ลุ้นรักข้ามรั้ว ตอนที่ 1
เสียงฉิ่งฉาบกลองปี่จีนในทำนองแน่นอกท่อนฮุคดังขึ้น ทุกคนกำลังเรียงแถวหน้ากระดานเต้นกันอย่างสนุกสนานแน่น
เฮงรู้สึกตัวก่อนเพื่อน ร้องว้ากขึ้นเสียงดังลั่น
“เว้ย! ผิดเพลงเลี้ยว เอาใหม่”
ขาดคำ ดนตรีก็เปลี่ยนเป็นตุ้งแช่ทันที พร้อมกับมีการเชิดสิงโต 2 ตัว ตัวหนึ่งหัวสีแดง อีกตัวหนึ่งหัวสีเหลือง กำลังเคลื่อนไหวตามจังหวะของเครื่องดนตรี มีคนตีกลองหนังดำ 1 คน และคนตีฉาบ 3 คน
ตี๋ใหญ่เปิดตัวออกมาท่ามกลางกลุ่มควัน ก่อนจะเดินไปที่เตี่ย แล้วส่งธูปที่จัดแล้วให้
“อาตี๋ใหญ่ ลื้อนี่สุดยอดจริงๆ ฉลองร้านครบรอบ 30 ปี ลื้อลงทุนจ้างเครื่องยิงสโมคมาเลย เปิดตัวอย่างเท่”
เตี่ยพูดยิ้มๆ เล่นเอาตี๋ใหญ่หน้าจ๋อย
“เท่อะไรล่ะเตี่ย เค้ามาฉีดฆ่าลูกน้ำตามท่อต่างหาก”
ตี๋ใหญ่พูดไปก็สำลักควันไป ส่วนเฮงก็เดินนำไปที่แท่นบูชาเทพเจ้า ซึ่งมีอาหารหวานและผลไม้จัดบูชาไว้ พลางตะโกนลั่น
“อาตี๋เล็ก อาหมวยเล็ก มาไหว้เจ้าเดี๋ยวนี้”
ครู่หนึ่งตี๋เล็กในชุดคาดผ้ากันเปื้อนมีผ้าคลุมผม ก็ถือปังตอวิ่งเข้ามา ทำเอาทั้งเฮง ทั้งตี๋ใหญ่ผวาหลบมีดกันให้วุ่น
“อาตี๋เล็ก ลื้อเมายาบ้ามาเหรอ”
เฮงมองอย่างจับผิด หมวยเล็กรีบรับลูกต่อ
“ว้าย พี่ตี๋เล็กเมายาบ้า”
ทุกคนเริ่มแตกตื่นเพราะคิดว่าตี๋เล็กเมายาจริง
“จะบ้าเหรอ ผมไม่ได้เมายาบ้า อั๊วกำลังเตรียมทำกับข้าวอยู่ เตี่ยเรียกอั๊ว อั้วก็รีบมานี่ไง”
ตี๋เล็กปฏิสธเสียงดัง จากนั้นพิธีไหว้เจ้าก็เริ่มขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะแหงนหน้ามองที่ป้ายชื่อร้านที่เด่นเป็นสง่า ด้วยตัวหนังสือสีทอง บนแผ่นไม้สีแดง
“เฮง เฮง เหลา”
เฮงเดินต้อนรับลูกค้าที่มาร่วมยินดีวันฉลองครบรอบร้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
จางเด็กเสิร์ฟ ยกอาหารมา 2 จานมาเสิร์ฟให้ลูกค้าที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ทั่วบริเวณสนามหญ้าที่ประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดง ลูกค้าส่วนใหญ่พูดคุยหัวเราะกันเสียงดังเอะอะโวยวาย
“เอาจานไหนดี”
จางถามลูกค้ายิ้มๆ
“ทั้ง 2 จานเลยสิ”
“อยากได้ทั้ง 2 จานต้องทายคำถามให้ถูกก่อน ถ้าในร้านอาหารนี้มีอยู่ 4 โต๊ะ โต๊ะที่ 1 สั่งอาหาร โต๊ะที่ 2 จ่ายตังค์ โต๊ะที่ 3 นั่งรออาหาร โต๊ะที่ 4 เบี้ยว คุณจะทำอย่างไร”
ลูกค้าทั้งโต๊ะนั่งหน้าครุ่นคิด
“เรียกตำรวจ”
จางส่ายหน้า “ผิด”
“เอาปืนขู่”
จางสั่นหัว “ผิดและเลว”
“แล้วอะไรของแกวะอาจาง”
จางหัวเราะร่วน ก่อนเฉลย
“โต๊ะสี่เบี้ยว ก็จัดให้ตรงเซ่ เอาไปจานเดียวพอ กินฟรีให้อร่อยนะ”
เสิร์ฟเสร็จเดินกลับเข้าไปข้างใน ลูกค้าทั้งโต๊ะทำหน้าเซ็ง
ตี๋ใหญ่กำลังสับเป็ดด้วยท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ต่างกับตี๋เล็กที่หั่นผักอย่างคล่องแคล่ว ดูว่าชำนาญการใช้มีดมากกว่า
เฮงเดินเข้ามาดูแล้วส่ายหน้า
“อาตี๋ใหญ่ สับเป็ดให้มันชิ้นโตๆ หน่อยสิ มันถึงจะดูน่าเจี๊ยะ คอนเซ็บต์เราคือขายทั้งคุณภาพและปริมาณนะ”
ตี๋เล็กหันมาตอบแทน
