xs
xsm
sm
md
lg

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 9

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 9

นิรชาและปารณนั่งคุยกันในสวนสาธารณะ นิรชายิ้มด้วยความเต็มใจมาก
 
“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันจะช่วยคุณน่านเอง”
ปารณกังวลนิดๆ
“แต่มันอาจจะเสี่ยงหน่อยนะ”
“คงไม่มีอะไรเสี่ยงไปกว่าการทำงานให้นายสุกิจหรอกค่ะ แต่นี่ฉันถือว่า ฉันอยากตอบแทนอะไรคุณบ้าง เพราะเพื่อนคุณกำลังเดือดร้อน”
“แน่ใจนะว่าเธอจะทำจริงๆ”
“ค่ะ”
“งั้นก็ขอบใจเธอมากนะ แต่เธอไม่ต้องห่วง ฉันไม่ยอมให้เธอเสี่ยงอันตรายหรอก ฉันจะคอยดูแลเธอเอง”
นิรชาสบตาปารณซึ้งๆ สักพักทั้งสองรู้ตัวก็ทำหน้าเขินๆ
“เอ่อ แล้วคุณจะให้ฉันเริ่มงานเมื่อไหร่คะ”
ปารณอ้าปากจะตอบแต่แล้วเสียงมือถือนิรชาก็ดังขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู
“นายภูริช”

ตอนค่ำ น่านฟ้าขับรถมาส่งมัศยาที่หน้าบ้าน
“พรุ่งนี้เจอกันนะเจ๊ เดี๋ยวผมมารับ”
มัศยาพยักหน้ารับ พยายามจะปลดเข็มขัดนิรภัยออก แต่ปวดแขน น่านฟ้าเห็นเข้าเอื้อมไปปลดออกให้ ทำให้ทั้งสองใกล้ชิดกันมาก มัศยาเขินหน้าแดง
“ยังเจ็บแขนอยู่เหรอเจ๊”
“ฉันเจ็บไม่เท่าคุณหรอก รีบกลับบ้านไปพักเถอะคุณน่าน”
“ได้คร้าบ”
น่านฟ้ายิ้มให้มัศยากวนๆ มัศยารีบเปิดประตูออกไป
“เดินดีๆ นะครับเจ๊ ผมเป็นห่วง”
มัศยาหันมาค้อนแล้วเดินเข้าบ้านไป น่านฟ้ามองตามหลังยิ้มๆ แล้วโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล ว่าไงวะเป้”
น่านฟ้าฟังปลายสายแล้วเครียดขึ้นมาทันที

ปารณหลบซุ่มอยู่หน้าร้าน น่านฟ้าเดินเข้ามา
“อะไรของแกวะเป้”
“ชู่ว เฉยๆ เถอะน่า ฉันกำลังจัดการเรื่องของแกอยู่”
น่านฟ้าชะงักแปลกใจ
“ทำไงวะ”
“เอางี้ เดี๋ยวแกทำตามที่ฉันบอกแล้วกัน แต่ห้ามทำเกินที่ฉันพูด เข้าใจมั้ย”
น่านฟ้างงๆ

นิรชาและภูริชนั่งคุยกันในร้านอาหาร ภูริชไม่ค่อยไว้ใจนิรชานัก
“เมื่อคืนนั้นเธอหายไปไหน”
“ฉันกลัวคุณปล้ำฉันก็เลยหนีไปน่ะสิ”
ภูริชแปลกใจกว่าเดิม
“ถ้าเธอกลัวฉันปล้ำจริงๆ แล้ววันนี้เธอมาทำไม”
“ฉันอยากขอเบิกเงินงวดสุดท้าย”
“หึ เธอกล้ามากเลยนะที่พูดคำนี้ ทั้งที่เธอทำงานไม่ได้เรื่อง ยังจะมีหน้ามาเบิกเงินอีกเหรอ”
“ใครว่าฉันทำไม่สำเร็จล่ะคะ”
ทันใดนั้น น่านฟ้าก็เดินยิ้มร่าเข้ามา
“น้องนิ้ม รอนานมั้ยคะ”
นิรชายิ้มหวานให้น่านฟ้า
“ไม่นานค่ะ พอดีบังเอิญเจอคุณภูริชก็เลยคุยฆ่าเวลา”
“ฆ่าเวลา ฆาตรกรชัดๆ ฮ่าๆๆ มุกนี้ขำมั้ย”
นิรชาทำเป็นหัวเราะ ภูริชมองทั้งสองคนอย่างแปลกใจ
“เห็นคุณน่านกำลังเครียด ไม่คิดว่าจะมีเวลาออกมาลั้ลลาได้”
“ใครบอกคุณภูริชว่าผมเครียด ผมน่ะชิลจะตาย จริงมั้ยคะน้องนิ้ม”
นิรชาหันมายิ้มรับหน้าตาเฉย
“งั้นผมขอตัวพาน้องนิ้มไปต่อนะครับ เป็นอันรู้กันนะครับคุณภูริช”
นิรชาแกล้งตีแขนน่านฟ้าเขินๆ
“คุณน่านอ่ะ”
“แหม ไม่ต้องอายหรอกค่ะ คุณภูริชเขามีภรรยาแล้ว เรื่องแบบนี้น่ะธรรมดาจะตาย จริงมั้ยครับ”

ภูริชยิ้มรับเจื่อนๆ น่านฟ้าเดินโอบนิรชาออกไป หัวเราะร่าเริงมาก ภูริชมองตาม หึงนิดๆ

น่านฟ้าเดินโอบนิรชาออกมาหน้าร้านอาหาร ปารณโผล่พรวดเข้ามา ตีแขนน่านฟ้าอย่างหมั่นไส้
 
“มือน่ะ พอได้แล้วไอ้ปลาหมึก”
น่านฟ้าปล่อยมือจากไหล่นิรชา
“แหม นิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นหวงนะ”
ปารณและนิรชาเขินๆ ทำหน้าไม่ถูก
“อ่ะ หลังจากทำให้นายภูริชตายใจ และคงคาบข่าวไปบอกอาสุกิจแล้ว แกว่ามันจะเป็นไงต่อ”
“มันก็จะเป็นโอกาสที่แกจะเดินหน้างานแก ส่วนนิรชาก็จะเป็นที่ไว้ใจมากขึ้น ทีนี้ไม่ว่ามันกระดิกตัวไปทางไหน ก็จะตกอยู่ในหูตาเราตลอด ที่เหลือฉันจัดการให้เอง ไอ้คนที่มันหื่นกามอย่างนายภูริช กับไอ้คนโลภอย่างนายสุกิจ มันต้องเจออย่างไอ้เป้นี่”
ปารณยิ้มร้าย

ปารณและนิรชาเดินคุยกันมาตามซอยชุมชนแออัด นิรชากอดไหล่ตัวเอง รู้สึกหนาว ปารณสังเกตเห็นก็ถอดเสื้อนอกออก
“เดี๋ยว”
นิรชาชะงักหยุดเดิน ปารณเอาเสื้อนอกคลุมให้
“จะถึงบ้านฉันอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“ฉันไม่ได้มองว่าเธอจะหนาว แต่ฉันมองว่ามันโป๊ เกิดคนแถวนี้เห็นเธอแต่งตัวแบบนี้ มันอันตราย”
“ก็ไหนคุณบอกว่าจะดูแลฉันไง”
ปารณชะงักรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“ฉันดูแลเธอได้ แต่ไม่ได้ตลอดเวลานี่ อย่าดื้อสิ ฉันเป็นห่วงรู้มั้ย”
สองคนสบตากันซึ้งๆ นิรชารู้ตัวก็รีบเดินนำไปทันที ปารณมองตามยิ้มๆ รู้สึกดี

คืนนั้น น่านฟ้านอนหนุนแขนตัวเอง พลางนึกถึงตอนที่เขากอดเอวมัศยาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ น่านฟ้าขำออกมา ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ดัง เขาชะงัก กดรับ
“ฮัลโหล”
แอนนาใส่ชุดนอน คุยโทรศัพท์อยู่บนเตียง
“ใจร้ายมากเลยนะคะน่าน แอนโทรหาทั้งวันไม่โทรกลับเลย”
น่านฟ้าหน้าเจื่อน
“ขอโทษทีแอน วันนี้ผมยุ่งมากเลย นี่ก็เพิ่งจะกลับถึงบ้าน”
“ยุ่งกับยัยป้าผู้ช่วยคุณน่ะเหรอ”
น่านฟ้าได้ยินก็ออกอาการไม่พอใจ
“เขาชื่อมัศยา แอนควรจะเรียกเขาอย่างให้เกียรติหน่อยนะ”
แอนนาหน้าเจื่อน รีบตัดบท
“แอนขอโทษค่ะ ไม่คิดว่าคุณจะเดือดร้อนขนาดนี้ อ่อ วันนี้แอนไปหาคุณที่ออฟฟิศด้วยนะคะ ได้คุยกับแม่ใหญ่คุณตั้งนาน ดูเหมือนท่านจะไม่ปลื้มแอนเท่าไหร่ แต่แอนไม่สนใจหรอกค่ะ แอนแคร์แค่คุณเท่านั้น”
น่านฟ้าขมวดคิ้วไม่ค่อยพอใจ
“ตกลงแอนมีธุระอะไรรึเปล่าครับ ผมง่วงแล้วล่ะ”
แอนนาชะงักรีบตื๊อทันที
“อย่าเพิ่งรีบวางสิคะ แอนมีอีกเรื่องอยากบอกคุณด้วย วันนี้แอนเห็นคนยืนคุยกันเรื่องที่เขาปั่นหัวพนักงานให้ออกมาประท้วงขับไล่คุณ คุณรู้เรื่องนี้มั้ยคะ”

ตอนเช้า น่านฟ้าและมัศยาช่วยกันทอดข้าวเกรียบในบ้านป้ามะลิ พลางคุยกันไปด้วย
“นึกแล้วไม่มีผิดว่าต้องเป็นฝีมือของนายสุกิจ กับนายภูริช”
“ผมเองก็เดาไว้แล้วล่ะ แต่ก็แอบเซ็งนะเจ๊ ไอ้เรารึอุตส่าห์พยายามทำให้มีโชคดีขึ้น นี่กลับพยายามทำให้มีโชคแย่ลง”
ป้ามะลิยกตะไคร้ ดอกอัญชัญ เข้ามากองใหญ่ พลางพูดไปด้วย
“ไม่เห็นจะแปลก ข้าเคยทำงานให้ที่นี่ แค่มองหน้าไอ้สุกิจข้าก็เห็นทะลุจนถึงหูรูดมันแล้ว”
น่านฟ้ากับมัศยาชะงักแปลกใจ
“นี่ป้าก็รู้จักอาสุกิจดีเหรอครับ”
“แหงล่ะ ข้าก็พนักงานเก่าที่นั่นเหมือนกันนี่หว่า แต่ข้าไม่ชอบระบบตอกบัตร มันไม่อิสระ ข้าถึงได้มาเป็นแม่ค้าข้าวเกรียบฟรีแลนซ์นี่ไงวะ”
น่านฟ้ากับมัศยาหัวเราะ
“โอ้โห ใช้คำทันสมัยด้วยนะ”
มัศยามองดอกอัญชัญและตะไคร้อย่างสนใจ
“แล้วนี่ ป้าเอาดอกอัญชัญกับตะไคร้มาทำอะไรเหรอคะ”
“เอ้า ก็หมาตัวไหนมันบอกให้ข้าช่วยคิดสูตรให้ล่ะ เหลือเวลาอีกเดือนเดียวเองไม่ใช่เหรอ ข้าเลยจะช่วยไงวะ”
น่านฟ้าและมัศยาดีใจมาก
“ว่าไงนะครับ ตกลงป้าจะช่วยผมคิดสูตรข้าวเกรียบแล้วใช่มั้ยครับ”
“ถามมากข้าเปลี่ยนใจจริงๆ ด้วย”
น่านฟ้าโผเข้ากอดป้ามะลิแน่น
“ผมไม่ยอมให้ป้าเปลี่ยนใจแน่ๆ ขอบคุณนะครับป้า”

มัศยายิ้มดีใจไปด้วย

สุกิจคุยกับภูริชในห้องทำงานด้วยความแปลกใจ
 
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ในขณะที่มันติดเด็กเราอยู่ มันยังจะมีเวลาไปคิดไอ้ข้าวเกรียบบ้านั่นได้อีก”
“ถ้านิรชาทำงานได้ตามที่เราสั่งจริงๆ งั้นก็หมายความว่า ข้าวเกรียบรสใหม่ที่ประธานคิดได้ จริงๆแล้วอาจจะมาจากคนอื่นที่ช่วยก็ได้”
“นายพอจะรู้มั้ยว่าใคร”
“มีคนเดียวนั่นแหละครับ”
“งั้นเราก็ตัดไฟแต่ต้นลม ท่าทางคราวที่แล้วนังป้านั่นจะไม่เข็ด งานนี้ก็จัดหนักไปเลยแล้วกัน”
“ครับคุณสุกิจ”
สุกิจสีหน้าเหี้ยมเกรียม

น่านฟ้ากับมัศยาเดินคุยกันมาที่รถซึ่งจอดอยู่หน้าบ้านป้ามะลิ
“สงสัยผมคงต้องไปเก็บเสื้อผ้ามาอยู่กับป้ามะลิสักพัก จะได้ซุ่มทำสูตรข้าวเกรียบใหม่กับแก เจ๊มานอนกับผมนะ”
มัศยาชะงักมองน่านฟ้าเหล่ๆ
“ผมหมายถึง มานอนบ้านป้ามะลิ ช่วยกันทำข้าวเกรียบไง”
“แล้วไป นึกว่าจะคิดอกุศลกับฉัน”
น่านฟ้าหัวเราะ
“เจ๊นี่ ไม่น่าเชื่อเลยนะว่ามีแฟน ผู้หญิงอะไรแค่ลวนลามทางคำพูดยังโกรธขนาดนี้ ถ้าขืนลวนลามทางร่างกายไม่โดนเจ๊หักคอทิ้งเลยเหรอ”
“รู้ไว้ก็ดี จะได้ไม่ทำ”
น่านฟ้าส่ายหน้า ทันใดนั้นโทรศัพท์น่านฟ้าดัง เขากดรับ
“ฮัลโหล”
“ผมโทรมาทวงหนี้ของนายนที”
น่านฟ้าชะงัก สีหน้าเปลี่ยนเป็นเครียดขึ้นมาทันที
“ได้ๆ เดี๋ยวเจอกัน”
น่านฟ้าทำเป็นคุยกับมัศยาอย่างร่าเริง
“หญิงโทรตามอ่ะเจ๊ งั้นผมไปส่งเจ๊ที่บ้านเลยนะ”
มัศยาหมั่นไส้
“ไม่เป็นไร ฉันกลับเองได้ คุณรีบไปหาน้องๆ หนูๆ คุณเถอะ”
“งั้นเจ๊รับปากผมก่อนว่าจะไม่หึง”
มัศยาทำหน้ายักษ์ใส่น่านฟ้า
“โอเคๆ ไม่พูดเล่นก็ได้”
น่านฟ้าเปิดประตูรถทันที สีหน้าเปลี่ยนเป็นกังวล

