xs
xsm
sm
md
lg

บ้านศิลาแดง ตอนที่ 10

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บ้านศิลาแดง ตอนที่ 10

เพ็ญพรนัดทานข้าวกับสุดา ก่อนจะเล่าวีรกรรมของครัยให้ฟังแบบปลื้มๆ อีกฝ่ายรีบถามขึ้นมาทันที

“ถามอะไรหน่อยสิ แกรู้สึกยังไงกับพี่ชายฉัน”
คนถูกถามหน้าแดงขึ้นมาทันที แต่ทำเสียงแข็งกลบเกลื่อน
“แกจะถามทำไม ฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนี่ เลิกพยายามจับคู่ฉันกับพี่แกสักทีเถอะ ฉันว่าพี่ชายแก เค้าแอบชอบพี่สาวฉันอยู่นะ”
สุดารีบค้าน “ไม่จริง พี่ตรัยเค้าชอบผู้หญิงแข็งๆ แล้วก็กวนตีนแบบแกต่างหาก”
“ไอ้บ้า นี่หลอกด่าฉันเหรอ พี่ตรัยเค้าจะชอบฉันได้ไง เค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในโลกนี้มีฉันอยู่”
“แกก็บอกให้เค้ารู้สิ จะได้เคลียร์ๆ กันไปเลย”
เพ็ญพรชะงักอย่างไม่สบายใจ
“แล้วพี่พรล่ะ เค้าสองคนสนิทกันมาก่อนนะ พี่พรเค้าคิดยังไงกับพี่ชายแกก็ไม่รู้ รู้ไว้อย่างหนึ่งนะยัยดา ยังไงฉันก็ไม่แย่งของของพี่พรเด็ดขาด”
พูดพลางตักข้าวกินต่อเหมือนไม่สนใจอะไร

พรเพ็ญที่กำลังดูแลป้อนข้าวเอกสิทธิ์อยู่ เห็นอาการของพ่อเริ่มดีขึ้นก็ยิ้มอย่างสบายใจ ขณะที่อีกฝ่ายแววตาสลด เพราะความรู้สึกผิดต่อเดือนฉาย
พรเพ็ญยกถาดอาหารเข้ามาในครัว ก่อนจะบอกกับเดือนฉายที่กำลังเก็บของอยู่
“แม่คะ พรคิดถึงน้องจังค่ะ ถ้าเราได้อยู่พร้อมหน้ากัน 4 คนคงดีกว่านี้”
“แม่ก็อยากให้น้องกลับมา แต่ยัยเพ็ญน่ะดื้อมาก ไม่รู้เอานิสัยนี้มาจากใคร”
พรเพ็ญหน้าเศร้า “สักวันหนึ่ง ครอบครัวเราจะได้อยู่ด้วยกัน ใช่ไหมคะ”
“แม่รับปากคุณตาแล้ว ถ้าพ่อเขาดีขึ้นเมื่อไหร่ ก็ต้องย้ายออกไปจากที่นี่”
พออีกถามว่าจะให้อภัยเอกสิทธิ์ไม่ได้เชียวหรือ เดือนฉายก็รีบตัดบท แล้วเดินเลี่ยงออกไป

เดือนฉายเดินเข้าหยุดที่หน้าห้องเอกสิทธิ์ที่เปิดประตูทิ้งไว้ พลางมองเข้าไปเห็นอีกฝ่ายนอนหลับตาอยู่ ก็ขยับตัวทำท่าเหมือนจะเข้าไปในห้อง เคนเดินผ่านมาเห็น แกล้งกระแอมเป็นเชิงห้าม
“ทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง ทำอะไรไว้ก็ต้องชดใช้ ไม่ต้องไปเห็นอกเห็นใจมันนักหรอก มีแต่คนโง่ที่เจ็บแล้วไม่รู้จักจำ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกพ่อ ฉันไม่ใช่คนลืมง่าย”
พูดพลางก็เดินหนีไป เคนมองตามอย่างเป็นห่วง

“ฉันว่าเราต้องไล่นังพรออกไปจากที่นี่”
จู่ๆ สโรชาก็โพล่งออกมา หลังจากที่เดินไปเดินมาหน้าเครียดอยู่หลายรอบ เชาว์รีบห้าม
“เฮ่ย ไม่ได้ คนอื่นเขาจะคิดยังไงกับเธอ โดยเฉพาะไอ้ทนายนั่น เธออาจจะมีปัญหาก็ได้นะ”
“แล้วแกจะให้มันอยู่เป็นหอกข้างแคร่เราต่อไปอย่างนี้เหรอ ท่าทางมันร้ายขึ้นทุกวัน บอกตามตรง ฉันไม่สบายใจเลย”
เชาว์รีบอ้างเหตุผลว่าเก็บไว้ใกล้ตัวจะดีกว่า เพราะอย่างน้อยก็อาจจะรู้ว่าอีกฝ่ายพาเอกสิทธิ์ไปซ่อนไว้ที่ไหน
“นังพรมันไม่ทิ้งพ่อมันอยู่แล้ว ถ้าเราจับตามองมันไว้ ต้องเจอไอ้เอกสิทธิ์แน่ ทนอีกหน่อย ลองทำดีให้มันตายใจสิ นังเด็กนั่นรู้ไม่ทันเรา 2 คนหรอก”
พูดพลางหัวเราะหึๆ อย่างมั่นใจ ตรงข้ามสโรชาที่นิ่วหน้า อย่างเป็นกังวล

ที่โต๊ะอาหาร ทุกคนนั่งกันพร้อมหน้า เพ็ญพรเดินเข้ามาเหลือบมองนิดหนึ่งแล้วทำท่าจะเดินออกไป เชาว์รีบกระแอมเป็นเชิงเตือน สโรชาฝืนยิ้ม ก่อนจะออกปากชวนอีกฝ่ายให้ร่วมโต๊ะอย่างเสียไม่ได้
“หนูพร ทานข้าวเช้าด้วยกันก่อนสิจ๊ะ ไม่ต้องรีบไปบริษัทหรอก เดี๋ยวหนูค่อยนั่งรถออกไปพร้อมตาณัฐก็ได้”
ทุกคนในโต๊ะทำหน้างงกับท่าทีของสโรชา ตรงข้ามกับเพ็ญพรที่มองอย่างรู้ทัน
“ฉันไปเองดีกว่าค่ะ ขี้เกียจรอ ป่านนี้ลูกชายคุณตื่นหรือยังเถอะ”
พลางแกล้งหันไปไหว้ป้าแจ่มแล้วเดินออกไป สโรชายิ่งหงุดหงิด ที่เพ็ญพรไหว้ป้าแจ่ม แต่กลับไม่ไหว้เธอ แต่ต้องพยายามสะกดกลั้นอารมณ์

เพ็ญพรกำลังยืนรอแท็กซี่อยู่ จู่ๆ รถของตรัยก็ปราดเข้ามาจอดเทียบ พลางออกปากเสนอว่าจะไปส่งที่บริษัท เธออิดออดนิดหนึ่ง แต่สุดท้ายก็จำยอมขึ้นรถไปกับเขา
ระหว่างที่นั่งในรถด้วยกัน ตรัยก็ลอบมองอย่างพยายามจับผิด ก่อนจะแกล้งหยั่งเชิง
“คุณจะออกจากบ้านเวลานี้ทุกวันหรือเปล่า พรุ่งนี้ผมจะได้มารับอีก”
“ก็คงประมาณนี้ล่ะค่ะ แต่ไม่ต้องรับมาทุกวันก็ได้ เกรงใจ”
“เกรงใจทำไม พี่เคยบอกน้องพรไว้ว่ายังไง จำไม่ได้เหรอ”
เพ็ญพรหน้าเหวอ
“เอ่อ พี่ตรัยเคยบอกอะไรน้องพรเหรอคะ”
ตรัยแกล้งทำเสียงผิดหวัง
“ว้า น้องพรจำไม่ได้จริงๆน่ะ เอ น้องพรครับ เราสองคนรู้จักกันมากี่ปีแล้วนะ”
เพ็ญพรเริ่มอึกอัก พยายามทำตลกกลบเกลื่อน อีกฝ่ายเลยยิงคำถามต่อ
“ว่าแต่เริ่มคุ้นกับงานที่บริษัทหรือยัง”
“พอได้อยู่ค่ะ ยังงงกับระบบนิดหน่อย แต่คิดว่าทำความเข้าใจได้ไม่ยาก”
“เก่งนี่ครับ พี่ไม่รู้มาก่อนเลยว่าน้องพรจะมีหัวทางธุรกิจด้วย”
เพ็ญพรเริ่มรู้สึกผิดสังเกต แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าซื่อตาใส จนเธอคิดว่าคงไม่มีอะไร
“พรไม่ได้เก่งอย่างที่พี่ตรัยคิดหรอกค่ะ ที่จริง พรมีเรื่องจะขอให้พี่ตรัยช่วยด้วย”
พลางหยิบทัมป์ไดรฟ์ออกจากกระเป๋า
“พรเจอข้อมูลแปลกๆ ค่ะ มีการจ่ายเงินให้บริษัทหนึ่งตั้งหลายรายการ แต่ดูแล้วหาไม่เจอว่าเป็นค่าอะไร พี่ตรัยเช็คเรื่องนี้ให้พรได้ไหมคะ”
ตรัยพยักหน้ารีบ ก่อนจะลอบมองเพ็ญพรอีกครั้ง มั่นใจว่านี่ไม่ใช่พรเพ็ญแน่ๆ

