แหวนทองเหลือง ตอนที่ 5
กฤษดา และ พระยาดำรง ยืนดูหลุมหลบภัยที่ทำเสร็จแล้วที่สนามหลังบ้าน
"คราวนี้ผมก็สบายใจแล้ว แต่ถ้าไม่มีอะไรเราก็ทำเป็นห้องเก็บของนะครับคุณพ่อ"
"พ่อว่าหมู่นี้ดูมีญี่ปุ่นมาเดินเพ่นพ่านในบ้านเราเยอะนะ"
"ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ....แม้แต่หมอฮารุ ผู้ช่วยหมออิศรา ท่าทางไม่เหมือนหมอ"
พระยาดำรงเห็นด้วยบอก
"เหมือนทหารมากกว่า"
"คุณพ่อสังเกตเหมือนกันใช่ไหมครับ"
พระยาดำรงพยักหน้า
"พ่อสะกิดตั้งแต่วันแรกที่เห็นเค้าแล้ว"
มิ่งวิ่งเข้ามาลงนั่งรายงาน
"คุณหมออิศรา กับคุณหมอฮารุมาเยี่ยมนายท่านขอรับ"
พระยาดำรง มองหน้ากับกฤษดา
ในห้องรับแขก พระยาดำรง และกฤษดานั่งอยู่ที่ชุดรับแขก มีหมออิศราและฮารุนั่งอยู่ด้วย หมออิศราเอาห่อยาห่อใหญ่มาวางให้พระยาดำรง
"กระผมให้หมอฮารุสั่งยาของท่านมา ยาเพิ่งมาถึงหมอฮารุเค้าเลยอยากให้เอายามาไว้ให้ท่าน"
"ทำไมถึงเอามาเยอะนักล่ะ ค่อยๆ ทยอยเอามาก็ได้"
"เวลาสั่งต้องสั่งทีละมาก ๆ ถึงจะคุ้มครับ พอได้ยาก็เลยเอามาให้ท่านเก็บไว้ดีกว่า" ฮารุบอก
"ขอบคุณหมอฮารุมากนะครับที่รอบคอบ เพราะถ้ามีสงครามยาคงหายาก"
กฤษดายิ้มมองหน้า หมอฮารุยิ้มตอบอย่างใจเย็น
"ท่านเป็นคนดีมากครับ ถ้าผมทำอะไรให้ได้....ก็อยากทำให้..ไม่ว่าจะมีสงคราม หรือไม่มีก็ตาม"
พระยาดำรงยิ้มน้อยๆ
"สงครามเหรอครับ...คงไม่มีหรอกครับคุณกฤษดา"
กฤษดาจ้องหมอฮารุนิ่ง
"ตอนนี้ผมแน่ใจแล้วละครับว่าเราคงต้องเผชิญกับสงครามแน่"
"หมอก็เป็นคนดีหมอฮารุ เป็นหมอที่ดี ฉันหวังว่าหมอจะเป็นที่พึ่งให้คนไทยในยามคับขันนะ"หมอฮารุก้มหัวด้วยท่าทางแข็งขันแบบทหาร
"ผมจะพยายามทำอย่างดีที่สุดครับ"
หมออิศราไม่รู้ความนัยในบทสนทนา ได้แต่ยิ้มชื่นชมฮารุ กฤษดามีสีหน้าเครียด มองหน้ากับพระยาดำรงและ ฮารุอย่างเข้าใจกัน
"เมื่อไหร่....เมื่อไหร่หมอ"
ฮารุมองหน้ากฤษดา
"คุณกฤษดาถามถึงยาใช่ไหมครับ ยาที่สั่งไปอีก ไม่รู้จะมาถึงหรือเปล่า"
สมรเดินเข้ามายิ้มแย้ม
"สำรับอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วค่ะ เชิญคุณหมออิศรา กับ คุณหมอฮารุทานข้าวด้วยกันดีไหมคะท่าน"
หมออิศราบอก
"ขอบคุณครับ แต่ที่บ้านก็เตรียมไว้แล้วครับ ต้องขอลาท่านกับคุณกฤษดาละครับ"
พระยาดำรงลุกขึ้นยืน คนอื่นๆ ก็ลุกขึ้น สมรทำเป็นเข้ามาประคอง แต่ยิ้มหวานกับฮารุ
"คุณสมรอย่าลืมฝึกพูดญี่ปุ่นที่ผมสอนให้ดี ๆ นะครับ"
สมรดัดจริตตามเคย
"โอ..ค่ะหมอ..หมอน่าจะมาสอนอีกนะคะ"
ฮารุยิ้มๆ "จะพยายามหาโอกาสมาสอนให้อีก...ครับ"
ทั้งหมดเดินออกไปจากห้องรับแขก ยกเว้นกฤษดาที่ยืนหน้าเครียดอยู่คนเดียว
บริเวณมุมที่วางโทรศัพท์บ้านพระยาดำรง น่าจะเป็นโถงทางขึ้นบันไดที่คนชั้นบนจะได้ยินง่ายๆ ขึ้นจากบ้าน ที่
ไฟดับมืดเพราะทุกคนนอนหลับไปหมดแล้ว เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นหลายครั้ง แสงไฟเปิดขึ้น กฤษดาเดินมารับโทรศัพท์
"สวัสดีครับ....ครับ ครับพี่สุวัฒน์"
กฤษดาสีหน้าเครียด พระยาดำรงค่อยๆ เดินเข้ามา มีมิ่งคอยประคอง
"เมื่อไหร่ครับพี่ ผมจะรีบไปที่บก.เดี๋ยวนี้เลย ผมว่าผมไปเลยดีกว่าครับ"
กฤษดาวางหู หันมาเห็นพระยาดำรงยืนอยู่กับมิ่ง
"อะไรกันลูก"
"ญี่ปุ่นทิ้งระเบิดเพิร์ลฮาเบอร์ครับ...ผมจะรีบไป บก."