“ได้ข่าวว่าวันนี้เราเลี้ยงเค้านะเตี่ย อั๊วว่าชิ้นเล็กๆ ก็กินกันได้ทั่วถึงดีนะ”
“อาตี๋เล็ก ลื้อจำคำเตี่ยไว้ คนขี้เหนียวไม่มีวันทำอาหารอร่อยหรอกเหมือนทำอาหารแล้วเครื่องปรุงไม่ถึงเพราะงกเครื่องน่ะ อาหารมันจะอร่อยมั้ย”
“แต่รวยนะเตี่ย” ตี๋เล็กเถียง
“รวยได้ไม่นานก็จน เพราะลูกค้าจะไม่กลับมาอีก“
ระหว่างนั้นหมวยเล็กก็เดินมาหยุดดูตี๋ใหญ่กับตี๋เล็ก ก่อนจะหันมาถามเตี่ยอย่างเอาใจ
“เตี่ย จะให้หมวยช่วยอะไรมั้ย”
“ ลื้อไปดูว่าแขกว่าอยากได้อะไรเพิ่มมั้ย ไปช่วยอาจางข้างนอกโน่น”
หมวยเล็กทำหน้างอ ”แต่หมวยเล็กอยากทำงานในครัว ไม่อยากเป็นเด็กเสิร์ฟ”
“ลื้อทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ไปเสิร์ฟแหละดีแล้ว”
“พี่ตี๋ใหญ่ก็ทำอะไรไม่เป็นทำไมทำได้ ดูสิ สับเป็ดหรือสับหมูบะช่อน่ะเฮีย”
ตี๋ใหญ่มองหมวยเล็กยิ้มๆ
“เฮียว่าจะลองทำเป็ดบะช่อดู เผื่อว่าจะเวิร์ค”
เฮงพยักหน้าเห็นด้วย
“เออ ลองดูก็ดีนะตี๋ใหญ่ ถ้าลูกค้าชอบเตี่ยจะทำก๋วยเตี๋ยวเป็ดบะช่อซะเลย ไม่เหมือนใครดี”
ตี๋เล็กบ่น ด้วยอารมณ์น้อยใจ “เฮียทำอะไรก็ดีไปหมดแหละ”
ตี๋ใหญ่หันน้องชาย อย่างเป็นห่วงความรู้สึก
“รีบๆ ทำเข้า วันนี้แขกจะต้องประทับใจกลับไปนะ จะได้ไปบอกต่อปากต่อปาก ว่าอาหารร้านเราอร่อยที่สุดในย่านนี้”
เฮงพูดเสร็จก็ลากหมวยเล็กเดินออกไป
เสี่ยชาญกำลังใช้ตะเกียบคีบหมี่ผัดขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย ครู่หนึ่งเฮงก็เดินมานั่งกินด้วยและพูดคุยที่โต๊ะ
“อาเฮง ลื้อนี่เฮงสมชื่อเลยนะ กิจการร้านอาหารก็ขายดิบขายดี มีกำไรเยอะแยะ สวดยวดไปเลย”
เฮงยิ้มรับ สีหน้าอิ่มใจ
“มันอยู่ที่ฝีมือด้วย ไม่ใช่เฮงอย่างเดียวหรอก เพราะถ้าไม่เจ๋งจริง อั๊วจะอยู่มาได้ตั้ง 30 ปีเหรอ”
“ใช่ ลื้อนี่เจ๊งสุดๆ”
เฮงรีบพูดแก้ “เจ๋ง ไม่ใช่เจ๊ง”
“โทษที พูดเผียดไปนิดนึง”
“เผียดนิดนึง แต่ความหมายมันไม่นิดเลยนะ เออนี่ อั๊วว่าตอนนี้ร้านอั๊วมันคับแคบไปหน่อย อั๊วจะขยายไปที่บ้านหลังสุดท้ายโน่น หลังที่อั๊วเคยบอกให้ลื้อเก็บไว้ให้น่ะ ลื้อยังจำได้ใช่มั้ย”
เฮงพูดพลางชี้มือประกอบ เสี่ยชาญหน้าเจื่อน เหงื่อตก ท่าทางดูมีพิรุธ
” อาชาญ ทำไมลื้อเหงื่อออกเยอะจังเลย เป็นอะไรหรือเปล่า”
เสี่ยชาญดูอึกอัก
“อ๋อ อาหารมันเผียดนิดหน่อยน่ะ เหงื่อก็เลยแตก”
“ไม่มีอะไรแน่นะ”
“ไม่มี” เสี่ยชาญลงเสียงต่ำ
“ทำไมเสียงต่ำขนาดนั้น”
“ก็เสียงสูงเดี๋ยวลื้อหาว่ามีพิรุธไง”
“โอเคๆ งั้นกินให้อิ่มก่อน เดี๋ยวเรามาคุยธุรกิจกัน”
พอเฮงเดินออกไป เสี่ยชาญก็ปาดเหงื่อทันที
หมวยเล็กรู้สึกเซ็งๆ เลยหลบมานั่งเล่นชิงช้าที่สนามหญ้า จู่ๆ ก็มีลูกบอลจากบ้านของแก้วกัลยา ลอยข้ามรั้วที่กั้นอาณาเขตระหว่าง 2 บ้าน มาตกเฉียดหัวไปนิดเดียว สาวหมวยเดินดุ่มๆ ไปดูที่รั้วด้วยความโกรธ แล้วก็เห็นชายเล็กยืนอยู่ริมสนามหญ้าของบ้านข้างๆ
“ที่บ้านเธอจัดงานเทกระจาดเหรอ เสียงนี่ดังอย่างกับโรงเจ”
หมวยเล็กมองเขม่น “ไอ้พวกเจี่ยะป้าบ่อสื่อ ปากไม่ดี ชอบหาเรื่องคนอื่น”
ชายเล็กทำหน้ากวน “นี่ทำบัตรหรือยังเนี่ย ระวังโดนตำรวจจับนะ”
