ลิเกหมัดสั่ง ตอนที่ 1
มุมหนึ่งของบริเวณลานวัดทุ่งไก่หลง ค่ำคืนนี้ เป็นที่ตั้งโรงลิเกขนาดเล็ก โดยคณะลิเก เพชรสำเริง บันเทิงศิลป์ ที่มาเปิดวิกทำการแสดง
ด้านหลังโรงลิเก มีราวแขวนชุดอยู่ 2-3 ราว มีกล่องลังสำหรับใส่เครื่องประดับ รวมทั้งกล่องลังใส่บรรดาอุปกรณ์สำหรับการแสดงอีกด้วย ตรงมุมหนึ่ง จัดเป็นโต๊ะหมู่ไหว้ครู และเจ้าที่ มีของไหว้เล็กน้อย
บรรดาคนลิเก อันมี เพชร หนุ่มหล่อหน้าหวานลูกชายของสำเริง หัวหน้าคณะ แสดงเป็นพระเอก รักษ์ ตัวแสดงโจร ลูกดอก ที่รับบท เสนา และ จริยา นางอิจฉา ทุกคนแยกกันแต่งหน้าตัวเองกันอยู่ละมุม โดยมี แฉะ แต่งตัวแขกออกโรง กำลังไหว้ครู
เสียงปี่พาทย์โหมโรงจังหวะเร้าใจ ดังกระหึ่ม เพชรกรีดตาเสร็จ จริยากำลังใส่ชุด ด้านรักษ์กำลังสวมเครื่อประดับศีรษะ ส่วนแฉะพนมมือจุดธูปไหว้พระ ลูกดอกกำลังดัดนิ้ว
เพชรผัดแป้ง แต่งหน้าลิเกเสร็จแล้ว สวมเครื่องประดับศีรษะแล้ว แต่ยังไม่สวมชุดนั่งส่องกระจกเอียงซ้ายเหล่ขวาเช็คความหล่ออยู่
เพชร พระเอกหน้าหวาน ร้องลิเกวอร์มเสียง
“เอ๊ะใครหล่อคมคาย ดูทางซ้ายก็เท่
หันทางขวาก็เก๋ Oh Yeah...นั่นตัวเรา
แต่หัวใจยังว่าง แหม มันช่างเปลี่ยวเปล่า”
มีเสียงร้องเรียกเข้ามา “เพชร! ไอ้เพชร!”
แล้วเห็นสำเริงหัวหน้าคณะผูเป็นเจ้าของเสียงวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น
“มเหสีเอ็งอยู่ไปอยู่ไหนซะละวะ”
เพชรงง “มเหสีคนไหนล่ะพ่อ”
“จะคนไหนอีกล่ะ ก็อัครมเหสียอดสร้อยน่ะสิโว้ย”
“ไม่รู้ เมื่อกี้ยังเห็นคุยโทรศัพท์อยู่ตรงนี้นี่”
สำเริงมองหาแต่ไม่เจอ แหกปากตะโกนถามลูกคณะไป “เฮ้ย มีใครเห็นอียอดสร้อยมั้ย”
รักษ์ ลูกดอก แฉะ จริยาส่ายหน้าพร้อมเพรียง เอี้ยงวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น
“แย่แล้ว! แย่แล้ว! พี่ยอดสร้อยหนีไปกับผู้ชายแล้ว”
เพชร รักษ์ สำเริง ลูกดอก แฉะ และ จริยา ตกใจ
ทุกคนแหกปากร้องออกมาพร้อมๆ กัน “ชิบหายแล้ว”
อีกมุมของวัดทุ่งไก่หลง เป็นเวทีมวย มีเต็นท์ผ้าใบตั้งอยู่ข้างเวทีมวย ขึงผ้าใบล้อม 3 ด้าน มีม้านั่งอยู่ในเต็นท์ พริมกำลังพันผ้าพันมือ, ชาติกำลังนวดให้ขนุน เอื้อยถือที่ช็อตยุงแกว่งๆ แถวนั้น
บุญหลง เด่น แคน กำลังเต้น ชกลมอยู่ในมุมของตัวเอง
เสียงวงปี่กลองบรรเลงชวนฮึกเหิม พริม หรือชื่อในการชกมวยว่า พริมพยัคฆ์ ศ.อรชร กำลังพันผ้าพันมือ ขณะที่เด่นกำลังชกลม ด้านแคนกำลังเต้นฟุตเวิร์ค ส่วนชาตินวดไหล่ให้ขนุน
บุญหลงใส่นวมให้พริม กำลังมัดเชือก พริมนั้นหน้าตาขึงขัง กระโดดวอร์มร่างกาย ยืดเส้นยืดสาย เตรียมความพร้อม
อรชร เจ้าของค่ายมวย ศ.อรชร เดินมาหยุดหน้าเต็นท์ ตะโกนเรียกลูกสาว
“พริม...พริม พร้อมรึยัง”
“พร้อมนานแล้วแม่”
พริมเดินออกจากเต็นท์ ขนุน เอื้อย บุญหลง ชาติ เด่น และแคน ตามเป็นพรวนออกไปดู
“โชคดีนะพริม” บุญหลงให้พร
“บอกว่าอย่าพูดอย่างนี้ ชั้นไม่เคยพึ่งโชค”
พริมเดินขึงขังออกไปราวกับชายอกสามศอก
ที่วิกลิเกตอนนี้ ทุกคนกำลังสติแตก ลูกดอกช่วยเพชรใส่ชุดอย่างรีบเร่ง จริยายังคงนั่งบรรจงแต่งหน้าอยู่ไม่รู้หน แฉะคอยชะโงกไปดูหน้าเวทีว่ามีคนดูแค่ไหนแล้ว
รักษ์เอ่ยขึ้น “เอาไงดีล่ะพ่อเริง ลิเกไม่มีนางเอกแล้วจะเล่นยังไง”
“เดี๋ยวชั้นขี่รถเครื่องไปตามมันเอง ไอ้เอี้ยง อีสร้อยมันไปทางไหน”
“กว่าจะกลับมา คนดูก็หนีหมดแล้วพ่อเริง” แฉะชะโงกออกไปดูหน้าเวที “นั่นๆ ลุกไปกลุ่มแล้ว”
สำเริงคิดปราดเดียว “ไอ้แฉะ ออกแขก”
“เห่ เฮ เฮ เฮ้...”
แฉะ ถือไมค์ร้องร้องออกแขกอยู่หลังโรง
สำเริงไปคว้าลูกดอกมาจับพลิกหน้าพลิกตาดู จนอีกฝ่ายงง
“อะไรล่ะพ่อเริง”
“ไปเปลี่ยนชุด”
ลูกดอกงงอยู่นั่น “เปลี่ยนไปไหนอีกล่ะ ก็ใส่อยู่นี่ไง”
“ไปเปลี่ยนเป็นตัวนาง”
ลูกดอกโวยวายไม่เอาเด็ดขาด “เฮ้ย ไม่เอา เล่นไม่เป็น” โบ้ยไปอีกทาง “พี่รักษ์เลย หน้าสวยเสียงหวานกว่าชั้นร้อยเท่า”
รักษ์ท้วง “ไม่ได้ แล้วใครจะเป็นโจร”
ถึงช่วงที่แฉะหยุดร้องพอดี “จะเอายังไง ชั้นจะขึ้นแล้วนะ”
“ไม่มีใครเป็น ข้าเป็นเองก็ได้วะ”
สำเริงพุ่งที่ราวเสื้อผ้าลิเกหญิง
แฉะออกไปหน้าเวที แล้วร้องต่อเพื่อเกริ่นเข้าเรื่องที่จะเล่นวันนี้ เอี้ยงวิ่งออกไปดูหน้าโรง
“มาช่วยข้าแต่งตัวซิ” สำเริงหันไปบอกคนอื่นที่แต่งตัวเสร็จแล้ว
เพชร รักษ์ ลูกดอก วิ่งตามไปช่วยสำเริงแต่งตัว
“เอาจริงเหรอพ่อ พ่อจะเล่นเป็นเมียชั้นเนี่ยนะ” เพชรเซ็ง คืนนี้ ต้องเอาพ่อทำมีย
“เออ! ตอนจูบก็ปากห่างๆ หน่อยแล้วกัน”
เพชรหันไปเห็นจริยานั่งทาปากแดงอยู่
“พี่จริยา”
จริยาเงยหน้ามาทางเพชรงงๆ
อีกด้านหนึ่ง พริมกำลังรำไหว้ครูอยู่บนเวทีมวย มาดอ่อนช้อยทว่าองอาจ โดยมี สมศรี ศิษย์ไม่มีครู นักมวยหญิงคู่ชกยืนทะมึน หน้าตาดุดันอยู่ที่มุมน้ำเงิน
โต๊ะพากษ์มวยตั้งอยู่ข้างเวที มี แชมป์ เป็นคนพากษ์
รอบเวทีคนยืนล้อมดู ขนุน อรชร บุญหลง ชาติ เด่น และ แคน ยืนเชียร์อยู่ข้างล่างมุมแดง
“วันนี้ค่ายมวย ศ.อรชร มาตั้งเวทีท้าชกนักสู้ทั่วแดนดินถิ่นราชบุรี ค่ายไหนคนไหนคิดว่าฝีมือดีลีลาเด็ด ก้าวเข้ามาประลองหมัดกันได้เลยนะครับ กรรมการบนเวทีของเรา ได้รับเกียรติจากตาน้อย มัคนายกประจำวัดทุ่งไก่หลง ผู้มีความบริสุทธิ์ยุติธรรม เงินวัดสักบาทก็ไม่เคยอม”
น้อย ขึ้นเวทีมาแสดงตัวอย่างสง่าผ่าเผย
พอไหว้ครูเสร็จ พริมกลับเข้าไปที่มุมแดง ชาติขึ้นมาเป็นพี่เลี้ยงถอดมงคลให้
“มวยคู่แรกของวันนี้ ขอเปิดด้วยมวยหญิงสะท้านทุ่ง ฝ่ายน้ำเงินได้แก่ สมศรี ศิษย์ไม่มีครู ฝึกซ้อมเองในป่าในดง ฝ่ายแดง ไม่ใช่ใครที่ไหน พริมพยัคฆ์ ศ.อรชร ฉายา แม่เสือสาวแข้งเหล็กของเรานี่เอง”
สิ้นเสียงแชมป์ เสียงผู้คนโห่ร้องเชียร์ดังขรม กรรมการเช็คนวมสมศรี แล้วมาเช็คนวมพริม
“รู้สึกว่า 2 สาว อยากจะฟัดกันเต็มแก่แล้ว งั้นก็เอาเลยครับ ยกที่ 1 เริ่มได้”
แชมป์เคาะระฆัง เป๊ง!