กฤษดา รีบเดินเข้าห้องไป พอกฤษดาเดินไปสักหน่อย พระยาดำรงก็เซจะทรุด มิ่งตกใจรีบรับไว้
"นายท่าน"
"อย่าเอะอะไปซิ...พาข้าขึ้นไปบนห้อง"
มิ่งสีหน้าห่วงใย รีบประคองพระยาดำรงเข้าห้อง
บริเวณหน้าห้องประชุมที่หน่วยของกฤษดา นายทหารชั้นผู้ใหญ่ กำลังประชุมกันในห้องประชุม กฤษดา สุวัฒน์ และ นายทหารยศพันตรียืนรอหน้าห้องประชุมอย่างกระวนกระวาย
สุวัฒน์ถาม
"พี่ครับ...ผมว่าเราต้องส่งทหารออกไปตามจุดยุทธศาสตร์ได้แล้วนะครับ"
พันตรี บอก
"คงต้องรอให้เช้าก่อนถึงจะส่งข่าวไปได้...ถ้าญี่ปุ่นจะบุกเราก็น่าจะเอาเรือรบเข้ามา แต่ก็ยังไม่มีข่าวเลย"
"ผมว่าเราน่าจะเตือนหน่วยที่ตั่ง ตั้งแต่ก่อนถึงปากอ่าวได้เลยนะครับ ญี่ปุ่นบุกเพิร์ลฮาเบอร์แบบตั้งตัวไม่ทันอย่างนี้เราก็ต้องพร้อมรบทันที นะครับ" กฤษดาบอก
นายทหารยศร้อยเอกวิ่งถือเอกสารเข้าไปในห้องประชุม
พันตรีบอก
"ถ้าจะไม่ดีแน่ นายทหารสื่อสารวิ่งหน้าตื่นเข้าห้องประชุมไปแบบนี้ผู้การก็ยังประชุมไม่เสร็จซักที"
ทุกคนมองหน้ากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ผู้การเปิดประตูออกมากับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ อีก 4-5 คนเดินอย่างรีบร้อนออกไป พันโทคนหนึ่งมีสีหน้าตกใจหันมาพูดกับกลุ่มกฤษดา
"ญี่ปุ่นมันบุกเราแล้ว"
กฤษดาถาม
"ที่ไหนครับ"
"ยังรู้ไม่หมด แต่ที่แน่ๆ ประจวบ สมุทรปราการ"
กฤษดาบอกฃ
"เราเข้าสู่สงครามแล้ว"
เมืองไทยเข้าสู่สมรภูมิรบสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว...
"เช้ามืดของวันที่ 8 ธันวาคม 2484 กองทัพญี่ปุ่นอันเกรียงไกรได้ยกพลขึ้นบกโจมตีประเทศไทยที่จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรปราการ สุราษฏร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และ ปัตตานี โดยที่ทหาร และ ประชาชน ยังไม่รู้ตัว ทหาร และ ประชาชนคนไทย ได้ต่อสู้เต็มความสามารถ แต่ไม่อาจหยุดการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งแข็งแกร่งกว่าได้ ทหารไทยต่าง ล้มตายเป็นจำนวนมากในระยะเวลาเพียงแค่ 24 ชั่วโมง รัฐบาลไทย จึงจำเป็นต้องยอมทำตามความต้องการของกองทัพญี่ปุ่นที่จะให้ไทยยินยอมเป็นทางผ่านให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านไปประเทศพม่า ไทยต้องเข้าร่วมกับประเทศฝ่ายอักษะ ซึ่งก็คือ ญี่ปุ่น เยอรมันนี และ อิตาลี ยอมประกาศตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ พันธมิตรซึ่งก็คือ อเมริกา อังกฤษ และ ฝรั่งเศส ผลที่ได้รับจากการตกลงทำสัญญาครั้งนี้ ทำให้ไทยรอดพ้นจากการทำลายล้างของญี่ปุ่น แต่ก็จำต้องเสียเปรียบปฏิบัติตามคำเรียกร้องของญี่ปุ่นอีกหลายอย่างคนไทยทั้งประเทศอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะกลายเป็นเบี้ยล่างของญี่ปุ่น และยังโดนอเมริกา เปิดฉากการรบกับไทย โดยการทิ้งระเบิดจุดยุทธศาสตร์สำคัญของกองทัพญี่ปุ่นในเมืองไทยทหารไทยต้องวางปืนและ อยู่โดยสงบทำอะไรไม่ได้เลย เพราะอยู่ในความควบคุมเข้มงวดของกองทัพญี่ปุ่นตลอดเวลา
บริเวณหน้าประตูกรมทหาร ทหารญี่ปุ่นอาวุธครบมือยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูหลายคน มีทหารไทยยืนปนอยู่บ้างไม่กี่คน แต่ไม่มีอาวุธ มีรั้วลวดหนามกั้นตามจุดต่าง ๆ แสงธรรม ผ่านการตรวจตราจากทหารญี่ปุ่นอย่างเข้มงวดเดินผ่านเข้ามาในกรมทหาร มีกฤษดายืนรอรับอยู่ด้านในด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ แสงธรรมมีกิริยานอบน้อมมากผิดจากเดิม ทั้งสองคนเดินคุยกัน "นี่ผมทำให้คุณเดือดร้อนหรือเปล่ากฤษดา"
"คงไม่มีอะไรทำให้ผมเดือดร้อนได้มากกว่านี้แล้วละแสงธรรม"
"ผมต้องสารภาพว่าผมอยากมาเห็นกับตาที่มันทำกับพวกเรา"
"พวกเรากกระดิกตัวกันไม่ได้เลย...ทหารญี่ปุ่นรู้ว่าผมจบเวสต์ปอยด์ด้วย ตามประกบผมทุกฝีก้าว"
แสงธรรมหัวเราะ
"เค้ากลัวคุณจะแจ้งจุดยุทธศาสตร์พวกเค้าให้เพื่อนคุณที่อเมริกาหรือไง"
กฤษดาพูดอย่างแค้น
"ผมบอกได้ผมจะบอกให้หมดเลย"
"พวกมันฉลาดจริงๆ ถ้าคุณอยากจะทำอะไรคุณต้องพรางตัวอย่าให้มันจับได้เป็นอันขาด"
กฤษดาหันมามองแสงธรรม
"คุณพูดเหมือนคุณมีวิธี."