ทางด้านพรเพ็ญเห็นเดือนฉายนั่งอ่านแฟ้มงานของบริษัทสีหน้าเครียด ก็รู้สึกผิด ก่อนจะบอกว่าถ้าเป็นเพ็ญพรน่าจะช่วยงานแม่ได้มากกว่านี้
“น้องเพ็ญทำทุกอย่างได้ดีกว่าพร แต่พรไม่ได้อิจฉาน้องนะคะ แค่เสียใจที่ตัวเองไม่ได้เรื่อง”
“ไม่เอานะพร อย่าคิดอะไรอย่างนั้น เพ็ญเขาเก่งในแบบของเขา ส่วนพรก็มีข้อดีของพรเหมือนกัน บางอย่างน้องทำได้ไม่ดีเท่าพรด้วยซ้ำ”
พรเพ็ญถึงวิทวัส แล้วสลดลงอีก “แต่คนอื่นคงไม่คิดเหมือนแม่หรอกค่ะ”
“คนอื่น ใครจ๊ะ”

ขาดคำวิทวัสก็เดินเข้ามาพอดี เดือนฉายนึกรู้ทันทีว่าที่ลูกสาวพูดนั้นหมายถึงใคร

เคนมองดูบรรดาของเยี่ยมมากมายที่วิทวัสขนมา แล้วส่ายหน้า พลางพูดกระเซ้าว่าขนมาทำไมเยอะแยะ วิทวัสเผลอหลุดปากว่าของบำรุงนั้น นำมาฝากทั้งเคน รวมถึงเอกสิทธิ์ด้วย

ผู้สูงวัยชะงักกึกทันที
“ฝากฉันคนเดียวก็พอ คนอื่นมันไม่เหมาะกับของดีๆ อย่างนี้หรอก”
เดือนฉายได้ฟัง ก็ท้วงขึ้นมาทันที “พ่อ ทำไมพูดแบบนี้ล่ะคะ”
จากนั้นก็ออกปากให้พรเพ็ญพาวิทวัสออกไปเดินเล่น ระหว่างรอทานอาหารเที่ยงด้วยกัน

ขณะที่เดินเล่นด้วยกัน พรเพ็ญเอาก็เอาแต่ทำท่าเก้อเขิน ทำตัวไม่ถูก ลึกๆ แล้วเริ่มรู้สึกหวั่นไหวเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับวิทวัส
“คุณพ่อคุณเป็นยังไงบ้างครับ”
“ดีค่ะ ที่นี่อากาศดี คุณพ่อสดชื่นขึ้นมาก”
“ก่อนหน้านี้คุณไม่เคยพูดถึงท่านเลย ทำไมท่านถึงป่วยขนาดนี้ละครับ”
พรเพ็ญลำบากใจที่จะเล่า
“ผมคงก้าวก่ายเรื่องของคุณมากไป ขอโทษครับ ผมแค่เป็นห่วง ถ้าคุณไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร คุณเพ็ญ คุณคิดว่าผมเป็นเพื่อนคุณหรือเปล่า”
พรเพ็ญหันมามองพลางทำตาปริบๆ จนเขาเป็นฝ่ายเขินแทน
“อย่าทำหน้าแบบนี้บ่อยสิครับ ผมเห็นแล้วใจมันสั่นรู้มั้ย ถ้าคุณมีอะไรให้ผมช่วย บอกได้เสมอ ไม่ต้องเกรงใจนะครับ”
“ที่จริงก็มีเรื่องหนึ่งค่ะ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าจะเหมาะหรือเปล่า ฉันอยากหัดชกมวยค่ะ ฉันอยากปกป้องตัวเองได้น่ะค่ะ คุณวัสรู้จักที่เรียนชกมวยดีๆ บ้างไหมคะ”
วิทวัสมองพรเพ็ญอึ้งๆ แล้วก็พยักหน้ายิ้มๆ
“รู้จักดีเลยล่ะครับ”
ที่แท้เขาก็ทำตัวเป็นครูสอนมวยให้กับเธอเสียเอง
“การป้องกันตัวไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการพาตัวเองออกจากอันตรายให้เร็วที่สุด ดีที่สุดคือคุณต้องรู้จักระวังตัว ทำร่างกายให้แข็งแรง เวลาเกิดอะไรขึ้นจะได้เอาตัวรอดได้ ไม่ใช่วิ่งไป 3 ก้าวแล้วล้มแปะ ลองวิ่งไล่จับกัน ถ้าคุณจับผมได้ ผมค่อยสอนคุณต่อ ผมอยากรู้ว่าคุณวิ่งไหวหรือเปล่า มาสิครับ”
พรเพ็ญมองหน้าเขาแบบงงๆ แต่ก็ออกวิ่งตาม สักพักก็เริ่มสนุก เพราะเขาคอยแกล้งแหย่ให้หัวเราะ แต่ไม่นานนักก็เริ่มหอบเหนื่อย ล้มแปะลงไปนั่งพับเพียบกับพื้น
วิทวัสตกใจ วิ่งกลับมาหา
“คุณเพ็ญ หน้ามืดเหรอครับ”
พรเพ็ญแอบยิ้ม พร้อมกับคว้าแขนอีกฝ่ายหมับ
“ ฉันจับคุณได้แล้ว”

จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการเรียนมวยอย่างจริงจัง เริ่มจากสอนกำหมัดและตั้งการ์ด วิทวัสฟุตเวิร์คโยกหลบไปมาอย่างมั่นใจ พรเพ็ญเริ่มจากชกแบบเก้งๆ กังๆ ก่อนจะเริ่มคล่องขึ้น เร็วขึ้น หนักขึ้น จนอีกฝ่ายโยกหลบไม่ทัน ในที่สุดก็โดนหมัดเข้าเต็มๆ ถึงกับหงายเงิบลงไป เลือดกำเดาไหล
พรเพ็ญรีบเข้าไปดูอาการด้วยความเป็นห่วง แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าซับเลือดให้ เขาจับมือเธอไว้ ก่อนจะมองสบตากัน แบบใกล้ชิดกัน ต่างคนต่างเขิน

เดือนฉายก้มหน้าก้มตาทำกายภาพ โดยไม่ยอมสบตาเอกสิทธิ์ ที่ได้แต่แอบมองเงียบๆ เคนเดินมาหยุดที่หน้าประตู แอบมองอย่างไม่สบายใจ
พอทำเสร็จขั้นตอนสุดท้าย เดือนฉายก็ออกปากให้กอล์ฟช่วยอยู่ดูแลต่อ ก่อนจะทำท่าจะเดินออกไป เอกสิทธิ์เริ่มขยับตัว พยายามจะส่งเสียงเรียก อีกฝ่ายชะงักนิดหนึ่ง แล้วแข็งใจเดินผ่านเคนออกไป
เอกสิทธิ์น้ำตาคลอ ยิ่งรู้สึกผิดต่อเดือนฉาย เคนมองตามลูกสาวอย่างหนักใจ

ขณะช่วยกันทำกับข้าวอยู่ในครัว พรเพ็ญสังเกตเห็นแม่ดูเหม่อๆ ก็ออกปากถามด้วยความเป็นห่วง แต่ฝ่ายหลังรีบบอกว่าไม่เป็นอะไร ก่อนจะเป็นฝ่ายถามกลับ
“พร หนูคิดยังไงกับคุณวิทวัสลูก”
พรเพ็ญได้ยินคำถามก็หน้าเหรอ ตกใจ
“คือ หนู หนูว่าเค้าก็นิสัยดี”
“แม่ก็ว่าอย่างนั้น”
เดือนฉายพูดพลางมองหน้าลูกสาวอย่างสังเกตอาการ พรเพ็ญยิ่งเขินหนัก กำพริกใส่ครกหมดกระจาด แล้วตำอย่างแรง

เคนกับวิทวัสนั่งกินน้ำพริกฝีมือพรเพ็ญถึงกับสูดปากเร่าๆ เพราะความเผ็ดร้อน เดือนฉายเหลือบมองพรเพ็ญ แล้วแอบยิ้มขำๆ

ตรัยนั่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊ค กำลังเช็คข้อมูลตามที่เพ็ญพรขอให้ช่วย ก่อนจะหยิบมือถือมาลองกดเบอร์โทร. ตามที่อยู่บริษัท แต่ติดต่อไม่ได้ พอลองโทร. ไปสอบถามเลขหมายกับ 1133 กลับไม่มีบริษัทชื่อนี้ เขารีบกดวางสาย ด้วยความมั่นใจว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่นอน
จากนั้นก็รีบตรงไปรับเพ็ญพรที่บริษัท ก่อนจะพากันออกไปนั่งคุยกันข้างนอก ถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้

ทางด้านณัฐพงษ์ก็นอนเอกเขนกอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่บ้าน โดยไม่ยอมเข้าบริษัท สโรชาเดินมาเห็นก็โวยวายทันที
“ตาณัฐ ทำไมวันนี้ไม่ไปทำงาน แม่สั่งให้แกจับตาดูนังนั่น ทำไมไม่ทำตาม”
“โธ่แม่ ก็ณัฐไม่อยากทำแล้วอ่ะ ถ้าแม่กลัวนัก ก็ไปเฝ้ามันเองสิ ณัฐเหนื่อย”
ขาดคำก็ผลุนผลันเดินหนีไปอย่างรำคาญ พร้อมกับที่อาภาพรเดินเข้ามาแบมือขอเงิน สโรชา
ยิ่งหงุดหงิด ที่ลูกแต่ละคนไม่ได้ดั่งใจ

