ลมซ่อนรัก ตอนที่ 14
ปราณเดินออกมาจากห้องประชุม ปราณนต์กับอัณณาพาพสุวัฒน์ตามหลังออกมา พวกนักข่าวกรูเข้ามารุมสัมภาษณ์ปราณ
"คุณปราณคะ ขออนุญาตถ่ายภาพครอบครัวหน่อยค่ะ"
ทีมพีอาร์จัดแจงให้ปราณกับปราณนต์ยืนประกบพสุวัฒน์ ส่วนอัณณาถอยแยกไป
"อัณ มาถ่ายด้วยกันสิ" ปราณนต์ชวน อัณณาส่ายหน้า "คุณเป็นคู่หมั้นพี่ปราณนะ ก็คือครอบครัวเดียวกัน มาๆๆ"
ปราณนต์ไปคว้ามืออัณณาแล้วพามายืนข้างๆ ปราณ
"ถ่ายเลยครับๆ" ปราณนต์ทำเจ้าเล่ห์ "อะไรนะครับ อยากได้ภาพที่แสดงความรักความอบอุ่นในครอบครัวมากๆ งั้นก็ต้องกอดสินะครับ กอดๆๆ"
ปราณนต์ทำทีกอดพสุวัฒน์เพราะจะได้เปิดโอกาสให้ปราณกอดอัณณา ปราณกับอัณณาเขินกัน ปราณนต์ยิ้มเจ้าเล่ห์ พวกช่างภาพถ่ายกันพึ่บพั่บ
ปราณกับพสุวัฒน์ที่นั่งรถเข็นรออยู่ที่ห้องสำหรับเยี่ยมผู้ต้องหา ผู้คุมคุมตัวสินธรเดินเข้ามา ตามเนื้อตัวสินธรมีร่องรอยบาดแผลจากการชกต่อย สภาพของเขาดูโทรม แก้มตอบ อิดโรย ผู้คุมพามานั่งกับพสุวัฒน์ โดยมีผู้คุมคอยดูห่างๆ
"ทำไม หน้าตานายเป็นอย่างนี้" พสุวัฒน์ถาม
สินธรขอร้อง "พี่พสุ ผมรู้แล้วว่าผลตอบแทนของการทำผิดคิดชั่วมันเป็นยังไง ผมสัญญาว่าจะกลับตัว พี่พาผมออกไปนะ"
"ชั้นก็ทำอะไรไม่ได้ ทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามกฎหมาย"
สินธรสลดอย่างยอมจำนนต่อชะตากรรม "ผมไม่น่าเลย ผมไม่น่าเลย ชีวิตผม ครอบครัวผม ต้องพังเพราะผมคนเดียว"
"คนบางคนคิดว่าการเอารัดเอาเปรียบคนอื่นนิดๆหน่อยๆไม่เป็นไร แต่ถ้าเราชินชากับการทุจริตเล็กๆน้อยๆ มันก็จะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวอีกที ความโลภ ความเห็นแก่ตัวมันก็แผ่รากฝังลึกจนยากจะกลับตัวแล้ว อะไรที่รู้อยู่แก่ใจว่าผิด ไม่ถูกต้อง ต่อให้เรื่องเล็กแค่ไหน ต่อให้ไม่มีใครรู้ จงอย่าทำ"
สินธรเศร้าและเจ็บปวดแต่เขาก็สำนึกแล้ว
"สินธร อดทนนะ ชั้นจะรอวันที่แกออกมา" พสุวัฒน์ว่า
ปราณนต์วิ่งลงมาจากชั้นบนแล้วรีบตรงไปที่โต๊ะทานข้าวทันที ปราณกับพสุวัฒน์นั่งรอทานมื้อเช้าอยู่ก่อนแล้ว
"ขอโทษทีนะครับ เมื่อคืนเคลียร์งานดึกไปหน่อย" ปราณนต์บอก "เอ้อ พี่ปราณ ผมทำเรื่องเบิกเครื่องมือกับยาส่งไปที่ดอยผาหมอกเพิ่มอีกนะ พี่คงไม่ว่าอะไร ขอบคุณครับ"
"แกเปิดโอกาสให้ใครได้ว่ามั้ยล่ะ" พสุวัฒน์ว่า
"เอ้าๆๆ อย่าดุสิครับ เดี๋ยวกระทบกระเทือนสมองนะครับ หรือจะใช้ไม้นี้ให้ผมอยู่กับพ่อต่อ"
"ชั้นไม่รั้งแกไว้หรอก แกมันลูกแม่ แกก็ต้องกลับไปเป็นหมอบนดอยเหมือนแม่แกนั่นแหละ แค่แกอยู่ดูแลชั้น ช่วยสะสางปัญหาเก่าๆในจีแอลเอสจนเสร็จสิ้น ชั้นก็ขอบใจแล้ว"
"ทานเถอะครับ เดี๋ยวณนต์จะตกเครื่อง" ปราณบอก
"ถูกต้อง" ปราณนต์ตักอาหารให้พ่อ "อ่ะ ของโปรดของผม แต่ยกให้พ่อ"
พสุวัฒน์มองปราณนต์ด้วยความรัก "แล้วจะได้กลับมากินข้าวด้วยกันอีกเมื่อไหร่"
ปราณนต์ชะงัก "อ้าว ไหนว่าเราเข้าใจกันแล้วไง อย่าดราม่าสิครับพ่อ"
"ชั้นไม่ได้ดราม่า ชั้นถามเฉยๆ" พสุวัฒน์ว่า
ปราณนต์แซว "แน่ะๆๆ น้ำตามาแล้วนั่นๆๆ พ่อครับ ถ้าคิดถึงผมก็บินไปพักผ่อนที่โน่นก็ได้ บ้านผมกว้างพอให้พ่อไปอยู่ด้วยเสมอ"
พสุวัฒน์หลุดปาก "ไปตามเมียแกกลับมาอยู่ด้วยให้ได้ก่อนเถอะ"
ปราณนต์สะดุดกึกไปเล็กน้อย ปราณรีบแก้สถานการณ์
"เอ้า อย่าดราม่า กินๆๆ"
แล้วปราณนต์ก็กลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง
"พ่ออ่ะ จะมาพูดให้คนเจ็บปวดใจทำไม" ปราณนต์พูดให้พ่อดราม่าบ้าง "นี่ถ้าแม่มาเห็นพวกเราทานข้าวพร้อมหน้ากันอย่างนี้ คงจะดีใจมากนะครับพ่อ"
"ไอ้นี่ จะพูดให้ชั้นดราม่าเหมือนกับแกเหรอ ชั้นไม่ดราม่าหรอกเว้ย" พสุวัฒน์ว่า
ปราณนต์พูดต่อ "แม่คงรอวันนี้มานานนะครับ"
ปราณนต์กับพ่อแซวกันต่อไป เสียงหัวเราะของครอบครัวที่ทั้งแหย่กัน แซวกันอบอวลไปด้วยความสุข
อัณณาอยู่ที่รถของบริษัทโดยเตรียมจะไปส่งปราณนต์ที่สนามบิน ปราณนต์กับปราณเดินออกมา
"อัณ ผมขอร้องอัณเรื่องนึง ไม่งั้นผมคงไม่สบายใจ คือ ผมเป็นห่วงจีแอลเอส กลัวพี่ปราณจะดูแลไม่ไหว ผมฝากอัณดูแลพี่ปราณด้วยนะ"
"อัณก็ช่วยปราณตลอด ไม่เคยทิ้งปราณอยู่แล้ว" อัณณาบอก
ปราณนต์ยิ้ม "ผมหมายถึงฝากดูแลหัวใจพี่ปราณด้วย"
อัณณาอึ้ง ปราณตะลึงที่ปราณนต์พูดอย่างนี้ออกมา
ปราณเอ็ด "ณนต์ ชั้นกับอัณเป็นเพื่อนกัน"
"ใช่ๆๆ ผมก็รู้ว่าพี่กับอัณเป็นแค่เพื่อนกัน ผมก็เลยอยากขอให้อัณทำหน้าที่เพื่อน ช่วยดูแลหัวใจพี่หน่อย พี่ชายผมอกหักรักคุดละมุดลำไยไม่เหลียวแล ผมกลัวพี่ชายผมจะเป็นโรคซึมเศร้า เก็บกด ทำร้ายตัวเอง โอเคมั้ยอัณ"