นายทหารญี่ปุ่น 2-3 คนเดินสวนมากับกฤษดา ทั้งหมดมองกฤษดาอย่างอยากเอาเรื่อง กฤษดาไม่สน แสงธรรมอมยิ้ม
"ท่าทางคุณมันก็เหมือนอยากจะอัดกับพวกมันเต็มทน"
กฤษดาถอนใจอย่างอัดอั้น
"คุณนึกไม่ถึงหรอกแสงธรรมว่าผมอยากทำอะไร....เมื่อกี้คุณจะพูดอะไรนะ"
ทหารญี่ปุ่นเริ่มสนใจ กฤษดา และ แสงธรรม มากขึ้น
"ผมว่าผมคิดผิดแล้วละที่มาหาคุณ เราคุยกันไม่ได้หรอก แล้วผมก็ไม่อยากนั่งคุยต่อให้พวกมันสงสัยเรามากไปกว่านี้ เอาเป็นว่าวันนี้ผมเอาขนมจากยายปิ่นมาฝากคุณเท่านั้นก็แล้วกันนะ"
แสงธรรมส่งขวดขนมขวดใหญ่ให้กฤษดา
"โดนไอ้คนเฝ้าประตูมันเอาไปกินซะหลายอันกว่าจะยอมให้เอาเข้ามา เอาเป็นว่าเย็นนี้ผมไปหาคุณที่บ้านดีกว่า"
กฤษดารับขวดขนมมา สีหน้ายังเครียด
"ฝากบอกน้องปิ่นว่าขอบคุณมาก....เย็นนี้เจอกันนะแสงธรรม"
แสงธรรมพยักหน้าแล้วเดินกลับออกไป ทหารญี่ปุ่นค้นตัว และซักถามแสงธรรมด้วยท่าทางวางอำนาจ กฤษฎาไม่พอใจ จ่าทหารวิ่งเข้ามาตามกฤษดา
"ผู้กองครับ....ผู้การให้ตามไปพบ"
กฤษดาพยักหน้า หันกลับไปมองแสงธรรมที่หน้าประตูทางเข้าอีก ก็เห็นแสงธรรมเดินออกไปแล้ว
อ่านต่อหน้า 2
แหวนทองเหลือง ตอนที่ 5 (ต่อ)
กฤษดาเปิดประตูห้องทำงานของผู้การเข้ามา โตชิโร่ กับ ฮารุ ยืนอยู่ในห้องทำงานของผู้การ
กฤษดามองฮารุด้วยสีหน้าเรียบเฉย ฮารุก้มหัวให้กฤษดา
"กฤษดา...นี่คือพันโทโตชิโร่ กับ หมอฮารุ"
"ผมรู้จักหมอ ฮารุแล้วครับ"
ผู้การพยักหน้ารับรู้
"หมอฮารุจึงอาสามาเป็นล่ามให้คุณ"
"ผมได้เล่าให้ผู้พันโตชิโร่ฟังเรื่องของคุณกฤษดา เราจึงมาขอให้คุณร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่นด้วยครับ"
กฤษดายิ้ม
"ผมคงไม่มีความสามารถพอหรอกครับ"
ผู้การบอก
"ทางกองทัพญี่ปุ่นต้องการให้ทหารไทยร่วมสู้รบ เค้าต้องการให้คุณเป็นหัวหน้าชุดนำทหารออกไปกวาดล้างทหารพันธมิตรที่พม่า"
กฤษดา จ้องหน้าโตชิโร่
โตชิโร่พูดเป็นญี่ปุ่น ความว่า
"เค้าไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธคำสั่งเพราะทหารไทยต้องทำตามที่กองทัพญี่ปุ่นต้องการ"
กฤษดา เดินลงมาจากตึกที่ทำงานของผู้การอย่างรวดเร็ว ด้วยท่าทางไม่พอใจ ฮารุวิ่งตามมา
"คุณกฤษดา....คุณกฤษดา"
ฮารุร้องตะโกนเรียกกฤษดาจึงหยุดอย่างไม่เต็มใจ
"คุณกฤษดา คุณต้องเข้าใจนะ รัฐบาลไทยตกลงยินยอมกับรัฐบาลญี่ปุ่นแล้ว ถ้าคุณไม่ทำตาม คุณจะมีความผิดร้ายแรงนะ"
"พอเถอะหมอ...ผมเป็นทหารไทย หน้าที่ผมคือรักษาปกป้องแผ่นดินไทย จะให้ผมไปทำร้ายคนอื่น เพื่อผลประโยชน์ของคนที่ทำลายชาติผมน่ะ ให้ผมตายซะดีกว่า"
"แต่คุณไม่มีทางปฏิเสธ คุณเป็นทหาร. คุณต้องทำตามคำสั่ง"
กฤษดาตัดสินใจสีหน้าขมขื่น
"ผมไม่ทำ นับจากวันนี้เป็นต้นไป ผมขอลาออกจากการเป็นทหาร"
ฮารุตกใจ
ค่ำต่อเนื่องมา กฤษดาก้มกราบเท้า พระยาดำรง และแสงธรรมนั่งอยู่ในห้องด้วย
"ผมต้องกราบขอโทษคุณพ่อที่ตัดสินใจโดยพลการ ไม่ได้เรียนปรึกษาก่อน แต่ผมทนไม่ได้ที่จะต้องไปช่วยญี่ปุ่นรบกับคนที่เค้าไม่ได้ทำร้ายเรา"
พระยาดำรงจับบ่ากลูกชายให้ลุกขึ้น
"พ่อไม่ตำหนิลูกหรอก...เป็นพ่อก็คงทำอย่างนั้นเหมือนกัน" กฤษดาพูดอย่างอัดอั้น
"มันอึดอัดจนบอกไม่ถูกว่าควรทำอย่างไร...ผมอยากปกป้องประเทศของเรา แต่ทำอะไรไม่ได้เลย"
แสงธรรมคิดอย่างไตร่ตรองแล้วตัดสินใจ
"ถ้าคุณคิดอย่างนี้ ผมว่าเรามีทางเลือกนะ"
กฤษดา กับ พระยาดำรงมองหน้าแสงธรรม
"เรามีทางเลือกด้วยเหรอแสงธรรม"
แสงธรรมพยักหน้า
"แต่เป็นทางเลือกที่ต้องเสียสละทุกอย่าง โดยที่ยังมองไม่เห็นความสำเร็จ"
"แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย" พระยาดำรงบอก
"คุณคงพอได้ข่าวแล้วใช่ไหมที่เอกอัครราชทูตไทย ที่อเมริกาไม่ยอมรับการตัดสินใจของรัฐบาลไทยที่เข้ากับญี่ปุ่น"
"ผมก็พอจะรู้ และเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง"
แสงธรรมมองรอบๆ และพูดเบาลง
"ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น นักเรียนไทยที่เรียนอยู่อเมริกา กับ อังกฤษกำลังร่วมมือกันจัดตั้งขบวนการกู้ชาติ"
กฤษดาดีใจ
"ผมหวังอยู่ว่าจะมีคนทำอย่างนี้ แล้วเราจะมีทางเข้าร่วมกับเขายังไงแสงธรรม"
"ใจเย็นๆ...แต่ถ้าคุณเข้าร่วม คุณจะถอนตัวไม่ได้ คุณจะต้องละทิ้งทุกอย่างกลายเป็นคนไม่มีตัวตนอีกต่อไป"
กฤษดามองหน้าพ่อ พระยาดำรงยิ้มเข้าใจ พยักหน้าบอกลูก
"ไม่ต้องห่วงพ่อกฤษดา พ่ออยู่ได้"
