรกันใช่มั้ย”
ชมพูยังไม่ทันตอบ รถตู้บ้านชมพูแล่นเข้ามาจอด ชมพูครุ่นคิด รีบหันไปมองรถตู้
“รถมาแล้ว ไว้คุยกันใหม่นะ”
ชมพูโบกมือบ๊ายบาย แล้วขึ้นรถตู้ไป

เอทีเอ็มมองตามชมพู ยิ้มอย่างมีความสุข

ประวิทย์อยู่ในครัวของร้าน พร้อมลูกมือ 1 คน กำลังช่วยกันหั่นเตรียมเครื่องปรุง สำหรับใช้ประกอบอาหารในการเปิดร้านช่วงเย็น ขณะที่ทั้งสองคนช่วยกันทำงาน เสียงทีวีที่เปิดในห้องครัวดังคลอไปตลอด

ภาพในจอทีวีเป็นรายการสัมภาษณ์บุคคลในข่าว โดยเอา เจี๊ยบ สาวออฟฟิศผู้เคราะห์ร้ายมาให้พิธีกรสัมภาษณ์เจาะลึกรายละเอียด
เจี๊ยบนั่งหันหลัง ใส่หมวก ใส่วิก สวมแว่นตาดำอำพรางจัดเต็ม เล่าเรื่องชวนสยองที่เจอคืนนั้น
“ตอนนั้นคนร้ายกำลังจะเข้ามาข่มขืนหนู หนูกลัวมากตะโกนร้องขอให้คนมาช่วย แล้วจู่ คนร้ายก็นิ่ง เหมือนเค้าเห็นอะไรบางอย่าง หนูก็เลยหันไปมองด้วย หนูเห็นผู้หญิงผมยาว หน้าสวยเหมือนนางในวรรณคดี”
ประวิทย์หั่นผักอยู่สะดุดหู เงยหน้าขึ้นมองทีวี รู้สึกแปลกๆ มือยังคงหั่นผักอยู่ แต่ช้าลง
“เธอใส่ชุดสีชมพูทั้งเสื้อทั้งกระโปรงค่ะ” เจี๊ยบเล่า
ประวิทย์นึกตาม เห็นภาพริลณีก่อนตายในชุดที่เจี๊ยบกำลังบรรยาย แวบเข้ามา ประวิทย์ตกใจ เผลอทำมีดเฉือนนิ้วตัวเอง
“โอ๊ย”
ลูกน้อง 1 เห็นเลือดที่มือประวิทย์ก็ตกใจ “เป็นอะไรรึเปล่าพี่”
ประวิทย์ไม่ได้สนใจแผลสักนิด รีบเดินไปยืนฟังที่หน้าทีวี หน้าตาตื่นๆ
“ผู้หญิงคนนั้นผลักคนร้ายกระเด็นไปเสียบกิ่งไม้ตาย หนูว่าผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นผีแน่ๆ ผีผู้หญิงคนนั้นต้องมาช่วยหนูแน่ๆ” เจี๊ยบเล่า
ประวิทย์ได้ฟังแล้วช็อก รีบถอดเสื้อกันเปื้อน ทิ้งทุกอย่าง คว้าผ้าขนหนูสะอาดมาพันนิ้ว แล้ววิ่งออกไปทันที ลูกน้องมองตามอย่างแปลกใจ

ผ่านไปสักระยะ รถคันหรูของเอกราชแล่นเข้ามาจอดในที่จอดรถประจำของเขา ประวิทย์ยืนรออยู่สักครู่แล้ว ท่าทางใจร้อน กรากเข้าไปรอเอกราชที่กำลังเปิดประตูรถลงมา เอกราชมองประวิทย์ด้วยความแปลกใจ
“ทำไมไม่เปิดโทรศัพท์”
“พอดีกำลังสนุกอยู่กับสาวๆ ก็เลยไม่อยากให้มีใครมายุ่ง” เอกราชมองหน้าประวิทย์งงๆ “แล้วนายมีอะไรดูหน้าเครียดเชียว”
“นายได้ยินข่าว โจรข่มขืนผู้หญิงที่ถูกฆ่าตายรึเปล่า”
“แล้วไง ใครจะเป็นใครจะตาย ก็ไม่เห็นเกี่ยวกับฉันเลยนี่” เอกราชว่า
“แต่เมื่อกี้ ฉันได้ยินข่าวผู้หญิงคนนั้นบรรยายถึงผีที่ฆ่าคนร้าย ฉันว่าผีนั่นเหมือนริลณี...”
ประวิทย์ยังเล่าไม่ทันจบ ก็มีรถมาจอดข้างรถเอกราช สาวสวยแต่งตัวเปิดเผยท่าทียั่วยวนลงมาจากรถ 2 คน ทั้งสองรีบเข้ามาคลอเคลียขนาบเอกราชซ้ายขวา เอกราชรีบตัดบทประวิทย์ที่พยายามจะเล่า
“ถ้าไม่มีอะไร ขอเวลาจัดการธุระสำคัญก่อนนะเว้ย ไม่อยากให้น้องสองคนเค้ารอนาน”
เอกราชเดินโอบสองสาว หอมแก้มซ้าย ขวา เดินคลอเคลียเข้าคอนโดไป ประวิทย์รีบคว้าแขนไว้
“แต่เรื่องนี้สำคัญมากนะเว้ย”
เอกราชฉุนกึก มองมือประวิทย์ที่คว้าเอาไว้อย่างไม่พอใจ สะบัดออกอย่างแรง
“นี่ชีวิตของฉัน ฉันจะเป็นคนตัดสินใจเอง ว่าอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญ”
เอกราชพูดเสร็จก็เดินควงสองสาวกระแทกผ่านหน้าประวิทย์ไปโดยไม่แยแส
ประวิทย์มองตามเอกราช ด้วยความรู้สึกเจ็บปวด และเสียใจ ที่เขาเห็นผู้หญิงดีกว่าตัวเองวันยังค่ำ

ในบรรยายกาศอึกทึกคึกคักของผับค่ำคืนนี้ เสียงเพลงจังหวะเร้าใจดังกระหึ่ม แสงไฟหลากสีส่องวิบวับ นั่นไม่ได้ทำให้ประวิทย์ครึกครื้น เกย์อีแอบเอาแต่นั่งดื่มเหล้า ดื่มเอาๆ ไม่ยั้ง จนตุลเทพที่นั่งอยู่ด้วยความแปลกใจ
สักครู่เชิงชายสภาพหน้าตายังบวม แต่ทำแผลแล้ว เดินเข้ามาสมทบที่โต๊ะ
“ไปทำไรมาวะ ทำไมหน้าถึงได้เป็นแบบนั้น”
เชิงชายทำหน้าเซ็ง “ก็เรื่องเดิม”
“เรื่องเงินอีกล่ะสิ คราวที่แล้วที่นายยืมฉันไปหลายหมื่นก็ยังไม่ได้คืนนะเว้ย”
เชิงชายยิ่งเซ็ง “จะมาทวงให้เครียดอีกทำไมวะ”
“เออๆๆๆ ยังไม่ทวงก็ได้ งั้นนายช่วยดูไอ้วิทย์มันหน่อยเลย มาถึงก็ซัดเอาๆ ถ้ามันมีแฟนจะนึกว่ามันอกหัก แต่เผอิญมันไม่มี เลยไม่รู้ว่าเป็นไร”
เชิงชายมองปราดเดียว “คงมีปัญหากับเอกราชอีกล่ะสิ ไอ้วิทย์เมาเหล้า มันก็มีเหตุผลเดียว”
“นายนี่มันเป็นเพื่อนที่ดีของเอกราชจริงจริ๊ง ไม่รู้จะแคร์อะไรมันนักหนา”
ตุลเทพพูดเสร็จก็จะเดินออกไป เชิงชายสงสัย
“แล้วนายจะไปไหน”
ตุลเทพชี้ไปที่ผู้หญิง ท่าทางมีอายุแต่สวยมากคนหนึ่ง ที่กำลังส่งยิ้มให้เขา “พี่สาวคนสวย ท่าทางรวย คนนั้นเหล่ฉันมานานแล้ว ว่าจะไปทำความรู้จักเค้าสักหน่อย”
“หน้าตาอย่างนี้เหมือนหนีผัวมาเที่ยวนะเว้ย”
“ก็ไม่มีปัญหานี่”
เชิงชายเตือน “เฮ้ย...ไม่รักษาศีลแบบนี้ ระวังของที่ทำมาจะเข้าตัวนะเว้ย”
“หัวโบราณเหมือนกันนะเนี่ย ถ้านายมีแม่ยกรวยแบบฉัน นายไม่มีปัญหาเรื่องเงินแน่”
เชิงชายตาโต “จริงเหรอวะ”
“อยากให้แนะนำให้รู้จักมั้ย”
เชิงชายพยักหน้า รีบเดินออกไปกับตุลเทพ โดนไม่มีใครสนใจประวิทย์ที่บ่นพึมพำครวญคร่ำอยู่ที่โต๊ะคนเดียว

“เอกราช ทำไมนายถึงทำกับฉันแบบนี้ ทำไม”

ด้านเตชินเอื้อมมือข้างซ้ายมาจับมือริลณีที่นั่งอยู่ข้างๆ กุมไว้ ขณะเขากำลังขับรถแล่นมาตามถนน ริลณีนั่งหน้าตากังวลอยู่ข้างๆ

“ตื่นเต้นเหรอครับ มือเย็นเชียว”
“ค่ะ ไม่รู้ว่าคุณพ่อคุณแม่คุณจะว่ายังไงบ้าง”
“ท่านก็อาจจะว่าพวกเราสักหน่อย ที่ทำอะไรไม่ปรึกษา แต่สุดท้ายพวกท่านก็จะเข้าใจเรา และ จัดงานแต่งงานให้เรา”
รถเตชินขับเข้ามาจอดที่ประตูรั้วหน้าบ้านแล้ว เตชินกดสัญญาณประตูอัติโนมัติให้ประตูเปิดออก
ขณะที่ประตูเปิดนี้ เห็นเจ้าที่ประจำบ้านเตชิน เป็นชายไทยร่างใหญ่ ในชุดทหารโบราณ ยืนถือดาบดูน่ากลัวและน่าเกรงขาม จ้องเขม็งมาทางริลณีชี้หน้า
“เจ้าไม่มีสิทธิเข้ามาในบ้านหลังนี้”
เตชินไม่รู้เรื่อง เห็นท่าทางริลณีตกใจกลัวมาก บีบมือเขาแน่น ก็แปลกใจ
“รินกลัวขนาดนี้เลยเหรอครับ”
ริลณีเอาแต่มองไปทางเจ้าที่ ที่ยืนจ้องเขม็งเอาเรื่องอยู่อย่างนั้น
“ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมจะปกป้องคุณเอง”
เตชินยิ้มขำๆ ปล่อยมือริลณี จะขับรถเข้าไปในบ้าน แต่ริลณีรีบเอามือจับห้ามไว้
“อย่า อย่าเพิ่งเข้าไปค่ะ”
เตชินแปลกใจ “ทำไมละครับ คุณพ่อ คุณแม่รอพวกเราอยู่นะครับ”
“คุณอนุญาตให้รินเข้าไปในบ้านกับคุณรึเล่าคะ”
“แน่นอนสิครับ”
“คุณพูดออกมาดังๆ ได้มั้ยคะ ว่าคุณอนุญาตให้รินเข้าไปในบ้านคุณ” เตชินงงใหญ่ “นะคะ เตชิน บอกรินหน่อยนะคะ”
“ครับ ผมอนุญาตให้รินเข้าไปในบ้านผม”
ริลณียิ้ม พลางหันไปมองเจ้าที่ ที่ค่อยๆ เขยิบเปิดทางให้แต่โดยดี ริลณีถอนหายใจโล่งอก หันไปมองเตชินพร้อมกับยิ้มให้ เตชินแปลกใจนิดๆ แต่ไม่ติดใจอะไร ขับรถเข้าไปในบ้านทันที

ถัดจากนั้น เตชิน และ ริลณี พากันนั่งรออยู่ในห้องรับแขก ทั้งสองมองหน้ากันให้กำลังใจกันและกันตลอดเวลา สักพักจิตราและณรงค์จึงเดินเข้ามา เตชินรีบสะกิดริลณีให้หันไปมอง จิตรามองริลณียิ้มอย่างผู้ชนะ จิตราและณรงค์เดินไปนั่งข้างกันอย่างงามสง่า
เตชินและริลณียกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม สองคนรับไหว้
“สวัสดีครับ คุณพ่อ คุณแม่ นี่ริลณีแฟนผมครับ” เตชินแนะนำอย่างภาคภูมิ
จิตราพูดเสียงเย็นถึงกระดูกดำ ในรอยยิ้มที่ระบายเต็มหน้า “ในที่สุดเราก็ได้เจอกันสักทีนะ ริลณี”
“ทำไมพ่อถึงรู้สึกคุ้นๆ หน้าจัง เหมือนเคยเจอกันที่ไหน”
“หนูคนนี้เค้าเคยมารำอวยพรให้คุณ ตอนที่เราจัดงานเมื่อสองปีที่แล้วไงคะ”
ณรงค์ชะงักไปนิด แต่ก็ยิ้ม “เป็นนางรำงั้นเหรอ คงไม่ได้คบกันตั้งแต่ตอนนั้นใช่มั้ย”
“เราคบกันตั้งแต่ตอนนั้นแหละครับ คุณแม่ก็ทราบดี”
ณรงค์หันมองหน้าจิตรา เป็นคำถามว่ารู้ด้วยเหรอ จิตรายิ้มเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
“เราอย่าพูดเรื่องอดีตกันเลยมันผ่านมาแล้ว ที่มาวันนี้เพราะจะคุยเรื่องอนาคตมากกว่า พวกเธอสองคนวางแผนไว้ว่ายังไง”
เตชินเอ่ยขึ้น “เราสองคนจะแต่งงานกันครับ”
“แล้วเธอล่ะริลณี” คุณหญิงมองจ้อง
ริลณีพูดอย่างอ่อนน้อม “ดิฉันจะอยู่กับคุณเตชิน ไม่มีอะไรที่จะพรากเราสองคนไปได้ค่ะ”
จิตราหันไปทำเป็นยิ้มกับณรงค์ ก่อนจะหันไปยิ้มให้ริลณี
“หนูเป็นคนหนักแน่น และ มั่นใจในความคิดของตัวเองดีมากนะ”
“ผมถึงรักรินมากที่สุด แล้วผมก็อยากให้คุณพ่อคุณแม่รักรินอย่างที่ผมรักด้วย”
“ก็เพราะอยากให้เป็นอย่างนั้นไงล่ะ ถึงได้เรียกสองคนมาคุยวันนี้”
“งั้นก็แสดงว่า คุณพ่อคุณแม่ไม่โกรธพวกเราแล้ว”
“ก็แม่แกบอกแล้วไง ว่าวันนี้เราจะพูดเรื่องอนาคตเท่านั้น” ณรงค์หันไปทางจิตรา “ไหนว่าคุณมีของจะรับขวัญว่าที่ลูกสะใภ้ไม่ใช่เหรอ”
เตชินมองหน้าแม่ไม่อยากจะเชื่อ พลางหันมามองริลณีด้วยความตื่นเต้น
“มาด้วยกันสิ” จิตราลุกขึ้นพลางบอกลูกชาย “แม่ขอยืมตัวริลณีสักครู่ เราสองคนคงต้องมีอะไรคุยกันตามประสาผู้หญิง”
จิตราลุกขึ้น มองริลณีให้ตามมา เตชินสะกิดให้คนรัก ริลณีจำต้องลุกตามออกไป
ณรงค์และเตชินมองหน้ากัน เตชินยิ้มให้พ่ออย่างมีความสุขและสมหวัง