"ณนต์ลืมไปหรือเปล่าว่าอัณก็อกหักมาเหมือนกัน" อัณณาบอก
ปราณตัดบท "พอๆๆ ไปได้แล้วไป"
ปราณไล่ปราณนต์ขึ้นรถ แต่ปราณนต์ดื้อดึงไม่ยอมขึ้นไป
"จริงด้วย ถ้างั้น" ปราณนต์คว้ามือปราณมา "พี่ปราณก็ต้องทำหน้าที่เพื่อนให้อัณด้วย" ปราณยื้อมือเอาไว้ ปราณนต์พูดต่อ "ทำไม หรือพี่คิดกับอัณมากกว่าเพื่อน"
ปราณรีบบอก "ไม่ได้คิด"
ปราณนต์หันไปถาม "หรืออัณคิด"
"เปล่า" อัณณาตอบ
"นั่นไง ถ้าคิดกันแค่เพื่อนก็ต้องบริสุทธิ์ใจที่จะจับมือกัน" ปราณนต์คว้ามือทั้งคู่มาจับกันแล้วยิ้มพอใจ "ดูแลกันและกัน เป็นเพื่อนกันจนแก่เฒ่านะ"
อัณณากับปราณเซ็งกับความเจ้าเล่ห์ของปราณนต์ ปราณนต์ยิ้มแย้ม
ที่ดอยผ่าหมอก ภัทรินกำลังอธิบายคนงานทำงานในไร่กะหล่ำถึงลักษณะของกะหล่ำดีที่ต้องการคัดแยก แล้วภัทรินก็ช่วยคนงานแพ็คกะหล่ำในลังเอาขึ้นรถเพื่อนำส่งไปขาย ภัทรินเห็นคนงานคนนึงเก็บกะหล่ำผิดวิธีคือไม่ยอมตัดใบนอกมาด้วยเลยรีบวิ่งเข้าไปหา และสอนว่าต้องตัดเอาใบนอกมาด้วยจะได้เป็นตัวกันกระทกไม่ให้ข้างในช้ำ คนงานคนนั้นก้มหน้าแต่ก็พยักหน้ารับคำไปอย่างเจียมตัว ภัทรินสอนอย่างมีเมตตา
ภัทรินสอนภารตีทำบัญชีรายรับรายจ่ายว่าต้องเอาต้องรายรับลบรายจ่าย แล้วได้ตัวเลขที่เป็นบวก ภารตีตื่นเต้นดีใจที่ตัวเลขกำไรของเดือนนี้มีมากขึ้น
"เดือนนี้กำไรเยอะกว่าเดือนที่แล้วอีก" ภารตีดีใจ
"เห็นมั้ยแม่ แค่ทำบัญชี เราก็จะเห็นว่ามีรายจ่ายที่ลดได้ พอลดแล้วก็เหลือกำไรมากขึ้น" ภัทรินบอก
"นี่ถ้าลูกไม่มัวไปเป็นสาวชาวกรุง แล้วมาช่วยแม่ทำไร่แต่แรกนะ ป่านนี้เราซื้อขุนผาหมอกได้ครึ่งดอยแล้ว"
"ครึ่งดอยเองเหรอ แม่ดูถูกภัทมากไปแล้วนะคะ"
ภัทรินกับภารตีขำๆ กัน
พวกคนงานมาออกันที่เพิงพักของไร่กะหล่ำ ภัทรินถือสมุดบัญชีรออยู่แล้ว
"เดือนนี้ไร่ภารตีได้กำไรมากขึ้น ภัทก็เลยจะแบ่งเงินมาให้เป็นโบนัสค่ะ"
พวกคนงานดีใจร้องเฮและปรบมืออย่างร่าเริงมีความสุข
ภัทรินแจกซองเงิน "ต่อแถวกันมาเลยค่ะ"
พวกคนงานต่อแถวรับซองกันจนกระทั่งถึงคนงานคนสุดท้ายซึ่งเป็นคนเดียวกันกับที่ภัทรินเข้ามาสอน คนงานคนนี้สวมหมวกและมีผ้าโพกปิดหน้าตาเอาไว้ แต่ซองเงินหมดแล้ว
"อ้าว ทำไมขาด ภัทเตรียมมาพอดีนะ" ภัทรินมองหน้า "พี่มาใหม่หรือเปล่าคะ ภัทไม่คุ้นพี่เลย พี่คะ พี่ชื่ออะไรคะ"
คนงานชายนั้นถอดหมวกและถอดผ้าโพกออก เผยให้เห็นว่าคือปราณนต์
"ชื่อปราณนต์ครับ"
ทุกคนดีใจเพราะจำหมอปราณนต์ได้หมด
ชาวบ้านส่งเสียงอื้ออึง "หมอณนต์"
ปราณนต์ไหว้อย่างมีมารยาท "สวัสดีจ๊ะพี่ๆน้าๆทุกคน" ปราณนต์หันมาทางภัทริน "ผมมาตามภรรยาผมกลับบ้านครับ"
พวกชาวบ้านหัวเราะคิกคัก ภัทรินวางสมุดบัญชีลงแล้วเดินหนีไปทันที ปราณนต์เหวอแต่พวกชาวบ้านร้องเชียร์
ภัทรินเดินหนีมาตามทางในไร่กะหล่ำ ปราณนต์เดินตามมาตลอด
ปราณนต์พยายามง้อ "ภัท ผมปล่อยให้คุณใช้เวลาจัดการความรู้สึกตัวเองตั้งสองเดือน ความโกรธของคุณจะไม่ลดลงบ้างเลยเหรอ โกรธผมขนาดนี้ แสดงว่าคุณต้องรักผมมากแน่ๆ"
ภัทรินชะงักกึกแล้วหันกลับมาเชิดหน้าอย่างมีทิฐิ
"คุณต้องการอะไรจากชั้นคะคุณปราณ"
"ผมอยากให้คุณหายโกรธแล้วก็กลับบ้านเรากัน"
"ชั้นไม่ได้โกรธ ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณอีก นอกจากรำคาญ ถ้าคุณจะกรุณา ช่วยออกไปจากไร่ชั้นด้วย"
ปราณนต์ดึงมือภัทรินเอาไว้ "ทำไมคุณถึงไม่ฟังเหตุผลผมบ้าง"
ภัทรินดึงมือออกอย่างแรง "อยากพูดใช่มั้ย เชิญ" ภัทรินกอดอกรอฟัง
"ไม่ นี่คุณจะเอาชนะ ไม่ได้จะฟัง"
"ชั้นให้โอกาสคุณแล้วนะ"
พูดจบภัทรินก็เดินหนี
"ภัท"
ปราณนต์จะตามเข้าไปตื๊ออีก แต่ภัทรินไวกว่าจึงคว้าหัวกะหล่ำที่เก็บแล้วตรงนั้นขึ้นมาเขวี้ยงใส่
"ออกไป"
สีหน้าภัทรินเอาจริงและโกรธจริง ปราณนต์ได้แต่ผงะและก็ถอย ภัทรินเดินหนีไป
ภัทรินกำลังนั่งกินอาหารเย็นอยู่ ส่วนปราณนต์ยืนรออยู่ด้านนอกหน้าต่าง แต่ภัทรินกินข้าวไปอย่างไม่สนใจ ภารตียกอาหารอีกชุดมาแล้วจะเอาออกไปนอกบ้าน
ภัทรินเห็นก็ถาม "แม่คะ จะยกไปไหนคะ"
"เอาไปให้หมอณนต์"
ภัทรินเข้ามาหยิบ "ไม่ต้องเลยค่ะ ให้ภัทกินดีกว่า"
"ภัท ตั้งแต่ลูกกลับมาจากกรุงเทพ ลูกก็ไม่เคยเล่าให้แม่ฟังเลยนะว่าเกิดปัญหาอะไรกับหมอณนต์ แม่ก็ไม่อยากจะเซ้าซี้มาก แต่ถ้าไม่ไปคุยกันให้เข้าใจ แม่ก็จะออกไปคุยเอง"
ภารตีเดินออกไป
"แม่คะ"