กฤษดายิ้มมั่นใจ ก้มกราบบิดา
"ไม่มีใครเข้าใจผมเท่าคุณพ่ออีกแล้วครับ"
มิ่งเดินเข้ามานั่งห่างๆสีหน้าตื่น
"หมอฮารุมาขอพบคุณกฤษดาครับ แต่งเครื่องแบบทหารญี่ปุ่นด้วยขอรับ"
กฤษดาหน้าเครียดขึ้นมาทันที
"แสงธรรม คุณแอบอยู่ในนี้ก่อนนะ อย่าให้เค้าเห็นว่าคุณอยู่ที่นี่ ผมจะออกไปพบเค้าเอง"
ฮารุยืนถือซามูไรอยู่หน้าบ้าน กฤษดาเดินออกมามีพลทหารญี่ปุ่นตามมา 3 คนยืนห่างๆ
"จะมาตรวจคุณพ่อ...หรือจะมาจับตัวผมกันครับ ร้อยโทฮารุ"
ฮารุหันมายิ้มๆ
"ไม่ใช่ทั้งสองอย่างครับ...ผมจะมาขอร้องคุณกฤษดา"
"ผมตัดสินใจแล้วครับหมอ ผมไม่เปลี่ยนใจ"
"แต่การตัดสินใจของคุณ จะทำให้คุณกับคุณพ่อคุณลำบาก"
กฤษดาพยายามที่จะไม่แสดงอาการไม่พอใจ
"ทำไม...พวกคุณกลัวอะไรหมอฮารุ ถ้าคุณกลัวว่าผมจะติดต่อเพื่อนผมที่อเมริกา ผมก็อยากติดต่อพวกเขาหรอก แต่ผมทำไม่ได้ ยิ่งพวกคุณคอยตามคุมผมอย่างนี้ ผมจะกระดิกตัวทำอะไรได้"
"แล้วคุณจะทำอะไร จะอยู่เฉยๆ น่ะเหรอ เราไม่เชื่อว่าคุณจะอยู่เฉยๆได้นะ นอกจากคุณจะมีแผนการที่จะทำอะไรบางอย่างอยู่หรือเปล่า"
"อ๋อ..มีแน่ครับหมอ"
มิ่งประคองพระยาดำรงออกมา ฮารุหันไปก้มหัวให้ พระยาดำรงพยักหน้ารับ
"ผมจะให้เค้าไปดูแลไร่ที่เชียงใหม่...ให้เค้าไปอยู่ไกลๆ ไม่ต้องมารู้เห็นเรื่องที่นี่ หมอว่าเป็นความคิดที่ดีไหมล่ะ"
หมอฮารุบอก
"ก็..ถ้าหากว่าคุณกฤษดาทำได้อย่างนั้นก็ดีครับ"
"ก็ถ้าคุณไม่เชื่อใจ คุณจะส่งคนของคุณไปคอยเฝ้ากฤษดาก็ได้นี่นะ"
"กองทัพของเรายังประจำการแค่ปากน้ำโพ แต่อีกไม่นานก็จะตั้งหน่วยที่พิษณุโลก แล้วก็อาจจะถึงเชียงใหม่...ถ้าคุณกฤษดาไม่เปลี่ยนใจ ผมก็ต้องขอลา"
ฮารุพูดภาษาญี่ปุ่นเรียกทหาร แล้วเดินออกไป กฤษดามองตามอย่างไม่พอใจ
มิ่งประคองพระยาดำรงเดินเข้ามาในบ้าน กฤษดาเดินตามเข้ามา มองให้แน่ใจว่าพวกญี่ปุ่นไปหมดแล้ว แสงธรรมเดินออกมาจากที่ซ่อน
"มิ่ง...เอ็งออกไปก่อน"
"ขอรับ"
มิ่งทำท่าจะเดินออกไป พระยาดำรงเรียกไว้
"เดี๋ยวก่อน...ห้ามบอกใครว่าคุณแสงธรรมมาที่นี่ ใครมาถามถึงคุณแสงธรรมต้องบอกว่าไม่เคยมาที่นี่นานแล้ว จำไว้นะ"
"ขอรับท่าน"
มิ่งเดินออกไป
"พ่อว่าไปตั้งหลักที่เชียงใหม่ดีกว่า มันไกลหูไกลตาพวกญี่ปุ่นดี แสงธรรมก็อ้างได้ว่ากลับไปเที่ยวบ้าน...พรุ่งนี้พ่อจะให้หลวงเณติณัฐส่งข่าวไปบอกกำนันปาน"
แสงธรรม และ กฤษดา หันมายิ้มให้กันอย่างมีความหวัง
บ้านกำนันปานที่เชียงใหม่ ยายเหม็นมาพูดทาบทามดวงใจให้หนานอุย ดวงแก้วและสายคำ นั่งฟังอยู่ด้วย
"หนานอุยน่ะ เค้ารักดวงใจมานานแล้ว...เค้ายินดีจ่ายสินสอดเท่าไหร่ก็ได้ แล้วแต่กำนันจะเรียกมาเลย"
"ฉันก็ต้องถามไอ้ดวงมันก่อน...ของอย่างนี้จะบังคับใจมันไม่ดี ปลูกเรือนก็ต้องตามใจคนอยู่นะ ไอ้เรื่องสินสอดน่ะ อย่าเพิ่งพูดถึงเลย"
บัวแก้วบอก
"ละอ้าย ลูกตานงก็ให้แม่มันมาขอเหมือนกัน แต่ไอ้ดวงก็ปัดเค้าไปซะหน้าหงาย"
"แต่หนานอุยน่ะดีกว่าละอ้ายนา...กำนันก็กล่อมดวงใจให้รับหนานอุยมันเถอะมันจะได้สบาย"
"สงสัยจะยาก ยายเหม็น หนานอุยน่ะเป็นลูกไล่ไอ้ดวงตั้งแต่เล็กแล้ว" บัวแก้วบอก
"โอ้ย...อายุมันก็ไม่น้อยน่ะ จะมาเล่นตัวอยู่ทำไม มัวแต่เลือกก็ขึ้นคานกันพอดี หรือมันจะชอบกะใครฮึ"
"ข้าก็ไม่เห็นมันจะสนใจใครน่ะ"
ดวงใจจะเดินเข้ามาเห็นยายเหม็นก็หลบแอบฟัง
"นังสายคำน่ะ เอ็งสนิทกับไอ้ดวงน่ะ รู้หรือเปล่ามันไปติด ผู้ชายที่ไหน"
สายคำสะดุ้ง
"ไม่มี้...ยายก็พูดไปได้...ไอ้ดวงมันก็ทำงานงกๆ อยู่นี่น่ะ มันจะไปเจอใครล่ะ"
"ถ้างั้นกำนันก็ต้องบังคับให้มันแต่งกะหนานอุยละ"
กำนันปานถอนใจ
"ข้าจะไม่บังคับลูกข้าแน่ยายเหม็น...ถ้าหนานอุยมันรักมันชอบไอ้ดวงจริง ก็ให้มันมาทำให้ไอ้ดวงใจอ่อนเองซิ"
ยายเหม็นทำท่าไม่พอใจ ก่ำเดินเข้ามาเอาจดหมายมายื่นให้ปาน
"ไปรษณีย์เอาจดหมายมาส่งน่ะ...ของกำนันจากกรุงเทพ"
กำนันปานรับจดหมายมาด้วยสีหน้าแปลกใจ
"จดหมายนายท่านหรือเปล่า....ก็เพิ่งสั่งงานมาเมื่อต้นเดือนนี่นา"
กำนันปานแกะจดหมายออกอ่าน ส่งให้สายคำ
"สายคำเอ็งอ่านให้ลุงฟังซิ...ตาไม่ค่อยจะเห็นแล้วน่ะ"
สายคำรับจดหมายมาอ่าน
"กำนันปาน คุณกฤษดาจะมาเชียงใหม่ ช่วยดูแลให้เรียบร้อยด้วย"
ดวงใจที่แอบฟังอยู่ดีใจมาก วิ่งออกจากที่ซ่อนมายืนฟัง
"ถ้าขาดเหลืออะไรให้ใช้เงินที่มีอยู่ซื้อหาให้เรียบร้อย...คุณกฤษดาจะมากับเพื่อนอีกสี่คน"
"คุณกฤษดาจะมา..."