ในขณะที่ท่านนายพลณรงค์ยิ้มเหมือนรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนี้

เครื่องเพชร ชุดใหญ่ ที่ประกอบด้วยสร้อยคอ ต่างหู แหวน และ สร้อยข้อมือสวยงามหรู ดูออกว่าราคาแพงระยับ จิตรามองริลณีที่กำลังยืนจ้องเครื่องเพชรเหล่านั้น แล้วเหยียดยิ้ม

“เครื่องเพชรชุดนี้ เป็นของเก่าสืบทอดกันมาหลายรุ่น เพชรแท้น้ำดีเหมาะกับคนที่คู่ควรจะมาเป็นสะใภ้ของตระกูลนี้ ซึ่งคนที่คู่ควรกับเครื่องเพชรชุดนี้ คือ หนูชมพู ไม่ใช่เธอ ริลณี”
ริลณีชะงัก เงยหน้ามองจิตรากับท่าทีที่ดูเปลี่ยนไป
“ฉันยอมรับนะว่าเธอเก่งที่สามารถจับเตชินเอาไว้ได้ ฉันไม่รู้ว่าเธอใช้มารยาท่าไหน เตชินถึงได้ยอมยกเลิกงานแต่งงาน แล้วกล้าพาเธอเดินเข้ามาเหยียบย่ำหัวใจของพ่อกับแม่ของเขาถึงในบ้านหลังนี้ ฉันบอกไว้เลยนะริลณี ถึงเตชินจะบอกว่ารักเธอมากแต่พวกเราจะไม่มีวันยอมรับผู้หญิงอย่างเธอมาเป็นสะใภ้ตระกูลเราเด็ดขาด”
ริลณีงงมาก “เอ่อ...เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมอยู่ๆ คุณถึง…”
จิตราสวนออกมาว่า “เธอคิดว่าฉันจะยอมเห็นใจในความรักอันยิ่งใหญ่ แล้วยอมให้เธอแต่งงานกับเตชินงั้นเหรอ มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ฉันเป็นแม่ต้องปกป้องลูกจากสิ่งที่เลวร้ายที่สุด”
คุณหญิงจิตราเดินไปหยิบกล่องเครื่องประดับอีกใบมาเปิดออก ในนั้นมีเครื่องประดับสวยงามมากมาย แต่ทุกอันล้วนไม่ใช่เพชรอย่างเมื่อครู่
“เครื่องประดับพวกนี้ ฉันจะยกให้เธอ เธอจะเอาชุดไหน กี่ชุดก็ได้ ยกเว้นชุดเพชรนั้น ที่เธอไม่มีสิทธิ์ แล้วฉันจะแถมเงินให้เธออีกก้อนใหญ่ สำหรับไปตั้งตัว”
ริลณีอึ้ง อ้าปากจะปฎิเสธแต่จิตรารีบพูดขึ้นมาก่อน
“ฉันรู้ว่าคนอย่างเธอเงินซื้อไม่ได้ แต่ริลณี เธอไม่มีวันได้สิ่งที่เธอต้องการหรอก ออกไปจากชีวิตลูกชายฉัน ขณะที่เธอยังมีศักดิ์ศรีเหลืออยู่บ้าง ถือว่าฉันขอร้อง”
ริลณีเดินเข้าไปมองเครื่องเพชรที่อยู่ตรงหน้า จิตรายิ้มคิดว่าเธอเลือกแน่ๆ แต่ริลณีกลับหันมามองหน้าจิตรายิ้มบางๆ
“คุณรู้ใช่มั้ยคะ ถ้าตาย เราไม่สามารถเอา เงินทอง เกียรติยศ หรือ แม้แต่เครื่องเพชรพวกนี้ไปได้สักชิ้น มีอย่างเดียวที่เราเอาไปได้ คือ ความรักที่จะตามติดในในเราตลอดไป”
จิตราโกรธ “ไม่ต้องมาทำพูดดี รีบตัดสินใจ ทำให้เรื่องนี้มันจบ แล้วเราจะได้ไม่ต้องเจอหน้ากันอีก”
“คุณหญิงเห็นนี่คะ ว่าดิชั้นตัดสินใจแล้ว”
จิตราดีใจ “เธอต้องการเครื่องเพชรชุดไหน เงินเท่าไหร่”
“ฉันเลือกเตชิน เค้าคือสิ่งมีค่าเดียวสำหรับฉัน”
จิตราโกรธ โมโหถึงขีดสุด “ฉันขอย้ำอีกครั้ง เลือกซะ ก่อนที่เธอจะไม่มีโอกาส”
“ฉันมีคำตอบเดียวค่ะ”
จิตราคุมแค้น “นี่เธอคิดจะลองดีกับฉันใช่มั้ย”
“ไม่ค่ะ ฉันมาที่นี่ เพราะต้องการแค่ โอกาส ที่จะได้อยู่กับเตชินอย่างสงบเท่านั้น”
“สิ่งที่เธอต้องการ ไม่ได้อยู่ในตัวเลือกของฉัน” คุณหญิงเดินเข้าไปด้วยท่าทีคุกคามจ้องหน้าริลณี ข่มขู่อย่างเลือดเย็น “เลือกซะ เพราะถ้าเธอออกจากห้องนี้ เธอจะไม่เหลืออะไร แม้แต่ชีวิตของเธอเอง”
ริลณียิ้มเยือกเย็น พยายามมองจิตราอย่างมีเมตตา และ อดกลั้น
“เราเลิกก่อเวร สร้างกรรมต่อกันเถอะค่ะ เรื่องที่ผ่านมาทุกอย่างฉันจะอโหสิกรรมให้คุณ”
จิตราโกรธจัด “ฉันไม่ต้องการ ถ้าแกไม่ยอมไปจากชีวิตลูกชายฉัน ฉันจะตามจองเวรจองกรรมจนถึงที่สุด แกรู้นี่ว่าคนอย่างฉันทำอะไรได้บ้าง”
“แต่คุณไม่รู้ ว่าฉันทำอะไรได้บ้าง”
“นี่แกขู่ฉันเหรอ นังริลณี”
“ดิชั้นแค่เตือนค่ะ”
“แล้วเราจะได้เห็นดีกันริลณี”
จิตราเหยียดยิ้มมองจ้องหน้าริลณีอย่างอาฆาตมาดร้ายถึงขีดสุด

ทุกคนล่ำลากันอยู่หน้าตึก เตชิน และ ริลณี ยกมือไหว้ลา จิตรา กับ ณรงค์ที่ยืนยิ้มเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในห้องนั้นก่อนหน้า
“เสียดายนะ น่าจะอยู่ทานข้าวกันก่อน แม่เค้าสั่งคนจัดอาหารไว้เยอะเลย” ณรงค์ว่า
“ผมต้องรีบกลับ เพราะต้องกลับไปศึกษางานที่ต้องไปทำพรุ่งนี้น่ะครับ จุดที่จะซ่อมเป็นจุดใหญ่ ถ้าทำไม่ดีจะเกิดปัญหาตามมาอีกเยอะ”
“ให้ลูกไปทำงานเถอะค่ะคุณ ไว้เราค่อยชวนริลณีมาทานกับเราวันหลังก็ได้นี่คะ”
จิตราทำเป็นลูบแขนริลณีอย่างสนิทสนม ในขณะที่อีกฝ่ายก้มหน้านิ่ง
“ดีครับ คุณพ่อ คุณแม่จะได้รู้จักว่าที่ลูกสะใภ้มากขึ้น”
“แม่รู้จักริลณีดีอยู่แล้ว”
“แต่ผมยังไม่รู้จักนะ คุณอย่าตัดโอกาสผมสิ” ณรงค์สัพยอก
เตชินมองจิตรา กับ ณรงค์ ยิ้มให้บุพการีอย่างมีความสุข แล้วหันไปมองริลณีที่ยังก้มหน้านิ่ง
“ไว้ผมจะส่งรินมาหาคุณพ่อ คุณแม่บ่อยๆ นะครับ”
เตชินและริลณียกมือไหว้อีกครั้ง ก่อนจะเดินไปขึ้นรถขับแล่นออกไป
จิตรา และ ณรงค์มองตาม ใบหน้าที่ยิ้มแย้มเมื่อกี้กลายเป็นขรึมลงทันที
“ตกลงเด็กนั่น ยอมตามข้อเสนอของคุณมั้ย”
“มันฉลาดกว่าที่เราคิด แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันมีวิธีจัดการกับปลิงพวกนั้น ยิ่งมันอยากดูดแรงเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องจัดมันให้หนักค่ะ”
ณรงค์พยักหน้ารับทราบ แล้วเดินเข้าบ้านไป จิตรายิ้มร้ายอย่างมีแผน

เตชินขับรถด้วยใบหน้าเบิกบาน ยิ้มแย้มมีความสุขมากที่สุด
“วันนี้ผมมีความสุขมาก ที่ทำให้ผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดสองคน เข้าใจกันได้”
“รินดีใจค่ะที่คุณมีความสุข”
“ถ้าผมรู้ว่าคุณแม่จะเข้าใจอะไรง่ายๆ แบบนี้ ผมคงพาคุณไปพบท่านนานแล้ว ผมขอโทษนะครับ ที่ต้องปกปิดเรื่องของคุณไว้นานแบบนี้”
ริลณียิ้มเศร้า พึมพำกับตัวเองเบาๆ “บางทีปิดไว้ มันอาจจะดีซะกว่านะคะ เตชิน”
ริลณีมองเตชินที่ยิ้มอย่างมีความสุขด้วยสายตาเศร้าสร้อย

วันถัดมา ภายในห้องพักของโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง เสื้อผ้า กระโปรง เสื้อชั้นใน และเครื่องแต่งตัวผู้หญิงเกลื่อนอยู่บนพื้นห้อง สาวสวยสูงวัยคนที่ยิ้มให้ตุลเทพในผับเมื่อคืน นอนหลับเป็นตายอยู่บนเตียง ในสภาพไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ ไม่ไกลกันนั้น เชิงชายแต่งตัวยังไม่เสร็จดี นั่งริมเตียงดูข้อความข่มขู่ในโทรศัพท์มือถือ หน้าเครียด มือไม้สั่น
“มึงเหลือเวลาอีก 6 วัน” ไม่เท่านั้น ยังมีการแนบรูปไตที่ถูกควักออกมาอย่างสยดสยอง ส่งมาด้วย
เชิงชายกุมหัวเครียด สายตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาฝังเพชร ดูแพงของสาวสวยมีอายุที่ถอดวางเอาไว้บนโต๊ะหัวเตียง เชิงชายจ้องนาฬิกาเรือนนั้นเขม็ง
“ถือว่าเป็นค่าเสียเวลาเมื่อคืนแล้วกันนะเจ๊ ผมลำบากจริงๆ”
เชิงชายตัดสินใจหยิบนาฬิกาใส่กระเป๋า แล้วเดินออกไปจากห้องทันที ทิ้งสาวสูงวัยนอนหลับตาพริ้มไม่รู้เรื่องอะไร ไว้บนเตียงลำพัง

ออกจากโรงแรมเชิงชายตรงดิ่งเข้าโรงรับจำนำทันที กำลังมองลุ้นเจ้าของร้าน ที่ทั้งส่องทั้งเล็งนาฬิกาเรือนนั้น
“ว่าไงเฮีย ได้เท่าไหร่”
เจ้าของร้านเงยหน้าจากนาฬิกา มองหน้าเชิงชาย “อั๊วให้เต็มที่เลย 3,000”
เชิงชายฉุนระคนตกใจ “สามพัน นี่มันนาฬิกาฝังเพชรนะ”
“เพชรปลอมน่ะสิ แล้วนาฬิกาเรือนนี้ก็ของปลอม ไม่ได้ปลอมเกรดเอด้วยนะ เกรดซีซะด้วยซ้ำ จริงๆ สามพันนี่ถือว่าอั๊วให้มากไปแล้ว”
เฮียบอก พลางหยิบเงินยื่นให้เชิงชาย “จะเอาไม่เอา”
เชิงชายคว้าหมับ “เอาสิ” แล้วหน้าเครียดขึ้นทันที “แล้วจะไปหาที่ไหนอีกเนี่ย”
เสียงโทรศัพท์มือถือของเชิงชายดังขึ้น เขารีบหยิบขึ้นกดรับด้วยความแปลกใจ 

“หมอผีเจ๋ง มีอะไรเหรอ”

อ่านต่อหน้า 2

นางชฎา ตอนที่ 9 (ต่อ)

เชิงชายพาตัวเองมาอยู่ในห้องหมอผีเจ๋งเอาตอนกลางคืนแล้ว เขามองไปรอบๆ ห้อง เห็นข้าวของบูชา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดูหลอนๆ และน่ากลัวๆ มากกว่าน่าเลื่อมใส ยิ่งหันไปเห็นหน้าหมอผีเจ๋งที่นั่งจ้องอยู่อีก เขายิ่งสยอง

