xs
xsm
sm
md
lg

นางชฎา ตอนที่ 8

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


นางชฎา ตอนที่ 8

ข้าวรวมทั้งอาหารแทบพุ่งออกจากปากชัช หนุ่มผู้มีซิกซ์เซนส์มองจ้องหน้าเตชินที่นั่งทานข้าวอยู่ตรงข้าม อย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ถึงกับยกเลิกการแต่งงานกันเลยเหรอวะ เพราะแค่เรื่องรูปหลุดนั่นน่ะนะ”
“ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นหรอก ชมพูเขาขอยกเลิกการแต่งงานเพราะเขารู้ว่า ฉันไม่ได้รักเขา”
“แล้วแกไปรักใคร”
เตชินตัดสินใจบอก
“แกก็รู้ว่า ฉันรักริน แล้วตอนนี้ฉันกับริน เรามาอยู่ด้วยกันแล้วด้วย”
ชัชกำลังจะกินน้ำ แทบจะสำลักน้ำ
“แกมีเรื่องอะไรจะเซอร์ไพร์สฉันอีกมั้ยวะ จะได้พุ่งออกมาซะทีเดียว”
เตชินตอบเสียงจริงจัง
“มี ฉันจะพาแกไปเจอริน”

ฝ่ายสร้อย หมูหวาน และ สมหมาย ค่อยๆ ย่องมาแอบมองเตชินที่กำลังเดินขึ้นเรือนไทยพร้อมชัช หมูหวานทำท่าจะขึ้นเรือนตามไป แต่สร้อยรีบห้ามไว้
“ใจเย็นนังหนู บนเรือนนั้นมันโซนอันตราย เดี๋ยวถูกผีหลอกไม่รู้ด้วย”
“แต่ถ้าไม่ขึ้นไปดูแล้วจะสืบรู้ได้ไง ทำงานกล้าๆกลัวๆ อย่างป้าเนี่ย มันไม่ใช่สไตส์ของหนู ไปพ่อ ไปดูด้วยกัน”
หมูหวานจับมือพ่อจะชวนไปด้วยกัน แต่สมหมายค่อยๆ เอามือออกช้าๆ อายๆ
“นั่นก็ไม่ใช่สไตล์พ่อ ขอพ่อรอดูห่างๆ อย่างห่วงๆ ตรงนี้ดีกว่า”
สมหมายหันมายิ้มหวานเยิ้มกับสร้อย เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย หมูหวานโมโห สะบัดหน้าเดินออกไปทันที

ประตูห้องนอนค่อยๆ เปิดออก เตชินเดินเข้ามาเห็นริลณีกำลังนั่งปักผ้าอย่างมีความสุข
“วันนี้ผมมีแขกมาเยี่ยมรินด้วยนะครับ”
ริลณีชะงักนิดหนึ่ง หน้าตาที่ยิ้มแย้มมีความสุข เครียดขึ้นมาทันที
“ใครเหรอคะ”
“ชัช”
ริลณีหน้าเสีย “คนที่เค้าเคยบอกว่าเค้ามีสัมผัสที่หกเห็นผี ใช่มั้ยคะ”
“คนนั้นแหละ แต่เรื่องเห็นผีเนี่ย ผมว่ามันขี้โม้ คบกันมาตั้งหลายปี ไม่เห็นมันจะเห็นอะไรสักอย่าง”
ริลณีไม่วายระแวง “แล้วทำไมเค้าอยากเจอรินล่ะคะ”
“ก็ผมบอกเรื่องที่เราอยู่ด้วยกันให้ชัชรู้แล้ว ถ้าชัชกับรินสนิทสนมกันไว้ เผื่อมีเรื่องอะไรก็จะได้พึ่งพากันได้ ชัชเป็นเพื่อนรักผม เค้าเข้าใจทุกเรื่องดี ผมมั่นใจว่าเค้าไม่มีทางจะเอารินไปพูดเสียๆ หายๆ แน่”
ริลณีทำหน้านิ่ง แต่แววตากังวลอย่างเห็นได้ชัด

ขณะที่ชัชกำลังสำรวจความเรียบร้อยรายละเอียดต่างๆ ของบ้าน ครู่หนึ่งเตชินก็เดินโอบไหล่ริลณีออกมา
“ชัช นี่ไงริน”
ชัชรีบหันกลับมามองริลณีท่าทางเหวอๆ เหมือนมองไม่เห็น
“ไหนวะ คุณรินอยู่ไหน ทำไมฉันมองไม่เห็น”
ริลณีหน้าเสีย มองหน้าเตชิน อย่างกลัวความลับจะแตก แต่เขากลับหัวเราะ แล้วเดินเข้าไปเขกหัวเพื่อน
“เลิกซะที ไอ้มุกสวยจนทำให้ตาพร่า ตามองไม่เห็นเนี่ย เค้าเลิกเล่นกันมาเป็นสิบปีแล้ว”
“สิบปีเลยเหรอ เว่อร์ ฉันเพิ่งใช้จีบสาวไปเมื่อวานนี้เองนะ สวัสดีครับคุณริน”
ริลณีถอนหายใจโล่งอก “สวัสดีค่ะ”
“ในที่สุดเราก็ได้เจอตัวเป็นๆ สักที ตามหาคุณรินมาน้าน นาน”
ริลณีมองหน้าเตชินอย่างแปลกใจ
“คือตอนที่ผมอยู่เมืองนอก ชัชนี่แหละครับ เป็นคนที่ช่วยผมตามหาริน”
ชัชรีบรับช่วงอธิบายต่อ
“แต่ก็ไม่เจอนะครับ ขนาดพลิกฟ้า ตะแคงแผ่นดินหาเลยนะครับ แต่พอไอ้เตกลับมาตามหาเองเท่านั้นแหละ คุณสองคนกลับเจอกันง่ายซะงั้น”
ชัชพูดไปก็มองหน้าริลณีไป แต่กลับเห็นใบหน้านั้นดูซีดๆ ขาวๆ
“เอ แล้วคุณรินเป็นอะไรรึเปล่าครับ ทำไมหน้าดูซีดๆ”
แต่พอเตชินหันมองตาม กลับเห็นริลณีแต่งหน้าดูสวยงามปกติ

“ไม่เห็นจะซีดเลย”

ชัชเขยิบเข้าไปมองหน้าใกล้ๆ อย่างพิจารณา แล้วก็เห็นริลณีหน้าซีดจริงๆ

“แต่ฉันว่าซีดจริงๆ นะ ซีดขาวเหมือนแบบไม่มีเลือดน่ะ เฮ้ย แล้ว ทำไมอยู่ๆ กลิ่นธูปมาจากไหนเนี่ย แรงมาก แถวนี้ไม่มีวัดหรือศาลเจ้าไม่ใช่เหรอ”
เตชินพยายามสูดกลิ่นตาม แต่ก็ไม่ได้กลิ่น ริลณีหน้าเสีย เริ่มรู้สึกโกรธ ยิ่งเห็นชัชพยายามพิสูจน์กลิ่นมาวนๆ รอบๆ ตัว
“คุณรินไม่ได้กลิ่นจริงๆ เหรอครับ”
ริลณีโกรธจัด กำลังจะหลุดความเป็นผีออกมาแล้ว แต่เตชินรีบมาแยกตัวชัชออกไปก่อน
“พอเลยไอ้มุกแต๊ะอั๋งสาวแบบนี้”
“อันนี้ไม่ได้มุก ฉันได้กลิ่นจริงๆ”
ริลณีรีบหาทางหลบ “เดี๋ยวรินไปเอาน้ำให้คุณชัชดีกว่า”
“ไม่ต้องหรอกครับ รินอยู่คุยกับชัชนี่แหละ เดี๋ยวผมไปเอาเอง”
เตชินเดินออกไปเลย ริลณีหันมองชัชที่ยังทำจมูกฟุดฟิดด้วยความรู้สึกกังวล
“สงสัยผมจะพูดมากไปหน่อย เจ้าที่เจ้าทางก็เลยโกรธ เลยส่งกลิ่นธูปมาเตือน แต่คุณรินไม่ต้องกลัวนะครับ กลิ่นหายไปแล้ว”
“รินไม่ได้กลัวที่คุณพูดหรอกค่ะ รินกลัวคุณมากกว่า”
ชัชยิ้มขำ คิดว่าโดนแซว
“ไม่ต้องกลัวผมนะครับ ถึงผมจะพูดมากไปนิด ปากเสียไปหน่อย แต่ผมคนดีแน่นอน พูดเอง คอนเฟิร์มเอง”
ชัชหัวเราะเริงร่า ในขณะที่ริลณีรู้สึกกังวลสุดๆ อีกด้านหนึ่งหมูหวานปีนแอบดูอยู่ เห็นชัชยืนพูด หัวเราะอยู่คนเดียว ก็นึกแปลกใจ
“เพื่อนคุณเตชิน ยืนพูดอยู่คนเดียวก็ได้ด้วย เพี้ยนชะมัด หรือว่าจะมีคนอื่นอีก”
หมูหวานพยายามจะมองหา แต่จู่ๆ หมาก็หอนขึ้นมาอย่างโหยหวน
“หรือยายมนุษย์ป้าจะพูดจริง เรื่องบนนี้มีผี ไม่เอาดีกว่า”
หมูหวานรีบวิ่งออกไป ด้วยความกลัว

เสียงหมาหอนยังคงดังโหยหวนไปทั่วบ้าน ชัชที่นั่งคุยจ้ออยู่ฝ่ายเดียวถึงกับผวา แต่พอหันมองหน้า ริลณีกลับเห็นทำหน้านิ่ง ไม่สะทกสะท้าน
“คุณรินนี่เก่งมากเลยนะครับ หมาหอนขนาดนี้ยังนิ่ง ไม่มีกลัวสักนิด”
ริลณียิ้มเย็น ๆ “ก็แค่หมาหอนนี่คะ”
“แต่เค้าว่ากันว่า หมาหอนแบบนี้ แสดงว่าหมามัน เห็นผี นะครับ แล้วผมว่าบ้านนี้มันก็ดูวังเวงน่ากลัวด้วย ถ้าให้ผมอยู่คนเดียวมีหวังประสาทหลอนแน่”
“คุณชัชกลัวผีเหรอคะ”
ชัชพยักหน้าหงึก “กลัวสิครับ ถึงผมจะเห็นบ่อยๆ แต่ผมก็ยังกลัวอยู่”
“แล้วคุณชัช แยกออกยังไงคะ ว่าที่เห็นน่ะ อันไหนผีอันไหนคน”
“มันก็ดูไม่ยาก ถ้าคนก็เหมือนเราๆ ปกติ แต่ถ้าผีก็มาทั้งภาพทั้งเสียง บางตัวเละบ้าง บางตัวซีดบ้าง บางตัวก็มีแค่กลิ่นเน่า บางตัวก็ทั้งเน่าทั้งเละ แต่ส่วนมากจะมาเป็นกลิ่นธูป บรึ๊ย แล้วรินไม่กลัวผีเหรอครับ”
ริลณีเสียงเครียดขึ้นมาทันที
“สำหรับริน ผีไม่น่ากลัวกว่าคนเลวหรอกค่ะ”
“จริงจังแบบนี้ แสดงว่ามีประสบการณ์ตรงแน่ๆ”
ชัชพูดพร้อมออกท่าทางโอเวอร์ๆ จนพระที่ใส่อยู่ในเสื้อโผล่ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ลำแสงรัศมี
พุทธานุภาพขององค์พระแผ่กระจายออกมาจนริลณีที่นั่งอยู่ชะงัก โดยที่ชัชไม่ทันสังเกต
“มีอะไรอยากเล่า ก็เล่าให้ฟังได้นะครับ ผมยินดีรับฟัง และพร้อมจะ.... เป็นอะไรรึเปล่าครับ ทำไมหน้าซีดยิ่งกว่าเดิมอีก”
ยิ่งชัชเขยิบตัวจะเข้าไปดูใกล้ๆ พระที่คอ ก็ยิ่งเข้าใกล้มากขึ้นไปอีก ริลณีรีบเขยิบออกหนีด้วยความกลัว พร้อมตะโกนออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
“ออกไป”
ชัชชะงัก ตกใจ “ขอโทษครับ คือผมไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไร แค่เห็นคุณรินดูไม่สบาย”
รัศมีพุทธานุภาพจากพระที่คอชัชยังคงแผ่ออกมา จนทำให้ริลณีไม่สามารถประคองร่างไว้แบบเดิมได้ ร่างของเธอเริ่มโปร่งแสง และกระพริบเป็นระยะๆ
ชัชเห็นร่างริลณีเหมือนจะโปร่งแสง เหมือนว่าจะหายไป ก็ต้องขยี้ตาเพื่อความแน่ใจ แต่เมื่อมองอีกทีร่างริลณีก็กลับมาเหมือนเดิม
“รินว่า รินรู้สึกไม่สบายจริงๆ แล้วค่ะ รินขอตัวกลับไปที่ห้องก่อนนะคะ”
ริลณีรีบวิ่งออกไป สวนกับเตชินที่เดินถือน้ำเข้ามา
“นั่นรินเค้าวิ่งไปไหน”
ชัชหน้าเจื่อน “เค้าบอกว่าไม่สบาย”
“แกไปทำอะไรเค้ารึเปล่า”
“เฮ้ย ไม่เกี่ยวนะเว้ย เค้าเป็นของเค้าเอง เฮ้ย ไอ้เต ฉันว่าบ้านแกดูแปลกๆ นะเว้ย ถามจริงเหอะ ก่อนเข้ามาอยู่ในบ้านเนี่ย เอาพระเข้าบ้านรึยัง”
เตชินส่ายหน้า “ยังไม่มีเวลาเลย”
ชัชรีบถอดสร้อยพระที่คอยื่นให้เพื่อนด้วยความเป็นห่วง
“เก็บเอาไว้คุ้มครอง บ้านนี้ต้องมีอะไรที่เป็นสิริมงคลบ้างว่ะ”

ที่มุมหนึ่งไม่ไกลจากตรงนั้น ริลณีแอบยืนมองด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ

เตชินเดินออกไปส่งชัชที่หน้าบ้าน จากนั้นก็เดินกลับเข้ามาใน พร้อมกับมีแมวดำตัวหนึ่งที่เดินตามเข้ามา โดยที่เขาไม่ทันสังเกต

เขามองสร้อยพระในมือ กำลังจะสวมคอ แต่จู่ ๆ ประตูในบ้านก็ปิดดังปัง เหมือนมีลมกระแทก เขาหันไปมองรอบๆ แปลกใจ พอจะสวมสร้อยพระที่คออีก กรอบรูปที่แขวนบนผนังร่วงลงมาแตกเพล้ง กรอบกระจกกระจัดกระจาย
เตชินตัดสินใจวางสร้อยพระ และโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะเตี้ยๆ แล้วเดินเข้าไปดูกรอบรูปที่ร่วง พร้อมกับก้มเก็บเศษแก้วที่เกลื่อนพื้น
แมวดำกระโดดขึ้นไปนั่งบนโต๊ะ จ้องสร้อยพระด้วยดวงตาวาวแดงแบบแมวปิศาจ ก่อนก้มลงจะคาบสร้อย แต่บังเอิญเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา แมวดำรีบกระโดดหนีหายไป
เตชินเดินมาหยิบโทรศัพท์ขึ้นไปกดรับ
“ครับ คุณเอกราช”
จังหวะที่เตชินถือโทรศัพท์ออกไปคุยด้านนอก แมวดำก็กลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง ก่อนจะคาบสร้อยพระ แล้วกระโดดออกจากหน้าต่างหายไปในความมืด
เตชินคุยโทรศัพท์เสร็จ ก็เดินกลับเข้ามาที่โต๊ะ แต่พอไม่เห็นสร้อยพระวางอยู่ที่เดิมก็นึกแปลกใจ เขาพยายามหามองหาไปทั่วบริเวณนั้นแต่ก็ไม่เห็น