ทุกคนหันไปมอง ยายเหม็นมองดวงใจอย่างจับผิด
"มาแต่เมื่อไหร่ไอ้ดวง"
ดวงใจแย่งจดหมายจากสายคำไปอ่านต่อ
"คุณกฤษดา กับเพื่อนออกเดินทางมาแล้ว ขอให้กำนันปานไป คอยรับให้ดีด้วย"
ดวงใจพับจดหมาย สีหน้ายังดีใจมาก
"พ่อ...คุณกฤษดาออกเดินทางมาแล้ว...อย่างนี้ก็จวนจะมาถึงแล้วซิจ้ะพ่อ"
"น่าจะอีกหลายวันอยู่หรอก...บัวแก้ว พรุ่งนี้รีบไปทำความสะอาดบ้านใหญ่ให้ดีที่สุดเลยนะ เอาที่นอน หมอน มุ้ง ออกมาตากแดดให้ดีด้วย"
"จ้ะลุง...พรุ่งนี้เอ็งสองคนไม่ต้องไปไร่ ไปช่วยข้าทำบ้านนะ"
ยายเหม็นมองอย่างหมั่นไส้
"ท่าทางเอ็งจะดีใจมากนะไอ้ดวง"
"ฉันก็ต้องดีใจซิยายเหม็น นายฉันจะมาทั้งที"
ดวงใจถือจดหมายวิ่งขึ้นบ้านไป ยายเหม็นมองตาม
อ่านต่อหน้า 3
แหวนทองเหลือง ตอนที่ 5 (ต่อ)
ดวงใจขึ้นมาบนห้องนอน นั่งหน้าคันฉ่องเปิดจดหมายออกอ่านอีกครั้งด้วยสีหน้ามีความสุข ดวงใจมองหน้าตัวเองในกระจกยิ้มกับตัวเอง
"คุณกฤษดา คุณกฤษดาจะมาแล้ว"
ดวงใจซ่อนจดหมาย แต่พอเห็นเป็นสายคำ ก็เอาจดหมายออกมาชูให้ดู
"พี่สายคำ คำอธิฐานของฉันเป็นจริงแล้ว คุณกฤษดาจะมาหาฉันแล้ว"
"ไอ้ดวง เอ็งก็เพ้อไปได้ คุณกฤษดาจะมาหาเอ็งทำไม เค้าก็มาเที่ยวกับเพื่อนๆ เอ็งก็อ่านดูซิ"
"ก็นั่นแหล่ะ...จะยังไงฉันก็ดีใจที่จะได้พบคุณกฤษดาแล้ว"
สายคำมองดวงใจอย่างเป็นห่วง
"ข้าว่าเอ็งน่ะระวังใจตัวเองไว้บ้างเถอะ คุณกฤษดาน่ะ ป่านนี้ อาจแต่งงานไปแล้วก็ได้"
ดวงใจชะงัก
"พี่สายคำ"
"จริง ๆ นะ...เอ็งต้องเจียมตัวนะดวงใจ คุณกฤษดาน่ะ สูงเทียมฟ้า ไม่มีทางที่จะมาสนใจผู้หญิงบ้านป่าบ้านนอกหรอก" ดวงใจหน้าสลด "เอ็งน่ะ...ควรจะหาผัวที่มันพอกัน ยายเหม็นน่ะ มาเป็นแม่สื่อให้หนานอุย ดวงใจสีหน้าไม่พอใจทันทีไอ้หนานอุยมันรักเอ็งนะ..ถ้าเอ็งแต่งกับมันน่ะเอ็งจะได้สบาย...นี่ยายเหม็นก็ให้ข้ามาเกลี้ยกล่อมเอ็งน่ะเค้าอยากได้คำตอบ"
ดวงใจพูดเฉียบขาด
"ไปบอกยายเหม็นเลยว่าฉันไม่แต่งกับไอ้หนานอุยเด็ดขาด"
เสียงเคาะประตู กำนันปานเคาะประตูเรียกอยู่หน้าห้อง
"ดวงใจ...เปิดประตูหน่อย พ่อมีเรื่องจะถามเอ็งน่ะ..ดวงใจ เปิด ประตู"
ดวงใจทำหน้าถือดีมองไปรอบ ๆ สายคำจะเดินไปเปิดประตู ดวงใจถลาไปที่หน้าต่างห้องนอนปีนลงไป สายคำตกใจ
"ไอ้ดวง"
เสียงกำนันปานร้องเรียกให้เปิดประตู สายคำเปิดประตูห้อง กำนันปานเดินเข้ามามองหาดวงใจ
"สายคำ...ไอ้ดวงล่ะ"
"มันโดดหน้าต่างหนีไปแล้วลุงกำนัน"
"หา..."