พริมกับสมศรีเดินเข้าหากันพร้อมขย้ำอีกฝ่าย
ลิเกเปิดทำการแสดงแล้ว บนเวทีลิเกเขียนเป็นภาพท้องพระโรงยอดนิยม หน้าเวทีมีป้าย “คณะลิเก เพชรสำเริง บันเทิงศิลป์” เด่นหรา
เพชรออกรำ แล้วมานั่งลงบนตั่ง ลูกดอกพับเพียบอยู่ข้างตั่ง
มีคนดูอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก
ลิลลี่ถือไม้แขวนถุงน้ำ เร่ขายน้ำเขียวน้ำแดงโอเลี้งกาแฟอยู่ จะเข้าไปนั่งดู
พอเห็นบนเวทีก็ร้อง กรี๊ดๆๆ “พี่เพชรมาแล้ว”
ป้า 1 ร้องสั่งน้ำ “นังลี่ โอเลี้ยงมาถุงซิ”
ลิลลี่ส่งให้ทั้งไม้ “เอาไปหมดนี่เลย ฝากถือด้วย”
พอพูดจบลิลลี่ก็เข้าไปนั่งดูแถวหน้าอย่างจดจ่อ ข้างๆ มีเอี้ยงนั่งดูอยู่ก่อนแล้ว ระหว่างนี้แปะกล้วยกับผักกาดเข้ามานั่งข้างๆ ลิลลี่
“อ้าว นังลิลลี่ สั่งให้มาขายน้ำ ทำไมมาอยู่นี่”
“ชั้นเมื่อยแขนไปหมดแล้วป๊า ขอพักหน่อยสิ อย่าเพิ่งบ่น ดูลิเกก่อน”
บนเวที เพชรร้องลิเก
“อันตัวเราเป็นเจ้าชาย ประพาศน์ไกลห่างบ้าน
อภิเษกมเหสีนงคราญ สุขสำราญอยู่ต่างแดน
ถึงเวลาจรลี กลับธานีบ้านไกล
เมียจ๋าออกมาไวไว พี่อาลัยเหลือแสน
เมื่อห่างเจ้าแล้วไซร้ พี่จะกอดใครแทน”
ระนาดรับ เพชรเล่นบทเจรจา
“ตัวเรานั้นเป็นเจ้าชาย ได้ออกท่องเที่ยวมาจนถึงเมืองนี้ และได้พบกับพระธิดาแสนสวย จึงได้แต่งงานกันมาจนบัดนี้ เวลาก็ล่วงเลยมา 3 ปีแล้ว เห็นทีจะต้องกลับบ้านเกิดเมืองนอนไปกราบเสด็จพ่อเสด็จแม่ แต่เราก็ยังอาลัยเมียรัก ขอเราสั่งลาเสียหน่อยเถิด”
เสนา ลูกดอก รับอาสา “หม่อมชั้นไปตามให้พระเจ้าค่ะ”
ลูกดอกออกโรงไป
ระหว่างนี้ ด้านล่างเวที กล้าเดินกร่างแทรกชาวบ้านที่นั่งดูอยู่เข้ามาเพื่อจะมาให้ทันดูนางเอก โดนชาวบ้านด่ากันขรม
“หลีกซิ หลีกๆๆๆ ไอ้เอี้ยงเขยิบไป”
กล้าเบิ้ดกะโหลกเอี้ยงไปทีหนึ่ง เอี้ยงเขยิบให้
บนเวทีลูกดอกกลับเข้ามา
“มาแล้ว พระมเหสีมาแล้ว”
“มเหสีเรากำลังจะออกมา คนสวยก็ต้องแต่งตัวนานเป็นธรรมดา”
กลายเป็น จริยา รำป้อออกมาร้องลิเก
“เราชื่อมเหสีนงรัก หน้าพริ้งพักต์สวยใส
ผิวพรรณก็ยองใย ไม่มีใครเทียบได้
สวามีจะเดินทาง ไปกลางป่ากลางดง
เราจะขอตามไปส่ง ถึงกลางดงพงไพร
ผัวใครใครก็รัก มันยากจะหักใจได้”
ชาวบ้านเห็นหนังหน้าแล้วพากันเบ้ปากทั้งแถบ
กล้าแหกปากโวยลั่นที่นางเอกไม่ใช่ยอดสร้อยคนสวย
“เฮ้ย นี่นางเอกหรือนางค่อมเนี่ย ทำไมให้พี่จริยาเล่นล่ะ”
“ดีแล้วล่ะไอ้กล้า นางเอกสวยมากก็น่าเบื่อ” ลิลลี่ว่า
แปะกล้วยตะโกนไปบนเวที “เฮ้ย เอาอีดำนี่มาเป็นนางเอกได้ยังไง ยอดสร้อยอยู่ไหน อั๊วจะดูยอดสร้อย”
จริยายัวะสวนกลับทันควัน “ดำแล้วผิดตรงไหน ถึงจะดำชั้นก็ร้องได้รำได้นะ…”
ลูกดอกรีบยกมือตะปบหมับปิดปากจริยาไม่ให้ทะเลาะกับคนดู
อ่านต่อหน้า 2
ลิเกหมัดสั่ง ตอนที่ 1 (ต่อ)
ชาวบ้านเริ่มตะโกนเรียกร้องจะดูยอดสร้อย สำเริง รักษ์ แฉะ ที่อยู่ข้างเวที พากันหน้าเสีย สำเริงตัดสินใจออกไปหน้าเวที
“นางเอกของเราวันนี้ เป็นนางกบแปลงกายมา จึงมีหน้าตาอัปลักษณ์ แต่ขอให้ทุกท่านฟังเสียงร้องและการรำของเธอก่อนนะครับ”
เพชรร้องเกี้ยวจริยา
“งามงดหมดจรดหยดย้อย ผิวขาวน้อยหรือนั่น
เพียงเพ่งพิศแค่ครึ่งวัน เห็นงามนั้นซ่อนภายใน...”
ผักกาดตะโกนแซว “ภายในไหนยะ คงอยู่ลึกมากสินะ มองไม่เห็นเลยเนี่ย”
จริยาสวนกลับอีก “ยังไงชั้นก็สวยกว่าหล่อนแหละนังผักกาด”
เสียงเชียร์มวยดังเข้ามาถึงวิกลิเก
แปะกล้วยหันไปฟัง แล้วหันมาทางพรรคพวก “เฮ้ยๆ นังพริมขึ้นชกแล้วแน่เลย ไปดูนังพริมดีกว่า”
“ใช่! ไปดูมวยดีกว่า นักมวยยังสวยกว่าเลย ไป ไอ้เอี้ยง”
กล้าลุกนำขบวน แปะกล้วย ผักกาดลุกตาม เดินไปทางเวทีมวย มีลิลลี่ยังอยู่โยงนั่งดูพี่เพชรหน้าหวานต่อ
รักษ์ กับ แฉะ เห็นท่าไม่ดี รีบออกมาหน้าเวทีเรียกคนดู
“ฉากตลกของเราตล๊กกก ตลกนะครับท่าน กลับมาก่อน” แฉะร้องซะดัง
“โจรก็ยังไม่ได้ออกเลย ฉากบู๊วันนี้มันสุดๆ นะครับ” รักษ์ร้องตาม
ทว่าชาวบ้านสะบัดตูดเดินไปไม่สนใจ
เพชร รักษ์ ลูกดอก สำเริง แฉะ กลับเข้ามาหลังโรงอย่างกลุ้ม จริยาอารมณ์เสียไม่หาย
“เมื่อกี้พ่อเริงว่าฉันอัปลักษณ์เหรอ ชี้ซิฉันอัปลักษณ์ตรงไหน”
สำเริงเซ็ง “ชี้ทั้งวันก็ไม่หมด อย่างเพิ่งกวนได้มั้ย ตอนนี้มาช่วยกันคิดก่อนว่จะดึงคนดูกลับมายังไง”
“เราเล่นฉากรบเลยมั้ยพ่อ เผื่อคนดูอยากดูอะไรตื่นเต้น” เพชรไอเดียกระฉูด
“แต่ตอนนี้คนดูไปหมดแล้ว จะเล่นให้ใครดู” รักษ์ว่า
ลิลลี่บุกหลังโรงปรี่เข้ามาหาเพชร
“เล่นให้ชั้นดูไงจ๊ะ ถึงแม้นางเอกจะเป็นกบเป็นเขียด ฉันก็อยากดู เพราะชั้นดูแต่พระเอก พี่เพชรเล่นฉากรบให้ดูหน่อยนะ”
“รู้แล้ว เราต้องทำฉากรบให้สมจริง ยิ่งใหญ่ อลังการ”
สีหน้าเพชรมุ่งมั่นเวอร์ คนอื่นงงทั้งแถบ ไม่เว้นลิลลี่
เวทีมวยคึกคักสุดๆ พริมกับสมศรีเตะต่อยกันอย่างสูสี แชมป์พากษ์ไปอย่างเมามัน คนดูเชียร์กันสนุกสนาน มีคนดูจากลิเกย้ายมาดูมวยด้วย รวมทั้งกล้า เอี้ยง แปะกล้วย ผักกาด
“พริมต่อยซ้าย สมศรีต่อยขวา พริมหลบ พริมเตะสวน เตะอีก เตะอีก ถ้าโดนเตะจังๆ สมศรีขาขาดไปแล้ว สมศรีถอย พริมได้ทีเตะซ้ำ อย่างนั้น...อย่างนั้น...”