“อั๊วไม่ใช่แรงงานต่างด้าวโว้ย ลื้อเป็นใคร กล้าดียังไงมาว่าอั๊ว”
ชายเล็กยืดอก เบ่งเต็มที่ “ฉันก็เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ไง”
“อย่ามาโกหก อั๊วไม่เชื่อลื้อหรอก เตี่ยอั๊วกำลังจะซื้อบ้านหลังนี้อยู่แล้ว”
ชายเล็กยักไหล่ “ก็ไม่รู้สินะ แม่ฉันบอกว่าเช่าบ้านหลังนี้เรียบร้อยแล้วอ่ะ”
“ไม่จริง ฉันจะไปฟ้องเตี่ยเดี๋ยวนี้แหละ”
“เรียกมอไซรับจ้างมั้ย จะได้เร็วๆ”
“อั๊วไม่ตลกด้วย”
หมวยเล็กมองค้อน ก่อนจะรีบกลับบ้านเพื่อจะไปฟ้องเตี่ย
“ฉันอยากตกแต่งผนังด้วยไม้แกะสลักค่ะ เอาเป็นลายกนกนะคะ”
แก้วกัลยาเดินนำนักตกแต่งกับหญิงใหญ่ที่เดินตามหลังมาในห้องนอน
“ส่วนตรงนั้นฉันจะให้เป็นที่วางเตียงไม้สี่เสา หัวเตียงวาดเป็นรูปลายกระจัง”
นักตกแต่งก้มลงจดคำพูดของแก้วกัลยาลงในสมุด ขณะที่หญิงใหญ่ขมวดคิ้ว
“หืม มันจะลิเกไปไหมคุณแม่”
“โอ๊ย ออกจะคลาสสิกลูก หรือลูกอยากจะแต่งบ้านเป็นโรงเจเหมือนข้างบ้านเราล่ะ ไม่ไหวนะ
ขุ่นแม่รับไม่ได้”
นักตกแต่งรีบบอก
“แต่ร้านเฮงเฮงเหลาเป็นร้านอาหารที่โด่งดังที่สุดในย่านนี้เลยนะคะ แล้วนี่คุณคิดจะเปิดร้านอาหารด้วย คุณไม่คิดว่าเค้าจะมองคุณเป็นศัตรูเหรอคะ”
“ฉันไม่สนหรอกค่ะ แล้วอีกอย่างลูกค้าก็เป็นคนละกลุ่มกันอยู่แล้วลูกค้าร้านฉันเนี่ย จะมีแต่พวก
“ผู้รากมากดี” น่ะค่ะ”
แก้วกัลยาพูดแบบอวดๆ นักตกแต่งแอบเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้
ตี๋ใหญ่กำลังนั่งนับเงินปึกใหญ่อยู่ในห้องรับแขก ขณะที่เฮงกำลังคุยกับเสี่ยชาญ
“อั๊วจะจ่ายค่าเช่าให้ลื้อก่อนหกเดือนเพื่อแสดงความจริงใจว่าอั๊วอยากเช่าบ้านหลังนั้นจริงๆ “
ขาดคำ หมวยเล็กก็ตะโกนเรียกเฮงเสียงดังลั่น
“เตี่ย เตี่ยต้องรีบไปจัดการมันนะ”
เฮงหันไปมองลูกสาวด้วยสายตาตำหนิ
“เฮ้ย! อะไรของลื้อวะอาหมวยเล็ก ไม่เห็นหรือไงว่าอั๊วกำลังคุยกับเสี่ยชาญอยู่”“เตี่ย รู้ไหมว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
ตี๋ใหญ่เงยหน้าจากกองแบงค์ขึ้นมาถาม “เรื่องอะไรเหรอ”
“มีคนมาเช่าบ้านข้างๆ ตัดหน้าเราไปแล้ว”
เฮงทำหน้าไม่เชื่อ
“บ้านนั้นใครจะกล้ามาเช่า ในเมื่ออั๊วจองไว้แล้ว กำลังจะจ่ายเงินเนี่ยเห็นไหม”
หมวยเล็กลอยหน้าลอยตา “มันก็ไม่รู้สินะ ไม่เชื่อก็ออกไปดูเองสิ”
“ผมว่าเราน่าจะออกไปดูกันนะครับ”
ตี๋ใหญ่หันมาบอก เฮงมองหน้ามองเสี่ยชาญที่เหงื่อแตกพลั่ก
“เป็นไรเหงื่อแตก”
“อาหารลื้อมันเผียดอะ”
เฮงทำหน้างง “กินเสร็จไปตั้งนานแล้ว ยังเผียดอีกเหรอ”
“ยังเผียดอยู่เลย อั๊วกลับไปกินของหวานแก้เผียดที่บ้านก่อนนะ“
เฮงรีบรั้งไว้
“อย่าเพิ่งกลับ เดี๋ยวกินของหวานที่นี่แหละ แต่ก่อนกิน ไปเคลียร์เรื่องบ้านกับอั๊วก่อน”
เสี่ยชาญพยักหน้ารับแบบเจื่อนๆ
นักตกแต่งก้มหน้าก้มตาจดสิ่งที่แก้วกัลยาบอกเมือเป็นระวิง
“ตรงนั้นฉันอยากให้สร้างเป็นน้ำพุ ถัดไปเป็นศาลาทรงไทย ถัดไปเป็นรูปปั้นนางรำ ส่วนมุมนี้ฉันอยากปลูกต้นโพธิ์ทอง โพธิ์เงิน ขนุน มะขาม มะยมเพื่อความเป็นสิริมงคล แล้วส่วนมุมนั้นฉันจะทำเป็น...”