กำนันปานเดินไปดูที่หน้าต่าง ก็ไม่เห็นดวงใจแล้ว กำนันปานหัวเราะเอ็นดู
"ไอ้ลูกคนนี้มันดื้อจริง ๆ"
สายคำเหนื่อยหน่าย
ดวงใจ มองรูปกฤษดายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สายคำเดินเข้ามาเห็น
"อยู่นี่ไง"
บัวแก้วเดินมาดูทำหน้าเบื่อ
"ไอ้ดวง"
ดวงใจสะดุ้ง ทำเป็นปัดฝุ่นไปเรื่อย บัวแก้วเดินเข้ามาหา
"เอ็งนี่ถ้าจะบ้า มายิ้มกับรูปอยู่ได้"
"ไม่ได้ยิ้ม ยิ้มอะไรกัน"
"ยังจะมาขี้จุ๊"
บัวแก้วลงมือทำความสะอาด
"เอ็งมันก็ได้แต่เพ้อหลงรูป หนุ่มบางกอกเค้าจะมาสนใจพวกเราได้จะได๋ เอ็งเคยได้ยินแล้วนี่ สาวเหนือที่โดนไอ้หนุ่มบางกอก มันมาหลอกกินไข่แดงน่ะ"
ดวงใจงง
"ไข่แดง สาวเหนือมีไข่แดงด้วยเหรอ อยู่ตรงไหนพี่บัวแก้ว"
บัวแก้วเอามือจิ้มที่ท้องดวงใจ
"ก็อยู่ในนี้ไง...หนุ่มบางกอกมาทำสาวเหนือท้องแล้วก็ทิ้งไปน่ะ บางคนทนอายไม่ได้ก็ฆ่าตัวตาย บางคนไม่ฆ่าตัวตาย ลูกออกมาก็อับอายคนไปทั่ว พ่อแม่ก็ไม่รู้เอาหน้าไปไว้ที่ไหน"
ดวงใจหน้าสลด
"คุณกฤษดาไม่ใช่หนุ่มบางกอกอย่างนั้นหรอก"
"เอ็งรู้ได้ไง...คุณกฤษดาเป็นหนุ่มอาจจะนิสัยไม่เหมือนเมื่อก่อนก็ได้"
ดวงใจนึกโมโห
"พี่บัวแก้ว...ทำไมพี่บัวแก้วพูดว่าคุณกฤษดาแบบนี้ ฉันน่ะรักคุณกฤษดาอย่างบ่าวที่รู้บุญคุณนาย ไม่ได้จะคิดทำอย่างที่พี่พูดนะ"
สายคำบอก
"นั่นซิพี่บัวแก้ว ฉันว่าพี่น่ะคิดมากไปแล้ว อีกอย่างนะคุณกฤษดาเค้าก็คงมีคู่รักแล้วด้วย...หรือถึงไม่มี เค้าก็ไม่มาสนใจผู้หญิงบ้านนอกอย่างไอ้ดวงหรอก"
ดวงใจมองหน้าสายคำ
"อ้าว"
"ข้าก็เตือนด้วยความหวังดีเพราะเอ็งเป็นน้อง ไม่อยากเห็นน้ำตาเช็ดหัวเข่า ไป...แยกย้ายกันไปกวาดถูได้แล้ว ไอ้ดวงไปเอาหมอนออกตากแดดให้หมด"
บัวแก้วพูดสั่งแล้วไปกวาดบ้านอีกทางหนึ่ง ดวงใจจะเดินไปแต่ยังหันกลับมายิ้มหวานให้รูปกฤดาดวงใจนึกอะไรขึ้นมาได้รีบวิ่งไปดึงแขนสายคำไว้
"พี่สายคำ พี่สายคำ ฉันคิดอะไรได้บางอย่างละ"
สายคำมองอย่างไม่ไว้ใจ
"เอ็งจะคิดทำอะไรแผลงๆ อีกล่ะ"
ดวงใจยิ้ม
รถโบราณสภาพเก่าขับมาตามทางถนนลูกรัง กฤษดานั่งด้านหน้าคู่กับแสงธรรมซึ่งเป็นคนขับ พนม มณีและปิ่นแก้ว นั่งด้านหลัง พอรถวิ่งมาได้สักหน่อยก็กระตุกดับ แสงธรรมพยายามสตาร์ทรถ 2-3 ครั้งก็ไม่ติด ปิ่นแก้วเริ่มโวยวาย
"พี่ธรรม...น้องบอกแล้วว่าอย่าเช่ารถคันนี้มาก็ไม่เชื่อ"
"มีคันอื่นให้เลือกที่ไหนล่ะ"
กฤษดาเดินลงมาเปิดฝากระโปรงรถดู มีควันโขมงออกมาจากเครื่องยนต์
"สงสัยหม้อน้ำจะรั่วนะ"
ทั้งหมดเดินลงมาจากรถ
"แล้วอย่างนี้จะทำยังไงล่ะพี่ธรรม"
"ก็เดินสิ...อีกไม่ไกลเท่าไหร่แล้ว"
พนมยืดเส้นมองรอบๆ อย่างพอใจ
"กฤษดา อากาศสุดยอดเลยนะ อย่างนี้ค่อยรู้สึกหายเครียดไม่ต้องคอยหลบไอ้ยุ่นเหมือนในบางกอกหน่อย"
กฤษดามองไปรอบๆ
"แต่ถ้ารอให้ค่ำก็อาจจะต้องเจอกับบางอย่างที่ร้ายพอๆ กัน"
มณีทำสีหน้าหวาด กระแซะเข้าใกล้กฤษดา
"อะไรคะคุณกฤษดา แถวนี้มีโจรด้วยเหรอคะ"
"โจรน่ะยังพอจะพูดกันได้บ้าง แต่ไอ้ตัวที่ว่าเนี่ย มันพูดไม่รู้เรื่องครับ"
"เสือ...เสือใช่ไหมคะพี่กฤษดา พี่ธรรมรีบแก้รถเร็วๆ สิคะ อีกไม่นานก็ค่ำแล้ว"
"พี่ซ่อมรถเป็นซะที่ไหนล่ะปิ่น"
กฤษดา กับ พนม ไปมองดูเครื่องยนต์ที่ยังมีควันจางๆ
"คงต้องรอให้เครื่องยนต์เย็นสนิทก่อน ถึงจะเติมน้ำใหม่ให้เต็มก็คงพอจะขับไปได้ ถ้าจะพากันเดินไป น้องปิ่น กับ คุณมณีก็คงไม่ไหว ไหนจะกระเป๋าเดินทางอีก"
พนมบอก
"ก็แต่งตัวเหมือนจะมาเดินแฟชั่น...ไม่สมกับเข้าป่าเล้ย ผมจะรีบเดินไปที่บ้านไปเอาเกวียนมารับ"
กฤษดาห้าม
"อย่าเลยพนม...ผมว่าผมไปเร็วกว่าคุณนะ แล้วบ้านกำนันปานก็อยู่อีกไม่ไกลคุณอยู่เป็นเพื่อนน้องปิ่นดีกว่า ผมจะรีบไปให้เอาเกวียนมารับ"
กฤษดาพูดแล้วก็รีบวิ่งออกไปอย่างเร็วจนหายไป ปิ่นแก้วเห็นกฤษดาวิ่งหายไปก็โวยวาย
"พี่กฤษดา พี่กฤษดา พี่ธรรมทำไมพี่กฤษดาทิ้งพวกเราไปคะ"
แสงธรรมบอก
"กฤษดาเค้ารีบไปบ้านกำนันปาน จะได้ไปเอาเกวียนมารับพวกเรา"
"ความจริงพวกเราไปพร้อมคุณกฤษดาก็ได้นี่คะ" มณีบอก
พนมบอก
"คุณจะเดินไหวเหรอ...ไม่ใช่ใกล้ๆ นะ แล้วแต่งตัวแบบนี้น่ะ เดี๋ยวก็ได้โดนกิ่งไม่เกี่ยวกระโปรงขาด...ไหนจะรองเท้าส้นสูง ทางอย่างนี้จะเดินไปไงแม่คู้น"
"อย่ามากระแนะกระแหนกันนะพนม...ก็คุณน่ะแหล่ะไม่พูดให้รู้เรื่องว่าต้องแต่งตัวยังไงน่ะ...ฉันไม่เคยมาบ้านนอกอย่างนี้นี่นะ"
ปิ่นแก้วซึ่งใส่กางเกงรัดกุมกว่า แต่ก็จัดจ้านพอกัน ทำเป็นยิ้มเยาะๆ
