บ้านศิลาแดง ตอนที่ 2
ทางด้านเพ็ญพรเดินเข้าไปนั่งเบียดเดือนฉาย สีหน้าและแววตาเศร้าสร้อย
“แม่ขา จู่ ๆ ก็เศร้าอยากร้องไห้อีกแล้ว”
“ก็เห็นเป็นหายๆ มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วนี่ลูก”
เพ็ญพรเอียงหน้าซบไหล่อ้อนแม่
“พักนี้หนูเป็นหนักขึ้น มันรู้สึกแย่มากค่ะแม่ มันเหมือนหนูอีกคนนึงกำลังเศร้า”
เดือนฉายใจหายแว้บลุกพรวดขึ้นทันที เพ็ญพรมองแบบงง ๆ
“แม่ว่าอาการแบบหนูนี่ต้องปรึกษาหมอโรคจิตไหมคะ รู้สึกขัด ๆ กับตัวเองยังไงก็ไม่รู้ อย่างตอนนี้หนูไม่เห็นจะมีเรื่องอะไรต้องกลุ้ม แต่ทำไมหนูรู้สึกมันหนักๆ อก ทุกข์ ๆ เศร้าๆ ยังไงบอกไม่ถูก หรือจะประสาทอย่างที่นายนั่นว่าจริง”
เดือนฉายใจเต้นตุ้บแล้วเข่าอ่อนทรุดลง เพ็ญพรตกใจรีบลุกพรวดไปที่แม่
“แม่ แม่เป็นอะไรไปคะ กอล์ฟ ออกมานี่เร็วแม่เป็นอะไรก็ไม่รู้”
“จู่ๆ ก็หน้ามืดจ้ะ ไม่เป็นไรหรอก”
เดือนฉายพูดพลางพยายามยันตัวเองให้ยืนขึ้น เพ็ญพรรีบพยุงแม่ไปที่โซฟา
ตรัยนั่งเอกเขนกดูหนังอยู่ที่ห้องรับแขก พักหนึ่งสุดาเดินลงมาจากชั้นบน
“เป็นไงมั่ง ที่ไปโรง’บาล เจ้าหมอมันดูแลแกดีมั้ย?”
สุดาทำหน้าเซ็ง “ทีหลังไม่เอาแล้วนะ ไม่ต้องให้มายุ่งเลย เรื่องเยอะ”
“เป็นงั้นไปอีก ก็กลัวเราจะลำบาก เห็นว่าจะไปตรวจภายใน”
“ช่องปากค่ะ” พลางอ้าปากให้ดู
“รู้”
สุดาแอบเคือง “แต่เพื่อนพี่ตรัยไม่รู้นี่”
ขณะนั้นมือถือของตรัยบนโต๊ะก็สั่นขึ้นมา เขารีบเอื้อมมือไปคว้ามากดรับ
“ครับป้า...ใจเย็น ๆ ครับ โอเค. ครับเดี๋ยวผมตามไป”
จากนั้นก็รีบวางสาย ก่อนจะหันมาบอกสุดาว่าพ่อของพรเพ็ญล้ม เขาจะรีบไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล แล้วก็ลุกพรวดไปทันที ก่อนจะรีบขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว สุดามองชะเง้อไปนอกบ้าน แล้วก็มองบนโต๊ะในห้อง เห็นโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์ของตรัยวางลืมไว้
วิทวัสขับรถมาจอดเทียบหน้าโรงพยาบาล กอล์ฟรีบกระโดดลง ก่อนจะรีบวิ่งไปเอารถเข็นมาให้ บุรุษพยาบาลออกมาช่วยเพ็ญพรพยุงเดือนฉายนั่งรถเข็นแล้วเข็นเข้าไป
“ตามแม่เข้าไปก่อน เดี๋ยวฉันตามเข้าไป ขอบคุณมากนะที่มาส่ง”
วิทวัสหน้าเหรอ “จะรีบไล่ผมกลับเลยเหรอคุณ ไม่กะให้ผมรับกลับเหรอ?”
“อ้าว คุณจะอยู่รอด้วยเหรอ ฉันนึกว่าจะมาส่งอย่างเดียว”
“คุณนี่ยังไงนะชอบนึกว่าผมเป็นแท็กซี่อยู่เรื่อย”
เพ็ญพรทำหน้างง “ก็แล้วทำไมคุณไม่ขึ้นไปจอดเลยล่ะ ฉันจะไปรู้เหรอ?”
“เอ้า ปิดประตูมาเลยคุณ เดี๋ยวผมวนเอารถขึ้นไปจอดก่อนแล้วจะโทร.เข้าไป รับโทรศัพท์ด้วยล่ะ เออ เดี๋ยวๆ กรุณาปิดเบา ๆ ด้วยครับ อย่ากระแทกเด็ดขาด ไม่งั้น...”
เพ็ญพรค้อนวิทวัสหนึ่งแล้วทำท่าจะกระแทกประตูใส่ พอเห็นอีกฝ่ายถลึงตามอง ก็เปลี่ยนท่าทีเป็น
ปิดประตูอย่างเบามือ
รถฉุกเฉินแล่นเข้ามาจอดหน้าโรงพยาบาล ก่อนที่บุรุษพยาบาลกับนางพยาบาล จะวิ่งไปเปิดท้ายรถแล้วค่อย ๆ ย้ายเอกสิทธิ์ขึ้นเตียงผู้ป่วย พลางเข็นเตียงไปที่ห้องฉุกเฉิน
พรเพ็ญยืนหน้าเศร้า ก่อนจะรีบวิ่งตามไปด้วยความเป็นห่วงพ่อ
พรเพ็ญนั่งร้องไห้นิ่งๆ อยู่คนเดียวหน้าห้องฉุกเฉิน ครู่หนึ่งสโรชากับอาภาพรก็มาถึง
“ถ้าฉันไม่กลับบ้านเร็ววันนี้ฉันจะรู้ไหมว่าคุณเอกล้มน่ะ เธอยังจำได้อยู่ไหมว่าฉันเป็นใคร?”
สโรชาโวยวายเสียงดัง ขณะที่พรเพ็ญก้มหน้าร้องไห้สะอื้น อาภาพรยิ้มเยาะ
“อย่านึกว่าไม่มีใครรู้นะที่คุณลุงล้มเนี่ยฝีมือใคร ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะอยากได้สมบัติซะจนตัวสั่น ถึงขนาดกล้าทำอย่างนี้กับพ่อตัวเอง”
พรเพ็ญมองหน้าอาภาพรอย่างนึกไม่ถึง พลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
“อย่ามาทำสำออย เห็นแม่ฉันไม่พูดอะไร นึกเหรอว่าไม่เท่าทันเธอน่ะ”
จังหวะนั้นตรัยก็เดินเข้ามาพร้อมกับป้าแจ่ม
“คุณลุงเป็นยังไงบ้างครับ?”
อาภาพรรีบตีหน้าเศร้า “คุณลุงล้มค่ะ”
“มีเรื่องอะไรกันรึเปล่าครับ?”
สโรชามองป้าแจ่มอย่างตำหนิ
“เรื่องในครอบครัว ป้าแจ่มใช่ไหมที่ทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้”
ป้าแจ่มก้มหน้านิ่ง ก่อนจะเดินไปกอดพรเพ็ญไว้ พร้อมๆ กับที่หมอรุจน์เดินเข้ามา ตรัยรีบแนะนำให้ทุกคนรู้จัก
“ช่วยคุณพ่อด้วยนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงนะครับ”
ตรัยแอบชำเลืองมองหมอรุจน์สลับกับพรเพ็ญ
วิทวัสกับกลอ์ฟนั่งเก้าอี้ห่างกันคนละฝั่ง พักหนึ่งเพ็ญพรก็เข็นรถเข็นเดือนฉายออกมาหน้าห้องตรวจ พร้อมกับพยาบาลเดินตามออกมา
เดือนฉายกับเพ็ญพรหันไปยิ้มให้พยาบาล
“ขอบคุณมากค่ะ เออ แม่ขอเดินเองได้ไหมลูก นั่งรถเข็นแบบนี้มันรู้สึกป่วยมากยังไงก็ไม่รู้”
“คุณหมอว่าไงบ้างครับคุณเดือน?”
วิทวัสถามอย่างเป็นห่วง
“ไข้หวัดเฉยๆ น่ะค่ะ พักสัก 2-3 วัน ไข้ลง ก็กลับไปคุยกับลูกค้าได้แล้ว”
“ผมว่าคุณเดือนอย่าห่วงงานนักเลยครับ มีลูกสาวอยู่นี่ทั้งคน ให้ช่วยงานแทนจะได้ถือเป็นการฝึกงาน”
เพ็ญพรมองค้อน แต่เดือนฉายเห็นด้วย
“ก็ดีนะคะ ไม่งั้นอยู่เฉย ๆ คงเอาแต่ออกไปช้อปปิ้ง”
เดือนฉายพูดพลางพยายามจะยันตัวลุก เพ็ญพรรีบปรามไว้
“อย่าเลยค่ะแม่ เผื่อหน้ามืดอะไรขึ้น” พลางหันไปทางกอล์ฟ “จะยืนอ้วนดำอีกนานมั้ย?”
กอล์ฟรีบเดินเข้าไปช่วยเข็นแทนเพ็ญพร
“เดี๋ยวหนูไปจ่ายตังค์ แม่ไปรอตรงรับยานะคะ เดี๋ยวเสร็จแล้วหนูตามไป”
วิทวัสรีบยื่นบัตรจอดรถให้
“พอดีเลย ผมจะไปเข้าห้องน้ำคุณไปจ่ายสตางค์ แสตมป์ให้ผมด้วยละกัน”
เพ็ญพรรับบัตรจอดรถมาถือไว้ พลางมองแบบเหวอๆ
พรเพ็ญประคองป้าแจ่มทรุดตัวกันลงนั่งข้างๆ กัน พร้อมกับที่ตรัยพูดขึ้นมา
“ผมสั่งป้าแจ่มไว้เองครับมีเรื่องด่วนให้รีบโทร. บอกผม นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับเนี่ย?”
อาภาพรพูดแทรกขึ้นมาทันที
“พี่ตรัย พี่ตรัยเป็นตำรวจจับน้องพรไปเลยค่ะ น้องพรเป็นคนทำให้คุณลุงเกิดอุบัติเหตุเพราะหวังจะฮุบสมบัติค่ะ”
พรเพ็ญกอดป้าแจ่มแน่น
“คุณภาพูดอย่างนั้นได้ยังไงคะ คุณหนูเป็นลูกคุณท่าน”
อาภาพรยิ้มเยาะ “ก็เพราะเป็นลูกไงคะ ถ้าพ่อเป็นอะไรไปใครล่ะคะจะได้สมบัติ”
สโรชาหันมาตวาด
“ลูกภาหยุด น้าต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะพ่อตรัย เรื่องในครอบครัวน่ะ ถ้าเดี๋ยวคุณเอกสิทธิ์ฟื้นเราคงได้รู้กันทำไมแกถึงล้ม”
“ไม่เห็นต้องรอถาม เห็นๆ อยู่ว่าน้องพรทำน้ำหกหน้าห้อง คุณลุงเดินออกมาก็เลยลื่น”
“แต่คุณหนูไม่ได้ตั้งใจทำหก คุณภา...”
อาภาพรถลึงตาใส่ ป้าแจ่มหน้าซีดหยุดพูดทันที จังหวะนั้นหมอรุจน์ก็เดินมา พรเพ็ญรีบปรี่ไปหา
“คุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ?”
“คงต้องแอดมิท นอนที่โรงพยาบาลก่อนนะครับ”
สโรชามองอย่างไม่พอใจ “มีอะไรควรจะบอกฉันนะคะ”
“อ๋อ..ครับ คือ ผมเห็นว่าเป็นลูกสาวผู้ป่วย”
สโรชาชี้ตัวเอง “แต่นี่ เมีย”
“งั้นรบกวนเชิญมากรอกรายละเอียดนะครับ”
ตรัยมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นพรเพ็ญแล้ว
สโรชาเดินกดมือถือมาตามทาง พลันก็ได้ยินเสียงประกาศจากห้องยาดังขึ้น
“คุณเดือนฉาย กมลรุ่งโรจน์ รับยาที่ช่องหมายเลข 7 ค่ะ”
เธอถึงกับสะดุดกึกหันขวับไปทันที แต่กลับเห็นกอล์ฟยืนรับยาอยู่
เพ็ญพรโบกบัตรจอดรถในมือเล่น ขณะยืนรอวิทวัสอยู่หน้าห้องน้ำชาย ก่อนที่จะเหลือบมองไปที่ห้องน้ำหญิง พลางหย่อนบัตรจอดรถลงกระเป๋าสะพายแล้วเดินตรงไป โดยไม่รู้ตัวว่าหย่อนบัตรไม่ลงกระเป๋า
พรเพ็ญเดินมาถึงหน้าห้องน้ำ เห็นเพ็ญพรทางด้านหลังทำบัตรจอดรถตกพื้น ก็จะโกนเรียก
“คุณคะ คุณ”
แต่อีกฝ่ายไม่ได้ยิน เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ พรเพ็ญก้มลงหยิบบัตรขึ้นมาถือไว้ในมือแล้วมองเข้าไปในห้องน้ำ
ทางด้านสโรชาก็ยืนคุยโทรศัพท์หน้าเครียด
“อยู่ไหนเนี่ยเจ้าณัฐ จบเรื่องพ่อแกไปก่อนเลยนะ ตอนนี้ฉันมีเรื่องใหญ่กว่าที่พ่อแกมาขูดเงินแกเยอะกลับไปหาของให้ฉันที่บ้านเดี๋ยวนี้”
จากนั้นก็กดวางสายแล้วสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนที่จะกดโทร. ออกอีกครั้ง พร้อมกับแกล้งร้องไห้โฮ“คุณทนายเหรอคะ คุณเอกค่ะ คุณเอก”
เดือนฉายนั่งอยู่บนรถเข็น สีหน้าอึดอัด พลางหันมาบอกให้กอล์ฟเข็นรถพาออกไปรอเพ็ญพรด้านนอก ก่อนจะเอามือขึ้นมากุมขมับ เพราะเกิดอาการเวียนหัวหนัก
กอล์ฟเข็นรถมาเดือนฉายออกมา พลางยืนบิดกระสับกระสายเพราะปวดฉี่ อีกฝ่ายรีบไล่ให้ไปเข้าห้องน้ำ
“คุณเดือนอยู่คนเดียวได้แน่นะ”
“ไปเถอะ ถ้าเรามาทำเลอะเทอะ ฉันอาจจะเป็นหนักกว่านี้ก็ได้”
กอล์ฟพยักหน้ารับ ก่อนจะวางถุงยาวางบนตักของเดือนฉายแล้ววิ่งจู๊ดหายไปทันที
เดือนฉายส่ายหัวไปมา รู้สึกยังมึนๆ หัว กระทั่งเผลอปัดถุงยาตกลงพื้น พลางขยับตัวลงจากรถเข็น ก้มลงจะมาหยิบถุงยาที่พื้น จังหวะที่ก้มลงเก็บ ก็กลับเกิดอาการโคลงเคลง จนเซไปเซมาเหมือนจะล้มลง บังเอิญพรเพ็ญเข้ามาประคองไว้ทัน
“คุณน้านั่งก่อนนะคะ ไหวไหมคะคุณน้า หนูตามหมอให้ดีไหมคะ”
เดือนฉายเอามมือกุมขมับส่ายหน้า โดยยังไม่ได้มองหน้าอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรจ้ะ น้าแค่หน้ามืดไปหน่อย”
“แล้วนี่คุณน้ามากับใครคะเนี่ย?”