ปราณนต์นั่งรออยู่ด้านนอกบ้าน อากาศบริเวณนั้นเริ่มเย็นและมีลมพัดแรง ปราณนต์เริ่มหนาว เขามองท้องฟ้าก็เริ่มเห็นเป็นสีแดงๆ ภารตีเดินออกมา
"กลับบ้านเถอะค่ะคุณหมอ อากาศเย็นแล้ว เดี๋ยวจะเป็นไข้ไปเสียก่อน"
"แต่ ผมอยากคุยกับภัทให้เข้าใจก่อนครับ"
ภัทรินเดินตามมายืนห่างๆ แบบไม่เข้ามาร่วม
"มันไม่คุยด้วยก็ไม่ต้องไปตื๊อหรอกค่ะ เดี๋ยวน้าขับรถไปส่ง น้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นที่กรุงเทพ หมอไปทำผิดอะไรมากมาย ยัยภัทถึงได้โกรธมากขนาดนี้"
"อ้าว นี่น้าภายังไม่ทราบเหรอครับ"
ภัทรินรีบมาห้ามภารตี "แม่ ถ้าเขาจะกลับก็ให้เขากลับไปเองสิ"
"ฝนกำลังจะตก จะให้หมอเดินฝ่าฝนไปงั้นเหรอ" ภารตีว่า
ปราณนต์รู้ว่าภาภรตีเปิดโอกาสจึงรีบรับมุกไป "ผมไปรอที่รถนะครับ แล้วผมจะเล่าทุกอย่างให้น้าภาฟังเอง ทุกเรื่อง ทุกความลับ ตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอภัทเลยครับ"
"นี่ นายจะใช้ให้คนแก่ขับรถไปส่งตัวเองเหรอ ใจร้ายใจดำมาก"
ภารตีเอ่ยถาม "หรือลูกจะไป"
"แม่"
ภารตียื่นกุญแจรถมา ภัทรินฮึดฮัดเพราะไม่อยากไป
ภัทรินขับรถมาส่งปราณนต์แต่แล้วก็จอดเอาดื้อๆกลางถนน
"ลงไปได้" ภัทรินสั่ง
"หา อีกนิดเดียวก็จะถึงบ้านเราแล้ว ไปให้ถึงไม่ได้เหรอ" ปราณนต์งง
"ชั้นจะไม่กลับไปเหยียบบ้านนายอีก ลงไป"
"ผมจะไม่เดินฝ่าฝนไปแน่ คุณต้องไปส่งผมถึงบ้าน ไม่งั้นผมจะนั่งอยู่อย่างนี้"
ปราณนต์กอดอกและทำตัวดื้อ ท้าทาย ภัทรินหมั่นไส้จึงดับเครื่องรถ ถอดกุญแจรถ แล้วเดินลงจากรถไปทันที
"อ้าว นี่ คุณจะไปไหน"
ปราณนต์รีบลงจากรถตามมา เขารีบเดินตามภัทรินที่เดินจ้ำไม่หยุด
"ยอมเดินตากฝนกลับบ้าน แต่ไม่ยอมไปบ้านของเรางั้นเหรอ" ปราณนต์เข้ามากระชากแขน "ภัทริน"
ภัทรินกระชากมือออก "ไม่ต้องมายุ่งกับชั้น"
ภัทรินดึงกระชากแขนออกจนกุญแจรถที่อยู่ในมือภัทรินหลุดกระเด็นตกหายไปที่ข้างทาง
ภัทรินตกใจ "เฮ้ย"
ภัทรินจะเข้าไปหากุญแจรถ ทันใดนั้นฝนก็ตกลงมามากขึ้น
ปราณนต์บอกภัทริน "ฝนมาแล้ว ไปหลบฝนก่อน"
"ไม่ต้องมายุ่ง"
ภัทรินผลักออกแล้วจะเดินหนีไป อยู่ๆลมก็พัดแรงทำให้ฝุ่นปลิวเข้าตาภัทริน
"โอ๊ะ"
ภัทรินชะงักแล้วหลับตา ปราณนต์เลยอาศัยจังหวะนั้นอุ้มภัทรินขึ้นมาเลย
ภัทรินตกใจ "นายจะทำอะไร"
ปราณนต์อุ้มภัทรินเข้ามาในบ้านแล้ววางภัทรินลง ภัทรินทำท่าจะกลับไปทันที แต่ปราณนต์คว้าแขนเธอเอาไว้
"ถ้าคุณออกไป ผมจะบอกน้าภาว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตคุณบ้าง"
ภัทรินหันขวับมาจ้องหน้าด้วยความโกรธและเจ็บปวด
"ทำไมล่ะภัท คุณไม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับชีวิตคุณให้น้าภาฟัง ก็เพราะคุณไม่อยากให้แม่คุณเสียใจใช่มั้ย ทำไมคุณไม่คิดบ้างว่าที่ผมทำกับคุณก็เพราะผมไม่อยากให้คุณเสียใจเหมือนกัน"
"ไม่เหมือน นายรวมหัวกันจัดฉากหลอกชั้น นายจงใจทำให้ชั้นเข้าใจผิด ทำให้ชั้นเสียใจ เจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำอีก"
"ผมไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น แต่มันไม่มีทางเลือก" ปราณบอก
ภัทรินสวน "นายก็เลยเลือกทำร้ายจิตใจชั้น"
"ไม่ใช่นะภัท"
"ชั้นไม่อยากเห็นหน้านายอีกแล้ว เราต่างคนต่างอยู่ได้มั้ย"
ภัทรินกึ่งสั่งกึ่งขอร้องแต่ปราณนต์ไม่ยอม เธอพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ภัทรินคืนมา
"ไม่ได้ ผมจะไม่ยอมเสียคุณไป ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้คุณกลับมา ผมรักคุณ และผมหมายความอย่างที่พูดจริงๆ"
ภัทรินน้ำตารื้น "ไม่มีประโยชน์"
"มีสิ มันต้องมี น้ำตาของคุณยืนยันว่าคุณยังรักผมอยู่"
"น้ำตาของชั้นคือความเจ็บปวด" ภัทรินว่า
"คิดว่าคุณเจ็บคนเดียวเหรอ ผมก็เจ็บ ผมเจ็บที่ต้องหลอกคุณ เจ็บที่ต้องเห็นคุณร้องไห้เสียน้ำตาเพราะผม แต่ผมทำได้แค่มองดู ปล่อยให้คุณเจ็บไปอย่างนั้น ทั้งๆที่ผมอยากจะปลอบคุณใจจะขาด ผมเจ็บไม่น้อยไปกว่าคุณเลยนะภัท"
"งั้นเราจะทนเจ็บกันไปทำไม จบกันเถอะ"
"ภัท"
"ชั้นต้องการหย่า"
ปราณนต์ช็อก
"ชั้นใช้หนี้ที่ชั้นไม่ได้ก่อด้วยชีวิตและหัวใจของชั้นแล้ว ชั้นก็ควรจะได้อิสรภาพคืน พรุ่งนี้เจอกันที่อำเภอ"
ภัทรินพูดอย่างจริงจังและชัดเจน ปราณนต์นิ่ง ภัทรินเดินฝ่าฝนออกไป ปราณนต์โผตามเข้าไปกอด
"ไม่จริง คุณไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนั้น คุณรักผม" ปราณนต์จับภัทรินให้หันมามองหน้าแล้วถามเพื่อความชัดเจน "ใช่มั้ยภัท คุณรักผม"