เตชินเดินบ่นอุบเข้ามาในห้องนอน
“ไอ้ชัชมันให้สร้อยพระ แล้วไม่รู้อยู่ดีมันหายไปไหน ผมหาไม่เจอ รินช่วย...”
พูดถึงตรงนี้ก็ต้องชะงักกึก เมื่อเห็นริลณีนอนนิ่งอยู่บนเตียง เขารีบเข้าไปจับเนื้อจับตัวที่เย็นเฉียบ ก่อนจะพูดด้วยความเป็นห่วง
“ผมไม่นึกว่าคุณจะไม่สบายมากอย่างนี้”
“พักสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้นค่ะ รินไม่ได้พักผ่อน แถมยังต้องไปรับแขกอีก ก็เลยมึนน่ะค่ะ”
“ผมไม่น่าเอาไอ้ชัชมาวุ่นวายกับรินเลย ผมน่าจะรู้ว่ามันพูดมาก จนคนฟังปวดหัว”
ริลณีได้โอกาส รีบพูดเชิงขอร้อง
“รินอยากอยู่กับคุณเพียง 2 คน อย่าพาใครมาที่นี่นะ”
“แต่รินต้องรู้จักคนอื่นไว้บ้าง เผื่อมีเรื่องเดือดร้อน จะได้พึ่งพาเขาได้”
ริลณีนึกสังหรณ์ใจ “คุณพูดเหมือนว่าคุณจะไปไหน”
“ผมต้องไปดูแลงานซ่อมท่อที่โรงแรมของเอกราชที่ยังทำค้าง ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด อาจจะต้องเดินทางไปๆ มาๆ กรุงเทพ ต่างจังหวัดสักพัก”
พอได้ยินชื่อเอกราช ดวงตาของริลณีก็ฉายแววแค้นขึ้นมาทันที
“อย่าไปเลยค่ะ ขับรถทางไกลอย่างนั้นมันอันตราย รินไม่อยากให้คุณไปทำงานกับเค้า”
“เราเคยพูดเรื่องนั้นกันแล้วไม่ใช่เหรอครับ รินอย่างอแงนะ เดี๋ยวผมไปหายาให้รินก่อน”
พอเตชินเดินออกไป ริลณีก็กำมือแน่นด้วยความแค้น
“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ว่าพวกแกกำลังทำอะไร ฉันไม่มีวันปล่อยให้พวกแกยุ่งกับเตชินเป็นครั้งที่ 2 แน่”
ขาดคำร่างของริลณีก็หายไปจากตรงนั้นทันที

ริลณีปรากฏร่างในห้องเพนต์เฮ้าส์หรูของเอกราช เห็นเอกราชและปริมลดากำลังนั่งจิบไวน์กันไปวางแผนร้ายกันไป
“ฉันล่อไอ้เตชิน ให้มันออกมาจากถ้ำได้แล้ว ที่เหลือเธอก็คงต้องจัดการเอง”
“ทางเดียวที่จะจับตัวผู้ชายอย่างเตชินได้ คือจับรวบหัวรวบหางซะ”
ผีริลณียืนฟังอยู่ ถึงกับพลุ่งพล่านด้วยความแค้น
“ต้องลงทุนถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ผู้ชายแบบเตชิน ลองถ้ามีพันธะกับใครแล้ว เค้ารับผิดชอบไปตลอดชาติ”
“ไม่ใช่ว่าเค้าหลงเสน่ห์เธอนะ”
ปริมลดาพูดอย่างมั่นใจ
“อันนั้นมันก็แน่อยู่แล้ว ถ้าเจอคนอย่างปริมลดา รับรองว่าเตชินต้องไม่อยากกลับไปหาผู้หญิงคนไหนอีกแน่”
ทั้งคู่หัวเราะลั่นอย่างสะใจ ผีริลณีที่ยืนฟังอยู่โกรธจัด จนทำให้ ไฟในห้องดับพรึ่บ แต่เพียงวินาทีเดียวไฟก็ติดกลับมาเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว

พร้อมกับร่างของผีริลณี ก็หายไปจากตรงที่ยืนอยู่แล้ว

ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังรัวมาจากหน้าประตูห้อง ทั้งปริมลดา และเอกราชสะดุ้ง ตกใจ

เอกราช รีบลุกไปเดินไปเปิดประตูจะเอาเรื่อง แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นผีริลณียืนอยู่หน้าห้อง จ้องเข้าไปในดวงตา ฝ่ายนั้นถึงกับชะงักนิ่ง ราวโดนสะกดจิต
“ใครมาแกล้งนายน่ะ”
เสียงปริมลดาตะโกนถาม เอกราชไม่ตอบ หันหลังปิดประตู เดินกลับเข้าไปในห้อง ท่าทางเลื่อนลอยไร้สติ
ปริมลดาที่นั่งอยู่ หันมาเห็นเอกราชเดินขึ้นไปที่ระเบียงชั้น 2 โดยไม่มีเหตุผล ท่าทางก็ดูแปลกๆ
“นายจะไปไหน?”
ครั้นจะลุกไปตามเอกราช ผีริลณีก็ปรากฏตัวตรงหน้า จ้องเข้าไปในดวงตา
“รู้ใช่ไหมว่าจุดจบของพวกแกต้องเป็นยังไง”
ผีริลณีจิกตาร้าย เมื่อนึกถึงภาพที่เอกราชและปริมลดานั่งห้อยขาอยู่ที่ระเบียงชั้น 2 แล้วจู่ๆ ก็กระโดดพุ่งลงมา คนหนึ่งคอหัก อีกคนฟาดกับโต๊ะแก้วตายคาที่

ปริมลดาชะงักนิ่งราวโดนสะกดจิต ก่อนจะเดินอย่างเลื่อนลอยไร้สติ ตามเอกราชไปที่ระเบียง ผีริลณี
มองตาม แล้วยิ้มร้าย
ทั้งคู่นั่งห้อยขาอยู่บนขอบระเบียงชั้น 2 ผีริลณีปรากฏตัวขึ้น มองอย่างเหี้ยมโหด ไร้ความปรานี
“ฉันจะไม่ปล่อยพวกแกไปทำร้ายคนที่ฉันรักอีก ไปตายซะ”
ผีริลณียิ้มอย่างโหดเหี้ยม ก่อนจะยกมือขึ้น จะผลักเอกราชและปริมลดาให้ตกจากระเบียง
“หยุดเถอะโยม”
พลันเสียงของหลวงตาคงก็ดังแว่วเข้ามา มือของผีริลณีที่กำลังจะผลักชะงักกึก
“ถ้าโยมทำบาป ก่อเวรสร้างกรรมขึ้นมาอีก เวลาที่โยมจะได้อยู่กับคนที่โยมรักก็น้อยลง อย่าทำอย่างนี้เลย เชื่ออาตมาเถอะ”
ผีริลณีชะงักมือ ก่อนจะหายจากตรงนั้นทันที

ริลณีปรากฏร่างที่กุฎิ มีดวงจิตของหลวงตาคงยืนรออยู่ โดยที่กายหยาบของผู้ทรงศีลนั่งทำสมาธิอยู่นอกระเบียง
“ทำไมหลวงพ่อต้องห้ามฉันด้วย ในเมื่อคนพวกนั้นกำลังจะทำร้ายคนที่ฉันรัก”
“เพราะอาตมาไม่อยากเห็นโยมทำผิดไปมากกว่านี้ ยิ่งโยมทำร้ายคนอื่น ก็ยิ่งทำลายให้ตัวเองต้องตกไปอยู่ในขุมนรกไม่จบไม่สิ้น และไม่มีวันที่โยมจะได้กลับมาอยู่กับคนที่โยมรักอีก ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ โยมอยากให้เป็นแบบนั้นหรือ”
“ไม่อยากเจ้าค่ะ ตอนมีชีวิตฉันก็อาภัพ ถูกคนทำร้ายมามากพอแล้ว ตอนตายแล้วก็แค่อยากจะได้ขออยู่กับคนที่รักอย่างสงบสุขเท่านั้น”
หลวงตาคงยิ้มอย่างเมตตา
“อย่างนั้นโยมต้องเลิกผูกจิตพยาบาท อาฆาตกับทุกคน อย่าคิดทำร้ายหมายชีวิตพวกเขา เพราะแค่โยมคิด ก็เท่ากับว่าโยมลงไปอยู่ในนรกแล้ว”
“แต่คนพวกนั้นเคนทำร้ายฉัน”
“เขาจะได้รับกรรมของเขาเอง”
ริลณีหยุดคิดนิดหนึ่ง ก่อนถาม
“ถ้าฉันทำตามที่หลวงพ่อบอก ฉันจะได้อยู่กับเตชินอย่างสงบใช่มั้ยคะ”
“ก็ตราบเท่าบุญกรรมที่โยม 2 คนสร้างกันมา”
“ฉันจะทำตามที่หลวงพ่อบอกค่ะ”
ริลณีก้มกราบกับพื้น ก่อนที่ร่างนั้นจะหายไป หลวงตาคงถอนหายใจอย่างเป็นห่วง

อีกฟาก ไฟในห้องสว่างพรึ่บ เอกราชและปริมลดาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โซฟา หันมองหน้ากัน ต่างคนต่างรู้สึกแปลกๆ งงๆ ทั้งคู่จำช่วงเวลาที่โดนสะกดไม่ได้ ทุกอย่างทำไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็รินไลน์เติมให้กันอย่างไม่สะทกสะท้านสักนิด

ริลณีนอนครุ่นคิดอยู่บนเตียง ก่อนจะหันไปกอดเตชินที่หลับอยู่ด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง
“ถ้าความอาฆาตแค้นของริน จะทำให้เรา 2 คนต้องพรากกัน รินจะขอหยุดมันตราบเท่าที่ไม่มีใครมาวุ่นวายกับความรักของเราอีก”

ริลณีกอดแตชินแน่น แทนคำสัญญาที่ให้ไว้

อ่านต่อหน้า 2

นางชฎา ตอนที่ 8 (ต่อ)

เอกราชไปรับชมพูมาฝึกเต้นรำที่โรงเรียนสอนเต้นรำชื่อดังย่านกลางเมือง คู่เต้นคู่อื่นเต้นด้วยลีลาพลิ้ว และคล่องแคล่ว ในขณะที่คู่ของเอกราชและชมพูยังดูไม่ค่อยๆ จะเข้าคู่นัก เพราะเพิ่งมาลองเต้นครั้งแรก บางจังหวะก็เหยียบเท่ากันบ้าง เต้นผิดไปบ้าง

แต่ทุกครั้งที่ทำผิด ชมพูจะหัวเราะขำ ลืมความทุกข์ที่เคยมี ทำให้เอกราชพลอยยิ้มมีความสุขไปด้วย

ที่หน้าห้องเรียน เอทีเอ็มเดินเข้ามาหาพนักงานเพื่อคุยธุระที่ได้นัดหมายกันไว้
“ผมมาจากฝ่ายบัญชี บริษัทออกแกไนซ์ ที่โทรมานัดเมื่อเช้า”
“รอสักครู่นะคะ”
พนักงานเดินออกไป เอทีเอ็มยืนรอมองไปรอบๆ เห็นชมพูและเอทีเอ็มเต้นรำกันอยู่ ก็รีบเดินเข้าไปมองใกล้ๆ ด้วยความแปลกใจ ระคนเป็นห่วง

เอกราชกับชมพูเดินซับเหงื่อ คุยกันมาหลังจากเรียนเสร็จ
“ขอบคุณนะคะที่พามา แล้วก็ขอบคุณที่เป็นห่วงโทรมาถามไถ่กันตลอดด้วย ตอนนี้ชมพูดีขึ้นแล้ว กลับมายิ้มได้แล้ว เห็นมั้ย”
ชมพูพยายามจะทำตัวร่าเริงให้เอกราชเห็น
“ถ้าอยากจะเศร้าก็ไม่ต้องฝืนหรอก ผมเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้ไม่ได้ทำใจกันง่ายๆ”
ชมพูหน้าสลดวูบทันที
“นั่นสินะ กว่าจะรัก กว่าจะได้คบกัน ได้อยู่ดูแลกัน เวลายาวนานแบบนั้น จะทำใจลืมเพียงชั่วข้ามวันได้ยังไง”
“แต่เชื่อสิ ว่าชมพูจะต้องได้เจอคนใหม่ที่ดีกว่าเตชินแน่ๆ”
เอกราชมองหน้าชมพูยิ้มๆ เหมือนพยายามจะบอกความรู้สึก แต่เธอแกล้งทำเป็นไม่รู้ รีบตัดบทขอตัวกลับทันที
ชมพูเดินเลี่ยงออกไป เอกราชมองตาม จากหน้ายิ้ม อ่อนโยน กลับกลายเป็นเจ้าชู้ร้ายกาจ

เตชินถือแบบแปลนคุยงานกับช่าง ก่อนจะชี้จุดต่างๆ ในแปลนที่ต้องแก้ไข พอพวกช่างเดินออกไป
เขาก็หันหลังจะเดินกลับ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นปริมลดายืนยิ้มรออยู่
เขาพยายามจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่เธอก็เดินมาขวางหน้าไว้
“ตั้งแต่มีข่าว คุณเตชินไม่คิดจะโทรไปเคลียร์กับลดาเลยเหรอคะ”
“ก็ไม่มีเรื่องอะไร ทำไมต้องเคลียร์ล่ะครับ”
ปริมลดาแอบยิ้มเยาะ
“ถ้าไม่มีเรื่อง แล้วทำไมเตชินกับชมพูถึงยกเลิกงานแต่งงานละคะ มันต้องมีอะไรที่เกี่ยวกับลดาบ้างสิ”
“ถ้ามี ก็คงไม่เกี่ยวกับคุณ ขอตัวก่อนนะครับ งานเร่ง”
ปริมลดารีบเดินเข้าไปจับแขนเตชินไว้
“ที่ลดามาที่นี่ เพราะลดาอยากจะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นนะคะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ มันเป็นแค่ข่าวไร้สาระ เดี๋ยวคนก็ลืม”
“แต่ลดาไม่อยากให้เตชินลืม ลดาอยากให้ข่าวนั้นมันเป็นความจริง”
ปริมลดายิ้มยั่ว จนเตชินนึกรังเกียจ
“ก่อนที่คุณจะพูดอะไรแบบนั้น คุณควรคิดว่าคุณเป็นเพื่อนของชมพู”
“ก็พี่เตชิน เลิกกับชมพูแล้ว ลดาจะต้องแคร์อะไรอีก ลดาว่าเรา 2 คนน่าจะมาคบกันนะคะ”
“ถ้าคุณปริมลดาจะมาพูดเรื่องอะไรไร้สาระแบบนี้ ผมต้องขอตัว”
พูดเสร็จ เตชินก็สะบัดแขนปริมลดาที่เกาะเอาไว้อย่างไม่ใยดี แล้วเดินออกจากห้องไป ปริมลดามองตามด้วยความโมโห
“เตชิน คอยดูเถอะ ฉันต้องทำให้นายมาสยบแทบเท้าฉันให้ได้”