“หมอมีเรื่องอะไรก็รีบพูดมาเถอะ บอกตรงนะ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่นานๆ มันสยอง”
“ที่นัดมาเนี่ย เพราะอยากคุยเรื่อง ธุรกิจ”
“ที่หมอบอกผมว่ามันจะทำเงินให้เราสองคนมากจนนับไม่หวาดไม่ไหวน่ะเหรอ”
“ใช่ ถ้าเราได้วัตถุดิบสำคัญมา”
เชิงชายงง “วัตถุดิบอะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม”
“ฉันต้องการผีตัวที่นายเจอตัวนั้น”
เชิงชายคิดตาม “ผีที่เจอตัวนั้น” พอคิดออกว่าเป็นริลณีถึงกับสะดุ้งโหยง ปฏิเสธลั่น “เย้ย จะบ้าเหรอ ผมไม่เอาด้วยหรอก ผมไม่อยากยุ่งกับนังผีบ้านั่น”
“นายจะกลัวมันทำไม ในเมื่อผีนั่นทำอะไรนายไม่ได้สักหน่อย แล้วนายคงไม่รู้ว่าผีตัวนึงทำเงินให้เราได้มากขนาดไหน” หมอผีจอมอาคมจ้องหน้าเชิงชาย “นายไม่รู้จักเครื่องรางผีมั้ย”
เชิงชายส่ายหน้า “ไม่รู้จักอ่ะ”
“เครื่องรางผี คือเครื่องรางที่เราปลุกเสก แล้วจับผีตายโหงมาอยู่ในเครื่องรางนั้น คอยรับใช้ ให้ทำอะไรอย่างที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเรียกทรัพย์ อำนาจ เสน่ห์ หรือ แม้แต่ผู้หญิงผีพวกนั้นจะทำให้นายสมปรารถนา โดยเฉพาะผีที่มีพลังอำนาจอย่างนังผีนั่น ถ้านายขอให้มันเอามาให้สิบ มันจะจัดให้นายเป็นร้อยเป็นพันยิ่งกว่าที่นายต้องการอีก”
เชิงชายได้ฟังอาจารย์เจ๋งพูดเกิดความโลภ
“อาจารย์พูดจริงเหรอ ถ้ามันดีขนาดนั้น ทำไมต้องมาบอกผมด้วย”
“สารภาพตามตรง ฉันตามจับนังผีนั่นไม่ได้ วัตถุเชื่อมโยงกับผีมันไม่มีแล้ว ฉันก็เลยอยากขอวัตถุเชื่อมโยงกับผีนั่นจากนายอีก”
“ผมจะไปมีของอย่างนั้นได้ยังไง”
“เอ้า ก็ตอนแรกนายยังเอาดินที่หลุมศพนังนั่นมาได้”
เชิงชายโวย “ก็ตอนนั้นผมโดนหลอก ไม่ได้ไปเอามาเองซะทีไหน”
“แล้วมีอีกมั้ยล่ะ”
“โหย จารย์ ใครจะเก็บของอัปมงคลพรรค์นั้นไว้”
“แหม๊...งั้นก็น่าเสียดาย ไม่มีสิ่งเชื่อมโยงก็จับผีนั่นไม่ได้ จับผีไม่ได้ก็ชวด หมด อดทุกอย่าง พวกเราก็จะอดได้เงิน อดได้หญิง”
“อาจารย์ก็จับผีตัวอื่นสิ”
“บอกเลยนะ ผีตัวไหนก็ไม่เจ๋งเท่าผีนังคนนั้น ถ้าจับมันมีทำพิธีได้ พวกเรารวยเละแน่”
เชิงชายชักสน “นี่อาจารย์มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ”
“มั่นใจสิ คนอย่างอาจารย์เจ๋งไม่มีพลาด ขอแค่นายหาสิ่งเชื่อมโยงกับนังผีนั่นมาให้เท่านั้น ที่เหลือเจ๋งจัดการเอง นายนอนกระดิกหัวแม่โป้ง รอรับทรัพย์ได้เลย”
“แต่ผม”
“มันไม่มีอะไรยาก แค่หาสิ่งเชื่อมโยงกับผีมาเท่านั้น นายไม่ต้องไปสู้รบตบมือกับนังผีนั่นเลยสักนิด รับรองว่านายปลอดภัยแน่ๆ”
เชิงชายมองหน้าอาจารย์เจ๋งอย่างคิดหนัก สุดท้ายตัดสินใจ
“แค่สิ่งเชื่อมโยงนังผีนั่นใช่มั้ย”
“ใช่! เจ๋งต้องการแค่นั้นแหละ”

อาจารย์เจ๋งมองเชิงชายให้ความมั่นใจ อีกฝ่ายเครียดหนัก

ด้านประวิทย์เดินไปเดินมาในห้อง พยายามกดโทรศัพท์โทร.หาเอกราช แต่ทุกครั้งที่โทร.ไป ก็ถูกเอกราชตัดสาย ประวิทย์ไม่ละความพยายาม

“รับสิ ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับนายนะ”
อีกฝั่งภายในผับหรู เอกราชกำลังสนุกสุดเหวี่ยง นัวเนียอยู่กับสาวๆ เมื่อเห็นประวิทย์โทรศัพท์มาอีกก็โมโห
“จะโทร.มาอะไรกันนักกันหนาวะ น่ารำคาญ”
เอกราชกดตัดสายทิ้ง แล้วปิดเครื่องไปเลย จากนั้นหันไปสนุกกับสาวๆ ต่อ ไม่ได้สนใจประวิทย์อีกเลย
ส่วนห้องนอนประวิทย์ เสียงโทรศัพท์ถูกตัดสาย ทำให้ประวิทย์ยิ่งโมโห พอโทร.กลับไปอีก คราวนี้กลายเป็นเสียงสัญญาณตอบรับจากเครื่องแล้ว ประวิทย์เขวี้ยงโทรศัพท์ไปบนที่นอนระบายความโมโห แล้วทรุดตัวนั่งกุมหัวบนเตียงนั้น ตรงโต๊ะหัวเตียงข้างหลังมีกรอบรูปตั้งอยู่ ที่เป็นคู่รูปประวิทย์กับเอกราช
เกย์อีแอบ และแอบสนิทมองรูปนั้นด้วยความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวสุดจะประมาณ

สมหมาย กับ หมูหวาน แอบมองสร้อย ที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่งของบ้านด้วยท่าทางดูมีพิรุธ
“ดูยายมนุษย์ป้านั่นสิพ่อ แอบคุยโทรศัพท์ท่าทางลับๆ ล่อๆ อีกแล้ว เดานะว่าต้องเป็นสารลับจากยายคุณหญิงสุดโหดนั่นแน่ๆ”
“เราก็ไปเรียกชื่อคุณหญิงแบบนั้นได้ไง ถ้าคุณเตชินได้ยินมีหวังไล่ออกแน่” สมหมายเอ็ด
“ออกก็ดีสิ หนูก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นักหรอก ยิ่งอยู่ยิ่งกลัว”
“ถ้าไม่อยากกลัว ก็เลิกยุ่งเรื่องคนอื่น” สมหมายดึงผมลูกสาวลากไป “งานการมีให้ทำตั้งเยอะไม่รู้จักไปทำ”
หมูหวานโดนพ่อลากไป ก็ร้องโวยวายขัดขืน “โอ๊ย เจ็บนะพ่อ งานสาระแนคืองานหลักของหนูนะ โอ๊ย ปล่อยสิ หนูยังไม่รู้เลยว่ายายมนุษย์ป้านั่นคุยอะไร”
สมหมายไม่สนลากหมูหวานออกไปจนได้
ทางฝ่ายสร้อย หันไปมองสมหมายลากหมูหวานออกไปแล้ว รีบกระซิบกับโทรศัพท์ ท่าทางเป็นความลับระดับชาติ
“ทางสะดวกแล้วค่ะคุณหญิง มีอะไรให้สร้อยรับใช้คะ”
คุณหญิงจิตรายืนคุมแค้นอยู่ในห้องโถงบ้าน คุยโทรศัพท์หน้าเครียด
“เตชินออกไปทำงานแล้วใช่มั้ย”
เสียงสร้อยลอดออกมาว่า “ใช่ค่ะ ไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว”
“แสดงว่าตอนนี้นังริลณีมันอยู่คนเดียว”
สร้อยมองขึ้นไปบนบ้านที่เงียบเชียบเหมือนไม่มีใคร
“อยู่รึเปล่า สร้อยก็ไม่รู้นะคะ เพราะปกติบ้านก็เงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ๆ แล้ว”
จิตรายิ้มชั่วออกมา
“งั้นแกไปบอกนังริลณีว่า เดี๋ยวฉันจะส่งรถไปรับ ให้มันมาหาฉันที่บ้านหน่อย ฉันมีเรื่องสำคัญอยากคุยด้วย อ้อ แล้วแกไปบอกมันเงียบๆ อย่าให้ใครรู้ว่าฉันสั่งอะไร”
“ทำไมละคะคุณหญิง”
“ห้ามมีคำถาม ถ้าแกทำสำเร็จ ฉันจะให้รางวัลแก”
คำตอนท้ายทำเอาสร้อยยิ้มอย่างมั่นใจ
“ไม่มีปัญหาค่ะ คุณหญิง งานง่ายแบบนี้ สร้อยจัดการได้อยู่แล้ว”
คุณหญิงวางสาย ส่วนสร้อยมองขึ้นไปบนบ้านที่ดูวังเวงอย่างสยองๆ รวบรวมความกล้าขึ้นบ้านไปทันที

สร้อยค่อยๆ ย่องขึ้นไปบนบ้าน บรรยากาศเงียบ วังเวง เหมือนไม่มีใคร สร้อยยกมือไหว้พระ พร้อมๆ กับมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ พลางตะโกนเรียกเบาๆ
“คุณรินคะ...คุณริน ...คุณรินอยู่รึเปล่า”
อยู่ดีๆ ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างเคลื่อนผ่านหลังสร้อยไปโดยเร็ว สาวใช้ยอดนักสืบรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาทันควัน มือสั่นปากสั่น รู้สึกเหมือนใครมายืนอยู่ข้างหลัง
“อย่าบอกนะวะ..ว่า โดนอีกแล้ว”
สร้อยหันกลับไปมองช้าๆ แต่ก็ไม่มีอะไร แต่เมื่อสร้อยหันกลับมา ก็เห็นริลณียืนยิ้มอยู่ตรงหน้าแล้ว
“มีอะไรเหรอจ๊ะสร้อย”
สร้อยผงะ ตกใจ ถอยหลังแทบจะคะมำ ดีที่ยั้งไว้ได้ก่อน “โอ๊ย คุณขา มาไม่ให้สุ้มให้เสียง สร้อยจะหัวใจวายตาย”
“ขอโทษค่ะ รินไม่รู้ว่าพี่สร้อยขี้ตกใจ”
“ปกติก็ไม่ละค่ะ แต่พออยู่ที่นี่ อาการมันกำเริบ” สร้อยนึกได้ “อุ๊ย มัวแต่เม้าท์ คุณหญิงท่านโทร.มาบอกให้สร้อยเรียนคุณรินว่า ท่านจะส่งรถมารับ ให้คุณรินไปพบที่บ้านค่ะ”
“มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
“สร้อยไม่ทราบค่ะ”
ริลณียิ้มอ่อนหวาน “ขอบคุณมากค่ะที่มาบอก”
สร้อยมองหน้าริลณีที่ยิ้มหวานให้ ความกลัวก็ค่อยๆ หายไป
“ก็น่ารักดีนี่ ไม่เห็นจะน่ากลัวเท่าไหร่เลย”
สร้อยพึมพำเบาๆ คลายความกลัวเดินออกไป

ส่วนริลณีหน้านิ่งครุ่นคิดว่าจิตราจะมาไม้ไหนอีก

ฟากเตชินมาถึงโรงแรมของเอกราชแล้ว เวลานี้เดินคุยปรึกษางานกับช่างมาตามทาง ด้วยท่าทางอันเคร่งเครียด สวนกับหงส์หยก และเพื่อนชื่อ มิว ที่เดินมาจากอีกฟาก พอเห็นเตชิน หงส์หยกก็กรี๊ดกร๊าดดีใจ

“อ๊าย เตชิน เตชินจริงๆ ด้วย”
เตชินมองหน้าสองสาวด้วยท่าทีแปลกใจ “หงส์หยก คุณมิว มาทำอะไรกันที่นี่ครับ”
“พวกเรามาเตรียมการจัดงานแกรนด์โอเพนนิงโรงแรมนี้ค่ะ” หงส์หยกบอก
เตชินพยักหน้า “จริงสินะ งานจะจัดเร็วๆ นี้ด้วย ส่วนซ่อมแซมยังไม่เสร็จเลย”
“เตชินทำเสร็จทันอยู่แล้วล่ะค่ะ หงส์หยกเชื่อ” หงส์หยกมองเตชินตาประกาย
“ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น งั้นขออนุญาตไปทำงานก่อนนะครับ”
เตชินพูดเสร็จก็รีบเดินออกไปคุยกับช่างที่ยืนรออยู่ หงส์หยกมองตามตาละห้อย
“เก็บอาการหน่อย เค้าเพิ่งยกเลิกงานแต่งงาน ใช่ว่าเค้าจะหันมาสนใจแกทันทีนะจ๊ะ” มิวเย้า
“นี่ฉันอาการออกขนาดนั้นเลยเหรอ”
“จัดว่าเยอะเลยอ่ะ”
“แกว่าถ้าฉันจีบเค้า เค้าจะสนฉันมั้ย”
“สนไม่สนไม่รู้ แต่มั่นใจว่า แม่ดาราเพื่อนรักแกคงไม่ยอมแน่” มิวหมายถึงปริมลดา
หงส์หยกหน้าระรื่นอยู่ เซ็งขึ้นมาทันที “พูดถึงยายนั่นทำไมเนี่ย เซ็งขึ้นมาทันทีเลย”
“เอ้า ทำไมจะพูดไม่ได้ ก็เพื่อนรักแกนี่”
มิวหัวเราะขำๆ แล้วเดินออกไป หงส์หยกทำหน้าเซ็ง แอบหันไปมองเตชิน ยิ้มปลื้มอยู่คนเดียว

หงส์หยกเติมหน้าอยู่ที่กระจกในห้องน้ำ เสียงโทรศัพท์มือถือดัง หล่อนหยิบขึ้นมาดู เห็นว่าปริมลดาโทร.มา
ก็ทำหน้าเซ็งจัด ก่อนจะกดรับ
“ฮัลโหล” เสียงปริมลดาลอดออกมา
หงส์หยกทักเสียงหวานแต่หน้าตาเบื่อหน่ายเซ็งสุดขีด “ว่าไงจ๊ะเพื่อนรัก”
“วันนี้เธอเข้าไปดูงานที่โรงแรมเอกราชใช่มั้ย เจอเตชินรึเปล่า ฉันจะได้เข้าไปหาเค้า”
หงส์หยกทำหน้าแอ๊บแบ๊วตอแหล “อือ...เท่าที่เดินไปทั่วก็ยังไม่เจอนะ เป็นไปได้ว่าวันนี้อาจจะไม่เข้ามาทำงาน” พูดแล้วก็ทำหน้าสะใจ
“อ้าว เหรอ ดีนะที่โทร.ถามเธอก่อน จะได้ไม่ขับรถไปเสียเที่ยว ขอบใจมากนะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะเพื่อนรัก”
หงส์หยกกดวางสายยิ้มสะใจ มิวเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี
“คุยกับใครยะเสียงหวานเชียว”
“คนไม่สำคัญน่ะ”
มิวพยักหน้ารับรู้ เดินออกไปก่อน หงส์หยกเช็คหน้าตัวเอง สวยมั่นใจแล้ว
“ถึงโอกาสของฉันบ้างละ”

รถตู้คันนั้นแล่นมาในเส้นทางที่ดูเปลี่ยว ริลณีนั่งอยู่ในรถ เหลียวมองข้างทางด้วยความแปลกใจ
“นี่ไม่ใช่ทางไปบ้านคุณหญิงนี่คะ”
แลเห็นสายตาน่ากลัว ท่าทางไม่น่าไว้ใจของ ชาย 2 คนขับรถ และผู้ช่วย ชาย 1 ที่มองริลณีผ่านกระจกมองหลัง
“คุณหญิงสั่งให้พวกเรา พาคุณไปที่นึงก่อน” ชาย 1 บอก
“ที่ไหนเหรอคะ”
ชาย 2 บอกว่า “เดี๋ยวก็รู้เอง”
ชาย 1กับ ชาย 2 มองหน้ากันยิ้มเป็นนัย ริลณีนั่งนิ่ง ไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด

รถแล่นเข้ามาจอดที่บ้านหลังหนึ่งที่ดูห่างไกลจากบ้านผู้คนละแวกเดียวกัน ชาย 2 เดินลงมาเปิดประตูรถให้ ผายมือเชิญ ริลณีก้าวลงมามองไปรอบๆ บ้าน ท่าทางสงบนิ่ง ไม่มีอาการกลัวแต่ประการใด
“คุณหญิงอยู่ในนี้เหรอ”
“ท่านรอคุณอยู่ข้างใน เชิญครับ”