ณัฐพงษ์เดินทำหน้าเซ็งออกมาหน้าบ้าน วาทินีรีบปราดเข้ามาพูดกระเซ้า ก่อนจะควักซองยาบ้าโบกยั่ว
“สนมั้ยล่ะ”
ณัฐพงษ์ตาลุกวาวเดินเข้าไปกระชากซองยามาทันที

วาทินีแอบยิ้ม สมใจ
 
อ่านต่อหน้า 2

บ้านศิลาแดง ตอนที่ 10 (ต่อ)

ตรัยกับเพ็ญพรนัดเจอกันที่ร้านอาหาร ก่อนที่ฝ่ายแรกจะรีบบอกสิ่งที่รู้มา

“ไอ้บริษัทที่คุณสงสัยน่ะ มันไม่มีอยู่จริง มันเป็นบริษัทปลอม เบอร์โทร. ที่อยู่ ทุกอย่างเป็นของปลอมทั้งหมด มีแต่เงินที่เบิกจ่ายออกไป ที่เป็นของจริง ใครบางคนกำลังโกงบริษัทของพ่อคุณอยู่ครับ”
“ใช่อย่างที่คิดจริงๆ ด้วย”
เพ็ญพรพูดอย่างเจ็บใจ ตรัยมองอีกฝ่าย พลางนึกเป็นห่วง

จากนั้นตรัยก็ขับรถมาส่งพรเพ็ญที่บ้านศิลาแดง ไม่วายพูดย้ำถึงแผนการของอีกฝ่าย
“ไม่ว่าคุณคิดจะทำอะไร ขอให้บอกผมก่อน ผมรู้ว่าคุณเก่ง แก้ปัญหาด้วยตัวเองได้ แต่คุณไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับทุกอย่างคนเดียว อย่าลืมว่ามีผมอยู่ข้างๆ คุณอีกคนนะครับ ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือ คุณต้องบอกผม ตกลงนะ”
เพ็ญพรพยักหน้ารับคำ รู้สึกดีที่เขาคอยอยู่เคียงข้างเธอตลอด

เช้ารุ่งขึ้น ทันทีที่เพ็ญพรเปิดประตูห้องนอน เตรียมตัวจะออกไปทำงาน ก็เห็นสโรชายืนตีหน้าเศร้าอยู่หน้าห้อง
“น้าอยากให้หนูพาคุณเอกกลับมาที่นี่ น้าจะได้ดูแลอาการคุณเอกได้อย่างใกล้ชิด หนูพาคุณเอกไปอยู่ห่างมดห่างหมอแบบนั้น น้ากลัวว่าคุณเอกจะอาการทรุดหนักกว่าเดิม ถ้าหนูไม่เห็นแก่น้า ก็ถือซะว่าเห็นแก่คุณเอกนะจ๊ะ”
พูดพลางทำเป็นบีบน้ำตาสะอึกสะอื้น เพ็ญพรทำหน้าเซ็งๆ เมื่อรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่าย
“เลิกแอ๊บเถอะค่ะคุณน้า ฉันเห็นแล้วมันขัดลูกกะตาชอบกล ฉันมั่นใจว่าที่ที่ชั้นพาคุณพ่อไปอยู่ จะสามารถดูแลคุณพ่อได้ดีกว่าคุณน้าแน่ๆ”
ขาดคำเสียงข้อความก็ดังเตือนที่มือถือ เธอรีบกดอ่านข้อความ
“ออกมาเจอกันหน่อยได้ไหม พี่จะรออยู่ที่ร้านเดิม ... ตรัย”
เพ็ญพรยิ้มออกมา อาภาพรที่ยืนอยู่กับสโรชา รีบฉกมือถือไปจากมือเพ็ญพร พอเห็นข้อความก็โวยวายเสียงลั่น
“นังพร นังแมวขโมย แกคิดจะแย่งพี่ตรัยของชั้นไปใช่มั้ย”
เพ็ญพรเชิดใส่ ก่อนจะคว้ามือถือกลับมาแล้วเดินลอยหน้าลอยตาออกไป
อาภาพรกรี๊ดสนั่น
“คุณแม่ขา นังพรมันร้ายขึ้นทุกวัน จนภาจะทนไม่ไหวแล้ว คุณแม่ต้องรีบจัดการมันให้ภานะคะ”
“แปลกจริงๆ ด้วย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย หรือว่ามันจะไม่ใช่นังพร”
สโรชามองตามเพ็ญพรไปอย่างสงสัย

ตรัยกับสุดานั่งอยู่ด้วยกันที่ร้านอาหาร ฝ่ายหลังนั่งหันหลังให้ทางเข้า ส่วนเขาหันหน้าออก พลางมองไปที่ทางเข้าตลอดเวลา ก่อนจะบอกน้องสาวว่าตั้งใจจะพาใครบางคนมาให้เจอ
ครู่หนึ่งเพ็ญพรก็เดินเข้ามาในร้าน ตรัยยิ้มกว้าง พลางโบกมือให้
“โน่นไง เขามาโน่นแล้ว”
สุดาหันไปมองทางเพ็ญพร พอทั้งคู่มองเห็นกัน ต่างก็ตกใจ อุทานออกมาพร้อมกัน
”แพร์รี่”
“สุดา”
ตรัยมองอย่างจับผิด “นี่ทั้งสองคนรู้จักกันด้วยเหรอ”
2 สาวอึกอัก ก่อนที่เพ็ญพรจะเป็นฝ่ายนึกคำแก้ตัวขึ้นมาได้ก่อน
“รู้จักสิ ก็วันก่อนโน้น คุณสุดาไปที่บ้านศิลาแดงพร้อมกับคุณหมอรุจน์ไง”
สุดารีบไหลตามน้ำ “เออ ใช่ ดาไปทำความรู้จักกับคุณพรเพ็ญมาแล้วค่ะพี่ตรัย”
“แต่เมื่อกี๊พี่ได้ยินเราเรียกน้องพรว่าอะไรรี่ๆ นะ”
2 สาวหน้าเจื่อน สุดารีบโกหก เอาสีข้างเข้าถู
“พี่ตรัยหูฝาดไปมั้งคะ ดาพูดว่า พรนี่ใช่มั้ยคะคุณพร”
“ใช่ค่ะ พรนี่ ใช่แล้ว ไม่ใช่อะไรรี่ๆ สักหน่อยเนอะ”
“อ๋อ งั้นเหรอ งั้นพี่คงหูฝาดไปเอง”
เพ็ญพรกับสุดาถอนหายใจโล่งอก ขณะที่ตรัยแกล้งทำเป็นตามน้ำไป แต่จริงๆ กำลังจับผิดทั้งคู่
ระหว่างนั่งกินอาหารกันอยู่ เพ็ญพรกับสุดาพยายามระวังตัว ไม่ทำท่าสนิทสนมกันมา โดยที่ตรัย เฝ้าจับตาดูทั้งคู่แบบไม่วางตา
“ตกลงเรียกพรออกมาเจอทำไม อย่าบอกนะว่ามาแนะนำฉันกับคุณสุดา เพราะเรารู้จักกันแล้ว”
ตรัยถอนใจ
“พี่ตั้งใจจะแอบเข้าไปสืบคดีในบ้านศิลาแดงน่ะ”
เพ็ญพรขมวดคิ้ว สงสัย “แล้วพี่จะเข้าไปยังไง ถูกสั่งห้ามเข้าใกล้บ้านศิลาแดงไม่ใช่เหรอ”
“นี่แหละพี่ถึงต้องขอความช่วยเหลือจากดากับน้องพร ถ้าพี่จะเข้าบ้านศิลาแดงได้ พี่ก็ต้องไม่ไปในฐานะตรัย พี่จะปลอมตัวเข้าไปในบ้านหลังนั้น”
2 สาวตกใจ อุทานขึ้นพร้อมกัน
“ปลอมตัว !”