“โอ๊ย! พอก่อนค่ะ” นักแตกแต่งรีบเบรก
“มันรกเกินไปเหรอคะ”
“เปล่าค่ะ ฉันจดไม่ทัน”
แก้วกัลยาหันมายิ้มแหยๆ ระหว่างนั้น เฮง ตี๋ใหญ่ ตี๋เล็ก หมวยเล็ก และเสี่ยชาญก็มาหยุดยืนริมรั้วบ้านที่กั้นกลางระหว่าง 2 หลัง
“เฮ้ย นี่ลื๊อเข้ามาในที่ของอั๊วได้ไง”
แก้วกัลยาหันไปเชิดใส่
“โอ้! คุณพระ พูดออกมาได้ไม่อายปาก ที่นี่มันเขตบ้านฉันค่ะ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ”
“อั๊วกำลังจะเช่าบ้านนี้กับเสี่ยชาญ ลื้อนั่นแหละเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”
แก้วกัลยาเบ้ปากใส่
“โอ๊ย ถ้าอย่างนั้นก็เคลียร์กับเสี่ยชาญเค้าก่อนมั้ยคะ แล้วค่อยมาเห่า เอ้ย..แล้วค่อยมาหอน
เอ้ย แล้วค่อยมาโวยวายแบบนี้”
เฮงทำท่าแฮ่เหมือนหมา “แฮ่ เดี๋ยวปั๊ดกัดซะนี่”
“ฉีดวัคซีนรึยัง จะมากัดฉันเนี่ย”
“เดี๋ยวค่อยเคลียร์กัน” เฮงหันขวับมาทางเสี่ยชาญ “ว่าไงเสี่ยชาญ มันเกิดอะไรขึ้น”
เสี่ยชาญจำต้องรับสารภาพเสียงอ่อย
“อั๊วบอกก็ได้ คืออั๊วให้คุณแก้วกัลยาเช่าบ้านหลังนี้ไปแล้ว”
“ เฮ้ย ทำไมลื้อถึงให้บ้านกับยายลิเกนี่วะ”
แก้วกัลยาหันมา ทำท่าจะเอาเรื่อง “อ้าว...”
เสี่ยชาญรีบยกมือห้าม พลางรีบแก้ตัวกับเฮง
“ใจเย็นก่อน ให้อั๊วได้อธิบายก่อน คือมันเป็นเพราะเธอให้เงินมากกว่าลื้อ เอ้ย! ไม่ใช่ๆ คือบ้านหลังนี้มันฮวงจุ้ยไม่ดีอั๊วให้ซินแสมาดูแล้ว ใครอยู่บ้านหลังนี้น่ะมีแต่จนกับเจ๊ง ทำกิจการอะไรก็ไม่เจริญรุ่งเรืองหรอก ลื้อไม่ต้องไปเสียดายเลย”
แก้วกัลยาโวยวายเสียงดัง
“อ้าว ทำไมถึงเพิ่งมาบอกกันล่ะเสี่ยชาญ”
เสี่ยชาญรีบเอียงหน้าไปกระซิบ “ ใจเย็นๆ ตามน้ำไปก่อน”
เฮงมองอย่างสงสัย
“ลื้อกระซิบอะไรอี”
“ก็กระซิบว่ายังจะเช่าอีกหรือเปล่าน่ะสิ ถ้าไม่เช่าก็จะให้ลื้อเช่าต่อไง”
เฮงถามย้ำ “เฮ้ย ที่ลื้อฮวงจุ้ยไม่ดีจริงเหรอ”
“จริงสิ ไม่งั้นอั้วก็ให้ลื้อเช่าตามที่สัญญากันไว้แล้ว อยู่บ้านเนี้ยะ มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง”
แก้วกัลยาหน้าเจื่อน เสี่ยชาญรีบกระซิบซ้ำ
“ไม่มีอะไรนะ ตามน้ำไปก่อน”
เฮงขมวดคิ้ว “กระซิบอะไรกัน”
“ก็ถามว่าจะเช่าต่อหรือเปล่าไง”
แก้วกัลยารีบบอก “เช่า ยังไงฉันก็จะเช่าบ้านหลังนี้ต่อ “
เสี่ยชาญเห็นเฮงยอมลดมือลง ก็แอบถอนหายใจดังพรืด หันไปมองหน้าแก้วกัลยา แต่เรื่องไม่จบง่ายๆ
“พวกลื้อจำไว้ บ้านหลังนี้ต้องเป็นของอั๊ว ต่อให้ใครหน้าไหนก็มาแย่งไปไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าอั๊วหาวิธีปรับฮวงจุ้ยบ้านหลังนี้ได้เมื่อไหร่ เจอกัน”
หมวยเล็กชูนิ้วโป้งให้เตี่ย “โอ๊ย เตี่ย แซ่บเฟร่ออ้ะ”
เฮงเดินนำออกไป ตี๋ใหญ่แอบส่งยิ้มให้กับหญิงใหญ่ แก้วกัลยาหันมาเห็น ก็ทำตาเขม็ง หญิงใหญ่เลยไม่กล้ายิ้มตอบ ตี๋ใหญ่เดินตามเตี่ยไปพร้อมกับตี๋เล็กกับหมวยเล็ก ส่วนเสี่ยชาญยังยืนอยู่ที่เดิม
“สรุปบ้านหลังนี้ฮวงจุ้ยดีใช่มั้ย”
แก้วกัลยายังข้องใจ เสี่ยชาญรีบบอกทันที
“ดีสวดๆ อั๊วโกหกไปงั้นเองแหละ อาเฮงจะได้ไม่โวยวาย สบายใจได้”
พูดจบเสี่ยชาญเดินกลับออกไป แก้วกัลยาก็หันมาพูดกับหญิงใหญ่และนักตกแต่ง
“ฉันจะต้องเปิดร้านอาหารแข่งกับพวกมันให้ได้ คอยดูนะ ฉันจะทำให้เฮง เฮง เหลา กลายเป็นเจ๊ง เจ๊ง เหลาให้ได้”