ริลณียังยืนนิ่งเฉย จนชาย 1 ต้องจับตัวกระชากเข้าไปในบ้าน

ชาย 1 และชาย 2 ผลักตัวริลณีเข้ามาในห้องหนึ่ง ทันทีที่ร่างริลณีเข้าไปในห้อง ชายทั้งสองรีบปิดประตู และ ล็อคห้องนั้นไว้ทันที

ริลณีมองไปรอบห้อง พบว่าทั้งห้องไม่มีหน้าต่าง มีแค่เตียง โต๊ะ เก้าอี้เก่าๆ กระโถน วางอยู่ คุณหญิงจิตรานั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงมุมห้อง บนโต๊ะข้างตัวมีกระเป๋าใบใหญ่ คุณหญิงยิ้ม ขณะลุกเดินเข้าไปหาริลณี
“ฉันจะให้โอกาสเธอครั้งสุดท้าย”
จิตราหยิบกระเป๋าบนโต๊ะโยนไปตรงหน้าริลณี แรงกระแทกทำให้กระเป๋าเปิดออก เผยให้เห็นเงินอยู่ในกระเป๋าใบนั้นจนเต็ม
“รับเงิน แล้วหายไปจากชีวิตลูกชายฉันซะ เงินนั่นมากพอที่เธอจะเอาเริ่มชีวิตใหม่”
“สำหรับฉันไม่มีชีวิตใหม่ มีแค่ชีวิตนี้”
จิตราโกรธ “หมายความว่าแกจะไม่ยอมไปจากชีวิตลูกชายฉันใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“เธอเป็นคนที่พูดอะไรเข้าใจยากมาก แต่เอาเถอะ ฉันจะให้เวลาเธอคิด เปลี่ยนใจรับเงินเมื่อไหร่ ค่อยออกไปจากห้องนี้ แต่ขอเตือนไว้ก่อน ว่าอย่าคิดช้ามาก การถูกขังลืมอยู่ในห้องนี้ ไม่ใช่เรื่องสนุกเลย”
จิตราเดินไปเคาะประตูเรียก ชาย 2 เปิดประตู จิตราสั่งการเสียงเฉียบขาด
“เฝ้ามันไว้ อย่าให้มันออกไปไหน ถ้ามันเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ รีบโทรบอกฉันทันที”
จิตราหันไปมองริลณีที่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่ในห้อง ยิ้มสะใจแล้วเดินออกไป ชาย 1ชาย 2 รีบปิดประตูขังริลณีเอาไว้ ริลณียืนนิ่ง มองตามจิตราด้วยความโกรธ

สองคนเดินมาส่งจิตราขึ้นรถตู้ที่หน้าเซฟฮ้าส์
“คุณหญิงจะขังลืมผู้หญิงนั่นจริงๆ เหรอครับ” ชาย 1 ถาม
“ก็ถ้ามันเคยหายตัวไปแบบไร้ประวัติอะไรใดๆ ได้ตั้งสองปี หายสาบสูญไปอีกสักทีจะเป็นอะไรไป” คุณหญิงยิ้มอำมหิต
“ผมว่าไม่เกินสามวันก็กลัวกันหัวหดแล้ว” ชาย 2 ยิ้มหยัน
“อย่าให้นานขนาดนั้น ฉันไม่ชอบรอ พวกนายสองคนช่วยทำอะไรก็ได้ ให้นังนั่นไม่อยากอยู่ในห้องนั้น แล้วก็ไม่มีหน้ากลับไปหาลูกชายฉันอีก”
ชาย 1บอก “ไม่มีปัญหาครับ เรื่องแบบนี้พวกเราถนัด”
จิตรามองเข้าไปในเซฟเฮ้าส์อีกครั้ง
“ช่วยไม่ได้นะ ริลณี เธอบีบให้ฉันทำแบบนี้เอง”
จิตราขึ้นรถไป ชาย 2 มาปิดประตูให้ รถเคลื่อนออกไปจากที่นั่นทันที
สองวายร้ายคนมองหน้ากันยิ้มชั่วออกมา

รถยนต์หรูแล่นมาบนถนน มีสุเมธ ทำหน้าที่คนขับ คุณหญิงจิตรานั่งคุยโทรศัพท์กับนายพลสามีอยู่ในรถคันนั้น
“ไม่มีใครรู้ว่านังนั่นออกมากับเรา ถ้าเตชินสงสัยก็บอกว่ามันหนีไปแล้ว แค่นี้เรื่องก็จบ คุณไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ สถานการณ์บีบขนาดนั้น ยังไงมันก็ต้องเลือกเงินอยู่แล้ว”
ระหว่างที่จิตราวางสายยิ้มสะใจ ร่างริลณีในสภาพผีปรากฏขึ้นที่เบาะข้างๆ จิตรานั่นเอง ริลณีเหลียวไปมองหน้าจิตราแล้วขยับเข้าไปใกล้ พูดกระซิบที่ข้างหู
“สิ่งที่คุณทำกับฉัน มันทำอะไรฉันไม่ได้หรอกค่ะ แต่ฉันจะเล่นเกมกับคุณ ฉันจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่า ฉันรักเตชินมากขนาดไหน”
สุเมธกลับได้ยินเสียงเยือกเย็นนั้นก็สะดุ้ง มองไปที่กระจกมองหลัง เห็นริลณีนั่งอยู่ข้างจิตราก็ยิ่งตกใจสุดขีด เหยียบเบรกเอี๊ยดจนจิตราหน้าคะมำ คนขับรถรีบหันไปมองแต่ไม่เห็นมีใครแล้ว สุเมธหน้าตาเลิ่กลั่กตกใจ
จิตราโวยวายลั่น “ขับรถภาษาอะไรของแก”
“มะ...มะ...เมื่อกี้ ผม หะ...เห็นผู้หญิงผมยาวอยู่ข้างๆ คุณหญิงครับ”
“ขับรถมากจนตาลายรึไง ฉันมาคนเดียวจะมีใครมานั่งด้วยได้ยังไง”
จิตราไม่เชื่อนั่งกอดอกพิงเบาะด้วยความโมโห สุเมธรีบขับรถต่อ แต่ไม่วายเหลือบมองกระจกมองหลัง เมื่อไม่เห็นใครอีกก็โล่งใจ

ด้าน ชาย 1 เดินถือน้ำมาที่หน้าห้องขัง เปิดประตูมองเข้าไปไม่เห็นริลณีอยู่ในห้องนั้น ก็พยายามมองหาไปทุกซอกทุกมุม แต่ก็ไม่มีวี่แวว ชาย 1 ตกใจกวาดตามองไปทั่ว จนเห็นริลณีนั่งก้มหน้านิ่ง ท่าทางน่าสะพรึง อยู่บนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ชาย 1 เขม้นมองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ
ชาย 2 ตามเข้ามาถามสีหน้าสงสัย “มีอะไรเหรอวะ”
“เปล่า จะเอาน้ำมาให้น้องคนสวยเค้าหน่อย กลัวจะหิว”
ชาย 1 เดินไปยื่นน้ำให้ดื่ม แต่ริลณีนั่งนิ่งไม่รับ ชาย 1 ยิ้มกรุ้มกริ่ม เอามือจับต้นแขนริลณีแต๊ะอั๋ง ริลณีหันมองมือ ชาย 1 ด้วยความไม่พอใจ แต่ชาย 1 ไม่สนใจกลับลูบต้นแขนต่ออีก
“อยู่ในห้องคนเดียวเหงามั้ย อยากให้พี่มาอยู่คุยเป็นเพื่อนรึเปล่าจ๊ะ”
ริลณีมองชาย 1 โกรธมาก ดวงตาจากปกติค่อยๆ กลายเป็นดวงตาขาวโพลนของผีร้าย กำลังจะเอาเรื่อง
ชาย 2 เดินเข้ามาดึงมือชาย 1 ออก พร้อมกับดึงขวดน้ำจากมือชาย 1 วางไว้บนพื้นใกล้ตัวริลณี แล้วรีบดึงชาย 1 ออกไปจากห้อง แต่ยังไม่ทันที่สองคนนั้นจะปิดประตู ประตูก็ปิดกระแทกปังเองอย่างแรง สองคนสะดุ้งเฮือกตกใจ

ริลณีในสภาพดวงตาผี นั่งคุมแค้นก้มหน้าอยู่ในห้องด้วยความโกรธ ไม่อยากทำอะไรบุ่มบ่าม

นางชฎา ตอนที่ 9 (ต่อ)

เสียงรอสายจากโทรศัพท์ดังนานแล้วแต่ไม่มีคนรับ เตชินเดินไปเดินมารอให้ปลายสายรับในท่าทีกังวลใจ เขาจะกดโทรศัพท์กลับไปใหม่ หงส์หยกเดินยิ้มเข้ามา

“โทร.หาใครเหรอคะ หน้าเครียดเชียว”
“คนที่บ้านน่ะครับ คุณหงส์หยกมีอะไรเหรอครับ”
“อ๋อ เห็นคุณเตชินไม่ไปทานข้าวก็เลยเป็นห่วง” หงส์หยกยื่นจานขนมหน้าตาน่ากินมาตรงหน้า “หงส์หยกก็เลยเอาขนมมาให้ทานค่ะ เจ้าอร่อยแถบนี้เลยนะคะ”
เตชินรับขนมมา ท่าทางแปลกใจนิดๆ “ขอบคุณครับ”
“คุณเตชินโอเคนะคะ ตั้งแต่ยกเลิกงานแต่งงานไป เราสองคนไม่ได้คุยกันเลย” หล่อนเอามือจับแขนเตชินเนียนๆ แอ๊บใสซื่อ เหมือนไม่คิดอะไร “หงส์หยกเป็นห่วงคุณมากนะคะ ทั้งเรื่องข่าว แล้วก็เรื่องชมพู”
“ทุกอย่างมันผ่านไปแล้วครับ ผมกับชมพูตอนนี้เราก็เข้าใจกันดี”
หงส์หยกชะงักไปนิด คิดในใจ อ้าวเข้าใจกันตั้งแต่เมื่อไหร่ หงส์หยกยิ้มแย้มฉวยโอกาสทันที
“ตอนแรกเค้าก็จะไม่เข้าใจค่ะ บอกว่าจะตัดเป็นตัดตายกับคุณเตชินให้ได้ ฉันก็ต้องคอยเตือนสติ พูดแทบตายกว่าชมพูจะยอมเข้าใจ”
เตชินยิ้มแปลกใจนิดๆ “นี่เพราะคุณหงส์หยกช่วยพูดเหรอครับเนี่ย ขอบคุณมากครับ”
“ฉันรู้จักลดามานาน พอเห็นข่าวก็รู้แล้วหละ ว่าไม่ใช่ความผิดคุณ”
“หมายความว่ายังไงครับ”
หงส์หยกยิ้มแย้ม “ฉันไม่อยากเม้าท์เพื่อน แต่คุณระวังลดาไว้หน่อยก็แล้วกันค่ะ เพราะถ้าเค้าอยากอะไร เค้าก็สามารถทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา อ้อ! แล้วแฟนเค้าก็ขี้หึงมากด้วยค่ะ”
เตชินได้ฟังอึ้งไปนิด รีบมองนาฬิกา หาทางตัดบท ไม่อยากฟัง และไม่ชอบการนินทา
“ผมต้องไปทำงานแล้วครับ”
“ไว้คุยกันใหม่นะคะ”
เตชินรีบเดินออกไป หงส์หยกมองตามจากยิ้มสวยใส กลายเป็นยิ้มร้ายสะใจเป็นที่สุดแทน

เตชินเดินมาคุมช่างทำงานอยู่บริเวณจุดที่ต้องซ่อม
ช่าง 1 แซวเอา “แหม..อิจฉาคุณเตชินจริงจริ๊ง มีสาวๆ สวยๆ มาคุยด้วยตลอด”
เตชินขำๆ ไม่คิดอะไร “เพื่อนน่ะครับ”
เตชินหันกลับมาทำงานต่อ และกำลังชี้จุดที่ต้องแก้ไขให้ช่างดู จู่ๆ สร้อยคอที่เตชินใส่อยู่ก็หลุดร่วงลงมา
โดยที่เตชินไม่รู้ตัว ช่างที่คุยงานกับเตชินตกใจ รีบหยิบสร้อยขึ้นมาคืนเตชิน
“อุ๊ย” เขามองสร้อย “อยู่ดีๆ ก็ขาดซะงั้น”
“สร้อยขาดออกจากคอเนี่ย โบราณเค้าถือนะครับ” ช่างคนเดิมบอก
“ถือว่าอะไรเหรอครับ”
ช่างลำบากใจ แต่ต้องบอก “ถือว่าจะพบเรื่องร้าย ระวังตัวไว้หน่อยก็ดีเหมือนกันนะครับ”
ช่างเดินกลับไปทำงานต่อ เตชินมองสร้อยที่ขาดรู้สึกกังวลขึ้นมาโดยประหลาด

ในเวลาเดียวกัน จิตราฟาดมือลงไปบนโต๊ะด้วยความโมโห ในขณะที่กำลังคุยโทรศัพท์
“ข้าวไม่กิน น้ำไม่แตะเลยงั้นเหรอ มันคงคิดจะลองดีกับฉันล่ะสิ” จิตราแค่นยิ้ม “ได้ ถ้ามันไม่อยากกินก็ไม่ต้องให้กิน ดูสิว่ามันจะทนได้สักแค่ไหน”

สีหน้าและแววตาของคุณหญิงจิตรายามนี้ ดูเหี้ยมโหด และอำมหิตผิดมนุษย์ เหลือคณา 

ที่เซฟท์เฮ้าส์ ชาย 2 เดินถือข้าวกล่อง และน้ำดื่มออกมาจากห้องขัง โดยมีชาย 1 ยืนมองริลณี ผ่านช่องกระจกที่ประตูด้วยสายตาหื่นกระหายดูไม่น่าไว้วางใจ

“ฉันว่า ผู้หญิงคนนี้ดูน่ากลัวๆ ยังไงก็ไม่รู้ พอเข้าไปใกล้ รู้สึกหนาวหลัง เย็นๆ หลอนๆ ยังไงก็ไม่รู้ว่ะ ไม่รู้เมื่อไหร่จะตัดสินใจเอาเงินสักที”
ชาย 1 ยิ้มย่องบอกว่า “อยู่นานๆ แบบนี้ล่ะ ดี ฉันชอบ”
“อย่าคิดทำอะไรเลวๆ นะเว้ย” ชาย 2 ดักคอ
“ก็คุณหญิงสั่งให้ทำอะไรก็ได้ ให้นังนั่นไม่อยากอยู่ห้องนั้น”
พลางชาย 1 มองดูริลณีที่นั่งสงบนิ่ง ในท่าเดียว และไม่ขยับไปไหน ด้วยแววตาหื่นกาม
ฟากสร้อยเดินวนไปวนมา พลางแหงนหน้ามองขึ้นไปบนทรงไทยด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ
“ป่านนี้ทำไมยังไม่กลับมาน๊า หายเงียบไปเลย แล้วถ้าคุณเตชินกลับมา สร้อยจะทำยังไงเนี่ย คุณหญิงให้หุบปากเงียบเอาไว้ด้วย”
สร้อยเดินงุ่นง่านไปมา จังหวะหนึ่งหันมาเจอหมูหวาน ยืนเท้าสะเอวจ้องจับผิด
“เมื่อเช้าป้าขึ้นไปทำอะไรบนเรือนน่ะ เห็นคุยโทรศัพท์ซุบซิบๆ อะไรกับคุณหญิงสุดโหด คิดทำเรื่องอะไรไม่ดีกันใช่มั้ย”
“ทำเรื่องไม่ดีอะไร ไม่มี๊” สร้อยเสียงแหลมปรี๊ด
“โอ้โห เสียงแหลมปรี๊ดขนาดนี้ เชื่อได้มั้ยเนี่ย” สมหมายเหน็บ
“บอกแล้วว่าไม่มีอะไรจริงๆ” พูดแต่ก็ยังชะเง้อมองขึ้นไปบนบ้าน
หมูหวานเห็น “ต้องมีเรื่องอะไรเกี่ยวกับแฟนคุณเตชินแน่เลย”
สร้อยสะดุ้ง พึงพำคนเดียวเบาๆ “ทำไมนังเด็กนี่มันฉลาดนักวะ” เลยรีบเปลี่ยนเรื่อง “ฉันว่า ฉันไปเตรียมอาหารเย็นให้คุณเตชินดีกว่า”
สร้อยรีบเดินหนีไป หมูหวานมองตาม แล้วหันมาบอกพ่อ
“ยายมนุษย์ป้า กับ ยายคุณหญิงจอมโหดนั่น ต้องวางแผนอะไรไม่ดีแน่ๆ หนูต้องสืบให้รู้”
หมูหวานมองสมหมายด้วยสายตามุ่งมั่น ต้องรู้ให้ได้ !!