พอกลับมาที่บ้าน สุดากับเพ็ญพรก็ช่วยกันจับตรัยปลอมตัวเป็นแบบนั้นแบบนี้ กระทั่งมาลงตัวที่แบบสุดท้าย ในชุดแบบปอนๆ ใส่วิกผมยาวกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ดูกระเซอะกระเซิง ติดหนวด ติดไฝกลางหน้าผาก ใส่แว่นกรอบหนาๆ เชยๆ
“ตกลงพี่เอาแบบนี้แหละ ดูไม่เวอร์ที่สุดแล้ว”
“ตอนนี้เรื่องปลอมตัวก็เสร็จแล้ว แล้วพี่ตรัยจะให้พรทำอะไร”
“ช่วยกรุยทางให้พี่เข้าไปในบ้านศิลาแดงหน่อยได้มั้ย”
เพ็ญพรมองอย่างสงสัยว่าเขาคิดจะทำอะไร

“จะดีเหรอคะคุณหนู”
ป้าแจ่มอุทานเสียงดัง เมื่อรู้แผนการของเพ็ญพร ลุงเติมที่นั่งอยู่ด้วยกัน รีบกระซิบถาม
”แต่ผู้กองตรัยถูกสั่งห้ามเข้าบ้านศิลาแดงนี่ครับ ถ้าเกิดความแตกขึ้นมา ผมกับยัยแจ่มต้องถูกหักเงินเดือนแน่ๆ “
“ลุงกับป้าไม่ต้องห่วงเรื่องเงินนะคะ ถ้ามีปัญหา หนูจะรับผิดชอบทั้งหมด”
ป้าแจ่มกับลุงเติมจำยอมต้องรับคำ เพ็ญพรยิ้มอย่างพอใจ

พรเพ็ญกำลังเคี่ยวซุปบนเตาให้เอกสิทธิ์ ขณะที่กอล์ฟนั่งทำหน้าเซ็งอยู่ด้านหลัง เพราะอดไปเล่นซน ครู่หนึ่งวิทวัสก็เดินย่องเข้ามา กอล์ฟหันไปเห็น กำลังอ้าปากจะทัก แต่อีกฝ่ายจุ๊ปากให้เงียบๆ ไว้
พรเพ็ญพูดขึ้นโดยไม่หันหน้ามอง
“กอล์ฟจ๊ะ เอาชามซุปมาให้ชั้นหน่อยสิ”
วิทวัสรีบถือชามไปยื่นให้ พรเพ็ญเอื้อมมือคว้าชามซุป มือกุมมืออีกฝ่ายพอดี พอเงยหน้ามอง ก็เห็นหน้าของเขาในระยะประชิด ทั้งคู่จ้องตากันแบบเขินๆ จนกอล์ฟต้องกระแอมเตือน ทั้งคู่ได้สติ รีบปล่อยมือออกจากกัน
“ผมช่วยนะครับ คุณเพ็ญ ผมก็อยากปรนนิบัติคุณพ่อ เอ่อ คุณลุงบ้างน่ะครับ”
พรเพ็ญได้ยินเขาเรียกว่าพ่อเต็ม 2 หู ก็หน้าแดง เขินอาย วิทวัสยิ้มชอบใจ

พอพรเพ็ญถือชามซุปมาถึงห้องเอกสิทธิ์ ก็ต้องตกใจ จนเผลอทำชามซุปตกพื้น วิทวัสกับกอล์ฟ ได้ยินเสียง ก็รีบวิ่งเข้ามาดู
“คุณพ่อ คุณพ่อหายไปค่ะ”

ขาดคำก็เป็นลมล้มกับไปทันที

ที่แท้เป็นเคนนั่นเองที่เข็นรถพาเอกสิทธิ์เข้ามาในสวน ตอนแรกฝ่ายหลังดูหวาดหวั่น แต่พอเห็นท่าทีที่ห่วงใยของอีกฝ่าย ที่รีบปราดเข้ามาประคองเขา เมื่อรถสะดุดก้อนหิน ก็เริ่มคลายความหวาดกลัวลง

“ฉันพาแกออกมาที่นี่ เพราะอยากจะให้แกเห็นอาณาจักรของฉัน”
เคนพูดพลางผายมือไปข้างหน้าให้เอกสิทธิ์ดูสวนเสาวรสตรงหน้าทั้งหมด
“เห็นหรือยังล่ะ สวนเสาวรสทั้งหมดที่แกเห็นนี่ ฉันกับยายเดือนช่วยกันบุกเบิกมาตั้งแต่ตอนที่ยายเดือนเลิกกับแก”
เอกสิทธิ์ได้ยิน ก็ถึงกับหน้าสลด ด้วยความรู้สึกผิด
“ที่จริงฉันต้องขอบใจแกด้วยซ้ำ ถ้าแกไม่ทิ้งลูกสาวฉันวันนั้น ฉันกับยายเดือนแล้วก็ยายหนูเพ็ญก็คงไม่มีวันนี้ ฉันดีใจจริงๆ ที่ยายเดือนสลัดตัวโชคร้ายอย่างแกออกไปซะได้ เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว แกไม่ต้องแก้ตัวอะไรแล้ว แกพร้อมจะลุยสวนเสาวรสกับฉันหรือยัง ไอ้เอก”
โดยไม่หยุดรอฟังคำตอบ เคนรีบเข็นรถพาเอกสิทธิ์ออกไปจากที่นั่นทันที

อีกด้านหนึ่งวิทวัสยื่นยาดมให้พรเพ็ญดม ครู่หนึ่งเธอก็รู้สึกตัว
“คุณพ่อ คุณวัส คุณหาพ่อฉันเจอรึเปล่าคะ”
“ผมยังไม่ได้ตามหาคุณลุงเลยครับ พอดีคุณมาเป็นลมไปซะก่อน”
พรเพ็ญหน้าซีด
“โธ่ คุณพ่อขา ป่านนี้คุณพ่อจะเป็นยังไงก็ไม่รู้”
จากนั้นวิทวัสกับกอล์ฟก็ช่วยกันพาพรเพ็ญออกมาตามหาพ่อในสวน ก่อนที่คนสวนคนหนึ่งจะชี้มือไปตามทางที่เคนเข็นรถพาเอกสิทธิ์ไป

เคนเข็นรถพาเอกสิทธิ์ ที่ท่าทางเหนื่อยอ่อนเพราะเจอแดดเปรี้ยงเข้ามาท่ามกลางต้นเสาวรสที่กำลังออกผลสะพรั่ง ก่อนจะใช้มีดพกที่เตรียมมาผ่าผลเสาวรส แล้วตักให้อีกฝ่ายกิน เอกสิทธิ์เม้มปากแน่น ท่าทางอิดโรย
พรเพ็ญ วิทวัส กอล์ฟเดินเข้ามาเห็นพอดี หลานสาวตกใจ รีบวิ่งเข้ามาปัดมือตาจนผลเสาวรสตกพื้น
“คุณตาทำอะไรพ่อคะ”
“ตาไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ก็แค่พาพ่อแกออกมาเดินเล่น”
“แต่พ่อไม่สบายอยู่ แล้วนี่พ่อก็ท่าทางจะไม่ไหวแล้วด้วย”
วิทวัสรีบช่วยพูด
“ผมว่ารีบพาคุณลุงกลับบ้านดีกว่าครับ ท่านเหนื่อยมาก เดี๋ยวอาการจะทรุดลงไปอีก”
พูดพลางรีบเข็นรถพาเอกสิทธิ์กลับไปที่บ้าน พรเพ็ญรีบเดินตามไป เคนยืนหน้าบึ้งไม่พอใจ ที่รู้สึกเหมือนถูกหลานสาวทอดทิ้ง
“ใช่สิ พอพ่อมันกลับมา ตาแก่ๆ อย่างฉันก็คงหมดความหมาย”

ฝั่งที่บ้านศิลาแดง ป้าแจ่มกับลุงเติม ก็เริ่มทำตามแผนของเพ็ญพร ด้วยการเข้ามาพูดขออนุญาตกับสโรชาเพื่อให้ตรัยที่ปลอมตัวทำทีว่าเป็นญาติกัน เข้ามาพักอาศัยในบ้านชั่วคราว
สโรชารีบโวยวายปฏิเสธ ตรัยแกล้งดัดเสียงเหน่อ พูดขอความเห็นใจ
“เห็นใจผมเถอะครับ คุณผู้หญิง เมียผมมันทนกัดก้อนเกลือกินกับผมไม่ไหว มันเลยขโมยลูกหนีมา .ผมได้ข่าวว่ามันเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ ผมมันคนจน ไม่มีเงินมากพอไปเช่าที่พักข้างนอก ก็เลยมาหาลุงเติมกับป้าแจ่ม เพื่อหวังพึ่งใบบุญของคุณผู้หญิงนี่แหละครับ”
“ฉันช่วยแกไม่ได้หรอกนะ ลำพังเงินเดือนลุงเติมกับป้าแจ่ม 2 คน ฉันก็จะแย่แล้ว ถ้าแกเข้ามาอยู่อีกคน ไหนจะค่าน้ำค่าไฟ ค่ากินค่าอยู่อีก ... “
ตรัยรีบพูดแทรกขึ้นมาทันที
“เรื่องนั้นคุณผู้หญิงไม่ต้องห่วงครับ ผมพอจะมีเงินอยู่นิดหน่อย จะไม่ทำให้คุณผู้หญิงลำบากครับแล้วผมก็จะช่วยทำงานในบ้านฟรีๆ คุณผู้หญิงไม่ต้องเสียเงินให้ผมแม้แต่บาทเดียว ผมขอที่ซุกหัวนอนเท่านั้นครับ” สโรชาได้ยินคำว่าฟรี ก็รีบอนุญาตทันที
เพ็ญพรที่แอบฟังอยู่ ยิ้มร่าอย่างดีใจ
“ว่าแต่แกชื่ออะไรล่ะ ฉันจะได้เรียกใช้งานได้ถูก”
ตรัย กับป้าแจ่ม หน้าตาเลิ่กลั่ก เพราะไม่เตี๊ยมกันมาก่อน ขณะที่ลุงเติมลืมตัว
“อ๋อ ชื่อ ต...”
ป้าแจ่มรีบอุดปากเติมไว้ แล้วพูดขัดขึ้นมา
“ชื่อตูบค่ะ ญาติฉันมันชื่อตูบ”
เพ็ญพรได้ยินก็แอบขำ ส่วนตรัยทำหน้าเหรอ ก่อนจะทำน้ำเสียงไม่พอใจเมื่ออยู่ลับหลังสโรชา ป้าแจ่มถึงกับหน้าเจื่อน
“ป้าขอโทษค่ะ ตอนนั้นมันฉุกละหุก ป้าเลยพูดออกไปไม่ทันคิด”
เพ็ญพรรีบบอก
“เรื่องเล็กแค่นี้อย่าทำเป็นเรื่องใหญ่สิ ประเด็นก็คือคุณเข้ามาอยู่ในบ้านได้แล้วไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้น คุณจะทำอะไรก็รีบๆ ทำซะก่อนที่ความจะแตก”