อ่านต่อหน้าที่ 2
ลมซ่อนรัก ตอนที่ 14 (ต่อ)
ภัทรินจ้องหน้าปราณนต์แล้วตอบ "ใช่ ชั้นเคยรักนาย แต่ตอนนี้นายคือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตชั้น และชั้นไม่ต้องการมีนายในชีวิตอีกแล้ว ปล่อยชั้นไปเถอะ"
ภัทรินมีท่าทางแน่วแน่ ไม่อ่อนข้อ ปราณนต์ยิ่งฉุนและทำท่าจะจูบภัทริน แต่ภัทรินโพล่งออกมาด้วยเสียงอันดัง
"จะขืนใจชั้นเหรอ"
ปราณนต์ผงะด้วยความรู้สึกเจ็บจี๊ดจนพูดไม่ออก เขาผงะ ยิ่งเห็นสีหน้าของภัทรินที่เจ็บช้ำ ปราณนต์ก็ยอมจำนน เขาค่อยๆปล่อยมือออก ภัทรินกำลังจะก้าวออกไปแต่ปราณนต์โพล่งออกมาก่อน
"คุณไม่สงสารลูกเหรอ" ปราณนต์ถาม
ภัทรินชะงักเพราะไม่คิดว่าปราณนต์จะรู้
"ผมรู้ว่าคุณไปฝากท้องที่โรงพยาบาล" ปราณนต์บอก
"ชั้นจะให้ลูกใช้นามสกุลชั้น และเราจะไม่เรียกร้องสิทธิ์หรือทรัพย์สินใดๆจากนายและจีแอลเอสสักบาทเดียว"
"ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น"
"งั้นก็ไม่มีอะไรต้องห่วงอีก"
ภัทรินตัดบทแล้วเดินหนีออกไป ปราณนต์รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง
ภัทรินเดินมาท่ามกลางสายฝนด้วยความเศร้าเสียใจ เธอพยายามจะไม่ร้องไห้แต่แล้วก็หมดแรงจึงหยุดยืนนิ่งแล้วปล่อยให้ความรู้สึกไหลผ่านออกมาให้หมด สักพักก็มีร่มมากางให้จากด้านหลัง ภัทรินหันขวับกลับมาก็พบว่าปราณนต์ยืนอยู่ตรงหน้า เขาถือร่มให้ ภัทรินอึ้ง
"คุณไม่ต้องรักผมก็ได้ แต่อย่าห้ามผมรักคุณเลย"
ภัทรินมองหน้าปราณนต์ด้วยความซาบซึ้งและรัก เธออยากได้รับการปลอบจนแทบอยากโผเข้าไปกอด แต่ชั่วแว่บเดียวก็เกิดทิฐิ ภัทรินจึงรีบกลับหันหลังขวับทันที ปราณนต์อึ้ง ภัทรินก้าวหนี ปราณนต์ก้าวตาม
ภัทรินหยุดกึก เพราะรู้ว่าปราณนต์เดินตาม ปราณนต์หยุดเดินตาม ภัทรินยืนนิ่งอย่างชั่งใจว่าจะหันกลับไปขับไล่หรือปล่อยเลยตามเลย แต่สุดท้ายเธอก็ทำเฉยเดินต่อไปตามจังหวะตัวเอง ปล่อยให้ปราณนต์เดินกางร่มตามอย่างนั้น
ปราณนต์เดินกางร่มให้ภัทรินกลับมาที่บ้าน ปราณนต์เปียกเพราะกางร่มให้ภัทรินโดยไม่ได้ห่วงใยตัวเองเลย ภัทรินเดินมาถึงก็เข้าบ้านไปเลยโดยไม่แยแสปราณนต์แม้แต่น้อย ปราณนต์หยุดอยู่ที่หน้าบ้านโดยไม่ได้ตามเข้าไปเพราะแค่มาส่งภัทรินเพื่อให้ไม่ต้องเดินตากฝน ภารตีออกมาเห็นภัทรินกลับมาพอดี
"อ้าว ภัท" ภารตีทักแต่ภัทรินเดินเข้าไปเลย ภารตีงงว่าเกิดอะไรขึ้นจึงหันมาหาปราณนต์ "หมอณนต์ เรื่องอะไรกันคะ"
ปราณนต์ยิ้มหมองแล้วหันเดินกลับไป
ภารตีงง
ภัทรินนั่งเช็ดผมตัวเองด้วยสายตาเหม่อลอยเพราะตกอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง เธอไม่ได้โฟกัสที่การเช็ดผมเลยจนกระทั่งภารตีเข้ามานั่งข้างๆ แล้วคว้าผ้าไปเช็ดผมให้
"ภัทจะเลิกกับหมอณนต์เหรอ" ภารตีถาม
ภัทรินอึ้งที่แม่จับสังเกตได้ "แม่"
"ถึงแม่จะไม่รู้ แต่แม่ก็สัมผัสได้ว่าปัญหามันหนักมาก มากจนลูกอาจจะไม่อยากแบกมันต่อไปอีกแล้ว ใช่มั้ย"
"ถ้าภัทตอบว่าใช่ แม่จะว่าอะไรมั้ยคะ"
"แม่ก็จะบอกให้ถามตัวเองให้แน่ใจว่าลูกยังรักหมอณนต์อีกมั้ย เอาแค่ความรู้สึกลูกนะ อย่าเอาเรื่องราวที่เขาเคยทำไว้มาเกี่ยว ความรู้สึกของลูกคือรักหรือไม่รัก"
ภัทรินเศร้าแล้วกอดแม่เอาไว้เหมือนกลับมาเป็นเด็กน้อยของแม่อีกครั้ง
"แล้วที่ลูกโกรธเขาเพราะอะไร เพราะเขาไม่รักหรือเพราะเขาไม่เป็นอย่างใจ"
"เขาหลอกภัทค่ะแม่ หลอกอย่างเลวร้ายที่สุด"
"ภัท พ่อของลูกก็เคยหลอกแม่ ลูกก็เคยหลอกแม่" ภารตีบอก ภัทรินอึ้งที่แม่รู้ "แต่ที่แม่ไม่ถามไม่พูด เพราะแม่รู้ว่าลูกทำอย่างนั้นทำไม ลูกก็คงไม่ได้มีความสุขที่โกหกแม่หรอก จริงมั้ย ภัท คนรักกัน แค่รักอย่างเดียวไม่พอนะ แต่ต้องมองให้เห็นความรักของกันและกันด้วย มองให้เห็นถึงความรักที่ซ่อนอยู่ แล้วจะอยู่กันอย่างมีความสุข"
"แม่"
ภัทรินกอดแม่แล้วก็ครุ่นคิดถึงคำสอนของแม่ไปด้วย แววตาของเธออ่อนลง
พระอาทิตย์ขึ้นผ่านเหลี่ยมเขา แสงสีทองตัดกับหมอกจางๆ แลดูสวยงามและอบอุ่น ภัทรินในชุดนอน สวยพลิ้วมีเสื้อคลุมกันหนาวถือถ้วยกาแฟร้อนๆที่มีควันอุ่นๆลอยออกมาด้วยสองมือประคองกำลังนั่งดื่มอย่างจมลึกไปในห้วงความคิดของตัวเอง
เสียงของภารตีดังลอยเข้ามาในความคิด
"ภัท คนรักกัน แค่รักอย่างเดียวไม่พอนะ แต่ต้องมองให้เห็นความรักของกันและกันด้วย ถึงจะอยู่กันอย่างมีความสุข"