สมศรีเหมือนจะเพลี่ยงพล้ำ พริมเริ่มรุกหนักขึ้น อยู่ๆ เสียงประทัดดัง “บึ้ม!” ขึ้นมา
พริมตกใจ มีเสียงชาวบ้านร้องกรี๊ด
สมศรีได้จังหวะต่อยพริมจังๆ พริมยกมือตั้งการ์ดไม่ทัน โดนไปเต็มๆ ล้มลงกับเวที
ขนุน เอื้อย อรชร บุญหลง ชาติ เด่น และแคน ตกใจ น้อยรีบเข้าไปดูพริมแล้วนับ
แชมป์พากย์ไป “อ้าวเกิดอะไรขึ้น? ตอนนี้พริมลงไปนับแล้วครับ”
มีเสียง บึ้ม! ดังขึ้นอีก ลิลลี่วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“พวกเรา ลิเกกำลังเล่นฉากรบ มันมาก....! ไปดูกันเร็ว...!”
เสียง บึ้ม! ดังอีก แปะกล้วยกับผักกาดมองหน้ากัน ชักเขว
“สงสัยมันจะเอาปืนใหญ่มายิงกันจริงๆ ว่ะผักกาด”
ผักกาดกรี๊ด “แอร๊ยยย ชั้นอยากเห็นปืนใหญ่ของเพชร”
ลิลลี่รีบบอก “งั้นก็รีบไปดูกันสิ”
แปะกล้วย ผักกาด ลิลลี่ กล้า และเอี้ยง กรูออกไป รวมทั้งชาวบ้านอีกหลายสิบ
อรชรเซ็งปนโมโห “เฮ้ย ไอ้พวกลิเกมันทำอะไรของมันวะ”
ชาวลิเกยกคณะ ทั้ง เพชร รักษ์ถือดาบในมือ ลูกดอก และจริยา เตรียมตัวรออยู่บนเวทีแล้ว สำเริง และแฉะอยู่ข้างเวที
เพชรร้องขึ้น “คนดูมากันแล้ว”
คนดูแห่มาจากฝั่งเวทีมวย, วิ่งนำมาโดยเอี้ยง กล้า ลิลลี่ แปะกล้วย ผักกาด
ลูกดอกเอาไฟแช๊คจุดไฟเย็นที่ติดอยู่ที่ปลายดาบของเพชรและรักษ์, ปี่พาทย์บรรเลง
เพชรโชว์ฉากฟันดาบกับรักษ์ จริยาวี้ดว้าย
“เจ้าโจรชั่ว เจ้าจะต้องเจอมนตราอาคมของข้า” เพชรพนมมือร่ายคาถา
แฉะที่อยู่ข้างเวที จุดประทัดไข่มังกรโยนไปบนเวที เกิดควัน ประกายไฟ และเสียงดังโป้งป้าง
ชาวบ้านอู้หูอู้หากันยกใหญ่ ลิเกเล่นฉากรบกัน ชาวบ้านสนุกสนาน
เสียงระฆังมวยดัง เก๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
วงปี่พาทย์หยุดบรรเลง ทำให้ เพชร รักษ์ ลูกดอก สำเริง แฉะ และจริยา ต้องหยุดตาม หันไปทางต้นเสียง
ทุกคนเห็นอรชรถือระฆังเคาะเดินหน้าตึงเปรี๊ยะเข้ามา ตามมาด้วยพริมซึ่งมีรอยช้ำที่หน้าโดนสมศรีตะบันทีเผลอ ขนุน บุญหลง เอื้อย ชาติ แชมป์ เด่น และแคน เดินตามมาเป็นโขยงอย่างเอาเรื่อง
“พ่อสำเริงอยู่ไหน ออกมาคุยกันหน่อยซิ” อรชรตะโกนขึ้น
สำเริงออกมาจากหลังเวที
“เอาไว้คุยทีหลังได้มั้ยแม่อรชร พวกชั้นเล่นลิเกกันอยู่ มาให้หยุดกลางครันอย่างนี้ คนดูเสียอารมณ์หมด”
“แต่ชั้นอารมณ์เสียไปแล้ว อยู่ๆ มาแย่งคนดูชั้นไปได้ยังไง”
เพชรขัดขึ้น “น้าอรชรคราบ พูดอย่างกับว่าเราไปชิงไปปล้นคนดูมาอย่างนั้นแหละ คนดูเค้าอยากมาเค้าก็มากันเอง”
พริมยัวะจัด “มาเองเหรอ! แล้วไอ้ระเบิดตู้มนั่นน่ะ ใครเป็นคนจุด”
“ชั้นเองแหละ ตื่นเต้นมั้ยจ๊ะน้องพริม” เพชรทำหน้าทะเล้น
“ตื่นเต้นมาก... พอระเบิดตู้ม ชั้นก็โดนเปรี้ยงนี่ไง”
บุญหลงฮึดฮัด “พริม ชั้นว่าอย่ามัวพูดอยู่เลย มันทำพริมเจ็บ มันก็ต้องเจ็บด้วย”
ขาดคำบุญหลงจะเข้าจัดการเพชร รักษ์ ลูกดอก และแฉะ ถือดาบลิเก ออกมาขวาง ลิลลี่ออกโรงสนับสนุน
“อย่านะเว้ย ใครทำพี่เพชร ชั้นฟันหัวแบะจริงๆ ด้วย” ลูกดอกกำดาบมั่นในมือ
“ไม่ต้องไปกลัว ดาบเก๊เจอหมัดจริงหน่อยเป็นไง พวกเรา ลุย” แชมป์ตะโกน
บุญหลง ชาติ แชมป์ เด่น แคน กำลังจะพุ่งใส่
ทันใดนั้นมีน้ำสาดมาจากทางไหนไม่รู้ สาดลงตรงกลางกลุ่มที่กำลังจะตีกัน
แชมป์โมโหโวยวายขึ้น
“เฮ้ย ใครกล้าทะลึ่งวะ”
ชาวบ้านแหวกออกเป็นทาง เผยให้เห็นหลวงพ่อเจ้าอาวาสนั่นเองถือถังน้ำเดินเข้ามา
“อ้าว คนหรอกเรอะ ได้ยินเสียงฮึ่มๆ นึกว่าหมาจะกัดกัน” เจอหลวงพ่อด่าเต็มๆ
“ก็คนน่ะสิหลวงพ่อ หมาที่ไหน” เพชรโวย
“เป็นคนแล้วทำไมไม่คุยกันดีๆ เล่า ไหนมันเรื่องอะไรกัน”
คนดู คนลิเก และคนค่ายมวยยกขบวนขึ้นมาบนศาลาการเปรียญ
หลวงพ่อนั่งตรงกลาง พวกค่ายมวยนั่งฝั่งหนึ่ง พวกลิเกนั่งฝั่งหนึ่ง ลิลลี่รวมอยู่กับฝั่งลิเก กล้ากับเอี้ยง แปะกล้วย ผักกาดเป็นคนกลางนั่งห่างๆ ออกมา น้อยนั่งข้างหลวงพ่อ
“ชั้นก็บอกแล้วใช่มั้ยว่าไอ้เวทีมวยกับไอ้เวทีลิเกน่ะให้ตั้งห่างๆ กัน เวทีนึงอยู่หน้าวัด อีกเวทีก็ไปอยู่หลังวัดซะ มันจะได้ไม่มีเรื่อง”
อรชรเอ่ยขึ้น “หลวงพ่อก็บอกให้พ่อเริงย้ายไปหลังวัดสิคะ”
สำเริงโต้ “ก็แล้วทำไมแม่อรไม่ย้ายไปซะเองล่ะ ลิเกมันเป็นศิลปะสวยงามก็ควรเอาไว้
หน้าวัด ของแม่อรน่ะเป็นความรุนแรง แล้วยังมีการพนันอีก เอาไปไว้หลังวัดน่ะถูกแล้ว”
อรชรขึ้นเลยทีนี้ “พูดอย่างนี้ได้ยังไง ของฉันเป็นกีฬา ใครจะพนันฉันก็ไม่รับรู้ แต่ของแกน่ะลิเก
ประโลมโลก ไร้สาระ”
พวกลิเกได้ยินก็ขึ้นเสียงกันฮึ่มๆ ฮ่ำๆ พวกค่ายมวยก็ฮึ่มๆ ใส่บ้าง จับไม่ได้สรรพว่าทะเลาะอะไรกัน
หลวงพ่อร้องสุดเสียง “หยุด หยุด”
ไม่มีใครฟังเลย ยังฮึ่มๆ ใส่กัน น้อยรู้งานยกแก้วน้ำให้หลวงพ่อ
“น้ำมนต์ครับหลวงพ่อ”
หลวงพ่ออมน้ำทั้งแก้ว แล้วพ่นเป็นฝอยใส่พวกค่ายมวยที ใส่พวกคณะลิเกที
“ต้องโดนน้ำมนต์ก่อน ถึงจะสงบลงได้”
ทุกคนยกมือสาธุอย่างไม่เต็มใจ
“พวกเธอไปตกลงกันเองใครจะอยู่หน้าวัด ใครจะอยู่หลังวัด ถ้าพรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีก ชั้นจะไม่ให้ใครตั้งสักเวทีเดียว”
เจอคำขาดหลวงพ่อ ทั้ง 2 ฝ่าย จ้องเขม็งกันจะกินเลือดกินเนื้อ เพชรส่งสายล้อเลียนให้พริม ถูกพริมถลึงตาเขียวใส่ แล้วชูกำปั้นให้ เพชรผงะเพราะรู้ฤทธิ์หมดดี