ชมพูนั่งอยู่บนเก้าอี้ริมสระน้ำในมหาวิทยาลัย เหม่อมองท้องน้ำที่อยู่ตรงหน้าครุ่นคิด ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วลุกขึ้นทำท่าจะเดินกลับ แต่กลับเห็นเอทีเอ็มยืนกอดอกมองอยู่
“เอทีเอ็ม นายมายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไงเนี่ย”
“ฉันก็มาติวหนังสือให้เด็กๆ ที่มหาวิทยาลัยประจำอยู่แล้ว ฉันต่างหากต้องถามเธอ ว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ได้ยังไง เมื่อกลางวันยังเห็นเต้นรำกับเอกราชอยู่เลย”
“นี่นายเห็นเหรอ”
“พอดีไปทำธุระที่นั่น เสียใจด้วยนะเรื่องงานแต่งงาน”
เอทีเอ็มพูดอย่างจริงใจ ชมพูพยักหน้ารับ
“พอไม่ได้จัดงานแต่ง ชีวิตตอนนี้ก็ว่างมาก ไม่รู้จะทำอะไร”
“ก็ทำงานสิ”
ชมพูหน้าเศร้า “นายก็รู้ว่าความจำของเราไม่ปกติ”
“ก็ทำงานที่ไม่ต้องใช้ความจำสิ”
ชมพูเลิกคิ้วอย่างสงสัย “มีด้วยเหรอ”

“มีสิ ก็งานที่ใช้ใจทำ งานที่เธอรักไง”

ถัดจากนั้นไม่นาน ชมพูยืนอยู่ในห้องชมรมนาฏศิลป์ มองรุ่นน้องกำลังซ้อมรำด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะแอบเผลอยกมือยกไม้รำตามอย่างคล่องแคล่ว เอทีเอ็ม และ อาจารย์นาฎมองด้วยสายตาแย้มยิ้ม

“ครูไม่อยากเชื่อเลยว่าชมพูยังรำได้”
“ท่ารำพวกนี้มันคงอยู่ในหัวใจหนูจริงๆ อย่างที่เอทีเอ็มพูดน่ะแหละค่ะ”
“ถ้าชมพูอยากจะมาช่วยครูสอนน้องๆ นักคึกษาที่ชมรมนี้ละก็ ครูจะยินดีมากเลยนะ”
ชมพูยิ้มดีใจ “จริงๆ นะคะ ชมพูจะมาสอนพวกน้องๆ รำได้จริงๆ นะคะ”
“จริงสิ คิดถึงริลณีนะ ถ้าเค้าได้กลับมาช่วยครูอีกคนก็คงดี”
ชมพูพยายามนึก “ริลณี อีกแล้วเหรอ”
พลันภาพของริลณีก็ผ่านเข้ามาในหลายๆ เหตุการณ์ก่อนจะทิ้งภาพสุดท้ายตอนที่ริลณียื่นจี้นางรำให้เธอ
ชมพูที่พยายามคิดเรื่องริลณี เผลอกำมือแน่น เล็บจิกลงไปบนแผลบนฝ่ามือ จนเลือดไหลออกมาเป็นทาง เอทีเอ็มตกใจรีบคว้ามือขึ้นมาดู ขณะที่ชมพูเริ่มปวดหัวจี๊ดขึ้นมา
“โอ๊ย ทำไมทุกครั้งที่เราพยายามคิดถึงริลณี เราต้องปวดหัวแบบนี้ด้วย”
เอทีเอ็มรีบเข้าไปประคองชมพูที่กำลังเริ่มจะปวดหัวออกไปจากห้อง อาจารย์นาฎมองตามด้วยความเป็นห่วง

เอทีเอ็มพาชมพูมานั่งที่โต๊ะม้าหิน พลางดูแลหายาให้ทาน พร้อมทั้งใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเลือดจากแผลที่ฝ่ามือให้ด้วยความเป็นห่วง
“ถ้ารู้ว่าคิดอะไรแล้วปวดหัวก็ไม่ต้องไปคิด ส่วนเรื่องรินน่ะ ถ้าเธออยากรู้อะไร เดี๋ยวเราจะเล่าให้ฟังเอง อ่ะ เสร็จล่ะ”
ชมพูมองแผลที่เอทีเอ็มทำให้ แล้วก็ยิ้มน้อยๆ
“ทำแผลเก่งเหมือนกันนะเนี่ย”
“เด็กกำพร้าก็ต้องเก่งทุกอย่างสิ ไม่งั้นเอาตัวไม่รอด อย่าบอกนะว่าเธอลืมไปแล้วว่าฉันเป็นเด็กกำพร้า”
ชมพูหัวเราะขำ “เรื่องนั้นไม่ยักกะลืมแฮะ”
“เธอคิดอยากจะหาอะไรทำ ก็แวะมาที่บ้านเด็กกำพร้าได้นะ รับรองมีงานให้เธอทำเพียบ”
“ไปแน่นอน สัญญาจ้ะ ฝากบอกเฟื่องฟ้าด้วยนะว่าวันหลังฉันจะซื้อของไปฝากเด็กๆ ขอบคุณสำหรับวันนี้มากเลยนะ ฉันมีความสุขมากๆ เลย ดีใจจริงๆ ที่ได้เจอนาย ไปนะ”
ชมพูโบกมือบ๊ายบายเอทีเอ็ม ก่อนจะเดินไปขึ้นรถตู้
เอทีเอ็มมองตามรถตู้ที่ขับเคลื่อนออกไป แล้วแอบเผลอยิ้มอย่างมีความสุขโดยไม่รู้ตัว

“นายว่า เรื่องที่ชมพูยกเลิกงานแต่งงานกับคุณเตชิน จะเกี่ยวกับรินมั้ย”
เฟื่องฟ้าหันมาถามเอทีเอ็ม ขณะช่วยกันพับเสื้อของเด็กๆ สำหรับเก็บเข้าที่
“ไม่น่าเกี่ยวมั้ง”
“แต่นายก็เห็น วันนั้นที่เรากินปิ้งย่างกัน คุณเตชินกับริน ดูเค้าจะยังไงๆ กันอยู่นะ ถึงปากจะบอกว่าเป็นเพื่อนก็เถอะ”
“อะไรที่เราไม่รู้ก็อย่าเพิ่งพูดไป ใครมาได้ยินเค้าจะหาว่ารินเป็นคนไม่ดี”
เฟื่องฟ้ารีบบอก
“รินจะเป็นคนไม่ดีได้ยังไง ในเมื่อรินกับคุณเตชินเค้ารักกันมาตลอด ถ้าไม่มีคนขัดขวางป่านนี้แฮปปี้เอ็นดิ้งกันไปแล้ว”
“งั้นก็น่าสงสารชมพูนะ ถ้าต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักตัวเองแบบนี้ ก็ดีแล้วล่ะ ที่งานแต่งงานยกเลิกไปได้”
เฟื่องฟ้าหันมองหน้าเอทีเอ็มอย่างนึกแปลกใจ
“แหมๆ ทุกทีเข้าข้างรินตลอด ไปเจอชมพูแค่วันเดียว เปลี่ยนใจไปเข้าข้างเค้าแล้ว คิดไรกับชมพู
ป่าวเนี่ย”
“จะคิดอะไรก็แค่สงสาร แล้วก็เป็นห่วงกลัวว่าเอกราชจะเข้ามาทำอะไรไม่ดีๆ ให้ชมพูเสียใจอีก ก็เท่านั้น”
“ให้เท่านั้นจริงๆ เถอะ เอทีเอ็ม อย่าลืมว่าเราเป็นหมากำพร้า ดอกฟ้าเค้าไม่หันมามองหรอก จำเอาไว้ด้วย”
เอทีเอ็มพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ และเจียมตัว

อีกฟาก หงส์หยกนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น ในขณะที่ตุลเทพ ประวิทย์ เอกราช ปริมลดา และเชิงชาย มองจ้องอย่างไม่พอใจ
ปริมลดาโวยวายเสียงดังขึ้นมาเป็นคนแรก
“นี่ถ้าไม่โดนผีนังนั่นหลอก เธอก็คงไม่คิดจะเล่าเรื่องที่ขโมยแหวนใช่มั้ย”
หงส์หยกน้ำตาคลอ “ฉันกลัวพวกเธอโกรธ เกลียด แล้วก็ไม่คบกับฉันนี่”
“แต่นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายมากนะ”
เอกราชหน้าเครียด ตุลเทพรีบพูดเสริม
“ใช่ ถ้าเกิดนังผีนั่นมันได้แหวนไป แล้วฆ่าใครคนนึงในพวกเรา เธอจะรับผิดชอบได้มั้ย”
ปริมลดามองค้อน “ถ้ามันจะฆ่า ก็เธอก่อนน่ะแหละ”
หงส์หยกที่โดนรุมด่ายิ่งร้องไห้โฮ จนประวิทย์นึกเห็นใจ
“เอาเถอะ เรื่องนั้นเราค่อยพูดกัน แหวนยังอยู่ที่เธอใช่มั้ย”
หงส์หยกส่ายหน้า
“ไม่อยู่ ตอนนี้แหวนหายไปไหนก็ไม่รู้”
เอกราชลุกขึ้นไปจับแนนหงส์หยกบีบแล้วเขย่าด้วยความโมโหจัด
“นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะเว้ย บอกมาว่าแหวนอยู่ไหน”
ประวิทย์ ตุลเทพ เชิงชาย ต้องรีบมาแยกเอกราชออก ก่อนที่จะทำร้ายหงส์หยกมากกว่านี้
“มัวแต่ร้องไห้อยู่นั่นแหละ ก็บอกมาสิว่าแหวนอยู่ที่ไหน” ประวิทย์ถามย้ำ
“ก็บอกแล้วไงว่า มันหายๆๆ”
“เธอซ่อนไว้ในตู้ไม่เคยเอาออกมา แล้วมันจะหายได้ยังไง” ปริมลดาย้อนถาม “เธออยู่กับพ่อ 2 คนไม่ใช่เหรอ พ่อเธอน่ะแหละที่ขโมย”
“แต่ป๊าเค้าบอกไม่รู้เรื่อง”
“ป๊าเธอมันก็ขี้โกหกเหมือนกับเธอนั่นแหละ ลองลูกขี้ขโมยแบบนี้ พ่อก็คงขี้ขโมยไม่ต่างกันหรอก”
“ไปหาแหวนมาให้ได้ ไม่งั้นเธอตาย ก่อนผีนังนั่นมาฆ่าแน่”
เอกราชจ้องหน้าอย่างเอาจริง

หงส์หยกกลัวจนตัวสั่นรีบวิ่งลนลานออกไปทันที

พอหงส์หยกเข้าบ้านมา ป๊าที่นั่งนับเงินอย่างมีความสุข ก็ตกใจ รีบเอาเงินซ่อนแทบไม่ทัน

“ป๊าเอาเงินมาจากไหน ป๊าขโมยแหวนของหนูไปขายใช่มั้ย”
“เออ ! อั๊วเอาไปขาย ลื้อมีอะไรมั้ย”
หงส์หยกทำท่าจะร้องไห้ “ป๊าทำอย่างนี้ได้ยังไง ป๊ารู้มั้ยว่าแหวนนั่น ....”
“แหวนนั่นทำไม ลื้อไปหลอกใครมาใช่มั้ย อั๊วคิดไว้อยู่แล้ว ไม่เอาน่าลื้อหลอกเค้ามาวงนึงได้ ลื้อก็ไปหลอกอีกหลายๆ วงได้ วงนั้นให้ป๊าขายใช้หนี้บอลเถอะ”
ป๊าพูดจบก็จะเดินออกไป แต่หงส์หยกตามไปขวางไว้
“ บอกมาป๊าเอาไปขายที่ไหน”
ป๊าแปลกใจ “นี่ลื้อท่าทางซีเรียสมากเลยนะ”
“ถ้าฉันหาแหวนไม่ได้ ฉันอาจต้องตาย ซีเรียสพอมั้ย”

ที่ร้านรับซื้อของเก่า ซึ่งเป็นร้านห้องแถวเก่าๆ ไม่ใช่ร้านหรูหรา เจ๊เจ้าของร้านยัดถุงพลาสติก ที่
ข้างในมีแหวนที่คนมาขายหลายวง รวมทั้งแหวนที่ป๊าหงส์หยกเอามาขายด้วย ใส่กระเป๋าสะพายไหล่ ก่อนจะปิดประตูหน้าร้าน กำลังปิดประตูยืดล็อก จังหวะนั้นขโมยที่ยืนจ้องอยู่ ก็รีบวิ่งมาฉกกระเป๋าแล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
เจ๊ตกใจร้องโวยวายเรียกให้คนช่วย น้าไหวกับกล้าเดินกอดคอเมามาด้วยกัน ได้ยินเสียงร้องโวยวายพร้อมทั้งเห็นขโมยกำลังวิ่งผ่านมา ทั้งคู่รีบยืดขาไปสกัด จนขโมยสะดุดล้มหน้าคว่ำ กระเป๋ากระเด็นหลุดมือ
โจรโกรธจะหันมาเอาเรื่อง แต่เห็นกล้ากับน้าไหวมีกัน 2 คน ก็รีบวิ่งหนีไป
ทั้งคู่รีบเดินไปหยิบกระเป๋า เป็นจังหวะที่เจ๊วิ่งกระหืดหระหอบเข้ามา
“นี่จ๊ะกระเป๋าเจ๊ พวกเราเสี่ยงชีวิตเอาคืนมาให้เจ๊แล้ว”
เจ๊รีบดึงกระเป่ามาจากมือกล้า แล้วเดินหันหลังเชิดออกไป น้าไหวกับกล้าอ้าปากหวอ
“ขอบคุณสักคำน่ะเป็นมั้ย หา ทำนิสัยแย่ๆ ระวังจะแพร่ไปถึงลูกหลานะเจ๊ อด”
กล้าบ่นอุบ แต่น้าไหวรีบพูดขึ้นมา
“ไม่อดเว้ย ฟ้ายังมีตา”
น้าไหวทำตาลุกวาว ก่อนจะเดินไปหยิบแหวนเพชรของริลณีมายื่นให้กล้าดู
“คงหล่นมาจากกระเป๋ายายเจ๊นั่นนี่ เอากลับไปคืนมั้ยน้า”
น้าไหวรีบสั่นหัว
“ก็ถ้าเมื่อกี๊ เป็นคนดี มีน้ำใจ ข้าก็จะมีน้ำใจตอบเว้ย แต่มาทำเริ่ดๆ เชิ่ดๆ แบบนี้ ก็ถือเป็นของรางวัล
คนดีก็แล้วกัน”
ทั้งคู่มองแหวนเพชรในมือ แล้วกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างดีใจ

จิตรากระแทกหูโทรศัพท์ด้วยความโมโห หลังจากที่นักสืบไม่สามารถค้นข้อมูลของริลณีมาให้ได้
“นังริลณี ถ้านักสืบนั่นตามหาเธอไม่ได้ ฉันก็จะไปหาเธอเอง”

ริลณีกำลังบรรจงปลูกต้นไม้ไปรอบๆ บริเวณหลุมฝังศพ โดยมีเตชินยืนมองอยู่ใกล้ๆ
“ทำไมรินถึงอยากจะปลูกต้นไม้ตรงนี้ละครับ ปลูกไปก็ไม่มีใครมาเห็น”
“รินไม่ได้ปลูกเพื่อคนอื่นหรอกค่ะ รินปลูกเพื่อตัวเอง ที่ตรงนี้แถบนี้มันแห้งเฉา ห่อเหี่ยวมานานแล้ว
ถ้ามีต้นไม้ ดอกไม้สวยๆ คงจะทำให้น่าอยู่ขึ้น”
เตชินรีบช่วยหยิบต้นไม้ไปวางลงไปในหลุมที่ริลณีขุดไว้ ก่อนจะช่วยกันโกยดินกลบ เห็นมือของ 2 คนจับกันไปมา
“ช่วยแบบนี้แล้วเมื่อไหร่รินจะปลูกเสร็จละคะ”
ทันใดนั้นเสียงแตรรถก็ดังมาจากหน้าบ้าน เตชินชะงัก รีบลุกขึ้น ชะง้อคอดู
“ใครมาก็ไม่รู้”
ริลณีเพ่งดู แล้วยิ้มร้าย “คุณแม่คุณค่ะ”
เตชินหันมองหน้าริลณีอย่างตกใจ !!