ภัทรินนึกถึงช่วงที่ปราณนต์ดำผุดดำว่ายเพื่องมแหวนแต่งงานให้เธอ นึกถึงช่วงเหตุการณ์ประทับใจต่างๆของปราณนต์กับภัทริน เช่น ตอนที่ปราณนต์ชกกับธนาฒน์ที่บริษัทยา ตอนที่เล่นกังหันลมกัน ตอนที่ดูแลกันในไซต์ก่อสร้าง ฯลฯ
ภัทรินยกกาแฟจิบด้วยสีหน้าสงบ แววตาอ่อนลงแต่ยังแฝงความดื้อเอาไว้ ทันใดนั้นก็มีลมพัดมากระทบ ภัทรินรู้สึกเย็นจึงเงยหน้าขึ้นรับลมแล้วมองสิ่งต่างๆรอบตัวที่ถูกลมพัดผ่าน เช่น ใบไม้ ต้นหญ้า แมลงที่บิน กระดาษหรือหมวกคนงานที่ปลิว ฯลฯ แล้วจากนั้นภัทรินก็หลับตาแล้วปล่อยให้ลมระผ่านใบหน้าไป เธอสัมผัสความรู้สึกของลมนั้นเอาไว้อย่างซึมซาบกับความรู้สึกที่ดี เย็น สบาย และสดชื่น
เมื่อภัทรินลืมตาขึ้นมาอีกทีก็ปรากฏร่างของปราณนต์ยืนอยู่ตรงหน้า ทั้งสองคนมองหน้ากัน
ปราณนต์เอ่ยขึ้น "ภัทป่วยง่าย เมื่อคืนตากฝน ผมก็เลยเอายามาฝาก" ปราณนต์ถือถุงยาไว้
ภัทรินจ้องนิ่งด้วยความซาบซึ้งแต่เธอก็ปากหนักจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรยังไง
ปราณนต์เข้าใจไปว่าภัทรินไม่อยากพูดด้วย "ผมเอาไปฝากไว้กับน้าภานะ"
ปราณนต์หันเดินกลับออกไป ภัทรินอยากเรียกแต่ก็ปากหนักเกินไป
ภัทรินเดินกลับมาที่บ้าน เบญจคีย์กับเนตรวิภากำลังมารับภารตีออกไปข้างนอก
"ยัยภัทมาแล้วน้าภา"
"ไปเร็ว ไปเปลี่ยนชุดๆๆ" ภารตีบอก
"แม่จะไปไหน" ภัทรินถาม
ชาวบ้าน ชาวเขา ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่กำลังต่อคิวรอรับการฉีดวัคซีนฟรีของแพทย์อาสาอยู่ มีแถวสองสามแถวแยกเป็นแถวเด็กกับแถวผู้ใหญ่กระจายๆกันไป ภารตี เบญจคีย์ เนตรวิภาพาภัทรินเข้ามา
"วันนี้หมออาสามาฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฟรี ต้องฉีดนะภูมิคุ้มกันจะได้ส่งต่อไปถึงลูกด้วย"
"แม่ นี่แม่รู้ ใครบอก" ภัทรินงง
เนตรวิภาช่วยตัดบท "ไปต่อคิวก่อนๆ"
เนตรวิภากับเบญจคีย์ไม่ยอมให้ภัทรินอิดออด ทั้งสองพากันลากภัทรินไป
ปราณนต์กำลังจะฉีดวัคซีนให้กับเด็กชายชาวเขาหน้าตากวน โดยมีเด็กชาวเขาอีก3-4คนที่ฉีดเสร็จแล้วยืนล้อมหลัง จันทร์วิภาเป็นผู้ช่วยคอยส่งอุปกรณ์ให้ปราณนต์
"เก่งจริงหรือเปล่า เพื่อนๆรอดูอยู่นะว่าเก่งแค่ไหน"
ปราณนต์จ้องหน้ากับเด็กน้อยในขณะที่มือก็ฉีดยาไป เด็กน้อยจ้องหน้าปราณนต์เขม็งตาเบิกโตอย่างพยายามจะไม่แสดงความเจ็บออกมาทั้งๆที่เจ็บมากจนหน้าตาตึงๆ เกร็งๆ ดูน่าตลก
ปราณนต์ฉีดเสร็จ "เฮ้ย ไม่ร้องสักแอะ เก่งที่สุดเลย" ปราณนต์ตีมือกับเด็กน้อย "ปรบมือให้เพื่อนหน่อย"
ปราณนต์กำลังจะฉีดให้คนไข้คนต่อไปแต่ปรากฏว่าเป็นภัทริน ปราณนต์งง ภัทรินจะกลับแต่ภารตี เนตรวิภา เบญจคีย์ประกบเอาไว้ ภัทรินเชิดหน้าทำฟอร์มว่าไม่ได้เต็มใจมา
"ฉีดยาให้ลูกสาวน้าทีนะคะ" ภารตีบอก
"ดื้อๆอย่างนี้ฉีดสัก2เข็มเลยก็ดีค่ะคุณหมอ" เบญจคีย์ว่า
ปราณนต์ยิ้ม "ด้วยความยินดีครับ เชิญนั่งครับ"
พวกภารตีช่วยกันพาภัทรินนั่งลงมา ภัทรินนั่งเชิดหน้าและวางฟอร์ม
ปราณนต์จะเปิดแขนเสื้อ "ขออนุญาต"
"ไม่ต้อง" ภัทรินจะเปิดแขนเสื้อเอง
ภารตีรีบห้ามภัทริน "ไม่ต้อง คนไข้อยู่เฉยๆ ให้เป็นหน้าที่หมอ เชิญค่ะคุณหมอ"
ปราณนต์ยิ้มเพราะรู้ว่าภารตีช่วยชงให้ ปราณนต์เปิดแขนเสื้อให้ภัทรินขึ้นมา
"เย็นนิดนึงนะครับ" ปราณนต์เอาแอลกอฮอล์มาเช็ดจุดที่จะฉีด
ภัทรินเชิดหน้า จันทร์วิภาขำคิกคัก
"เอ้าเด็กๆ มาดูพี่ภัทเร็ว ดูสิว่าจะร้องไห้หรือเปล่า"
"ยัยจันทร์" ภัทรินไม่พอใจ
"ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมได้ชื่อว่าเป็นหมอมือเบาที่สุดเลยครับ" ปราณนต์หยิบเข็มมา ภัทรินหันหน้าหนี ไม่มอง "พร้อมนะครับ คุณครับ พร้อมนะครับ"
"พร้อมแล้ว" ภัทรินว่า
"พร้อมแล้วก็มองหน้าผมสิครับ แถวนี้เรามีกฎว่าจะต้องมองหน้าหมอ เราจะได้รู้ว่าเก่งแค่ไหน"
เด็กๆ รีบบอก "ใช่ๆ"
ภัทรินมองหน้าปราณนต์แล้วถลึงตาใส่ คนอื่นๆ หัวเราะคิกคัก
ปราณนต์มองหน้าภัทรินยิ้มๆ แล้วฉีดยาให้ ภัทรินเบิ่งตาขึ้นเล็กน้อยแต่ก็อดทนต่อความเจ็บ เธอพยายามยิ้มเยาะและลอยหน้าลอยตาไปมาทำหน้าว่าสบายๆ แม้จะแอบเจ็บก็ตาม พอฉีดเสร็จ พวกเด็กๆก็เฮ ดีใจที่ภัทรินไม่ร้อง
ปราณนต์ชม "เก่งที่สุดเลย"
เด็กแสบคนหนึ่งโพล่งออกมา "เมียหมอณนต์เก่งที่สุดในโลก"
ภัทรินอึ้ง พวกเด็กๆ พากันร้องตามทุกคน
"เมียหมอณนต์เก่งที่สุดในโลก"
ปราณนต์ยิ้มแล้วยักไหล่อย่างไม่รู้จะห้ามเด็กยังไง ภัทรินทำหน้าไม่ถูกจึงเชิดใส่ด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะเดินหนี
ภัทรินเดินจ้ำแยกออกมา ภารตีเดินตามมา
"ภัท รอแม่ด้วย"