“น้ามากับลูกน่ะจ้ะ เค้าไปห้องน้ำอยู่ เดี๋ยวก็มาจ้ะ”
พรเพ็ญหยิบยาดมส่งให้ แล้วพัดให้ เดือนฉายลืมตาขึ้นหันมาจะยิ้มให้ แต่พอเห็นหน้าอีกฝ่าย ก็ตาโตตกใจอึ้งไปทันที
วิทวาสยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ ครู่หนึ่งเพ็ญพรก็เดินออกมา พร้อมๆ กับมีคนไข้คนหนึ่งยื่นบัตรจดรถให้
“มีคนฝากนี่มาให้ เขารีบ เขาเก็บได้ อ้าว...”
พอเห็นเพ็ญพรก็ทำหน้างง พลางเกาหัวแกรก
“ขอบคุณนะคะคุณปู่ ไม่งั้นตานี่บ่นหนูเละแน่ ให้หนูเลี้ยงข้าวตอบแทนมั้ยคะ?”
คนไข้ส่ายหัว
“ไม่ครับ เมื่อกี้ผู้หญิงคนนี้เขา..”
เพ็ญพรขมวดคิ้วงงๆ “อะไรเหรอ ปู่”
“คนอะไร? ทำไมฝากบัตรจอดรถให้ตัวเอง”
เพ็ญพรยิ้มขำ
“สบายล่ะ หลงซะแล้วคุณปู่”
พอกลับมาถึงคอนโด เพ็ญพรก็วางถุงยาไว้บนโต๊ะอาหาร ก่อนจะหันไปถามแม่ ที่มีสีหน้าเหม่อลอยอย่างเป็นห่วง
“แม่คะ แม่ไหวไหมคะเนี่ย แม่คะ”
เดือนฉายสะดุ้งหันมามองเพ็ญพร “หนูว่าอะไรนะลูก”
“หนูถามว่าแม่ไหวไหมคะ แม่ดูเหม่อๆ ยังไงชอบกล”
กอล์ฟรีบเสริม
“นั่นน่ะสิ เห็นตั้งแต่ที่โรงพยาบาลแล้ว คุณเดือนน้อยใจที่คุณเพ็ญไปอึนานใช่ไหมล่ะ”
เพ็ญพรมองค้อน ก่อนจะเดินเข้ามานั่งคุกเข่าลงข้างๆ พลางเกาะแขนมองเดือนฉายตาปริบๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะแม่?”
“แม่ไม่ได้เป็นอะไรแล้วลูก แค่ยังมึนๆ อยู่”
วิทวัสแอบขำ “ผมว่าคุณเดือนจะอาการทรุดเพราะคุณไปเซ้าซี้นั่นล่ะ”
เพ็ญพรหันไปค้อนขวับใส่ “ แม่ลูกเค้าคุยกัน ยุ่งอะไรด้วยยะ”
“คนเค้าหวังดี อุตส่าห์มีน้ำใจ เชอะ”
เพ็ญพรนึกขึ้นมาได้
“พูดถึงคนมีน้ำใจ อยากเห็นหน้าคนที่เข้ามาช่วยแม่ที่โรงพยาบาลจัง ใครกันน้าผู้หญิงที่แม่บอก”
“ใครไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ไม่มีทางเหมือนคุณแน่”
วิทวัสพูดล้อๆ ขณะที่เดือนฉายยังคงเหม่อลอย คิดถึงเรื่องที่เธอเจอพรเพ็ญที่โรงพยาบาล
เดือนฉายตะลึงที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นพรเพ็ญ
“หนู.. น้า..? ลูก”
พรเพ็ญมองไปรอบๆ “ไหนนะคะ ลูกคุณน้า”
น้ำตาเดือนฉายไหลออกมา เพราะไม่คิดว่าจะเจอพรเพ็ญ
“ลูกคุณน้าเป็นอะไรเหรอคะ?”
เดือนฉายส่ายหน้า
“งั้นเดี๋ยวหนูอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าลูกของคุณน้าจะมานะคะ”
“ขอบใจหนูมากนะจ๊ะ”
เดือนฉายยิ้มทั้งน้ำตา พลางจ้องหน้า และมองสำรวจพรเพ็ญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจับมืออีกฝ่ายแล้วดึงเข้ามา พลางลูบหน้าลูบตาอย่างรักใคร่
“ลูกแม่”
พรเพ็ญยิ้มให้อย่างงงๆ
“คุณน้าคะ คุณน้าจำคนผิดแล้วมั้งคะ”
เดือนฉายมองหน้าลูกสาวนิ่งน้ำตาคลอ
-พรเพ็ญหันไปเห็นตรัยกำลังมองหาเธออยู่ ก็รีบหันมาบอก
“คุณน้าคะ เดี๋ยวหนูต้องรีบไปแล้วค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”
พูดพลางยกมือขึ้นไหว้แล้วยิ้มให้ ก่อนจะรีบเดินไปหาตรัยทันที
“เดี๋ยวก่อนลูก พร พรเพ็ญ”
เดือนฉายได้แต่มองตามพรเพ็ญที่เดินไปหาตรัย พร้อมกับน้ำตาไหลอาบแก้ม
เพ็ญพรลุกขึ้น ก่อนจะเดินปรี่เข้าเอาเรื่องวิทวัส
“ทำไมยะ ถ้ามีใครเหมือนฉันแล้วจะเป็นยังไง”
วิทวัสยิ้มขำ “โอ๊ย ในโลกนี้ไม่มีใครเหมือนคุณหรอก”
“ใช่สิยะ จะหาใครที่ทั้งสวย อึ๋ม เซ็กซี่ และเก่งแบบฉันไม่มีหรอก”
เดือนฉายยังคงนั่งนิ่ง ก่อนจะยกมือเช็ดน้ำตา พลางครุ่นคิดอย่างหนัก
ส่วนกอล์ฟก็บ่นดังๆ ว่าหิว เพ็ญพรจึงออกปากจะไปหาซิ้ออาหารมาให้ วิทวัสรีบอาสาจะไปด้วย
“งั้นผมไปช่วยหิ้วนะครับ พอดีไม่มีธุระต้องไปที่ไหน จะได้ถือโอกาสร่วมมื้อเย็นด้วยคนเลย”
พูดพลางปรายตามองยิ้มๆ เพ็ญพรถึงกับไปต่อไม่ถูก
พรเพ็ญทรุดฮวบอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน จนตรัยต้องรีบคว้าตัวไว้
“น้องพรใจเย็นๆ นะครับ ที่หมอพูดไม่ได้หมายความว่าคุณลุงจะต้องเป็นแบบนี้ไปตลอดนะครับ”
สโรชาที่เดินเข้ามาพร้อมกับอาภาพร รีบโวยวายใส่
“พวกคุณยังจำได้ไหมว่าฉันเป็นอะไรกับคุณเอก จะข้ามหัวกันมากไปแล้วนะ”
อาภาพรยิ้มเยาะ
“จริงค่ะ เรื่องใหญ่ขนาดที่คุณลุงต้องนอนเป็นผักแบบนี้ ทำไมไม่รายงานคุณแม่ก่อนล่ะคะ สมองขนาดเธอคงคิดไม่ได้ใช่ไหม?”
พรเพ็ญไม่พอใจ
“คุณภาไม่ควรพูดถึงคุณพ่อแบบนั้นนะคะ”
“กล้าขึ้นเสียงขนาดนี้คงจะเตรียมซ้อมเอาไว้ ถ้าคุณลุงเป็นอะไรขึ้นมาจะได้แผดเสียงใส่คุณแม่กับพี่ภาได้คล่อง ๆ ใช่ไหมล่ะคะ”
พรเพ็ญจ้องหน้าอาภาพรด้วยความโกรธจัด
“หยุดแช่งคุณพ่อได้แล้ว”
“แกกล้าขึ้นเสียงใส่ชั้นเหรอ?”
ขาดคำอาภาพรก็ปราดเข้าบีบคอพรเพ็ญทันที
เพ็ญพรถึงกับสำลักอาหารออกมาจากปาก เดือนฉายตกใจรีบยื่นน้ำให้
“เป็นอะไรไปลูก ดื่มน้ำซะ”
พอหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบ ก็สำลักออกมาอีก พลางเอามือกุมคอตัวเองเหมือนหายใจไม่ออก ก่อนจะทรุดลง วิทวัสรีบลุกมาประคอง
“คุณ เป็นอะไรน่ะ?”
“หาย...ใจ...ไม่...ออก แม่....”
เดือนฉายกับกอล์ฟตกใจรีบลุกไปดู เพ็ญพรทำท่าจะขย้อนเหมือนถูกใครบีบคอ
ตรัยปราดเข้ามาช่วยดึงตัวเพ็ญพรออกมาจากอาภาพร ก่อนที่เธอจะกุมคอตัวเองเข่าอ่อนทรุดตัวลงท่าเดียวกับเพ็ญพร
“น้องพร เป็นไงบ้าง?” พลางมองเห็นรอยจ้ำที่คอของอีกฝ่าย เขารีบหันไปเอาเรื่องอาภาพรทันที
“ทำไมต้องทำรุนแรงขนาดนี้?”
อาภาพรรู้สึกตัว ก็ทำหน้าเศร้า สะอึกสะอื้น
“พี่ตรัย? แล้วทำไมพี่ตรัยต้องเข้าข้างแต่น้องพรด้วยคะ? น้องภาเองก็เป็นห่วงคุณลุงไม่แพ้น้องพรนะคะ แต่ดูซิน้องพรยังมาขึ้นเสียงแว้ดๆ ใส่น้องภา น้องภาก็เครียด น้องภาก็คุมอารมณ์ไม่อยู่นะคะ”
ตรัยส่ายหน้า พลางหันไปมองพรเพ็ญที่นั่งก้มหน้าน้ำตาไหลอยู่ด้วยความเป็นห่วง
วิทวัสประคองเพ็ญพรมานั่งที่โซฟา เดือนฉายกับกอล์ฟคอยอยู่ข้างๆ จู่ๆ เพ็ญพรก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรง
ทั้งวิทวัส กอล์ฟ และเดือนฉาย มองอย่างแปลกใจ
“ นี่คุณเป็นอะไรของคุณเนี่ย? อย่าบอกนะว่าล้อกันเล่นอีก”
เธอส่ายหัวหน้างงๆ เพราะประหลาดใจตัวเองไม่แพ้กัน กอล์ฟจ้องที่คอเพ็ญพรแล้วร้องอย่างตกใจ
“ตานี่ประคองคุณเพ็ญมายังไงเนี่ย คอถึงเป็นรอยขนาดนี้”
เพ็ญพรรีบคลำที่คอตัวเอง
“เป็นรอยเหรอไม่เห็นเจ็บเลย กระจก ไปหยิบกระจกมาให้หน่อยเร็ว”
เดือนฉายมองรอยที่คอของลูกแล้วก็ตกใจ หน้าซีดลง
“พรเพ็ญ”
ทุกคนหันมามองเดือนฉายอย่างแปลกใจ ก่อนที่กอล์ฟจะโพล่งออกมา
“คุณเดือนนี่ท่าทางจะตกใจมากนะเนี่ย เรียกเพ็ญพรเป็นพรเพ็ญซะได้”
เดือนฉายรีบหลบสายตาทุกคน ก่อนจะดึงตัวลูกมากอดไว้ สีหน้าหม่นเศร้าไปทันที
เพ็ญพรมีสีหน้าทั้งกังวลทั้งสงสัย
อ่านต่อหน้า 2
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 2 (ต่อ)
พรเพ็ญดึงผ้าห่มของเอกสิทธิ์ให้เข้าที่เข้าทาง แล้วยืนมองพ่อในสภาพทรุดโทรมด้วยสีหน้าเศร้าสลด ก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ เตียง พลางกอดแขนพ่อไว้
“พ่อขา พรไม่รู้จะทำยังไงดี จะต้องถูกคนพวกนั้นรังแกอีกแค่ไหน พ่อรีบๆ หายนะคะ ชีวิตพรมีแต่พ่อคนเดียวนะคะ พ่อขา ถ้าพรยังมีแม่อยู่ เราคงจะไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหมคะ?”
พูดพลางก้มลงกอดแขนพ่อ น้ำตาไหลพราก
ขณะเดียวกันเพ็ญพรก็กอดแขนเดือนฉายไว้ น้ำตาไหลรินเหมือนกัน
“เป็นอะไรไปลูก?”
“ไม่รู้สิคะแม่ รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆอีกแล้ว อยากกอดแม่ไว้แบบนี้”
เดือนฉายจับหน้าลูกสาวให้เงยหน้าขึ้น พลางใช้มือเช็ดน้ำตาให้
“ไหนแม่ดูซิ คอเป็นยังไงบ้าง”
เพ็ญพรขยับคอให้เดือนฉายดูถนัดๆ ที่คอยังมีรอยแดงจางๆอยู่
“ไม่รู้เป็นอะไรนะแม่ อยู่ๆก็เป็นขึ้นมา เฮ้อ ยังกับพวกแฝดเลยนะแม่ ใครโดนอะไรอีกคนก็จะเป็นด้วย”
เดือนฉายจ้องหน้าเพ็ญพรนิ่ง “แล้วถ้าเรามีแฝดขึ้นมาจริงๆจะทำยังไง?”
“ไม่รู้สิคะแม่ ว่าแต่ที่แม่ถามทำไมคะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก แม่ก็ถามไปอย่างนั้นล่ะ” เดือนฉายรีบตัดบท “แม่ว่าเดี๋ยวเพ็ญนอนได้แล้วล่ะ แม่เองก็จะได้พักผ่อนด้วย”
“คืนนี้แม่นอนกับเพ็ญได้ไหมคะ”
“โตจนจะมีแฟนได้อยู่แล้ว ยังจะมาอ้อนแม่อีก”
“ยังไม่มีหรอกค่ะแม่ ผู้ชายสมัยนี้ถ้าไม่ดูให้ดีนี่แย่เลย”
“อย่างตาวัสล่ะเป็นไง พอไหวไหม?”
เพ็ญพรทำหน้าเบ้
“ไม่ล่ะค่ะ ถ้าขืนเป็นตานั่น แม่คงต้องเตรียมนวมไว้ให้หนูชกกะเค้าด้วย เฮ้อ นอนดีกว่าค่ะแม่”
พูดพลางขยับตัวลงนอนดึงผ้าห่มให้เข้าที่แล้วกอดเดือนฉาย ฝ่ายหลังลูบหัวลูกสาวอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเหม่อมองออกไป สีหน้ายังคงวิตกกังวล
สุดากำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ด้านหลัง ครู่หนึ่งตรัยก็เดินลงมา
“จะรับชาหรือกาแฟดีคะพี่ชาย”
ตรัยเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์มากางอ่านแล้วหัวเราะหึ ๆ
“เรียกพี่ชายอย่างกับหนังเกาหลี รู้เลยช่วงนี้วัน ๆ ทำอะไรบ้าง”
พลันโทรศัพท์มือถือของสุดาที่วางบนโต๊ะ ก็สั่นขึ้นมา หน้าจอเป็นภาษาอังกฤษ PEARY
“โทรศัพท์มาน่ะ แพร์รี่ เพื่อนฝรั่งเธอมั้ง ทางไกลหรือเปล่า?”
สุดาทำท่าจะดึงผ้ากันเปื้อนออกแต่เหมือนคิดอะไรได้
“รับให้หน่อยสิพี่ชาย ถามด้วยนะมีอะไรด่วนถ้าไม่ด่วนเท่าไหร่เดี๋ยวโทร. กลับ”
“ไหน ขอดูหน้าคนโทร. มาหน่อยซิ”
พูดพลางเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาดูรูป ที่หน้าจอเป็นรูปเพ็ญพรปิดตาตัวเอง เห็นแค่ปากที่พ้นมือออกมา
เพ็ญพรคว้าของบนโต๊ะอาหารใส่ปาก ก่อนจะพูดไปเคี้ยวไป โดยไม่รู้ว่าตรัยเป็นคนรับ
“ฮัลโหล วันนั้นแกบอกเมืองไทยมีหมอดูแม่นๆ อ่ะ วันนี้นัดได้ไหม?”