จากนั้นเฮง ตี๋ใหญ่ ตี๋เล็ก และหมวยเล็ก ก็นั่งรวมกันอยู่ที่โต๊ะไม้สัก คล้ายกับเป็นการประชุมอะไรกันสักอย่าง ด้านหลังของทั้งหมดเป็นหิ้งที่วางรูปถ่ายสีขาวดำของบรรพบุรุษ
เฮงจามดังลั่น เพราะฝุ่นที่เกิดจากการกวาดพื้นของจาง
“ใครกล้านินทาอั๊ววะ”
ตี๋เล็กรีบบอก “ก็จะมีใครล่ะ ถ้าไม่ใช่ผู้ดีบ้านนั้น”
เฮงตบโต๊ะด้วยความเจ็บใจ
“นึกแล้ว อั๊วยังเจ็บใจไม่หาย กล้ามาหยามอั๊ว อาตี๋ใหญ่ ลื้อเป็นลูกชายคนโต ลื้อไม่คิดจะทำอะไรเพื่อเตี่ยบ้างเหรอ “
“แป๊บนะเตี่ย” ตี๋ใหญ่รีบกดโทรศัพท์หน้าเหี้ยม “ฮัลโหล อั๊วมีงานให้ลื้อทำหน่อย ครั้งนี้ฆ่าเยอะหน่อยนะ ให้ใครมาช่วยก็ดี จะได้เสร็จเร็วๆ”
ทุกคนมองตี๋ใหญ่อึ้งๆ ตี๋เล็กกระซิบกับหมวยเล็กและเฮง
“นี่เฮียกะจะฆ่ายกครัวเลยเหรอเนี่ย”
ตี๋ใหญ่พูดต่อ “ฝังซากดีๆ ล่ะ เดี๋ยวกลิ่นมันโชย”
เฮงทนไม่ไหว รีบห้าม
“เฮ้ย ตี๋ใหญ่ เตี่ยว่าลื้อรุนแรงไปนะ ใจเย็นๆ ลูก อนาคตลื้อยังอีกไกล”
ตี๋ใหญ่ไม่ฟังเตี่ย รีบพูดต่อ
“เอาเป็ดหนุ่มๆนะ แก่มากเนื้อเหนียว เสร็จแล้วมาส่งที่ร้านเลย หวัดดี”
“ลื้อสั่งเป็ดหรอกเหรอ”
ตี๋ใหญ่ทำหน้าเหรอ “ก็เตี่ยให้อั๊วโทรสั่งไม่ใช่เหรอ”
“โห่ อั๊วก็นึกว่าลื้อจะจัดการกับไอ้พวกบ้านนั้น”
“จะให้อั๊วทำไงล่ะเตี่ย” ตี๋ใหญ่ย้อนถาม
“ลื้อทำยังไงก็ได้ ให้พวกนั้นออกไปจากบ้านให้เร็วที่สุด แล้วถ้าลื้อทำได้ อั๊วจะยกให้ลื้อเป็นผู้จัดการสาขา 2 เลย”
ตี๋เล็กมองพี่ชายด้วยความรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ส่วนหมวยเล็กรีบหันมาถามเตี่ย
“แล้วเตี่ยไม่กลัวเรื่องฮวงจุ้ยเหรอ”
เฮงส่ายหน้า “เรื่องนั้นมันแก้กันได้ ตอนนี้ขอให้พวกนั้นมันออกไปจากบ้านก่อนเท่านั้นแหละ”
จางรีบเสนอความคิด
“ยกพวกไปตีให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยมั้ยเฮีย แบล็คฮอว์คซักสองลำ รถถังสักคันนึง ถล่มมันให้ราบ”
เฮงทำหน้าระอา
“ถล่มบ้านแกสิ หุบปากแล้วตั้งใจกวาดพื้นไปเลยนะไอ้จาง ถ้าขืนยังพูดมากอีก อั๊วจะหักเงินเดือนลื้อให้หมดเลย”
จางทำท่ารูดซิปปาก พร้อมกับที่เฮงหันมาบอกทุกคน
“พวกลื้อรีบลงมือ ภายใน 3 วัน พวกมันต้องไปจากที่นี่”
ตี๋เล็กกับหมวยเล็กครุ่นคิดหาวิธี ตรงข้ามกับตี๋ใหญ่ที่ทำหน้าเบื่อ เพราะไม่อยากวุ่นวายกับใคร
ภายในห้องนั่งเล่นบ้านของแก้วกัลยา
หญิงใหญ่สะพายกระเป๋าเตรียมตัวไปทำงาน หญิงเล็กนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ ส่วนแก้วกัลยากำลังนั่งอ่านตำราการทำขนม
หญิงใหญ่มองแม่ ทำท่าเหมือนมีอะไรอยากจะพูดด้วย
“คุณแม่คิดดีแล้วเหรอคะ ที่จะเปิดร้านอาหารแข่งกับบ้านข้างๆ ถ้าเราขายอาหารเหมือนกับเค้า เราก็ต้องทะเลาะกับเค้าไปตลอดเลยนะคะ”
แก้วกัลยาทำหน้ามั่นใจมาก
“แม่จะต้องเปิดร้านอาหารให้ได้ แม่ไม่มีทางยอมแพ้ไอ้พวกงิ้วนั่นเด็ดขาด ผู้ดีที่มากินร้านเราจะต้องติดใจในรสมือชาววังของแม่ แล้วเมินอาหารของไอ้พวกบ้านนั้นไปเลย”
“จะว่าไป ลูกชายบ้านนั้นเค้าหล่อจังเลยนะแม่” หญิงเล็กแอบอมยิ้ม
“เคยไปเจอมาแล้วเหรอ”
“หนูไปเกาะรั้วแอบดูเค้ามาน่ะแม่”
พูดจบก็โดนแม่เขกหัวเป๊ก
“ทีหลังห้ามไปแอบดูผู้ชายบ้านนั้นอีก มันไม่ใช่พฤติกรรมของพวกกุลสตรีและผู้ดีอย่างเราๆ”
จังหวะนั้นในทีวีกำลังฉายคอนเสิร์ตของนักร้องเกาหลี แก้วกัลยาเผลอกรี๊ดกร๊าดเสียงดังลั่น ด้วยอารมณ์คลั่งไคล้