วิทวัสห่มผ้าให้เอกสิทธิ์ที่นอนหลับสนิท ก่อนที่พรเพ็ญจะไหว้วานให้เขาช่วยอยู่เป็นเพื่อนพ่อก่อน ส่วนเธอจะลงไปเตรียมของว่างให้
“ได้สิครับ ผมจะดูแลคุณพ่อ เอ๊ย คุณลุงให้ดีที่สุดเลย”
พรเพ็ญยิ้มหวานให้ก่อนออกไป วิทวัสปลื้มปริ่ม
“ถ้าเป็นคุณเพ็ญภาคนางฟ้าทุกวันแบบนี้ก็ดีสิ”

พรเพ็ญยกจานขนมปังหน้าหมูให้กอล์ฟไปจานหนึ่ง ส่วนอีกจานก็เอาไปวางให้เคน ที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทำเหมือนหลานสาวเป็นอากาศธาตุ เธอมองท่าทีของตาอย่างแปลกใจ ก่อนที่กอล์ฟจะบอกว่าตาน้อยใจ
“น้อยใจ? น้อยใจเรื่องอะไร”
“ก็ตั้งแต่พ่อคุณเพ็ญมาอยู่ในบ้าน คุณเพ็ญก็ดูแลพ่อคุณเพ็ญจนไม่มีเวลาให้ตาแก ตาแกก็เลยคิดว่าตัวเองหมดความสำคัญไงล่ะ”
“แต่ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะกอล์ฟ”
พรเพ็ญพูดพลางมองตามตาไปอย่างเป็นกังวล ก่อนจะหลบมุมโทร. ไปเล่าให้เพ็ญพรฟัง
“นี่ตาเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหรอเจ๊ติ๋ม”
“พี่ไม่ขำด้วยเลยนะน้องเพ็ญ พี่ไม่อยากให้คุณตาเป็นแบบนี้เลย พี่จะทำยังไงดี”
เพ็ญพรรีบบอก
“มันจะไปยากอะไรล่ะพี่เพ็ญ หาของโปรดของตามาเอาใจสักหน่อย ขี้คร้านพี่พรก็จะกลับมาเป็นหลานคนโปรดของคุณตาเหมือนเดิม”
“ของโปรด อะไรเหรอน้องเพ็ญ?”

เพ็ญพรวางสายจากเพ็ญพร พอหันกลับมาเห็นตรัยยืนกอดอกมองอยู่ในคราบนายตูบ ก็สะดุ้งตกใจ
“คุณ คุณมายืนอยู่ตรงนี้นานหรือยัง”
“ก็ประมาณนึง”
“แล้วคุณได้ยินอะไรบ้างรึเปล่า”
ตรัยทำหน้ากวน “ไม่นี่ครับ คุณมีเรื่องอะไรต้องปิดบังผมงั้นเหรอ”
“เปล่า ไม่มีอะไรสักหน่อย ว่าแต่คุณมาทำไม”
ตรัยรู้ว่าอีกฝ่ายพยายามเปลี่ยนเรื่อง แต่ไม่อยากคาดคั้นมาก เลยยอมหยวนๆ ไปก่อน
“ผมจะมาถามคุณว่าคืนนี้คุณจะไปหาหลักฐานในห้องนายเชาว์กับผมรึเปล่า”
“ไปสิ ไป ว่าแต่ 2 คนนั้นไม่อยู่เหรอ”
“ป้าแจ่มบอกว่าทั้ง 2 คนออกไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว บอกว่าไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อ”
“ตกลง คืนนี้ 2 ทุ่มเจอกัน”
ตรัยพยักหน้ารับ แล้วรีบเดินออกไป

เพ็ญพรถอนใจโล่งอกที่เขาดูเหมือนจะไม่ติดใจสงสัยอะไร
 
อ่านต่อหน้า 3

บ้านศิลาแดง ตอนที่ 10 (ต่อ)

ทางฝ่ายพรเพ็ญยืนรออยู่หน้าบ้านสวนอย่างกระสับกระส่าย พักใหญ่รถของวิทวัสแล่นมาจอด ก่อนที่เขาจะลงจากรถมาพร้อมกับถือตะกร้าลงมาด้วย

“เรารีบไปหาคุณตากันดีกว่า ฉันไม่อยากให้ท่านโกรธนานค่ะ”
พรเพ็ญเดินนำไปก่อน วิทวัสมองตามไป พลางยิ้มอย่างมีความสุข

เคนกำลังนั่งดูทีวีอยู่ในห้อง ครู่หนึ่งพรเพ็ญก็เดินนำวิทวัส ที่ถือตะกร้าเข้ามาด้วย
“คุณตาขา คุณวัสมีของมาฝากค่ะ”
ตาเคนเหลือบมองหลานสาวแว่บหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงสะบัดๆ แบบงอนๆ
“เอาวางไว้ตรงนั้นแหละ”
“คุณตาไม่อยากรู้เหรอคะว่าคุณวัสเอาอะไรมาฝาก”
เคนทำเป็นนิ่ง วิทวัสกับพรเพ็ญเหลือบมองกัน ก่อนที่เขาจะรีบเปิดผ้าที่คลุมตะกร้าออก เห็นโหลยาดองอยู่ในนั้น
“คุณตาครับ ผมเอายาดองของโปรดของคุณตามาฝากเชียวนะครับ คุณตาจะไม่ลองสักหน่อยหรือครับ”
เคนแอบกลืนน้ำลายเอื๊อก แต่ยังวางฟอร์ม
“อย่าคิดนะว่าเอายาดองมาล่อตาแล้วตาจะยอมยกโทษให้ง่ายๆ”
พรเพ็ญหน้าจ๋อย วิทวัสหลอกล่อต่อ
“ยาดองม้ากระทืบโรงเชียวนะครับคุณตา คุณตาจะไม่ลองสักหน่อยเหรอครับ”
“ไม่” เคนกัดฟันตอบ
“น่าเสียดาย งั้นเราคงต้องเอาไปกินกันเองแล้วล่ะครับ คุณเพ็ญจะลองสักเป๊กมั้ยครับ”
พูดพลางก็รีบตักยาดองใส่แก้วเล็กๆ ให้พรเพ็ญกับตัวเองกระดกกันคนละแก้ว เคนมองตามแล้วกลืนน้ำลายเอื๊อก
“คุณตาจะไม่ดื่มจริงๆ เหรอครับ”
“ไม่ ไม่ปฏิเสธเว้ย”
ทั้งคู่ยิ้มดีใจ วิทวัสรีบตักยาดองใส่แก้วส่งให้ เคนรีบกระดกยาดองเข้าปากอย่างสำราญใจ
จากนั้นทั้งเคน พรเพ็ญ วิทวัส รวมทั้งกอล์ฟ ก็ล้อมวงกันกินยาดองอย่างสนุกสนาน ก่อนที่จะค่อยๆร่วงลงไปทีละคน

ตรัยในคราบนายตูบยืนรออยู่ในสวนอย่างกระวนกระวาย พักใหญ่เพ็ญพรก็เดินเข้ามาท่าทางโซซัดโซเซเหมือนคนเมา
“นี่คุณกินเหล้าด้วยเหรอ”
”ฉันยังไม่ได้แตะเหล้าสักหยด ฉันรู้หรอกน่าว่าคืนนี้เรามีเรื่องต้องทำ”
“แปลก แต่ท่าทางของคุณเหมือนคนเมาไม่มีผิดเลย คุณไหวรึเปล่า ถ้าไม่ไหว คืนนี้เรางดไปก่อนก็ได้นะ แล้วค่อยหาโอกาสวันหลัง”
“ก็ดีเหมือนกัน ฉันว่าฉันกลับไปนอนพักก่อนดีกว่า”
ตรัยกุลีกุจอรีบเข้าไปช่วยพยุงพาเพ็ญพรมุ่งหน้ากลับไปทางเรือนพัก อาภาพรยืนรับลมอยู่ริมระเบียง เห็นเข้า ก็เบ้ปาก ทำหน้าเหยียด
“นั่นมันนังพรกับไอ้บ้านนอกเมื่อกลางวันนี่นา”