ปารณคุยโทรศัพท์หน้าเครียด
“ได้ๆ เดี๋ยวฉันตามไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ปารณกดวางสายครุ่นคิด

น่านฟ้ายื่นเงินปึกหนึ่งให้กับคนร้ายไป ขณะที่คนร้ายกำลังจะรับปาก น่านฟ้าก็ดึงไว้ก่อน
“เดี๋ยว ไหนล่ะสัญญากู้ยืม เอามาให้ฉันด้วย”
คนร้ายมองหน้ากัน แล้วขำ
“ฮ่าๆๆ หนี้พนันบอล ใครเขาเขียนเป็นสัญญาให้โดนจับได้บ้างวะ”
“แล้วจะบอกให้นะว่า เพื่อนพี่น่ะ เพิ่งเสียให้เฮียเขาเพิ่มอีกเมื่อวานนี้เอง”
น่านฟ้าได้ยินก็ไม่พอใจ
“ว่าไงวะ นายนทีเอาเงินไปพนันบอลอีกแล้วเหรอ”
“ใช่ เล่นหนักซะด้วย เตรียมตัวหาเงินก้อนต่อไปมาใช้หนี้แทนมันได้เลย”
“ขอบใจที่บอกนะ งั้นไปล่ะ”
น่านฟ้าเดินหันหลังออกไป แต่คนร้ายเรียกไว้
“เดี๋ยว คิดว่าจะไปได้ง่ายๆ เหรอ”
คนร้ายเข้าไปล็อคตัวน่านฟ้าไว้ทันที
“จะทำอะไร ฮะ”
“ก็ทำอย่างนี้ยังไงวะ”
คนร้ายต่อยท้องน่านฟ้าจนตัวงอ แต่แล้วเสียงของปารณก็ดังขึ้น
“เฮ้ย ทำอะไรวะ”
ปารณปราดเข้าไปกระโดดถีบคนร้ายทันที ทั้งเตะทั้งต่อยไม้ยั้ง น่านฟ้าตั้งหลักได้ ก็เตะต่อยคืนบ้าง รปภ.วิ่งเข้ามา เป่านกหวีด คนร้ายหน้าเสีย

น่านฟ้ากับปารณเดินคุยกันออกมาจากโรงพัก
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ แกนี่ก็ชักช้าจริงๆ ดีนะฉันไม่ถูกพวกมันฆ่าชิงทรัพย์ไปซะก่อน”
“ก็รถมันติดนี่หว่า ฉันก็ไม่คิดว่าแกจะรีบไปหาพวกมันเร็วขนาดนี้ แทนที่จะวางแผนให้รัดกุมซะก่อน”
“ก็ฉันกลัวเจ๊โหดจะรู้ เลยรีบรับปากมันสิวะ”
ปารณถอนหายใจ
“คำก็เจ๊โหด สองคำก็เจ๊โหด แกนี่เป็นเอามากนะไอ้น่าน”
“หยุด ถ้าจะแซวเก็บปากไว้เลยไอ้เป้ ฉันไม่อยากอารมณ์เสีย”
“คร้าบ คุณมิสเตอร์คิน กลัวแล้วคร้าบ แล้วนี่ตกลงแกจะยกหนี้ให้นายนทีจริงๆ เหรอวะ”
“ไม่งั้นแกจะให้ฉันไปทวงกับใครวะ ลูกเขารึไง”
น่านฟ้าส่ายหน้าเดินออกไป ปารณหมั่นไส้มาก

“ไอ้ปากแข็งเอ๊ย”

ตอนกลางคืน ป้ามะลินอนดูละครหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ทาหน้าขาวจั๊ว เสียงบางอย่างดังออกมาจากหน้าประตูบ้าน ป้ามะลิชะงักแปลกใจ ลุกไปที่ประตู
 
“ใครวะ ไอ้หนุ่มเรอะ”
ป้ามะลิงงๆ เดินกลับเข้ามาในบ้าน แต่แล้วก็มีมือๆ หนึ่งมาปิดปากป้ามะลิไว้ เธอตกใจพยายามดิ้นสู้ แต่ก็สู้แรงคนร้ายที่ใส่หมวกอำพรางหน้าไว้ไม่ได้
เวลาเดียวกันนั้น รถน่านฟ้าแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านป้ามะลิ เขาสะพายกระเป๋าเสื้อผ้าลงจากรถ ผิวปากอย่างอารมณ์ดี เห็นประตูรั้วเปิดอยู่ก็ชะงักแปลกใจ
“แปลกแฮะ ทำไมวันนี้ป้าแกเปิดประตูรอเลย”
น่านฟ้าเดินเข้าไปในบ้าน เห็นทีวีเปิดอยู่ก็กวาดตามองหา
“ป้าครับ ผมมาแล้วครับ”
ไม่มีเสียงตอบกลับ น่านฟ้าแปลกใจมาก
“ป้ามะลิครับ”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงของตกแตกดังออกมาจากในครัว น่านฟ้าชะงักแปลกใจ เสียงป้ามะลิตะโกนลั่น
“ช่วยด้วยโว้ย”
น่านฟ้าชะงัก ตกใจมาก

ป้ามะลิถูกคนร้ายยื้อยุดฉุดกระชากตัวออกมา ป้ามะลิกอดเสาแน่นไม่ยอมไป พลางตะโกนไปด้วย
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
คนร้ายพยายามดึงป้ามะลิออกจากเสา
“ปล่อยนะอีแก่”
ป้ามะลิกอดเสาแน่น
“ไม่โว้ย ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น ปล่อยข้านะไอ้เวรตะไล”
น่านฟ้าพรวดพราดเข้ามา เห็นเข้าก็ตกใจ
“ป้า หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
คนร้ายเห็นน่านฟ้าก็ชะงัก ปล่อยป้ามะลิ แล้วใช้มีดขู่น่านฟ้า
“แส่หาเรื่องนักเหรอ”
น่านฟ้าหันซ้ายหันขวาเจอตะหลิวก็เอามาขู่บ้าง แต่พอมองสภาพแล้วไม่น่าจะไหว ก็หันไปคว้าสากมาแทน
“เอาสิวะ ใครทำร้ายป้ามะลิ เจอดีแน่”
คนร้ายปราดเข้าไปจะแทงน่านฟ้า ป้ามะลิคว้าครกมาฟาดหัวคนร้ายจนหน้าคะมำไป คนร้ายอีกคน พุ่งเข้าใส่น่านฟ้า น่านฟ้าจับบิดแขนด้วยท่ามวยปล้ำ
“ลุยเลยครับป้า”
ป้ามะลิได้ที คว้ากระทะได้ก็ฟาดสุดแรง
“โอ๊ยๆๆๆ”
“นี่แน่ๆๆๆ”
คนร้ายฟุบสลบไปทันที น่านฟ้าลุกขึ้นหันมาทางป้ามะลิ
“สงสัยป้าจะอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วครับ ไปกับผมนะ”
ป้ามะลิตกใจ
“ไปไหนวะ”

น่านฟ้าพาป้ามะลิมาที่บ้านมัศยา สมใจกุมมือป้ามะลิด้วยความเป็นห่วงโดยมีนะดีนั่งมองตาแป๋วข้างๆ
“โถ พี่มะลิ ฟาดเคราะห์จริงๆ เลย”
“นี่ไม่ใช่เคราะห์ แต่มันเรียกว่าซวย ซวยเพราะเอ็งเลยไอ้หนุ่ม”
น่านฟ้ายิ้มแหยๆ
“ผมก็นึกไม่ถึงนะครับว่า ป้าจะซวยซ้ำซวยซากแบบนี้”
“ก็ถ้าข้าไม่ไปยุ่งเรื่องข้าวเกรียบของเอ็ง จะต้องมาเจออะไรแบบนี้มั้ย”
น่านฟ้าเข้าไปกอดป้ามะลิ อ้อน
“อย่าเพิ่งโมโหเลยครับ ผมรับรองว่าผมต้องดูแลป้าอย่างดีที่สุดแน่ๆ”
มัศยาหันมาถามด้วยความร้อนใจ
“แล้วนี่จำหน้าคนร้ายได้มั้ยคะป้า”
“มันปิดหน้าไว้น่ะสิ ข้าเลยไม่เห็น แต่ถ้าให้ข้าเดาก็คงไอ้พวกแก๊งเดิมที่เคยลักพาตัวข้านี่แหละ แต่คราวนี้ข้าสู้ เลยฟาดมันไปหลายดอก”
“อย่างนี้ฉันว่าพี่มะลิกลับบ้านไม่ได้แล้วล่ะ เกิดมันกลับมาล้างแค้นจะทำไง”
“แต่นั่นบ้านข้านะเว้ย จะให้ทิ้งบ้านได้ไง”
มัศยาหันไปทางน่านฟ้า ให้คิดหาทาง
“เอาอย่างนี้สิครับ เดี๋ยวผมหาที่อยู่ชั่วคราวให้เอง ส่วนบ้านป้ามะลิ ผมจะส่งคนไปช่วยดูแลให้ แต่ช่วงนี้ป้าอย่าอยู่บ้านเลยนะครับ”
“จริงด้วยค่ะป้า ในเมื่อป้าเดือดร้อนเพราะเขา ก็ควรให้เขาดูแลป้าถึงจะถูก”
“อ้าว นึกว่าเจ๊จะเข้าข้างผมซะอีก”
“ก็มันจริงนี่คุณน่าน คุณเป็นคนทำให้ป้ามะลิต้องโดนทำร้าย คุณก็ต้องรับผิดชอบชีวิตป้าสิ”
“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้วเจ๊ ว่าแต่ป้าล่ะครับ ตกลงจะให้ผมดูแลรึเปล่า”
“ไม่เอา ข้าจะกลับบ้านข้า”
ป้ามะลิลุกพรวดทันที
“เชื่อคุณน่านเถอะพี่มะลิ อย่ากลับไปเลย”
“นั่นสิคะป้า มันอันตรายนะคะ”
“ข้าไม่กลัว ให้มันรู้ไปสิวะว่า มันจะรังแกคนแก่ได้ลงคอ”
ป้ามะลิจะเดินไปให้ได้ แต่แล้วนะดีก็เข้าไปกอดไว้ ป้ามะลิชะงักหันมามองงงๆ
“อะไร ฮะ นังเด็กคนนี้นี่”
“คุณยายอย่าไปเลยนะคะ นะดีเป็นห่วง นะดีขอร้อง”

ป้ามะลิชะงัก ทำหน้าไม่ถูก

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 9 (ต่อ)

น่านฟ้าพาป้ามะลิมาดูบ้านเก่าสองชั้น มีบริเวณ เขาไขกุญแจที่คล้องประตูรั้วเข้าไป ขณะที่มัศยามองอย่างสนใจ
 
“ที่นี่บ้านใครเหรอคะ”
“บ้านแม่ผมเองเจ๊”
น่านฟ้าเปิดประตู
“เข้ามาสิเจ๊”
น่านฟ้าเดินนำมัศยาเข้าไปในบ้าน ผนังบ้านเต็มไปด้วยรูปสุกัญญาสมัยสาวๆ และมีรูปน่านฟ้าตอนเด็กด้วย
“บ้านหลังนี้ตากับยายผมซื้อไว้ให้คนเช่า ตอนหลังก็เลยยกให้แม่ผม แต่แม่ผมเสียดาย กลัวว่ามีคนเช่าเดี๋ยวบ้านจะโทรม ก็เลยปิดไว้เฉยๆ แล้วให้คนมาดูแลทำความสะอาด”
มัศยาเดินมาหยิบรูปน่านฟ้าตอนเด็กมาดู
“นี่ลูกใครเหรอคะ หน้าตาน่ารักเชียว”
“น่ารักงั้นก็รักสิ”
มัศยามองน่านฟ้าเหรอหรา น่านฟ้าขำ ก่อนจะเฉลยให้ฟัง
“รูปผมเองแหละเจ๊”
มัศยาเบ้หน้ารีบวางลงทันที
“ฉันขอถอนคำพูดดีกว่า หรือไม่คุณก็เป็นประเภท หน้าตาไม่น่าโต เพราะโตมาเป็นแบบนี้”
น่านฟ้ากวาดสายตามองรอบๆ อย่างพอใจ
“คุณว่าป้ามะลิจะชอบมั้ย”
“ก็น่าจะชอบนะ ปัญหาคือ แกจะตัดใจทิ้งบ้านมาอยู่ที่นี่ได้รึเปล่าเท่านั้นล่ะ”
น่านฟ้าครุ่นคิด