จิตราเปิดประตูลงมาจากรถ ก่อนจะส่งสายตาพิฆาตไปทางสร้อย สมหมาย และ หมูหวานที่มายืนรอรับอยู่
“ส่งมาอยู่ที่นี่ ไม่มีใครได้เรื่องสักคน”
ทุกคนก้มหน้าจ๋อย ไม่มีใครกล้าเถียง จิตราสะบัดหน้าพรืด เดินเริ่ดๆ เชิดๆจะเข้าไปในบ้าน แต่เตชินรีบวิ่งมาห้ามไว้
“คุณแม่ จะมาที่นี่ทำไมไม่บอกผมก่อน ผมจะได้ไปรับ”
“ถ้าบอกแกก่อน แม่ก็คงไม่ได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้”
พูดพลางขยับจะเข้าบ้าน แต่เตชินยังขวางไว้อีก
“คุณแม่อยากรู้อะไรครับ”
“แม่อยากรู้ว่าแกซ่อนนังริลณีไว้ที่ไหน”
เตชินทำหน้าเลิ่กลั่ก จิตรายิ้มอย่างผู้ชนะ ก่อนจะผลักตัวลูกชายออกแล้วเดินเข้าไปในบ้านทันที เตชินได้สติรีบวิ่งตามแม่เข้าไป

สมหมาย หมูหวาน สร้อยหันมองหน้ากัน แล้วก็รีบตามเข้าไป

จิตราเปิดประตูเข้าไปในห้องโถงกลาง พยายามมองหา แต่ไม่มีริลณีอยู่ในนั้น เตชินแอบถอนหายใจโล่งอก คุณหญิงไม่ละความพยายามเดินต่อเข้าไปสำรวจภายในห้องครัว แต่ก็ไม่เห็นริลณี หรือข้าวของอะไรใดๆ ที่จะพิสูจน์ว่าเธออยู่ที่นี่

สุดท้ายจิตรานั่งกอดอกอยู่ที่ห้องโถงกลาง พร้อมกับปรายตามองเตชินที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างๆ สมหมาย หมูหวาน และสร้อยเดินออกมาแล้วส่ายหัว ต่างคนต่างไม่เจอริลณี
“ยังมีห้องไหนอีกบนเรือนนี้ ที่พวกเรายังไม่ได้ดู”
จิตราถามเสียงเข้ม สร้อยตอบเสียงอ่อยๆ
“ห้องนอนคุณเตชินค่ะ”
จิตราปรายตามองลูกชาย แล้วเดินออกไปทันที เตชินรีบเดินตามไป ด้วยสีหน้ากังวล

จิตรายืนอยู่หน้าประตูห้องนอนที่ปิดอยู่ ก่อนจะผลักประตูเข้าไปในห้อง เตชินหน้าเครียดมั่นใจว่าแม่จะต้องเจอริลณีแน่ๆ แต่แล้วเขาก็ต้องแปลกใจ เมื่อมองไปในห้องนอน กลับไม่มีเธออยู่ในห้องนั้น แถมข้าวของเครื่องใช้ เครื่องนอนของเธอก็หายไปหมดด้วย
จิตราเดินไปสำรวจทุกซอกทุกทุกมุมในห้อง ในตู้เสื้อผ้า ลิ้นชัก แต่ก็ไม่พบอะไรผิดสังเกต
“ลูกเอานังนั่นไปซ่อนไว้ที่ไหน”
“หาขนาดนี้ยังไม่เจอ คุณแม่คิดว่าผมเอาไปซ่อนที่ไหนละครับ”
จิตรามองไปรอบๆ ห้อง ครั้นไม่มีหลักฐานอะไรให้จับผิดได้เลยจริงๆ ก็เดินปึงปังออกไปจากห้องด้วยความโมโห
สร้อย สมหมาย หมูหวาน ที่กลัวจนหัวหด รีบเดินตามจิตราออกไปทันที
เตชินมองไปรอบๆ ห้องก่อนจะถอนหายใจโล่งอก

จิตราเดินปึงปังอย่างเสียหน้า กำลังจะขึ้นรถ แต่ไม่วายหันกลับมาเอาเรื่องเตชินที่เดินตามมาส่ง
“อย่าให้รู้นะ ว่ามีใครแอบซ่อนเอาไว้ แม่ไม่ยอมแน่ คนที่จะแต่งงานกับลูกต้องเป็นหนูชมพูเท่านั้น”
เตชินถอนหายใจเฮือก
“เรื่องมาขนาดนี้แล้ว คุณแม่ยังไม่เลิกจับคู่ผมกับน้องชมพูอีก”
“ก็เพราะไม่มีผู้หญิงคนไหนดีกว่ากับแก เท่ากับหนูชมพูอีกแล้ว”
เตชินมองแม่แบบเซ็งๆ ก่อนเดินกลับเข้าบ้านไป
ขณะที่จิตรากำลังจะเดินขึ้นรถ จู่ๆ ก็มีลมพัดเข้ามาปะทะหน้าวูบใหญ่ พร้อมผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งที่ปลิวตกลงมาที่พื้น ครั้นก้มเก็บผ้าเช็ดหน้านั้นขึ้นมาดู ก็เห็นว่าที่ริมขอบหนึ่งของผ้าเช็ดหน้ามีชื่อ “ริลณี” ปักอยู่ จิตรากำผ้าเช็ดหน้าแน่นด้วยความแค้น
“หลบเก่งนักใช่มั้ย อยากรู้นักว่าถ้าคนที่แกรักเจ็บปวด แกจะยอมออกมาจากที่ซ่อนมั้ย”

เตชินเปิดประตูไปตามห้องต่างๆ ภายในบ้าน แต่ก็ไม่เจอริลณี เขานึกร้อนใจ กังวล ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน แล้วก็ถึงกับชะงัก เมื่อเห็นริลณีนั่งอยู่บนเตียง โดยมีข้าวของต่างๆ กลับมาวางอยู่ในห้องเหมือนเดิม
“ริน เมื่อกี๊คุณหายไปไหนมา ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่”
“รินหลบอยู่ในบ้านนี้แหละค่ะ”
เตชินมองอย่างแปลกใจ
“แล้วรินไปซ่อนที่ไหน ทำไมใครๆ หาถึงไม่เจอ”
ริลณีอมยิ้ม “ความลับค่ะ”
“แล้วข้าวของคุณละครับ แอบไปเก็บตอนไหน”
“ก็บอกแล้วไงคะ ความลับ”
เตชินไม่อยากเซ้าซี้ รีบพูดขอโทษ “ผมขอโทษที่ทำให้รินลำบากแบบนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ตื่นเต้นดี”

เตชินถอนหายใจด้วยความหนักใจ ริลณียิ้มร้ายอย่างท้าทาย

อ่านต่อหน้า 3

นางชฎา ตอนที่ 8 (ต่อ)

คุณหญิงกลับไปแล้ว 3 คนรับใช้ก็จับกลุ่มเม้าท์กันว่าสรุปแล้ว ในบ้านนี้มีคนอยู่กับเตชินหรือเปล่า หมูหวานยืนยันว่ามี

“ต้องมีคนอยู่บนบ้านนั้นแน่ๆ ไม่ได้สังเกตหน้าคุณเตชินเหรอ ถ้าไม่มีใครบนนั้น ทำไมต้องทำหน้ากลัวคุณหญิงจิตราด้วย แต่ทำไมถึงไม่เจอ นั่นแหละน่าแปลกที่สุด”
“แล้วเป็นไปได้มั้ยว่า ใครที่อยู่บนเรือนนั้น ไม่ใช่คน แต่เป็น ….ผี” สร้อยตั้งข้อังเกต
สมหมายรีบแย้ง
“เรื่องผีเรื่องสางพวกเราปรุงแต่งกันไปเองทั้งนั้น สรุปพวกเราเวิ่นเว้อไปเอง ความจริงก็แค่คุณเตชินอยู่ที่บ้านนั้นคนเดียวไม่มีใคร ไม่มีอะไร”
แต่สร้อยไม่เชื่อแบบนั้น
“ยังไงฉันก็มั่นใจว่าบนเรือนต้องมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลแน่ๆ”

เจ๊เจ้าของร้านรับซื้อของเก่าก้มนับแหวนในถาดด้วยความแปลกใจ เมื่อพบว่าแหวนของริลณีหายไปวงหนึ่ง ขณะกำลังก้มหา ก็เห็นเงาเหมือนมีคนกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาในร้าน พอหันไปมอง ก็เห็นเอกราช ประวิทย์ เชิงชาย ตุลเทพ ปริมลดา หงส์หยก ยืนจ้องอยู่
“จะเอาอะไรมาขายค่ะ”
หงส์หยกรีบบอก “ฉันจะมาซื้อแหวนที่ป๊าของฉันมาขายเมื่อวันก่อน”
“สามหมื่น” เจ๊พูดโดยไม่ต้องคิด
เอกราชวางเงินไว้บนโต๊ะปึกหนึ่ง
“ฉันให้เจ๊สี่หมื่น รีบไปเอาแหวนนั่นมาเร็วๆ อย่าให้พวกฉันเสียเวลา”
“แล้วแหวนหน้าตาแบบไหน วันๆ คนมาขายตั้งเยอะตั้งแยะ”
“แหวนวงทองๆ ที่มีเพชรเม็ดใหญ่ๆ เม็ดนึงน่ะ” หงส์หยกอธิบาย
เจ๊มองเงินสี่หมื่นแล้วทำตาโตด้วยความละโมภ รีบก้มลงทำเป็นหาแหวน ก่อนจะแอบเหลือบมองเห็น ทั้ง 6 คนท่าทางดูอยากได้แหวนมากๆ พอเห็นแหวนอีกวงที่มีลักษณะคล้ายๆ กัน เจ๊ก็หยิบมายื่นให้เอกราช
“วงนี้ใช่มั้ย”
เอกราชมองหน้าหงส์หยก “ใช่วงนี้รึเปล่า”
หงส์หยกหยิบแหวนมาพิจารณา “ฉันก็จำไม่ได้ แหวนมันต้องมีเชือกสีขาวๆ ผูกไว้”
เจ๊รีบบอก “ตอนซื้อมาก็ไม่มีอะไรผูกแล้วหละ”
พอเพื่อนๆ กดดันมากๆ หงส์หยกก็ลนลาน รีบบอกอย่างไม่ค่อยเต็มปาก
“ใช่ มั้ง”
แล้วทั้งหมดก็รีบเดินออกไปจากร้าน เจ๊ถอนหายใจโล่งอก แล้วรีบเก็บเงินใส่กระเป๋า

เอกราช ประวิทย์ ตุลเทพ เชิงชาย ปริมลดา และหงส์หยก ยืนล้อมรอบเตาหลอมที่มีของเหลวสีเปลวไฟดูร้อนแรงน่ากลัว
เอกราชรีบหยิบแหวนออกมา แล้วโยนเข้าไปในเตาหลอม จนแหวนหลอมละลายกลายเป็นเนื้อเดียวกับของเหลวในเตาแทบจะทันที
ทั้ง 6 คนมองหน้ากันอย่างโล่งอก

เฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มนั่งอยู่บนโต๊ะ กำลังคิดบัญชีใช้จ่ายภายในบ้านอยู่ จู่ๆ จิตราเดินเข้ามา พร้อมชายฉกรรจน์ 2 คน ท่าทางดูนักเลง
ทั้งคู่เงยหน้ามองแล้วก็ตกใจ พร้อมกับที่จิตราบอกความจำนงค์
“ฉันต้องการพบริลณี”
เฟื่องฟ้ารีบบอก
“เอ่อ...ริลณีไม่ได้อยู่ที่นี่ค่ะขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครคะ”
จิตรายิ้มร้าย
“ฉันก็เป็นคนที่ไม่ต้องการให้นังเด็กนั่น เข้ามายุ่งเกี่ยวในชีวิต แล้วก็วงศ์ตระกูลของฉัน โดยเฉพาะ
ลูกชาย ฉันไม่ต้องการให้ลงไปเกลือกกลั้วกับคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนั้น”
เฟื่องฟ้านึกรู้ทันที
“อ๋อ ไม่ต้องบอกก็เดาได้ ว่าคนที่มีวิธีคิดโบราณคร่ำครึแบบนี้คือใคร”
“ถ้าพวกเธอรู้จักฉัน ก็แสดงว่านังเด็กนั่นคงสาระแนเอาเรื่องอะไรต่อมิอะไรมาเล่าให้ฟัง งั้นก็ไม่ผิดที่แล้ว ริลณีต้องอยู่ที่แน่ ไปหามันให้เจอ”
ชายฉกรรจน์ 2 คนจะเดินเข้าไป แต่เฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มขวางไว้
“ คุณไม่มีสิทธิบุกรุกเข้าไปนะ”
“ ริลณีไม่ได้อยู่ที่นี่”
จิตราแสยะยิ้ม
“ฉันไม่เชื่อ หาให้เจอ”
ชายฉกรรจน์ 2 คน จะเดินเข้าไป เฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มรีบเข้ามาขวาง เฟื่องฟ้าถุกผลักกระเด็นไปกระแทกกับโต๊ะจนล้มคว่ำ ข้าวของกระจัดกระจาย ส่วนเอทีเอ็มก็เสียทีถูกพวกมันรุมกระทืบไม่เลี้ยง
“ก็ให้มันรู้ไป ว่ายังจะซ่อนตัวอยู่ได้อีกมั้ย”

จิตราตาวาวด้วยความชิงชัง

ฟากริลณีที่นั่งอยู่ในบ้านเรือนไทย ก็รับรู้ได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้านเด็กกำพร้า นัยน์ตาของเธอแดงวาวด้วยความโกรธ ก่อนจะลุกขึ้น กำมือแน่น