ปราณนต์วิ่งตามเข้ามาโดยถือตะกร้าขนมเปงม้งมาด้วย
"น้าภาครับ" ปราณนต์ยื่นขนมเปงม้ง "ผมจำได้ว่าภัทชอบทานขนมเปงม้งมาก ผมเลยตื่นเช้ามาทำให้ครับ"
"โถ หมอณนต์ อะไรจะน่ารักขนาดนี้ ขอบใจมากนะ"
"ไม่ต้องไปเอาของๆเขาค่ะแม่"
ภัทรินดึงแขนแม่ออกในขณะกำลังจะรับขนมพอดีทำให้ขนมหล่นตกพื้นเสียหาย
"ภัท ทำไมทำอย่างนี้" ภารตีว่า
"ช่างเถอะแม่ ภัทไม่ได้อยากกินซะหน่อย กลับบ้านเถอะค่ะ"
ภัทรินลากภารตีออกไป ปราณนต์ได้แต่มองก่อนจะเก็บขนมขึ้นมาอย่างเซ็งๆ
พวกจันทร์วิภาเข้ามาให้กำลังใจหมอ
"อย่ายอมแพ้นะคะหมอ สู้ๆ"
เบญจคีย์กับเนตรวิภาส่งเสียงเชียร์ "สู้ๆ"
พวกจันทร์วิภากำมือทำท่าสู้ๆให้กำลังใจ แต่ปราณนต์นิ่งเพราะไม่มีอารมณ์ จันทร์วิภาเลยจับมือปราณนต์ขึ้นมาให้ทำท่าสู้ๆ แต่พอจันทร์วิภาปล่อยมือมือปราณนต์ก็ตกลงห้อยต่องแต่ง จันทร์วิภาจับขึ้นมาอีกทีแต่พอปล่อยก็เป็นอย่างเดิม
จันทร์วิภาคร่ำครวญกับเพื่อนๆ "หมอณนต์ไม่สู้แล้ว"
ภัทรินเดินแยกออกมา ภารตีเดินตาม
"หมอณนต์อุตส่าห์มีน้ำใจ ทำขนมมาง้อ แต่ลูกไปทำงี่เง่าใส่เขามากๆ ระวังเถอะเขาเลิกง้อขึ้นมาจะเสียใจ"
ภัทรินตัดพ้อ "แม่"
ภารตีเดินไปเลย ภัทรินยืนฮึดฮัดแล้วมองกลับไปด้านหลังแต่ก็ไม่เห็นปราณนต์ตามมา เธอทำไม่สน ก่อนจะสะบัดหน้าเดินไปเลย
ปราณนต์นั่งเครียดอยู่ที่ร้านกาแฟ
"พวกคุณบอกผมที ผมต้องง้อยังไงแบบไหนเหรอ ภัทถึงจะยอมให้อภัยผม ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้ว"
"จันทร์ดูทรงแล้ว ยัยภัทรักคุณหมอมากกว่าโกรธนะคะ ถ้าง้อถูกจุด น่าจะหายโกรธไม่ยาก"
"แล้ววิธีการง้อคนอย่างยัยภัท ง่ายมาก" เนตรวิภาบอก
"อยู่ที่หมอจะกล้าหรือเปล่า" เบญจคีย์ว่า
ปราณนต์เอาจริงเอาจัง "ทำไมผมจะไม่กล้า"
ทันใดนั้นเสียงปราณก็ดังเข้ามา
"พวกเราจะช่วยนายเอง"
ปราณนต์หันกลับมาเห็นปราณกับอัณณายืนอยู่
"พี่ปราณ อัณณา"
เช้าวันใหม่ ภัทรินเดินออกมาจากห้องนอนแล้วมองหาภารตีแต่ก็ไม่เห็น
"แม่คะ แม่"
ภัทรินเดินหาแม่ออกมานอกบ้านแล้วก็ต้องตกตะลึง เพราะตรงหน้าบ้านมีภารตี จันทร์มณี เบญจคีย์ เนตรวิภายืนอยู่ ส่วนปราณนต์นั่งอยู่บนช้างตัวโต
"นายมาทำไม" ภัทรินถาม
ปราณนต์ประกาศ "ขอให้ทุกคนเป็นสักขีพยาน ผม หมอปราณนต์ จะทำทุกอย่างเพื่อง้อภัทรินให้ใจอ่อนยอมกลับมาเป็นภรรยาแสนดีของผมให้จงได้"
พวกเพื่อนๆ ปรบมือโห่ร้อง "เฮ"
"ชั้นไม่มีเวลาเล่นตลกกับนาย หลบ ชั้นจะไปทำงาน"
ช้างหมอบลงและใช้งวงจับป้ายขึ้นมาตั้ง ป้ายนั้นมีข้อความว่า “หมอณนต์รักภัทรินจริงๆนะ เชื่อช้างเถอะ”
ภัทรินตะลึง "ถึงกับจ้างช้างมาเลยเหรอ"
"มีมากกว่านี้อีก" ปราณนต์บอก
ปราณนต์ยิ้มเจ้าเล่ห์ ภัทรินทึ่ง อึ้ง แล้วจะเดินหนี แต่อยู่ๆช้างก็เอางวงมารัดยกตัวภัทรินขึ้นไปบนตัวช้าง ภัทรินร้องวี้ดว้ายเพราะตกใจ
ภัทรินนั่งอยู่บนหลังช้างกับปราณนต์ในสภาพตัวโยนโยกไปมาจากากรเดินของช้าง
"คิดว่าทำอย่างนี้แล้วชั้นจะให้อภัยงั้นเหรอ"
"อย่าเพิ่งออกตัวแรงจนกว่าจะได้เห็นความเว่อร์ทั้งหมดของผม"
"เอาสิ ชั้นก็อยากรู้ว่านายจะทำได้แค่ไหน"
ช้างหยุดเดินแล้วย่อตัวลงเพื่อให้คนทั้งสองลงจากหลังช้าง
ปราณนต์กระโดดลงมาก่อน แล้วยื่นมือรอรับภัทริน "เชิญครับ"
ภัทรินลงจากหลังช้างตามมา
"แล้วไง จบแค่นี้"
ปราณนต์ยิ้มแฉ่ง แล้วชี้ให้ภัทรินหันไปดูข้างหลัง "นั่น"
ภัทรินกลับหันหลังไปก็พบว่ามีเด็กหญิงชาวเขา4คนมายืนรออยู่แล้ว ทั้ง4คนถือพวงดอกไม้แล้วเข้ามารุมสวมให้ภัทริน ทั้งสวมข้อมือ สวมคอ สวมศีรษะเป็นมงกุฎ
"เจ้าหญิงขุนผาหมอก" เด็กๆ บอก
พวกเด็กๆยิ้ม ภัทรินทั้งเขินทั้งงงๆ เธอหันกลับมาหาปราณนต์แต่ปรากฏว่าปราณนต์หายไปแล้ว พอหันมาอีกทีพวกเด็กๆก็วิ่งหนีหายไปจนเหลือแต่ภัทรินคนเดียวที่ยืนงงอยู่ แล้วอยู่ๆภัทรินก็ต้องตะลึง เมื่อมองไปอีกด้านก็เห็นปราณนต์ขี่ม้าสีขาวเข้ามาหาภัทริน
"ผมมารับเจ้าหญิงของผมครับ"
ปราณนต์ยื่นมือจากหลังม้ามารอรับภัทริน ภัทรินเขินแต่ก็วางฟอร์มแล้วก็ยื่นมือไปจับ
ปราณนต์ขี่ม้ามาโดยมีภัทรินนั่งแบบตะแคงข้างอยู่ภายในวงแขน ปราณนต์ยิ้มแต่ภัทรินทำฟอร์มตลอด
"นายจะเบียดชั้นมากไปแล้วนะ" ภัทรินว่า
ปราณนต์ทำเสียงให้เงียบ "ชู่ว์"
ปราณนต์ทำท่าให้ตั้งใจฟัง ภัทรินเงียบ สักพักก็มีเสียงกุ๊งกิ๊งแบบเสียงโมบายล์ดังมา ภัทรินมองไปรอบๆบริเวณก็พบว่าตามแนวต้นไม้ตลอดเส้นทาง มีโมบายล์ห้อยเป็นระยะๆ ส่งเสียงไพเราะเบาๆ มากับสายลม
"เสียงโมบายล์" ภัทรินว่า