เย็นนั้น หมูหวานค่อยๆ ย่องขึ้นมาบนเรือนไทยช้าๆ อย่างกล้าๆ กลัวๆ
“คุณคะ...คุณ ...นี่หมูหวาน มีอะไรให้หมูหวานรับใช้มั้ยคะ”
หมูหวานย่องมาสังเกตเห็นรอยเท้าของตัวเองบนพื้นเรือน เอามือปาดพื้นมีฝุ่นหนาติดนิ้ว
“ทำไมฝุ่นหนาขนาดนี้ อย่างกับไม่มีให้ถูเลยงั้นแหละ”
หมูหวานค่อยๆ เดินไป เห็นข้าวของบนเรือนไทยฝุ่นเกาะ เหมือนไม่ได้มีใครทำความสะอาด ใบไม้ หยากไย่ ข้าวของวางระเกะระกะไปหมด
หมูหวานเดินผ่านถาดใส่จานอาหาร เห็นอาหารในจานเน่าจนมีหนอนขึ้น บางจานก็เป็นเศษใบไม้แห้งเกรอะกรัง หมูหวานอยากจะอ้วก มองไปรอบๆ เริ่มรู้สึกกลัว
“นี่มันอะไรกันเนี่ย”

หมูหวานรวบรวมความกล้า เดินมาหยุดหน้าห้องนอนเตชินและริลณี ตัดสินใจเคาะประตูเรียก
“คุณรินคะ คุณรินอยู่รึเปล่าคะ”
อยู่ดีๆ ประตูห้องก็เปิดกว้างออกเอง หมูหวานมองเข้าไปในห้องนอน พบว่าทั้งสกปรก รกเรื้อ ฝุ่นหนาเตอะ หยากไย่รุงรัง ไม่ต่างจากข้างนอก เด็กสาวมองเข้าไปไม่เห็นใคร จึงเดินเข้าไปในห้อง มองเสื้อผ้าของริลณีที่แขวนอยู่ล้วนเป็นเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ข้าวของเครื่องใช้ของริลณีก็เป็นของเก่าแตกหักทั้งสิ้น ต่างจากข้าวของเครื่องใช้ของเตชินที่เป็นปกติ หมูหวานเดินสำรวจจนมาหยุดหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

ทางด้านริลณีนั่งก้มหน้านิ่งอยู่ในห้องขัง เงยหน้าขึ้นเหมือนรับรู้ว่ามีใครเข้าไปยุ่งบนเรือน และ ห้องส่วนตัว นัยน์ตาวาวโรจน์ขึ้นมาด้วยความโกรธ หายตัวไปจากตรงนั้นทันที

ชาย 2 นั่งอ่านหนังสืออยู่ เงยหน้ามองริลณีแต่ไม่เห็นก็ตกใจ
“เฮ้ย เมื่อกี้นังนั่นมันนั่งอยู่บนเก้าอี้ อยู่ดีๆ มันหายไปไหนวะ”
ชาย 1 รีบวิ่งมาดู มองไม่เห็นริลณีจริงๆ
“ชิบหาย แล้วมั้ยล่ะ ไขกุญแจเข้าไปดูสิวะ”
“ก็กุญแจอยู่ที่แกน่ะ” ชาย 2 บอก
ชาย 1 พยายามคลำหาแต่ไม่เจอ “โอ๊ย ลืมอยู่ในห้องน้ำ”
ชาย 1 รีบวิ่งไป ชาย 2 มองเข้าไปในห้อง แต่ก็ยังไม่เห็นริลณีข้างใน

ฝ่ายหมูหวานกำลังจะหยิบข้าวของบนหน้ากระจกของริลณีขึ้นมาดู พบว่าหวีก็หัก เครื่องสำอางเก่าๆ หมดอายุและหมดสภาพ ฉับพลันเงาสะท้อนในกระจกของหมูหวาน เปลี่ยนเป็นใบหน้าริลณีจ้องมองหมูหวานเขม็ง แต่หมูหวานมัวแต่ก้มมองข้าวของจึงไม่ได้สังเกตเห็น หมูหวานเอื้อมมือไปจะหยิบหวีหักขึ้นมาแล้ว
เสียงประตูห้องปิดปัง หมูหวานสะดุ้งตกใจ เหลียวขวับมองไปที่ประตู แล้วต้องช็อค เมื่อสภาพห้องที่สกปรกรกเรื้อ กลับกลายเป็นห้องที่สะอาดเรียบร้อยปกติ ระเบียงด้านนอกก็สะอาดเอี่ยม
พร้อมกับที่ริลณีค่อยๆ ก้าวออกมาจากกระจก มาหยุดยืนด้านหลังหมูหวานนิ่งๆ หมูหวานรับรู้แต่ไม่กล้ามอง ตัวเริ่มสั่น กลัวจับจิต แทบจะร้องไห้ รีบยกมือขึ้น
“ดะ...ดะ...โดนอีกแล้ว มั้ยล่ะ”
หมูหวานวิ่งพรวดพราดออกไปโดยไม่หันมามองข้างหลังอีกเลย

ริลณีหันขวับไปอีกทาง ร่างหายตัววูบไปชั่วพริบตา

ขณะที่สองวายร้ายช่วยกันไขกุญแจห้อง แต่จู่ๆ ร่างริลณีก็มายืนตรงกระจกจ้องมองทั้งสองคนอยู่ สองคนเงยหน้าเห็นก็ผงะ ชาย 2 ตกใจปนโมโห

“เฮ้ย กูชักไม่ไหวแล้วนะ มึงแกล้งพวกกู มึงสนุกนักใช่มั้ย”
ชาย 2 เปิดประตูเข้าไปแล้วตบริลณีล้มคว่ำลงไปกองกับพื้นจนเลือดกบปาก กระโปรงที่ริลณีใส่ถลกขึ้นจนเห็นขาอ่อน ชาย 1 ที่ยืนมองอยู่เดินตรงเข้าไปหาริลณีด้วยสายตาหื่นกระหาย
ริลณีบอกเตือนทั้งสองคนดีๆ “ออกไปจากห้องนี้ซะ ฉันไม่อยากทำร้ายนายสองคน”
ทั้งคู่มองหน้ากันขำก๊าก ไม่ใส่ใจ
“ใครจะได้ทำร้ายใครกันแน่จ๊ะ คนสวย” ชาย 1 ยังเดินหน้าหื่นเข้าไปหาริลณีอย่างคุกคาม
ริลณีจ้องมันด้วยความโกรธ ดวงตากลายเป็นดวงตาผีแล้ว
“ฉันเตือนนายแล้วนะ”
ชาย 1 ไม่สนใจ ตรงเข้าไปจะปลุกปล้ำริลณี ทว่าร่างริลณีหายไปจากตรงนั้นพริบตา ชาย 1 หันไปมองเพื่อนงงๆ
“มันหายไปไหนวะ”
ชาย 2 มองไปรอบๆ ห้อง ไม่มีริลณีอยู่ในห้องนั้น
“กูว่านังผู้หญิงนี่ไม่ใช่คนธรรมดาแล้วว่ะ”
สองวายร้ายมองหน้ากัน เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล มันทั้งสองจะหนี แต่ประตูห้องขังปิดกระแทกหน้าดังปัง พร้อมกับล็อคปิดลงเอง ทั้งคู่ผวาหันหลังพิงประตูมองไปรอบห้องที่ไม่มีใครด้วยความกลัวสุดขีด
“ฉันเตือนพวกนายแล้วว่าอย่ายุ่งกับฉัน”
สองวายร้ายพยายามมองหาตามเสียง สุดท้ายเห็นริลณียืนห้อยหัวลงจากเพดาน จ้องทั้งสองตาเขม็ง
“ทำไมถึงไม่เคยมีใครเชื่อ”
ชาย 1 ตะลึงตะไล รู้แล้ว “ผะ..ผะ....ผี”
สองคนพยายามจะเปิดประตูแต่เปิดไม่ออก เพราะถูกล็อค ผีริลณีเดินอยู่บนเพดานห้อยหัวอยู่ตรงชายสองคนยืนอยู่ ค่อยๆ ยืดมือยาวลงมาจากเพดานบีบคอชาย 1 จอมหื่น มันดิ้นๆ อย่างทุรนทุราย พยายามขอความช่วยเหลือจากเพื่อน
“คนที่คิดชั่ว ทำตัวเลวทรามกับผู้หญิง ไม่สมควรมีชีวิตอยู่”
ริลณีบีบคอแน่นจนคอชาย 1 หักดังกร๊อบ ร่างร่วงลงไปกองแน่นิ่งกับพื้น
ชาย 2 เห็นเพื่อนตายต่อหน้ายิ่งกลัว เงยหน้ามองผีริลณีที่แสยะยิ้มน่ากลัวอยู่บนเพดาน ชาย 2 เห็นกุญแจไขประตูตกอยู่ที่พื้นร่วงมาจากศพชาย 1 รีบหยิบขึ้นมาไขประตู แล้วรีบวิ่งหนีออกไปทันที

อีกฟาก เสียงโทรศัพท์มือถือของจิตราดัง คุณหญิงเห็นเบอร์รีบกดรับ
น้ำเสียงสั่น ละล่ำละลักเหมือนหวาดกลัวหนักดังออกมา “นะ...นะ...นังนั่นมันออกมาได้แล้วครับ”
“เป็นไปไม่ได้หรอก มันจะออกมาได้ยังไง ห้องไม่มีประตูหน้าต่าง ไม่มีทางหนี มีแต่พวกแกที่โง่ปล่อยมันหลุดออกมาน่ะสิ” จิตราโมโหสุดขีด
“ต่อให้ฉลาดยังไงก็ขังมันไม่ได้หรอกครับคุณหญิง เพราะนังนั่นมันไม่ใช่คน …มันเป็น…อ๊าก”
เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของชาย 2 ดังออกมาจากโทรศัพท์ พร้อมกับเสียงน่ากลัวฟังแล้วสยอง จนจิตราต้องรีบกดวางสายด้วยความตกใจ
“อะไรของมันเนี่ย” คุณหญิงจอมโหดครุ่นคิดคาใจ สีหน้าเป็นกังวล “นังริลณีมันหนีออกมาได้ยังไง ไม่น่าเป็นไปได้”
จิตราเดินไปหยิบกุญแจรถ รีบเดินออกไป ณรงค์เปิดประตูสวนเข้ามามองภรรยาอย่างแปลกใจ
“คุณจะรีบไปไหน”
“ไอ้พวกบ้าสองคนมันปล่อยให้นังริลณีหนีไปได้ ฉันจะรีบไปดักเตชินที่บ้าน ก่อนที่นังนั่นจะไปเล่าเรื่องที่พวกเราทำกับมันวันนี้”
จิตรารีบเดินออกไป นายพลณรงค์มองตามด้วยความกังวล

ริลณียืนมองศพชาย 2 ที่นอนคอบิดหันผิดทิศทางด้วยความรู้สึกผิด เจ็บปวด เสียใจ
“ทำไมทุกคนถึงต้องบังคับให้ฉันทำแบบนี้ ขอให้ฉันอยู่สงบๆ กับคนที่ฉันรักไม่ได้รึไง”
ริลณีน้ำตาไหลรินเป็นสาย ก่อนจะหายตัวไปจากตรงนั้นทันที

รถเตชินแล่นมาตามถนนด้วยความเร็วสูง ในรถเตชินใส่บลูทูธคุยโทรศัพท์หน้าเครียด
“ทำไมวันนี้ฉันโทรศัพท์ไปที่บ้านตั้งหลายครั้ง แล้วไม่มีใครรับเลย คุณริน…เอ่อ แฟนฉัน เค้าไม่อยู่ที่บ้านเหรอ”
สมหมายยืนคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องพักตัวเอง หน้าเครียดเช่นกัน
“ผมก็ไม่ทราบครับ หมูหวานมันขึ้นไปดูแฟนคุณบนเรือนเมื่อตอนบ่าย กลับมาก็ลงมานอนนิ่ง ไม่ยอมพูดยอมจากับใครเลยครับ”
สมหมายเหลียวไปมองลูกสาวที่นอนบนเตียงหันหน้าเข้าผนังตัวสั่นสะท้านด้วยความหนักใจ เพราะท่าทางหมูหวานเหมือนหวาดกลัวอะไรสุดขีด
เตชินได้ฟังสมหมายพูดยิ่งเครียด
“แต่ว่า ตอนนี้ยังไม่มีอะไรใช่มั้ย”
“ครับ ตอนนี้ยังไม่มี แต่ต่อจากนี้ ผมไม่รู้ครับ”
เตชินกดวางสายด้วยสีหน้ากังวล และ สังหรณ์ใจบางอย่าง เขารีบเหยียบคันเร่ง รถทะยานไปตามถนนเร็วยิ่งกว่าเดิมอีก
จิตราเดินเข้ามาในบริเวณบ้านทรงไทยอย่างเร่งร้อน สอดตามองหาริลณีด้วยความกังวล สร้อยยืนรดน้ำอยู่อยู่เห็นรีบเดินเข้ามาต้อนรับ ด้วยความแปลกใจ
“คุณหญิง”
“นังริลณีมันกลับมาที่บ้านรึยัง”
“ก็คุณรินเธอออกไปกับคุณหญิงไม่ใช่เหรอคะ” สร้อยย้อน
จิตราวีนใส่ “ฉันถามแกว่ามันกลับมารึยัง”
“ยะ...ยังค่ะ”
“แกแน่ใจนะ”
“แน่สิคะคุณหญิง ใครไปใครมาบ้านนี้ สร้อยรู้ทุกคน ไม่เคยพลาดค่ะ”
จิตราเดินมาหยุดที่หน้าเรือนไทยหลัก เหลือบมองขึ้นไปบนบ้าน เห็นเหมือนเงารางๆ ของริลณียืนจ้องอยู่ จิตราแปลกใจ จึงชี้ไปบนเรือน
“ก็นั่นมันนังริลณีไม่ใช่เหรอ”
สร้อยมองไปข้างบนแต่ไม่เห็นใคร จิตราไม่รอคำตอบจะเดินขึ้นไปบนเรือน สร้อยรู้สึกแปลกๆ รีบไปห้ามจิตรา
“แต่สร้อยไม่เห็นใครเลยนะคะ”
จิตราผลักตัวสร้อยที่ขวางทางออก บอกอย่างมั่นใจ “มันอยู่บนนั้นแน่”
จากนั้นเดินหุนหันขึ้นบันไดไปเลย สร้อยจะเดินตามขึ้นไปแต่ก็ไม่กล้า ได้แต่มองตามคุณหญิงบ่นบ้าออกมาด้วยความกังวลและเป็นห่วงมากกว่าครั้งไหนๆ