ขณะที่ตรัยกำลังจะเปิดประตูให้เพ็ญพรเข้าไปนอนพัก เสียงของอาภาพรก็ดังขึ้น
“เห็นติ๋มๆ หงิมๆ ที่ไหนได้ แกก็ไวไฟเหมือนกันนะนังพร”
ตรัยตกใจ เผลอหลุดปาก “คุณภา”
“แกเป็นขี้ข้า อย่ามาสะเออะเรียกชื่อ ถ้าฉันไม่อนุญาต เรียกฉันว่าคุณหนูเท่านั้น เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจครับ คุณหนู”
อาภาพรยิ้มพอใจ เหลือบมองเพ็ญพรแล้วพูดจาเย้ยหยัน
”ฉันล่ะสมเพชแกจริงๆ นังพร นี่คงอดอยากปากแห้งเต็มทีละสิท่า ถึงได้คว้าเอาผู้ชายเศษสวะอย่างไอ้หมอนี่มาทำผัว”
ตรัยรับช่วยพุดแก้ตัว แต่อาภาพรไม่ฟัง ยังคงพูดจากถากถางอย่างสนุกปาก จนเพ็ญพรที่อดทนฟังอยู่นาน เริ่มทนไม่ไหว เดินปรี่เข้าไปหา แต่จู่ๆ ก็เกิดคลื่นไส้ขึ้นมา แล้วอาเจียนใส่อีกฝ่ายเต็มๆ
อาภาพรกรีดร้องลั่นบ้าน
เดือนฉายเดินขึ้นบันไดมา แปลกใจที่เห็นไฟในห้องยังสว่างอยู่ พอเดินเข้ามาเห็นสภาพแต่ละคนที่นอนสลบไสลด้วยความเมามายก็ตกใจ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย”
พอกวาดตามองไปรอบๆ เห็นโหลยาดองที่พร่องไปจนเกือบหมดโหล ก็ชักสีหน้าไม่พอใจ

เช้ารุ่งขึ้น พรเพ็ญที่นอนอยู่บนเตียงในห้องตัวเอง ค่อยๆ กระพริบตาตื่น ก่อนจะเห็นเดือนฉายนั่งกอดอกมองอยู่ข้างๆ
“คุณแม่ เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมพรปวดหัวจัง”
“นี่ลูกจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้จริงๆ เหรอ”
พรเพ็ญพยายามคิดว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะที่ยังมันหัวไม่หาย

“ผมขอโทษคุณเดือนด้วยนะครับ ผมผิดเองที่เอายาดองมาให้คุณตา เลยทำให้ทุกคนเป็นแบบนี้”
วิทวัสที่ยังอยู่ในชุดเดิม ยกมือไหว้ขอโทษเดือนฉาย ขณะที่เคนรีบช่วยพูดว่าเขาเป็นคนชวนให้ทั้งคู่ดื่มยาดองด้วยกัน
“ไม่ต้องแย่งกันรับผิดหรอก เดือนจะลงโทษทุกคนนั่นแหละค่ะ”
“แกจะไปซีเรียสทำไมยายเดือน นานๆ สังสรรค์กันที ก็ปล่อยๆ ไปบ้างก็ได้ ถ้าแกจะลงโทษใครสักคน มาลงกับพ่อนี่ อย่าไปลงกับหลานๆ”
พรเพ็ญกับวิทวัสรีบช่วยกันแย่งรับผิด จนเดือนฉายปวดหัว

พรเพ็ญเดินมาส่งวิทวัสที่รถ พลางพูดขอบคุณที่เขาช่วยเธอหลายเรื่อง แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าเขาไม่ขอรับคำขอบคุณ แต่ขอรับอย่างอื่นแทน พลางเอียงแก้มให้
“ไม่ดีมั้งคะ”
“คุณเพ็ญรังเกียจผมเหรอครับ”
พรเพ็ญหน้าแดงซ่าน รีบบอก “ฉันไม่เคยคิดรังเกียจคุณเลยจริงๆ นะคะ”
“งั้นให้รางวัลผมหน่อยนะครับ”
พูดพลางเอียงแก้มมาอีก อีกฝ่ายพยายามข่มความอาย เขย่งเท้ารีบจุ๊บแก้มเขาเบาๆ หนึ่งทีแล้วรีบหันหน้าหนี
“ผมชอบคุณนะครับ คุณเพ็ญพร”

พรเพ็ญได้ยินวิทวัสเรียกชื่อเพ็ญพร ก็หน้าสลด แต่อีกฝ่ายกลับเข้าใจว่าเธอเขิน

พรเพ็ญเข้ามาปรนนิบัติเอกสิทธิ์ในห้องตามปกติ อดไม่ได้ที่จะรำพึงกับตัวเองแบบเศร้าๆ

“เขาไม่ได้ชอบเรา เขาชอบน้องเพ็ญต่างหาก”
พลางฟุบหน้าสะอึกสะอื้นกับเตียงเบาๆ เอกสิทธิ์ได้ยินเสียงลูกสาวร้องไห้ ก็ลืมตาขึ้นมอง พร้อมกับพยายามขยับมือมาแตะศีรษะลูกสาว
พรเพ็ญสะดุ้ง เอกสิทธิ์พยายามจะอ้าปากถามว่าเป็นอะไร
“พรไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อ คุณพ่อไม่ต้องห่วงพรนะคะ”
จากนั้นก็ยกมือเอกสิทธิ์มาแนบที่หน้าตัวเองอย่างคนที่ต้องการกำลังใจ

เพ็ญพรนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ครู่หนึ่งเสียงมือถือก็ดังขึ้น เธองัวเงียขึ้นมา ใช้มือควานหา ก่อนจะกดรับ
“สายป่านนี้แล้ว ยังไม่ตื่นอีกเหรอจ๊ะ คุณแพร์รี่”
พอได้ยินเสียงแม่ เพ็ญพรก็สะดุ้งพรวดขึ้นมาทันที
“แม่เหรอคะ มีอะไรรึเปล่าคะ”
“แม่มีเรื่องต้องคุยกับเรา วันนี้ เดี๋ยวนี้เลยด้วย ตอนสิบโมง รีบๆ มานะลูก”
พูดจบวางสายไป เพ็ญพรเหลือบมองนาฬิกา แล้วก็ตาเหลือก
“ตายล่ะ นี่มันเก้าโมงครึ่งแล้วนี่นา”
จากนั้นก็รีบกดโทรศัพท์ พร้อมกับเปิดตู้เสื้อผ้า หาเสื้อใส่ไปด้วย
“ฮัลโหล ฉันมีเรื่องให้เธอช่วย มารับฉันหน่อยนะ”

อีกด้านหนึ่งเชาว์เดินหาวหวอดๆ ลงมาจากชั้นบน บังเอิญเจอกับสโรชาเข้าพอดี ฝ่ายแรกปราดข้าไปทำท่าจะกอด แต่ฝ่ายหลังรีบเบี่ยงตัวหนีอย่างรำคาญ
เชาว์เห็นสโรชาไม่เล่นด้วยจริงๆ ก็เลยเปลี่ยนท่าที
“แล้วเรื่องไอ้ผัวง่อยของเธอล่ะ รู้รึยังว่านังลูกเลี้ยงของเธอเอามันไปซ่อนไว้ไหน”
สโรชาหน้าเครียด
“รู้กะผีสิ นังนี่เดี๋ยวนี้มันพิษสงรอบตัว รู้ทันฉันไปหมด”
“อย่ามัวแต่ชักช้าล่ะ ถ้าเกิดมันเอาไปรักษาจนหาย มีหวังพวกเราจบเห่กันทั้งหมดนี่แหละ”
“รู้แล้วแหละน่า”
พูดพลางกำลังจะเดินหนีออกมาทางหน้าบ้าน แต่แล้วก็ต้องชะงักฝีเท้า เขม้นมองไปที่ประตูหน้า เห็นเพ็ญพรเดินลับๆ ล่อๆ ก่อนจะรีบผลุบออกจากประตูบ้านไป
“หรือว่ามันจะไปหาพ่อมัน”
สโรชากับเชาว์หันมองหน้ากัน ตื่นเต้น ก่อนที่จะรีบขับรถตามรถของสุดาไป

สุดาขับรถมาตามทาง ก่อนจะเหลือบมองกระจกส่องหลัง เห็นรถของบ้านศิลาแดงที่เชาว์กับสโรชานั่งอยู่ แล่นตามมาห่างๆ
“เอ๊ะ นั่นมันรถของบ้านเธอไม่ใช่เหรอ”
เพ็ญพรหันขวับกลับไปดู เห็นเชาวน์กับสโรชานั่งอยู่ในรถ
“จริงด้วย คุณน้ากับไอ้ผัวแมงดาของมันสะกดรอยตามฉันมาแน่ๆ”
“เราจะให้พวกเขาไปเจอแม่เธอไม่ได้นะ”
“เธอรีบขับหนีไปได้มั้ย”
สุดาพยักหน้ารับ แล้วเหยียบคันเร่งหนีไปทันที เชาว์รีบเหยียบคันเร่งตามไปติดๆ แต่สุดท้ายก็ไล่ตามไม่ทัน เมื่อฝ่ายแรกตัดสินใจยขับรถฝ่าไฟเหลืองออกไปในวินาทีสุดท้าย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นไฟแดง