"เสียงลมต่างหาก" ปราณนต์บอก
ปราณนต์ยิ้ม ภัทรินทึ่งกับความชวนฝันที่เกิดขึ้น แล้วภัทรินก็มองไปด้านหน้า เธอเห็นว่ามันเป็นทุ่งหญ้ากว้างแต่กลับมีกังหันลมสีขาวๆแซมเด่นขึ้นมาราวกับที่นี่คือทุ่งดอกกังหันลม กังหันลมทุกดอกกำลังหมุนติ้วๆ ภัทรินยิ่งตะลึงจนตาวาว
ปราณนต์กระซิบ "คุณจะได้รู้ ว่าลมอยู่ข้างตัวคุณเสมอ"
ปราณนต์บังคับม้าเดินไปในทุ่งดอกกังหันลม
ปราณนต์บังคับม้ามาหยุดกลางทุ่งดอกกังหันแล้วก็ลงจากหลังม้า เขาเอื้อมมือให้ภัทรินจับเพื่อลงมา แต่พอภัทรินลงมา ปราณนต์ก็อุ้มภัทรินเอาไว้ทันทีแบบแทบไม่ให้เท้าแตะพื้น
"อะไรอีก"
ปราณนต์อุ้มภัทรินเดินผ่านทุ่งกังหันไป ปลายทางเป็นหน้าผาที่มองไปเห็นวิวกว้างไกลและตรงบริเวณนั้นมีโซฟาหลุยส์สวยอลังการได้ฟีลเจ้าหญิงโดดเด่นตัดกับทุ่งหญ้า และที่พนักแขนของเก้าอี้มีลูกโป่งผูกเอาไว้ลูกนึง ปราณนต์วางภัทรินลงที่โซฟานั้น ภัทรินทึ่ง
"เซอร์ไพร้ส์สำหรับเจ้าหญิงของผม ชอบใช่มั้ยครับ"
ภัทรินเผลอตื่นเต้นแล้วก็ต้องรีบทำหน้าบึ้งลอยหน้าลอยตาหมั่นไส้ "ก็ งั้นๆ"
"ตอนคุณเห็นกังหันลมผมเห็นนะว่าคุณทำตาปรือเคลิ้ม"
ภัทรินถลึงตากลบเกลื่อนทั้งๆที่ความจริงแล้วชอบ
"แล้วไง เว่อร์ได้แค่นี้เองเหรอ" ภัทรินว่า
"มีอีกอย่างนึง เป็นไม้ตาย"
"อะไร"
ปราณนต์ดึงลูกโป่งที่ผูกตรงพนักเก้าอี้มายื่นตรงหน้าภัทริน
ภัทรินงง "หือ"
อยู่ๆปราณนต์ก็จิ้มลูกโป่งแตกดังปัง
ภัทรินตกใจ "ว้าย"
ภัทรินตกใจจึงปิดตา แล้วก็ลืมตาขึ้นมาเพื่อจะต่อว่าปราณนต์
"นายแกล้"
ภัทรินไม่ทันด่าก็ต้องชะงักเพราะพบว่าปราณนต์กำลังถือเชือกแดงที่ห้อยแหวนวงหนึ่งเอาไว้
ภัทรินมองแหวนนั้นอย่างจำได้ในทันทีเพราะมันคือแหวนแต่งงานวงที่ทำตกน้ำไป
"แหวน"
"มันแช่น้ำนานไปหน่อย เลยดูหมองไปนิดนึง คงไม่เป็นไรนะ" ปราณนต์บอก
ภัทรินช็อกที่ได้เห็นแหวน ความตื้นตันแทบทะลักล้นออกมาจนต้องรีบเอามือปิดปากไว้ ปราณนต์ถือแหวนแล้วคุกเข่าลงต่อหน้า
"ภัทริน หย่ากับผมเถอะ การแต่งงานปลอมๆของเรามันจะได้จบ แล้วผมจะได้ขอคุณแต่งงานใหม่อีกครั้ง"
"ชั้นจะหย่ากับนาย"
"ขอบคุณที่หย่ากับผม" ปราณนต์ยิ้ม "ภัทริน ผมรักคุณ ผมอยากอยู่กับคุณ ถ้าคุณไม่รังเกียจผู้ชายที่มีประวัติหย่าร้าง แต่งงานกับผมนะ"
"ประวัติชั้นก็ไม่ค่อยดีเหมือนกัน ถ้ารับได้ก็" ภัทรินยื่นมือให้
ภัทรินยื่นมือให้ ปราณนต์คว้ามือภัทรินมาแล้วสวมแหวนคืนให้ ทั้งสองคนมองตากันิย่างซาบซึ้ง
ทันใดนั้นปราณ อัณณา ภารตี จันทร์วิภา เบญจคีย์ เนตรมณี และชาวบ้านต่างๆก็แห่กันออกมา ทุกคนเฮฮาปาร์ตี้ โห่ร้องยินดีสุดๆๆ
"เฮ้ย รีบออกมาทำไม บอกแล้วไงว่าให้จูบก่อนๆ หลบไปก่อน ไปๆๆ" ปราณนต์ว่า
"ไม่ทันแระ" ภัทรินหัวเราะทั้งน้ำตา
ปราณนต์เซ็งที่อดจูบ ทุกคนขำๆ พวกชาวเขาโห่ร้องเพลงกันอย่างเฮฮา
ปราณกับอัณณายืนชมวิวอยู่ด้วยกันที่ด้านหนึ่ง มีลมผ่านหน้าเบาๆ กับแสงแดดยามเย็น ทั้งสองสูดอากาศ ชื่นชมธรรมชาติเต็มปอด สดชื่น ผ่อนคลาย
"ที่นี่อากาศดีทั้งวันเลยเนอะ ตอนพระอาทิตย์ขึ้นก็สดชื่นอย่างนึง ตอนตกก็อบอุ่นไปอีกแบบ ดีจังเลย" อัณณาบอก
"แล้วอัณชอบแบบไหนมากกว่า" ปราณถาม
"อืม ไม่รู้สิ มันก็ทำให้รู้สึกดีทั้งสองช่วงนะ แต่อัณเป็นคนตื่นสาย ธรรมชาติของอัณเลยไม่ค่อยลงล็อกกับตอนพระอาทิตย์ขึ้น เลยมีโอกาสได้ชื่นชมแดดอุ่นๆตอนเย็นมากกว่า"
"แล้วอัณมีความสุขมั้ย"
อัณณายิ้มสดชื่นอย่างจริงใจ "มีสิ"
อัณณายิ้มสดชื่น ปราณยิ้มตอบ
"ขอบคุณนะปราณ ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนที่แสนดีของอัณตลอด"
พระอาทิตย์ใกล้ตกดินทำให้เกิดแสงสีทองสวยงาม กังหันลมยังคงหมุนล้อเล่นกับแสงอาทิตย์
ภัทรินและปราณนต์นั่งอยู่บนเก้าอี้หลุยส์ด้วยกันอย่างสนิทสนมใกล้ชิด ภัทรินนั่งไขว้ทับปราณนต์และกำลังส่องดูแหวนที่อยู่ในนิ้วไปด้วย
"คิดยังไงถึงไปงมแหวนขึ้นมาให้ชั้น"
ปราณนต์โอบกอดภัทรินไว้ "ก็รักอ่ะ"
"บ้ามากกว่า ไปงมหาแหวนวงเดียวในทะเลสาบ มีแต่คนบ้า เพี้ยน สติไม่สมประกอบเท่านั้นแหละ"
"แล้วรักคนบ้าป่ะล่ะ"
"ชิ"
ปราณนต์ตื๊อถามพร้อมกับจับหน้าให้หันภัทรินมา "รักป่าว"
"ไม่"
"อ้าว ไรอ้ะ"
"เห็นหน้าก็อยากจะทุบตีให้ตายคามือ คนบ้า ทำตัวน่าหมั่นไส้" ภัทรินจับหน้าปราณนต์มา "ห้ามหลอกชั้นอีกเข้าใจมั้ย"
"เอ่อ นี่คือ คำสั่งหรือคำสาป"
"คำสาป ชั้นจะสาปให้นายพูดแต่ความจริงกับชั้น ห้ามปิดบังซ่อนเร้นอะไรอีกโดยเฉพาะความรัก เข้าใจมั้ย"