หญิงเล็กแอบเบ้ปาก “แหม่ กุลสตรีฝุดๆ”
ขาดคำก็โดนแม่เขกหัวอีกเป๊ก
ตี๋ใหญ่เปิดฝาซึ้งที่ใช้นึ่งหมั่นโถว พลางมองด้วยสายตาเคลิบเคลิ้ม ภาพหมั่นโถวกลายเป็นหน้าของหญิงใหญ่แทนที่
“ขาว สวย หน้าตาดี”
อยู่ดีๆ หญิงเล็กก็มาโผล่มาข้างหน้าตี๋ใหญ่ แล้วก็หยิบหมั่นโถวมาเป่าก่อนจะเอาเข้าปาก
“หมายถึงหมั่นโถวน่ะเหรอ”
ตี๋ใหญ่พยักหน้าแบบส่งๆ “ อืม แล้วคิดว่าหมายถึงอะไรล่ะ”
หมวยเล็กกระทุ้งเอวพี่ชายแบบหยอกๆ
“ก็ผู้หญิงสวยบ้านนั้น คนที่เฮียกำลังคิดถึงอยู่นี่ไงล่ะ”
หมวยเล็กพูดจบก็เดินถือจานใส่หมั่นโถวไปกิน ตี๋ใหญ่ยิ้มเขิน
ทางด้านตี๋เล็กกำลังยืนเคี่ยวน้ำซุปอยู่ในครัวอย่างตั้งใจ ขณะที่เฮงยืนดูด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
“อั๊วไม่เข้าใจอาเฮียของลื้อเลยจริงๆ อั๊วอุตส่าห์สร้างร้านมางกๆ หวังให้อีขึ้นเป็นเถ้าแก่ร้านคนต่อไป แต่อีดันอยากจะไปทำงานเป็นลูกจ้างเค้า”
ตี๋เล็กที่ยืนเคี่ยวน้ำซุปอยู่ กระแทกทัพพีอย่างแรง
“อั๊วเบื่อ เมื่อไหร่เตี่ยจะเลิกพูดถึงเรื่องนี้สักที ยังไงอั๊วก็ไม่ได้ขึ้นเป็นเถ้าแก่ร้านจนกว่าเฮียจะตายก่อน”
เฮงชักสีหน้าไม่พอใจ “แล้วอยู่ดีๆ ลื้อจะไปแช่งอาตี๋ใหญ่ทำไมวะ”
“อั๊วเปล่าแช่ง อั๊วแค่พูดความจริง”
เฮงมองไปที่หม้อต้มซุป พยายามไม่สนใจท่าทางของตี๋เล็ก
“น้ำซุปได้ที่แล้ว ตักขึ้นมาได้เลย”
ตี๋เล็กตักน้ำซุปใส่ชามใบใหญ่ สีหน้าเซ็งๆ
หญิงใหญ่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องทำงานของพนักงานฝ่ายขาย เพราะรู้ตัวว่ามาสายมากแล้ว จากนั้นก็นั่งลงที่โต๊ะทำงาน ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับโต๊ะของภรณีเพื่อนสนิท
“แกมาสายไป 30 นาที 30 วินาที แหม ตั้งแต่ที่แกไม่มีราชรถขับมาส่งเนี่ย รู้สึกว่าแกจะมาสายขึ้นเยอะเลยนะ”
หญิงใหญ่ทำหน้าเมื่อย “ช่วงนี้แม่กำลังจะเปิดร้านอาหารน่ะ ฉันเลยต้องอยู่ช่วย”
“ต๊าย! เดี๋ยวนี้ลูกคุณหนูอย่างแกตกอับขนาดต้องมาขายอาหารเลยเหรอเนี่ย เดี๋ยวอีกหน่อยแกก็ต้องเป็นเด็กเสิร์ฟ แล้วฉันก็จะต้องมีเพื่อนเป็นเด็กเสิร์ฟ โอ้ว รับไม่ได้”
ภรณีจีบปากจีบคอพูด หญิงใหญ่ยิ้มขำ
“มากไปล่ะ
“อ้าวเหรอ เออนี่ เห็นคนเค้าเม้าท์กันให้แซ่ดเลยว่าผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขายคนใหม่หล่อโฮก ฉันต้องไปส่องหน่อยล่ะ”
หญิงใหญ่มองเพื่อนค้อนๆ “แหม เวลาทำงานนี่กระตือรือร้นอย่างนี้ป่ะ”
“เหอะน่า แกไปแอบดูเค้าเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
หญิงใหญ่ส่ายหัวดิก “โอ๊ย ไม่เอาด้วยหรอก ไปแอบดูผู้ชาย น่าเกลียดจะตาย”
“ย่ะ แม่ผู้ดี ฉันไปคนเดียวก็ได้ ไม่เห็นง้อเลย”
พูดจบภรณีก็วิ่งปรู๊ดออกไปทันที
ภรณีมายืนดักรอผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขายคนใหม่ถึงที่หน้าห้อง จังหวะที่กระเถิบตัวห่างออกมา บังเอิญไปชนแฟ้มบนโต๊ะทำงานของพนักงานหญิงคนหนึ่งจนหล่นลงมากระจัดกระจายที่พื้น
ตี๋ใหญ่เดินเข้ามาเห็นพอดี จึงก้มลงช่วยเก็บแฟ้มให้
“อุ๊ย ไม่เป็นไรค่ะผู้ช่วย เดี๋ยวดิฉันเก็บเองดีกว่าค่ะ”
“ ไม่เป็นไรครับ ช่วยกันดีกว่า”
ภรณีหูผึ่งทันที ที่ได้รู้ว่าตี๋ใหญ่คือผู้ช่วยผู้จัดการตัวจริง แล้วก็รีบหยิบกล้องไอโฟนขึ้นมาถ่ายรูปไว้ทุกอิริยาบถ