“อยากเจอฉันใช่มั้ย ได้ ฉันจะไปเจอคุณเดี๋ยวนี้”
ร่างของริลณีแว่บหายไปทันที เป็นจังหวะเดียวกับเตชินที่เดินเข้ามาในห้อง พลางมองหาเธอด้วยความสงสัยว่าหายไปไหน

จิตรามองเอทีเอ็ม ที่โดนกระทืบ จนเจ็บไปทั้งตัวด้วยความสะใจ
“เพื่อนโดนทำร้ายขนาดนี้ ยังกล้าซ่อนตัวอยู่อีก ฉันว่าริลณีเพื่อนเธอ เป็นเพื่อนที่แย่มาก”
จังหวะนั้นชายฉกรรจ์ที่เข้าไปค้นบ้านก็ออกมารายงาน
“ไม่มีใครสักคนครับ มีแต่พวกเด็กๆ”
จิตรายิ่งเจ็บใจ
“ฝากบอกเพื่อนตัวดีของเธอก็แล้วกัน ถ้าไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ ซ้ำรอย อย่ายุ่งกับลูกชายของฉัน”
เอทีเอ็มพุดสวนทันที
“คุณคิดว่าเผาบ้านพวกเราครั้งนึงได้แล้ว จะทำได้อีกเหรอ พวกเราไม่มีวันยอมหรอก”
“คนอย่างพวกเธอจะทำอะไรฉันได้ พวกเธอมันก็แค่....”
จิตราพูดยังไม่ทันจบ ก็มีไฟลุกติดพรึ่บที่กางเกงโดยไม่รู้ตัว ผีริลณียืนยิ้มร้ายอยู่ด้านหลัง
“เพื่อนฉันทำอะไรคุณไม่ได้ แต่ฉันทำได้”
ผีริลณียิ้มร้ายอาฆาต ก่อนจะทำให้ไฟติดที่ชุดของจิตราเพิ่มขึ้นอีก เฟื่องฟ้าร้องโโวยวาย
“ฟะ..ฟะ...ไฟไหม้”
ทุกคนรีบมองหาว่าไฟไหม้ที่ไหน จิตราก้มลงมองเห็นชุดกำลังถุกไหม้ไฟก็ตกใจร้องโวยวาย
“ช่วยด้วย ไฟไหม้ ชุดฉัน ช่วยด้วย พวกแกจะยืนบื้ออยู่ทำไม ไปหาอะไรมาดับไฟสิ”
2 ชายฉกรรจน์รีบวิ่งออกไป จิตราร้องโวยวาย พยายามดิ้นรนจะดับไฟ
ริลณีเห็นจิตราร้องโวยวายเจ็บแสบเพราะไฟที่ไหม้ ก็รู้สึกผิด
เฟื่องฟ้าหันรีหันขวาง ก่อนจะคว้าแจกันใบใหญ่ที่มีน้ำอยู่เต็ม สาดน้ำไปที่ตัวจิตรา กระนั้นไฟก็ยังดับไม่หมด
2 ชายฉกรรจน์วิ่งทะเล่อทะล่าถือถังน้ำใบใหญ่เข้ามา ราดน้ำรดลงไปบนหัว จิตราที่เปียกอยู่แล้ว ยิ่งเปียกปอนไปทั้งตัว ไฟบนตัวดับสนิท
จิตราที่เปียกมะล่อกมะแลก หันมองชายฉกรรจน์ที่ยืนหน้าจ๋อยอย่างโกรธสุดๆ ยิ่งหันไปเห็นเฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มหัวเราะคิกคัก ก็ยิ่งโกรธ
“ไม่คิดว่าเวรกรรมจะตามทันเร็วแบบนี้ จุดไฟเผาบ้านคนอื่น ตัวเองก็โดนไฟไหม้เอง”
“อย่าคิดว่าฉันจะกลัวนะ ยังไงฉันก็ต้องตามหาเพื่อนเธอให้ได้”
จิตราพูดเสร็จก็สะบัดหน้าพรืดเดินออกไป 2 ชายฉกรรจน์รีบเดินตาม
เอทีเอ็มและเฟื่องฟ้าถอนหายใจโล่งอก ริลณีมองเพื่อนทั้งสอง ที่กำลังก้มเก็บข้าวของที่เละเทะเต็มห้องด้วยความรู้สึกผิด
“ฉันสัญญาว่าจะไม่ยอมให้เค้าทำแบบนี้กับพวกเธอได้อีกแล้ว”

ขณะที่เตชินกำลังนั่งศึกษาแบบโรงแรมของเอกราชที่กำลังปรับปรุงซ่อมแซม ริลณีก็เดินเข้ามาด้วย
สีหน้ารู้สึกผิด ก่อนจะยื่นตลับยาให้ เขามองเธออย่างแปลกใจ
“ยารักษาแผลไฟไหม้ รินฝากไปให้คุณแม่คุณ รินอยากให้คุณทำดีกับคุณแม่บ้าง ท่านจะได้ไม่โกรธคุณ รีบเอาไปให้เลยนะคะ เผื่อท่านต้องใช้”
พูดจบริลณีก็เดินออกไป เตชินมองตามก่อนจะถือตลับยามาดูด้วยความแปลกใจปนขำ

หลวงตาคงนั่งทำสมาธิอยู่ในลานวัด โดยมีริลณีนั่งประนมมือคุยอยู่ใกล้ๆ
“ตอนนั้นฉันควบคุมความโกรธไม่ได้จริงๆ พอเห็นเค้าทำร้ายเพื่อน ความรู้สึกก็เหมือนอยากจะฆ่าเค้าให้ตาย ดีที่ฉันยับยั้งความโกรธทัน ไม่อย่างนั้นเค้าคงบาดเจ็บมากไปกว่านี้”
หลวงตาคงยิ้มน้อยๆ
“อย่างน้อยโยมก็ยังรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นผิด ต่อไปโยมต้องฝึกจิตให้เข้มแข็ง การฝึกทำสมาธิ จะทำให้โยมสามารถรู้เท่าทันความรู้สึกตัวเอง และหยุดได้ก่อนที่โยมจะทำอะไรผิดลงไปอีก”
“ฉันจะไม่ทำชั่ว ฉันอยากอยู่กับคนที่ฉันรักไปอีกนานๆ”
ริลณีก้มลงกราบ หลวงตาคงยิ้มอย่างสบายใจ

ชัชยื่นเอกสารงานวิจัย รวมถึงหนังสือหลายเล่มให้เตชิน ที่นั่งทานข้าวอยู่ตรงข้ามกันในร้านอาหาร
“ข้อมูลที่นายอยากได้ เกี่ยวกับเทคโนโลยี และวิธีการซ่อมแซมอาคารแบบใหม่ๆ เผื่อจะได้ช่วยลดเวลาในการทำงาน แกบ้าทำงานแบบนี้ รินเค้าไม่บ่นเหรอวะ”
เตชินส่ายหน้า “เค้าก็ไม่บ่นนะ แต่เหมือนเค้าไม่อยากให้ทำงานกับเอกราชยังไงก็ไม่รู้”
“รินเค้าอาจจะเห็นว่า แต่ก่อนนายกับหมอนั่นเคยไม่ถูกกันรึเปล่า”
“เรื่องมันตั้งนานจนฉันแทบจำไม่ได้แล้ว แต่จะว่าไป รินเค้าก็มีอะไรแปลกๆ อยู่เหมือนกันนะ”
ชัชเลิกคิ้ว สงสัย “แปลกยังไงวะ”
“เหมือนเค้าจะรู้อะไรล่วงหน้า อย่างใครโทรหาฉัน มาหาฉัน หรืออย่างล่าสุด รินเค้าก็ฝากยาทาแผลไฟไหม้ไปให้แม่ฉัน ตอนแรกฉันก็งง แต่พอเอายาไปให้แม่ เค้ากลับกำลังต้องการใช้พอดี”
“งั้นแสดงว่า แฟนแกเป็นคนมีเซ้นส์ อย่าให้เค้ามีเซ้นส์ว่าแกแอบซุกสาวที่ไหนล่ะ คราวนี้
ล่ะเรื่องยาวเลย”
ทั้งคู่หัวเราะขำ พลันชัชก็เหลือบไปเห็นเอกราชกับชมพูเดินเข้ามาในร้าน
เอกราชเทคแคร์ชมพูอย่างดี ทั้งเปิดประตู เลื่อนเก้าอี้ ถือกระเป๋าราวกับทั้งคู่เป็นแฟนกัน จนชัชรู้สึกสงสัย รีบสะกิดให้เตชินหันไปมอง
“นายจ้างแกเค้าจีบน้องชมพูเหรอวะ”
“ไม่หรอกมั้ง 2 คนเค้าเป็นเพื่อนกัน”
“ไม่เข้าไปทักหน่อยเหรอ จะได้ถือโอกาสเช็คว่าเค้ายังโกรธแกรึเปล่า”
เตชินรู้สึกลังเล “ฉันเข้าไป 2 คนนั้นเค้าจะเสียอารมณ์เปล่าๆ”
“แต่ถ้าไม่ทักยิ่งน่าเกลียดนะโว้ย”

เตชินหันไปมองอีกที ก่อนจะตัดสินใจลุกเดินออกไป

ชมพูกำลังคุยเล่นหัวเราะกับเอกราชอย่างมีสนุกสนาน แต่พอเหลือบเห็นเตชินและชัชเดินเข้ามาที่โต๊ะ ก็หยุดหัวเราะทันที

“น้องชมพู”
เตชินพูดทัก แต่ชมพูกลับทำหน้านิ่ง เอกราชหันมองอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ทำแสร้งยิ้มแย้ม
“อ้าว คุณเตชิน มาทานอาหารที่นี่เหรอครับ”
“กำลังจะกลับแล้วครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
เตชินและชัชกำลังจะเดินออกไป ชมพูที่นั่งก้มหน้านิ่ง รู้สึกลังเลใจ ในที่สุดก็ตัดสินใจเรียก
“พี่เตชินคะ”

เตชินและชมพูแยกตัวมายืนคุยกันตามลำพัง อีกด้านหนึ่งชัชแอบสังเกตอาการของเอกราช ขณะยืนมองทั้งคู่คุยกัน โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว
“คิดว่าน้องชมพูจะไม่คุยกับพี่ซะแล้ว”
“ก็กะว่าจะทำอย่างนั้นอยู่เหมือนกันค่ะ แต่อยากรักษามารยาท”
เตชินหน้าเจื่อน
“ถึงจะคุยเพราะมารยาทก็ยังดีกว่าเราจะไม่คุยกันเลย ยังทานยา แล้วไปหาหมอตามกำหนดรึเปล่า”
ชมพูแอบหวั่นไหว “ไม่ต้องห่วงค่ะ ชมพูดูแลตัวเองได้ พี่เตชินก็ดูแลตัวเองดีๆนะคะ ได้ข่าวว่าช่วงนี้งานยุ่ง”
เตชินรู้สึกอึดอัด จนต้องรีบขอตัว “งั้นพี่ไปก่อนนะครับ”
ก่อนที่เขาจะเดินเลี่ยงไป ชมพูตัดสินใจพูดขึ้นมา
“พี่เตชินคะ ชมพูไม่ได้โกรธพี่นะคะ แต่แค่ขอเวลาที่จะกลับไปเป็นน้องของพี่คนเดิม”
เตชินหันมาแล้วยิ้มดีใจ ก่อนจะยื่นมือไปตรงหน้า ชมพูลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจจับมือเขา
ทั้งคู่จับมือพร้อมยิ้มให้กัน
เอกราชที่ยืนมองอยู่ห่างๆ มองเห็นก็กำมือแน่น ด้วยความไม่พอใจ จนชัชที่ยืนใกล้ๆ เห็นปฎิกิริยานั้น

แสงแดดเรืองรองทอแสงฉาบผ่านร่าง ริลณีหลับตานั่งพับเพียบพนมมืออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ภายในวัดของหลวงตาคง บรรยากาศโดยรอบร่มรื่น สงบและเงียบครึ้ม สีหน้าของเธอดูสงบ ผ่อนคลาย
สักพักเสียงมนต์เรียกวิญญาณ ก็ค่อยๆ ดังขึ้นแผ่ว ๆ แว่วมาพร้อมกับสายลม
หมอผีเจ๋งเลื่อนสายตาจับจ้องมาที่ร่างของริลณีจากทางด้านหลังอย่างช้าๆ พร้อมกับสวดบริกรรมคาถา
เสียงมนต์เรียกวิญญาณรุนแรงขึ้น ริลณีรู้สึกกระสับกระส่าย จนต้องลืมตาขึ้น แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นร่างของตัวเองค่อยๆ ลอยสูงจากพื้น

ผงดินถูกโปรยจากกำมือลงบนผ้าขาวบางที่ล้อมรอบไว้ด้วยด้ายสายสิญจน์ หมอผีเจ๋งกำลังทำพิธีกรรมเรียกวิญญาณริลณี โดยใช้เศษดินที่ได้จากเชิงชายมาเป็นสื่อ เสียงร่ายคาถาดังก้องไปทั่วห้อง ก่อนจะเป่ามนต์ลงไปบนผ้าขาวบาง จนผงดินบางส่วนปลิวออกไป ส่วนที่ยังเหลืออยู่ปรากฏเป็นรูปร่างของผู้หญิงขึ้นมา
“จงมาทาสของข้า จงรับคำสั่งข้า จงมาเป็นทาสของข้า”

ร่างของริลณียังลอยสูงขึ้น ๆ เรื่อย ๆ เธอแน่ใจทันทีว่ากำลังโดนมนต์ดำเล่นงานแล้ว
“ถ้าคิดว่าจะบังคับฉันได้ ก็ลองดู”
ริลณีจ้องไปเบื้องหน้า พร้อมกับเพ่งพลังออกต้านทาน แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นผงดินลอยฟุ้งกระจายเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ผงดินพุ่งเข้าปะทะร่าง และเหมือนพลังวิญญาณของเธอถูกดูดหายไป
ร่างของริลณีร่วงกระแทกพื้น พลันร่างนั้นก็กลับกลายเป็นโปร่งแสงวูบ ๆ ดับ ๆ เหมือนร่างกำลังเลือนลาง วิญญาณแค้นดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดทุรนทุราย จ้องมองออกไปด้วยความอาฆาต
“ไอ้หมอผีชั่ว ฉันจะฆ่าแก”
“โทสะ ไม่เคยเอาชนะสิ่งใดได้”
หลวงตาคงเดินเข้ามาอย่างสงบและมีเมตตา สบตากับริลณีที่แววตาเต็มไปด้วยความแค้น
“จิตที่เป็นสมาธิต่างหาก ที่จะช่วยให้ฝ่าอุปสรรคทุกประการ”
ริลณีสงบลง พร้อมกับตั้งสติ หลับตาทำสมาธิตามที่หลวงตาคงเตือน อาคมของหมอผีเจ๋งกำลังจะพุ่งเข้าไปโจมตีริลณีอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หลวงตาหลับตาทำสมาธิช่วยเธอไว้พร้อมกับประกายแสงสว่างเจิดจ้าบังเกิดขึ้น

ร่างของหมอผีเจ๋งก็ผงะเหมือนถูกพลังกระแทก กระเด็นไปชนผนังอย่างแรง จนเลือดไหลกระอักออกจากปาก กองผงดินที่เป็นรูปร่างของผู้หญิงเกิดไฟลุกพรึ่บขึ้น
“นังผีนี่ มันร้ายกว่าที่ข้าคิดซะแล้ว”