ปราณนต์ยิ้มพร้อมกับทำหน้าเคลิ้ม "ผมรักคุณ รักมาก คืนนี้ผมจะนอนกอดคุณทั้งคืน แล้วตอนนี้ผมก็อยากจูบคุณมาก"
"นี่"
"ก็คุณสาปผมให้พูดแต่ความจริงนะ ผมจะจับคุณมาจูบแล้วนะ"
ปราณนต์คว้าภัทรินเข้ามา ภัทรินหัวเราะเล่นกัน ภัทรินพยายามลุกหนี ปราณนต์คว้าตัวดึงมา แล้วเอาหน้าเข้าไปซบที่ท้องภัทริน
"ขอพ่อจูบหน่อยนะ"
ภัทรินชะงักแล้วปล่อยให้ปราณนต์กอด
"รีบๆออกมานะลูก พ่อสัญญาจะดูแลลูกให้ดีที่สุด ลูกจะต้องมีสุขภาพจิตที่ดีเพราะพ่อจะทำให้แม่มีความสุขทุกวินาทีเลย มามะ ขอพ่อหอมให้ชื่นใจหน่อย"
ปราณนต์จะเปิดชายเสื้อ ภัทรินตกใจจึงรีบห้ามไว้
"จะทำอะไร"
"จะหอมลูก อยู่เฉยๆ"
ปราณนต์จะหอมท้องภัทริน แต่ภัทรินดิ้นคิกคักด้วยความจั๊กกะจี๋
"อย่าๆๆ"
"อะไรกันอ่ะคุณ พ่อลูกจะหอมกันหน่อยทำไมต้องกีดกันด้วย ถ้าไม่ให้หอมลูก งั้นผมหอมแม่แทน มาๆๆ"
ปราณนต์ดึงภัทรินมากอดแล้วจะหอม แต่ภัทรินไม่ยอมให้หอม ทั้งสองหยอกันและหัวเราะอย่างมีความสุข
เท้าของปราณนต์และภัทรินพาดอยู่บนที่นั่งเก้าอี้หลุยส์ สองคนลงไปนอนกับพื้นโดยยกเท้าพาดเก้าอี้ไว้และแหงนหน้าขึ้นฟ้าโดยเอาเสื้อนอกของปราณนต์คลุมตัวเอาไว้ด้วยกัน ปราณนต์กับภัทรินชูกังหันลมขึ้นสุดแขนให้มันรับลมและหมุน โดยเล่นกันว่าของใครหมุนได้เร็วกว่ากัน ทั้งสองหัวเราะกันสนุกสนานท่ามกลางดวงดาวบนท้องฟ้า
ปราณนต์หันหน้ามามองดูภัทรินยามมีความสุขแล้วก็พลอยยิ้มไปด้วย
ภัทรินยังเล่นกังหันอยู่จึงพูดโดยไม่ได้หันมา "มองอะไร อย่าคิดว่าชั้นไม่มองแล้วจะไม่รู้นะว่านายแอบมองชั้นอยู่ และยิ้ม"
ปราณนต์ยิ้ม "เก่งจริงนะ ทายต่อสิ"
"และนายกำลังจะพูดว่า คุณสวยจังเลยภัท"
"คุณสวยจังเลยภัท"
"และนายกำลังจะเอื้อมมือมาลูบผมชั้น"
ปราณนต์เอามือมาลูบผมภัทริน
"แล้วพูดว่า ผมของคุณดำสลวยสวยเก๋มีเสน่ห์จับใจผมมากเลย"
ปราณนต์ชักขำ "ผมของคุณดำสลวยสวยเก๋มีเสน่ห์จับใจผมมากเลย"
"คุณเกิดมาพร้อมๆกับคำว่านางฟ้าหรือเปล่า"
"หือ"
"จะไม่พูดเหรอ"
"คุณเกิดมาพร้อมกับคำว่านางฟ้าหรือเปล่านะ"
ภัทรินยิ้มสมใจที่ปราณนต์ทำตามคำสั่ง เธอหันมามองหน้าปราณนต์
"ขอบคุณนะ ที่ทำเพื่อชั้นขนาดนี้"
"ขอบคุณคุณเหมือนกัน"
ทั้งสองคนยิ้มให้กัน แล้วอยู่ๆลมหนาวก็พัดผ่านมาวูบใหญ่ ทั้งภัทรินชะงักกึกด้วยความหนาวเย็น
"หึ๋ย ลมบ้า พัดมาไม่ให้ซุ่ม"
"ชู่ว์ อย่าด่า มีความเชื่อเกี่ยวกับลมอย่างนึง เขาบอกว่าเวลาต้องเผชิญกับลมแรงๆ อย่าตื่นตระหนก อย่าด่าทอ แต่ให้เราทักทาย สวัสดีสายลม แล้วจะได้รับการคุ้มครองจากผู้ที่มากับสายลม"
"ผู้ที่มากับสายลม ใคร"
ปราณนต์ยิ้มกรุ้มกริ่ม
"ใคร อย่าบอกนะว่า"
"ความรัก" ปราณนต์บอก
ภัทรินนิ่งไป ก่อนจะยิ้มเขิน
ในขณะที่ปราณกับอัณณากำลังเดินกลับด้วยกัน อยู่ๆมีลมหนาวพัดผ่านมาวูบใหญ่ อัณณาถึงกับหยุดเดินยืนนิ่งเกร็ง แล้วประสานมือสองข้างถูๆกันที่บริเวณหน้าอก เพื่อจะรอให้ลมพัดผ่านไปก่อนแล้วค่อยเดินต่อ แต่อยู่ๆปราณก็เข้ามาโอบแล้วยิ้มให้อย่างอบอุ่น อัณณามองปราณแล้วก็ยิ้มอย้่างไม่ถือสาอะไร แล้วทั้งสองคนก็เดินเคียงกันต่อไป
ภัทรินนิ่งเขิน ปราณนต์มองด้วยความรักหวานซึ้ง
"ภัท ผมรักคุณนะ"
ภัทรินยิ้ม "ชั้นเห็นความรักของนายแล้ว"
ปราณนต์กับภัทรินยิ้มให้กันอย่างวาบหวาม ก่อนที่ปราณนต์จะค่อยๆขยับหน้าเข้าไปจะจูบ ภัทรินหลับตารอ แต่แล้วลมหนาวก็พัดมาวูบใหญ่ ทั้งสองคนผงะ สั่น และชะงักโดยยังไม่ได้จูบกัน พอมองตากันทั้งสองก็หัวเราะคิกคักกันออกมาอีก กังหันลมยังหมุนเคียงคู่กัน
โมบายล์กุ๊งกิ๊งแขวนอยู่ตามกรอบหน้าต่างและระเบียงของบ้านส่งเสียงเบาๆเสนาะหู ภัทรินกำลังนั่งคุยโทรศัพท์กับแม่อยู่
"ภัททำบัญชีให้เสร็จแล้วค่ะ เดี๋ยวให้หมอณนต์เอาไปให้นะคะ" ภัทรินหันไปตะโกน "ที่ร้าก นมลูกได้หรือยัง"
ปราณนต์วิ่งออกมาจากในบ้าน เขาอยู่ในสภาพพ่อมือใหม่ที่หัวฟูกับการเลี้ยงลูก มือนึงถือขวดนมเขย่ามาด้วย2ขวด มืออีกข้างยกตะกร้าผ้าที่จะต้องซักเข้าเอวมา
"มาแล้วครับๆๆ" ปราณนต์วิ่งไปที่เปลลูกซึ่งมีสองเปลก่อนจะรีบป้อนนม
ปราณนต์เลี้ยงลูก ภัทรินคุยโทรศัพท์ ปราณนต์กำลังจะเอาตะกร้าผ้าไปซัก อยู่ๆผ้าพันคอของภัทรินก็ปลิวออกไปนอกบ้านเพราะแรงลม
ภัทรินตะโกนลั่น "ที่ร้าก"
ปราณนต์ต้องวางตะกร้าวิ่งไปไล่จับผ้าพันคอให้ภัทริน เขาวิ่งไล่ผ้าพันคอปลิวขึ้นไปติดต้นไม้ ปราณนต์พยายามกระโดด ภัทรินมองปราณนต์อย่างมีความสุข
"สู้นะคะที่ร้าก" ภัทรินคุยโทรศัพท์ต่อ "ต่อค่ะ ถึงไหนแล้วค่ะแม่"
จบบริบูรณ์