“เอ่อ ผมเป็นพี่ชายสุดาครับ คือเขาให้ช่วยรับแทนถามว่าด่วนไหม?”
เพ็ญพรแทบจะคายของในปากออก
“อ้าว ขอโทษค่ะ ไม่ด่วนเท่าไหร่แต่ฝากบอกให้โทร. กลับนะคะ เอ้อ บอกไปอย่างนี้ละกันค่ะ วันนี้ที่นัดกันขอเปลี่ยนเป็นไปดูดวงแทน แล้วก็ไม่ต้องมารับเพราะจะขับรถไปเองค่ะ ขอบคุณมากค่ะคุณ เอ้อ พี่ชาย”
พูดจบก็กดวางสาย ก่อนจะหันไปทางกอล์ฟยืนเงี่ยหูฟัง
“พูดจบแล้วเว้ย อยากรู้นักใช่มั้ย เรื่องชาวบ้านเค้าน่ะ?”
กอล์ฟแกล้งเฉไฉ
“ใครจะไปอยากรู้ แล้วนี่อะไรเนี่ย? เมื่อคืนไม่อาบน้ำเหรอ? ซักแห้งเหรอ?? ใส่ชุดเดิมเด๊ะ”
“อาบสิยะ แต่เสื้อมันใหม่ ต้องใส่ให้คุ้มก่อนซักสิยะ ยุ่งจริงเชียว”
พูดพลางมองค้อน ก่อนจะเดินออกไป
สุดาเดินยิ้มมา พร้อมกับวางกาแฟบนโต๊ะให้ตรัย
“ตลกดีนะเพื่อนเธอคนนี้”
“ไม่ใช่แค่ตลกนะ สวย ฉลาด ปราดเปรียว เซ็กซี่นิด ๆ เจอแล้วจะติดใจ แต่ช่างเหอะพี่มีนางในดวงใจไปซะล่ะ”
“เออเขาบอกที่นัดกันน่ะไม่ต้องไปรับนะเดี๋ยวเขาจะไปเอง แล้วก็วันนี้เขาอยากไปดูดวงแทน”
สุดาทำหน้างง
“ดูดวง? อะไรกัน? แต่ไหนแต่ไรไม่เห็นมันอยากจะดูดวง?”
ที่ร้าน “ราตรีสตรีเหนือชะตา”
เพ็ญพรยกมือขึ้นจบค่าครูแล้ววางที่พานข้าง ๆ ขณะที่แม่หมอราตรีนั่งป้อนข้อมูลวัน เดือน ปีเกิดของอีกฝ่ายใส่แท็บเล็ต
สุดาที่นั่งอยู่ด้วย รีบบอก
“แม่หมอราตรีคะ ที่คราวก่อนให้หนูไปแก้น่ะค่ะ สุดยอดมาก ๆ แก้วันนี้วันรุ่งขึ้นทั้งหุ้นทั้งทองขึ้นฉุดไม่อยู่เลยค่ะ”
แม่หมอยิ้ม ก่อนจะยกนิ้วขึ้นมานับเหมือนจับยามสามตา
“ดวงชะตาแม่หนูนี่เหมือนกำลังมีญาติผู้ใหญ่เจ็บป่วยอยู่นะ ระวังนะ เหมือนมีคนกำลังปองร้ายอยู่ ถ้าไม่ระวังอาจถึงขั้นชะตาขาด”
เพ็ญพรทำหน้ายู่
“หมายความว่ายังไงคะ? แม่หนูเหรอคะ? แต่แม่แค่เป็นไข้หวัดเองนะคะ”
“ไข้หวัดเหรอ? ไม่นะ ตามดวงดาวเป็นยิ่งกว่านั้น”
สุดารีบเอียงหน้าไปกระซิบ
“แกแน่ใจเหรอ? แม่หมอราตรีไม่เคยผิดนะเว้ย”
เพ็ญพรพยักหน้ารับ พลางชักไม่มั่นใจความแม่นหมอดู
“งั้นดูเรื่องอื่นก่อนละกันค่ะ คือช่วงนี้มันมีอะไรแปลก ๆ”
“มันไม่ใช่แปลกแค่กับเราหรอก กับน้องเราก็เป็น”
สุดารีบขัดขึ้นมา
“ไม่ใช่แล้วมั้งคะแม่หมอราตรี เพื่อนหนูคนนี้ เขาลูกคนเดียวค่ะ”
แม่หมอสะดุดกึก พลางหันไปจิ้มแท็บเลตอีกครั้ง
“เป็นไปไม่ได้ ดวงดาวของหมอราตรีไม่เคยพลาด”
สุดาถามต่อ
“งั้นเดี๋ยวค่อยกลับมาเรื่องเดิม เอาเรื่องใหม่ก่อนนะคะ ความรักล่ะคะ ความรักเพื่อนหนูเป็นยังไง?”
“ดวงชะตานี้ ตามดาวแล้วจะได้คู่รับราชการ คนในเครื่องแบบ ตามดวงดาวบอกว่าเจอแล้วด้วยนะ”
“คนในเครื่องแบบ เจอแล้ว...”
สุดดาหันไปทางเพ็ญพร ที่ส่ายหน้ารับ
“แม่หมอคะคนในเครื่องแบบที่เจอแล้ว ผิดดวงหรือเปล่าคะ หนูเนี่ยอยู่กับคนในเครื่องแบบเลยค่ะ”
เพ็ญพรรีบสะกิดสุดา พลางพยักหน้าส่งสัญญาณให้ลุก
“เดี๋ยว ก่อนจะลุก ดวงชะตาของเธอไม่ใช่ดวงธรรมดา”
แม่หมอทักขึ้นมาอีก ทำเอาเพ็ญพรชะงักกึก
เพ็ญพรนั่งจิบกาแฟหน้านิ่ง สุดามองอย่างเป็นห่วง
“ฉันขอโทษนะแก แทนที่จะช่วยทำให้แกสบายใจขึ้น ดั๊นพูดอะไรตรงข้ามไปหมด”
“จะบ้าเหรอความผิดแกที่ไหนล่ะ”
สุดาทำหน้าแปลกใจ
“แต่จริงนะแก ก่อนนี้ที่ฉันดูอ่ะตรง 100% เลย ไหงวันนี้มันถึงเป็นงี้ไปได้เนี่ย อย่างว่าหมอดูคู่กับหมอเดา สงสัยวันนั้นแกเดาถูกน่ะ แกคิดอะไรอยู่วะ อย่าเครียดดิ”
เพ็ญพรชักไม่สบายใจ “หรือมันจะมีอะไรจริง ๆ วะแก?”
“เฮ้ย ผิดล่ะ แบบนี้ไม่ใช่คาแรกเตอร์แกเด็ดขาด ก็เมื่อกี้แกบอกเองว่าที่หมอพูดออกมามันไม่ตรงเลย”เพ็ญพรพึมพำเบาๆ
“ดวงฉันไปสลับกะใครที่เกิดใกล้กันป่ะวะ”
“ดราม่าละแก ดวงแกเนี่ยนะ จะไปสลับกับใคร? แล้วใครที่ไหนวะ? จะมาเกิดใกล้กันกับแก?”
เพ็ญพรครุ่นคิด นั่นสิใคร?
พรเพ็ญเดินมาตามทางที่โรงพยาบาล สวมชุดเหมือนเพ็ญพรที่ซื้อจากห้างเดียวกัน วิทวัสเดินถือช่อ ดอกไม้มองมาเห็น ก็แปลกใจ ก่อนจะรีบทัก
“ยายเพ็ญพร มาโรงพยาบาลแต่เช้าเชียว คุณ คุณ ยู้ฮู”
พรเพ็ญหันมองอย่างประหลาดใจ ก่อนจะรีบจ้ำหนีทันที เขารีบวิ่งตาม
“ไงคุณ แค่คอช้ำนี่ถึงกับต้องมาโรงพยาบาลแต่เช้าเลยเหรอ?”
พรเพ็ญหยุดเดินอย่างตกใจ ก่อนจะยกมือปิดรอยเขียวที่คอแล้วหันไปทางรปภ.โรงพยาบาล วิทวัสมองตาม พลางคว้าแขนไว้ ทำเอาเธอตกใจหน้าซีดพยายามแกะมือออก
“ผมรู้นะ มุกนี้ใช้ได้แค่ครั้งเดียว แน่จริงคิดอย่างอื่นสิตอนนี้เลยนะ แล้วดูว่าผมจะปล่อยคุณไปไหม?”
พรเพ็ญตัวสั่นน้ำตาคลอ
“ปล่อยฉัน ฉันไม่รู้จักคุณ เราไม่รู้จักกันนะ”
วิทวัสตกใจไม่แพ้กัน
“โห วันนี้ทำตัวสั่น สั่งน้ำตาได้ด้วยนะ อ้อ หยุดเล่นมุกไม่รู้จักได้”
“อยากได้เงินเหรอ? ฉันไม่ได้พกมาเยอะหรอกนะ โอ๊ย..”
พูดพลางทำเป็นล้มลง อีกฝ่ายหันมองซ้ายขวากลัวคนเข้าใจผิด
พรเพ็ญร้องไห้โฮ จนคนเริ่มหันมอง
“เฮ่ยๆ อย่าร้องๆ ok ok ผมไม่แกล้งแล้ว อย่าร้อง”
เธอรีบฉวยจังหวะสะบัดตัวหลุดแล้ววิ่งหนีไป วิทวัสจะวิ่งตามไป แต่บังเอิญมีโทรศัพท์เข้ามามาพอดี พอคุยเสร็จวางสาย
หันไปอีกที ก็ไม่เห็นพรเพ็ญแล้ว
เชาว์กำลังยัดเสื้อผ้าตัวเองลงกระเป๋าอย่างเร่งรีบ แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ รีบกระโดดไปตู้วางแผ่นหนัง ก่อนจะไล่รื้อหาอะไรสักอย่าง
“หาไอ้นี่อยู่เหรอ?”
วาทินียืนอยู่หน้าประตูห้องชู แผ่นดีวีดีสารคดีสัตว์โลกน่ารักในมือ เชาว์แทบจะพุ่งไปทันที
“ไมวันนี้เกิดอยากจะดูแผ่นนี้ขึ้นมาล่ะ?”
“ก็แหม บางอารมณ์ก็... จริง ๆ ฉันกำลังหา”
พูดพลางเสไปหยิบแผ่นหนังโป๊มาถือในมือ พลางมองวาทินีด้วยแววตากรุ้มกริ่ม
“หาแผ่นนี้อยู่ต่างหาก ไม่ออกไปไหนแล้วใช่ไหม?”
ขาดคำก็ทำทีเข้าไปนัวเนีย วาทินีทำเฉย ก่อนจะคืนแผ่นดีวีดีให้ เชาว์คว้าหมับแล้วทำเป็นโยนไปที่เตียง
วาทินียิ้มหวานให้ พร้อมชูแบงค์พันในมือ
“ออกจ้ะ พอดีส้มหล่นน่ะ โชคดีจังเกิดจะรักสัตว์ขึ้นมาวันนี้ เลยเจอตังค์ ว่าจะออกไปทำผมหน่อย”
เชาว์ตาลุกทำท่าจะกระโดดไปคว้าเงินจากมือ “นั่นมันเงินฉัน”
“เงินพี่ที่ไหน เงินแถมมาในแผ่น ฉันเจอก็ต้องเป็นของฉัน”
“เอาไปใบนึง ที่เหลือคืนมา”
วาทินียิ้มเยาะ
“ไม่ บอกมาเลยนะ พี่เก็บเสื้อผ้าจะไปไหน? บ้านศิลาแดงใช่ไหม?”
“จะบ้าเหรอ ฉันจะไปไหนได้ เอามา”
“ไม่ ฉันรู้พี่ไปไม่ได้หรอกเพราะบ้านศิลาแดงอยู่ไหน ฉันก็รู้จัก”
วาทินียักคิ้วให้ เชาว์มองอย่างรำคาญใจ
เพ็ญพรกับสุดาเดินมาที่ลานจอดรถ ฝ่ายแรกเอามือปิดปากหาวหวอดๆ ออกมา ฝ่ายหลังเลยอาสาจะขับรถให้ จากนั้นก็ยื่นมือรับกุญแจมา ก่อนจะจัดแจงเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง แล้วเตรียมสตาร์ทรอ
ทนายสมศักดิ์เดินเข้ามากำลังจะไขกุญแจรถเหมือนกัน พลางเหลือบตามาเห็นเพ็ญพรที่กำลังจะเปิดประตูขึ้นรถอยู่อีกฝั่ง
“อ้าว คุณพรจริงๆ ด้วย สวัสดีครับ”
เพ็ญพรทำหน้าเหรอหรา ยกมือขึ้นไหว้ทนายสมศักดิ์อย่างงงๆ
“ผมกำลังจะไปที่โรงพยาบาลพอดี คุณพรจะไปพร้อมกันเลยไหมครับ”
พูดพลางเหลือบมาเห็นสุดานั่งอยู่ในรถ
“อ่อ มากับเพื่อนสินะครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเจอกันที่โรงพยาบาลเลยนะครับ”
ทนายสมศักดิ์ยิ้มให้ ก่อนจะเปิดประตูขึ้นรถแล้วขับออกไป สุดาเปิดประตูรถออกมาหันมาถามเพ็ญพร
“ใครวะแก?”
เพ็ญพรสีหน้าเคร่งเครียดทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
“แก โทษที วันนี้แกกลับแท็กซี่ก่อนได้ไหม ได้สินะ ขอบใจมากเพื่อนเลิฟ บาย”
พูดพลางรีบพรวดพราดวิ่งอ้อมขึ้นรถแล้วขับตามทนายสมศักดิ์ออกไปทันที สุดายืนมองตามแบบงงๆ
วิทวัสเดินถือกระเช้าดอกไม้มาที่ชั้นห้องพักผู้ป่วยใน พลางเหลือบเห็นพรเพ็ญยืนคุยกับพยาบาลอยู่หน้าเคาน์เตอร์หน้าตาเคร่งเครียด
“อยู่นี่เอง ยัยตัวแสบ”
จากนั้นก็แอบหลบเข้าหลังเสา พลางดึงการ์ดออกมาจากกระเช้า ก่อนจะหยิบปากกาขึ้นเขียน แล้ววิ่งเอากระเช้าดอกไม้ไปวางด้านหลังพรเพ็ญ พยาบาลที่ยืนคุยอยู่ ชำเลืองดูอย่างสงสัย
พรเพ็ญคุยกับพยาบาลเสร็จหันหลังมา พลางสะดุดกับกระเช้าดอกไม้ที่พื้น
“น่าจะของคุณพรนะคะ”
เธอทำหน้าประหลาดใจ ก่อนจะก้มลงหยิบการ์ดขึ้นมาอ่าน
“ดอกไม้สำหรับคนป่วย (ทางจิต) ล้อเล่น แค่จะบอกว่าหน้าเครียด ๆ มันไม่เหมาะกับคุณหรอก”
พรเพ็ญทำหน้างง “ใครคะ? เอามาวางตั้งแต่เมื่อไหร่”
“สักครู่แล้วค่ะ เขาไม่ให้บอก วางไว้แล้วก็ย่องกลับเลย น่ารักดีนะคะคนนี้”
-พรเพ็ญยิ้มเจื่อนๆ พลางมองกระเช้าแบบหวั่นๆ
“อีตาคนนั้นแน่ๆ”
“อ้าว คุณพร”
พรเพ็ญหันมา ก็เห็นทนายสมศักดิ์เดินถือกระเช้าผลไม้เข้ามา เธอรีบยกมือไหว้
“โห มาถึงก่อนผมอีกเหรอครับเนี่ย? สงสัยเพื่อนคุณพรจะขับรถเร็วมากเลยนะครับเนี่ย”พรเพ็ญทำหน้างงๆ
“เพื่อน? คุณทนายมาเยี่ยมคุณพ่อเหรอคะ?”