“มิน่าล่ะ หนูถึงได้รู้สึกเหมือนคนเมาไม่มีผิด ที่แท้พี่พรก็กินยาดองเข้าไปด้วยนี่เอง”
เพ็ญพรเข้าใจในอาการของตัวเองทันที เมื่อรับรู้เรื่องราวจากเดือนฉาย
“ก็ใครพิเรนทร์ไปแนะนำพี่เค้าล่ะ”
“หนูแค่แนะนำให้เอาไปให้ตา ไม่ได้บอกให้กินเองสักหน่อยนี่คะ”
“เรื่องนั้นน่ะช่างเถอะ แม่ไม่ติดใจอะไรแล้ว แต่ที่แม่มานี่ก็เพราะอยากคุยกับหนูอีกเรื่องมากกว่า” เพ็ญพรกับสุดา หันมามองหน้ากัน
“ถ้าแม่จะมาเกลี้ยกล่อมให้หนูกลับไปที่บ้านสวนล่ะก็ หนูขอปฏิเสธค่ะ”
“ทำไมล่ะลูก ตอนนี้พ่อก็ไปรักษาตัวอยู่ที่บ้านเราแล้ว หนูจะอยู่ที่บ้านนั้นทำไมอีก”
เพ็ญพรรีบบอก
“แต่บ้านนั้นเป็นบ้านของพ่อ เป็นบ้านของเรา หนูจะไม่ยอมให้พวกคนไม่ดีพวกนั้นครอบครองของของเราเป็นอันขาด”
“ทรัพย์สมบัติพวกนั้นมันเป็นของนอกกาย ลูกอย่าไปยึดติดกับมันเลย กลับบ้านเราเถอะนะลูก”
“หนูขอโทษค่ะ แม่ หนูทำไม่ได้จริงๆ แม่เข้าใจหนูหน่อยนะคะ”

เพ็ญพรพูดอ้อนวอน เดือนฉายมองหน้าลูกสาวอย่างอ่อนใจ
 
อ่านต่อหน้า 4

บ้านศิลาแดง ตอนที่ 10 (ต่อ)

ตรัยในคราบนายตูบกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ในสนามบ้านศิลาแดง พลางมองไปทางประตูหน้าบ้านชะเง้อหาเพ็ญพร แต่กลับเห็นขาคนโผล่ออกมาหลังพุ่มไม้ จึงรีบเดินไปดู ก่อนจะเห็นณัฐพงษ์นอนหลับไม่ได้สติอยู่

“คุณณัฐ ตื่นสิครับ ตื่น”
พอโดนตรัยเขย่าตัว ห่อยาบ้าในกระเป๋ากางเกงของณัฐพงษ์ก็หล่นลงพื้น
“นี่มันยาบ้า คุณณัฐ คุณไปเอายานี่มาจากไหนครับ”
ทันใดนั้น เสียงวาทินีก็ดังขึ้น

“นั่นใครน่ะ”
ตรัยสะดุ้ง รีบซ่อนห่อยาบ้าไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วหันมาเผชิญหน้ากับวาทินี
“ผมเห็นคุณผู้ชายคนนี้มาหลับอยู่ตรงนี้น่ะครับ”
วาทินีตกใจ
“ตายจริง คุณณัฐ นี่แกช่วยฉันพาคุณณัฐกลับเข้าบ้านหน่อยซิ”
จากนั้นวาทินีกับตรัย ก็ช่วยกันปคะคองพาณัฐพงษ์มานอนที่โซฟาในห้องรับแขก ก่อนที่ตรัยจะรีบขอตัวจะเดินเลี่ยงไป
“เดี๋ยว”
วาทินีมองรูปร่างตรัยอย่างสนใจ พลางแอบกลืนน้ำลายด้วยความชื่นชอบ
“นายเพิ่งเข้ามาทำงานใหม่เหรอ”
“ครับ คุณผู้หญิงอีกคนเพิ่งรับผมมาเมื่อวานครับ”
วาทินียิ้มเยาะ
“ไม่น่าเชื่อว่านังเค็มเรียกพี่นั่นจะรับคนสวนเพิ่ม ระวังจะถูกเบี้ยวเงินเดือนนะ”
“ผมแค่มาขออาศัยระหว่างตามหาลูกกับเมียเท่านั้นแหละครับ ไม่ได้รับเงินเดือนหรอกครับ”
“กว่าจะหาลูกเมียเจอ ไม่รู้จะนานแค่ไหน แล้วไม่ลำบากแย่เหรอ”
ตรัยครุ่นคิดแล้วแกล้งทำเป็นถอนใจ
“ก็คงลำบากเหมือนกันครับ เงินเก็บผมก็มีไม่มาก คุณผู้หญิงพอจะมีงานอะไรให้ผมทำมั้ยล่ะครับ ผมยินดีทำทุกอย่าง ไม่เกี่ยงงานหรอกครับ”
วาทินีตาวาว “งานผิดกฎหมายก็ไม่เป็นไรงั้นเหรอ”
“คนจนอย่างผมไม่มีทางเลือกหรอกครับ”
วาทินีครุ่นคิด ว่าจะเชื่อใจตรัยในคราบนายตูบดีมั้ย ทันใดนั้นเชาวน์กับสโรชาก็กลับมาถึงบ้าน ด้วยอาการหงุดหงิดที่ตามเพ็ญพรไม่ทัน
“เอ๊ะ นายตูบ นายเข้ามาทำไมในบ้านฉันยะ”
ตรัยแอบทำหน้าขัดใจ ที่จู่ๆ สโรขาก็โผล่มาขัดจังหวะ ทั้งที่เกือบจะได้เรื่องจากวาทินีอยู่แล้ว ขณะที่เชาวน์มองอาการณัฐพงษ์บนโซฟาแล้วหันขวับมามองวาทินี สีหน้าดุดัน

พอเข้ามาในห้องเชาว์ก็โวยวายใส่วาทินีทันที
“นี่แกเอายาให้ลูกฉันกินเหรอวะ”
วาทินียักไหล่ “โธ่ พี่เชาว์ แค่ไม่กี่เม็ดเอง พี่เป็นห่วงลูกพี่เหรอ”
“ฉันจะห่วงมันทำไม มันโตแล้ว ที่ฉันห่วงน่ะ กลัวของไม่ครบแล้วนายจะมาแหกอกฉัน”
“โธ่ เรื่องแค่นี้ เราก็ไปหายาปลอมมาแทน ส่วนยาจริง เราก็แอบเอาไปขายเอง รวยไม่รู้เรื่องเลยนะพี่”เชาวน์ชะงัก เริ่มคิดตาม
“แล้วแกจะหาลูกค้าจากไหน”
“ก็เพื่อนๆ ของลูกพี่ไง มีแต่คนรวยๆ ทั้งนั้น”
เชาว์ตาวาว
“เพิ่งเห็นแกฉลาดก็วันนี้แหละ”
“ที่จริงก็มีอีกคนนะ ไอ้คนสวนตะกี้ไงพี่ มันมาของานฉันทำ ฉันว่าจะลองให้มันเป็นคนส่งยาดู”
เชาว์ตกใจ
“ว่าไงนะ นี่แกบอกมันไปแล้วเหรอว่าเรามียาอยู่กับตัว”
วาทินีรีบปฏิเสธว่ายังไม่ได้พูดเรื่องยา
“ดีแล้ว อย่าบอกใครเด็ดขาด เรื่องนี้ให้รู้กันเฉพาะในครอบครัวเราเท่านั้นพอ มันเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ จู่ๆ มันก็มาของานแกทำ มันทำอย่างกับรู้แน่ว่าแกเป็นใคร ดีไม่ดีมันจะเป็นสายตำรวจรึเปล่าก็ไม่รู้”
“ไม่หรอกมั้งพี่ ตำรวจที่ไหนจะมาเป็นคนใช้ในบ้านแบบนี้”
“ฉันสั่งยังไงก็ทำไปตามนั้นเถอะน่า ถ้าฉันรู้ว่าแกขัดคำสั่งฉันะ ฉันจะตบให้ซิลิโคนทะลักเลยคอยดู”
พูดพลางก็รีบเดินเข้าห้องน้ำ พร้อมกระแทกประตูเสียงดัง

วาทินีหงุดหงิดไม่พอใจมาก เขม้นตามองตามไปที่ประตูห้องน้ำอย่างอาฆาตมาดร้าย

หลังจากที่ไม่สามารถจะพูดให้เพ็ญพรเปลี่ยนใจได้ เดือนฉายจึงจำเป็นต้องยอมกลับบ้านสวนแต่เพียงลำพัง ขณะที่เพ็ญพรบอกกับสุดาว่าเธอยังไม่กลับเข้าบ้านศิลาแดง เพราะยังมีธุระที่อื่นต้องไปทำต่อ ก่อนจะรีบเดินนำไปที่รถ สุดารีบเดินตามไปด้วยทันที

ทางด้านตรัยในคราบนายตูบ ก็ยังคงครุ่นคิดถึงภาพที่เห็นณัฐพงษ์นอนเมายาบ้า พลางหยิบซองยาบ้าขึ้นมาดู แล้วพยายามจะโทร. หาเพ็ญพร แต่เธอกลับไม่ยอมรับสาย พอหันไปถามลุงเติมว่าเพ็ญพรไปไหน ลุงเติมก็ ส่ายหน้าไม่รู้เรื่อง
“ถ้าคุณพรกลับมา บอกเธอว่าผมมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยนะครับ”
จังหวะนั้นป้าแจ่มก็เกินถือจานสาคูไส้หมูผ่านมาพอดี ตรัยเหลือบมอง แล้วคิดอะไรบางอย่าง