หลังจากดูบ้านเสร็จ ป้ามะลิยืนกรานเสียงแข็ง
“ข้าบอกแล้วไงว่าข้าจะกลับบ้าน”
สมใจถอนหายใจเซ็งมาก
“พี่มะลิจะกลับได้ไง ก็ที่บ้านพี่มันอันตราย”
“ถึงต้องตายข้าก็จะตายในบ้าน นี่แค่ข้ายอมมาค้างกับเอ็งคืนนึงก็ห่วงบ้านจะแย่แล้ว”
น่านฟ้าและมัศยายืนรอคำตอบอยู่มองหน้ากัน หนักใจ
“ป้าคะ อย่าดื้อเลยค่ะ พวกเราทุกคนเป็นห่วงป้านะคะ”
“มันก็เหมือนที่ข้าเป็นห่วงบ้านนั่นแหละ”
น่านฟ้าหันไปส่งสัญญาณกับนะดี นะดียิ้มรับ เข้าไปนั่งตักป้ามะลิ
“คุณยายขา คุณยายไปอยู่บ้านอาน่านเถอะนะคะ ทุกคนจะได้สบายใจ”
ป้ามะลิถอนหายใจ
“มุกนี้ หลอกยายได้แค่คืนเดียวเท่านั้นแหละ ยังไงยายก็ต้องกลับบ้าน ไม่ต้องตื๊อให้เมื่อยหรอกนังหนู”
น่านฟ้าและมัศยาถอนใจ

น่านฟ้านั่งหมุนปากกาเอาเท้าพาดโต๊ะทำงานเซ็งๆ วิภาเปิดประตูเข้ามา น่านฟ้าเห็นแม่ใหญ่ก็รีบเอาขาลงทันที
“เดี๋ยวนี้เรียบร้อยขึ้นเยอะนะเรา ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี่คงแทบจะเอาขาพาดหัวฉันเลยล่ะมั้ง”
“คนเรามันก็ต้องมีพัฒนาการที่ดีขึ้นบ้างสิครับแม่ใหญ่”
“แล้วนี่เข้าออฟฟิศทำไม เรื่องหาสูตรข้าวเกรียบนั่นเรียบร้อยแล้วเหรอ”
“ยังหรอกครับ แต่พอดีเกิดเรื่องขึ้นมาซะก่อน”
วิภาชะงัก สนใจขึ้นมาทันที
“มีอะไรอีกเหรอ”
“ป้ามะลิคนที่ช่วยผมคิดสูตรข้าวเกรียบ โดนคนบุกมาทำร้ายถึงบ้านครับแม่ใหญ่”
วิภาเครียดขึ้นมาทันที
“ฝีมือสุกิจอีกรึเปล่า”
“ผมไม่แน่ใจครับ พอดีตอนเกิดเรื่อง ผมรีบพาป้าแกหนีออกมาซะก่อน”
“งั้นฉันจะไปถามเอง ถ้าเป็นฝีมือสุกิจ คราวนี้ฉันไม่ยอมอีกแน่”
วิภาจะเดินออกไป แต่น่านฟ้าเรียกไว้
“อย่าเลยครับแม่ใหญ่ ผมว่าคนของอาสุกิจคงกะแค่ขู่เฉยๆ ยังไงเขาก็เป็นน้องชายแม่ใหญ่ ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมา แม่ใหญ่เองก็จะเดือดร้อนไปด้วย”
“ไม่งั้นแกจะทำไง ปล่อยให้เขาทำอะไรตามอำเภอใจงั้นเหรอ”
“ผมไม่ยอมให้ใครทำร้ายป้ามะลิฟรีๆ หรอกครับ เพียงแต่ตอนนี้ผมห่วงเรื่องเวลาที่งวดเข้ามา อีกอย่างผมหาที่ปลอดภัยให้ป้ามะลิแกอยู่ได้แล้ว”
“แล้วเขายอมไปอยู่รึเปล่า”
น่านฟ้าเซ็งนิดๆ
“นี่แหละครับปัญหา ป้าแกดื้อไม่ยอมไป จะกลับบ้านตัวเองท่าเดียว”
วิภาถอนหายใจ
“งั้นถ้าให้ฉันแนะนำ แกต้องหาคนที่มีแรงจูงใจมากพอจะให้เขายอมทิ้งบ้านไปได้สิ”

น่านฟ้าครุ่นคิด

น่านฟ้าให้ปารณพามาที่บ้านนิรชา
 
“หลังนี้แหละ”
น่านฟ้ามองด้วยความสนใจ นิรชาเดินออกมาพอดี
“คุณปารณ คุณน่าน”
“เรามีเรื่องขอให้เธอช่วย ขอเข้าไปหน่อยได้มั้ย”
นิรชาแปลกใจมาก ก่อนจะพาน่านฟ้าเข้ามาในบ้าน และคุยกับนารี น่านฟ้าพยายามอธิบายให้นารีฟังด้วยความกังวล
“เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหละครับ ผมเลยอยากขอให้คุณน้าช่วยพูดกับป้ามะลิที เพราะแกรั้นเหลือเกิน”
นารีถอนหายใจ
“แม่นะแม่ เกิดเรื่องขนาดนี้ยังไม่คิดจะบอกเราสักคำ”
“นั่นสิจ๊ะ แล้วนี่ยายยังจะอยากกลับไปอยู่บ้านคนเดียวอีก”
“ไอ้น่านมันไม่รู้จะหาใครมาช่วยพูดกับป้ามะลิแล้ว คุณน้าพอจะช่วยพูดได้มั้ยครับ”
นารีกับนิรชามองหน้ากัน

วิภามาหาสุกิจที่ห้องทำงาน ทั้งสองคุยกันเครียดๆ
“พี่วิภาพูดอย่างนี้เท่ากับไม่ไว้ใจผมนะครับ คนอย่างผมจะไปทำร้ายผู้หญิงแก่ๆ ตัวคนเดียวอย่างนั้นได้ไง”
“ก็เพราะฉันคิดว่าแกทำได้ไง ฉันถึงได้มาคุยกับแก”
“แต่ผมไม่ได้ทำ แล้วก็ไม่เคยคิดจะทำด้วย นี่ไอ้น่านมันคงตั้งใจใส่ร้ายผม ถึงได้ไปเป่าหูพี่แบบนี้”
“อย่าไปพาลนายน่าน แกรู้มั้ยว่านายน่านน่ะมันไม่อยากให้ฉันเอาเรื่องแกด้วยซ้ำ เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะมันเห็นแกเป็นน้องฉัน มันไม่อยากให้ฉันเดือดร้อน แล้วแกล่ะ ทำไมถึงได้คิดแต่สร้างปัญหาให้ฉันตลอด”
“ก็ผมบอกแล้วว่าผมไม่รู้เรื่อง พี่อย่ามายัดเยียดความผิดให้ผม”
วิภาถอนหายใจ
“ตกลงแกไม่ยอมรับใช่มั้ย ก็ได้ ครั้งนี้ฉันถือว่าฉันไม่มีหลักฐาน แต่ถ้ามีอีกครั้งล่ะก็ ฉันนี่แหละจะเป็นคนจับแกส่งโรงพักเองกับมือ”
วิภาเดินออกไป สุกิจโมโหมาก

ป้ามะลินั่งอยู่ที่บ้านมัศยานานแล้ว ชักโมโห แหวใส่มัศยา
“นี่ตกลงเมื่อไหร่จะพาฉันกลับบ้านสักที ฮะ ฉันชักจะหงุดหงิดแล้วนะ”
มัศยา สมใจและนะดี ช่วยกันตะล่อม
“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะป้า คุณน่านเขาบอกให้ป้ารอก่อน เดี๋ยวเขาจะกลับมารับป้าเองค่ะ”
“ก็ในเมื่อมันไม่มาสักที ข้าก็จะนั่งแท็กซี่กลับเอง เอ็งไปตามรถมาให้ข้าเลยไป”
“พี่มะลินั่งรออีกเดี๋ยวไม่ได้เหรอจ๊ะ คุณน่านเขาตั้งใจจะไปส่งพี่เอง ไม่งั้นเขาก็มาเก้อสิ”
ป้ามะลิหงุดหงิดมาก
“โอ๊ย ไม่รู้จะอะไรกันนักกันหนา เมื่อก่อนข้าอยู่คนเดียวของข้ามาตั้งหลายปี พอมาเจอพวกเอ็งนี่แหละ ชีวิตข้าเลยวายป่วงไปหมด”
“คุณยายหิวน้ำมั้ยคะ เดี๋ยวนะดีเอามาให้นะคะ”
นะดีวิ่งปรู๊ดออกไปหลังบ้าน
“น่ารักก็แต่นังหนูนี่คนเดียวนี่แหละ นี่ถ้าไม่เห็นแก่หลานเอ็ง ข้าเผ่นไปนานแล้วนะ”
จู่ๆ เสียงนิรชาก็ดังขึ้น
“แล้วถ้าหลานคนนี้ขอร้องยายบ้างล่ะจ๊ะ ยายจะเห็นแก่หนูบ้างได้มั้ย”
ป้ามะลิชะงัก หันมาเห็นนิรชายืนอยู่กับน่านฟ้าและปารณ นิรชาพยายามอ้อนวอนป้ามะลิ
“นะคะยาย นึกว่าเห็นแก่หนู แก่แม่ แก่ทุกคนที่เป็นห่วงยายเถอะ”
ป้ามะลิเซ็ง ออกอาการเครียดมาก
“นี่ถึงขนาดไปตามเอ็งมาพูดกับยายเลยเหรอนังนิ”
“ก็ทุกคนเขาหวังดีกับยายนี่จ๊ะ ยายรู้มั้ยว่าคุณน่านน่ะ เขาเป็นห่วงยายมากเลยนะ ไม่ใช่แค่คุณน่าน หนูกับแม่ ก็ห่วงเหมือนกัน นี่ถ้าแม่เขามาด้วยไหว ก็คงจะพูดกับยายแบบที่หนูพูดนี่แหละ”
ป้ามะลิลำบากใจมาก
“เล่นรวมหัวกันรุมข้าแบบนี้ จะให้ข้าทำยังไง”
“ทำตามที่ทุกคนขอร้อง ให้ทุกคนได้ดูแลยายไงจ๊ะ”

ป้ามะลิเครียด

น่านฟ้ามาที่สำนักงานของปารณ ทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะปารณอย่างโล่งใจ
 
“เฮ้อ เรียบร้อยไปที ขอบใจแกมากนะไอ้เป้ที่ช่วยฉัน”
“เออ แต่แกเองก็ต้องดูแลยายนิรชาให้ดีล่ะ ให้สมกับที่ฉันบากหน้าพาหลานสาวเขาไปขอร้อง”
น่านฟ้ามองปารณอย่างหมั่นไส้
“คร้าบ ไอ้เพื่อนรัก แหม ทำอย่างกับเป็นหลานเขยเขาอย่างนั้นแหละ ออกตัวแรงนะแกเนี่ย”
ปารณชะงักหน้าแดง
“มันเป็นเรื่องของมนุษยธรรมเว้ย ฉันมันคนดี ชอบช่วยเหลือคนอยู่แล้ว ว่าแต่ไหนๆ ก็เข้าออฟฟิศแล้ว ห้องทำงานซีอีโอ ทางโน้นเลย งานกองรอแกเป็นตั้ง ไปจัดการซะ”
น่านฟ้ายิ้มรับลุกขึ้น
“ได้คร้าบ ไอ้ลูกพี่เป้”
ระหว่างนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือปารณดังขึ้น เขามองโทรศัพท์มือถือตัวเอง ชะงักทันที
“เดี๋ยวก่อนไอ้น่าน นายสุกิจโทรมา”
น่านฟ้าชะงักหันมาสนใจ

สุกิจคุยกับปารณสีหน้าเครียด
“ไหนคุณบอกว่าจะช่วยผมทุกอย่าง นี่ดูซิ จนไอ้ประธานมันพัฒนาสูตรข้าวเกรียบไปถึงไหนๆ แล้ว ตกลงว่าที่พูดไว้นี่มันได้เรื่องอะไรบ้าง”
ปารณเห็นสุกิจดูร้อนใจก็พยายามตะล่อมคุย
“ใจเย็นๆ สิครับ การหาโรงงานแล้วผลิตสินค้าสักตัวไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิดนะครับ”
“ที่ผมเลือกบริษัทคุณเพราะเห็นว่าเป็นมืออาชีพ แต่ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจแล้วสิ”
ปารณหน้าเจื่อนนิดๆ
“เรื่องนี้ผมก็บอกคุณแต่แรกแล้วไงครับว่า ถ้าจะรีบทำแบรนด์ของตัวเองก็ต้องรีบทำ แต่คุณเองก็ติดปัญหาเรื่องทุน ผมเองก็จนปัญญา”
“งั้นคุณพอจะหาแหล่งเงินกู้ให้ผมได้มั้ยล่ะ”
ปารณทำเป็นช่วยคิด
“เรื่องนั้นผมพอช่วยได้ แต่คุณต้องมีอะไรเป็นหลักประกัน”
สุกิจครุ่นคิด
“งั้นคงถึงเวลาที่ผมจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว”

หลังจากวางสายจากสุกิจ น่านฟ้าถามปารณทันที
“อาสุกิจบอกแกรึเปล่าว่าเขาจะทำยังไง”
“ไม่ได้บอกว่ะ แต่ดูเขามั่นใจว่าเขามีทาง ฉันน่ะคันปากยิบๆ อยากจะด่าแทบแย่ ดูซิ แกล่ะพยายามแทบตายที่จะฟื้นมีโชคให้ได้ แต่นี่คิดแต่จะหาทางล้มบริษัทพี่เขยตัวเอง”
“ก็ถือว่าแม่ใหญ่คิดถูกที่ไม่ให้อาสุกิจเป็นประธาน ยังไงฉันฝากแกคอยสืบให้ด้วยแล้วกันนะ”
“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว แต่ฉันก็ไม่แน่ใจนะว่านายสุกิจจะไว้ใจฉันแค่ไหน เพราะตอนนี้ดูเหมือนเขาจะชักไม่พอใจผลงานบริษัทเราแล้วว่ะ”
ปารณกังวลขึ้นมาทันที