ริลณีก้มลงกราบหลวงตาคงด้วยความศรัทธา
“ถ้าไม่ได้หลวงตาเตือนสติ รินคงต้องทำเรื่องเลวร้ายอีกแน่ ๆ”
“จงจำไว้ ถ้าเราปล่อยให้โทสะเข้าครอบงำ ชีวิตก็วิบัติ”
จังหวะนั้นร่างกายของริลณีก็โปร่งแสง วูบ ๆ ดับ ๆ ขึ้นมาอีก
“จิตของโยมอ่อนแรง หมั่นเจริญสติ เพียรเผากิเลสในใจอยู่เสมอเถิดโยม”
หลวงตาคงเดินออกไป ริลณีก้มลงกราบ ก่อนจะมองร่างกายที่ยังกระพริบ โปร่งแสงด้วยความกังวล

เตชินลงจากรถที่หน้าบ้านเรือนไทย พลันก็รู้สึกว่ามีใครจ้องมองอยู่ พอเงยหน้ามองไปที่ระเบียง ก็เห็นริลณียืนมอง ด้วยสีหน้าเหมือนมีกังวลและไม่ยอมลงมาทักทาย กลับเดินหายเข้าบ้านไป เขามองอย่างแปลกใจ และ
เป็นห่วง

เตชินเปิดประตูห้องนอนเข้ามา เห็นริลณีนั่งหันหลังอยู่ที่ปลายเตียง ใส่เสื้อแขนยาวมิดชิด เขารีบเดินจะเข้าไปจับเนื้อตัวดูด้วยความเป็นห่วง ริลณีรีบกระเถิบออก พลางมองมือที่โปร่งแสงของตัวเองด้วยความกังวล
“รินไม่เป็นไรค่ะ แค่หนาวๆ นิดหน่อย”
เตชินนึกแปลกใจ เพราะวันนี้อากาศร้อน “แล้วที่ไปวัดวันนี้เป็นยังไงบ้าง”
“หลวงตาคงให้หลักธรรมะดีๆ กับรินหลายข้อ รินจะพยายามปฏิบัติตามให้ได้ค่ะ”
“รินมีอะไรไม่สบายใจบอกผมได้นะ ผมยินดีเสมอ”
เตชินเอื้อมมือไปจับมือริลณีโดยไม่ได้หันมามอง แต่จับมืออีกฝ่ายไม่ได้ ริลณีรีบชักมือหลบ ก่อนที่เขาจะก้มมอง ด้วยความแปลกใจนิดๆ แต่ยังไม่คิดอะไร
“จริงสิ วันนี้ผมก็มีเรื่องเซอร์ไพร์สรินเหมือนกันนะ ผมอยากชวนรินไปทานอาหารเปลี่ยนบรรยากาศนอกบ้าน”
ริลณีก้มมองมือที่เลือนหายด้วยความไม่สบายใจ “แต่ริน...”

“ห้ามปฏิเสธนะ ผมมั่นใจรินต้องชอบร้านนี้มากแน่ๆ”

บนเวทีเล็กๆ ในร้านอาหาร นางรำ 2 คน กำลังร่ายรำอย่างงดงามและพร้อมเพรียงกัน

ริลณีมองพลางคิดถึงตัวเองที่ไม่มีโอกาสได้รำแบบนี้อีกแล้ว เตชินเห็นหน้าเธอเศร้า ก็เอื้อมมือไปจับ
“คิดอะไรอยู่ครับริน ทำไมถึงทำหน้าเศร้าแบบนั้น”
“คิดถึงตอนที่รินเป็นนางรำ ชีวิตช่วงนั้นเป็นชีวิตที่มีความสุขมาก”
“ถ้าคิดถึงก็กลับไปรำ หรือกลับไปสอนที่มหาวิทยาลัยก็ได้นี่ครับ ผมจำได้ว่ารินเคยบอกว่ารินอยากสอนเด็กๆ รำ”
ริลณีหน้าเศร้า
“ รินคงทำแบบนั้นไม่ได้แล้วละค่ะ ถ้ารินไปสอนเด็กๆ แล้วใครจะอยู่ดูแลคุณล่ะคะ ถึงแม้ตอนรำ รินจะมีความสุข แต่การที่ได้อยู่กับคุณมันทำให้รินมีความสุขมากกว่า”
ริลณีตอบเลี่ยงๆ เตชินยิ้มมีความสุข ก่อนจะหันไปดูนางรำบนเวที
ริลณีเอื้อมมือจะหยิบแก้วน้ำแต่มือกลับทะลุผ่านแก้วไป โชคดีที่เตชินที่กำลังสนใจนางรำบนเวที ไม่ทันเห็น
ริลณีมองร่างกายที่เริ่มมีอาการโปร่งแสงอย่างตกใจ พลางรีบลุกขึ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เตชินหันมามองแปลกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นตามไปด้วยความเป็นห่วง

ริลณีวิ่งหนีมาตามทางเดิน เตชินวิ่งตามเข้ามาใกล้ๆ พอเห็นหลังของเธอเลี้ยวหายไปไวๆ เขาก็รีบวิ่งเลี้ยวตาม แต่แล้วก็ต้องชะงัก แปลกใจ เพราะข้างหน้าเป็นทางตัน และที่สำคัญไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
ริลณียืนมองอยู่ใกล้ๆ โดยที่เตชินไม่เห็น

ประตูห้องน้ำเปิดออกแล้วปิดเอง ริลณีปรากฎร่างขึ้น หน้าตายังตื่นตระหนก พลางมองสะท้อนกระจกเงา เห็นร่างกายตัวเองกลายเป็นโปร่งแสง ติด ๆ ดับ ๆ ด้วยความเครียดและกังวลใจ

แหวนเพชรที่ยังมีเชือกเล็กๆ ผูกอยู่ในมือของวิจิตร ที่มองอย่างพิจารณา โดยมีกล้ากับน้าไหวนั่งลุ้น
อยู่ใกล้ๆ
“หมื่นห้าพันงั้นเหรอ แพงเกินไป๊ แหวนเด็กๆ ใส่เล่นๆ แบบนี้ ห้าพันก็พอ”
น้าไหวรีบแย้ง
“ห้าพันอะไรเสี่ย ทองก็ทองจริง เพชรก็เพชรจริง ผมให้ร้านทองแถวบ้านดูมาแล้ว”
“เพชรรัฐเชีย ห้าพันก็แพงไปแล้ว”
กล้ารีบต่อรอง “หมื่นนึงแล้วกัน”
“อั๊วให้ห้าพันขาดตัว เพราะอั๊วซื้อจากพวกลื้อ อั๊วก็ต้องแบกความเสี่ยง ไม่รู้ว่าพวกลื้อเอาแหวนดีๆแพงๆ แบบนี้มาจากไหน อั๊วไม่อยากมีปัญหากับตำรวจ อั๊วใจดีให้ห้าพันก็เยอะแล้ว เจอคนอื่นกดเหลือสามพัน”
น้าไหวโมโห ลุกขึ้นยืนทันที
“ไอ้พวกไม่เห็นคุณค่า ของดีๆ ให้ราคาซะอย่างกับของข้างถนน งั้นเอาไปขายคนอื่นก็ได้วะ เสี่ยวีรชัยร้านตรงข้าม น่าจะให้ราคามากกว่านี้”
พูดพลางรีบดึงแหวนคืนจากมือเสี่ยวิจิตร แล้วก็สะกิดกล้าให้รีบเดินออกไป วิจิตรมองตามอย่างครุ่นคิด

ริลณีเดินโซซัดโซเซมาตามทางด้วยท่าทีที่อ่อนแรง ผิวสีเนื้อนวลสวยเริ่มซีดจางกลายเป็นสีขาว ก่อนที่ร่างนั้นจะหมดแรงเดิน ทรุดตัว ไปต่อไม่ไหว พลางมองไปทางโต๊ะอาหาร เห็นเตชินนั่งกระสับกระส่ายมองหาเธออยู่
ริลณีมองตัวเองอย่างกังวลใจ
“ไม่ มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ”
พลันหูของเธอก็แว่วยืนเสียงฝีเท้าคนเดินใกล้เข้ามา ริลณีรีบก้มหลบหน้าหลบตา ก่อนจะเห็นกล้ากับน้าไหวเดินถือแหวนเพชรผ่านมาด้านหลัง
ทันทีที่แหวนเพชรผ่านร่าง พลันก็เหมือนพลังของริลณีจะกลับมาอย่างรวดเร็ว จนเธอนึกแปลกใจ และสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างข้างหลัง พอหันกลับไปมอง ก็เห็นแหวนเพชรอยู่ในมือน้าไหว และทันใดนั้นเอง จากร่างกายที่ซีดจาง โปร่งแสง ก็ค่อย ๆ ชัดขึ้น ๆ ผิวที่ขาวซีดก็กลับเป็นสีเนื้อ มีน้ำมีนวล ยิ่งกว่าเดิม
“แหวนของฉัน”
ภาพความทรงจำเกี่ยวกับแหวนวงนั้นแว่บเข้ามาในสมอง เธอจ้องแหวนวงนั้น แล้วยิ้มกว้าง ราวกับ
เจอของรักที่หายไปนานแสนนาน
ริลณีรีบเดินเข้าไปหาแหวน แต่น้าไหวกับกล้ากลับเดินออกไป นัยน์ตาของเธอลุกวาวโรจน์ มองตามแหวน ก่อนจะหันกลับไปดูเตชิน แล้วตัดสินใจบางอย่าง

กล้ากับน้าไหวเดินถือแหวนเพชรออกมานอกร้าน ก่อนที่วิจิตรจะรีบวิ่งตามมา
“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งไป หมื่นนึงก็หมื่นนึง อั๊วยอมซื้อ”
“คิดให้ไวแต่แรกก็ไม่ต้องวิ่งเหนื่อยแบบนี้หรอก”
น้าไหวยื่นแหวนเพชรให้วิจิตร พร้อมกับรับเงินมา ก่อนจะเดินนับเงินออกไปอย่างมีความสุข
วิจิตรมองแหวนในมือยิ้มอย่างพอใจ
“เพชรน้ำดีขนาดนี้ ราคาจริงๆ น่าจะเกือบแสน ไอ้พวกโง่ ขายมาได้แค่หมื่นเดียว”
จังหวะที่วิจิตรจะเดินเข้าร้าน ต้องเดินผ่านหน้าริลณี โดยที่เขาไม่เห็น
ริลณีจ้องเขม็งที่แหวนเพชร แล้วยิ้มอย่างสุขใจ

วิจิตรวางแหวนเพชรไว้บนโต๊ะ หยิบโทรศัพท์มากดถ่ายรูป แล้วรีบส่งรูปไปให้เมียน้อย พร้อมพิมพ์ข้อความ
“เสี่ยซื้อแหวนเพชรให้น้องแก้มใสแล้วน้า คริคริ”
ครั้นส่งข้อความเสร็จ เงยหน้าขึ้น ก็เห็นริลณียืนจ้องอยู่
“เธอเป็นใคร เข้ามาได้ยังไง”
“เอาแหวนของฉันคืนมา”
“อั๊วเพิ่งจ่ายเงินซื้อมา เธอมีหลักฐานอะไร ถึงบอกว่าเป็นของเธอ”
ริลณีกลายสภาพเป็นผี มองวิจิตรด้วยสายตาแดงวาวอย่างสยดสยอง
วิจิตรตกใจ อ้าปากค้าง “ผะ ผี.. ผี”
ด้วยความกลัวลนลาน ก็รีบวิ่งหนีจะไปเปิดประตู แต่กลับชนเข้ากับกำแพงเปล่า ๆ ประตูห้องกลับหายไป เพราะย้ายมาอยู่อีกทาง
ริลณีจ้องเขม็งไปที่โต๊ะทำงาน ก่อนที่โต๊ะจะพุ่งเข้ามาอัดก๊อปปี้วิจิตรอย่างแรง จนแหวนบนโต๊ะหล่นลงพื้น
วิจิตรกัดฟัน ผลักโต๊ะทำงานออก พยายามหนี แต่เพียงริลณีสะบัดมือเบาๆ ร่างนั้นก็ลอยกระเด็นไปกระแทกกับผนังจนจุก
ริลณีพุ่งเข้ามาห จ้องวิจิตรดวงตาถลนจนเป็นเลือด
“อั๊วกลัวแล้ว อยากจะเอาอะไรก็เอาไป อั๊วยกให้”

ริลณียิ้มเยือกเย็น ค่อยๆ ยืดแขนยาว จะไปหยิบแหวนที่อยู่กับพื้น แต่หยิบไม่ได้ เพราะสายสิญจน์ที่ผูกติดกับแหวนไว้ ทำให้มือของเธอแสบร้อน

อ่านต่อหน้า 4

นางชฎา ตอนที่ 8 (ต่อ)

ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ก่อนที่พนักงานจะตะโกนบอก

“เสี่ยครับ อาจารย์นาฏมาแล้วครับ”
ริลณีได้ยินชื่อ อาจารย์นาฏก็ชะงัก หายร่างตัวไปจากตรงนั้นทันที พนักงานร้านเปิดประตู พาอาจารย์นาฏเข้ามา ทุกคนแปลกใจที่ห้องมืดมิดและสภาพเละเทะ
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
อาจารย์นาฎมองไปที่พื้น เห็นวิจิตรคุดคู้ด้วยความกลัว จึงรีบเข้าไปหา
“ฉันพานักศึกษาที่จะรำ มาให้เสี่ยดูตัวก่อน เสี่ยเป็นอะไรไปเนี่ย”
วิจิตรนิ่งเงียบไม่ตอบคำถาม ครั้นอาจารย์นาฏเอื้อมมือไปแตะตัว ก็ถึงกับสะดุ้งร้องโวยวาย
“อย่าเข้ามา อั๊วกลัวแล้ว อั๊วไม่ทำอีกแล้ว”
ตะโกนพลางรีบวิ่งหนีลนลานออกไปจากห้อง พนักงานรีบตามไป อาจารย์นาฎตกใจ กำลังจะวิ่งตามไป แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นแหวนตกที่พื้น จึงก้มลงหยิบขึ้นมาดู โดยไม่เห็นว่าผีริลณีปรากฏกายขึ้นข้างๆ
อาจารย์นาฎรู้สึกหลอนๆ พอหันไปมอง ก็เห็นสายตาของริลณีจ้องมอง แล้วก็สะกดจิตทันที
“อาจารย์ ช่วย เอา แหวน กลับ ไป ให้ ริน ด้วย นะ คะ”
อาจารย์นาฎ จ้องหน้าริลณี พร้อมกับกำแหวนไว้ในมือ แล้วรีบเดินออกไป

รถของอาจารย์นาฎแล่นเข้ามาจอดที่หน้ารั้วของบ้านเรือนไทย ก่อนที่เจ้าของจะลงจากรถพร้อมกับแหวนในมือ ท่าทางเหมือนคนไร้วิญญาณ แววตาเลื่อนลอย พลางเดินตรงไปที่ประตูรั้ว
ทันใดประตูรั้วก็เปิดออกเอง พอ อาจารย์นาฎเดินเข้าไป ประตูก็ค่อยๆ ปิดเอง