ทั้งเวทีมวย เวทีลิเก ต้องหยุดไป รถกระบะ 2 คันของคณะลิเก ข้างรถมีป้าย “ลิเกคณะ เพชรสำเริง บันเทิงศิลป์” มีหน้าเพชรยิ้มหวานโชว์หรา คันหนึ่งขนคน คันหนึ่งขนของ แล่นมาจอดหน้าบ้าน
ทุกคนช่วยกันขนของเข้าไปเก็บ เป็นพวกกล่องลังและราวแขวนเสื้อ
“ถ้าพี่ยอดสร้อยไม่มาหายไปแบบเนี้ย ก็คงไม่เกิดเรื่องหรอก” เพชรบ่น
ลูกดอกแย้ง “แต่คนมันจะหาเรื่อง ยังไงมันก็มีเรื่องจนได้”
รักษ์บอก “แต่เราก็ไปรบกวนเค้าก่อนนะ”
“รักษ์พูดถูก ลิเกเราดึงคนไว้ไม่ได้เอง” สำเริงเห็นด้วย
“พ่อเริงเองต่างหากที่ดึงนังยอดสร้อยไว้ไม่ได้ ก็ให้ค่าตัวมันไม่พอกิน มันก็หนีไปให้ผู้ชายเลี้ยงสิ ชั้นก็เหมือนกันนะ ถ้ามีผู้ชายมาขอเลี้ยงเมื่อไหร่ ชั้นก็ไปเมื่อนั้นแหละ”
คำพูดของจริยา ทำเอาสำเริงแอบสะเทือนใจมิใช่น้อย
“ชาตินี้คงไม่ได้ไปหรอก” แฉะแขวะจริยา
“ไอ้บ้า ชั้นสวยนะ”
ลูกดอกวิ่งหน้าตื่นออกมาจากในบ้าน
“ทุกคน เข้าไปดูในบ้านเร็ว”
เพชร รักษ์ ลูกดอก สำเริง แฉะ และจริยาตามกันเข้ามาในบ้าน เห็นสภาพบ้านถูกรื้อค้น ของกระจัดกระจายก็ตกใจ
นักเลง 2 คนเดินมาจากชั้นบน มันเป็นคนของเจ้าหนี้ที่สำเริงไปกู้เงินมา
นักเลง 1 ท่าทางเป็นลูกพี่ เอ่ยขึ้น “พวกแกซ่อนเงินกันเก่งนะ รื้อจนเหนื่อยก็ยังไม่เจอ”
“ไม่ได้ซ่อนเก่งอะไรหรอกพ่อคุณ เงินมันไม่มีจะให้ซ่อน” สำเริงว่า
นักเลง 1 ยิ้มหยัน “น่าสมเพช นี่เพิ่งกลับจากเล่นลิเกใช่มั้ย” พลางยื่นมือออกไปขอเงิน “ดอกงวดนี้กับงวดที่แล้ว รวมกัน 50,000 พอดี”
เพชรเข้าไปเจรจาดีๆ “พี่ครับ วันนี้ที่วัดเกิดเรื่อง พวกเราไม่ได้เงินสักบาทเลยครับ แต่พรุ่งนี้รับรองว่าเราจะ…”
นักเลง1สวนออกมา “พอๆๆ ขี้เกียจฟัง ถ้าไม่มีเงิน เราก็ต้องยึดบ้านหลังนี้ ส่วนค่าดอกวันนี้ เราขอเป็นของก็ละกันนะ” มันมองไปที่ลังใส่ชุด “...ได้ข่าวว่าชุดพวกนี้แพงใช่มั้ย”
นักเลง 1 หันไปพยักพเยิด กับลูกน้อง นักเลง2 นักเลง 3 เข้ามาจะยกลัง
เพชร รักษ์ ลูกดอก แฉะ เข้าไปขวาง
“เฮ้ย”
นักเลง 1 ตะโกน แล้วถลกเสื้อให้ดูปืนที่เหน็บเอวไว้ เพชร รักษ์ ลูกดอก และ แฉะ ชะงัก
“ถ้าไม่มีชุด แล้วเราจะทำมาหากินยังไง แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนมาใช้งวดต่อไป” รักษ์โวย
นักเลง1ไม่สน “ฮ่าๆๆ แกถามชั้น แล้วชั้นจะไปถามใคร มันไม่ใช่ปัญหาของชั้น” มันหันไปสั่งลูกกระจ๊อก “ยกไป”
นักเลง 2 กะ นักเลง 3 ยกลังเสื้อผ้าออกไป ลูกดอกเข้าแย่งลัง ถูกนักเลง2 ผลักลูกดอก
แฉะเข้าไปช่วย ลูกดอกลุกขึ้นจะต่อยนักเลง ลูกดอกกับแฉะสู้กับนักเลง 2นักเลง 3
นักเลง1 ชักปืนออกมาตบหน้าลูกดอกเปรี้ยง แล้วชี้ปืนไปที่หน้าลูกดอก
“ชั้นอยากเอาไปแค่ของ ไม่อยากเอาชีวิตลิเกไร้ค่าอย่างแกไปด้วย เพราะฉะนั้น อยู่เฉยๆ”
จริยาเข้าไปกอดลูกดอกห้ามไว้ไม่ให้ไปชกนักเลงอีก รักษ์จับตัวแฉะไว้
นักเลง 2 นักเลง 3 ยกลังเสื้อผ้าออกไป
สำเริงได้แต่มองตามถึงกับทรุดนั่งลงกับพื้น
อ่านต่อหน้า 3
ลิเกหมัดสั่ง ตอนที่ 1 (ต่อ)
แหล่งนัดสังสรรค์ จับจ่ายอาหาร ตลอดจนเม้าท์มอยยามเช้าของชาวบ้านทุ่งไก่หลง เป็นบริเวณร้านค้า ที่มีร้านกาแฟของแปะกล้วย ตั้งเคาน์เตอร์ชงกาแฟ และโต๊ะให้ลูกค้านั่ง 3 โต๊ะ ลิลลี่เสิร์ฟกาแฟอยู่
ติดกันเป็นร้านขายส้มตำของผักกาด มีอุปกรณ์ทำอาหารอีสานครบครัน และเตาปิ้งไก่ย่าง มีโต๊ะลูกค้า 3 โต๊ะ
พริม ขนุน บุญหลง และเอื้อย กินส้มตำกันอยู่ ผักกาดกำลังสับมะละกอเม้าท์มอยอยู่กับลูกค้าคนหนึ่ง
“เมื่อคืนสนุ๊กสนุก พวกค่ายมวยกับพวกลิเกทะเลาะกันอีกแล้ว ดีนะที่หลวงพ่อมาห้ามไว้ก่อน ไม่งั้นคงโชกเลือดกันทั้ง 2 ฝั่งแน่”
“พวกค่ายมวยชอบไปหาเรื่องคณะลิเกก่อนทุกที” ลิลลี่พูดกระทบ “นิสัยไม่ดี ชอบใช้กำลัง”
บุญหลงแหวขึ้น “ว่าใครหาลิลลี่”
“ก็ว่าพวกชอบใช้กำลังน่ะสิ แถวนี้มีมั้ยล่ะ”
“พวกชั้นก็ไม่อยากจะมีเรื่องหรอกนะ ถ้าพวกลิเกไม่มาก่อกวนเราก่อน” พริมว่า
นักเลง 2 นักเลง 3 เดินเข้ามาที่นิ้วใส่แหวนลิเกเต็ม 10 นิ้ว ทั้ง 2 คน
“ต่อไปนี้มันคงไปก่อกวนไม่ได้แล้วล่ะน้องพริม เพราะถ้ามันไม่มีชุดจะใส่ มันก็เล่นไม่ได้” นักเลง 2 ทำเป็นกรีดมือโชว์แหวน
ลิลลี่จำได้ “นี่มันแหวนของพี่เพชรนี่! พวกแกไปเอามาได้ยังไง”
นักเลง 3 บอกขึ้นว่า “ก็พวกมันไม่มีเงินใช้หนี้เสี่ย พวกชั้นก็เลยไปยกของบ้านมันมาตั้ง 2 ลัง เสี่ยก็เลยแบ่งมาให้พวกชั้นใส่เล่น”
“ชั้นอยากเปลี่ยนอาชีพไปเป็นนักเลงมั่งซะแล้วซี” แปะกล้วยว่า
ลิลลี่เอ็ดเอา “เตี่ย พูดอะไรเนี่ย เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกหลานหน่อย”
นักเลง 2 ขยับไปสีขนุน
“น้องขนุนชอบรึเปล่าจ๊ะ รวมทั้งมือนี่หลายร้อยกะรัตเลยนะ พี่ไปสู่ขอได้มั้ย”
นักเลง 2 ยื่นมืออวดเพชรมาใกล้ๆ ขนุนเหมือนจะลวนลาม
ขนุนจับมือนักเลง 2 บิดจนมันร้อง “โอ๊ย” แล้วถูกผลักออกไป
พริมกับบุญหลงกำลังลุกขึ้นจะช่วย ขนุนรีบห้าม
“พี่ไม่ต้อง พักนี้ชั้นไม่ค่อยได้ขึ้นชกเลย ขอยืดเส้นยืดสายกับไอ้พวกนี้หน่อยก็ดี”
“ปากดีนัก”
นักเลง 3 เข้าชกขนุน แต่ขนุนหลบหลีก แล้วชกสวน นักเลง2 ลุกขึ้นมาช่วย กลายเป็น 2 รุม 1
ข้าวของร้านไก่ย่างกับร้านกาแฟล้ม หล่นเกลื่อน ผักกาดกับแปะกล้วยโวยวายใหญ่
ขนุนออกแม่ไม้ไม่นาน ก็เอาชนะ 2 นักเลงได้