สโรชาและอาภาพรเห็นตรัยเป็นคนยกจานสาคูไส้หมูมาเสิร์ฟก็นึกแปลกใจ
“ทำไมเป็นแกล่ะ นังแจ่มมันไปไหน”
“ผมขอยกมาเองครับ คุณผู้หญิงเมตตาให้ที่ผมซุกหัวนอน ผมอยากรับใช้คุณผู้หญิงบ้าง”
สโรชาบอกให้ตรัยวางไว้ แล้วออกไปได้ แต่บังเอิญเขาเหลือบไปเห็นณัฐพงษ์เดินลงมาจากด้านบนพอดี เขาจึงหาที่หลบยืนแอบมองอยู่
อาภาพรได้กลิ่นแปลกๆ พลางทำจมูกฟุดฟิด สโรชาเดินเข้าไปดม ก็รู้สึกเหมือนกัน
“ตกลงแกเมาอะไรกันแน่ บอกมาซิ”
ณัฐพงษ์รีบขยับหนี เพราะแก้ตัวไม่ถูก ตรัยที่แอบมองอยู่ตั้งท่าจะขยับเข้าไปฟังใกล้ๆ แต่วาทินีเข้ามาเห็นพอดี
“นี่แก มายืนทำอะไรลับๆ ล่อๆ ตรงนี้”
ทุกคนตกใจหันไปมอง ตรัยรีบกลบเกลื่อน
“คือ ผมจะถามคุณผู้หญิงว่า จะรับผักกาดหอมเพิ่มอีกมั้ย”
“โอ๊ย แค่นี้ก็เยอะเกินแล้ว พวกแกก็งี้ ไม่ใช่เงินพวกแกนี่เอามาให้กินทิ้งกินขว้าง ไปๆจะไปไหนก็ไป”ตรัยจำใจต้องเดินออกไป ณัฐพงษ์รีบฉวยโอกาสเดินผละออกไปทันที สโรชามองตามลูกชายอย่าง ขัดใจ ขณะที่วาทินีมองตามตรัยไปอย่างไม่ไว้ใจ

พอเข้ามาถึงในห้อง วาทินีก็อดไม่ได้ที่จะเล่าให้เชาว์ฟัง ว่ารู้สึกไม่ไว้วางใจตรัย
“มันบอกจะมาตามหาเมีย แต่ไม่เคยเห็นมันออกไปไหน แถมมันยังชอบขึ้นมายุ่งวุ่นวายบนบ้านอีก ฉันว่ามันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ”
แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าเบื่อ บอกว่าคิดมากไปเอง
“นี่อย่าบอกนะ ว่าแกกลัวมันจะเป็นสายตำรวจ”
วาทินียักไหล่ “ก็ไม่แน่”
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไง”
เชาว์เริ่มคิดตาม

ตรัยกลับเข้าห้อง ท่าทางเซ็งๆ เพราะยังไมได้เบาะแสเรื่องยาบ้าเพิ่มเติม พลันก็ได้ยินเสียงเอะอะของวาทินีดังมาจากนอกห้อง
“พี่เชาว์ อะไรของพี่เนี่ย ทำไมต้องลากฉันมาคุยตรงนี้ด้วย”
พอมองออกไป ก็เห็นเชาว์ที่กอดกระเป๋าใบย่อมๆ แล้วมองไปรอบๆ อย่างมีพิรุธ กำลังลากมือวาทินีมาหลบมุมคุยอยู่ไม่ไกลจากห้องของเขา
“อย่าเสียงดังสิวะ ที่มาคุยตรงนี้เพราะไม่อยากให้พวกบนบ้านใครได้ยิน เราต้องย้ายที่ซ่อนของ”
วาทินีตกใจ
“ย้ายที่ซ่อนของ จะย้ายไปไว้ไหนดีล่ะ”
“บ้านนี้ออกกว้างขวาง มันต้องมีสักห้องที่ไม่มีใครไปยุ่งสิวะ”
ตรัยพยายามเงี่ยหูฟังสุดฤทธิ์
“ฉันรู้แล้ว มานี่”
พอทั้งคู่เดินออกไป ตรัยก็แอบย่องตามไปทันที

ฟากเพ็ญพรก็พาสุดามาหาทนายสมศักดิ์ที่สำนักงาน ก่อนจะยื่นเอกสารเกี่ยวกับการเงินที่รวบรวมได้ให้อีกฝ่ายช่วยดู
“รายการเรียกเก็บเงินจากบริษัทปลอมเงิน ไม่ใช่น้อยเลยนะครับ ผมต้องปกป้องผลประโยชน์ของคุณเอกสิทธิ์อยู่แล้ว ผมจะหาทางจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดครับ”
เพ็ญพรรีบพูดขอบคุณ ก่อนจะย้ำว่าให้เก็บเป็นความลับ
“ฉันไม่อยากให้คนร้ายรู้ตัวก่อน ไม่อยากให้มีเรื่องผิดพลาด”
ทนายสมศักดิ์รับคำอย่างแข็งขัน เพ็ญพรยิ้มอย่างมั่นใจ

ตรัยเดินตามมาถึงหน้าห้องเก็บของ ก่อนจะแอบซุ่มดูอยู่ เห็นเชาว์ถือกระเป๋าเข้าไปในห้อง มีวาทินีคอยดูต้นทางให้ พักใหญ่ก็เห็นเชาว์เดินมือเปล่าออกมาจากห้องเก็บของ แล้วทั้งคู่ก็เดินออกไป
พอแน่ใจว่าทั้งคู่ไปแน่แล้ว ตรัยก็ออกจากที่ซ่อน แล้วผลุบเข้าไปในห้องเก็บของ โดยไม่ทันรู้ว่าทั้งคู่แอบย่องกลับมา
“เวรล่ะ มันเป็นสายตำรวจจริงๆ ด้วย”
เชาว์พูดพลางชักมีดของออกมา แววตาเหี้ยม

สุดากับเพ็ญพรเดินกลับมาที่รถ ฝ่ายแรกรีบร้อนดึงกุญแจรถออกมากระเป๋า แต่เกิดพลาด ทำตุ๊กตาที่พวงกุญแจขาดหล่นลงกับพื้น ก่อนจะรีบก้มเก็บ
“เสียดายจัง ตัวนี้พี่ตรัยซื้อให้ด้วยอ่ะ”
สุดาหน้ามุ่ย เพ็ญพรดูตุ๊กตาแล้วคิดถึงตรัยขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่ก็คิดว่าคงไม่มีอะไร

ตรัยเข้ามาค้นห้องเก็บของ ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าขึ้นมาเปิดดู แต่กลับพบว่ากระเป๋าว่างเปล่า เขานึกรู้ทันทีว่าติดกับดักของอีกฝ่ายแล้ว
“สารภาพมาซะดีๆ แกเป็นสายตำรวจใช่ไหม”
เขาค่อยๆ หันกลับไป เห็นเชาว์ยืนถือมีดจ้องมา ก็รีบเป็นเล่นละครทันที
“อะไรกันครับ ผมเนี่ยนะสายตำรวจ เข้าใจผิดแล้ว”
เชาว์มองอย่างไม่ค่อยเชื่อคำพูด
“ถ้าไม่ใช่สาย แล้วแกแอบตามฉันมาทำไม แกเข้ามาในนี้ทำไม”
“คือผม เข้ามาจับหนูอ่ะครับ”
“จับหนู โกหก” เชาว์พูดพลางเคลื่อนมือปาดมีดไปมาดูน่าหวาดเสียว
“กล้าลองดีกับคนอย่างไอ้เชาว์ อย่าคิดว่าจะรอดไปง่ายๆ”
จากนั้นก็จ้วงมีดใส่ทันที แต่ตรัยหลบทัน ก่อนจะคว้าของที่อยู่ใกล้มือทุ่มใส่อีกฝ่ายจนเสียหลัก
“ผมไม่ใช่สายตำรวจจริงๆ นะครับ คุณผู้ชายเข้าใจผิดแล้ว”
“คิดว่ากูโง่เหรอ”
ตรัยจะวิ่งออกจากห้อง แต่อีกฝ่ายขวาง พร้อมกับพยายามจะจ้วงแทงซ้ำ เขาเบี่ยงตัวหลบไปมา แล้วในที่สุดก็คว้าข้อมืออีกฝ่ายได้
“ผมพยายามพูดกับคุณผู้ชายดีๆ ทำไมคุณผู้ชายไม่เชื่อละครับ”
พูดพลางบิดข้อมือเชาว์จนมีดหลุดมือ แล้วผลักล้มลงไปก่อนรีบหนีออกจากห้อง วาทินีได้ยินเสียงโครมครามก็วิ่งเข้ามา เชาว์รีบสั่งให้ตามไป ก่อนที่จะลุกมาเก็บมีด แล้วรีบวิ่งออกไปอีกคน

ลุงเติมได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย พอมองมา เห็นตรัยวิ่งหนีเชาวน์กับวาทินีอยู่ก็ตกใจ รีบวิ่งหน้าตั้งกลับเรือนคนใช้
ตรัยจะหนีออกทางประตูใหญ่ แต่กลับถูกวาทินีมาขวางไว้ เขาจึงจำต้องวิ่งกลับเข้าตัวบ้าน เชาว์กับวาทินีรีบวิ่งตามเข้าไป


ฟากป้าแจ่มพอรู้เรื่องจากลุงเติมก็รีบต่อสายโทร. บอกเพ็ญพรทันที
“แย่แล้วค่ะคุณหนู คุณตรัยจะโดนจับได้แล้วค่ะ ตอนนี้กำลังเอะอะกันใหญ่เลย ทำไงดี”
เพ็ญพรนิ่งอึ้ง ก่อนจะรีบหันไปบอกสุดา
“พี่ตรัยโดนจับได้”

สุดารีบหักพวงมาลัยกลับรถทันที

 
อ่านต่อตอนที่ 11
กำลังโหลดความคิดเห็น