"แหม..มันก็ขึ้นกับกาลเทศะนะคะ...โต ๆ กันแล้วก็ไม่น่าต้องอธิบายกันมาก"
มณีไม่พอใจ
"บางครั้งมันก็นึกไม่ถึงได้ค่ะ...คุณปิ่นเคยอยู่ที่นี่ คุณปิ่นก็ต้องรู้ ดีสิคะ แล้วคนที่เป็นผู้รู้น่ะ ก็ไม่ควรจะทับถมคนอื่น"
พนมมองหน้ากับแสงธรรม
"แหม..ใครกันคะเป็น ผู้รู้กันแน่...ดิฉันว่าคุณมณีน่ะเก่งกล้ารู้ดีกว่าดิฉันตั้งเยอะ"
มณีทำท่าจะเถียงอีก พนมรีบเดินมายืนระหว่างปิ่นแก้ว กับ มณี ยกมือห้ามทัพ
"พอจ้ะ..พอ...ขืนทำเสียงดังมากกว่านี้เสือมันได้ยินจะมาตะครุบ เอานะ" พนมบอก
"คนเราเวลาโกรธ ร่างกายจะกระตุ้นฮอโมนให้หลั่งสารที่ทำให้เกิดกลิ่นแรงกว่าปรกติ...สัตว์จะได้กลิ่นนั้นที่โชยไปตามลม" แสงธรรมบอก
มณี กับ ปิ่นแก้ว ดมกลิ่นตัวเอง
"พี่ธรรมโกหก ปิ่นไม่ได้กลิ่นอะไรสักหน่อย"
"นั่นสิ...กลิ่นอะไรของคุณ คุณแสงธรรม"
พนมหัวเราะ
"อ้าว...เป็นพวกเดียวกันแล้วเหรอ ผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริง ๆ นะ แสงธรรม"
"ผมว่าเราล็อกรถแล้วเดินตามกฤษดาไปดีกว่า...เพราะนี่จะค่ำแล้ว เพราะถ้าเกวียนมารับ ก็จะได้ย่นระยะทางได้บ้าง"
"ดีเหมือนกัน" พนมบอก
พนมเปิดท้ายรถขนกระเป๋าออกมา มณีเปิดกระเป๋าตัวเอง หยิบรองเท้าแตะออกมาเปลี่ยนกับรองเท้าส้นสูงที่เก็บเข้ากระเป๋าไป มณีหันมามองปิ่นแก้วอย่างเป็นต่อพูดไปเปลี่ยนรองเท้าไป
"ถึงฉันจะไม่รู้กาลเทศะบางครั้ง แต่ฉันก็เตรียมพร้อม"
"ก็ดี...แต่ฉันมีบ้านที่นี่...มีบ่าวเตรียมให้...ไม่จำเป็นต้องขนมาเอง"
แสงธรรมมองปิ่นแก้วอย่างตำหนิ
"พอแล้วปิ่น...รีบๆ เดินได้แล้ว"
ทั้งหมดพากันเดินไป ปิ่นแก้วเดินช้ากว่ามณีเพราะใส่รองเท้าส้นสูง แสงธรรมต้องคอยจับ
อ่านต่อหน้า 4
แหวนทองเหลือง ตอนที่ 5 (ต่อ)
เวลาเย็นใกล้ค่ำต่อเนื่อง กฤษดา เดินมาถึงบ้านกำนันปาน มองไปรอบๆ อย่างรู้สึกดี บัวแก้วเดินมาเห็นกฤษดาแต่จำไม่ได้
"มาหาใครกัน"
"กำนันปานอยู่ไหมครับ"
บัวแก้วมองกฤษดาอย่างคุ้น ๆ เดินไปเรียกกำนันปานบนบ้าน
"ลุงกำนัน ลุงกำนัน มีคนมาหา"
กำนันปานเดินลงมาจากบ้าน
"ใครกันบัวแก้ว"
กำนันปานเห็นกฤษดาก็จำไม่ได้ แต่เดินมาหา กฤษดายิ้มดีใจ
"ใครกัน"
"กำนันปาน จำกันไม่ได้เหรอครับ ผมกฤษดาไงครับ"
กำนันปานตกตะลึง มองกฤษดานิ่งแล้วหัวเราะดีใจ
"โอ้...คุณกฤษดา ใช่คุณกฤษดาจริง ๆ ด้วย ผมก็ว่าคุ้นตาจริง ๆ เหมือนในรูปที่ท่านส่งมา บัวแก้ว เอ็งรีบมาไหว้คุณกฤษดาเร็วๆ"
บัวแก้วดีใจรีบเข้ามาไหว้กฤษดา กำนันปานก็รีบลงนั่งไหว้ กฤษดารีบลงนั่งรับไหว้แทบไม่ทัน
"ไม่ต้องไหว้ผมหรอกครับกำนัน"
"ต้องสิครับ คุณกฤษดาคือเจ้านายน้อยของพวกเรา ผมดีใจจริงๆ เอ้..แล้วทำไมถึงเดินมาคนเดียวอย่างนี้ล่ะครับ ไหนมาว่าจะมากับเพื่อนๆ"
"รถเสียอยู่บนถนนก่อนถึงเชิงเขาน่ะครับ...คนอื่นๆ รออยู่ที่รถ ผมรีบมาให้ที่นี่เอาเกวียนไปรับพวกเขา."
"บัวแก้ว...รีบไปตามไอ้ก่ำมาเร็ว ๆ"
"จ้ะลุงกำนัน"
บัวแก้วรีบวิ่งออกไป
"คุณกฤษดาเดินมาไกลมากเลยนะครับ หิวหรือยังครับ จะทานข้าวก่อน หรือจะไปอาบน้ำอาบท่าที่บ้านก่อนดีครับ"
"ผมไปเปลี่ยนเสื้ออาบน้ำก่อนดีกว่าครับ...รอให้เพื่อนๆ มาก่อน ค่อยทานข้าวพร้อมๆ กัน"
"แล้วแต่คุณครับ...เด็กๆ มันเติมน้ำท่าไว้แล้วครับ"
ก่ำวิ่งเข้ามา
"ไอ้ก่ำ เอ็งรีบเอาเกวียนไปรับคุณ ๆ ที่ถนนตีนเขาเร็วๆ เอาตะเกียงติดไปสองสามอันด้วย มันจะมืดแล้ว...รีบไปเร็ว ๆ เอาม้าเทียมเกวียนนะ จะได้เร็ว ๆ"
"จ้ะกำนัน" ก่ำบอก
ก่ำรีบวิ่งออกไป กฤษดารู้สึกมีความสุข
"ขอบคุณกำนันมากนะครับ"
กำนันปานหัวเราะโบกไม้โบกมือ
"ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ เป็นหน้าที่ผมต้องคอยดูแลรับใช้คุณกฤษดาอยู่แล้วครับ"
กฤษดายิ้มมีความสุข
ดวงใจจุดเทียนวางตามมุมบ้านนิดหน่อยดูสวยงาม ดวงใจยืนมาหยุดอยู่ที่รูปกฤษดา ยิ้มหวานให้กับรูป
"คุณกฤษดา คุณกฤษดาเจ้า ดวงใจคนนี้รอคอยคุณทุกลมหายใจ คุณจะรู้ไหมนะ"
ดวงใจเอียงคอมองรูปอย่างน่ารัก
"ถ้าเราพบกัน คุณจะจำดวงใจคนนี้ได้ไหมนะ...แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน...ดวงใจก็จำคุณได้เสมอ"
กฤษดา เดินขึ้นเรือนมามองมาที่ดวงใจ ดวงใจหันหลังให้ยังพูดกับรูป
"ป่านนี้คุณคงลืมดวงใจคนนี้ไปแล้ว ดวงมันก็แค่คนบ้านนอกคนนึง"
กฤษดาค่อย ๆ เดินเข้ามาฟัง อดยิ้มไม่ได้ที่เห็นดวงใจพูดกับรูปตัวเอง
"ป่านนี้คุณคงมีแต่ผู้หญิงบางกอกสวยๆ มาอยู่รอบๆ คุณก็คุณออกจะงามอย่างนี้...ผู้หญิงคนไหนๆ ก็คงอดที่จะ..."