เอื้อยสะใจ “ยังไม่หมดยกแรกก็น็อคซะแล้ว ฮ่าๆๆๆ”
ส่วนบรรยกาศภายในค่ายมวยตอนนี้ เห็นมีนักมวยฝึกซ้อมอยู่ เด่นกับแคนล่อเป้ากัน
พริม ขนุน บุญหลง เอื้อย กลับจากตลาดมาคุยให้อรชรฟัง อรชรรับฟังด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“โดนยึดเสื้อผ้าข้าวของไปหมดบ้านแบบนั้น ต่อไปนี้ก็จะไม่มีพวกลิเกมาให้รกหูรกตาเราอีกแล้วนะแม่” พริมว่า
“ชั้นว่าพวกเค้าน่าสงสารจะตาย เราไปช่วยเค้าหน่อยดีมั้ย อย่างน้อยก็เพื่อนบ้านกัน” ขนุนบอก
“ขนุน! มันเป็นศัตรู ไม่ใช่เพื่อน ต้องจูนหน่อยแล้วนะ” เอื้อยเข้าไปนวดขมับขนุน
“งั้นคืนนี้พริมก็คงขึ้นชกได้อย่างสบายใจแล้วล่ะ ไอ้พวกลิเกคงได้แต่นั่งหน้าละห้อยไม่มีอะไรทำ” บุญหลงยิ้มชอบใจ
“แต่ชั้นว่า...ชั้นมีแผนที่สนุกกว่านั้นนะ”
พริม ขนุน บุญหลง และเอื้อย สงสัย
อรชรยิ้มมีแผนในใจ
ที่บ้านลิเก สำเริงกำลังคุยโทรศัพท์ขอกู้เงินอยู่ เพชร รักษ์ ลูกดอก แฉะ และจริยานั่งกลุ้ม ปวดตับกันสลอน
“ครั้งนี้ชั้นเดือดร้อนจริงๆ เจ๊ ขอยืมแค่พอเอาไปไถ่ชุดลิเกคืน สักวันสองวันชั้นก็น่าจะพอหาเงินเอาไปคืนเจ๊ได้ อย่าเพิ่งเจ๊ อย่าเพิ่ง…”
เพชรรอฟังผลรีบถาม “เค้าว่าไงบ้างพ่อ”
“เค้าบอกว่าครั้งที่แล้วเราคืนช้า ครั้งนี้เค้าเลยไม่ให้ยืมแล้ว”
“หรือเราจะเอารถไปจำนอง” รักษ์เสนอ
แฉะเห็นงามด้วย “จริงด้วยพ่อเริง ฉันเห็นในทีวีที่บอกว่ารถแลกเงินน่ะ ได้เร็วด้วยนะ”
“ชั้นแลกไปตั้งนานแล้ว แล้วเงินก็หมดไปแล้วด้วย นี่เค้าจะมายึดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
ทุกคนเซ็งถอนหายใจพร้อมกัน “เฮ้อ...”
มีเสียงบีบแตรรถ ปี๊นๆ อยู่หน้าบ้าน ลูกดอกลุกไปดู เห็นพวกนักเลง เมื่อวานจอดรถอยู่หน้าบ้าน นักเลงทั้ง 3 ลงมาจากรถ
“เฮ้ย! ไอ้พวกเมื่อวานมันกลับมา”
ทุกคนตกใจ
สำเริง เพชร รักษ์ ลูกดอก แฉะ และจริยาออกมาหน้าบ้านลิเกด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว ถือมีดถือไม้ที่พอจะหาได้จากบ้าน นักเลง 1 ยืนกร่างอยู่
“พวกชั้นไม่มีอะไรจะให้แล้ว พวกแกยังจะมาเอาอะไรอีก” สำเริงโมโห
“ถ้ายังรังแกกันอยู่อีก พวกชั้นก็สู้ตาย” เพชรเสียงเข้ม
นักเลง 2 นักเลง 3 ยกลังเสื้อผ้าของลิเกออกมา วางตรงหน้าสำเริง พวกลิเกงง
“หมายความว่ายังไง” รักษ์ถาม
นักเลง1บอกออกแนวแดกดัน “พวกแกนี่คงทำบุญมาดี กำลังจะอดตายแท้ๆ แต่ก็มีเทวดามาใช้หนี้ให้”
สามนักเลง กลับขึ้นรถ ขับกลับไปฝุ่นตลบ
สำเริงร้องถาม “เดี๋ยว ใครใช้หนี้ให้เรา”
อรชรอยู่ในโถงบ้าน กำลังคุยโทรศัพท์กับเสี่ยเจ้าหนี้ของสำเริง มีซองเอกสารสีน้ำตาลอยู่บนโต๊ะ
“เรียบร้อยนะคะเสี่ย ขอบคุณมากค่ะ” อรชรวางสาย
พริมแปลกใจ “ทำไปทำไมอ่ะแม่ เงินตั้งหลายแสน”
“แค่ไม่กี่แสนต่างหาก ถือว่าเศษเงิน แลกกับ...” อรชรเปิดซอง หยิบเอกสารออกมาแล้วว่า “ใบจำนองบ้านและที่ดินของพวกลิเก ถือว่าคุ้ม”
เอื้อยงง “แล้วจะเอาไปทำอะไรได้”
“ฮ่าๆ ทำได้ตั้งหลายอย่าง ตอนนี้ก็เท่ากับว่าเราเป็นเจ้าชีวิตของไอ้พวกลิเกมันแล้ว จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด จะสั่งให้ซ้ายหันขวาหันกระโดดเหว พวกมันก็ต้องยอม อย่างนี้น่ะไม่สนุกหรอกเหรอ”
เอื้อยหัวเราะเสียงแหลมอย่างกับนางร้ายละครช่อง 8
“ฮ่าๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ แม่อรนี่ชั่วได้ใจ เอ๊ย ฉลาดได้ใจจริงๆ ทำไมชั้นคิดไม่ถึงเลยนะ ฮ่าๆๆๆ”
บุญหลงเดินเข้ามาบอกกว่า “แม่อร ลุงสำเริงมาหา”
อรชรยิ้มเจ้าเล่ห์
เอื้อยยังคงหัวเราะฮ่าๆๆๆ อย่างกับนางร้าย ใบเตย อาร์สยาม กระนั้น
ถัดมา อรชรนั่งอยู่ในมุมรับแขก มาดอย่างนางพญา มีพริมกับเอื้อยยืนข้างๆ สำเริงกับเพชรนั่งอยู่ตรงหน้าอรชรท่าทางนอบน้อม
“เรื่องเมื่อวานชั้นต้องขอโทษแม่อรด้วยนะจ๊ะ พวกชั้นมันทำเสียงดังไปจริงๆ” สำเริงเปิดปากจ๊ะจ๋า
“แล้ววันนี้ล่ะ จะเสียงดังเหมือนเมื่อวานอีกรึเปล่า”
“ไม่แล้วจ้ะ วันนี้จะเล่นเรื่องรัก ไม่มีฉากรบแล้วล่ะจ้ะ” เพชรบอก
พริมสอดขึ้นมา “ให้พระเอกเป็นใบ้ได้มั้ย ชั้นไม่อยากได้ยินเสียง”
“อุ้ย ถ้าพระเอกเป็นใบ้แล้วจะบอกรักนางเอกยังไง” เพชรทำมือ I Love You แล้วยื่นให้ เป็นการหยอกกวนประสาท “อย่างนี้เหรอ”
พริมถลึงตาใส่ “อย่าทะลึ่ง”
“ก็แล้วเธอชกมวยไม่ใช้มือได้มั้ยล่ะ ถ้าได้ ชั้นก็จะเล่นลิเกไม่ใช้เสียงให้ดู”
สำเริงยกมือจะฟาดเพชรที่เสียมารยาท
“ขอโทษนะ ไอ้เพชรมันพูดเล่น แม่อร วันนี้ชั้นจะมาขอบคุณแม่อรด้วย ที่ช่วยต่ออายุให้คณะลิเกของชั้นได้มีลมหายใจต่อไป บุญคุณครั้งนี้ชั้นจะไม่ลืมเลย” พ่อลูกยกมือไหว้ “ขอบคุณแม่อรมากๆ นะจ๊ะ”
อรชรงง “พูดเรื่องอะไร”
“ก็ที่แม่อรช่วยใช้หนี้ให้ชั้นไงจ๊ะ”
“ใช้หนี้ให้เหรอ” อรชรนึกออก หัวเราะร่วน “ฮ่าๆๆ ใครจะไปใจดีเป็นแม่พระอย่างนั้น”
“อ้าว ก็ไอ้พวกนั้นมันบอกว่าแม่อรใช้หนี้เสี่ยแทนชั้นไปแล้ว”
“ชั้นแค่มีเงินเหลือๆ น่ะ เห็นสัญญาจำนองบ้านของพ่อเริงมันน่ารักดีก็เลยซื้อมาดูเล่น พ่อเริงก็แค่เปลี่ยนจากเป็นลูกหนี้เสี่ย ก็กลายมาเป็นลูกหนี้ชั้นแทน เข้าใจซะใหม่นะ” อรชรคุยข่ม
“ก็คงจะดีกว่าเมื่อก่อนนะพ่อ น้าอรเค้าคงไม่คิดดอกแพงระยับเหมือนไอ้เสี่ยหน้าเลือด แล้วก็คงไม่ส่งนักเลงมาพังบ้านเรา ใช่มั้ยจ๊ะ”
อรชรบอกว่า “ใช่...”