“ครับ แล้วก็มาพบคุณสโรชาด้วย เธอบอกเธอมีเรื่องจะคุยด้วย”
พรเพ็ญยิ้มเนือยๆ พลางพยักหน้ารับ
“ถ้างั้นเชิญค่ะ”
พลางเดินนำทนายสมศักดิ์ไปที่ห้อง
อีกด้านหนึ่งเพ็ญพรวิ่งตามเข้ามา พลางมองซ้ายมองขวาหาทนายสมศักดิ์
“ไปไหนแล้วเนี่ย? คุณพระคุณเจ้าช่วยนำทางให้ลูกทีเถิด”
พอเหลือบไปอีกทาง ก็เห็นด้านหลังทนายสมศักดิ์เดินไปกับพรเพ็ญ
เธอยิ้มดีใจ ขณะเดียวกันก็มองด้านหลังของพรเพ็ญอย่างรู้สึกคุ้นตา ก่อนจะตัดสินใจ ก้าวเท้าออกเดินตามทั้งคู่ไปทันที
สโรชาเดินออกมาพร้อมกับทนายสมศักดิ์ โดยมีอาภาพรเดินเชิดตามออกมาด้วย
“ก็ตกลงตามนี้นะคะ ดิฉันฝากด้วยก็แล้วกัน”
“ครับ ถ้ายังไงเดี๋ยวผมจะลองไปค้นเอกสารเพิ่มเติม”
สโรชาพยักหน้ายิ้มๆ
“ไปนะคะ ทางนี้คงไม่ต้องห่วง ให้ลูกสาวเค้าดูแลกันไปก่อน”
อาภาพรแอบเบะปาก ทำหน้าเบื่อหน่าย ทนายสมศักดิ์มองตามทั้งคู่ที่เดินไปแล้วถอนหายใจออกมาเพ็ญพรที่แอบมองอยู่อีกด้านมองจ้องมาอยู่ นึกเจ็บใจที่ไม่เห็นพรเพ็ญ พลางขยับตัวก้าวออกไป แต่แล้วก็กลับชะงักกึกก่อนจะค่อยๆหันหน้ากลับมามอง
พรเพ็ญเดินออกมาจากห้องพอดี แต่บังเอิญทำกระเป๋าตกพื้น จึงก้มลงเก็บ จังหวะเดียวกับที่พยาบาลเข็นเตียงคนไข้ผ่านมาบังไว้พอดี เพ็ญพรมองเห็นแต่พยาบาลเข็นเตียงคนไข้ เธอถอนหายใจแบบขัดใจ ก่อนจะเดินจากไป โดยไม่ทันได้เห็นพรเพ็ญ
วิทวัสขับรถมาตามทาง พร้อมกับคุยมือถือกับเดือนฉายไปด้วย
“ครับ ได้สิครับ คุณเดือนฉาย งั้นตอนเย็นผมรอที่ออฟฟิศละกัน แล้วยัยตัวแสบ เอ้ย คุณเพ็ญเธอจะมาด้วยหรือเปล่าครับ โอเค. ได้ครับ สวัสดีครับ”
จากนั้นก็กดวางสาย สีหน้าครุ่นคิด
“แล้วตอนเย็นจะมาแนวไหนล่ะยัยนั่น เล่นละครเก่งนัก แหม!นางเอกมันต้องเจอพระเอกซะหน่อยแล้ว”
เพ็ญพรยืนกดลิฟท์รออยู่หน้าลิฟท์ จังหวะนั้นก็มีช่างก่อสร้าง เข็นกระจกส่องเต็มตัวอยู่ในรถเข็น มารอ
อยู่ที่หน้าลิฟท์เหมือนกัน เธอจึงอาศัยยืนส่องกระจกเต็มตัวบนรถเข็น ระหว่างรอลิฟท์มา
ที่อีกด้านของรถเข็นกระจก พรเพ็ญที่เดินมารอลิฟท์อยู่เช่นกัน ก็กำลังยืนส่องกระจกอีกด้านที่เป็นกระจกสองหน้า ชางก่อสร้างที่รอเข็นรถเข้าลิฟท์อยู่ เห็นทั้งคู่จากทั้งสองด้านของกระจก แต่งตัวเหมือนกัน หน้าตาเหมือนกัน แต่ทั้งคู่กลับยังไม่เห็นกัน พลันลิฟท์ก็เปิดประตูออก
พรเพ็ญพูดกับช่างก่อสร้าง
“เชิญเลยค่ะ เดี๋ยวฉันรอเที่ยวหน้า”
ช่างก่อสร้างพยักหน้าหงึก พอมองมาอีกด้าน เพ็ญพรก็พูดเหมือนกัน
“ไปก่อนเลยพี่”
ช่างก่อสร้างทำหน้างงๆ ก่อนจะเข็นกระจกส่องเต็มตัวเข้าลิฟท์ไปแล้ว เหลือคู่แฝดเพ็ญพรกับพรเพ็ญ ยืนมองลิฟท์อยู่ ทั้งคู่ปรายหางตามองกัน แต่ต่างคนต่างยังคิดว่าเป็นกระจกอยู่ ทั้งคู่มองกันอยู่อึดใจ เหมือนส่องกระจก
พอพรเพ็ญเริ่มเอียงคอนิดๆ เพ็ญพรเอียงด้วย แต่พอฝ่ายหลังแลบลิ้น อีกฝ่ายกลับสะดุ้งส่ายหน้า ทั้งคู่มองหน้ากันงงๆ ในที่สุดเพ็ญพร ก็ค่อยๆ เอื้อมมือยื่นมาช้าๆ เหมือนจะแตะกระจก พรเพ็ญมองอย่างชั่งใจก่อนจะตัดสินใจค่อยๆ เอื้อมมือยื่นมาช้าๆ มาจะแตะกับมือเพ็ญพร
ทันใดที่มือสัมผัสกัน ทั้งคู่ต่างก็สะดุ้งเฮือกราวกันมีประจุไฟฟ้าช็อต เพ็ญพรจ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
เดือนฉายสะดุ้งจนหน้าแทบคว่ำขณะขึ้นบันไดเลื่อน ดีที่กอล์ฟคว้าตัวไว้ทัน
“ใจเย็นครับคุณเดือน วัยรุ่นอย่าใจร้อน กระดูกกระเดี๊ยวยิ่งเปราะๆ อยู่”
เดือนฉายนึกแปลกใจตัวเองที่อยู่ดีๆ ก็รู้สึกวูบๆ ?
กอล์ฟชี้มือไปที่ร้านร้านหนึ่งให้เดือนฉายดู
“นั่นไงคุณเดือน ร้านนั้นน่าจะมีของ”
อีกฝ่ายมองตามแล้วพยักหน้า
ที่บันไดเลื่อนขาลง อาภาพรกำลังชี้ร้านกระเป๋าอีกฝั่งหนึ่งให้สโรชาดูเช่นกัน แต่กลับโดนผู้เป็นแม่ดุ
“กระป๋ง กระเป๋าอะไรอีกล่ะ แม่เห็นของเก่า ก็มีล้นบ้านแล้ว พูดแล้วก็หงุดหงิด ตาณัฐนะตาณัฐ จะได้เรื่องไหมเนี่ย? ถ้าฉันไม่กลัวมันจะดูพิรุธไปนะฉันคงไปจัดการเสียเอง”
“ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะแม่ เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ พี่ณัฐเขาไม่ปล่อยอยู่แล้ว”
สโรชากับเดือนฉายสวนกันที่บันไดเลื่อน แต่ต่างคนต่างไม่เห็นกัน
อ่านต่อหน้า 3
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 2 (ต่อ)
เพ็ญพรกับพรเพ็ญนั่งมองหน้ากันแบบอึ้งๆ งงๆ ก่อนที่ฝ่ายแรกจะตัดสินใจถามก่อน
“เธอ ชื่ออะไร?”
“พรเพ็ญ แล้วเธอล่ะ?”
“เพ็ญพร”
ทั้งคู่ต่างตกใจที่ชื่อคล้ายกัน เพ็ญพรจ้องหน้าพรเพ็ญเขม็ง
“แต่คล้ายยิ่งกว่า ก็หน้าเรา 2 คน”
พรเพ็ญมองหน้าอีกฝ่ายกลับ แล้วก็คิดเหมือนกัน
“อย่างนี้มันคืออะไร?”
ขาดคำก็ได้ยินเสียงเด็กแฝดหญิงพูดพร้อมกันลั่น “ฝาแฝด”
เพ็ญพรกับพรเพ็ญ หันขวับมองอย่างตกใจ
ทันใดนั้น แม่เด็กแฝดก็วิ่งมา พลางตะโกนลั่น
“จันทร์เพ็ญ เพ็ญจันทร์ แม่ตกใจหมดเลยนึกว่าโดนใครจับตัวไปซะแล้ว”
“แม่คะ ฝาแฝด”
เด็กแฝดชี้ไปที่เพ็ญพรกับเพ็ญพรที่มองอึ้งๆ อยู่
“อุ๊ย! ฝาแฝดเหมือนกันเลย พี่เค้าสวยมั้ยคะ? โตขึ้นต้องสวยๆ น่ารักๆ แล้วก็ต้องรักกันมากๆ แบบพี่เค้านะคะลูก”
เด็กแฝดยิ้มเริงร่า ก่อนจะถูกแม่พาตัวเดินออกไป เพ็ญพรกับพรเพ็ญหันมามองหน้ากันใหม่อีกครั้ง
“ฝาแฝด?”
ห้องทำงานของเอกสิทธิ์ถูกณัฐพงษ์รื้อค้นจนข้าวของกระจัดกระจาย แต่ก็ยังหาของที่ต้องการไม่เจอ พอลุงเติมเดินเข้ามา ฝ่ายแรกก็ออกคำสั่งให้เก็บห้องให้เรียบร้อย
ลุงเติมเหลือบมองอย่างไม่ค่อยพอใจ แต่ก็จำต้องทำตาม
ณัฐพงษ์นั่งมองอีกฝ่ายเก็บของแล้วสะดุดตารูปเอกสิทธิ์ที่แขวนอยู่ผนัง
“ลุง ปลดรูปนั้นลงมาที ยังไงคุณเจ้าของห้องก็คงไม่มีโอกาสกลับมาใช้ห้องนี้อีกล่ะ ฉันว่าติดไว้มันอาจจะสะเทือนใจแม่ฉัน”
ลุงเติมจำใจเดินไปปลดรูปออกตามคำสั่ง ฝ่ายออกคำสั่งยิ้มพอใจ ก่อนจะลุกขึ้นทำท่าจะออกจากห้อง
“ดีมาก ให้มันรู้ว่าต่อไปนี้ลุงต้องฟังใคร ฉันไปหาอะไรกินก่อนล่ะ”
ลุงเติมพยายามอุ้มรูปเอกสิทธิ์ไปวางไว้มุมห้อง แต่กลับเผลอเหยียบแฟ้มเอกสารที่พื้น จนรูปตกลงที่พื้น
ณัฐพงษ์หันหลังกลับไปมอง ก็เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งแลบออกมาจากด้านหลังรูป
เดือนฉายกับกอล์ฟนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน ครู่หนึ่งฝ่ายแรกก็ปลีกตัวไปเข้าห้องน้ำ พอคล้อยหลังพนักงานก็เดินนำสโรชากับอาภาพรมาที่โต๊ะด้านหลัง อาภาพรขยับเก้าอี้ชนหลังอย่างจัง จนกอล์ฟต้องหันหลังไปมอง
“มองอะไรไอ้อ้วน”
กอล์ฟสวนกลับทันที “สวยก็ไม่สวย มารยาทยังแย่ด้วย”
สโรชารีบช่วยด่า “อ้าว ไอ้อ้วน ลูกเต้าเหล่าใคร พ่อแม่ไม่สั่งสอน”
“คุณแม่ สอนลูกสาวตัวเองก่อนมั้ยคับ?”
2 แม่-ลูก โดนกอล์ฟตอกกลับถึงกับแทบกรี๊ด พลันเดือนฉายก็วิ่งหน้าตาตื่นตกใจเข้ามา โดยยังไม่เห็น 2 แม่-ลูกที่หันหลังให้
“กอล์ฟ เกิดอะไรขึ้น”
“ก็ 2 แม่-ลูกนี่ซิครับคุณเดือนฉาย”
สโรชาได้ยินชื่อเดือนฉายก็สะดุ้งหันขวับ อีกฝ่ายหันขวับมาเห็นสโรชาพอดีเช่นกัน ต่างคนต่างตกใจอย่างแรง
“สโรชา”
สโรชายิ้มหยัน “ว่าไง เดือนฉาย?”
อาภาพรทำหน้างง “รู้จักกันด้วยเหรอคุณแม่?”
สโรชามองเดือนฉายแบบเยาะๆ
“ดูแลคนของเธอยังไงให้หยาบคาย ต่ำ อย่างนี้?”
กอล์ฟทำท่าจะเข้าไปลุย แต่กลับถูกเดือนฉายออกคำสั่งเสียงแข็ง
“ขอโทษเค้าซะ ฉันบอกว่าให้ขอโทษเค้าซะ”
กอล์ฟฝืนใจต้องพูดขอโทษ พร้อมๆ กับที่เดือนฉายรีบควักเงินมาวางบนโต๊ะ ก่อนคว้ามือกอล์ฟทำท่าจะออกจากร้านไป
“เดี๋ยว! จะไม่ถามถึงคุณเอกซักคำเลยเรอะ?”
เดือนฉายชะงักอึ้ง ยืนนิ่ง พยายามกลั้นความรู้สึก
“ไม่เป็นไร ถ้าไม่ถาม ฉันก็บอกคุณเอกให้เองก็ได้ ว่าเธอสบายดีใช่มะ?”
เดือนฉายกล้ำกลืนความรู้สึกปวดใจ ก่อนจะเดินพรวดออกไปเลย กอล์ฟรีบเดินตามออกไปด้วย
อาภาพรหันมาทางแม่ทันที
“คุณแม่ นี่มันอะไรยังไงคะ? คุณแม่ไปรู้จักมักจี่นังป้านั่นได้ยังไง?”
สโรชายังไม่ทันจะตอบ เสียงมือถือก็ดังมาขัดจังหวะ
“ว่าไงจ๊ะ ลูกณัฐ ดี ดีมาก แม่จะไปเดี๋ยวนี้”
ขาดคำก็ลุกพรวดไปเลย อาภาพรหน้าเหวอ
เพ็ญพรกับพรเพ็ญหยิบบัตรประชาชนออกมาเทียบกัน ต่างคนต่างอึ้งแทบไม่เชื่อสายตา
“เกิดวันเดียวกัน เดือนเดียวกัน ปีเดียวกัน แต่นามสกุลไม่เหมือนกัน”
เพ็ญพรพูดขึ้นมาก่อน พรเพ็ญพยักหน้ารับ “ฮื่อ อยู่คนละที่กันด้วย”
“ก็ชัวร์ดิ ถ้าอยู่ที่เดียวกันป่านนี้จะมานั่งมึนกันอยู่งี้หรอ? แล้วถ้าเราเป็นฝาแฝดกันจริงๆ ทำไมถึงนามสกุลไม่เหมือนกัน? แล้วทำไมเราถึงต้องถูกจับแยกไปอยู่คนละที่กัน?”
พรเพ็ญคิดตาม แล้วส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน”
เพ็ญพรมองคู่แฝดตัวเอง ที่ดูเรียบร้อยกว่าตัวเอง ก็พูดขึ้นมาอีก
“เอาจริงๆนะ เรา 2 คนก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียวหรอกนะ ก็เธอดูติ๋มจัง ฉันมั่นใจว่าเรื่องของเรา 2 คนมันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ”
พรเพ็ญทำหน้างง “ไม่ธรรมดายังไงอ่ะ?”