สมหมาย หมูหวาน และสร้อย กำลังจะเดินไปดูที่หน้ารั้วว่ารถของใครมาจอด ทันใดก็มีลมแผ่ว ๆ มาปะทะร่างทั้ง 3 คนที่กำลังจะเดินออกไป แล้วจู่ ๆ ทั้งสามก็ร่วงผล็อยลงไปกองกับพื้น

อาจารย์นาฏเดินถือแหวนเข้ามาหยุดนิ่งที่หน้าหลุมฝังศพของริลณี สายลมเย็นๆ พัดแผ่วๆ เข้าปะทะใบหน้า จากแววตาที่นิ่งไร้วิญญาณกลับดูเป็นประกาย
เสียงดนตรีไทยขับขานกังวานขึ้น หญิงสูงวัยเริ่มร่ายรำอย่างมีความสุข จู่ๆ ลมก็พัดแรง จนใบไม้ปลิวว่อน ฟ้าแล่บ แล้วฝ่าปรี้ยงเป็นทางยาวบนท้องฟ้า
ทุกครั้งที่เกิดประกายแสงทาบลงมาจากท้องฟ้า จะเห็นร่างของริลณีกำลังร่ายรำอยู่ข้างหลังอาจารย์นาฎ
ทั้งสองร่ายรำในท่วงท่าและจังหวะเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง อ่อนช้อย และงดงาม จนกระทั่งจบเพลง
อาจารย์นาฎอยู่ในท่าจบที่สวยงาม ก่อนจะย่อตัวลงนั่งพับเพียบ แล้วหยิบแหวนออกมา พลางดึงสายสิญจน์ที่ผูกแหวนออก แล้ววางแหวนไว้บนหลุมศพ จากนั้นก็รีบลุกเดินกลับออกไป
พลันเสียงหมาหอนก็ขานรับเป็นทอดๆ พลันมีมือของริลณีก็โผล่ขึ้นจากหลุมศพ คว้าแหวนวงนั้น แล้วกระชากผลุบหายลงไปในดิน พร้อมกับเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง
เสียงหัวเราะของริลณีดังกึกก้องชวนขนหัวลุก

เตชินเดินขึ้นเรือนมาหน้าตาเคร่งเครียด เป็นกังวลที่จู่ๆ ริลณีก็หายไป ครั้นเหลือบเห็นรองเท้าของเธอวางอยู่ก็ยิ้มดีใจ
พอผลักประตูห้องนอนเข้ามา ก็เห็นเธอนอนหลับอยู่บนเตียง เขารีบเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วง
ริลณีรู้สึกตัว “กลับมาแล้วเหรอคะ”
“ผมนั่งรอคุณที่ร้านตั้งนาน ขับรถตระเวนหาจนทั่ว คุณหายไปไหนมา”
เธอโผกอดเขาไว้แน่น จนเขานึกแปลกใจ
“รินขอโทษนะคะที่ลุกหนีออกมา รินรู้สึกไม่ค่อยสบาย”
“ผมนี่แย่จริง ๆ ทั้งๆ ที่รินป่วย ผมยังพาคุณออกไปนอกบ้าน”
“แต่ตอนนี้รินรู้สึกดีขึ้นแล้วค่ะ”
เตชินสังเกตใบหน้า ก็พบว่าริลณีดูสดชื่นมากขึ้นจริงๆ
“ แต่ยังไงรินก็ต้องพักผ่อนให้มากๆ นะครับ”
จังหวะที่เขาหยิบผ้าห่มมาห่มให้ ก็เหลือบเห็นแหวนเพชรที่ตัวเองเคยให้อยู่บนนิ้วมือของริลณี เขาค่อยๆ ช้อนมือเธอขึ้นมาดูใกล้ๆ
“นี่แหวนที่ผมให้รินใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ”
“ผมไม่เห็นรินใส่ตั้งนาน คิดว่ารินไม่ชอบซะอีก”
ริลณียิ้ม พลางมองแหวนอย่างแสนรัก
“ รินรักแหวนวงนี้มากค่ะ รินสัญญาว่าต่อไปรินจะไม่ถอดแหวนวงนี้อีกแล้ว”
เตชินยิ้ม ก่อนจะยกมือที่สวมแหวนของริลณีขึ้นมาจูบ เธอยิ้มอย่างมีความสุข แต่แฝงความน่ากลัวเอาไว้ในประกายตา

เตชินกับริลณีนอนหลับกอดกันอยู่บนเตียง จู่ๆ เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือของผู้หญิงก็ดังแว่วเข้ามา
ริลณีที่นอนอยู่บนเตียงลืมตาโพลง ก่อนที่ร่างจะหายวับไปจากเตียง

แท็กซี่คันหนึ่งจอดหลบมุมอยู่ตรงพงหญ้าริมถนนเปลี่ยว ข้างในมีการต่อสู้ปลุกปล้ำกัน เสียงผู้หญิงร้องลั่นขัดขืน
ทันทีที่ประตูรถเปิดออก เจี๊ยบสาวออฟฟิศเคราะห์ร้ายก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นออกมา ร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย ๆ ช่วยฉันด้วย”
ตะโกนพลางวิ่งตามรถยนต์ที่แล่นไปไกลจนลับตา โจรวิ่งไล่ตามหลังมาดักหน้าเอาไว้ เจี๊ยบหน้าซีด ด้วยความหวาดกลัว

ร่างของเจี๊ยบถูกเหวี่ยงลงบนกองหญ้า สาวเคราะห์ร้ายกระถดหนีด้วยความกลัวสุดขีด
“อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันไหว้ล่ะ”
“มึงกัดกู ชอบแบบเจ็บๆ ใช่มั้ย ได้ เดี๋ยวจัดให้”
โจรจ้องมองเจี๊ยบแววตาหื่นกระหาย พร้อมกับรูดซิปกางเกงลง ก่อนจะเดินเข้าหา หมายจะปล้ำ เจี๊ยบพยายามจะหนีแต่สู้แรงไม่ได้ ได้แต่ร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ
ทันใดเสียงดนตรีไทยก็ดังขึ้น โจรหันมองรอบ ๆ เห็นริลณียืนจ้องอยู่ ในความมืด
“ใคร นั่นใคร”
มันละจากเจี๊ยบเดินออกไปดูด้วยความอยากรู้ แต่ทันทีที่เห็นชัดๆ ก็ต้องช็อก เมื่อเห็น ริลณีในสภาพผีร้าย
“แกทำร้ายเค้าทำไม แกเห็นผู้หญิงเป็นอะไร”
โจรตกใจจะรีบวิ่งหนี แต่กลับขยับเขยื้อนตัวไม่ได้ ร่างของริลณีเคลื่อนที่เข้ามาหาอย่างรวดเร็ว จนประชิด แล้วก็สะบัดมือ จนร่างของโจรปลิวไปเสียบกับกิ่งไม้หัก มันตายคาที่อย่างสยดสยอง
เจี๊ยบที่นั่งมองอยู่ ขยับตัวไม่ได้ ตกใจสุดขีด ส่งเสียงกรีดร้องแล้วสลบไป
ฟ้าแล่บเปรี้ยงเป็นทางยาว ริลณีมองร่างโจรที่ตายคาที่อย่างรู้สึกผิด
“ฉันไม่ได้ตั้งใจให้แกตาย ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

เธอทรุดตัวลงร้องไห้เสียใจที่สร้างบาปกรรมด้วยอารมณ์โทสะเพียงชั่ววูบ

รุ่งเช้า พนักงานทำความสะอาดกำลังกวาดถนนไปร้องเพลงไปอย่างมีความสุข จนกวาดไปใกล้กอหญ้า ก็เห็นเจี๊ยบ สาวออฟฟิศ นอนสลบอยู่ จึงเดินไปดูใกล้ๆ

“คุณ! คุณ! เป็นอะไรน่ะ ทำไมถึงมานอนตรงนี้”
ขณะกำลังปลุกเจี๊ยบ คนกวาดถนนก็แลเห็นรอยเลือดเป็นทางยาวเหมือนไหลมาจากที่ใดที่หนึ่ง จึงค่อยๆ เงยหน้าดูที่มา คนกวาดถนนสะดุ้ง ตกใจสุดขีด แหกปากร้องเสียงดังลั่น
“ช่วยด้วย มีคนถูกฆ่า ช่วยด้วย”

ไม่นานต่อมาหมูหวานพาตัวเองมาอยู่รวมกับกลุ่มไทยมุง ชะเง้อชะแง้ดูตำรวจที่กำลังตรวจเก็บหลักฐานตามพื้นดิน บางส่วนก็ กำลังถ่ายรูปที่เกิดเหตุ
ทุกคนมองสภาพศพอันน่าสยดสยองของโจรที่ถูกเสียบอยู่บนต้นไม้สูง ด้วยความแปลกใจว่าลอยขึ้นไปแล้วถูกเสียบตายบนต้นไม้สูงขนาดนั้นได้ยังไง

อีกด้านไม่ไกลกันจากจุดเกิดเหตุ เจี๊ยบโวยวายเสียงสั่น ขณะเจ้าหน้าที่กำลังพาตัวขึ้นรถพยาบาล
“ผู้ชายคนนั้นจะข่มขืนฉัน ผีผู้หญิงผมยาวฆ่าเค้า ฉันไม่ได้ฆ่า ผีฆ่าเค้า”
ชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือดเซ็งแซ่ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หมูหวานฟังด้วยความสนใจ

ส่วนที่บ้านทรงไทย เตชินยืนเคาะประตูหน้าห้องน้ำด้วยสีหน้ากังวลและเป็นห่วง เพราะเห็นริลณีหายเข้าไปในห้องน้ำนานมาก
“ริน เป็นอะไรรึเปล่าครับ เข้าไปอยู่ในห้องน้ำตั้งนานแล้ว ริน ไม่สบายรึเปล่าครับ เปิดประตูให้ผมหน่อย”
ริลณียืนอยู่หน้ากระจก กำลังจ้องผิวบริเวณหน้าท้องความกว้างประมาณ 1 ฝ่ามือ ที่มีลักษณะเป็นผิวเละเน่าแบบซากศพ แตกต่างจากผิวเนียนสวยบริเวณอื่น เธอหลับตานิ่ง พยายามทำให้แผลตรงนั้นหายไป แต่ทว่าทำยังไงๆ แผลนั้น ก็ยังคงอยู่
เตชินรู้สึกร้อนรนใจด้วยความกังวลใจ
“ริน ถ้าคุณไม่เปิด ผมจะไขกุญแจเข้าไปนะครับ”
เมื่อไม่มีเสียงตอบจากในห้องน้ำ เขาจึงรีบหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋า กำลังจะไขประตูเข้าไป แต่เสียงชองอีกฝ่ายตอบกลับมาก่อน
“รินไม่ได้เป็นอะไรค่ะ คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
“แน่ใจนะครับว่าคุณไม่เป็นอะไรจริงๆ”
“ค่ะ”
เตชินเก็บกุญแจใส่กระเป๋า ยังไม่คลายกังวล จังหวะนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้น
“มีอะไรสร้อย”
“มีตำรวจมาขอพบคุณเตชินค่ะ”
เขาวางโทรศัพท์อย่างแปลกใจ พลางหันไปมองประตูห้องน้ำด้วยความเป็นห่วงอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจเดินออกไป

ริลณีจ้องมองผิวของตัวเองด้วยความกังวล และหวั่นใจ
“ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ หรือว่า ....”
เธอจ้องมองมือตัวเองที่เพิ่งฆ่าคนไปเมื่อคืน พลันเสียงของหลวงตาคงก็แว่วเข้ามา
“ถ้าโยมทำบาป ก่อเวรสร้างกรรมขึ้นมาอีก เวลาที่โยมจะได้อยู่กับคนที่โยมรักก็น้อยลง”
ริลณีมองแผลนั้นด้วยสีหน้าเครียด และ กังวลอย่างที่สุด

เตชินเดินออกมา เห็นตำรวจยืนรออยู่ เตชินหันมองสร้อย สมหมาย และ หมูหวานด้วยความแปลกใจ
“สวัสดีครับ ผมอยากจะขอมาสอบปากคำคนในบ้านนี้หน่อยครับ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
หมูหวานเสนอหน้ารีบเล่า “เมื่อคืนมีผู้หญิงจะถูกข่มขืนแถวบ้านเราค่ะ แต่เป็นไงมาไงไม่รู้ ไอ้คนที่จะข่มขืนกลับถูกฆ่าตายซะเอง ศพเงี้ย สยองผิดมนุษย์มนา ผู้หญิงคนนั้นก็เอาแต่ร้องว่า ผีฆ่าๆ ชาวบ้านเค้าเม้าท์กันให้แซดว่าถูกผีฆ่าค่ะ”
ตำรวจหันมองหน้าหมูหวานที่สาระแนเล่าแทนแล้ว หมูหวานยิ้มแหยๆ อายๆ รีบเดินไปหลบหลังสมหมาย
“เล่าซะตำรวจแทบจะตกงาน” สมหมายหันไปพบว่าตำรวจมองอยู่ “อุ๊ย”
ตำรวจมองสมหมายเอาเรื่อง สมหมายยิ้มแหย รีบไปหลบหลังสร้อย
“ผมอยากจะมาสอบปากคำ คนในบ้านนี้ว่า เมื่อคืนได้ยินหรือเห็นอะไรที่ผิดปกติมั้ยครับ”
สร้อยรีบเล่าเป็นคนแรก
“ก็ได้ยินเสียงหมาเห่า ตอนสามสี่ทุ่ม พวกเราก็เลยออกมาดูแล้ว แล้ว แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ อยู่ดีๆ ทำไมฉันจำอะไรไม่ได้”
สมหมายพยายามนึกด้วย “ผมก็จำไม่ได้”
“จำได้แค่” ทุกคนหันมามองลุ้นว่าหมูหวานจำอะไรได้ “นอนหลับเป็นตายทั้งคืนเลยค่ะ”
ตำรวจส่ายหน้าเซ็ง หันไปถามเตชิน “แล้วคุณละครับ”
“ผมก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร ครับ”
“แล้วบ้านนี้มีคนอยู่แค่นี้เหรอครับ ผมอยากจะขอสอบปากคำทุกคน”
“แฟนผมอยู่ข้างบน แต่พอดีเค้าไม่ค่อยสบายน่ะครับ อาจจะไม่สะดวก”
“อ๋อ ไม่เป็นไรครับ ไว้ผมค่อยมาสอบใหม่ ขอบคุณทุกคนนะครับ”
ตำรวจเดินออกไป เตชินตามไปปิดประตูบ้าน พอย้อนกลับมาก็เห็น สมหมาย สร้อย และ หมูหวาน ยืนหน้าเหวอ
“เป็นอะไรกันเหรอ”
“ปละ...ปละ...เปล่าค่ะ” สร้อยอึกๆ อักๆ
เตชินมองท่าทีทั้งสามดูแปลกๆ ไป แต่ไม่ได้สนใจ เดินกลับขึ้นบ้าน ทันทีที่เตชินเดินลับตัวไปแล้ว ทั้งสามคนรีบหันหน้ามาเม้าท์กันทันที
“ได้ยินใช่มั้ยป้า ที่คุณเตชินบอกว่า อยู่กับแฟนน่ะ”
“เต็มสองรูหู” สร้อยยิ้มกริ่ม “โชคเข้าข้างสร้อยจริงจริ๊ง”