“ก็บอกว่าไม่อยู่ๆๆ ทำไมคุณหญิงถึงไม่เชื่อ”

จิตราเดินขึ้นมาบนเรือน มองเข้าไปในห้องเห็นริลณีนั่งอยู่ที่มุมมืดมุมหนึ่งของห้อง ดูน่าสะพรึง จิตราชะงักนิดหนึ่ง รับรู้ถึงบรรยากาศแสนวังเวง แต่เพราะโทสะทำให้ไม่ใส่ใจมากนัก ปรี่เข้าไปผลักหัวริลณีเต็มแรง

“คิดแล้วว่าต้องกลับมานั่งเสนอหน้าที่นี่ คงกะจะฟ้องเตชิน เรื่อง ที่ฉันทำกับแกวันนี้ใช่มั้ย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ที่นี่เป็นบ้านของริน ยังไงรินก็ต้องกลับมาที่นี่” ริลณีหมายถึงศพเธออยู่ที่นี่ยังไงก็ต้องกลับมา
“หน้าด้าน ฉันไม่นึกว่าแกจะกล้าพูดว่า เรือนหอที่ลูกฉันสร้างไว้แต่งงานกับคนอื่นเป็นบ้านของแก ฉันประเมินความหน้าด้านของแกต่ำไปจริงๆ”
ริลณีก้มหน้านิ่งไม่ตอบโต้ นั่นยิ่งทำให้คุณหญิงจิตราโกรธมากขึ้นไปอีก
“ฉันไม่รู้ว่าแกหลอกไอ้น่าโง่สองคนนั่นออกมาได้ยังไง แต่ยังไงฉันก็จะไม่ยอมให้แกกับเตชินอยู่ด้วยกันแน่ ออกไปจากบ้านนี้ซะ”
“ดิฉันบอกคุณหญิงแล้วไงคะ ว่าดินฉันจะไม่มีวันไปไหน ดิฉันจะอยู่ที่นี่กับเตชิน”
จิตราบันดาลโทสะ โมโหสุดขีดตบริลณีจนหน้าหัน แต่อีกฝ่ายยังก้มหน้านิ่งด้วยความเจ็บปวด
“ฉันทั้งไล่ ทั้งขู่ แกขนาดนี้ ยังหน้าด้านหน้าทนอยู่อีก อย่าให้ฉันต้องเหลืออดมากกว่านี้นะ”
“ทำไมคะ คุณหญิงคิดจะทำอะไร จะฆ่ารินเหรอคะ”
“ถ้ามันทำให้ลูกชายฉันหลุดพ้นอย่างผู้หญิงชั้นต่ำอย่างแก ฉันก็จะทำ” คุณหญิงระเบิดใส่
“รินต่ำต้อยมากเหรอคะ การที่รินเกิดเป็นเด็กกำพร้าไม่มีหัวนอนปลายเท้า มันทำให้คุณเกลียดรินมากขนาดนี้เลยเหรอคะ” ผีสาวตัดพ้ออย่างขมขื่น
“ใช่ เพราะฉันเลี้ยงลูกมาอย่างดีที่สุด เพื่อให้ได้ผู้หญิงที่ดีที่สุดอย่างหนูชมพู ไม่ใช่ผู้หญิงอย่างแก”
“แต่เราสองคนรักกันนะคะ คุณหญิงช่วยโปรดเห็นใจในความรักของเราด้วยเถอะค่ะ” ริลณีลงไปนั่งคุกเข่า พนมมือไหว้ขอร้องอย่างน่าสงสาร “รินขอร้อง ขอแค่ให้ฉันได้อยู่กับเตชินด้วยเถอะค่ะ”
“ไม่ ต่อให้เป็นแค่เมียน้อย นางบำเรอ ฉันก็ไม่ยอม” จิตราตะโกนใส่หน้าริลณี “ออกไปจากชีวิตลูกชายของฉัน”
ริลณีที่ก้มหน้าอยู่ เงยหน้าขึ้นมองจิตราด้วยดวงตาสีศพอันขาวโพลน จิตราเห็นถึงกับผงะ ตกใจ
“ฉันไม่เข้าใจ คุณจะตามจองเวรฉันไปถึงไหน ที่ผ่านมาคุณยังทำกับฉันไม่พออีกเหรอคะ”
ริลณีลุกขึ้นยืนจ้องหน้าจิตราด้วยดวงตาขาวโพลนมีหยาดน้ำตาคลอ จิตรารู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างประหลาด
“คุณรู้มั้ยว่าที่ผ่านมา ฉันต้องอโหสิกรรม ให้กับสิ่งที่คุณทำกับฉันมากแค่ไหน ทำไมคุณถึงไม่หยุด ฉันขอแค่อยู่กับเตชินที่นี่อย่างสงบเท่านั้น”
ริลณีเดินเข้าไปหาจิตราพยายามอ้อนวอนขอร้องดีๆ
“ขอร้องละค่ะ หยุดทำลายความรักของเราสักที เพราะต่อให้เราตายจากกัน ก็ไม่มีวันที่ความตายจะพรากเราสองคนไปได้”
ระหว่างนี้ใบหน้าของริลณีแวบกลายเป็นหน้าผี ชั่วกระพริบ แวบเดียวก็กลับมาเป็นหน้าเดิม จิตราผงะ แต่คิดว่าคิดว่าตาฝาด
“ต่อให้แกตาย ฉันก็จะลงนรกไปจัดการกับแก”
ริลณีจ้องจิตรานิ่ง เริ่มโกรธ บอกเสียงเข้ม “เชื่อฉันสิ ว่าคุณไม่กล้าทำแบบนั้นหรอก”
เสียงโทรศัพท์มือถือของจิตราดังขัดจังหวะ คุณหญิงหยิบมาดูเห็นว่าณรงค์โทร.มา จึงรีบรับ
น้ำเสียงนายพลณรงค์ดังลอดออกมา ฟังดูตื่นตกใจมาก “ผมเข้ามาดูที่เซฟเฮ้าส์แล้ว ไอ้สองนั่นถูกฆ่าตาย”
“หา ว่าไงนะ” จิตราตกใจเหลียวขวับมามองหน้ามองริลณีไม่อยากเชื่อ “นี่แกถึงกับต้องฆ่าไอ้สองคนนั่น
เชียวเหรอ นังฆาตกร”
“ฉันเตือนพวกเค้าแล้ว แต่เค้าก็ยังไม่หยุดทำเลวกับฉัน เหมือนที่คุณพยายามทำ”
ริลณีเดินเข้าไปหาจิตราอย่างคุกคาม อีกฝ่ายเริ่มถดตัวถอยหลังหนี มองมาด้วยสายตาหวาดกลัว ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“กะ…แก เป็นอะไรกันแน่”
“ฉันก็เป็นอะไรที่ คุณหรือใครจะไม่มีวันทำร้ายฉันได้อีกแล้ว”
ชั่วเวลากระพริบตานั้น หน้าริลณีกลายเป็นผีอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นใบหน้าที่ชวนสะพรึงมากกว่าเดิม จิตราเห็นถึงกับช็อค!
“กะ...กะ…กะ…แกเป็นผี”
“คุณไม่ต้องกลัว ฉันจะไม่มีวันทำร้ายคุณ”
จิตราสติแตก ไม่ฟังอะไรแล้ว “แกจะฆ่าฉัน เหมือนที่แกฆ่าไอ้สองคนนั้นใช่มั้ย”
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะไม่ทำร้ายคุณ”
จิตราไม่ฟังอะไรทั้งนั้น “ช่วยด้วย ใครก็ได้ ช่วยด้วย...”
คุณหญิงใจโหดพยายามจะวิ่งหนี ร่างริลณีแวบตัวหายมาขวางหน้าไว้ จิตราตะลึง เตลิดหนีไปอีกทาง ริลณีก็แวบตัวหายตามไปทุกที่

เตชินรีบรุดเดินเข้ามาในโถงบ้านทรงไทย เห็นสร้อยกำลังชะเง้อมองขึ้นไปบนเรือนด้วยท่าทีอันร้อนรน
“ฉันเห็นรถคุณแม่จอดที่หน้าบ้าน”
“คุณหญิงมาได้พักนึงแล้วค่ะ”
เตชินชะงัก “ขับรถมาเองเลยเหรอ แปลก แล้วคุณรินล่ะ”
“เอ่อ...ออกไปตั้งแต่บ่ายยังไม่กลับมาเลยค่ะ”
“แล้วคุณแม่ขึ้นไปทำอะไร”
“อะ...เอ่อ...อันนี้สร้อยก็ไม่ทราบค่ะ สร้อยไม่กล้าตามขึ้นไปดู”
เตชินมองขึ้นไปบนเรือนด้วยความสงสัย แปลกใจ รีบเดินเข้าบ้านไปทันที

ด้านจิตราลนลานหนี แต่ริลณีตามไปขวางหน้าไว้ทุกที่
“คุณไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำอะไรคุณหรอกค่ะ”
จิตราไม่สนใจอะไรแล้ว วิ่งเตลิดร้องโวยวายด้วยความหวาดกลัว
“ช่วยด้วย นังริลณีมันเป็นผี ช่วยด้วย...”
จิตราวิ่งเตลิดเปิดเปิงไปด้วยความตกใจถึงขีดสุด พยายามจะวิ่งลงบันไดหนี ริลณีตามมาด้วยความเป็นห่วง
“คุณจิตราระวัง”
ไม่ทันขาดคำ ด้วยความลนลานผสานตกใจกลัวถึงขีดสุด จิตราก้าวพลาดขณะจะลงบันได ร่างเสียหลักหงายหลังร่วงลงบันได กลิ้งหลุนๆ ลงไป จนหัวไปฟาดกลับพื้นที่ตีนบันไดเสียงดังสนั่น
ริลณีจะตามลงไปช่วย แต่เห็นเตชินและสร้อยเข้ามาเห็นพอดี
“คุณแม่”/ “คุณหญิง”
เตชินและสร้อย วิ่งเข้าไปดูจิตราที่แน่นิ่งสลบไปอยู่ เลือดไหลออกมาเต็มพื้นเรือน
“คุณแม่ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” เตชินตะลึงตะไล
“เลือดๆๆ เลือดเต็มไปหมดเลยค่ะ คุณหญิง รีบพาคุณหญิงส่งโรงพยาบาลก่อนเถอะค่ะ”
เตชินได้สติ รีบอุ้มคุณหญิงมารดาออกไปทันที โดยมีสร้อยวิ่งตามไปด้วย

ริลณีอยู่บนเรือนมองตามจิตราด้วยความหดหู่ รู้สึกผิดและเป็นห่วงมาก

อ่านต่อหน้า 4

นางชฎา ตอนที่ 9 (ต่อ)

อีกฟาก พิสมัยคุยโทรศัพท์อยู่ในโถงกลางบ้าน ถึงกับทะลึ่งลุกขึ้นยืนขณะคุยโทรศัพท์ด้วยความตกใจยกเอามือทาบอก

“ไม่อยากจะเชื่อเลย ขอบคุณคุณแจ๊สที่แจ้งข่าวนะคะ”
พิสมัยวางสายไปแล้วแต่ยังยืนช็อค พิชัยที่นั่งดูแท็บเล็ตเช็คหุ้นอยู่ หันมามองด้วยความแปลกใจ
“มีอะไรเหรอคุณ หน้าซีดเชียว”
“คุณหญิงจิตราน่ะสิคะ เธออาจจะเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิตเชียวค่ะ”
ชมพูเดินถือจานคัพเค้กที่ทำเองเข้ามา ได้ยินคำพูดนั้นก็ตกใจจนจานในมือร่วงตกแตกดังเพล้ง เค้กหน้าคว่ำลงเลอะบนพื้นเต็มไปหมด
“จริงๆ เหรอคะคุณแม่”
“จ้ะ พูดไม่ได้ ขยับไม่ได้ แล้วก็ชอบชักกระตุกอยู่ตลอดเวลา”
“ที่บ้านนั้นคงวุ่นวายกันแย่เลย มีแต่ผู้ชายคงทำอะไรกันไม่ถูก” พิชัยอดห่วงไม่ได้
“นั่นสิคะ” พิสมัยถอนหายใจ “เฮ้อ...ไม่คิดเลยว่าคุณหญิงจิตราจะโชคร้ายขนาดนี้”
พิชัยและพิสมัยมองหน้ากันเครียดๆ ส่วนชมพูยืนอึ้ง คิดเป็นห่วงไปถึงเตชินไม่รู้ว่าเขาจะเป็นยังไงบ้าง

ที่บ้านเด็กกำพร้า เฟื่องฟ้ารู้เรื่องจากข่าวในอินเตอร์เนต ถึงกับหน้าเหวอตกใจ ยื่นหน้าเข้าไปจนชิดจอใหม่ เพื่ออ่านซ้ำให้แน่ใจอีกครั้ง เอทีเอ็มเดินถือของเข้ามาวางจัดโต๊ะ มองเฟื่องฟ้าแล้วส่ายหน้า
“อ่านแบบธรรมดาก็ได้มั้ง ไอ้ฟิคแฟคอะไรเนี่ย ไม่ต้องถึงกับเข้าไปสิงคอมขนาดนั้น”
“ฉันไม่ได้อ่านฟิค” เฟื่องฟ้าหันมามองหน้าเอทีเอ็มท่าทีตกใจ “ฉันเพิ่งรู้ข่าวคุณหญิงจิตราแม่ของคุณเตชิน”
เอทีเอ็มจัดของอยู่ชะงัก หันมามองหน้าเฟื่องฟ้าเศร้าๆ
“อือ ฉันรู้แล้วละ เวรกรรมมีจริงนะ เร็วติดจรวดด้วย”
“ถึงเค้าจะเคยทำไม่ดีกับพวกเรา แต่พอมาเป็นแบบนี้ก็น่าสงสารเนอะ”
เฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มมองหน้ากันด้วยความรู้สึกเห็นใจจิตราจริงๆ
“เฮ้อ....สงสารริน ป่านนี้คงเครียดแย่”
“ทำไมรินต้องเครียดด้วยล่ะ”
“อ้าว ก็ถ้าคุณเตชินกับรินเค้าคบกัน แม่คุณเตชินมาเป็นแบบนี้ คุณเตชินเค้าคงเครียด รินก็คงต้องเศร้าสิ”
“สรุปว่าสองคนนั้นเค้าคบกันแน่นอนแล้วใช่มั้ย”
“ถ้าไม่คบ ยายคุณหญิงนั่นคงไม่มาตามหารินเพื่อจะเล่นงานอย่างวันนั้นหรอก”
เฟื่องฟ้าเอามือปิดปาก นึกขึ้นได้ “เออจริงด้วย”