เพชร กะ สำเริง ดีใจ
อรชรบอกต่ออีกว่า “แต่...ถ้าชั้นอยากจะให้พ่อเริงช่วยอะไร ก็คงจะได้รับความร่วมมืออย่างดีใช่มั้ย”
“มีอะไรว่ามาเลยจ้ะ สำหรับแม่อรแล้ว ต่อให้เดือนดาว ชั้นก็หามาให้”
“ไม่ต้องถึงเดือนถึงดาวหรอก แค่คืนนี้ ย้ายเวทีลิเกไปเล่นหลังวัด เท่านี้ก็พอ”
เพชรกับสำเริงอึ้ง ส่วน อรชร พริม และ เอื้อยยิ้มสะใจ
ด้านผักกาดกับแปะกล้วยกำลังจัดร้านให้เข้าที่ หลังจากเกิดมวย 2 รุม 1 ก่อนหน้านี้
“มันเห็นร้านชั้นเป็นโรงเตี๊ยมในหยังจีนรึไงวะ ถึงได้มาตีกันจนร้านพังแบบนี้ ทำไมไม่ไปหาที่ตีกันที่อื่น อย่างป่าช้า เกาะกลางถนน หรือบนหัวอาป๊าอาม้ามันก็ได้ จะได้ไม่เดือดร้อนคนอื่น”
“อย่าบ่นเลยแปะ หนวกหู” ผักกาดรำคาญ
“ไม่ให้อั๊วบ่นแล้วจะให้ทำอะไร”
ผักกาดนึกได้ “ทายปัญหากันมั้ย”
“เอ้า ทายมา”
“ปลาอะไรขี้เกียจ”
“ปลาตาย”
ผักกาดบอกซะดัง “ผิด”
“แล้วปลาอะไร”
“ปลาวาฬ เพราะวานให้คนอื่นทำให้ตลอด”
แปะกล้วยทายมั่ง “ตาอั๊วบ้าง ปลาช่อนเป็นลูกของใคร”
“ก็ต้องเป็นลูกของแม่ปลาช่อนสิ”
“ผิด”
“แล้วเป็นลูกใคร”
“เป็นลูกของไก่แก่ เพราะไก่แก่แม่ปลาช่อน”
ผักกาดทายบ้าง “ปลาอะไรมีขี้เถ้าเกาะ”
“ปลายักษ์”
“ผิด”
“แล้วปลาอะไร”
“ปลาเผาไง มีขี้เถ้าเกาะ”
ถึงทีแปะกล้วยทาย “ปลาอะไรว่ายจากขั้วโลกเหนือไปขั้วโลกใต้”
“ปลาอดทน”
“ผิด”
“แล้วปลาอะไร”
“ปลาไม่มีอะไรทำ”
ผักกาดทาย “แล้วปลาอะไรว่ายจากขั้วโลกใต้ไปขั้วโลกเหนือ”
“ปลาไม่มีอะไรทำ”
“ผิด”
“แล้วปลาอะไร”
“ปลาตัวเมื่อกี้อยากกลับบ้าน”
สองคนผลัดกันทายไปตอบมากันอยู่อย่างนั้น
ที่ค่ายมวย ศ.อรชร พริมเดินหนีมาที่มุมกระสอบทราย เพชรตามมาติดๆ
“ยังโกรธเรื่องที่ชั้นจุดประทัดอยู่อีกเหรอ”
“แล้วมันน่าโกรธมั้ยล่ะ”
“ชั้นก็ขอโทษแล้วไง”
“ขอโทษอีกร้อยคำชั้นก็ยังไม่หายโกรธ”
“งั้นลงโทษอะไรชั้นก็ได้ แต่อย่าแกล้งให้พวกชั้นไปอยู่หลังวัด เธอก็รู้ว่าหลังวัดมันไม่มีคนดู”
“ไม่มีคนดู ก็เล่นให้ผีดูสิ”
“ชั้นยอมให้ต่อยคืนก็ได้เอ้า จะได้หายกัน”
“ไม่มีประโยชน์ ไปไกลๆ รำคาญ”
พริมเริ่มซ้อมเตะกระสอบทรายดังป้าบๆ เพชรสยองปนขยาด
“ขาขาวๆ อย่างเนี้ย ไม่กลัวเจ็บเหรอจ๊ะ”
“ถ้าชั้นกลัวเจ็บชั้นก็ไม่มาเป็นนักมวยหรอก แล้วเธอล่ะ ปากอย่างเนี้ย ไม่กลัวเจ็บตัวเหรอ”
“ถ้าชั้นกลัวเจ็บ ชั้นก็ไม่มาเป็นนักรักหรอก” เพชรเล่นลิ้น ทำทีเข้าไปใกล้ๆ หยอกเล่น
พริมเอียน เลยเตะกระสอบทรายป้าบๆๆๆ ขู่
เพชรบ่นอุบ “คิดว่าขู่แล้วจะกลัวเหรอ แรงผู้หญิงจะแค่ไหนกันเชียว”
“ลองซักยกมั้ยล่ะ”
“ไม่เอา เธอเป็นผู้หญิงชั้นเป็นผู้ชาย มันไม่สมศักดิ์ศรี”
มีเสียงเตะกระสอบทรายดังป้าบๆ ปั้กๆ มาจากข้างๆ เพชรหันไปเห็นบุญช่วยมองมาหน้าตาถมึงทึง
“งั้นมาลองกับชั้นนี่” บุญหลงเรียก
เพชรกลัว แต่ทำเป็นฟอร์ม เดินไปบีบแขนบีบขาบุญหลงแล้วทำส่ายหน้าดูถูก
“ไปฟิตมาให้มากกว่านี้นะ แล้วค่อยว่ากัน”
เพชรรีบชิ่ง โกยแนบหนีไป
อ่านต่อหน้า 4
ลิเกหมัดสั่ง ตอนที่ 1 (ต่อ)
ที่ศาลาหลังวัดเวลานั้น จริยายืนร้องเพลงเพลินๆ อยู่คนเดียว สักครู่หนึ่งจึงเห็นขนุนย่องมาทางข้างหลัง
“พี่จริยา”
จริยากำลังเพลิน ตกใจ “ว้าย”
ขนุนยิ้มปลื้ม “ขนาดตกใจเสียงยังเพราะเลย ขนุนเลือกอาจารย์ไม่ผิดคนจริงๆ ด้วย”
“ทั้งราชบุรีเนี้ย ถ้าจะเรียนร้องเพลงไม่ต้องไปหาใครอีกแล้วนอกจากพี่” จริยาคุยโต
“พี่จริยา แน่ใจนะว่าจะไม่มีใครมาเห็นเรา”
“โอ๊ย หลังวัดเนี่ย ผีดุจะตาย ไม่มีใครเค้ามากันหรอก อ่ะ ไหนล่ะค่าครู”
“จ่ายเลยเหรอ ยังไม่ได้เรียนเลยนะ”
“ที่ไหนเค้าก็จ่ายก่อนเรียนทีหลังทั้งนั้นแหละ”
ขนุนควักแบงค์ร้อยให้ จริยาคว้าหมับ รีบยัดใส่กระเป๋า
“พี่จริยารับรองผลมั้ย ว่าถ้าเรียนกับพี่แล้วจะได้เข้ารอบไปแข่งที่กรุงเทพฯ”
“รับรองร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่เข้ารอบยินดีคืนเงินภายใน 10 วัน”
“แต่กว่าจะแข่งมันก็อีกหลายเดือนนะ แล้วจะคืนเงินยังไง”
“ก็ไม่คืนไง...ก็แปลว่าเข้ารอบชัวร์ เริ่มเรียนเลยละกันเสียเวลา”
“อย่าเพิ่งๆ หนูขอย้ำนะ ห้ามใครรู้เรื่องที่หนูมาเรียนร้องเพลงเด็ดขาด เพราะถ้าเรื่องรู้ไปถึงหูพ่อ หนูโดนพ่อเตะก้านคอแน่”
“โอเค มาๆ รีบเรียนเถอะ ขั้นแรก ให้ทำเสียงแบบนี้ อึ่งงงง อ่างงงง”
“หนูจะไปแข่งร้องเพลงนะ ไม่ได้ไปแข่งจับอึ่งอ่าง” ขนุนท้วง
“นี่คือบทเรียนแรก ไม่เห็นเหรอว่าอึ่งอ่างมันมีเสียงกังวาน เราก็ต้องทำให้ได้อย่างมันก่อน เอ้าทำซิ”
ขนุนตามตาม “อึ่ง... อ่าง...”