“ก็นั่นล่ะคำถาม’ที่ต้องหา‘คำตอบให้เจอให้ได้ เดี๋ยวก่อน ระหว่างเรา 2 คน ใครเกิดก่อนหลัง ฉันขอเกิดหลังเลย ฉันอยากเป็นน้อง ฉันไม่อยากแก่ ตกลงติ๋มเป็นพี่นะ โอเค. ตามนั้น”
เพ็ญพรพูดเองเออเอง ขณะที่อีกฝ่ายอ้าปากค้าง พูดไม่ทัน
“จริงสิ พี่ไป รพ. ทำไม? ใครไม่สบาย?”
พรเพ็ญหน้าเศร้า
“คุณพ่อ ใช่ ไปเยี่ยมคุณพ่อมั้ย? ท่านต้องดีใจถ้าได้เห็นน้อง”
“แล้วคนพวกนั้นเป็นใคร? ยัยป้าแต่งหน้าวอกทำผมบานเป็นจานดาวเทียมนั่นน่ะใคร?”
“อ๋อ คุณน้าสโรชา ภรรยาคุณพ่อน่ะ”
เพ็ญพรโวยวายทันที
“ภรรยาพ่อ? มันก็เมียน้อยน่ะสิ แล้วมันร้ายกับพี่มั้ย? เหมือนในละครมั้ย?”
พรเพ็ญไม่ตอบ ได้แต่เบือนหน้าน้ำตาซึม
“แน่ๆ ต้องร้ายแน่ๆ มิน่าฉันชอบรู้สึกอะไรแปลกๆ อยู่เรื่อยเลย บางทีก็รู้สึกเศร้าๆ อยากร้องไห้ บางทีก็เจ็บตัวขึ้นมาดื้อๆ ล่าสุดนี่ก็ยังโดนบีบคอจนหายใจไม่ออก พวกมันทำพี่ใช่มั้ย?”
พรเพ็ญสะอื้นไห้ ก่อนที่ทัง้คู่จะโผเข้ากอดกันแน่น เพ็ญพรหน้าแค้นเอาเรื่อง ก่อนจะผละออกจ้องหน้าแฝดพี่
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว จากนี้ไป พวกมันจะทำอะไรพี่ไม่ได้แล้ว คนอย่างมันต้องเจอคนอย่างฉัน”
เพ็ญพรพูดอย่างเอาจริง
สโรชานั่งอยู่ต่อหน้าทนายสมศักดิ์ ก่อนที่จะหันไปมองให้ณัฐพงษ์ยื่นเอกสารส่งให้
“ตามที่ดิฉันเกริ่นกับคุณไปเมื่อเช้า สภาพคุณเอกตอนนี้ก็อย่างที่เห็นกันอยู่ จะเป็นไปได้ไหมที่ดิฉันจะยึดเอกสารนี้เป็นหลัก”
“ก็คงต้องเป็นตามนั้น แต่ผมขอเวลาในการดำเนินการสักพักนะครับ”
อาภาพรสวนขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
“ดำเนินการอะไรอีกคะ จริง ๆ ก็ไม่เห็นจะต้องยุ่งยากหลักฐานว่าชื่อคุณแม่เป็นผู้จัดการมรดกก็เห็น ๆ อยู่”
สโรชารีบส่งสายตาปราม
“เอาเป็นว่าสุดแท้แต่คุณทนายฯ เถอะค่ะ หวังว่าคงจะใช้เวลาไม่นานนะคะ เพราะก็อย่างที่เห็น ค่าใช้จ่ายเฉพาะในส่วนของคุณเอกแต่ละวันก็มากอยู่”
อีกด้านหนึ่งลุงเติมกับป้าแจ่มที่แอบดูเหตุการณ์อยู่ ก็เริ่มกังวล
“กรรมแท้ ๆ คุณท่านป่วยซะขนาดนั้น ลูกกะเมีย ยังมีเวลาไปเดินช้อปปิ้งบ้าง วางแผนฮุบมรดก”
ลุงเติมถอนหายใจเฮือก
“กรรมใครกรรมมันละแกเอ้ย คุณท่านก็คงไปทำใครเขามาถึงโดนคนเขาทำกลับขนาดนี้ สงสารก็แต่คุณพรของข้า จะทนโดนโขกสับไปได้อีกนานแค่ไหน?”
เอกสิทธิ์นอนนิ่งหลับอยู่บนเตียง พรเพ็ญนั่งอยู่ข้างๆ
“คุณพ่อขา ลืมตาสิคะ คุณพ่อจะได้เห็นว่าใครมาเยี่ยมคุณพ่อ คุณพ่อขา น้องเพ็ญ น้องเพ็ญพร
มาเยี่ยมคุณพ่อนะคะ มาสิจ๊ะ น้องเพ็ญ”
เพ็ญพรยืนมองอึ้งๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้ามายืน พลางมองพ่ออย่างทั้งดีใจ ทั้งไม่อยากเชื่อสายตา
“พ่อ นี่พ่อหนูจริงๆ เหรอ?”
“กราบคุณพ่อสิจ๊ะ น้องพร”
เพ็ญพรรู้สึกตัว ค่อยๆ ก้มกราบอย่างกระโดกกระเดก ก่อนจะเงยหน้ามาถาม
“ใครทำให้พ่อเป็นแบบนี้?”
“คุณพ่อป่วยมานานแล้ว เพิ่งมาหนักช่วงหลังเพราะหกล้ม”
“ใครผลัก? นังป้าหน้าว่อกนั่นใช่มั้ย?”
พรเพ็ญส่ายหน้า “พี่ก็ไม่รู้”
“ต้องรู้สิ ฉันต้องรู้ให้ได้ เอามือถือพี่มาซิ”
พรเพ็ญรีบเปิดกระเป๋าล้วงส่งให้ เพ็ญพรกดเมมเบอร์เรียบร้อยก็ส่งคืน
“ฉันเซฟเบอร์ล่ะ มีอะไรก็ติดต่อมา อ่อ! ห้ามเล่าเรื่องของเราให้ใครฟังเด็ดขาด พี่จะต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ นี่เป็นคำสั่ง”
“ก็ได้ แล้วแม่ล่ะ เล่าเรื่องแม่ให้พี่ฟังบ้างสิ”
“แม่อ่ะเหรอ?”
ยังไม่ทันจะอ้าแกเล่า ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทั้งคู่ถึงกับสะดุ้งเฮือก เพ็ญพรทำท่าจะมุดลงไปแอบใต้เตียง ขณะที่พรเพ็ญวิ่งเข้าไปหลบในห้องน้ำ
ทันใดนั้นประตูเปิดผลัวะ พร้อมกับที่ตรัยเดินเข้ามา เขาถึงกับตกใจที่เห็นเพ็ญพรทำท่าคลานเหมือนเขียดอยู่ใต้เตียง
“น้องพร เกิดอะไรขึ้นครับ? เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”
เพ็ญพรทำหน้าเหวอ ก่อนจะรีบรับสมอ้าง
“เปล่าค่ะ ไม่เป็นไร”
จากนั้นก็แกล้งปดว่าก้มลงไปไล่จิ้งจก เพราะพ่อไม่ชอบ แต่หาไม่เจอ
“งั้นออกมาเถอะครับ เดี๋ยวเรียกแม่บ้านมาจัดการก็ได้”
พูดพลางโอบตัวเพ็ญพรออกมาก อีกฝ่ายถึงกับวูบวาบ เพราะไม่ค่อยเคยโดนผู้ชายแตะตัว รีบปัดออกทันที
“ไม่ต้อง”
ตรัยตกใจ “ดุจัง โทษครับ พี่แค่จะช่วยน้องพร”
เพ็ญพรนึกได้ กลัวแผนแตก เลยแอ๊บทำเนียนเสียงหวาน
“ขอโทษค่ะ น้องพรตกใจอ่ะค่ะ พี่ไม่ต้อง น้องพรจัดเองค่ะ”
ขาดคำก็คลานกระดึ๊บๆ ออกมาจากใต้เตียง พร้อมกับลุกขึ้นยืนอย่างภูมิใจ ตรัยยิ่งมองยิ่งงง
“เอ่อ คือ ขอพี่เข้าห้องน้ำล้างหน้าหน่อยนะครับ”
“ได้เลยค่ะ เต็มที่”
ตรัยรีบเดินไป เพ็ญพรยิ้มอย่างภูมิใจว่าแผนสำเร็จ ก่อนจะทำตาโต เมื่อนึกได้
“ห้องน้ำ? แย่แล้ว เจ๊ติ๋ม”
ตรัยเปิดประตูห้องน้ำผลัวะ พรเพ็ญแอบตัวลีบ ลุ้นจนตัวโก่ง เขาเปิดน้ำล้างหน้าล้างตา ก่อนที่จะเดินมาฉี่ เธอรีบเอามือปิดตา แต่พอเขาฉี่เสร็จ กดชักโครก เธอก็เผลอเตะของแถวนั้นเสียงดัง
ตรัยตกใจหันมา “เฮ้ย”
ก่อนจะเผลอรูดซิบหนีบเป้า พลางก้มหน้าร้องโอดโอย พรเพ็ญได้โอกาสรีบวิ่งออกจากห้องน้ำไป พร้อมทั้งรีบดันตัวเพ็ญพรให้ออกจากห้องไป
ตรัยค่อยๆ เดินหนีบๆ ออกมาจากห้องน้ำทั้งเจ็บทั้งอาย พรเพ็ญยิ้มอย่างโล่งอก
เพ็ญพรเดินพ้นออกมา ทั้งตื่นเต้น ทั้งเริ่มสนุก พอดีกับที่เดือนฉายโทร.เข้ามา
“จ๋า แม่ ได้ๆ ไปเดี่ยวนี้จ้า”
พรเพ็ญนั่งบีบนวดแขนให้เอกสิทธิ์ ตรัยนั่งมองไปคิดไป
“เวลาน้องพรอยู่คนเดียวกับตอนที่อยู่กับคุณลุงนี่เหมือนคนละคนกันเลยนะ ว่าแต่แน่ใจแล้วเหรอว่าจะไม่จ้างพยาบาลพิเศษน่ะ”
พรเพ็ญพยักหน้า “คุณพ่อทั้งคน พรดูแลเองได้ค่ะ”
“ไม่ต้องห่วงนะ รู้ใช่ไหมว่าป๋าอยู่นี่ทั้งคน อย่างน้อยป๋าก็พอจะจับจิ้กจกได้อยู่นะ?”
พรเพ็ญไม่ขำด้วย เพราะไม่รู้เรื่องจิ้งจก
“ไม่ขำเลยหรอ? ซักนิดก็ไม่?”
พรเพ็ญส่ายหน้า ก่อนจะมองหน้าตรัยอย่างซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณนะคะ คุณพ่อก็คงกำลังขอบคุณพี่ตรัยอยู่เหมือนกัน”
ตรัยยิ้มรับ พลางมองที่เอกสิทธิ์ ที่นอนลืมตาแต่เหมือนไม่รับรู้อะไร
”คุณลุงมีพระคุณต่อคุณพ่อ คุณแม่พี่มาก ถึงวันนี้พี่เลยต้องก็ต้องตอบแทนดูแลคนที่คุณลุงรักที่สุดให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ขาดคำมือถือก็ดังขึ้นมาพอดี เขารีบหยิบขึ้นมากดรับสาย
“จะไปเดี๋ยวนี้” จากนั้นก็วางสาย พลางหันมาพูดกับพรเพ็ญ “มีงานด่วน พี่ต้องไปก่อน”
“ระวังตัวด้วยนะคะ”
ตรัยยิ้มหวาน ก่อนจะรีบเดินออกไป
เพ็ญพรมาหาวิทวัสที่บริษัท ขณะที่อั้นฉี่มานาน พนักงานชี้มือไปที่ห้องทำงานของเขาซึ่งมีห้องน้ำอยู่ภายใน
เธอเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงาน ก่อนที่จะตรงรี่เข้าไปที่ห้องน้ำ ซึ่งเปิดประตูค้างไว้ วิทวัสที่กำลังยืนฉี่อยู่หันขวับด้วยความตกใจ
“เฮ้ย เข้ามาทำไม? ปิดประตูสิคู้ณ จะเปิดค้างไว้ทำไม หรือจะให้หันไปให้ดู”
เพ็ญพรร้องกรี๊ดเสียงดัง
“ไอ้บ้า แน่จริงหันมาสิ อย่าเก็บนะหันมา”
วิทวัสนึกสนุก เลยทำเป็นดึงเสื้อออกนอกกางเกง ก่อนจะรูดซิปลงครึ่งหนึ่งแล้วหันหลังเดินออกมาหา
“อ่ะ ไม่เก็บ แล้วจะทำไม คุณจะทำอะไรผมเหรอ อยากดูนักใช่ไหม เอาเลย”
“นึกว่าฉันจะกลัวงั้นสิ” พูดพลางร้องกรี๊ดดังและยาวกว่าเดิม “คุณแม่ คนโรคจิตจะโชว์ของหนู”
เดือนฉายกับกอล์ฟเปิดประตูผลั๊วะเข้ามาพร้อมกัน วิทวัสตกใจหันหลังกลับยัดเสื้อรูดซิปตัวเอง
เพ็ญพรนั่งลอยหน้าไม่รู้ไม่ชี้ วิทวัสเฉไฉมองทางอื่น เดือนฉายปรายตามองทั้งคู่สลับกัน ก่อนจะพุดทำลายความเงียบขึ้นมา
“พอเถอะลูก พอเถอะนะตาวัส ยังไงซะ ยังไง เดี๋ยวพรุ่งนี้มะรืนนี้ก็ต้องทำงานด้วยกันล่ะ”
“อะไรนะคะแม่ ทำงาน ทำกะอีตานี่เหรอคะ?”
วิทวัสหันขวับไปมองอย่างไม่พอใจ
“ขอความกรุณาใช้สรรพนามถึงผมแบบให้เกียรติด้วยครับ”
กอล์ฟหันไปสะกิดเดือนฉาย
“ผมว่าจะได้เรื่องมากกว่าได้งานมั้ยครับคุณเดือน”
เดือนฉายนั่งพับเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทาง เพ็ญพรยืนดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินไปนั่งบนเตียง พลางนึกอยากจะถามเรื่องพรเพ็ญ แต่ก็พูดไม่ออก จนต้องเฉไฉพูดเรื่งอื่นขึ้นมาแทน
“คือทำไมแม่ต้องรีบกลับคะ?”
“ทางโน้นมีเรื่องวุ่นๆ น่ะลูก แม่บอกแล้วนี่นาต้องกลับไปช่วยตา”
เพ็ญพรมองอย่างไม่ค่อยเชื่อ
“หนูรู้นะนั่นมันแค่ส่วนนึง หนูเป็นลูกแม่มานานมีอะไรผิดสังเกตหนูดูออกอยู่แล้ว เมื่อกลางวันแม่เจอใครที่ร้านอาหารเหรอคะ? เจ้ากอล์ฟมาฟ้องหนู แล้วจู่ๆ แม่ก็อยากกลับไปหาตาขึ้นมาซะงั้น”
เดือนฉายชะงักไป พร้อมกับหน้าของสโรชาลอยเข้ามาในความคิด จากนั้นภาพในอดีตก็ผุดขึ้นมา
เดือนฉายที่กำลังท้องแก่เดินถือถุงช้อปปิ้งเข้าบ้าน แล้วก็ถึงกับชะงักเมื่อเห็นเอกสิทธิ์นั่งโอบสโรชาอยู่
เธอตกใจจนเผลอทำถุงร่วงจากมือ
เอกสิทธิ์กับสโรชาหันมาเห็นก็ผงะ
“คุณบอกจะกลับค่ำ”
“ถ้ากลับค่ำจริง ๆ ฉันจะได้เห็นเหรอว่าปกติที่ฉันไม่อยู่พวกคุณมาทำอะไรกันที่บ้าน”
เดือนฉายพูดพร้อมกับเดินเข้าไปจ้องหน้าสโรชา
“ฉันแค่มาเอาของ เห็นคุณเอกบอกเธอไม่อยู่”
“ฉันอยู่หรือไม่อยู่เธอก็ไม่ควรมาที่นี่”
เอกสิทธิ์รีบพูดเข้าข้างสโรชา
“เขาแค่มาเอาของเดี๋ยวก็กลับแล้ว คุณอย่าเป็นแบบนี้น่า”
เดือนฉายได้ยินก็ถึงกับน้ำตาไหล
“นี่คุณกำลังตำหนิว่าฉันเป็นคนผิดงั้นเหรอ?”