วันรุ่งขึ้นสองคนรีบแวะมาหาริลณีซึ่งเวลานี้อยู่ที่โรงพยาบาล ริลณีมองหน้า เอทีเอ็ม เฟื่องฟ้า ด้วยความรู้สึกผิดที่ยังคงกัดกินใจอยู่
“มันเป็นความผิดของรินเอง”
“เฮ้อ...โทษตัวเองแบบนี้อีกละ ทำอย่างกับเรื่องไม่ดีทุกอย่างในโลกนี้ มีศูนย์กลางการเกิดมาจากรินงั้นแหละ”
“แต่เรื่องนี้เป็นความผิดของรินจริงๆ เพราะรินทำให้คุณจิตราเป็นแบบนี้”
เอทีเอ็มอยากรู้ “ รินไปทำอะไรเค้างั้นเหรอ”
“ริน…รินก็แค่…” เห็นริลณีอึกอักเฟื่องฟ้าเลยชิงตอบให้
“ก็แค่คุณหญิงขาโหดนั่นเห็นหน้าเด็กกำพร้าต่ำต้อยอย่างพวกเรา เค้าก็อยากปรี๊ด จนเส้นเลือดในสมองแทบจะแตกอยู่แล้ว นี่พอรู้ว่ารินกับคุณเตชินคบกัน ก็เลยโมโหมากใช่มั้ย”
“อย่าคิดมาก หยุดโทษตัวเอง สิ่งอะไรใดๆ ที่เกิดในโลกนี้ล้วนเป็นไปตามกรรม”
ริลณีก้มหน้าเครียด สะท้อนใจ คิดถึงผลกรรมที่จะได้รับ
“แล้วรินก็จะได้รับผลกรรมนั้นด้วย”
“พอเลยๆๆ หยุดย้ำคิดย้ำทำเรื่องนี้ได้แล้ว ฉันว่ารินเอาไปดูแลคุณหญิงนั่นดีกว่า ถ้ารินช่วยดูแลคุณหญิงนั่นจนดีขึ้นเค้าอาจจะเห็นใจริน ยอมให้ รินคบกับคุณเตชินอย่างมีความสุขก็ได้”
“เป็นไปไม่ได้หรอก คุณหญิงจิตราไม่มีวันจะยอมรับรินหรอก”
“แต่ถึงเค้าจะไม่ยอมรับรินจริงๆ แต่อย่างน้อยการที่ได้ดูแลเค้าจนดีขึ้น ก็ทำให้รินรู้สึกดีไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยก็ทำให้คุณเตชินเค้ามีความสุขนะ”
เฟื่องฟ้าหมั่นไส้ “ต๊าย เอทีเอ็ม นายพูดเหมือนนายเข้าใจความรักงั้นแหละ แฟนก็ไม่เคยมีสักคน”
“ไม่มีแฟนก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีความรักนะ ยายซื่อบื้อ”
เอทีเอ็มและเฟื่องฟ้าทะเลาะ เอาเรื่องกัน ริลณีก้มหน้าครุ่นคิดตามในสิ่งที่เอทีเอ็มพูด

พิสมัย พิชัย และ ชมพู ถือกระเช้าของเยี่ยมอย่างดีมายื่นให้ณรงค์ที่ยืนรับอยู่หน้าห้อง เตชินยืนตัวเกร็งเมื่อเห็นสายตาไม่ค่อยเป็นมิตรของพิชัย
“ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์แวะมา” นายพลณรงค์บอก
“ไม่ได้สิคะ เกิดเรื่องขนาดนี้ จะไม่มาได้ยังไง คุณพี่จิตราเป็นยังไงบ้างคะ”
ณรงค์หน้าเครียด “คุณพิสมัยเข้าไปดูเองเถอะครับ จิตราคงดีใจมากที่ได้เจอพวกคุณ”
ท่านนายพลเชิญพิสมัยและพิชัยเข้าไปในห้อง ขณะเดินผ่านเตชินพิชัยถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง
“เป็นยังไง ตั้งแต่ยกเลิกงานแต่งงานกับชมพูแล้วเนี่ย ไม่เห็นไปเยี่ยมที่บ้านเลยนะ”
เตชินหน้าเจื่อน ชมพูรีบเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ให้
“พี่เตชินเค้างานยุ่งน่ะค่ะ ต้องเร่งซ่อมโรงแรมให้ทันเปิดเดือนหน้า”
“อ๋อ...โรงแรมของเอกราช ที่ตอนนี้สนิทกับลูกอยู่ใช่มั้ย” พิชัยจงใจอวดเตชิน
ชมพูรีบแก้ตัว “ไม่ได้สนิทเท่าไหร่ค่ะ แค่เป็นเพื่อนกัน”
พิชัยบอกเตชินอีกว่า “เอกราชเค้าเป็นคนเก่ง ใจไม่โลเล หนักแน่น ใครที่ได้อยู่ใกล้ชิด หรือทำงานกับเค้าถือว่าโชคดีมาก”

พิชัยเดินคอแข็งออกไป เตชินก้มหน้าเครียดรู้สึกผิด ชมพูมองเตชินด้วยความเห็นใจ

สองคนเดินคุยกันไปตามทาง ชมพูมองเตชินด้วยความเห็นใจ

“ขอโทษนะคะพี่เตชิน มีเรื่องกลุ้มอยู่แล้วยังต้องมาฟังอะไรแบบนี้อีก”
“พี่ไม่เป็นไรหรอกครับ ถึงท่านจะโกรธพี่ พี่ก็สมควรโดน”
ชมพูหยุดเดินหันมามองหน้าเตชิน อย่างอย่างจริงใจ
“แต่ชมพูไม่ได้โกรธพี่เตชินแล้วนะคะ ยิ่งพี่มาเจอเรื่องแบบนี้ ชมพูก็อยากจะมาให้กำลังใจพี่เตชินค่ะ พี่เตชินต้องสู้ ต้องเข้มแข็ง ชมพูเชื่อนะคะ ว่าคุณป้าต้องกลับมาหายดีแน่ๆ”
เตชินมองชมพูอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณน้องชมพูนะครับ”
“แล้วพี่เตชินมาดูแลคุณป้าแบบนี้ มีใครดูแลพี่เตชินบ้างรึเปล่า ดูสิ ผอมลงไปตั้งเยอะ”
“พี่ทานอะไรไม่ค่อยลงน่ะครับ โทษคนที่ดูแลไม่ได้”
ชมพูสะดุดหูทวนคำพูด “คนที่ดูแล”
ชมพูมองฉงนฉงาย จนเตชินรู้สึกตัว สูดลมหายใจเข้าปอด คงถึงเวลาที่ต้องบอกชมพูแล้ว
“พี่ก็ว่าจะบอกเรื่องนี้กับน้องชมพู แต่มันยังไม่มีโอกาสที่เหมาะสมสักที”
“พี่เตชินคบกับ...” ชมพูไม่อยากเอ่ยชื่อ “ปริมลดา แล้วเหรอคะ”
“ไม่ใช่ครับ ตั้งแต่เกิดเรื่องพี่ก็แทบไม่เจอเค้าเลย”
“งั้นทำไมพี่เตชิน ต้องอยากบอกเรื่องที่พี่คบใครให้ชมพูรู้ด้วยล่ะคะ”
“เพราะพี่รู้ว่ามันสำคัญกับเค้า...เค้าแคร์ชมพูมากๆ”
“จะต้องแคร์ทำไม” หญิงสาวประชดตัวเองเบาๆ “ชมพูก็แค่ผู้หญิงที่เคยจะแต่งงานกับพี่เตชิน”
“ไม่ใช่ครับ สำหรับ เค้า ชมพู คือเพื่อนที่เค้ารักมากต่างหาก”
“พี่เตชินพูดอะไรคะ ชมพูไม่เข้าใจ”
เตชินกำลังจะบอกความจริง แต่ริลณี เอทีเอ็ม และ เฟื่องฟ้าเดินเข้ามาขัดก่อน ชมพูหันไปเห็นทั้งสามคนก็แปลกใจ รีบเข้าไปทักทาย
“เอทีเอ็ม เฟื่องฟ้า” มองหน้าริลณีแล้วยิ้มจำได้ “ริลณี พวกเธอสามคนมาเยี่ยมคุณแม่พี่เตชินด้วยเหรอ”
เตชินแปลกใจ “ชมพูเคยเจอกับรินแล้วเหรอ”
“เจอแล้วสิคะ ทำไมพี่เตชินต้องแปลกใจขนาดนั้นด้วย”
ชมพูไล่สายตามองทั้งสี่คน พบว่าทุกคนทำท่าแปลกๆ อึกอักๆ เธอเริ่มประติดประต่ออะไรได้
“อย่าบอกนะคะว่า เค้า คนที่พี่เตชินหมายถึง...”
เตชินเดินเข้าไปจับมือริลณี “ครับ พี่กับริน เราคบกันครับ”
ชมพูอึ้ง ตะลึง ช็อค มองหน้าริลณีด้วยความรู้สึกมึนงง ความทรงจำอันเจ็บปวดบางอย่างที่ซ่อนซุกอยู่ข้างใน เหมือนกำลังพุ่งขึ้น จนทำให้ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาอีกครั้ง ยกมือกุมหัว
“โอ๊ย”
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
เตชินตกใจจะเข้าไปดู แต่เอทีเอ็มเข้าไปถึงตัวชมพูก่อน
“สงสัยจะปวดหัวอีกแล้วนะครับ เดี๋ยวผมพาชมพูไปนั่งพักสักแป๊บน่าจะดีขึ้น”
เอทีเอ็มรีบประคองชมพูออกไป เฟื่องฟ้ามองตามชมพูด้วยความรู้สึกเป็นห่วง เตชินรู้สึกผิดคิด ส่วนริลณีมองตามยิ้มนิดๆ

ชมพูรีบกินยาแล้วดื่มน้ำตามทันที เอทีเอ็มเดินเข้ามายื่นผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเย็นให้ ชมพูรับมาไว้ไม่ได้เอา
มาเช็ด แต่ก้มมองผ้านั้นด้วยสายตาครุ่นคิด
“ถ้านายมานั่งในหัวฉันตอนนี้ นายคงได้เห็นคำถามในหัวเป็นร้อยเป็นพันคำถาม เกิดอะไรขึ้น เค้าคบกันได้ยังไง เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่รู้”
“ในเมื่อบทสรุปเป็นอย่างที่เธอเห็น จะไปหาคำอธิบายมาให้ปวดหัวทำไม”
“ฉันขอถามนายคำถามนึงได้มั้ย สองคนนั้นเค้าคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“แน่ใจนะว่าอยากฟังคำตอบ”
ชมพูพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“เค้าคบกันตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว”
ชมพูอึ้ง นิ่งงันไป “แล้วตอนนั้น ฉันรู้เรื่องนี้รึเปล่า เพราะสิ่งเดียวที่ฉันจำได้มาตลอดคือ ฉันชอบพี่เตชิน และเค้าคือคนที่ฉันต้องแต่งงานด้วย”
“เธอคงไม่รู้มั้ง ก็ตอนนั้นเธอแบ๊วจะตาย”
“ฉันได้คำตอบแล้วละ ที่พี่เตชินเค้าไม่เคยรักฉัน เพราะเค้ารักริลณีอยู่นั่นเอง”
ชมพูน้ำตาไหลรินออกมาเองโดยไม่ตั้งใจ เอทีเอ็มมองอย่างเห็นใจ
“ตอนที่ฉันรู้เรื่องนี้ ฉันก็อยากร้องไห้เหมือนกับเธอนั่นแหละ ร้องเถอะ ร้องออกมาให้หมด แล้วกลับไปเป็นคนที่เข้มแข็งให้ได้”
ชมพูร้องไห้โฮออกมาด้วยความเสียใจ ก่อนจะโผเข้ากอดซบไหล่เอทีเอ็ม ร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นที่น่าเวทนา เอทีเอ็มชะงัก ค่อยๆ ลูบหลังปลอบชมพู ทั้งสงสารและเห็นใจ

ฝ่ายเตชินนั่งกุมมือริลณีเอาไว้แน่นท่าทีเป็นกังวลหนัก ริลณีเองก็รู้สึกไม่สบายใจ เฟื่องฟ้าเดินไปเดินมา ชะเง้อมองหาชมพูและเอทีเอ็มด้วยความเป็นห่วง จนเห็นชมพูและเอทีเอ็มเดินเข้ามา
“มาแล้วๆๆๆ”
เตชินรีบจับมือริลณีลุกขึ้น รีบเดินเข้าไปหาชมพูด้วยความกังวล
ชมพูและเอทีเอ็มเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้ชมพูจะมีแววแอบเศร้า ดวงตาแอบช้ำ เพราะร้องไห้เล็กน้อย
“เป็นยังไงบ้าง หายปวดหัวรึยังครับ”
“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ ขอโทษนะคะ ที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง” ชมพูหันมาพูดกับเตชิน “ชมพูยังไม่ได้แสดงความยินดีกับพี่เตชินเลย” แล้วผินมามองหน้าริลณี “ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ”
เตชินมองหน้าริลณี แล้วหันหน้ามองชมพูด้วยความรู้สึกผิด
“ขอโทษนะครับ ที่พี่ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับชมพู”
“ถึงพี่เตชินจะบอกชมพูก่อนหน้านี้ ชมพูก็คงจำไม่ได้หรอกค่ะ พี่เตชินก็รู้” ชมพูหันมาบอกริลณี “ถึงแม้ว่าฉันจะยังจำเรื่องของเธอไม่ค่อยได้ แต่บอกได้เลยนะว่าฉันยินดีกับเธอจริงๆ”
ริลณีกอดชมพู พร้อมกระซิบบอกว่า
“ขอบใจนะเพื่อนรักของฉัน” เธอละตัวจากกอด มองหน้า “ฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่ง เธอจะต้องจำเรื่องของฉันได้แน่ๆ”
ริลณียิ้มเป็นนัย แววตาซ่อนอะไรบางอย่างโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
เฟื่องฟ้าเดินเข้าไปสะกิดเอทีเอ็มยกนิ้วให้
“งานนี้ต้องยกความดีความชอบให้นายซะแล้ว”
เอทีเอ็มมองสองสาวที่เข้าใจกันด้วยความพอใจ

ที่ดีใจมากกว่าใครคงเป็นเตชิน เขามองริลณีและชมพูที่เข้าใจกันด้วยความสุขและโล่งอก

ถัดจากนั้น เตชิน พาชมพู ริลณี เฟื่องฟ้า และเอทีเอ็ม เข้ามาในห้อง เห็น ณรงค์ พิชัย และ พิสมัย กำลังดูอาการจิตราอยู่รอบๆ เตียง บรรยากาศในห้องดูแจ่มใสเบิกบาน จิตราหน้าตายิ้มแย้มแม้จะพูดไม่ได้