สมใจกับมัศยาช่วยกันทำความสะอาดบ้านหลังเก่าของสุกัญญาที่จะให้ป้ามะลิมาอยู่ ป้ามะลินั่งมองเซ็งๆ
“ดูซิ พวกเอ็งเลยต้องมาลำบากกับข้าไปด้วย”
“แค่ช่วยทำความสะอาดบ้านไม่ลำบากอะไรมากหรอกค่ะป้า”
“แค่พี่ยอมมาอยู่ที่นี่ก็ช่วยให้พวกเราสบายใจเยอะแล้วล่ะจ้ะ”
นะดีเข้ามาจับขาป้ามะลิ
“คุณยายขา นะดีนวดให้นะคะ”
นะดีนวดขาให้ป้ามะลิอีกคน ป้ามะลิมองซึ้งๆ
“เอ็งนี่โชคดีนะสมใจ มีทั้งลูกทั้งหลานมะรุมมะตุ้มดูแล ไม่เหมือนข้า เฮ้อ”
มัศยาเห็นป้ามะลิเซ็งๆ ก็ปลอบใจ
“ใครบอกว่าป้าไม่มีใครล่ะคะ ก็นิกับแม่ไง”
“อย่าไปพูดถึงเลย ขนาดนังนารีมันได้เจอข้าแล้ว มันยังไม่คิดจะกลับมาอยู่กับข้าเลย”
นิรชาถือถุงอาหารเต็มมือเข้ามาที่หน้าประตู หยุดชะงักแอบฟัง
“ก็เขาป่วยอยู่นี่พี่มะลิ แม่นิเขาก็ต้องดูแลแม่เขา”
“ยิ่งป่วยนี่แหละยิ่งต้องมาอยู่ด้วยกัน ข้าเองก็แก่แล้วจะตายวันไหนก็ยังไม่รู้เลย สงสัยตายไปเป็นปียังไม่มีใครรู้เลยล่ะมั้ง”
นิรชาครุ่นคิด ก่อนจะแกล้งยิ้มร่าเข้ามา
“ยายจ๋า นิซื้อกับข้าวมาไว้ให้จ้ะ”
ป้ามะลิเบือนหน้าไปทางอื่น
“เดี๋ยวนิเอาไปไว้ในครัวให้นะจ๊ะ”

นิรชารีบเดินออกไปจ๋อยๆ

กลางคืน นารีนั่งดูทีวีอยู่ สักพักนิรชาเดินเข้ามานั่งด้วย
 
“ยายเป็นไงบ้าง”
“ก็ดีจ้ะแม่ แต่ดูเหมือนยายจะเหงา”
นารีชะงักหน้าเจื่อนไปเลย
“แม่ก็ป่วยอยู่ คงดูแลยายไม่ไหว”
“นิรู้จ้ะ แต่ยายบอกว่าแกก็แก่แล้ว จะอยู่ได้อีกกี่ปีไม่รู้ แม่ นิถามตรงๆ นะ ทำไมแม่ไม่อยากไปอยู่กับยายล่ะจ๊ะ”
นารีหน้าเจื่อนๆ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
“แม่มันลูกเนรคุณ ทำยายเสียใจ ยิ่งตอนนี้ป่วยหนัก แม่ไม่มีหน้าไปให้ยายแกดูแลหรอกนิ”
“แต่ทิ้งยายไว้คนเดียว ยายก็เหงานะจ๊ะ”
“แกก็หมั่นไปดูแลยายหน่อยแล้วกัน ไม่ต้องห่วงแม่หรอก ยาหมออันใหม่ที่ได้มามันดี แม่แข็งแรงขึ้นตั้งเยอะ”
นารียิ้มสดใส นิรชาถอนหายใจ

ตอนเช้า น่านฟ้ายืนเก๊กพิงรถอยู่หน้าบ้านมัศยา มัศยาเดินออกมามองชายหนุ่มอย่างแปลกใจ
“ขยันนะ มาแต่เช้าเลย”
“อ้าว ผมมันคนมีความรับผิดชอบคร้าบ ยิ่งเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วัน ผมยิ่งรีบทำสูตรข้าวเกรียบใหม่ให้เร็วที่สุด”
น่านฟ้ารีบเปิดประตูด้านคนนั่งให้มัศยา
“พร้อมลุยด้วยกันยังเจ๊”
มัศยาชู 2 นิ้วน่ารัก
“สู้”
น่านฟ้าขำก๊ากทันที มัศยามองเหล่ๆ
“ขำอะไร ฮะ”
“คือหน้าเจ๊กับการแต่งตัวเจ๊ มันไม่ได้เข้ากับท่าทางฟรุ้งฟริ้งเลย ผมว่าอย่างเจ๊ต้องแนวนี้”
น่านฟ้าทำท่าบิดแขนแบบเพาะกาย
“สู้โว้ย”
มัศยาหน้าง้ำ โมโห
“ล้อเลียนเหรอ”
มัศยาวิ่งไล่น่านฟ้า น่านฟ้าวิ่งหนี แต่แล้วก็หยุดวิ่ง ทำให้มัศยาชนน่านฟ้าเต็มแรงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มเต็มๆ ทั้งสองตะลึง มัศยารู้ตัวรีบผละออก
“รีบไปดีกว่า มัวแต่เล่นอยู่ได้”
มัศยาเดินไปเปิดประตูขึ้นรถ น่านฟ้าอึ้งๆ รู้สึกเหมือนตกในภวังค์ไปชั่วครู่

รถน่านฟ้าติดไฟแดงอยู่ มัศยานั่งอยู่ข้างๆ น่านฟ้าเห็นมัศยาเงียบๆ ก็หันมาถาม
“คิดอะไรอยู่เหรอเจ๊”
“เปล่า”
“นึกว่าคิดถึงผมซะอีก ถ้าจะคิดนี่ตามสบายเลยนะไม่ต้องเกรงใจ ผมไม่ถือ”
มัศยาหันมามองค้อนน่านฟ้า
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าเปล่า”
ทันใดนั้น มัศยาเหลือบไปเห็นรถข้างๆ คือรถของตัวเอง โดยที่ในรถ สินธุนั่งอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังยื่นหน้าไปหอมแก้มพอดี มัศยามองด้วยความตกใจ
“หะ”
น่านฟ้าเห็นสัญญาณไฟเขียวพอดี ก็ออกรถ มัศยาหันไปบอกน่านฟ้า
“ตามรถฉันไปเดี๋ยวนี้”
น่านฟ้างงๆ
“เร็วๆ สิ”
น่านฟ้ารีบขับรถไล่ตามทันที

สินธุขับรถไป เอามือกุมมือหญิงสาวที่นั่งมาไปด้วย
“ตกลงยังไม่บอกเลยว่าอยากไปไหน พี่จะได้พาไปไงคะ”
“ไปไหนก็ได้ค่ะที่พี่สินธุอยากพาไป”
สินธุหันมามองตากรุ้มกริ่ม
“งั้นไปขึ้นสวรรค์กับพี่ดีมั้ยคะ”
หญิงสาวหันมาตีแขนสินธุเขินๆ
“พี่สินธุอ่ะ”
สินธุหัวเราะชอบใจ แต่ทันใดนั้น รถของน่านฟ้าก็ขับปาดมาทันที สินธุตกใจเบรกอย่างแรง
“เฮ้ย อะไรวะเนี่ย”
สินธุเปิดประตูรถทันที แล้วหันมาบอกหญิงสาว
“รออยู่นี่นะ เดี๋ยวพี่ไปเล่นงานมันก่อน”
สินธุรีบลงจากรถ น่านฟ้าและมัศยานั่งอยู่ในรถ มัศยานิ่งมาก ประตูฝั่งคนขับเปิดพรวดออก สินธุหน้าตาเอาเรื่องมาก
“เฮ้ย อยากมีเรื่องเหรอวะ”
สินธุเห็นว่าตรงคนขับคือน่านฟ้า และคนข้างๆ คือมัศยาก็ตกใจ

“หยี”

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 9 (ต่อ)

ทั้งหมดออกจากรถมายืนอยู่ริมถนน น่านฟ้ายืนนิ่งเหมือนกำลังดูละครเวทีตรงหน้า ขณะที่สินธุหน้าเจื่อนๆ พยายามพูดเอาใจมัศยา
 
“ไม่คิดว่าจะเป็นหยี ดีนะสินธุไม่วู่วามกว่านี้”
“ค่ะ ดีที่สินธุไม่วู่วาม”
“แล้วนี่หยีจะไปไหนเหรอ”
“ไปตลาดค่ะ”
“อ๋อ งั้นตามสบายเถอะ สินธุไปทำธุระก่อนนะ”
สินธุหันมายิ้มให้น่านฟ้าแบบไม่เต็มใจ แล้วเดินออกไป แต่มัศยาก็เอ่ยขึ้น
“เดี๋ยว”
สินธุหยุดชะงักทันที
“จะไม่แนะนำคนในรถให้หยีรู้จักหน่อยเหรอ”
สินธุหน้าเจื่อน หันมายิ้ม
“เอ่อ น้องเพื่อนน่ะ หยีอยากรู้จักด้วยเหรอ”
“แล้วสินธุว่าหยีควรรู้จักมั้ยล่ะ”
สินธุแกล้งทำเป็นยิ้มใจดีสู้เสือ
“งั้นรอเดี๋ยวนะครับ”
สินธุเดินไปเปิดประตูรถออกมา
“ลงมาแป๊บหนึ่งสิคะ”
ผู้หญิงลงจากรถ เดินตามสินธุมาหามัศยาอย่างงงๆ
“นี่พี่หยีจ้ะ”
หญิงสาวยกมือไหว้มัศยาอย่างอ่อนน้อม
“พี่สาวพี่สินธุเหรอคะ”
มัศยาหันไปมองหญิงสาว
“แฟนต่างหาก”
สินธุหน้าถอดสี ขณะที่หญิงสาวหันมามองสินธุอย่างไม่พอใจ
“อ้าว ไหนพี่บอกว่าโสดไงคะ”
น่านฟ้าได้ทีเดินเข้ามาช่วยเติมเชื้อไฟ
“โสดในที่นี่คือยังไม่ได้แต่งไงน้อง แต่สถานะที่คบกันคือแฟน คนรัก ว่าที่สามีอ่ะจ้ะ”
สินธุหันไปจ้องน่านฟ้า แล้วพยายามหันมาไกล่เกลี่ย
“เอ่อ คืออย่างนี้นะ”
หญิงสาวตบหน้าสินธุทันที
“ไอ้เลวเอ๊ย”
หญิงสาวเดินออกไปโบกรถแท็กซี่ สินธุหน้าตาเหรอหราทำตัวไม่ถูก หันมาทางมัศยา
“เอ่อหยี ฟังสินธุอธิบายก่อนนะ”
มัศยาหันมาทางน่านฟ้า
“เราไปกันเถอะคุณน่าน”
มัศยาและน่านฟ้าเดินไปขึ้นรถทันที สินธุพยายามเคาะกระจกเรียกมัศยา
“หยี ฟังผมก่อนนะ อย่าเพิ่งไป ผมอธิบายได้นะ”
น่านฟ้าหันมาถามมัศยาด้วยความสงสัย
“เอาไงเจ๊”
“รีบไปเถอะค่ะ”
น่านฟ้าเข้าเกียร์เตรียมจะออกรถ มัศยานึกอะไรขึ้นได้
“เดี๋ยวก่อน ฉันเปลี่ยนใจแล้ว”
สินธุพยายามเคาะกระจกรถด้วยความร้อนใจ เห็นว่าประตูเปิดออกก็ดีใจ มัศยาลงจากรถ หันมาคุยกับสินธุหน้านิ่งมาก
“มีอะไรจะพูดก็พูดมา หยีรีบ”
น่านฟ้าเปิดประตูตามลงมา ลุ้นมาก
“สินธุรู้ว่าหยีโกรธ แต่สินธุไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องแบบนี้เลยนะ พอดีเด็กคนนั้นเขามาชอบสินธุเอง นี่ก็พยายามหาทางให้เขาเลิกยุ่งกับสินธุอยู่”
“เหรอคะ เด็กคนนี้นี่ใช้ไม่ได้เลย”
“ใช่ค่ะ เด็กใจแตกมีปัญหาก็แบบนี้แหละ แต่ผมไม่อยากไล่ กลัวเขาจะเตลิดเสียคน”
“อู๊ย พ่อพระจริงๆ”
สินธุหันมาค้อนน่านฟ้า แล้วง้อมัศยาต่อ
“ตกลงว่า หยีหายโกรธผมแล้วนะ”
“ใครบอกว่าหยีโกรธสินธุล่ะ”
สินธุยิ้มหน้าบานทันที
“หยีไม่โกรธผมใช่มั้ย ผมดีใจจริงๆ”
“ใช่ แต่ฉันเกลียดแก ฉันขยะแขยงแก แกทำแบบนี้กับฉันได้ไง ฮะ”
มัศยากำหมัดเสยคางสินธุเต็มแรง น่านฟ้าเห็นเข้าก็เหวอมาก
“หยี”

“แกคิดว่าฉันโง่เหรอ ฉันเห็นแกหอมแก้มเด็กนั่นในรถ แล้วฉันก็คิดได้แล้วด้วยว่า แกเอารถฉันไปเที่ยวกับเด็กคนนี้”

มัศยาต่อยหน้าสินธุเต็มแรง
 
“ไหนจะเงินฉันอีก ตกลงที่ยืมไปนี่เอาไปเลี้ยงเด็กคนนี้ใช่มั้ย”
มัศยาต่อยสินธุเต็มแรงอีกที
“หยี”
“แกไม่ต้องมาเรียกชื่อฉัน ต่อไปนี้เราขาดกัน”
มัศยาปราดเข้าไป เตะ ต่อย ถีบ ถอง สินธุสารพัด จนล้มตัวลงนอนพังพาบ เธอขึ้นคร่อมดัดแขน ขาราวกับมวยปล้ำ สุดท้าย มัศยาลุกขึ้นเดินถอยหลังห่างมาระยะหนึ่ง แล้วกระโดดขึ้นไปล้มทับสินธุเป็นท่าปิดท้าย สินธุสลบเหมือดคาพื้น น่านฟ้าอ้าปากค้าง มัศยาปัดมือ พลันหันมาบอกน่านฟ้า
“วันนี้ฉันขอลานะ เดี๋ยวฉันขับรถฉันกลับเอง”
มัศยาเดินไปที่รถ น้ำตาไหลพราก เธอขับรถไปร้องไห้ไปด้วยความเสียใจ น่านฟ้าขับรถอยู่ด้วยความกังวล มัศยาขับรถอยู่ สักพัก เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอชะงัก หยิบขึ้นมาดูเห็นเป็นรูปน่านฟ้า