สโรชาแอบยิ้มเยาะ ก่อนจะคว้ากระเป๋าขึ้นมา
“ฉันได้ของล่ะ ที่เหลือพวกคุณเคลียร์กันเองละกันนะคะ”
“เดี๋ยว เธอไม่ต้องไป ฉันไปเอง”
ขาดคำเดือนฉายก็หันหลังเดินออกจากห้องไปทันที
เดือนฉายสะดุ้งออกจากภวังค์ เพราะเสียงเพ็ญพรที่ถามย้ำ
“ว่าไงคะแม่? ตกลง เกิดอะไรขึ้น มีใครรังแกแม่รึเปล่า?”
“แม่แค่ต้องกลับไปช่วยตา อีกอย่างเมืองใหญ่แบบนี้อาจไม่ใช่ที่ของแม่ หนูอยู่นี่ไปก่อน อย่าปล่อยให้ตาวัสทำงานคนเดียว เดี๋ยวทางเขาจะหาว่าเราเอาเปรียบ”
เดือนฉายพูดพลางเฉไฉเอาผลไม้มาปอก เพ็ญพรหยิบอีกเล่มมาช่วยปอก
“เป็นอะไรหน้าดูเหนื่อยๆ นะ”
“วันนี้? อากาศเปลี่ยนแปลงมั้งคะ? ว่าแต่แม่จะรีบไปพรุ่งนี้เลยเหรอคะ รีบไปไหมเนี่ย? อย่าให้รู้นะว่าใครมารังแกแม่จะจัดให้หนักเลย สงสัยวันนี้จะใช้สมองมากไปหน่อย ปกติไม่ค่อยได้ใช้งาน โอ๊ย”
เพ็ญพรหน้าเบ้บีบนิ้วตัวเอง ที่เผลอทำมีดบาดมือ เลือดไหลออกมาเป็นทาง
ขณะที่พรเพ็ญที่ยังอยู่ในห้องพักของเอกสิทธิ์กำลังหยิบผลไม้ออกมาจากกระเช้า แต่แล้วก็สะดุ้ง เมื่อเผลอไปโดนลวดที่มัดกระเช้า พลางรีบชักมือกลับมากุมนิ้วตัวเอง ที่มีเลือดออกมาซิบ ๆ
“เป็นอะไรไปคะคุณหนู”
ป้าแจ่มหันมาถามอย่างเป็นห่วง
พรเพ็ญทำหน้าครุ่นคิด เป็นห่วง “น้องเพ็ญ”
“อะไรนะคะ”
“อ่อ เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไร”
ป้าแจ่มรีบดึงกระดาษมาช่วยซับเลือด ก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อไปขอพลาสเตอร์ยาจากพยาบาล
มาให้
พรเพ็ญกดซับเลือดที่นิ้วตัวเอง พลางเหม่อมองครุ่นคิด ก่อนจะยิ้มกับตัวเอง
“เพ็ญพร อย่างน้อย พี่ก็ยังโชคดีที่มีน้องอยู่อีกคน”
ทางด้านเชาว์ก็กำลังมั่วสุมอยู่ที่โต๊ะสนุ้กเกอร์ ก่อนจะโอบคอมาร์คกี้สาวหายเข้าไปหลังร้าน ขณะที่
นักพนันนั่งล้อมวงเล่นไฮโลกันอยู่
“จะให้หนูอยู่เป็นเพื่อนไหมคะพี่?”
“อยู่ได้นะ แต่พี่ไม่มีติ๊ปพิเศษให้จะอยู่ไหมล่ะ?”
มาร์คกี้ทำหน้าเซ็ง ๆ แล้วเดินออกไป เชาว์เดินเข้าไปชะโงกด้อมๆ มอง ๆ อยู่วงรอบ แล้วเกิดเปรี้ยวปากยกโทรศัพท์มากดออก
เวลาเดียวกัน ณัฐพงษ์ก็อยู่ในวงสังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มใหญ่ ขนาบข้างด้วยผู้หญิงซ้ายขวา ทั้งหมดนั่งดื่มเหล้า เฮฮากันเต็มที่
พลันเสียงมือถือก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ เขารีบหยิบมารับสายย่างหงุดหงิด
“พ่อ ได้ยินไหม? ผมกำลังยุ่ง อ้อ ไหน ๆ ก็รับสายล่ะจะบอกว่าถ้าจะเอาเงินตอนนี้ขอแม่เลยนะ ตอนนี้เงินแม่น่ะใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด ผมยุ่งอยู่แค่นี้นะ”
อ่านต่อหน้า 4
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 2 (ต่อ)
เชาว์ถือโทรศัพท์ในมือค้าง พลางคิดตามคำพูดลูกชาย
“ชาตินี้ใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด แปลว่าสำเร็จแล้วสิวะ ปิดปากเงียบเชียวนังคุณเมียเก่า”
คิดพลางหัวเราะอย่างสะใจ แต่จู่ๆ มาร์คกี้คนเดิมก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา ก่อนจะรีบบอกว่าตำรวจบุกเข้ามา
กลุ่มไฮโลวงแตกแย่งกันรวบเก็บเงินเก็บหลักฐาน เชาว์เลิ่กลั่กมองซ้ายขวา ก่อนจะวิ่งตามมาร์คกี้ออกไปทางประตูหลังร้าน
แต่สุดท้ายเชาว์ก็โดนรวบตัวมาที่โรงพัก วาทินีขึ้นโรงพักมาอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจ เพราะต้องบากหน้าไปกู้หนี้ยืนสินหาเงินมาประกัน
ตรัยที่เดินเข้าโรงพักมาพอดี หันไปถามตำรวจข้างๆ
“คดีอะไรเนี่ย?”
“ตั้งวงไฮโลกันร้านสนุ้กเกอร์เจ๊ลัดดาเจ้าเก่าครับสารวัตร”
ส่วนเชาว์ก็รีบเร่งวาทินีให้ออกจากโรงพัก เพื่อจะไปเก็บของ
“ไม่อยู่แล้วไอ้ห้องรูหนูน่ะ อยากได้ตังค์ไปคืนชาวบ้านเขาด้วยไม่ใช่เหรอ? ถึงเวลาจะย้ายเข้าไปเป็นคนรวยละเว้ย เอ้อ เธอไม่ไปก็ได้นะ ไม่ได้ว่าอะไร”
ขาดคำก็รีบเดินออกไป วาทินีคิดตามแล้วรีบวิ่งตามไป
เดือนฉายนอนหลับอยู่บนเตียง กระสับกระส่ายไปมาคล้ายฝันร้าย เพ็ญพรยืนมองอยู่เงียบๆ ด้วยความเป็นห่วง สีหน้าครุ่นคิด
“หนูรู้ว่าคุณแม่คงมีเหตุผลอะไรที่ปิดบังหนูอยู่ มันคืออะไรคะ? นานเท่าไหร่แล้วคะ ที่คุณแม่ต้องนอนฝันร้ายอยู่แบบนี้ แม่ต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหน ถึงจะเก็บความรู้สึกแบบนี้อยู่ได้ ตั้งร่วมยี่สิบปี”
ขณะเดียวกันพรเพ็ญก็นิ่งมองเอกสิทธิ์ ที่นอนกระตุกเบาๆ อยู่เช่นกัน
“คุณพ่อคะ เรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไงคะ? หนูอยากรู้จริงๆ”
วิทวัสถือของเยี่ยมผู้ป่วย อีกมือหนึ่งถือโทรศัพท์คุยกับเดือนฉาย ที่บอกว่าเธอจำเป็นต้องกลับต่างจังหวัดก่อน พลางสายตาก็เหลือบเห็นพรเพ็ญเดินผ่านไป เขารีบวิ่งตามไปทันที
“คุณ มาแต่เช้าเลยนะ หมู่นี้สุขภาพไม่ค่อยดีเหรอ?”
พรเพ็ญเห็นหน้าวิทวัสก็ตกใจหันหลังหนี แต่กลับถูกอีกฝ่ายคว้าชายเสื้อไว้
“จะหนีไปไหน? แหม่ อยู่คนเดียว ไม่ยักเก่ง กลัวล่ะสิ”
“ฉันก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมฉันถึงต้องเจอคุณบ่อยขนาดนี้”
วิทวัสยิ้มฟันขาวชูของเยี่ยมให้ดู
“นี่ไง ผมมาเยี่ยมลูกค้าผู้ใหญ่น่ะ คราวก่อนที่เจอคุณที่นี่ก็เหมือนกันแล้วคุณล่ะมาเยี่ยมใคร อ้าว แล้วนิ้วไปโดนอะไรมา เมื่อวานตอนรังแกผมยังดี ๆ อยู่เลยนี่”
พรเพ็ญกำลังจะอ้าปากตอบ แต่บังเอิญหันไปเห็นสโรชากับอาภาพรเดินเข้ามาด้วยกัน จึงรีบดึงเขามาบังตัวเอง เขาเห็นท่าทีของเธอก็นึกแปลกใจ พลางมองจ้องหน้า แต่กลับเห็นแววตาของเธอ ที่เหมือนไม่คุ้นเคยกับเขา“ฉันต้องไปแล้ว เอ้อ...”
“ไปเถอะ ผมก็ต้องรีบเหมือนกัน ไม่ต้องทำหน้าอาลัยผมขนาดนั้นหรอก คุณกับผมน่ะต้องเจอกันถี่อยู่แล้วไม่ต้องห่วง”
พรเพ็ญทำหน้าไม่ถูก รีบก้มหน้าจ้ำอ้าวออกไป วิทวัสมองตามขำ ๆ แล้วเผลอยิ้มออกมาคนเดียว
ในเวลาเดียวกัน เพ็ญพรก็กำลังยืนออกแรงดึงรถเข็นออกมาจากซองในซูเปอร์มาร์เก็ต จู่ๆ ก็มีมือหนึ่งยื่นมาช่วยดึง พอเธอหันไปจะขอบคุณ ก็เห็นตรัยยืนยิ้มอยู่ด้านหลัง
“แอบมาคนเดียวได้ไง? ทำไมไม่โทร. เรียกใช้บริการพี่ครับ?”
เพ็ญพรจำได้ทันที พยายามจะหาข้ออ้าง แต่นึกอะไรไม่ออก เลยแกล้งเล่นมุกท่องสูตรคูณถอยหลัง ทำเอาอีกฝ่ายยิ้มขำ
“รู้มั้ย พี่อยากให้น้องพรเป็นแบบนี้ทุกวันเลย เป็นแบบเนี้ย พี่ชอบ”
“คุณ เอ๊ยพี่ ชอบฉัน เอ่อ น้องพรหรอคะ?”
ตรัยยิ้มเขิน
“ชอบสิครับ ยิ่งแบบเนี้ยยิ่งชอบ เพราะพี่ไม่ชอบน้องพรคนที่ขี้แย เอ๊ะ นั่นนิ้วไปโดนอะไรมา”
เพ็ญพรรีบตัดบท ขอตัวเดินออกไปทันที ตรัยมองตาม พลางแอบยิ้ม ชอบที่เธอเข้มแข็ง
เชาว์นอนเอกเขนกอย่างสบายอารมณ์อยู่ในบ้านศิลาแดง ขณะที่วาทินีก็หยิบข้าวของในตู้เย็นมากินอย่างมีความสุข ราวกับเป็นเจ้าของบ้าน
ครู่ใหญ่เสียงแตรรถ ก็ดังมาจากหน้าบ้าน วาทินีชะเง้อมอง
“เอาไงต่อล่ะพี่ ท่าทางจะกลับมากันแล้วนะ เราต้องออกไปให้เขาเห็นหน้าก่อนไหม?”
“จะออกไปให้เมื่อยทำไม? นอนกระดิกหัวแม่โป้งรออยู่เนี่ยแหละ”
พูดพลางนอนกระดิกเท้ายิ้มอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม
สโรชาเดินเข้ามาห้องรับแขกพร้อมอาภาพร แล้วก็ชะงักกึก เมื่อเห็นเชาว์กับวาทินีที่นั่งยิ้มกว้างทักทาย
อยู่ที่โซฟา
อาภาพรมองเขม่นวาทินี ก่อนจะปราดเข้าไปจะมีเรื่อง เชาว์รีบร้องห้าม
“ไม่เอาๆ คนกันเองไม่ตีกัน”
ลุงเติมกับพรเพ็ญ ที่ช่วยกันเข็นรถพาเอกสิทธิ์เข้ามาถึงก็ชะงักไปด้วย
“นี่มันอะไรกันคะ?”
เชาว์ยิ้มกวน
“ฮัลโหล ยินดีต้อนรับทุกคนสู่ครอบครัวใหญ่ ครอบครัวใหม่ ๆ ของพวกเรา”
พรเพ็ญหันมองหน้าสโรชา “หมายความว่ายังไงคะ? คุณน้า”
“พูดอะไรของเธอ แล้วใครใช้ให้เอานังนี่เข้ามาเหยียบบ้านฉัน”
วาทินียิ้มเยาะ พลางเดินไปเกาะแขนเชาว์“อ้าว ผัวอยู่ที่ไหน เมียก็ต้องอยู่ที่นั่นสิคะ”
พรเพ็ญเข็นรถพาเอกสิทธิ์จะกลับห้อง แต่เชาว์รีบพูดดักขึ้นมาก่อน
“เดี๋ยว ถ้าเธอจะหมายถึงห้องเดิมพ่อเธอล่ะก็ มันไม่ใช่แล้วล่ะ”
พรเพ็ญชะงัก ตกใจ
เมื่อพรเพ็ญขึ้นมาบนห้องนอนของเอกสิทธิ์ ก็เห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 4 ใบวางกองที่มุมห้องกับของชิ้นเล็กชิ้นน้อยเกลื่อนห้อง เธอถึงกับน้ำตารื้นทำท่าจะเดินออกจากห้อง แต่เชาว์โผล่พรวดเข้ามาก่อน
“นี่มันห้องพ่อหนูนะคะ หนูไม่ว่าถ้าลุงจะเข้ามาอยู่ที่นี่ แต่ต้องไม่ใช่ห้องนี้”
เชาว์ยิ้มเยาะ
“ว่า? หนูเนี่ยนะ จะมีสิทธิ์อะไรมาว่า? ในเมื่อสิทธิ์ปกครองบ้านนี้ ตอนนี้ไม่ใช่ของพ่อหนูหรือแม้กระทั่งหนู แล้วห้องนี้มันก็ใหญ่โต สะดวกสบายดี เตียงก็นุ้มนุ่ม เหมาะที่จะนอนกอดเมียให้ชื่นใจ แล้วทำไมลุงต้องไปอยู่ห้องอื่น”
พรเพ็ญพูดอะไรต่อไม่ออกรีบหันหลังจะออกจากห้อง แต่กลับถูกกระชากแขน จนเซล้มลงบนเตียง
“เดี๋ยวสิ ถ้าพยายามขอร้องดี ๆ เสียงอ้อนๆ หวานๆ ลุงอาจจะใจอ่อนนะ”
“พี่เชาว์ ทำอะไรน่ะ”
วาทินีกรีดร้องลั่น เมื่อโผล่เข้ามาในห้อง ก่อนจะตรงเข้ากระชากเสื้อเชาว์ พร้อมๆ กับที่ตรัย สโรชา กับอาภาพร ก็เดินเข้ามาพร้อมกัน
“น้องพร!”