“โอ้ว มายก็อด! ผู้ชายอะไรหล่อแล้วยังแมนโคตรๆ”
จากนั้นก็เดินย้อนกลับไปที่ห้องทำงาน พลางเปิดรูปในไอโฟนให้หญิงใหญ่ดู
“เป็นไงล่ะ หล่อจนพูดไม่ออกเลยล่ะสิ”
หญิงใหญ่สไลด์รูปในไอโฟน เห็นแต่รูปที่ตี๋ใหญ่ก้มอยู่ ไม่เห็นหน้าเลยสักรูป
“ณี แกบ้าหรือเปล่าเนี่ย รูปที่แกถ่ายมามีแต่รูปที่เค้ากำลังก้มทั้งนั้นเลย”
“อ้าว ก็ตอนนั้นเค้าก้มลงไปเก็บแฟ้มอยู่นี่นา แล้วอีกอย่าง ฉันอยากให้แกได้ไปเห็น ‘สุดหล่อ’ แบบตัวเป็นๆ มากกว่า ตี๋หล่อแบบนี้ สเปคฉันเลย ว่าแต่แกเหอะ อย่ามาแย่งฉันก็แล้วกัน”
หญิงใหญ่รีบบอก “ฉันไม่อยากมีแฟนเป็นคนจีน ไม่อยากมีปัญหากับแม่”
“จ้ะแม่ผู้ดี แม่สวยเลือกได้ เจ้าบ่าวของแกคงจะต้องเป็นพวกคุณชายจากวังใดวังหนึ่งเท่านั้นละมั้ง”
หญิงใหญ่หัวเราะขำ
“วันนี้ก็ว่าจะไปหาผู้ชายแถววังบูรพาน่ะ ถ้าไม่เจอก็จะไปแถววังหิน ถ้าไม่เจออีกก็นั่งรถทัวร์ไปอุดรเลย”
“วังไรยะ”
“วังสามหมอ”
ภรณีทำหน้าเซ็งมุกฝืดๆ ของหญิงใหญ่
“ แฮ่ ไปเล่นร้านหมูกระทะไป”
แก้วกัลยารื้อกระเป๋าเดินทางเพื่อนำข้าวของมาจัดวางไว้ในห้องเป็นการชั่วคราว ส่วนหญิงเล็กเอาแต่นั่งนิ่งไม่ยอมช่วยจัดของ แถมทำหน้าง้องแง้ง งอแง เอาแต่ใจ
“ไม่รู้จะรีบย้ายเข้ามาอยู่ทำไม โต๊ะ ตู้ เตียงอะไร ก็ยังไม่มีสักอย่าง”
“เฟอร์นิเจอร์แม่กำลังสั่งอยู่จ้ะ ตอนนี้เราก็นอนรวมๆ กันไปก่อน”
หญิงเล็กทำหน้างอ “ทำไมเราถึงต้องมาอยู่รวมกันในบ้านคับแคบแบบนี้”
แก้วกัลยาหยุดจัดของ แล้วมาลูบไหล่ปลอบโยนลูกสาว
“ตอนนี้เราไม่มีเงินเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แม่เหลือเงินอยู่แค่ก้อนเดียว เราต้องใช้จ่ายกันประหยัดขึ้นนะลูก บ้านก็ต้องเป็นทั้งบ้านและร้านขายอาหาร เราถึงจะอยู่รอดได้”
หญิงเล็กทำหน้าเซ็ง ส่วนแก้วกัลยาทำหน้าเครียด
ตี๋เล็กชี้ให้เฮงดูที่หน้าต่าง เห็นชายเล็กกำลังถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เข้าไปในบ้านของแก้วกัลยา
“มันจะรีบย้ายเข้ามาอยู่ทำไมเนี่ย สงสัยจะอยากอยู่มาก เอาล่ะ ไหนๆ เพื่อนบ้านก็ย้ายเข้ามาอยู่ทั้งที อั๊วก็ต้องไปต้อนรับซะหน่อย”
เฮงพูดอย่างหมั่นไส้
“จัดชุดใหญ่เลยนะเตี่ย”
หญิงเล็กนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ ขณะที่แก้วกัลยาหันไปบอก
“หญิงเล็ก ช่วยไปล็อกประตูรั้วให้แม่หน่อยสิจ๊ะ”
“แต่หนูกำลังไลน์คุยกับเพื่อนอยู่นะแม่”
แก้วกัลยาทำเสียงเข้ม
“หญิงเล็ก งานเล็กๆ น้อยๆ ก็ช่วยแบ่งเบาภาระแม่ บ้างเถอะลูก”
หญิงเล็กลุกขึ้นเดินออกไปด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด
ตี๋ใหญ่ที่อยู่ในห้องนอน กำลังถอดเนคไทออกจากเสื้อเชิ้ต ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงซอดังแว่วมา จึงเดินไปเปิดผ้าม่านดู แล้วก็เห็นหญิงใหญ่กำลังยืนสีซออยู่ที่ระเบียงห้องนอนของเธอ
ตี๋ใหญ่เคลิ้มเมื่อได้ยินเสียงซอเพลงบุหลันลอยเลื่อนอันไพเราะ จู่ๆ ก็มีเสียงกรี๊ดดังขึ้นมา
ตี๋ใหญ่กับหญิงใหญ่มองหน้ากันอย่างตกใจ
ตี๋เล็กที่ใส่หน้ากากผี สวมวิกผมยาว ใส่ชุดสีขาวยาวลากพื้น ยืนห่างจากหญิงเล็กมากพอควร พอเห็นว่าหญิงเล็กร้องกรี๊ดกร๊าดและวิ่งหนีไป ก็ยิ่งได้ใจ รีบวิ่งไล่ตามไป แต่วิ่งตามมาได้สักระยะ หญิงเล็กกลับหายไป
ตี๋เล็กหยุดอยู่กับที่ แล้วหันซ้ายหันขวา