มัศยานั่งร้องไห้ปาดน้ำตาไปด้วย น่านฟ้าเดินเข้ามาหา นั่งลงข้างๆ
“ร้องให้พอเลยเจ๊ ร้องให้มันหมด แล้วเจ๊จะกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิม”
มัศยาหันมามองน่านฟ้า แล้วโผเข้ากอดชายหนุ่ม ร้องไห้ทันที น่านฟ้าลูบหลังปลอบใจ
“โอ๋ๆๆ ไม่เป็นไรนะเจ๊ ใครมันจะทำเลวใส่เจ๊ก็ปล่อยเขาไป ยังไงก็ยังมีผมอีกคนนะ”
มัศยายิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม น่านฟ้าหน้าเสีย พยายามปลอบ
“ผมไม่ทิ้งเจ๊แน่ๆ จะอยู่ข้างเจ๊แบบนี้แหละ”
มัศยาร้องไห้หนักกว่าเดิมไปอีก น่านฟ้าชักลังเล
“เอ่อ ร้องไปเหอะเจ๊ หน้าอย่างเจ๊ สมควรถูกทิ้งแล้ว”
มัศยาผละจากน่านฟ้าทันที
“เรื่องอะไรต้องมาด่าฉันด้วย”
“ก็ยิ่งปลอบเจ๊ก็ยิ่งร้องนี่ ผมเลยไม่รู้จะทำไง”
“ฉันมันไม่ดีตรงไหนเหรอ ทำไมสินธุต้องหลอกลวงฉันด้วย”
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เจ๊ แต่มันอยู่ที่นายสินธุน่ะไม่รู้จักพอเองต่างหาก”
“ผู้ชายนี่เลวเหมือนคุณกับสินธุทุกคนรึเปล่า”
“อ้าว เกี่ยวอะไรกับผม”
“ก็ฉันเห็นคุณก็เจ้าชู้แบบนี้เหมือนกันนี่”
“เจ๊อย่าเหมารวมสิ ถึงผมเจ้าชู้แต่ผมก็ไม่เคยให้ความหวังใคร ไม่เคยหลอกเอาของใคร ที่สำคัญ ไม่เคยหลอกลวงใครด้วยนะ”
มัศยานั่งซึมมองเวิ้งน้ำตรงหน้า
“นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย ฉันกำลังอกหักอยู่จริงๆ”
น่านฟ้าโอบไหล่มัศยาปลอบใจ
“ไม่ต้องคิดมากนะเจ๊ ผู้ชายไม่ได้มีคนเดียวในโลก อย่างน้อยก็เหลือผมคนหนึ่ง ที่ไม่อยากเห็นเจ๊เสียใจ”
มัศยาหันมาสบตาน่านฟ้าซึ้งๆ
“ขอบคุณนะคะที่อยู่เป็นเพื่อนฉัน ดูสิ สรุปวันนี้คุณเลยไม่ได้งานเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก ยังพอมีเวลา ผมห่วงความรู้สึกเจ๊มากกว่า”
“ฉันไม่อยากกลับบ้านตอนนี้เลย กลับไปฉันไม่รู้จะสู้หน้าแม่ยังไง”
น่านฟ้าครุ่นคิด
“เอาอย่างนี้มั้ย ไปนั่งพักที่เซฟเฮ้าส์ผมก่อน ไว้สบายใจขึ้นค่อยกลับ”
มัศยาลังเล

มัศยานั่งอยู่ในคอนโดของน่านฟ้า กวาดสายตามองรอบๆ สักพักน่านฟ้าเอาน้ำมายื่นให้
“ฉันไม่ดื่มนะ”
“อกหักไม่จำเป็นต้องดื่มเหล้านี่เจ๊ เนี่ยน่ะ น้ำเปล่า อย่าคิดมากสิ”
มัศยารับแก้วน้ำมาดื่ม น่านฟ้านั่งลงข้างๆ
“คอนโดนี้ทีแรกผมกะซื้อไว้เก็งกำไร แต่คิดมาคิดไปเสียดาย เลยเก็บไว้เป็นเซฟเฮาส์ เวลาเบื่อๆ ก็มานอนเล่น ถ้าเจ๊อยากมาก็มาได้นะ เดี๋ยวผมเอากุญแจไว้ให้”
“บ้านฉันก็มี ทำไมฉันต้องมาที่นี่ด้วยล่ะ”
“ก็ไม่รู้สิ บางทีคนเราก็อยากมีพื้นที่ส่วนตัวอยู่กับตัวเองบ้าง ได้เป็นตัวของตัวเองบ้าง”
มัศยามองน่านฟ้าอย่างสังเกต
“คุณจะบอกว่า ที่คุณเป็นอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่ตัวคุณเหรอคุณน่าน”
“มันก็ตัวผมนี่แหละ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งวัน ไว้เจ๊รู้จักผมมากกว่านี้ก็รู้เองแหละ”
มัศยาพยักหน้ารับ ก่อนจะลุกขึ้นไปยืนดูที่ระเบียง
“วิวสวยดีนะคะ”
น่านฟ้าเดินเข้ามายืนข้างๆ เผลอมองหน้ามัศยาอย่างลืมตัว มัศยาเงยหน้ามาเห็นน่านฟ้าก็ชะงัก น่านฟ้าเผลอยื่นหน้าไปจูบริมฝีปากมัศยาอย่างอ่อนโยน มัศยาเผลอหลับตารับรสจูบนั้นอย่างลืมตัว แล้วก็ตกใจ ผลักน่านฟ้าออกทันที
“คุณน่าน”
“เป็นไรเหรอเจ๊”
“ฉันว่าฉันกลับบ้านดีกว่า”
มัศยารีบคว้ากระเป๋าถือ เปิดประตูเดินออกไปเลย
“เดี๋ยวก่อนสิเจ๊”
ประตูปิดลงทันที น่านฟ้าครุ่นคิด เอามือกุมหน้า เซ็งตัวเองที่ทำอะไรออกไปแบบนั้น ในขณะที่มัศยาลงมาจากคอนโดน่านฟ้า เข้ามานั่งในรถ ตกใจมาก หน้าแดง รีบสตาร์ทรถ ขับออกไปทันที
 
น่านฟ้าวิ่งตามมาแต่ไม่ทัน เขาเครียดมาก

สินธุมาที่บ้านมัศยาในสภาพใบหน้าปูดบวม นั่งเอาน้ำแข็งประคบอยู่ โดยที่สมใจและนะดีนั่งอยู่ด้วย มัศยาเดินเข้ามาสีหน้าอิดโรย นะดีเห็นมัศยาก็รีบเรียกทันที
 
“แม่หยีมาแล้ว”
มัศยาเห็นสินธุก็ชะงัก มองอย่างไม่พอใจ
“มาทำไม ฮะ”
สมใจชะงักแปลกใจ
“นี่ทะเลาะกันมาเหรอ”
“ต่อไปนี้อย่าให้ผู้ชายคนนี้เข้าบ้านอีกนะคะแม่ หยีไม่อยากเห็นหน้าเขา”
สินธุลุกพรวดไปง้อมัศยา
“หยี ฟังผมก่อนได้มั้ย”
“ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้”
“แต่หยี”
“ไม่ไปใช่มั้ย”
มัศยาเงื้อหมัดขึ้นมา สินธุตกใจผงะทันที
“โอเคๆ ถ้าวันนี้หยีไม่พร้อมจะคุยกับผม ไว้ผมมาใหม่ก็ได้”
สินธุเดินออกไปที่ประตู มัศยายืนทำหน้ายักษ์อยู่หน้าบ้าน สินธุเดินออกไปจากประตูรั้ว กลัวๆ
“ไปแล้วไปลับ ไม่ต้องกลับมาอีกนะ”
มัศยาหันหลังเดินเข้าบ้านไป สมใจยืนรออยู่ หันไปบอกนะดี
“นะดีขึ้นไปนอนก่อนไปลูก เดี๋ยวยายตามไป”
“ค่ะ”
นะดีเดินขึ้นบันไดไป สมใจหันมาคาดคั้นกับมัศยา
“บอกแม่มาซิว่านี่มันเรื่องอะไร”
“ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ หยีก็แค่ตาสว่าง ว่านายสินธุมันเลวแค่ไหน หยีขอโทษนะคะแม่ที่ไม่เคยเชื่อแม่เลย”
มัศยาโผเข้ากอดสมใจ สมใจลูบหัวลูกสาวปลอบใจ
“ไม่เป็นไรลูก ไม่ต้องคิดมากนะ รู้ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป โลกนี้ยังมีคนดีๆ ให้เราคบอีกตั้งเยอะ เริ่มต้นใหม่นะหยีนะ”
มัศยากอดสมใจแน่นด้วยความเสียใจและรู้สึกผิด

คืนนั้น มัศยาหวีผมอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง อยู่ๆ ก็นึกถึงเหตุการณ์ที่อยู่กับน่านฟ้า และเผลอรับรสจูบของเขาอย่างไม่รู้ตัว มัศยายิ้มออกมาอย่างเขินๆ ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเธอก็มีข้อความเด้งเข้ามา เป็นเบอร์น่านฟ้า เขียนว่า “ดีกันนะเจ๊” ตามด้วยรูปน่านฟ้าทำหน้าตากวนๆ มัศยาเผลอยิ้มออกมา
“ตาบ้าเอ๊ย”

ตอนเช้า น่านฟ้ามาที่ตลาดสด ขนอัญชัญและตะไคร้ห่อใหญ่มาใส่ท้ายรถ มัศยายืนอยู่ข้างๆ น่านฟ้าแอบเหลือบมองมัศยาแล้วอมยิ้ม มัศยาเห็นน่านฟ้าอมยิ้มก็แกล้งถามอย่างไม่สบอารมณ์
“ยิ้มอะไร ฮะ”
“ผมดีใจน่ะ”
“ดีใจเรื่องอะไร”
“ก็ดีใจที่เจ๊ทำใจได้เร็วไง รู้มั้ยว่าอาการเจ๊นะ ดูไม่รู้เลยนะว่าเพิ่งอกหักมา ยังกับคนกำลังอินเลิฟมากกว่าอีก”
มัศยาเขินๆ ทำหน้าไม่ถูก
“เพ้อเจ้อ”
มัศยารีบเปิดประตูขึ้นรถไปเลย น่านฟ้ามองตามยิ้มๆ แล้วไปขึ้นรถบ้าง

น่านฟ้ากับมัศยามาหาป้ามะลิที่บ้านเก่าของสุกัญญา มัศยาหั่นตะไคร้ไปยิ้มไป ป้ามะลินวดแป้งอยู่ข้างๆ หันมามองงงๆ
“เป็นอะไรของเอ็ง ฮะ ตั้งแต่เช้าข้าเห็นยิ้มไม่หุบเลย”
มัศยาชะงักเหวอๆ แกล้งกลบเกลื่อน
“เปล่านี่คะป้า”
“ยังจะมาเถียงข้าอีกนะ ก็เห็นๆ อยู่ว่ายิ้มไม่หุบ ไปมีความสุขอะไรมาเหรอ”
น่านฟ้ายกดอกอัญชัญที่ล้างแล้วเดินเข้ามา มัศยารีบเฉไฉไปเรื่อย
“พอดีเพิ่งตัดคนเลวๆ ออกจากชีวิตได้ค่ะป้า ก็เลยดีใจ”
“อ่อ แต่ดูท่าทางเหมือนรับคนดีๆ เข้ามามากกว่านะ”
มัศยาชะงักหันไปมองน่านฟ้าแล้วแกล้งเบือนหน้าไปทางอื่น
“ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะป้า เอ่อ เดี๋ยวหนูไปดูกระทะข้างนอกก่อนนะคะ”
มัศยารีบเดินสวนน่านฟ้าออกไป ป้ามะลิหันมาซุบซิบกับน่านฟ้า
“ดูท่าทางจะมีความรักว่ะ”
น่านฟ้าสนใจขึ้นมาทันที
“จริงเหรอครับป้า”
“เอาหัวหงอกๆ เป็นประกันเลย อาการแบบนี้ อินเลิฟชัวร์”
น่านฟ้าหัวเราะชอบใจ หันไปมองมัศยา

มัศยาอยู่ในครัว รอน้ำมันเดือด น่านฟ้าเดินเข้ามายืนข้างๆ ยื่นหน้าไปสบตา
“เจ๊”
มัศยาชะงักหันมาเขินๆ แต่แกล้งทำเสียงดุใส่
“อะไร ฮะ คุณน่าน เรียกซะตกใจหมดเลย”
“ผมมีเรื่องอยากถามอะไรหน่อยน่ะ”
“ก็ถามมาสิ”
“ตกลงเรื่องเมื่อคืนเจ๊ไม่โกรธผมใช่เปล่า”
มัศยาชะงักหน้าแดง
“ฉันลืมไปแล้ว แต่ถ้าคุณพูดย้ำไม่จบ ฉันโกรธแน่”
“โอเคๆ งั้นผมไม่พูดดีกว่า ไม่อยากเห็นเจ๊โกรธ”
มัศยาแกล้งทำเป็นปรับความร้อนที่เตาแก๊ส น่านฟ้ามองยิ้มๆ
“แต่ผมรู้สึกดีนะเจ๊ แล้วเจ๊ล่ะ”
มัศยาหันขวับมาแหวใส่
“ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าย้ำ”
น่านฟ้าขำๆ
“โอเคๆ ไม่พูดก็ไม่พูด เออ ผมจะบอกว่าเดี๋ยวตอนเย็นเจ๊แวะไปที่ออฟฟิศกับผมหน่อยนะ ผมอยากให้ช่วยเตรียมเอกสารอะไรนิดหน่อย แล้วถ้าเจ๊ไม่รีบ เราไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันต่อนะ”
“อื้อ”

น่านฟ้ายิ้มพอใจ เดินเข้าบ้านไป มัศยาหันไปทางกระจกหน้าต่าง เห็นว่าตัวเองยิ้มไม่หุบจริงๆ ก็อาย

ตอนเย็น น่านฟ้าและมัศยาจะเดินเข้าออฟฟิศ แอนนาก็เดินสวนออกมาจากประตู ทั้งสองเห็นแอนนาก็ชะงัก
 