เพ็ญพรเปิดประตูรถ พลางเหวี่ยงของที่ซื้อมาเข้าไปด้านหลังก่อนจะเดินอ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับ มือหนึ่งยังคงถือโทรศัพท์แนบหูตลอดเวลา หงุดหงิดที่พรเพ็ญไม่ยอมรับสาย
ทางด้านตรัยก็รีบพุ่งไปที่เตียง พลางประคองพรเพ็ญขึ้นมา
“เป็นยังไงบ้าง เขาทำอะไรน้องพรรึเปล่า?”
พรเพ็ญตัวสั่นส่ายหน้า
วาทินีมองหน้าเชาว์ทีพรเพ็ญที
“ตกลงมันทำอะไรพี่ หรือพี่จะทำอะไรมัน?”
เชาว์สะบัดตัวจากวาทินี
“ฉันจะไปทำอะไร นี่มันลูกเลี้ยงฉันนะ”
ตรัยจ้องหน้าเชาว์กับวาทินีแล้วสะดุดเหมือนเคยเห็นทั้งคู่ที่ไหน
“คุณนี่มันผู้ต้องหาคดีไฮโลนี่น่า”
เชาว์กับวาทินีมองหน้าตรัยชัดๆ แล้วก็จำได้ ก็เลยทำโวยวายกลบเกลื่อน อาภาพรรีบบอก
“คือพ่อคะ พี่ตรัยค่ะ พ่อกับแม่เขาสนิทกันกับคุณลุง แต่ตอนนี้เค้ากำลังสนิทกับหนูด้วย”
ตรัยหันไปที่พรเพ็ญ ที่ทำหน้าเศร้าพลางถอนหายใจ สโรชาเริ่มร้อนๆหนาวๆ เรื่องตำรวจกับผู้ร้าย กลัวเรื่องร้ายๆ จะเข้าตัว
ตรัยลงนั่งข้างๆ พรเพ็ญอย่างเห็นใจ
“น้องพร บ้านศิลาแดงที่นี่มันคงจะไม่ใช่ที่ๆ ปลอดภัยสำหรับน้องพรแล้วล่ะ”
“บ้านศิลาแดงเป็นสมบัติของคุณพ่อ ถ้าพรออกไปก็ต้องพาท่านออกไปด้วย แล้วบ้านนี้ก็จะกลายเป็นของคนอื่น”
“แล้วน้องพรจะอยู่ยังไง นายนั่น เอ้อ พ่อเลี้ยงน้องพรน่ะ มีคดีติดตัวนะ เป็นบุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจอย่าง
แรง พี่เป็นห่วงน้องพรมากนะครับ”
พรเพ็ญพยายามมองในแง่ดี
“มีคุณน้าสโรชา แล้วยัง เอ่อ ภรรยาของเค้าอีก 2 คนนั่น คงไม่ปล่อยให้สามีเค้ามารังแกพรหรอกค่ะ”
ตรัยถอนหายใจ
“แต่ละคนที่พูดมาน่ะ ก็ไม่น่าวางใจทั้งนั้นนะครับ”
พูดถึงตรงนี้ เสียงโทรศัพท์ของพรเพ็ญดังขึ้น เมื่อหยิบขึ้นมาดู เห็นเป็นชื่อของเพ็ญพรก็ยิ้มดีใจ รีบลุกขึ้นทันที ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปรับสาย เสียงสั่น
“ฮัลโหลน้องเพ็ญ”
“ฮัลโหล พี่พร เค้าโทร. ตั้งนาน ทำไมพี่ไม่รับ มีเรื่องอยากจะถามพี่ ฮัลโหล พี่พร พี่พรเป็นอะไรหรือ
เปล่า? ทำไมเสียงเป็นแบบนั้น ยัยแม่เลี้ยงนั่นทำอะไรพี่หรือเปล่า?”
พรเพ็ญพยายามคุมเสียงให้เป็นปกติ
“พี่ไม่ได้เป็นอะไร พรมีอะไรหรือเปล่า?”
“โกหกป่ะเนี่ย? ฉันว่าเสียงพี่ไม่โอเค. เลย”
ขณะนั้นลุงเติมก็เข็นวีลแชร์เอกสิทธิ์เข้ามาพอดี
“คุณหนูครับ ผมว่าคุณท่านต้องพักแล้ว ตกลงว่าจะให้คุณท่านอยู่ห้องไหนดีครับ?”
พรเพ็ญพยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหล ก่อนจะกรอกเสียงพูดทางโทรศัพท์ต่อ
“น้องเพ็ญ แต่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวไว้คุยกัน”
จากนั้นก็วางสาย แล้วหันมาบอกลุงเติม
“ช่วยพาไปห้องฉันจ้ะลุงเติม เดี๋ยวฉันตามไป”
ส่วนเพ็ญพรก็วางสายตาม หน้าเครียด
“ลักษณะนี้ มันต้องมีอะไรแน่ๆ”
ตรัยกับพรเพ็ญช่วยกันจัดให้เอกสิทธิ์นอนบนเตียง
“จะดูแลเองคนเดียวไหวเหรอครับ? ต้องขยับตัวให้ท่านทุก 2 ชั่วโมงเชียวนะ”
“มีลุงเติม อ้อ ป้าแจ่มอีกคนคอยช่วยค่ะ ต้องขอโทษพี่ตรัยด้วยที่ไม่ได้โทร. บอก มันฉุกละหุกมาก พร
เองก็เพิ่งจะทราบ เพราะคุณน้า...”
เธอยังพูดไม่ทันจบ เสียงสโรชาก็ดังแทรกเข้ามา
“น้าขอบใจพ่อตรัยมากนะจ๊ะที่มาช่วยเป็นธุระให้ นี่ก็เรียบร้อยดีแล้ว เราก็ควรจะได้อยู่กันเฉพาะคน
ภายในครอบครัว”
ตรัยรู้ว่าโดนไล่ทางอ้อม แต่ทำเป็นไม่สน
“ผมว่าคุณน้าควรจะหาพยาบาลพิเศษมาดูแลคุณลุงนะครับ น้องพรคนเดียวคงไม่ไหว”
แต่สโรชารับค้าน ยกเรื่องสิ้นเปลืองมาอ้าง ตรัยมองพรเพ็ญอย่างสงสาร ก่อนที่ฝ่ายหลังจะตัดสินใจพูดขึ้นมา
“ค่ารักษาคุณพ่อใช้เงินส่วนของหนูก็ได้นี่คะ”
สโรชาหัวเราะขำ
“ส่วนไหนจ๊ะของหนู ตอนนี้ไม่มีทั้งนั้นแหละจ้ะ ตอนนี้มีแต่ของน้า หนูน่ะจะใช้คำว่าส่วนของหนูได้ก็
ต่อเมื่อพ่อของหนูตายไปแล้วเท่านั้นน่ะ”
พรเพ็ญทั้งตกใจ และไม่พอใจ พลางมองไปที่เอกสิทธิ์แล้วแทบหมดแรงได้แต่สบตากับตรัย
“เข้าใจแล้วใช่ไหม ยังไงก็ช่วยกันประหยัดไว้ด้วยล่ะ โอย ห้องนี้อับจังน้าออกไปข้างนอกก่อนนะ”
แววตาของเอกสิทธิ์ราวกับรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้
ทันทีที่เพ็ญพรเปิดประตูคอนโดเข้ามา ก็ตัดสินใจถามเดือนฉายทันที
“หนูมีเรื่องจะถามแม่ค่ะ แม่มีอะไรปิดบังหนูอยู่ใช่ไหมคะ”
เดือนฉายทำหน้างง “ปิดบัง? เรื่องอะไรกันลูก”
“แม่อย่าปิดหนูเลยค่ะ หนูว่าหนูโตพอที่จะรับรู้เรื่องพวกนั้นได้แล้ว”
เดือนฉายถอนหายใจเดินกลับไปนั่งที่โซฟา
“แม่ไม่รู้ว่าหนูพูดถึงเรื่องอะไร? แต่ซึ่งถ้าเป็นเรื่องของแม่ที่หนูควรจะต้องได้รู้ สักวันหนูก็ต้องรู้อยู่แล้ว”
“แล้วแม่หมายถึงเรื่องอะไรคะ? เรื่องของพ่อใช่มั้ยคะ?
เดือนฉายหน้าถอดสี จนเพ็ญพรเริ่มเห็นใจ
“หนูขอโทษ ถ้าแม่ยังไม่สบายใจที่จะบอก ยังไม่ต้องบอกหนูตอนนี้ก็ได้ค่ะ”
เดือนฉายบีบมือลูกสาวแน่น ด้วยความอึดอัดในใจ แต่พูดไม่ออก
“ยังไงวันนึงลูกก็ต้องรู้ แค่ไม่ใช่วันนี้เท่านั้น”
เพ็ญพรพยักหน้า พลางกอดเดือนฉายแน่นอย่างเข้าใจ แต่ในใจกลับคิดตรงกันข้าม
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ ถึงแม่จะยังไม่ยอมบอกหนู แต่หนูก็จะต้องรู้ให้ได้ หนูจะตามล่าหาความจริงใน
เรื่องนี้ให้ได้ ด้วยตัวหนูเอง”
เชาว์กับวาทินีช่วยกันรื้อของจากตู้โชว์ออกมาดูอย่างสนุกสนาน ครู่หนึ่งสโรชากับอาภาพรก็โผล่เข้ามา
“สนุกกันพอหรือยัง?”
วาทินีลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้ ขณะที่เชาว์โวยวายใส่
“รวยแล้วทำเงียบนะ นี่ถ้าไม่ได้ไอ้ลูกชายบังเกิดเกล้าบอกล่ะก็ ฉันก็คงไม่มีทางรู้”
“ตาณัฐนะตาณัฐ ต้องการอะไร?”
เชาว์ยิ้มเยาะ “ก็ที่ตกลงไว้ตั้งแต่ตอนแรก”
“ที่ตกลงกันมันไม่ได้มีนังนั่นนี่”
วาทินีหันขวับจ้องสโรชาตาเขียว
“อ้าว เรียกกันดี ๆ ก็ได้นี่ ฉันชื่อวาทินี เรียกสั้นๆว่าน้องวา น้องทิ หรือน้องนีก็ได้”
อาภาพรตอกกลับทันที
“อย่างแกเรียกว่านังนี่น่ะเหมาะสุดแล้วชิ คนอะไรหน้าด้าน มานั่งอยู่บ้านคนอื่นทำวางท่าอย่างกับเป็น
เจ้าของบ้านสะเออะที่สุด นังสก๊อย”
จากนั้นทั้งคู่ก็ทะเลาะโต้เถียงกัน จนสโรชาต้องตัดบทให้อาภาพรกลับขึ้นห้องไปก่อน วาทินียิ้มเยาะสะใจ ก่อนจะถูกสโรชาหันมาจ้องหน้าเอาเรื่อง
“อย่าคิดว่าฉันจะกลัวนะ ถ้าคนอย่างฉันเหยียบเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ในฐานะคุณผู้หญิงได้ แค่เธอน่ะ” พูดพลางยิ้มเหยียดแล้วหันไปทางเชาว์
“ขอคุยด้วยหน่อย คนเดียวนะ”
สุดากำลังนั่งเขียนนิยาย พลางกินขนมไปด้วย จังหวะนั้นเพ็ญพรก็โทร. เข้ามือถือมา
“เออ ฉันมีเรื่องต้องพึ่งแกว่ะ พี่แกเป็นตำรวจใช่ไหม?”
สุดาเหลือบมองไปที่รูปตรัยบนตู้โชว์
“ใช่ ฉันกำลังจ้องหน้าเขาอยู่เนี่ย ทำไมเหรอเริ่มอยากให้แม่หมอแม่นขึ้นมาว่างั้น ฉันต้องซ้อมเรียกแก
เป็นพี่สะใภ้เลยป่ะ?”
เพ็ญพรรีบเข้าเรื่อง
“คือว่างานตำรวจของพี่แกเนี่ยเป็นนักสืบด้วยได้รึเปล่า? แล้วเดี๋ยวแกทำอะไรเสร็จแล้วออกมากินข้าว
เป็นเพื่อนหน่อยดิหิวอ่ะ ได้กลิ่นอาหารแถว ๆ นี้พอดี แม่ก็กลับไปแล้วด้วย เขากลัวเหงา”
ขาดคำถุงอาหารถุงใหญ่ ก็ห้อยลงมาเหนือหัวเพ็ญพร เธอตกใจเอี้ยวคอกลับไปดู แล้วก็เห็นวิทวัสยืนยิ้มเผล่ ทำหน้าทะเล้นชูถุงอาหารเต็มมือ ทำเอาเธอแทบลืมว่าคุยโทรศัพท์อยู่กับสุดา
เพ็ญพรยืนรอลิฟท์อยู่ห่างกับวิทวัสเป็นวา แต่ไม่วายเหลือบมองเป็นระยะๆ แต่พอลิทฟ์มา ฝ่ายหลังกลับใม่ยอมเข้าลิฟท์ พลางยื่นถุงอาหารให้
“คงไม่ดีถ้าใครมาเห็นคุณขึ้นไปบนห้องกับผมสองต่อสอง”
เพ็ญพรมองอย่างหมั่นไส้
“อู๊ย พ่อสุภาพบุรุษไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ถือ ตัวคุณก็ไม่ได้ใหญ่กว่าฉันเท่าไหร่ เกิดอะไร ฉันจัดการได้”
วิทวัสส่ายหน้าขำๆ ก่อนจะยัดอาหารใส่มืออีกฝ่าย
“ไปเถอะคุณ เดี๋ยวลิฟท์มันร้อง เดี๋ยวผมออกไปก็ซื้ออะไรแถวนี้ได้อีก”
เพ็ญพรรีบกระโดดออกมาจากลิฟท์
“ไม่ดีกว่า ฉันมีวิธีดีกว่านั้น”
จากนั้นทั้งคู่ก็มากินข้าวกันที่โต๊ะริมสระว่ายน้ำ แต่ไม่วายพูดจากวนใส่กันอยู่ตลอด
“คิดได้ยังไงเอานังนั่นเข้ามาที่บ้านฉันเนี่ย?”