“หายไปไหนแล้ววะ เร็วจัง”
จังหวะที่ตี๋เล็กไม่ทันได้ระวังตัว ก็ถูกหญิงเล็กต่อยเข้าที่หน้าอย่างจัง ก่อนจะกระชากหน้ากากยางออกมา
“ ไอ้ตี๋บ้า แกคิดว่าฉันกลัวแกจริงๆ หรือไง ที่ฉันกรี๊ดก็เพราะจะเรียกให้แมjมาจัดการกับเตี่ยแกต่างหากล่ะ”
ตี๋เล็กอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง
ในเวลาเดียวกันนั่นเอง แก้วกัลยาก็รีบวิ่งออกมาที่สนามหญ้าเพราะได้ยินเสียงหญิงเล็กกรี๊ด ทำให้ได้เจอกับเฮงที่ใส่หน้ากากผี ใส่วิกผมยาว ใส่ชุดสีขาวยาวลากพื้นเหมือนกับลูกชาย
แก้วกัลยาหยิบลูกบอลของชายเล็กที่ซ่อนอยู่ข้างหลังมาเขวี้ยงใส่หัวของเฮงได้อย่างพอดิบพอดี
เฮงมึนไปเล็กน้อย แต่พอจะขยับตัวหนี ก็ดันเหยียบชายผ้าสีขาวที่ยาวลากพื้นของตัวเองจนสะดุดล้มลง จังหวะที่พยายามพยุงตัวขึ้น หลังก็ไปชนกับหลังของตี๋เล็กที่ถูกต้อนจนมาจนมุมเหมือนกัน
เตี่ยกับลูกชายหันมองหน้ากันอย่างอายๆ จู่ๆ แก้วกัลยากับหญิงเล็กก็เดินถอยออกไป พร้อมกับที่ หญิงใหญ่เปิดหน้าต่างออกมาเทน้ำใส่เฮงกับตี๋เล็กที่อยู่บนสนามหญ้าจนทั้งสองเปียกโชกไปหมดทั้งตัว
หญิงเล็กรีบเดินหยิบถ้วยกระเบื้องมาให้ แก้วกัลยาแกล้งทำท่าจะเขวี้ยงใส่ เฮงกับตี๋เล็กรีบวิ่งหนีออกมาแบบไม่คิดชีวิต ระหว่างที่วิ่ง ก็สลัดหน้ากาก วิกผม กระชากชุดขาวออกไปให้หมด
ตี๋เล็กรีบปีนประตูรั้วหนี พร้อมกับเสียงของเฮงที่ตะโกนเร่ง
“ปีนรั้วเร็วๆ สิอาตี๋เล็ก ลื้ออยากหัวแตกหรือไงล่ะ”
ตี๋เล็กปีนรั้วข้ามไปก่อน แล้วไปยืนรอรับเตี่ยที่ประตูรั้วอีกฝั่ง เฮงปีนรั้วลงมาอย่างทุลักทุเล
แก้วกัลยา หญิงเล็ก ตามมายืนดูด้วยความสะใจ
“ ไปเอาแอลกอฮอล์มาเทราดประตูรั้วด้วยนะ จะได้ล้างคราบสิ่งสกปรกปฏิกูลออกไปให้หมด”
แก้วกัลยาตะโกนไล่หลัง
เตี่ยกับลูกชายยืนพิงประตูรั้วฝั่งของตัวเองอย่างหมดแรง หายใจหอบแฮ่กๆ เฮงยัดยาดมทั้งแท่งเข้าไปในรูจมูก
“อีผู้ดีบ้านนั้นมันร้ายไม่เบา ครั้งหน้าพวกมันเจอหนักกว่านี้แน่”
“คนพวกนั้นเอะอะก็เขวี้ยง เอะอะก็เขวี้ยง แล้วบอกว่าตัวเองเป็นผู้ดี”
เฮงพูดด้วยความเจ็บใจ “ ก็ผู้ดีวังทองหลางน่ะสิ”
“เพราะเตี่ยคนเดียวเลย อั๊วเลยต้องพลอยเจ็บตัว”
“อ้าว ไหงลื้อมาโบ้ยความผิดให้อั๊วอย่างนั้นล่ะ ไอ้แผนหลอกผีเนี่ย มันความคิดของลื้อไม่ใช่เหรอ”
เตี่ยกับลูกชายยืนหันหน้าเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
“อั๊วเป็นคนคิด แต่เตี่ยเป็นคนบังคับให้อั๊วแต่งเป็นผีด้วย”
“อั๊วไม่ได้บังคับ ลื้ออยากไปเอง ศัตรูของเรามันไม่ใช่ไก่กาอย่างที่เราคิด ลงมือครั้งต่อไปต้องจัดให้หนักกว่านี้”
เฮงทำหน้าครุ่นคิด
แก้วกัลยาเรียกประชุมลุกๆ ทุกคนด้วยสีหน้าเครียด
“จำไว้นะทุกคน ไอ้พวกหน้างิ้วมันเดินหมากแรกแล้ว พวกมันต้องทำทุกวิถีทางให้เราอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นพวกเราต้องตั้งหลักให้มั่น ไล่ยังไงก็ไม่สน ไล่ยังไงก็ไม่ไป”
หญิงเล็กทำหน้างง “ฟังดูเราหน้าด้านยังไงก็ไม่รู้สินะ”
“เราไม่ได้หน้าด้าน เราแค่หลังชนฝา ทางเดียวที่จะชนะก็คือ ลุกขึ้นสู้”
“แล้วเราต้องทำยังไงเหรอคะคุณแม่” หญิงใหญ่หันมาถามแม่
“ทำทุกอย่างให้มันเลิกยุ่งกับเรา นับแต่คืนนี้เป็นต้นไป แม่ขอประกาศเปิดศึกอย่างเป็นทางการ” สีหน้าของทุกคนสีหน้ามุ่งมั่น เอาจริง
อ่านต่อตอนที่ 2