“ไปไหนมาเหรอคะน่าน แอนโทรหาก็ไม่ติด นี่แอนมารอทั้งวันเลยนะคะ”
มัศยาหน้าเจื่อนๆ หันมาบอกน่านฟ้า
“งั้นฉันไปเตรียมเอกสารให้คุณก่อนนะคะ”
มัศยาเดินออกไป แต่ก็แอบหลบฟังที่ประตูแทน แอนนาหันหลังมองตามมัศยา เบ้หน้าอย่างดูถูก
“นี่รึเปล่าคะ คือเหตุผลที่ทำให้น่านหลบหน้าแอนตลอด”
“มัศยาคือผู้ช่วยผม”
“แค่นั้นเหรอคะ”
“แล้วแอนคิดว่ามีอะไรอีกเหรอ”
“เปล่าค่ะ แอนแค่สงสัยว่า น่านจะเปลี่ยนรสนิยมไปชอบมนุษย์ป้าแล้วเหรอ”
มัศยาแอบฟังอยู่ หน้าง้ำ เดือดมาก
“ผู้หญิงแต่ละคนก็มีสไตล์ไม่เหมือนกัน แอนอย่าคิดว่าใครที่ไม่ใช่นางแบบอย่างแอนจะเป็นผู้หญิงที่ดูไม่ดีสิ”
มัศยาพยักหน้าเห็นด้วย
“แอนขอโทษค่ะที่ว่าผู้ช่วยของคุณ ก็แอนหึงนี่คะ”
มัศยาเบ้หน้าหมั่นไส้
“ช่วงนี้ผมกำลังยุ่งเรื่องงาน แอนอย่าทำให้ผมอึดอัดสิ”
“โอเคๆ ค่ะ งั้นไหนๆ เราก็เจอกันแล้ว เย็นนี้เราไปหาอะไรอร่อยๆ ทานกันนะคะ”
น่านฟ้าชะงักลำบากใจ
“ผมมีนัดแล้วล่ะ เอาไว้วันหลังนะ”
แอนนาหงุดหงิดฮึดฮัด
“ค่ะ งั้นแอนไปก่อนนะคะ น่านจะได้ทำงานต่อ”
แอนนาเดินออกไปอย่างไม่ค่อยพอใจ น่านฟ้ามองตามถอนหายใจ มัศยาเห็นน่านฟ้ากำลังจะเข้าออฟฟิศก็รีบวิ่งไปทันที

มัศยาเข้ามาในห้องทำงาน หงุดหงิดไม่พอใจมากๆ ต๋องตามเข้ามาในห้อง
“เข้าห้องคนอื่นทำไมไม่เคาะประตูก่อน”
ต๋องสะอึก ก้าวขาต่อแทบไม่ได้
“เอ่อ ขอโทษครับเจ๊ งั้นต๋องไปเคาะก่อนนะ”
ต๋องเดินออกไปเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาใหม่ มัศยาทิ้งตัวนั่งลงไม่สบอารมณ์
“ไปอารมณ์เสียมาจากไหนเหรอเจ๊ ถึงได้มาพาลต๋องเนี่ย”
“เปล่า”
“แล้วนี่ทำไมเข้ามาซะเย็นเลย จะเลิกงานอยู่แล้วนะ”
“ฉันเข้ามาเตรียมเอกสารให้คุณน่าน เห็นว่าจะนัดประชุม”
“งั้นเจ๊ทำงานเถอะ ต๋องแค่แวะมาทัก เห็นเจ๊ไม่ค่อยเข้าออฟฟิศ”
ต๋องจะเดินออกไป แต่มัศยาเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนต๋อง”
ต๋องชะงักหันมา
“แกว่าฉัน เอ่อ ฉันเหมือนมนุษย์ป้ามั้ย”
ต๋องทำหน้างงๆ
“อะไรนะเจ๊”
“ฉันถามว่าฉันน่ะดูเป็นมนุษย์ป้ารึเปล่า”
ต๋องขำออกมาทันที
“นี่ใครกล้าว่าเจ๊แบบนี้เหรอ”
“แกไม่ต้องถาม มีหน้าที่ตอบมาอย่างเดียวว่าฉันเหมือนมนุษย์ป้ารึเปล่า”
ต๋องมองมัศยาอย่างสังเกตตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เอาจริงๆ เลยนะ เหมือน”
มัศยาสะอึกหน้าเสีย
“แต่เจ๊ก็น่ารักในแบบของเจ๊นะ ต๋องว่าใครจะพูดอะไรก็ช่างเขาเถอะ เจ๊เป็นเจ๊แบบนี้แหละดีแล้ว ไม่มีอะไรแล้วงั้นต๋องไปก่อนนะ”
ต๋องเปิดประตูเดินออกไป มัศยาดึงลิ้นชักหยิบกระจกขึ้นมามอง
“ฉันจะต้องเลิกเป็นมนุษย์ป้าให้ได้”
มัศยามาดมั่นขึ้นมาทันที

ตอนเย็น น่านฟ้าและมัศยานั่งกินข้าวในร้านอาหาร มัศยาตักผักมากินจ๋อยๆ น่านฟ้ามองแปลกใจ
“ทำไมเจ๊ไม่ค่อยกินเลย อิ่มอกอิ่มใจเหรอ”
”เปล่า ฉันไม่ค่อยหิว”
“แปลกนะ ปกติผมเห็นเจ๊สูบอาหารอย่างกับไดโว่ นี่กินแต่ผัก ดูมันไม่เข้ากับเจ๊เลย”
“หิวก็กินๆ เข้าไปเถอะคุณน่าน อย่ามาวิจารณ์ฉันได้มั้ย”
“เอ๊า ก็ผมเป็นห่วง กลัวเจ๊จะกินไม่อิ่ม เดี๋ยวเกิดโมโหหิวขึ้นมา ฟาดงวงฟาดงาใส่ผมจะว่าไง”
มัศยาได้ยินก็วางช้อนทันทีอย่างไม่พอใจ
“นี่คุณหาว่าฉันอ้วนเป็นช้างเหรอ”
น่านฟ้าชะงัก
“ผมแค่เปรียบเทียบ ไม่เห็นต้องโมโหเลยนี่”
มัศยานั่งเซ็งอารมณ์ไม่ดี
“เจ๊แปลกๆ นะ เป็นอะไรรึเปล่า”
“เปล่า ฉันอิ่มแล้วล่ะ เดี๋ยวขอตัวกลับบ้านก่อนดีกว่า”
มัศยาลุกขึ้นคว้ากระเป๋าถือ น่านฟ้ามองงงๆ
“เฮ้ย นี่จะทิ้งกันดื้อๆ เลยเหรอ”
“ใช่ พรุ่งนี้ค่อยเจอกันนะ”
มัศยาเดินออกไป น่านฟ้าสับสนกับอารมณ์ของมัศยาอย่างมาก

คืนนั้น มัศยาเข้ามาในห้องนอน เหวี่ยงกระเป๋าลงบนเตียง เดินไปหยุดยืนส่องกระจกโต๊ะเครื่องแป้งอย่างไม่พอใจ
“มนุษย์ป้า ฟาดงวงฟาดงาเหรอ คอยดูเถอะคุณน่าน ฉันจะทำให้คุณถอนคำพูดไม่ทันเลย ฮึ่ม”

มัศยามั่นใจมาก

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 9 (ต่อ)

สุกิจนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงนอน อนงค์เดินเข้ามา เขารีบยิ้มให้ภรรยาอย่างอารมณ์ดี ดึงแขนอนงค์มานั่งใกล้ๆ
 
“ไง อยู่บ้านเหงามั้ย”
อนงค์มองสุกิจอย่างแปลกใจ
“ฉันชินแล้วล่ะค่ะ”
“ผมนี่ก็แย่นะ ไม่ค่อยมีเวลาพาคุณไปพักผ่อนที่ไหนเลย”
“งานคุณยุ่ง ฉันเข้าใจค่ะ”
“เอาเป็นว่าผมสัญญาว่า ถ้างานผมเรียบร้อยเมื่อไหร่ จะพาคุณไปทัวร์ยุโรป ดีมั้ย”
อนงค์แปลกใจกว่าเดิม
“มีอะไรรึเปล่าคะ ทำไมวันนี้คุณดูแปลกๆ”
สุกิจลูบผมเอาใจอนงค์
“ผมมีเรื่องจะปรึกษาคุณ เรื่องบ้านหลังนี้แล้วก็ที่ดินที่แม่คุณยกมรดกให้คุณน่ะ ถ้าผมจะขอไปจำนองเอามาสร้างโรงงาน คุณจะว่าไง”
อนงค์หน้าเสีย
“แต่นั่นมันมรดกชิ้นสุดท้ายของฉันนะคะ”
“ผมก็ไม่ได้จะขายทิ้งซะหน่อย แค่เอาไปค้ำกับแบงค์ จะได้เอาเงินออกมาหมุน พี่วิภาไม่ช่วยผม ตอนนี้ที่พึ่งเดียวของผมก็คือคุณนี่แหละ ว่าไงล่ะ”
อนงค์ลำบากใจมาก
คืนนั้น สุกิจเปิดประตูห้องนอนออกมา แล้วกดโทรศัพท์มือถือโทรออก
“ฮัลโหล คุณปารณ เรื่องที่ผมบอก ผมจัดการเรียบร้อยแล้วนะ”
สุกิจยิ้มพอใจ

คืนเดียวกันนั้น น่านฟ้ากับปารณนั่งคุยกันอย่างเคร่งเครียด
“นี่อาสุกิจถึงกับยอมเอาบ้านกับที่ดินมรดกมาจำนองเลยเหรอ”
“ท่าทางงานนี้จะเอาจริงซะด้วยสิ”
น่านฟ้าครุ่นคิด
“แล้วแกบอกไปว่าไง”
“ฉันก็รับปากว่าจะหาทางคุยกับแบงค์ให้ จะได้เอาเงินออกมาสร้างโรงงานไงวะ แต่ยังไงฉันก็ต้องถามแกก่อนว่า เราควรช่วยเขารึเปล่า”
“บอกตามตรงนะ บางทีฉันก็เห็นใจอาสุกิจนะ เขาอาจจะอยากมั่งอยากมี ก็เลยพยายามทำทุกทาง นี่ถึงกับยอมทำขนาดนี้ก็คงสุดๆ แล้วว่ะ”
“อยากมีไม่ว่า แต่ถึงขั้นทำร้ายคนอื่นฉันว่าก็เกินไปเหมือนกันนะ”
น่านฟ้าถอนใจคิดหนัก
“เอาอย่างนี้ ฉันรู้ว่าแกเองก็อยากรักษาเครดิตบริษัทไว้ งั้นแกก็ทำในส่วนของแกไปเถอะ”
“เฮ้ย นี่แกจะให้ฉันช่วยคนเลวๆ พรรค์นั้นเนี่ยนะ”
“ฉันไม่ได้ให้แกช่วย ฉันแค่ให้แกทำงานของแกไป ก็แกดันรับอาสุกิจมาเป็นลูกค้าแล้วนี่ ส่วนเรื่องมีโชค ฉันมั่นใจว่าฉันทำได้ แกไม่ต้องห่วงหรอก”
น่านฟ้าฮึกเหิมมาก

ตอนเช้า ภายในสวนสาธารณะร่มรื่น ผู้คนมาวิ่งออกกำลังกายกันมากมาย มัศยาใส่ชุดวอร์มวิ่งกระหืดกระหอบแทบขาดใจอยู่ในทางวิ่ง สักพักก็หยุด เดินโซซัดโซเซ เข้าไปพิงต้นไม้ เหนื่อยมาก
“อะไรเนี่ย วิ่งได้สิบนาทีจะตายแล้วเหรอ”
เวลาเดียวกันนั้น น่านฟ้ามาหามัศยาที่บ้าน คุยกับสมใจแล้วแปลกใจ
“อะไรนะครับ เจ๊หยีเนี่ยนะออกไปวิ่งออกกำลังกาย”
“ใช่ค่ะ เห็นออกไปแต่เช้ามืดแล้ว”
“ผีนักกีฬาสิงรึไงนะ”
“คุณน่านเข้ามารอในบ้านก่อนสิคะ เดี๋ยวหยีก็คงมาแล้วค่ะ”
“ผมว่าผมไปดูเองดีกว่า คุณน้าบอกได้มั้ยครับว่าเขาไปที่ไหน”
สมใจครุ่นคิด

น่านฟ้าเดินไปตามทางเดินสวนสาธารณะ กวาดสายตามองหามัศยาไปด้วย
“เจ๊หยีอยู่ไหนวะ”
น่านฟ้าเดินไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เห็นมัศยาสักที
“เฮ้อ สงสัยจะสวนกันแน่ๆ”
น่านฟ้าหยุดยืนเซ็งๆ ทันใดนั้นเองเสียงของมัศยาก็ดังขึ้น
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
น่านฟ้าชะงัก หันไปเห็นมัศยานอนแผ่อยู่กับพื้นหญ้าก็ตกใจ
“เจ๊”
น่านฟ้าพามัศยากลับมาบ้าน เอายาดมให้ พลางบ่นไปด้วย
“นี่แหละน้าคนเรา ไม่เจียมสังขาร ดูซิ เกือบไปตายแถวนั้นแล้วมั้ยล่ะ”
“อย่ามาซ้ำเติมกันได้มั้ย”
“ก็มันน่ามั้ยล่ะเจ๊ นี่ผมถามจริงๆ เถอะ นึกยังไงถึงออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งคนเดียวแบบนั้น อายุอานามก็ไม่ได้น้อยแล้วนะ เกิดช็อคตายขึ้นมาจะว่าไง”
“ฉันประเมินร่างกายฉันได้ละกันน่า”
“เหรอ แล้วดูสภาพสิ นี่ถ้าผมไม่อยู่นั่นจะเป็นไง ใครจะช่วยเจ๊”
มัศยาค่อยๆ ลุกขึ้นตั้งท่าจะด่า
“นี่”
น่านฟ้ารีบประคองมัศยาไว้ ทำให้ใบหน้าใกล้ชิดกันมาก มัศยารู้ตัวก็ผละออก
“ฉันดีขึ้นแล้ว เดี๋ยวจะลุกอาบน้ำแล้วล่ะ”
“แน่ใจเหรอว่าไหว เพิ่งเป็นลมมาหยกๆ เนี่ยนะ”
“ฉันน่ะถึกนรกเดนตายจะตายไป แค่นี้ไม่เป็นไรหรอกน่า”
มัศยาลุกจากเตียงหันไปคว้าผ้าเช็ดตัว