“ยังไม่ถูก เอาใหม่ ฟังดีๆ เอามือจับท้องด้วย สูดลมเข้าท้องป่อง แล้วปล่อยลมออกมาท้องแฟ่บ ปล่อยทางปากนะไม่ใช่ปล่อยทางก้น”
จริยาสาธิตทำเสียงอึ่งอ่าง ขนุนทำตามอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ออกมาน่าขันทั้งครูทั้งศิษย์
เอี้ยงกำลังกวาดลานวัดอยู่ ส่วนกล้านอนเล่นกระดิกตีนเล่นสบายใจเฉิบบนแค่ใต้ร่มไม้
“กวาดไปนะไอ้เอี้ยง วันนี้หลวงพ่อบอกว่าถ้ากวาดสะอาดจะให้คนละ 20 บาท”
“แล้วพี่ไม่ช่วยชั้นกวาดล่ะ”
“แค่นี้กวาดคนเดียวก็ได้”
หลวงพ่อเข้ามาทันได้ยิน
“ไอ้กล้า ดูท่าเอ็งเหมือนจะไม่อยากได้ 20 นะ”
กล้าสะดุ้ง “ชั้นกวาดมาตั้งแต่เช้าหลวงพ่อแล้วเพิ่งจะได้พักเนี่ย”
“จริงเหรอไอ้เอี้ยง”
“ไม่จริงจ้ะ ชั้นกวาดอยู่คนเดียวเลย”
กล้าตอแหลต่อ “ไอ้เอี้ยง! เดี๋ยวนี้หัดโกหกหลวงพ่อเหรอ”
“ชั้นพูดจริง พี่กล้าแหละโกหก”
“ใครพูดจริงยกมือขึ้น” น้อยถาม
เอี้ยงกับกล้าแย่งกันยกมือ
น้อยถามอีก “ใครพูดโกหกยกมือขึ้น”
หลวงพ่อเป็นคนยกมือเอง
น้อยงง “อ้าว หลวงพ่อโกหกอะไร”
“ก็โกหกว่าใครกวาดชั้นจะให้ 20 น่ะสิ”
เอี้ยงเลยเซ็ง “โห หลวงพ่อโกหกได้ไงอะ”
“ฮ่าๆๆ ดีนะ ที่ชั้นยังไม่ได้กวาด”
“น้อยเอาเงินให้ไอ้เอี้ยงไป 40 ซิ”
น้อยควักเงินให้เอี้ยง
กล้างง “อ้าว ไหนหลวงพ่อบอกว่าโกหกไง”
“ก็ใช่ไง ที่บอกว่าจะให้ 20 แต่จริงๆ ให้ 40”
เอี้ยงดีใจ กล้าอารมณ์เสีย รักษ์ขี่รถเครื่องเข้ามาพอดี
หลวงพ่อถาม “จะไปไหนล่ะรักษ์”
“จะไปดูที่หลังวัดซะหน่อยครับ วันนี้ลิเกจะย้ายไปตั้งโรงที่นั่น”
“เออ ดีแล้ว ยอมๆ กันมั่ง จะได้ไม่มีเรื่อง”
รักษ์ขี่รถเครื่องไปทางหลังวัด
ขนุนยังเรียนทำเสียงอึ่งอ่างอยู่กับจริยา ที่ศาลาหลังวัด
“อึ่ง...อ่าง...อึ่ง...อ่าง...”
“ดีขึ้น...บทต่อมา อ๊บ...อ๊บ หันหน้าออกไปที่กว้างๆ นะ” จริยาหันหน้าออกไปทางหนึ่ง “อ๊บ...อ๊บ...”
ขนุนหันไปอีกทางเห็นรักษ์ขี่รถเครื่องมาก็ตกใจ รีบวิ่งไปหาที่หลบ จริยาไม่เห็น ก็ทำเสียงอ๊บๆ อยู่อย่างนั้น รักษ์จอดรถเครื่อง เห็นจริยาร้องอ๊บๆ ก็แปลกใจ
“ทำอะไร”
จริยาตอบโดยยังไม่ได้หันมา “ฝึกให้ท้องแข็งแรงไง” พอหันไปเจอรักษ์ “ว้าย มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“มาก็เห็นร้องอ๊บๆ อยู่ ตกลงทำอะไร”
“ชั้น...ชั้นเรียกกบ ชั้นกำลังหิวน่ะ เลยออกมาหากบกิน” นางร้ายลิเกแถไป
จริยาส่ายตามองหาขนุน
“หาอะไรอีกล่ะ”
“หาขนุน”
“ขนุน” รักษ์ทวนคำงงๆ
ขนุนที่ซ่อนอยู่ลุ้นขี้เยี่ยวเล็ดกลัวว่าความจะแตก
“ใช่ๆ ชั้นหิวขนุนด้วย”
ขนุนได้จังหวะรีบวิ่งหนีออกจากที่ซ่อน รักษ์หันไปเห็นพอดี
“เฮ้ย ใครน่ะ”
รักษ์วิ่งตาม จริยาตามไปดึงรักษ์ไว้
“จะไปตามเค้าทำไม ปล่อยเค้าไปเถอะ”
“อาจเป็นโจรมาขโมยของวัดก็ได้”
“ไม่ใช่โจรหรอกน่า”
“ไม่ใช่แล้วจะวิ่งหนีทำไม ปล่อย”
รักษ์สะบัดแขนจริยาจนหลุด แล้วรีบขึ้นรถเครื่องขี่ตามขนุนไป จริยาบ่นเซ็ง
“จบกัน สอนได้แค่ครั้งเดียวก็จะจบแล้วเหรอเนี่ย ได้มาแค่ร้อยเดียวเอง”
ขนุนวิ่งกระหืดกระหอบหนีมาตามทางในวัด เจอรักษ์ขี่รถเครื่องมาดักตรงหน้าก็ชะงักกึก พอหันหลังจะวิ่งกลับทางเก่า รักษ์ก็ขี่ตามมาขวางหน้าไว้อีก
“ว้าย! ตามมาทำไม”
“ก็แล้วหนีทำไมล่ะ”
“ใครหนี ชั้นวิ่งออกกำลังต่างหาก”
“ทุกทีไม่เห็นเคยมาวิ่งในวัด”
“ก็วันนี้ชั้นอยากจะวิ่ง มีอะไรมั้ย ไม่ยักรู้ว่าถ้าจะวิ่งในวัดต้องไปขออนุญาตพวกลิเกก่อน”
“อย่ามาเฉไฉ บอกมานะว่าไปทำอะไรกับจริยา”
“เปล่า”
“ไปฝึกร้องเพลงใช่มั้ย”
“รู้ได้ไงอ่ะ” ขนุนดันหลุดอีก
“นั่นไง”
“เฮ้ย เปล่าๆ”
“ไม่ต้องปฏิเสธ ชั้นเห็นจริยาทำเสียงอึ่งอ่างคางคกบ่อยๆ ก่อนจะร้องเพลง”
ขนุนหน้าสลด ที่โดนจับได้แล้ว ขอร้องเสียงละห้อย
“พี่รักษ์ อย่าไปบอกใครนะ”
ถัดจากนั้นไม่นาน ขนุนกับรักษ์คุยกันอยู่ตรงมุมหนึ่งในวัด แต่พอฟังจบ รักษ์ก็หัวเราะร่า ขำก๊าก
“ฮ่าๆๆ นักมวยสาว ลูกครูมวยชื่อดัง แต่ดันอยากจะเป็นนักร้องลูกทุ่ง กลับไปเป็นนักมวยอย่างเดิมเหอะขนุน พ่อจะจับตีก้นเอานะ ฮ่าๆๆ”
“อย่ามาดูถูกความฝันชั้นนะ ชั้นเป็นลูกครูมวยแล้วชั้นต้องเป็นนักมวยตามพ่อด้วยเหรอ ถ้าชั้นจะอยากเป็นนักร้องแล้วมันผิดตรงไหน”
รักษ์เพิ่งคิดได้ว่าตัวเองก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน
“ขอโทษที แล้วนี่ทำไมถึงไปเรียนร้องเพลงกับจริยาเค้าได้”
“ก็แถวนี้มันไม่มีใครแล้ว ชั้นเห็นพี่จริยาเค้าร้องลิเกเพราะ ชั้นก็เลยขอให้เค้าสอน คิดค่าครูชั้นครั้งละร้อยแน่ะ แต่เค้ารับประกันผลนะว่าได้เข้ารอบที่กรุงเทพฯ แน่ๆ”