“คุณแม่ครับ เพื่อนๆ ผมมาเยี่ยม”
จิตรากำลังอือๆ อาๆ อยู่กับพิสมัย หันไปมองลูกชาย เห็นเฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม เดินตัวลีบเข้ามา และ ทันทีเห็นริลณี จิตราตกใจกลัว ตัวสั่น ตาเบิกโพลง เกิดอาการกำเริบขึ้นมาอีก เสียงเครื่องวัดการเต้นหัวใจดัง ทุกคนในห้องตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้ยังอาการดีๆ อยู่เลย” พิสมัยตื่นตระหนก
ณรงค์มองริลณีเป็นเชิงตำหนิ “ไม่รู้ว่าเป็นอะไรทุกครั้งที่เห็นผู้หญิงคนนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ทุกที”
“งั้นรินออกไปก่อนได้มั้ยครับ”
ริลณีจ๋อย พยักหน้ารับเดินออกไปจากห้องนั้นทันที เฟื่องฟ้า และ เอทีเอ็มรีบตามออกไปทันที
ณรงค์เดินไปกดกริ่งเรียกพยาบาล พิสมัย และพิชัย ช่วยปลอบแต่ไม่เป็นผล ชมพูขยับเข้าไปจับมือจิตราไว้พูดปลอบ
“คุณป้าใจเย็นๆ นะคะ ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ นะคะ”
จากท่าทางกลัวจนลนลาน อาการจิตราค่อยๆ ดีขึ้น เมื่อริลณีพ้นห้องไปแล้ว จิตราพยายามจะพูดบอกทุกคน แต่ไม่สามารถจะพูดออกมาได้เป็นคำ
พิชัยมองฉงน “เหมือนคุณจิตราอยากจะพูดอะไรนะครับ”
“ก็อาจจะอยากบอกว่าอึดอัด หรือเจ็บปวดตรงรึเปล่า” พิสมัยว่า
ชมพูพูดพลางลูบแขนจิตราอย่างอ่อนโยน “คุณป้าเจ็บ หรือ ไม่สบายตัวตรงไหนรึเปล่าคะ บอกชมพูได้นะคะ ชมพูจะได้ช่วยนวด ให้นวดป้าสบายขึ้น”
จิตรามองหน้าชมพูดีใจจนน้ำตาไหล รู้สึกปลอดภัย อาการกลัวลนลาน ค่อยๆ หายไป และอัตราเต้นของหัวใจกลับเข้าสู่ปกติ เตชินเข้ามาเช็ดเหงื่อให้มารดา มองด้วยความเป็นห่วง พยาบาลเดินถือเข็มฉีดยาเข้ามา
“คนไข้เป็นยังไงบ้างแล้วคะ”
“สงบลงแล้วครับ” ณรงค์บอก
พยาลบาลเข้ามาดูอาการ พบว่าจิตราสงบลงแล้วจริงๆ ก็ยิ้ม แล้วเดินออกไป
ชมพูเดินเข้าไปขยับผ้าห่มให้จิตราจนถึงหน้าอก ลงนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ แล้วจับมือจิตราไว้
“คนป้านอนพักผ่อนนะคะ ชมพูจะนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน ถ้าคุณป้าอยากได้อะไรบอกชมพูได้นะคะ ชมพูจะช่วยคุณป้าเอง”
สีหน้าจิตราดูแจ่มใสขึ้น ยอมหลับไปอย่างง่ายดาย ณรงค์ พิสมัย และ พิชัย โล่งอก เตชินยิ้มมองชมพูที่ดูแลมารดาจนสงบได้เป็นเชิงขอบคุณ

สร้อยอยู่ในห้องกำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า โดยมีสมหมายและหมูหวาน ยืนดูอยู่ใกล้ๆ
“สร้อยจะไปจากบ้านนี้จริงๆ เหรอจ๊ะ”
สร้อยมองสมหมาย ท่าทางอาลัยอาวรณ์ไม่ต่างกัน “สร้อยก็ไม่อยากไปหรอกจ๊ะ แต่คุณหญิงป่วยแบบนี้ สร้อยต้องไปดูแล สร้อยทิ้งคุณหญิงไม่ได้”
สมหมายตัดพ้อ “แต่ทิ้งพวกเราไปได้”
“โถๆๆๆ พี่หมาย พี่ไม่อยากให้ฉันไปขนาดนั้นเลยเหรอจ๊ะ”
หมูหวานแทรกขึ้น “ก็ถ้าป้าไป ใครจะอยู่เป็นเพื่อนพวกเราล่ะ พ่อเค้ากลัวผี”
สร้อยอึ้ง “อ้าว พี่หมายอยากให้ฉันอยู่ เป็นไม้กันผีเหรอ”
สมหมายหัวเราะขำ “ก็อยู่ด้วยกันเยอะๆ มันอบอุ่นดี”
“ฮึ พี่หมายนะพี่หมาย ไม่เห็นคุณค่าของเราเลย”
สร้อยงอน ค้อนลมแล้ง หันไปเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าต่อด้วยความโมโห
หมูหวานหันไปถามสมหมายหน้าตาจริงจัง
“พ่อ แล้วทำไมเราสองคนถึงไม่ได้กลับบ้านบ้างล่ะ” เด็กสาวมองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัว “หมูหวานไม่อยากอยู่ที่บ้านนี้แล้ว หมูหวานกลัว”
“ก็คุณชมพูขอให้เราอยู่ช่วย คุณรินกับคุณเตชินก่อนไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ทุกคนกำลังลำบาก ถ้าขาดพวกเราไป จะยิ่งแย่”
“แต่หนู...”
สมหมายตัดบท “เอาเถอะน่า ถือว่าอดทนเพื่อคุณชมพูนะ”
หมูหวานมองหน้าพ่อไม่อยากอยู่เลย ได้แต่มองตามสร้อยที่กำลังจะไปด้วยความอิจฉา

ตรงเก้าอี้ใต้ต้นไม้ บริเวณบ้านทรงไทย เฟื่องฟ้า และ เอทีเอ็ม นั่งคุยกับริลณีอยู่ตรงนั้น สองคนพยายามปลอบใจ
“ไม่ใช่เพราะรินคนเดียวหรอก คุณหญิงเค้าคงจะเห็นหน้าพวกเราด้วยก็เลยเครียดจัดขึ้นมาขนาดนั้น อย่าโทษตัวเองเลยนะ”
“แต่รินรู้ว่ามันเป็นเพราะรินคนเดียว” เธอว่า
“งั้นก็ต้องค่อยๆ ให้เวลาเค้านะ ยิ่งเค้าไม่สบายมากขนาดนี้ เรายิ่งต้องเมตตา” เอทีเอ็มบอก
“รินเข้าใจ รินจะอดทน”
เฟื่องฟ้า และ เอทีเอ็ม มองไปรอบๆ บ้าน รู้สึกถึงความวังเวง และน่ากลัว
“วันนี้คุณเตชินเค้าคงไม่กลับบ้าน รินอยากให้พวกเราอยู่เป็นเพื่อนมั้ย”
“พวกเธอกลับไปดูแลเด็กๆ เถอะ รินอยู่ได้”
“แน่ใจนะว่าไม่กลัว”
เอทีเอ็มค่อนแคะ “จากที่รินเค้าไม่กลัว เธอมาย้ำจนรินเค้าจะเริ่มกลัวจริงๆ แล้ว”
“งั้นพวกเรากลับก่อนนะ อยู่ที่นี่นานๆ ไม่รู้ทำไม ใจเต้นไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”
เอทีเอ็มบอกลาริลณีอย่างอ่อนโยนว่า “แล้วพวกเราจะมาเยี่ยมใหม่นะ”
เฟื่องฟ้ารีบดึงเอทีเอ็มเดินออกจากบ้านไป ริลณียืนมองตามเพื่อนทั้งสองจากบนเรือนทรงไทยหลังใหญ่โต ในบรรยากาศวังเวง เวิ้งว้าง ทั้งมืด และดูน่ากลัว

เฟื่องฟ้าหันไปมองภาพนั้น ยิ่งรู้สึกผวา รีบดึงเอทีเอ็มวิ่งออกไปโดยเร็ว

ดึกสงัด จิตรานอนหลับอยู่บนเตียง เตชินหลับฟุบที่เก้าอี้รับรอง สร้อยนอนหลับอยู่บนฟูกมุมห้อง ทุกคนหลับสนิท

ริลณีปรากฏร่างขึ้น เดินเข้าไปขยับผ้าห่มที่หลุดออกจากตัวคลุมให้จิตรา แล้วค่อยๆ เอื้อมมือจับมือจิตราไว้
“ถ้าคุณหาย คุณก็คงจะบอกเรื่องของฉันให้ทุกคนรู้ แต่ฉันก็อยากให้คุณหายนะคะ เพราะคุณเป็นแบบนี้ เตชินเค้าไม่มีความสุขเลย”
จิตรานอนหลับสนิทไม่รับรู้ใดๆ ริลณีมองไปที่ขวดน้ำเกลือพบว่าใกล้จะหมด จึงกดปุ่มเรียกพยาบาล
“น้ำเกลือจะหมดแล้วค่ะ”
จากนั้นริลณีเดินเข้าไปจับมือเตชินที่ห้อยอยู่ให้ขึ้นมาวางบนเตียงคุณหญิง หยิบหมอนที่สร้อยทำตกระเกะระกะให้ ก่อนจะหายตัวออกไป พร้อมๆ กับพยาบาลที่เปิดประตูเข้ามา เตชินรู้สึกตัวสะดุ้งตื่น ตกใจ
“มาเปลี่ยนน้ำเกลือค่ะ” พยาบาลบอก
“ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
“สร้อยก็หลับไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ดีนะคะ ที่คุณพยาบาลเข้ามาเห็น”
“เมื่อกี้มีผู้หญิง โฟนไปบอกให้ดิฉันมาเปลี่ยนน้ำเกลือให้ค่ะ”
เตชินหันมามองหน้าสร้อยเป็นคำถาม สร้อยส่ายหน้าว่าไม่ใช่ตัวเองแน่นอน เตชินมองพยาบาลที่กำลังเปลี่ยนขวดน้ำเหลือด้วยความแปลกใจนิดๆ

กลับถึงบ้านคืนนั้น เชิงชายถือที่ตักผงปัดเศษดินที่มีอยู่บนโต๊ะ บนชั้น ทุกชั้น แล้วยังเที่ยวกวาดบนพื้นทุกซอกทุกมุม พอมองในที่ตักแต่ก็ไม่มีอะไร เชิงชายทรุดลงกับพื้นอ่อนใจ
“โอ๊ย ทำไมมันถึงไม่เหลือเศษอะไรบ้างเลยวะเนี่ย แล้วฉันจะไปหาเศษดินที่หลุมศพนังผีนั่นมาจากไหน”
ประวิทย์เดินเข้ามาในบ้านเชิงชาย ทันได้ยินพอดี
“ถ้าอยากได้ก็ไปเอาที่หลุมศพนังผีนั่นเลยสิ”
เชิงชายเงยหน้ามองโวยใส่ประวิทย์ “ไอ้วิทย์ แกจะบ้าเหรอ มาแนะนำอะไรส่งๆ ฉันไม่กล้าไปที่นั่นหรอกโว้ย”
“แล้วใครจะให้นายไปคนเดียว”
“อย่าบอกนะว่านายจะไปด้วย”
“ใช่ ฉันก็อยากจะไปพิสูจน์อะไรบางอย่างแถวนั้นเหมือนกัน”
ประวิทย์มองเชิงชายด้วยสีหน้ามุ่งมั่น เชิงชายมองฉงนว่าประวิทย์จะไปพิสูจน์อะไร

ชมพูเปิดประตูห้อง หิ้วตระกร้าใส่อาหารเข้ามามากมาย สร้อยกำลังป้อนอาหารจิตราอยู่ หันมามอง
ด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดีใจ
“อุ๊ย ดูสิคะ พอคุณชมพูมาปุ๊บ คุณหญิงก็สดชื่นขึ้นมาปั๊บ คุณหญิงต้องดีใจมากๆ เลยนะคะ ที่คุณชมพูมาเยี่ยม”
ชมพูเดินไปข้างเตียงจับมือจิตราให้กำลังใจ
“ต่อไปชมพูจะมาเยี่ยมคุณป้าบ่อยๆ นะคะ”
จิตรามองชมพูตายิ้มเป็นประกาย สร้อยมองไปในตะกร้า เห็นชมพูมีกระดานอะไรบางอย่างมาด้วย
“อุ๊ย นั่นคุณชมพูเอาอะไรมาด้วยคะ”
ชมพูหยิบกระดานมาให้ สร้อย และ จิตราดู เห็นว่าบนกระดานนั้น เป็นตัวหนังสือ สระ และ เลข
“ชมพูเห็นว่า ตอนนี้คุณป้ายังสื่อสารไม่ได้ ก็กลัวคุณป้าอึดอัด ก็เลยทำกระดานขึ้นมา พวกเราค่อยๆ ชี้ไปตามตัวอักษร ถ้าตัวอักษรไหนใช่ ก็ให้คุณป้ากระพริบตาถี่ๆ ทีละตัวๆ ทีนี้คุณป้าก็จะสื่อสารสิ่งที่คิดออกมาได้”
สร้อยทึ่ง “โหย คุณชมพูน่ารักจังเลยค่ะ คุณหญิงชอบใช่มั้ยคะ”
จิตรากระพริบตาถี่ๆ แทนคำตอบ
“อุ๊ย คุณหญิงชอบจริงด้วยค่ะ งั้นเราลองกันเลยมั้ยคะ คุณหญิงมีอะไรที่อยากบอกพวกเรามั้ยคะ”
จิตรากระพริบตาถี่ๆ อีก
“อย่างนี้แสดงว่ามี งั้นพี่สร้อยถือกระดาน ค่อยๆ ไล่ไปนะคะ ชมพูจะจดผสมคำ
สร้อยค่อยๆ เลื่อนมีไปตามอักษรเรื่อยๆ จนเมื่อถึงตัวอักษรที่จิตราต้องการ จิตราจะกระพริบตาถี่ๆ โดยมีชมพูสังเกตและคอยจด
“ร. เรือ...สระ อิ...ล. ลิง ณ. เณร...สระ อี” สร้อยลองอ่านผสมคำดู “ริลณี”
ชมพูและสร้อยเหลียวมองหน้ากัน แปลกใจปนงง
“ริลณี...ริลณี ทำไมเหรอคะ” ชมพูถามงงๆ
สร้อยไม่ยอมให้เสียเวลา เลื่อนมือไปสลับกับมองหน้าจิตรา จนเมื่อหยุดที่ “สระ เอ” คุณหญิงรีบกระพริบตาถี่ๆ ชมพูจด สร้อยเริ่มใหม่ ผ่าน “ป. ปลา” จิตราก็กระพริบตาถี่ๆ และ ผ่าน “ไม้ไต่คู้” จิตรากระพริบถี่ๆ อีก จนมือสร้อยหยุดที่ “น. หนู”
ชมพูและสร้อยมองกระดาษ ก่อนจะอ่านออกมาพร้อมกันว่า “เป็น”
ชมพูงงใหญ่ “เป็น...อะไรคะ”
สร้อย และ ชมพูลุ้นระทึก สร้อยค่อยๆ เลื่อนมือผ่านอักษรไปจนมาหยุดที่ตัว “ผ. ผึ้ง” แล้วมาหยุดตรง “สระ อี” อีกตัว
ชมพูกับสร้อยมองหน้ากัน อ่านสิ่งที่จิตราพยายามบอกพร้อมๆ กัน ด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ
“ผี”

จิตราพยักพเยิดกระพริบตาถี่ๆ แทนคำตอบว่าใช่

อ่านต่อตอนที่ 10 
กำลังโหลดความคิดเห็น