“คุณไปรอข้างล่างไป เดี๋ยวฉันตามลงไป”

น่านฟ้าถอนหายใจเดินไปที่ประตู
 
“ไม่ต้องรีบมากก็ได้นะ เดี๋ยวเกิดเป็นลมหัวฟาดพื้นขึ้นมาจะแย่”
“รู้แล้วน่า”
น่านฟ้ากำลังจะออกไป ก็นึกขึ้นได้หันกลับมา
“ทีหลังดูแลตัวเองดีๆ หน่อยนะ ผมเป็นห่วง”
มัศยาชะงัก รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก น่านฟ้าเดินออกไป มัศยายิ้มดีใจ

ป้ามะลิยกถาดใส่ข้าวเกรียบสมุนไพรเดินเข้ามาหาน่านฟ้าและมัศยา ทั้งสองหลับตาพริ้มสูดกลิ่นข้าวเกรียบอย่างตื่นเต้น
“หอมจังเลยค่ะป้า”
“น่ากินสุดๆ เลยครับป้า”
ป้ามะลิหันมาแสยะยิ้มอย่างมั่นใจ
“แหงล่ะ มะลิซะอย่าง ทำข้าวเกรียบได้ทุกรส ยกเว้นรสไม่อร่อย ไม่เชื่อก็ลองชิมดูสิ”
น่านฟ้าและมัศยารีบหยิบขึ้นมาชิมทันที ทั้งสองคนหันมามองหน้ากันทึ่งๆ
“หืม รสชาติเทพสุดๆ เลยครับป้า”
“อร่อยอย่างที่ไม่เคยกินมาก่อนเลยค่ะ”
ป้ามะลิปาดเหงื่อ นั่งพัก
“อ่ะ อยากได้ข้าวเกรียบเด็ดๆ ข้าก็ช่วยจัดให้แล้ว ทีนี้อยากได้อะไรอีก”
น่านฟ้ากับมัศยามองหน้ากัน

วันต่อมา สุกิจและภูริชเดินเข้ามาในบริษัท เห็นพนักงานเดินเข้าออฟฟิศกันวุ่นด้วยความตื่นเต้น
“เป็นอะไรกัน ทำไมดูคึกคักกันแต่เช้า”
ภูริชมองตามด้วยความแปลกใจ
“นั่นสิครับ น่าจะมีเรื่องด่วนอะไรแน่ๆ”
วิภากับต๋องเดินเข้ามา
“อ่อ มาแล้วเหรอสุกิจ เดี๋ยวเข้าห้องประชุมเลยนะ พี่มีเรื่องสำคัญจะแจ้งกับทุกคน”
“ครับพี่วิภา”
“ต๋อง บอกผู้บริหารทุกคนไปที่ห้องประชุมเลยนะ”
“ครับคุณท่าน”
ต๋องรีบเดินเข้าไปทันที วิภารีบตามไป สุกิจกับภูริชมองหน้ากันสังหรณ์ใจแปลกๆ

บรรยากาศภายในห้องประชุมคึกคักมาก พนักงานรอกันเต็มไปหมด วิภาและต๋องเดินเข้ามา วิภานั่งประจำที่ที่ปรึกษา ข้างๆ ที่ประธาน
“เชิญทุกคนนั่งได้ อีกเดี๋ยวประธานก็มาแล้วล่ะ”
“ท่านประธานเรียกประชุมกะทันหัน ไม่ทราบมีเรื่องอะไรด่วนเหรอครับคุณท่าน”
“ฉันเองก็ยังไม่รู้ แต่คงเป็นงานด่วนนั่นแหละ”
พนักงานมองหน้ากัน สุกิจและภูริชเดินเข้ามานั่งประจำที่
“ทำไมป่านนี้นายน่านยังไม่มาล่ะครับ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เขามาแน่”
จังหวะนั้น น่านฟ้ากับมัศยาก็ก้าวเข้ามาในห้อง ทุกคนหันไปมอง เห็นทั้งสองเข้ามาพร้อมหอบห่อข้าวเกรียบเต็มมือ
“เอาล่ะครับทุกคน วันนี้ผมมีข้าวเกรียบมาให้ชิม”
มัศยาเดินแจกข้าวเกรียบให้พนักงานได้ชิมกันคนละห่อ พนักงานมองห่อข้าวเกรียบที่เป็นถุงพลาสติกใสธรรมดากันงงๆ
“ผมอยากให้ทุกคนชิม แล้วช่วยบอกด้วยว่าเป็นยังไง”
วิภารีบแกะห่อข้าวเกรียบแล้วชิมทันที ขณะที่พนักงานทุกคนรวมทั้งสุกิจและภูริชก็ยอมกินแต่โดยดี และแล้วก็มีเสียงอื้ออึงถึงความอร่อยจากทุกคน แม้แต่สุกิจและภูริชยังหันมามองกันทึ่งๆ
“หลังจากชิมแล้ว ดิฉันอยากให้ทุกคนช่วยลงความเห็นว่า ข้าวเกรียบรสสมุนไพรทั้งหมดนี่ อร่อยพอจะเปิดตัวเป็นข้าวเกรียบรสใหม่ของมีโชคมั้ยคะ”
“อร่อยกว่าสูตรเดิมอีกครับ”
พนักงานคนหนึ่งบอก พนักงานคนอื่นพยักหน้าเห็นด้วย
“ที่ผมเรียกทุกคนมาในวันนี้ ก็เพื่อจะบอกว่า ได้เวลาที่ทุกคนต้องทำงานหนักกันแล้ว เพราะนับจากวันนี้ไป ทุกคนจะต้องช่วยกันผลักดันข้าวเกรียบสมุนไพรออกสู่ท้องตลาดให้เร็วที่สุด”
“แล้วถ้ามันเกิดไม่เวิร์คขึ้นมาจะทำไง” สุกิจขัดขึ้น
“ก็ไม่ทำไงครับ ผมก็ยินดีลงจากตำแหน่งประธานตามที่ได้รับปากไว้สิครับ”
สุกิจชะงัก ทึ่งมาก
“คราวนี้ มาถึงแผนการตลาดของเรานะคะ ดิฉันกับท่านประธานได้ร่างไว้คร่าวๆ และอยากให้ทุกคนปฏิบัติตามค่ะ”
มัศยาหันไปหยิบซองเอกสาร และดึงเอกสารออกมาแจกให้ทุกคน วิภาหันไปยิ้มให้น่านฟ้าอย่างภาคภูมิใจ น่านฟ้ายักคิ้วใส่มั่นใจมาก

เวลาต่อมา ต๋องกับมัศยายืนคุยกันด้วยความตื่นเต้น
“วันนี้ผมบอกเลยว่าคุณน่านของเราโคตรหล่อเลยอ่ะ เจ๊เห็นหน้านายสุกิจกับนายภูริชตอนชิมข้าวเกรียบมั้ย รู้เลยว่าอยากจะกินมันทั้งห่อ แต่ต้องวางฟอร์มเอาไว้”
ต๋องหัวเราะสะใจมาก
“ต้องขอบคุณป้ามะลิด้วย ที่ช่วยคิดสูตรให้ ไม่งั้นป่านนี้ฉันกับคุณน่านก็คงยังงมกันอยู่เลย”
“นึกแล้วตื่นเต้นนะเจ๊ เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วัน ไม่รู้ว่าคุณน่านจะพิสูจน์ตัวเองทันมั้ย”
“ต้องทันสิ ฉันเชื่อในตัวประธานของเรา”
ต๋องชะงักมองมัศยาแซวๆ
“แหมๆๆ เมื่อก่อนมองเขาไม่เอาถ่าน เดี๋ยวนี้มั่นอกมั่นใจจริงนะ”
“ฉันดูจากผลงานย่ะ แล้วก็ไม่ชอบตั้งแง่อคติใครด้วย เห็นยังไงก็ว่าไปอย่างนั้น”
ต๋องมองมัศยาหัวจรดเท้าอย่างสังเกต
“ว่าแต่ ทำไมเดี๋ยวนี้เจ๊ดูสวยขึ้นผิดปกติ ดูซิ มีทาป่งทาปาก เสื้อผ้าก็ไม่เชยเหมือนเมื่อก่อนด้วย นี่กำลังอินเลิฟรึเปล่าเนี่ย”
มัศยาอายหน้าแดง แต่แกล้งทำเป็นโมโห
“ฉันจะเป็นไงก็เรื่องของฉัน ชอบยุ่งจริงๆ เลย”

มัศยาเดินออกไปอย่างหงุดหงิด ต๋องรู้ทันขำๆ

หลังจากเสร็จการประชุมใหญ่ วิภาตบบ่าน่านฟ้าอย่างภูมิใจ
 
“ฉันดีใจนะที่แกหันมาทุ่มเทเพื่อมีโชค”
“ผมเหลวไหลมานาน ได้เวลาชดใช้ความผิดแล้วครับแม่ใหญ่”
“มันไม่ใช่การชดใช้หรอกตาน่าน ยังไงทุกอย่างในมีโชคก็เป็นของแก ฉันน่ะไม่มีทายาทที่ไหนแล้ว จะมีก็แต่แกนี่แหละ”
น่านฟ้าคว้ามือวิภาจากบ่าตัวเองมาแนบแก้ม
“แม่ใหญ่ก็เหมือนแม่ของผมอีกคนครับ”
วิภาน้ำตาซึมด้วยความตื้นตัน น่านฟ้าชะงัก
“อ้าว ร้องไห้ทำไมครับ ผมพูดอะไรผิดรึเปล่า หรือว่าจริงๆ แม่ใหญ่รังเกียจผม ไม่อยากให้ผมเป็นลูกเหรอครับ”
วิภาหัวเราะไปปาดน้ำตาไป
“ใครบอกล่ะ ฉันแค่นึกถึงตาวิช ถ้าตอนนี้ตาวิชยังอยู่ แกสองคนก็คงดูแลกันได้ดี แกเองก็ไม่ต้องเหนื่อยคนเดียวแบบนี้”
น่านฟ้าลุกขึ้นโอบวิภาปลอบใจ
“ถึงไม่มีพี่วิช ผมเองก็ดูแลตัวเองได้ครับ แล้วก็ดูแลแม่ใหญ่ได้ด้วย”
วิภามองน่านฟ้าอย่างตื้นตัน
“ขอบใจแกมากนะตาน่าน ทำไมเราไม่พูดกันดีๆ แบบนี้ตั้งนานแล้วนะ”
“ตอนนี้ก็ไม่ได้สายไปนี่ครับ ไม่มีอะไรสายเกินไป สำหรับการเริ่มต้นใหม่หรอกครับแม่ใหญ่”
วิภายิ้มรับอย่างมีความสุข

ภายในฟิตเนสแห่งหนึ่ง มีคนออกกำลังมากมาย มัศยานั่งคุยกับพนักงานฟิตเนสอยู่
“สำหรับการเริ่มต้นออกกำลังกาย หนูแนะนำคุณพี่จ้างเทรนเนอร์ส่วนตัวนะคะ”
มัศยาลังเล ไม่แน่ใจ
“จำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“จำเป็นสิคะ เอ่อ ขอโทษนะคะ คือหนูมองว่าอายุคุณพี่ขนาดนี้ การลดน้ำหนักมันต้องใช้เวลาพอสมควร ถ้าคุณพี่อยากลดอย่างรวดเร็ว ต้องเบิร์นอย่างถูกวิธีค่ะ”
มัศยาหน้าเจื่อน
“งั้นจัดมาเลยค่ะ ขอเทรนเนอร์ที่คิดว่าเชี่ยวที่สุด และสามารถทำให้ฉันหุ่นดีได้เร็วที่สุด จัดมาแบบโหดๆ เลยค่ะ ฉันสู้เต็มที่”
มัศยาฮึกเหิมมาก
“งั้นสักครู่นะคะ”
พนักงานเดินไปด้านหลัง มัศยามองคนออกกำลังกายอย่างคึกคัก แล้วหน้าเจื่อนไม่รู้ว่าตัวเองจะไหวหรือไม่ สักพักพนักงานก็เดินเข้ามา
“มาแล้วค่ะคุณพี่”
มัศยาหันไปเห็นเทรนเนอร์ก้ามยักษ์ ก็สะดุ้งโหยง
“คนนี้เหรอคะ”
“คนนี้แหละค่ะ เทรนเนอร์ที่จะทำให้คุณพี่ผอมได้อย่างรวดเร็ว”
เทรนเนอร์กล้ามใหญ่เดินเข้ามาหามัศยาแล้วเบ่งกล้ามใส่ มัศยากลืนน้ำลาย จากนั้นเทรนเนอร์ก็ให้มัศยาวิ่งบนลู่วิ่ง โดยเทรนเนอร์ยืนคุมอยู่ สักพักมัศยาทนไม่ไหวรีบปิดเครื่อง
“ปิดทำไมครับ ยังไม่ครบเวลาเบิร์นเลย”
“ไม่ไหวค่ะ เหนื่อยจะตายแล้ว”
“ไม่ได้นะครับคุณพี่ ถ้าคุณพี่ถอดใจ แล้วเมื่อไหร่จะผอม”
มัศยาได้ยินก็ชะงักทันที
“นั่นสินะ เราต้องผอม ต้องหุ่นดีกว่ายัยแอนนาให้ได้”
มัศยามาดมั่นก้าวขึ้นเหยียบลู่วิ่งอีกครั้ง
“โอเคค่ะ งั้นเริ่มกันใหม่เลย”