จิตราอยู่ที่บ้าน รับสายที่สร้อยโทร.มารายงาน ก็ของขึ้นด้วยความโมโห
“เค้าพูดอย่างนั้นเลยเหรอ”
สร้อยคุยสาย เงยหน้ามองขึ้นไปบนบ้านเรือนไทย ที่เงียบเหมือนไม่มีใคร
“ค่า คุณผู้หญิง สร้อยได้ยินมาเต็มๆไม่ผิดแน่ๆ คุณเตชินอยู่กับผู้หญิง ชื่อ ริน ชัวร์”
“แล้วแกเห็นหน้ามันรึยัง”
“เอาจริงๆนะคะคุณหญิง จนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยมีใคร เห็นแม้แต่เงาเลยค่ะ”
จิตรายิ้มอย่างพอใจ
“ไม่เป็นไรสร้อย งานของแกจบแล้วสร้อย ขอบใจมาก เดี๋ยวที่เหลือฉันจัดการเอง”

คุณหญิงจิตราวางสาย ยิ้มร้ายอย่างมีแผนชั่วในใจ

หมูหวานมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นสร้อยคุยโทรศัพท์อยู่ด้านนอก จึงหันมาบอกสมหมายที่กำลังทำความสะอาดบ้านอย่างหมั่นไส้

“โหยพ่อ ดูยายมนุษย์ป้านั่นสิ รีบโทรไปฟ้องเจ้านายเลย”
“เอ้า ก็เค้าทำตามหน้าที่ ไปว่าเค้าได้ยังไง”
“ทำไมพ่อต้องไปเข้าข้าง ยายป้านั่นด้วย ชอบเค้ารึไง”
“แหม...คนอยู่บ้านเดียวกัน ถ้าเราอยากได้หน้าบ้าง ก็โทร.ไปบอกคุณผู้หญิงสิ”
“ถึงพ่อไม่บอกฉันก็โทร.อยู่แล้ว”
หมูหวานรีบหยิบโทรศัพท์มือถืออกมาจะโทร.รายงานที่บ้านพิสมัย แต่กลับไม่มีสัญญาณซะงั้น
“อยู่ๆ ก็ไม่มีสัญญาณ ของพ่อมีรึเปล่า”
สมหมายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู “ไม่มีเหมือนกัน”
หมูหวานรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์บ้านขึ้นมา แต่ก็ต้องแปลกใจอีก
“โทรศัพท์บ้านก็ใช้ไม่ได้ หรือว่า มีคนไม่อยากให้เราโทร.”
หมูหวานผวามองไปรอบๆ ห้อง บรรยากาศวังเวงขึ้นมาโดยฉับพลัน หมูหวานมองไปที่รูปนางในวรรณคดีที่ติดอยู่ข้างฝา เห็นเหมือนรูปนั้นยิ้มให้อย่างสยอง หมูหวานผงะ ขยี้ตาอีกทีรูปนั้นกลับเป็นเหมือนเดิม หมูหวานและสมหมาย รู้สึกว่าชักจะไม่ชอบมาพากลซะแล้ว ทั้งสองหันมองหน้าก่อนพูดพร้อมกัน
“รีบไปกันเถอะ”
หมูหวานและสมหมายรีบเดินออกจากห้องไป เมื่อสองคนไปแล้วริลณีปรากฏตัวออกมาจากรูปใบนั้น มองตามสมหมายและหมูหวานไป
“ยังไม่ถึงเวลาที่เธอจะรู้เรื่องของฉัน ชมพู”

ในขณะที่นักข่าวรายงานไป เชิงชายซึ่งอยู่ในห้องนั้นไม่ได้สนใจดูทีวีเลย เขาเดินกระสับกระส่าย เปิดลิ้นชัก หยิบกระเป๋าเงินออกมาเท เห็นว่ามีเศษแบงค์ร้อย และ เศษเงินร่วงลงมาจากกระเป๋าไม่เท่าไหร่ เชิงชายยิ่งหงุดหงิด คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร.ออก
“พี่เป้เหรอครับ ผมส่งเพลงไปตั้งนานแล้ว ทำไมถึงไม่โอนเงินให้ผมสักทีละครับพี่...โอนไปแล้ว ผมเช็คธนาคารไม่เห็นมี ค่าลิขสิทธิ์ ค่าโหลดเพลงเดือนก่อนหน้าก็ไม่เข้า พี่จะโกงรึเปล่าเนี่ย? ผมก็มีเรื่องเดือดร้อนต้องใช้เงินนะครับ”
มีเสียงกดกริ่งอย่างไร้มารยาทดังขึ้น เชิงชายตกใจ รีบโผล่หน้าต่างดู เห็นนักเลงทวงหนี้ 2 คน กำลังปีนเข้ามาในบ้าน เชิงชายหน้าเสียตกใจกลัว ร้อนรนมาก
“แค่นี้นะพี่”
เชิงชายรีบวางโทรศัพท์ ก่อนจะคว้ากระเป๋าสตางค์และเศษเงินจะวิ่งออกหลังบ้าน แต่นักเลงทวงหนี้ เปิดประตูเข้ามาในบ้านก่อน ทั้งสองวิ่งไปดักเชิงชายเอาไว้ เชิงชายมองสองคนยิ้มแหยๆ
“หนีเร็วแบบนี้ มิน่ามาทีไรถึงไม่เคยเจอ” นักเลง 2 แดกดัน
“ฝากบอกเฮีย ขอเวลาอีกสามวันได้ป่าวพี่ ค่าเพลงผมยังไม่ออกเลย”
“ออกไม่ออกไม่สนเว้ย มาคราวนี้เฮียบอกว่า ต้องได้” นักเลง 1 เสียงแข็ง
สองนักเลงมองหน้ากันยิ้มๆ พลางมองไปรอบๆ บ้าน แล้วตรงเข้าไปหยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ของเชิงชายที่ไว้สำหรับทำเพลง และของมีค่าอื่นๆ ที่พอจะขายได้ เชิงชายเข้าไปพยายามจะห้าม
“พี่อย่าเอาคอมผมไป ถ้าพี่เอาไปผมจะทำมาหากินอะไร”
นักเลง 2 คน ไม่สน หันมาทั้งเตะ ทั้งถีบเชิงชายคว่ำไปกับพื้น
“มึงก็ไปทำงานหาเงินให้มันมากกว่าที่มึงทำอยู่สิวะ จะได้มีเงินมาคืนเฮียสักที”
นักเลง 2 ยื่นคำขาด “พวกกูให้เวลาอีก 7 วัน ถ้ามึงยังหาเงินคืนเฮียมาได้ไม่ครบ” แล้วหยิบมีดปลายแหลมลากผ่านไปบนเสื้อเชิงชาย มาหยุดลงที่ตำแหน่งของไต แล้วยิ้มร้าย “กูควักไตมึงไปขายแน่”
เชิงชายมองมีดปลายแหลมที่กรีดไปบนเสื้อ อย่างสยอง ตัวสั่นกลัวมาก
นักเลงทวงหนี้ 2 คน ขำก๊าก ก่อนจะเดินถือคอมพิวเตอร์ของเชิงชายออกไปอย่างสะใจ เชิงชายพยายามกระเสือกกระสนจะลุกตามไปแต่ลุกไปไม่ไหว ได้แต่แต่ร้องห้ามจากบนพื้น ทั้งที่ยังบิดร่างงอเจ็บปวดอย่างอนาถ
“อย่าเอาของของผมไป...โอ๊ย...”

ริลณีปลูกต้นไม้บนหลุมศพตัวเอง มองสภาพสองมือที่กำลังกลบดินด้วยความรู้สึกเศร้า
“จำไว้ริลณี ถ้าอยากอยู่กับเตชินนานๆ ต้องไม่ทำร้ายใครอีกเป็นอันขาด”
ริลณีจ้องมองสองมือนิ่ง ครั้นพอภาพของ เอกราช ตุลเทพ ปริมลดา หงส์หยก เชิงชาย และ ประวิทย์ ที่รุมทำร้ายผุดขึ้นมาในสมอง มือริลณีนั้นกลับบีบกำแน่นด้วยความแค้น ดวงตาเริ่มเปลี่ยนเป็นโหดร้าย
“ริน....รินครับ...ริน”
เสียงเรียกของเตชินทำให้ริลณีได้สติ ดวงตาที่โหดร้ายกลับกลายเป็นปกติ มือที่กำแน่นแบออกอย่างผ่อนคลาย
เตชินเดินเข้ามา ในชุดเตรียมพร้อมออกจากบาน ริลณีมองด้วยความแปลกใจ
“คุณพ่อ คุณแม่ โทร.ให้ผมเข้าไปหาไม่รู้มีเรื่องอะไร รินอยู่บ้านคนเดียวได้ใช่มั้ยครับ”
“คุณก็รู้ว่ารินอยู่ได้”
เตชินยิ้ม ก่อนจะเดินออกไป เมื่อเตชินไปแล้วริลณีหลับตาลง ส่งกระแสจิตออกไปทันที

ขณะที่พระอาจารย์คงกำลังกวดลานวัดอยู่นั้น พอมองไปก็เห็นร่างผีริลณีมานั่งพับเพียบ หน้าเศร้าพนมมือรออยู่ ผู้คงศีลมองมาอย่างมีเมตตา
“สิ่งที่โยมถามกับคำตอบที่โยมมีอยู่ในใจนั้น เป็นสิ่งที่โยมคิดถูกต้องแล้ว”
“ถ้าฉันฆ่าหรือทำร้ายคน ร่างกายของฉันจะค่อยๆ กลับกายเป็นร่างเดิมใช่มั้ย”
“ใช่”
ริลณีเศร้า “แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันแค่ต้องการอยากจะช่วยผู้หญิงคนนั้น ไม่ให้เจอกับสิ่งที่ฉันเคยเจอเท่านั้น”
“อาตมารู้ว่าโยมไม่ได้มีจิตคิดทำลายชีวิตชายคนนั้น แต่สิ่งที่โยมเพิ่งได้กลับมาครอบครอง มันทำให้โยมมีพลังมากจนเกินควบคุม”
“หลวงพ่อหมายถึง แหวนนี่เหรอคะ” พลางริลณีก้มมองแหวนที่สวมอยู่บนนิ้ว
“พลังในแหวนจะทำให้โยมกลับไปสู่ความยึดจิต ความเจ็บปวดและคั่งแค้น โยมจงควบคุมจิตใจให้ดี อย่าปล่อยให้อารมณ์ใดๆเข้าครอบงำ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นอย่างเดิม”
“ฉันจะพยายามคะหลวงพ่อ”
ริลณีก้มกราบพระอาจารย์คงอย่างเคารพก่อนจะหายตัวไป หลวงพ่อได้แต่ถอนหายใจด้วยความเวทนา

“อาตมาหวังว่าโยมจะทำได้นะ โยมริลณี”

คุณหญิงจิตราและณรงค์ จ้องหน้าลูกชายที่เพิ่งนั่งลงตรงหน้าด้วยสายตาเอาเรื่อง เป็นณรงค์ที่พูดด้วยเสียงทรงอำนาจขึ้นว่า

“พาผู้หญิงที่อยู่กับแกที่บ้านเรือนไทยหลังนั้น มาพบพวกเราที่นี่”
“แต่คุณแม่ไปที่นั่น แล้วก็ไม่มี...”
ณรงค์สวนขึ้นทันที “หยุดโกหกสักที ถึงเวลาแล้วที่พวกเราทุกคนที่นี่ต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว” ณรงค์จ้องหน้าลูกชายอย่างคาดคั้น “ไหนบอกพ่อมาตรงๆ สิ ว่าแกมีผู้หญิงอยู่ด้วยที่บ้านหลังนั้นจริงรึเปล่า”
เตชินหันมองหน้าจิตรา ก่อนจะตัดสินใจพูดความจริง
“จริงครับ ผมกับเค้าเราอยู่กันมาสักพักนึงแล้วครับ”
“งั้นที่แกยกเลิกงานแต่งงานกับหนูชมพูก็เพราะผู้หญิงคนนี้”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ คุณพ่อ น้องชมพูยกเลิกงานแต่งก็เพราะรู้ว่าผมไม่ได้รักเค้า”
จิตราถามขึ้น “แกคงรักแม่ผู้หญิงคนนั้นมากเลยล่ะสิ”
เตชินบอกด้วยท่าทีมุ่งมั่น จริงจัง “ครับ เค้าคือผู้หญิงคนเดียวที่ผมรัก และจะแต่งงานด้วย”
จิตราและณรงค์มองหน้ากัน ไม่พอใจทั้งคู่ แต่ซ่อนความรู้สึกเอาไว้
“งั้นไปพาผู้หญิงคนนั้นมาพบพ่อกับแม่” ณรงค์บอก
เตชินตื่นเต้น “นี่คุณพ่อ คุณแม่ ยอมให้ผมคบกับเค้าแล้วเหรอครับ”
“ถ้าไม่ยอมแล้วจะทำอะไรได้ ในเมื่อแกอยู่กับเค้าไปแล้ว เรื่องมันเกิดขนาดนี้ เราก็ต้องจัดการทุกอย่างให้มันถูกต้อง ใครเค้าจะได้ไม่ว่าพ่อกับแม่ได้ เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจครับ แล้วคุณพ่อ คุณแม่จะให้ผมพาเค้ามาพบเมื่อไหร่”
“เร็วที่สุด” คุณหญิงบอก
เตชินยิ้มดีใจ จิตราและณรงค์สบตากันเหมือนมีอะไรบางอย่าง

ขณะที่ริลณียืนหน้าเศร้าอยู่ตรงระเบียง เตชินวิ่งเข้ามากอดจากข้างหลัง สีหน้าท่าทางตื่นเต้นดีใจสุดๆ ริลณีหันมามองเขาด้วยความตกใจระคนแปลกใจ
“มีอะไรเหรอคะ เตชิน ทำไมคุณ...”
“คุณพ่อคุณแม่ ท่านอยากพบคุณ ท่านให้ผมพาคุณไปพบท่าน”
ริลณีตื่นเต้น แปลกใจ ระคนดีใจ แต่ยังไม่อยากเชื่อ “ทำไมละคะ เตชิน”
“เพราะท่านยอมรับคุณแล้ว ท่านยอมให้เราสองคนอยู่ด้วยกันแล้ว”
ริลณีมองหน้าเตชิน ดีใจจนน้ำตาไหล “จริงเหรอคะ”
“จริงสิครับ ต่อไปเราสองคนจะได้แต่งงานกัน แล้วก็อยู่ด้วยกันตลอดไป”
ริลณีไม่อยากจะเชื่อ “รินไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเร็วขนาดนี้”
“ผมก็ไม่อยากเชื่อ แต่ท่านสองคนบอกกับผมอย่างนั้นจริงๆ แล้วท่านก็อยากจะเจอรินให้เร็วที่สุดด้วย จะได้จัดการเรื่องของเราสองคนให้ถูกต้อง”
ริลณีมองหน้าเตชิน แล้วโผกอดเขาแน่น ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความดีใจเป็นที่สุด

ริลณีน้ำตาร่วงตื้นตันใจ โดยไม่รู้ว่ากำลังจะเผชิญกับอะไรคุณหญิงจิตราผู้เหี้ยมโหดอีก 

อ่านต่อตอนที่ 9
กำลังโหลดความคิดเห็น