รักษ์ทึ่ง “นี่จริงจังถึงขั้นจะไปประกวดเลยเหรอ”
“ทำไม หน้าตาชั้นเหมือนคนไม่จริงจังรึไง”
“เปล่าๆ จริงจังก็ดีแล้ว”
“แต่ตังค์ชั้นก็ไม่ค่อยจะมีน่ะสิ ขอพ่อก็ไม่ได้ ถ้าคนที่ค่ายรู้ละความฝันฉันดับแน่ๆ พี่รักษ์อย่าไปบอกใครเชียวนะ”
“อือ...เอางี้มั้ยล่ะ เธอมาเรียนร้องเพลงกับชั้น ชั้นสอนให้ฟรีๆ เลย”
ขนุนตาโต “จริงเหรอ”
“แต่...จะต้องแลกกับการที่เธอต้องเป็นสายสืบให้กับชั้น”
“สายสืบอะไรอีกล่ะ” ขนุนงง
“ก็ตอนเนี้ย แม่อรเค้ากลายมาเป็นเจ้าหนี้ของคณะลิเกแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่าเค้าจะมีแผนแกล้งอะไรเราอีกรึเปล่า เธอต้องเป็นคนคอยส่งข่าวให้ชั้น” รักษ์ว่า
“เค้าเรียกหนอนบ่อนไส้นี่”
“จะเรียนร้องเพลงฟรีมั้ย”
ขนุนคิดแล้วบอก “เรียน”
รักษ์ยื่นนิ้วก้อยไปให้ขนุน อีกฝ่ายงง “อะไร”
“ทำสัญญาไง ชั้นจะสอนร้องเพลงให้เธอฟรีและจะไม่บอกใครเรื่องที่เธออยากเป็นนักร้อง แต่เธอก็ต้องคอยเป็นสายสืบให้ชั้น โอเค๊”
ขนุนทำใจแป๊บนึง แล้วยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวด้วย
เย็นนั้นผักกาดตำส้มตำง่วนอยู่ ส่วนพริมกำลังเลือกไก่ย่างในถาด แปะกล้วยชงกาแฟ ให้เพชรที่กำลังรออยู่
“เอา 5 ไม้นี้นะพี่ผักกาด” พริมเลือกปีกกับสะโพก
“จ้า เอาไปอุ่นเลย”
พริมเอาไก่ย่างที่เลือกไปวางที่ตะแกรงบนเตา ซึ่งมีไก่ชิ้นอื่นๆ วางอยู่ด้วย เพชรรอกาแฟนานชักเบื่อบอกอาแปะ
“ชั้นไปซื้อไก่ก่อนนะแปะ”
พริมเดินมาที่ร้านแปะ สวนกับเพชร พริมทำหน้าเชิดๆ ไม่อยากจะมอง
“เชิดมากระวังคอเคล็ดนะพริม”
พริมไม่สนใจ “แปะ กาแฟเย็น 3 โกโก้เย็น 2”
“รอแป๊บ”
เพชรเข้ามาที่ร้านไก่ย่าง
ผักกาดจ๊ะจ๋า “วันนี้เอาอะไรจ๊ะเพชร”
“ตูดไก่มีมั้ยจ๊ะ”
“ตูดไก่ไม่มี มีแต่ตูดคนขายจ้ะ” พลางผักกาดตบตูดโชว์ความฟิต
“โห ตูดใหญ่ขนาดนี้คงอิ่มไปถึงปีหน้าเลย งั้นชั้นขอแค่ปีกกับสะโพกก็พอ”
เพชรหยิบไก่ที่พริมเลือกและอุ่นไว้ไปให้ผักกาด พริมเห็นก็รีบเดินมาเอาเรื่อง
“เพชร ขโมยไก่ชั้นเหรอ”
“ไหนไก่เธอ นี่มันไก่พี่ผักกาด แล้วชั้นก็มาซื้อ ไม่ได้มาขโมย”
“นี่ไก่ชั้นเลือกเอาไว้ ใช้มั้ยพี่ผักกาด”
ผักกาดเหรอหลาไม่ทันดู “เอ่อ...เหรอๆ พี่ไม่ทันได้ดู เพชร เธอไปเลือกใหม่ละกันนะ”
“ไม่ ชั้นจะเอาอันนี้ ไก่มันวางอยู่บนเตา ไม่ได้เขียนชื่อไว้ซักหน่อย” เพชรไม่ยอม
แปะกล้วยถือถุงกาแฟกับโกโก้มัดปากมาส่งให้เพชร
“อาเพชร 65 บาท”
“อย่าเพิ่งแปะ ชั้นขอจัดการกับคนขี้ตู่ก่อน”
“พูดดีๆ ใครขี้ตู่ นายนั่นแหละขี้ขโมย”
เพชรรับควักเงินวางให้ผักกาด แล้วรับไก่มา
“ชั้นจ่ายเงินก่อน ไก่นี่เป็นของชั้น”
พริมควักเงินส่งให้แปะ แล้วรับถุงกาแฟมาแก้เผ็ด
“นี่ก็ของชั้นเหมือนกัน”
“เฮ้ย ได้ไง กาแฟนั่นชั้นสั่งนะ”
“ใครจ่ายก่อนก็เป็นของคนนั้น”
“แปะ ทำงี้ได้ไง” เพชรโวยแปะ
“อั๊วไม่ได้ทำ อีกระชากไปเอง”
เพชรเข้าไปกระชากถุงกาแฟกลับ พริมก็กระชากถุงไก่ย่างคืน ผักกาดกับแปะกล้วยช่วยกันห้าม
“เฮ้ย อย่าตีกัน เดี๋ยวร้านพัง ไก่มีเยอะแยะ เอาอันใหม่ก็ได้”
“กาแฟยังไม่หมดโลก อั๊วชงให้ใหม่ได้อีก 100 ถุงเลย จะตีกันทำมาย”
ขนาดเล่นหน้าวัดคนดูก็แทบนับหัวได้ พอพวกลิเก มาเปิดวิกอยู่หลังวัดก็เป็นไปตามคาด เพชร รักษ์ ลูกดอก แฉะ และ จริยา แต่งตัวลิเกแล้ว ส่วนสำเริงบ้างนั่งบ้าง นอนแกร่วอยู่บนเวที ด้านวงปี่พาทย์หลับไปแล้วเรียบร้อย
ไม่มีคนดูเลยคืนนี้ นอกจากลิลลี่นั่งอยู่คนเดียวหน้าเวที เสียงจิ้งหรีดดัง เป็นที่วังเวงสุดจะบรรยาย
“เมื่อไหร่จะเล่นล่ะพี่เพชร”
“ไม่มีคนดู จะเล่นยังไง” เพชรเซ็งจัด
“อ้าว แล้วชั้นไม่ใช่คนรึไง ไม่ๆๆ ไม่ต้องตอบ ชั้นรู้ว่าพี่จะตอบว่าชั้นเป็นนางฟ้า” ถามเองตอบเองเสร็จสรรพ ลิลลี่เพ้อตามเคย
“พ่อเริง อย่างนี้มันแกล้งกันชัดๆ ไล่เรามาหลังวัดแบบเนี้ย เราก็อดตายสิ” ลูกดอกโวย
“อย่าเพิ่งคิดในแง่ร้ายน่ะ อย่างน้อยเราก็ยังมีชุดลิเกใส่ ไม่อดตายหรอก” รักษ์ว่า
เพชรเอ่ยขึ้น “พ่อ ชั้นว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว จะมานั่งๆ นอนๆ รอคนดูอย่างนี้ไม่ได้”
“ชั้นก็ว่าจะไปรับลูกชิ้นไปเร่ขายตรงเวทีมวย เห็นคนเยอะเชียว” แฉะบอก
“พี่แฉะ เราเป็นลิเก เราก็ต้องใช้ความเป็นลิเกให้เป็นประโยชน์สิ”
“ยังไงของเอ็งวะไอ้เพชร” สำเริงฉงนฉงาย
สีหน้าเพชรเหมือนมีแผนบางประการ
อ่านต่อตอนที่ 2