ตอนค่ำ น่านฟ้ามาหามัศยาที่บ้าน เขานั่งคุยกับสมใจด้วยความแปลกใจ
“อะไรนะครับ เจ๊แกยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ”
“ค่ะ เห็นบอกว่าติดธุระสำคัญ กลับดึก”
“ธุระสำคัญเหรอ”
นะดีคว้ามือน่านฟ้าคะยั้นคะยอ
“อาน่านอย่าเพิ่งรีบกลับนะคะ อยู่ช่วยนะดีทำการบ้านก่อน”
สมใจหันไปดุนะดีทันที
“ไม่เอาลูกนะดี อย่างรบกวนอาน่านสิ”
น่านฟ้ามองนะดี ตัดสินใจ

กลางคืน มัศยากลับมาบ้าน เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนนะดี เห็นน่านฟ้าฟุบหลับข้างนะดี โดยมีหนังสืออยู่บนอกก็ตกใจ เข้าไปสะกิดเรียกน่านฟ้า
“คุณน่าน”
น่านฟ้างัวเงียไม่รู้ตัว
“อย่ากวนสิ คนจะนอน”
มัศยาเขย่าตัวน่านฟ้าแรงขึ้น
“คุณน่าน ตื่นได้แล้ว”
น่านฟ้าปัดมือมัศยาออก แล้วทำจมูกฟุดฟิด
“ใครไปกอดหมาเน่ามาวะ เหม็นจริง”
มัศยาชะงัก ดมรักแร้ตัวเองแล้วเบ้หน้า
“บ้าจริง หลับอยู่ยังปากเสียอีก”
มัศยาทนไม่ไหว เลยกระชากแขนน่านฟ้าขึ้นมาทันที
“คุณน่าน ลุกเดี๋ยวนี้เลยเร็ว”
น่านฟ้าตื่นขึ้น นั่งกวาดสายตางงๆ
“อ้าวเจ๊ กลับมาแล้วเหรอ แล้วนี่ไปทำอะไรมา ทำไมตัวเหม็นหึ่งขนาดนี้”
“กลับบ้านไปได้แล้วไป มานอนอะไรที่นี่”
“ก็ผมมารอเจ๊น่ะสิ อยู่ๆ ก็หายไปเลย โทรหาก็ปิดเครื่อง เจ๊ไปไหนมาอ่ะ”
มัศยาอึกอักไม่รู้จะตอบอย่างไร น่านฟ้าสังเกตเห็นชุดออกกำลังกายของมัศยา
“นี่อย่าบอกนะว่าไปออกกำลังกายมา”
“เรื่องของฉัน คุณกลับไปได้แล้ว ไป เร็วสิ”
มัศยาดึงน่านฟ้าให้ลุกขึ้น
“โอเคๆ กลับก็กลับ แล้วนี่จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าผมมารอเจ๊ทำไม”
มัศยาชะงักนึกขึ้นได้
“นั่นสิ แล้วคุณมารอฉันทำไม”
“ก็ทุกทีผมคอยไปรับไปส่งเจ๊ตลอด นี่อยู่ๆ เจ๊ก็หายตัวไป ผมเลยเป็นห่วงน่ะสิ เลยต้องมาดูให้เห็นกับตาว่าเจ๊ปลอดภัยดี”
มัศยาหน้าแดง เขินๆ
“ตอนนี้ฉันมีรถใช้แล้ว ไม่ต้องรบกวนคุณแล้วล่ะ”
“โห นี่พอมีรถใช้เลยทิ้งกันเลยเหรอ”
“ไม่ดีเหรอ คุณจะได้มีอิสระ ไม่ต้องมาคอยรับคอยส่งฉันไง ไปได้แล้ว ฉันจะพักผ่อน”
มัศยาผลักน่านฟ้าออกจากห้อง แล้วผลักให้เดินออกจากรั้วบ้าน
“ไปๆๆๆ กลับไปได้แล้ว”
น่านฟ้าหันมาทำหน้าน้อยใจ
“อะไรเนี่ย ไล่กันเหมือนหมูเหมือนหมา มีอะไรปิดบังผมรึเปล่าเนี่ย”
มัศยาชะงัก แต่แกล้งเฉไฉ
“ไม่มี ถึงมีก็ไม่บอก”
“โอเค เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับผมนะ จำไว้เลย งอนแล้วด้วย”
น่านฟ้าหันหลังเดินออกไปเลย มัศยาปิดประตูรั้วบ้านทันที น่านฟ้าหันกลับมาเห็นมัศยาปิดบ้านก็งงๆ
“อ้าว นี่จะไม่ง้อกันเลยรึไง”
มัศยาเดินเข้ามาในบ้าน ก้มลงดมเสื้อตัวเองก็เบ้หน้า

“บ้าจริง ทำไมต้องมาเห็นฉันสภาพนี้ด้วยนะ”

คืนนั้นน่านฟ้านัดปารณออกมาเจอที่ร้านอาหาร ปารณฟังที่น่านฟ้าเล่าแล้วฟันธงทันที
 
“ชัวร์เลย ต้องมีความลับกับแกแน่ๆ”
น่านฟ้าครุ่นคิดกังวล
“แกคิดอย่างนั้นจริงเหรอ”
“แหงดิ ปกติแกกับเจ๊โหดของแก ตัวติดกันจนจะสิงกันอยู่แล้ว นี่อยู่ๆ เขาหลบหน้าหลบตาแก แสดงว่าเขาต้องตั้งใจปิดบังอะไรแกแหงๆ”
“แล้วแกคิดว่าเจ๊เขาจะปิดอะไรฉันวะ”
“แกบอกว่าเขาเพิ่งเลิกกับแฟนไม่ใช่เหรอ จะเป็นไปได้มั้ยวะว่า เขากำลังกิ๊กกับใครคนใหม่”
น่านฟ้าหน้าเสีย กังวล
“ทำไมแกคิดอย่างนั้นวะ”
“ฉันก็แค่สันนิษฐานเฉยๆ จริงๆ คนที่น่าจะรู้ดีที่สุดน่าจะเป็นแกนะเว้ย เพราะแกใช้เวลาอยู่กับเจ๊แกเยอะที่สุดไม่ใช่เหรอ”
น่านฟ้าหน้าจ๋อยไป

ตอนดึก น่านฟ้านั่งเล่นเกมอย่างเซ็งๆ อยู่ในคอนโดฯ แอนนานั่งอยู่ด้วย มองอย่างแปลกใจ
“แอนไม่เข้าใจคุณเลยน่าน คุณโทรตามแอนให้มาหา เพื่อจะมานั่งดูคุณเล่นเกมแค่นี้เหรอคะ”
“ผมแค่อยากมีใครสักคนอยู่ด้วย แต่ถ้าคุณเบื่อจะกลับก็ได้นะ”
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะคะ คุณเหงา แอนก็พร้อมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณอยู่แล้ว”
แอนนาเข้าไปซบไหล่น่านฟ้า อ้อนใส่
“นานๆ เราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันเหมือนเมื่อก่อนสักที แอนดีใจนะคะที่อย่างน้อยน่านก็ยังนึกถึงแอน”
น่านฟ้าเล่นเกมสีหน้าเย็นชา
“นี่คือข้อดีของคุณเลยนะแอน คือไม่เซ้าซี้ผมมาก”
“ก็แอนรู้ใจคุณนี่คะ ว่าคุณชอบอะไรไม่ชอบอะไร ที่สำคัญ ความรู้สึกของแอนที่มีต่อน่าน ยังเหมือนเดิมทุกอย่างนะคะ”
น่านฟ้าชะงัก วางเกมลง หันมาสบตาแอนนา
“คุณไม่คิดบ้างเหรอว่า คนที่เปลี่ยนไปคือผมต่างหาก”
“ถึงคุณจะเปลี่ยน แอนก็จะทำทุกอย่างให้คุณกลับมารักแอนเหมือนเดิมค่ะ”
น่านฟ้ามองแอนนาหวั่นไหวนิดๆ
“ทำไมคุณถึงไม่ทิ้งผมไปล่ะแอน”
“คนที่จะเปลี่ยนใจไปง่ายๆ มีแค่ 2 เหตุผลค่ะ คือไม่รัก หรือไม่ก็รักคนอื่นไปแล้ว”
น่านฟ้าสะอึก รู้สึกเจ็บปวดบอกไม่ถูก

กลางดึก น่านฟ้านอนก่ายหน้าผากเครียดมาก พลันเสียงของปารณดังก้องในความคิด
“แกบอกว่าเขาเพิ่งเลิกกับแฟนไม่ใช่เหรอ จะเป็นไปได้มั้ยวะว่า เขากำลังกิ๊กกับใครคนใหม่”
น่านฟ้าถอนหายใจ เซ็งมาก
เวลาเดียวกันนั้น มัศยาเปิดหนังสือฝึกโยคะ ก่อนจะฝึกโยคะบนที่นอน แล้วทนไม่ไหว หยุดพักนั่งเซ็ง
“เฮ้อ ทำไมแค่อยากจะผอม มันถึงต้องลำบากอย่างนี้นะ”
มัศยาถอนหายใจ ระอาตัวเอง

ตอนเช้า สุกิจกับภูริชมาที่สนามไดรฟ์กอล์ฟ พนักงานคนหนึ่งเดินเข้ามาหาสุกิจ สุกิจเห็นเข้าก็ยิ้มรับ รีบวางไม้กอล์ฟ
“มาแล้วเหรอ สั่งอะไรก่อนมั้ย”
“ไม่เป็นไรครับคุณสุกิจ ไม่ทราบคุณสุกิจตามตัวผมมาแต่เช้า มีเรื่องอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ”
“อ่ะ ผมไม่อ้อมค้อมเลยละกัน ในฐานะที่คุณเป็นคนเก่าคนแก่ แล้วก็ดูแลฝ่ายบุคคล ผมอยากให้คุณช่วยคุยกับคนของเราให้หน่อย เรื่องข้าวเกรียบตัวใหม่ของประธาน”
พนักงานงงๆ ภูริชรีบออกตัวอธิบายทันที
“คืออย่างนี้นะ ตอนนี้คุณก็รู้ว่าบริษัทเรากำลังวิกฤตแค่ไหน คุณสุกิจเป็นห่วงว่า ขืนปล่อยให้เวลาผ่านไปนานกว่านี้ บริษัทจะแย่จนกู่ไม่กลับ ลำพังผลงานของประธาน ก็ยังไม่เห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน”
“แต่เท่าที่ได้ลองชิมข้าวเกรียบสูตรใหม่ของท่านประธาน ผมว่าก็อร่อยดีนะครับ”
“เราไม่ได้ขายข้างเกรียบที่ตลาดนัด บริษัทเราระดับไหนคุณก็รู้ จะให้มาทำเหมือนเล่นขายของแบบเด็กๆ คงไม่ไหว”
“ถ้างั้นจะให้ผมทำยังไงเหรอครับ”
สุกิจพยักเพยิดกับภูริช ภูริชเปิดกระเป๋าเอกสาร หยิบเช็คออกมาใบหนึ่ง วางตรงหน้าพนักงาน
“คุยกับพนักงานของเรา ไม่ให้ช่วยงานประธาน ถ้าประธานพิสูจน์ตัวเองไม่ได้ ก็ต้องยอมลาออกไป ถึงตอนนั้น นอกจากเงินนี่แล้ว คุณสุกิจอาจจะยกตำแหน่งระดับผู้บริหารให้คุณด้วย”
พนักงานมองเช็คตาโตด้วยความสนใจ

สุกิจ ภูริช และพนักงานเดินหัวเราะร่ามาด้วยกันที่บริเวณลานจอดรถ รถของปารณแล่นเข้ามาจอดบริเวณใกล้ๆ ขณะเปิดท้ายรถยกถุงกอล์ฟออกมา ปารณเหลือบไปเห็นสุกิจ ภูริช และ พนักงาน ก็มองด้วยความสนใจ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป จากนั้นเขานัดเจอกับนิรชา เอารูปในโทรศัพท์ซึ่งมีหน้าพนักงานคนนั้นให้นิรชาดู
“ฉันไม่รู้จักหรอกค่ะ”
“งั้นเหรอ สงสัยคงต้องถามไอ้น่านแทนล่ะมั้ง”
“ทำไมคุณถึงสนใจผู้ชายคนนี้ล่ะคะ”
“เพราะฉันคิดว่า นายสุกิจกำลังคิดวางแผนเล่นงานไอ้น่านอีกน่ะสิ คนอย่างนี้ไว้ใจได้ที่ไหน”
“เอาอย่างนี้มั้ยคะ เดี๋ยวฉันไปสืบให้เอง ว่านายสุกิจกำลังทำอะไรอยู่”
ปารณชะงักมองนิรชาอย่างเป็นห่วง
“อย่าเลย มันเสี่ยงเกินไป เกิดนายสุกิจจับได้เธอจะเป็นอันตรายนะ”
“เท่าที่ทำอยู่มันก็เสี่ยงอยู่แล้ว ให้ฉันทำอีกสักเรื่องจะเป็นไรไปคะ ฉันอยากตอบแทนอะไรพวกคุณบ้าง”
“ขอบใจนะ แต่ไว้ให้จำเป็นจริงๆ ค่อยว่ากันดีกว่า”
“งั้นก็ตามใจค่ะ”
นิรชาขยับเก้าอี้ ซองเอกสารร่วงลงพื้น เธอก้มลงเก็บ เป็นซองหลักฐานการศึกษาของเธอ ปารณเห็นก็สงสัย
“เอกสารอะไรเหรอ”
“อ๋อ พอดีฉันตั้งใจจะหางานทำค่ะ กะว่าถ้าแยกกับคุณจะไปสัมภาษณ์งานที่หนึ่ง”
“อยากได้งานทำไมไม่บอกฉันล่ะ”
“ก็ฉันเกรงใจคุณนี่คะ”
ปารณแย่งเอกสารมาจากมือนิรชาทันที
“ฉันรับเธอเข้าทำงานแล้ว ไม่ต้องไปสัมภาษณ์ที่ไหนทั้งนั้น”
“คุณปารณ”
“ฉันพูดจริงๆ พรุ่งนี้เธอมาที่ออฟฟิศฉันได้เลย เดี๋ยวฉันจะหาตำแหน่งลงให้ ตกลงตามนี้นะ”

ปารณจริงจัง ทำเอานิรชาตั้งตัวไม่ติด

จบตอนที่ 9
 
อ่านต่อตอนที่ 10
กำลังโหลดความคิดเห็น