ดวงใจพูดไม่ออก ยิ้มอายกับรูป
"ชอบรูปฉันเหรอ"
ดวงใจสะดุ้งหันมามอง กฤษดาซึ่งเดินเข้ามาใกล้ ยิ้มให้ ดวงใจมองรูปในมือแล้วมองกฤษดา
ดวงใจตะลึงแทบจะลืมหายใจ ค่อย ๆ วางรูปที่เดิม ดีใจจนแทบจะกรีดร้องพยายามข่มความดีใจไว้
"คุณกฤษดา"
"ใช่...ฉันเอง ดวงใจเป็นสาวจนฉันจำไม่ได้"
ดวงใจมองหน้ากฤษดานิ่งนานพูดไม่ออก
"ทีเมื่อกี้ยังพูดจ๋อยๆ กับรูปฉันอยู่เลย....ตอนนี้ดวงใจเจอฉันแล้ว ทำไมไม่พูดอย่างเมื่อกี้อีกล่ะจ้ะ"
ดวงใจอายทำท่าจะวิ่งหนีไป กฤษดาจับมือไว้
"เดี๋ยวซิดวงใจจะรีบไปไหนล่ะ คุยกันก่อนนะ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี"
ดวงใจอายม้วน
"ข้าเจ้า...เอ้อ ข้าเจ้าจะไปช่วยพี่บัวแก้ว"
ดวงใจค่อย ๆ ดึงมือกลับ ทำท่าจะเดินไปอีก แต่กฤษดาขวางไว้
"แต่ฉันอยากคุยกับดวงใจนี่ ดวงใจยังไม่ได้ตอบฉันเลยว่า ชอบรูปฉันหรือเปล่า แล้วเมื่อกี้ฉันได้ยินแว่ว ๆ ว่าดวงใจ ถามรูปว่าฉันจะจำดวงใจได้หรือเปล่าใช่ไหม"
ดวงใจอายมาก พยายามซ่อนหน้าไม่กล้ามอง
"ฉันก็จะตอบว่า..."
ดวงใจลุ้นเงยหน้ามองกฤษดา
"ฉันคิดถึงดวงใจบ่อยๆ แล้วก็จำวันที่เราไปเที่ยวสนุกกันได้เสมอ"
ดวงใจตาเป็นประกายเพราะดีใจ ค่อย ๆ พูด
"คุณกฤษดาเจ้า...คุณกฤษดาอย่าไปบอกพ่อว่าเจอข้าเจ้าอยู่ที่นี่นะเจ้า"
"ทำไมล่ะ...ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย"
"ข้าเจ้ากลัว"
กฤษดายิ้มหับท่าทางดวงใจ
"พ่อห้ามไม่ให้ข้าเจ้ามายุ่งวุ่นวาย....พ่อต้องตีแน่ๆ"
"ไม่ต้องกลัวหรอกดวงใจ ฉันไม่ยอมให้ดวงใจถูกตีหรอกนะ"
กฤษดาเดินไปหยิบรูปมาให้ดวงใจ
"ฉันให้รูปนี้กับดวงใจนะ"
"ไม่ได้หรอกค่ะ"
"ทำไมล่ะ...ดวงใจไม่ชอบรูปฉันแล้วเหรอ"
ดวงใจรีบหันมา
"ชอบซิเจ้า"
"ถ้าชอบก็เอาไปสิจ้ะ...ฉันยกให้"
กฤษดาพยายามจะเอารูปใส่มือ แต่ดวงใจไม่กล้ารับรูปจึงตกแตก ดวงใจตกใจมาก รีบก้มเก็บรูป และกระจกที่แตก
"ทีนี้พ่อตีข้าเจ้าตายแน่ ๆ"
กฤษดาจับบ่าดวงใจให้ลุกขึ้นยืนเดินห่างออกมา
"ดวงใจ...รูปนี้น่ะเป็นของฉัน ฉันจะให้ใครก็ได้ ฉันให้ดวงใจแล้ว มันก็เป็นสิทธิ์ของดวงใจ กำนันปานว่าไม่ได้หรอกจ้ะ"
กฤษดาจับมือดวงใจไว้ ดวงใจ มองหน้ากฤษดาอย่างซาบซึ้ง แล้วรีบวิ่งหนีไป
ค่ำต่อเนื่องมา สายคำกำลังจัดสำรับที่จวนเสร็จแล้ว ดวงใจรีบวิ่งมาหา
"พี่สายคำ...พี่สายคำ ฉันเจอแล้ว ฉันเจอแล้ว".
สายคำมองดวงใจยิ้มๆ
"นี่ไปเจอคุณกฤษดาแล้วละซิ"
ดวงใจทำท่าอายม้วนชวนฝัน
"ใช่แล้วพี่สายคำ"
ดวงใจทำท่านึกขึ้นได้
"พี่สายคำ ไปเตรียมตัวเร็ว ๆ"
สายคำทำท่ากลัวๆ
"เอาแน่เหรอวะไอดวง"
ดวงใจทำท่าข่มบังคับชี้หน้าสายใจ
"พี่รับปากกับฉันแล้วนะ"
สายคำกลัวๆ กล้าๆ
"เอาวะ...โดนก็โดนด้วยกันนะไอ้ดวง"
ดวงใจฉุดสายคำออกไป บัวแก้วถือกับข้าวเดินออกมาอีก หันไปหันมา
"เอ้า....หายไปไหนกันหมดวะเนี่ยะ...ไอ้สองคนนี่มันพึ่งไม่ได้เลยโว้ย"
บัวแก้วจัดสำรับคนเดียวอย่างกระแทกกระทั้น...
อ่านต่อตอนที่ 6