สโรชาโวยวายใส่เชาว์ทันทีที่อยู่กันตามลำพัง
“เอาน่า รำคาญมันพูดมาก”
“แน่ใจนะไม่ได้พิศวาสอะไรมันน่ะ”
“ผู้หญิงน่ะนะมันก็เหมือนๆ กัน มันมีอายุความของมัน”
สโรชายิ้มเยาะ “แน่สิ เหมือนฉันที่อายุความหมด”
“เธอน่ะยกเว้น อย่าลืมสิตอนนั้นเธอเป็นคนเลือกเดินจากฉันไปเองนะ จะบอกว่าหมดได้ยังไง”
พูดพลางเดินไปโอบกอดเอาใจ อีกฝ่ายมองค้อน
“ฉันรู้เลยตาณัฐมันเป็นอย่างนี้เพราะใคร ตอบฉันมาอีกทีที่เอานังนั่นเข้ามาที่นี่เพราะกลัวแค่ที่มันจะมา
แบล็คเมล์เราใช่ไหม? ถ้าแค่เรื่องนั้นจริง ฉันจะได้จัดการถูก อย่าให้จับได้ล่ะกันว่าเล่นละครอะไรตบตาฉันอยู่”
เชาว์รีบปฏิเสธเสียงหลง
“ตบตาอะไรกั๊น พูดจริงหมดทุกอย่าง นังสก๊อยพลาสติกนั่นเหรอจะสู้เธอได้ ทั้งฉลาด ทั้งสวยธรรมชาติ ทั้ง.... “
พูดไปก็กอดสโรชาแน่นกว่าเดิม แต่ฝ่ายหลังสะบัดตัวออกมา
“นัดกับมันไว้ที่ห้องไม่ใช่เหรอ ไปไกล ๆ ฉันเลยไป ขยะแขยง สั่งให้มันอยู่ในที่ของมันล่ะ อย่าออกมา
เพ่นพ่าน อ้อ ฉันอนุญาตให้อยู่แค่ชั่วคราวเท่านั้นนะ ชั่วคราว จำไว้”
ขาดคำก็เดินออกจากห้องอย่างหงุดหงิด เชาว์ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์
ตรัยช่วยพรเพ็ญปูที่นอนใหม่ข้าง ๆ เตียงเดิมที่มีเอกสิทธิ์นอนอยู่ ก่อนจะยืนยันว่าอยากให้เธอกับพ่อย้ายออกจากบ้านศิลาแดง
พรเพ็ญส่ายหน้าช้าๆ แววตาหม่นลง
“แต่คุณพ่อคงไม่อยากย้าย คุณพ่อรักบ้านศิลาแดงของท่านมาก”
จู่ๆ อาภาพรก็ผลักประตูเข้ามา
“ต๊าย ตายเดี๋ยวนี้รับแขกกันในห้องนอนแล้วเหรอคะ?”
ตรัยหันไปทำตาดุใส่ “น้องภา พูดอะไรครับ คุณลุงท่านก็นอนอยู่นี่”
“พี่ตรัยคะ พูดก็พูดสภาพคุณลุงเป็นแบบนี้ ถ้าพวกพี่จะอะไร ยังไงกัน ท่านก็คงทำอะไรไมได้หรอก”
พรเพ็ญรีบพูดสวนขึ้นมาทันที
“คุณภาคะ เห็นแก่คุณพ่อบ้างเถอะค่ะ”
อาภาพรหันไปมองที่เอกสิทธิ์บนเตียงแล้วเบ้ปาก
“แหม อยู่ต่อหน้าพี่ตรัยไม่ต้องพูดให้พี่ภาดูเป็นตัวร้ายขนาดนั้นก็ได้ค่ะ น้องพรขาพี่ภาก็แค่แซวเล่น
เฉย ๆ”
“แซวแรงไปมั้ยน้องภา?”
อาภาพรทำหน้างอ
“พี่ตรัยอ่ะ พี่ตรัยพูดจาแดกกันน้องภา เพราะแกคนเดียว แกชอบทำให้ฉันกลายเป็นนางร้าย คอยดูนะ
ฉันจะฟ้องคุณแม่”
พูดจบก็วิ่งออกไป พรเพ็ญถอนใจเฮือกอย่างเหนื่อยหน่าย ตรัยมองอย่างเป็นห่วง
“ถ้าเป็นพี่ พี่จะไม่ทนอยู่ในบ้านหลังนี้ แต่ถ้าจะต้องอยู่ พี่จะลุกขึ้นสู้ครับ น้องพร”
เพ็ญพรเดินตามหลังวิทวัสไปที่รถ ฝ่ายหลังอมยิ้ม ก่อนจะหันหลังไปแซว
“เดินซะช้า ถ่วงเวลาเหรอ? กลัวต้องอยู่คนเดียวเหงาล่ะสิ”
“ใครว่า ถ้าต้องอยู่กับคุณ 2 คนล่ะก็ ฉันขออยู่คนเดียวจนแก่ตายซะดีกว่า”
“นี่ล่ะน้า เพ็ญพรตัวจริง”
เพ็ญพรมองค้อน “ทำไมตัวจริง ตัวปลอมอะไรของคุณ ฉันก็เป็นของฉันอย่างนี้”
“ก็อย่างนี้ไง ปากอย่างใจอย่างทำท่านักเลงไว้ แต่จะบอกให้นะ ผมไม่ลืมแววตานั้นของคุณหรอก
แววตาแบบอ่อนหวานของคุณ แววตาใส ๆ ซื่อ ๆ น่ารัก ๆ แบ๊วๆ แปลกมาก อย่างกับคนละคน หรือคุณจะมี 2 คนในร่าง
เดียว เอ๊ะ! หรือจะมีฝาแฝด”
วิทวัสพูดล้อๆ แต่ทำเอาเพ็ญพรชะงัก รีบผลักอีกฝ่ายให้ขึ้นรถ
“คนละคนอะไร แฝดอะไร ฉันเป็นลูกคนเดียวย่ะ แล้วฉันไปทำหน้าใสซื่อใส่คุณเมื่อไหร่ไม่ทราบ
เพ้อเจ้อ ไป ไป๊ ฉันอยากอยู่คนเดียวแล้ว”
พูดจบก็วิ่งตื๋อกลับไป วิทวัสหัวเราะตามหลัง ก่อนจะคิดตาม
“ยังกับคนละคนจริงๆ ว่ะ”
อีกด้านหนึ่งพรเพ็ญกำลังเดินออกมาส่งตรัยด้านนอกบ้าน พลางทำจมูกฟึดฟัด ก่อนจะจามออกมา
2 ครั้งติดๆ กัน
“จะไม่สบายรึเปล่าเนี่ย รีบเข้าบ้านพักผ่อนเถอะนะครับ”
“ไม่หรอกค่ะ มันคัน ๆ แปลก ๆ ไม่ใช่แบบจะเป็นหวัด”
ตรัยยิ้มล้อๆ “ไม่เป็นหวัด คงมีคนคิดถึง”
พรเพ็ญเสมองทางอื่น “คงไม่ใช่มั้งคะ”
ตรัยพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะพูดย้ำให้อีกฝ่ายรีบเข้านอน และล็อกประตูทุกครั้ง
“นี่บ้านพรนะคะ ไม่ใช่...“
“ปลอดภัยไว้ก่อน ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่น่าไว้ใจทั้งนั้นโดยเฉพาะ บ้านหลังนี้ไปล่ะ”
พูดจบก็เดินออกไป พรเพ็ญรีบเดินกลับเข้าบ้าน โดยไม่รู้ตัวว่าณัฐพงษ์ยืนมองอยู่ที่มุมมืด
พรเพ็ญเดินกลับมาในห้อง ก่อนจะเข้าไปคุกเข่าตรงเบาะที่นอนที่ปูไว้ข้างเตียงเอกสิทธิ์ พลางกุมมือ
พ่อไว้
“ เรื่องวันนี้พ่อต้องไม่คิดมากนะคะ หมอบอกพ่อไม่ควรเครียด หนูสัญญาค่ะจะดูแลพ่อให้ดีที่สุด ไม่ว่าใครจะเป็นยังไงอย่าไปสนใจนะคะพ่อ”
จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบหนังสือสวดมนต์ที่โต๊ะหัวข้างเตียงมานั่งสวด พร้อมกับที่เอกสิทธิ์ค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ
ขณะเดียวกันจู่ๆ เพ็ญพรก็นึกอยากสวดมนต์ขึ้นมาเหมือนกัน!
วาทินีนอนหลับสนิทอย่างสบายอารมณ์ในห้องนอน เชาว์ที่นอนอยู่ข้างๆ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองหน้า ก่อนจะทำหน้าแหวะ จากนั้นก็ค่อยๆ ย่องออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ จากนั้นก็เดินมาตามทาง พลางเห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ที่หน้าประตูห้องพรเพ็ญ
“อย่างนี้ก็สวยสิ ไม่ต้องออกแรงงัดประตู จะให้น้าเก็บแรงไว้ทำอย่างอื่นใช่ม้า? แหม รู้งานจริงๆ”
คิดพลางทำหน้าหื่น ก่อนจะย่องไปจนถึงหน้าประตู พลางกระโดดกอดหมับเข้าเต็มๆ 2 คนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันซักพัก ก็ร้องโวยวาย ก่อนที่เชาว์จะโดนไฟฉายฟาดหัวอย่างแรง จนล้มลงร้องลั่น
ทันใดนั้นไฟก็สว่างพรึ่บ พรเพ็ญเปิดประตูออก แล้วก็ตกใจ เมื่อเห็นเชาว์นั่งกุมหัวเลือดอาบอยู่กับพื้น
ขณะที่อีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็คือณัฐพงษ์ ที่ยิ้มแหยๆ
“งามไส้มั้ยล่ะ?”
สโรชาโวยวายเสียงดัง ขณะที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า อาภาพรแจ๋เข้ามาทันที
“ไส้เน่าน่ะสิ แหม ทำเป็นแอ๊บแบ๊วนะนังพร ที่ไหนได้แอ๊บแตกดังโพละ อ่อยเหยื่อพี่ตรัยไม่สำเร็จก็เลยคัน หันมาอ่อยใส่พี่ณัฐกะพ่อฉันแทนใช่มั้ย นังพร”
พรเพ็ญนั่งนิ่ง ขณะที่ทั้งอาภาพร สโรชากับวาทนีก็โต้เถียงกันอย่างดุเดือดอย่างไม่มีใครยอมใคร จนลุงเติมทนไม่ไหว
“ขอประทานโทษนะขอรับที่แทรก คือกระผมอยากทราบว่าจะไม่ฟังความจากคุณหนูกันซักคำเชียวเหรอขอรับ?”
สโรชาโวยกลับทันที
“ธุระอะไรของแกนายเติม? คุณหนูของแกต่างหากที่ต้องฟังฉัน ฟังให้ดีนะ ต่อไปนี้ขอให้คุณหนูของพวกแก 2 คนเจียมกะลาหัว เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ก้นครัว รึไม่ก็อยู่ล้างกระโถนพ่อเธอในห้องไปนั่นแหละดีแล้วเข้าใจมั้ย?”
พรเพ็ญนั่งนิ่ง จนป้าแจ่มต้องโผเข้ากอดด้วยความสงสาร
พอทุกคนแยกย้ายกันกลับเข้าห้อง พรเพ็ญก็หันมาถามป้าแจ่ม
“ป้าแจ่ม ป้าแจ่มกับลุงเติมเชื่อหนูใช่มั้ยคะ?”
“โถ คุณหนูของแจ่ม ทำไมถึงถามแจ่มอย่างนั้นล่ะคะ? แจ่มเลี้ยงของแจ่มมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ทำไมแจ่มจะไม่รู้ว่าคุณหนูของแจ่มเป็นคนดีแค่ไหน?”
ลุงเติมถอนใจเฮือก
“แล้วก็ทำไมไอ้เติมจะไม่รู้ว่าใครมันชั่วเลวทรามยังไง? เฮ้อ”
พรเพ็ญน้ำตาหยดอย่างน่าสงสาร เช่นเดียวกันเพ็ญพรก็นอนน้ำตาไหลพรากอยู่บนเตียง
“อะไรอีกเนี่ย? ไม่ไหวแล้วนะเจ๊ ทนไม่ไหวแล้วนะ เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวเหนื่อย เดี่ยวร้องไห้ ถ้าเจ๊จะยอมก็ช่างเจ๊ แต่แพรรี่คนนี้ จะไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว”
คิดพลางใช้ 2 มือทุบเตียง หน้าตามาดมั่น
สุดามาหาเพ็ญพรที่คอนโดแต่เช้า ก่อนจะรีบยิงคำถามทันที
“ว่าแต่มีอะไร? รีบเล่ามาเดี๋ยวนี้เลย?”
“ก็นอนคิดทั้งคืนนะว่าจะเล่าดีมั้ย? แต่เรื่องนี้มันสำคัญมาก ฉันต้องมีใครซักคนที่ไว้ใจสุดๆ คอยช่วยฉัน และแกสุดา แกก็คือคนๆ นั้น”
สุดาตาโต
“จะเล่าได้ยัง? อะไรจะสำคัญขนาดนั้น แฟนเหรอ?”
“มันสำคัญเว่อร์ยิ่งกว่าแฟน”
“มันไม่เห็นจะเว่อร์ตรงไหนเลยนะจ๊ะ ลูกภา”
สโรชาพูดอย่างมั่นใจ ขณะที่เล่าเรื่องที่เตรียมจะจัดงานเลี้ยงเพื่อประกาศศักดาให้ลูกทั้งสองฟังอาภาพรกับณัฐพงษ์ยิ่งฟังอย่างสนใจ ป้าแจ่มถือถาดเปล่ามา แอบได้ยินก็ชะงัก รีบหลบมุมฟัง
“ถึงแม้เราจะยังพูดไม่ได้เต็มปากคำว่าเราครอบครองเป็นเจ้าของบ้านศิลาแดง และทรัพย์สินทั้งหมด แต่การจัดงานเลี้ยงครั้งนี้มันจะเป็นการประกาศศักดาทางอ้อมว่าใคร? คือคนที่ใหญ่ที่สุดใน บ้านศิลาแดง”
ณัฐพงษ์ตาวาว
“สุดยอด อวดรวยแบบนี้ ผมชอบมากเลยคับแม่ ขอผมเอาแก๊งเพื่อนผมมาด้วยนะคับแม่”
“ไม่ได้ เปลือง ขืนให้พวกแกมาพวกแกคงมากินมาดื่ม ผลาญฉันจนหมดตัวน่ะสิ อย่านะ อย่าชวนใครมาเด็ดขาดนะ แม่เองก็จะเชิญนังพวกคุณหญิงคุณนายไม่กี่คน เอาที่ขี้เม้าท์ มันจะได้ไปเม้าท์กันต่อว่าแม่รวยขนาดไหน รับรองแป๊บเดียวรู้กันทั้งเมือง”
“แต่ภาต้องเชิญพี่ตรัยนะคะ”
สโรชาแหวขึ้นมาอีก
“ไม่ได้ เพราะว่าพี่ตรัยของแกน่ะ เป็นตำรวจ แกคิดว่ามันฉลาดนักเหรอที่จะเอาคนที่เป็นตำรวจมาไว้ใกล้ๆ ตัวพวกเราให้มันเป็นอันตราย ถ้ายังคิดอยากจะมีชีวิตสุขสบาย มีเงินซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมบ้าๆ บอๆ อะไรของแกนั่นล่ะก็ แม่ขอให้แกมองหาผู้ชายคนใหม่ ที่ไม่ใช่ตำรวจที่ชื่อตรัยนั่น และถ้าแกหาไม่ได้ แม่จะหาให้แกเอง”
พูดขาดคำ ก็ลุกเดินออกไป ณัฐพงษ์กับอาภาพรลุกเดินตามไปอย่างขัดใจ กับคำสั่งของแม่
ป้าแจ่มถอนใจเฮือก ก่อนจะหันมาบอกลุงเติมที่โผล่เข้ามาได้จังหวะ
“งานเข้าอีกแล้วตาเติม งานใหญ่ซะด้วย คุณผู้หญิงนางจะจัดงานเลี้ยงประกาศศักดา”
เอกสิทธิ์ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงปรือตาขึ้นมามอง เห็นสโรชาเดินเข้ามาพร้อมแจกันดอกไม้
“ฉันเอาดอกไม้มาให้ค่ะ เผื่อคุณจะรู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง อ้อ อีกไม่กี่วันบ้านเราจะคนเยอะหน่อยนะคะฉัน
จะจัดปาร์ตี้ฉลองศักดา ประกาศให้โลกรู้ซะหน่อย ว่าใครที่เป็นเจ้าของบ้านนตัวจริงของบ้านศิลาแดง”
เอกสิทธิ์ได้ยินก็ตกใจ จังหวะนั้นพรเพ็ญก็ถือถาดอาหารเหลวเข้ามา ก่อนจะรีบเข้าไปจับมือพ่อ
“คุณพ่อยังไม่ได้ทานข้าวเลยค่ะ คุณน้าเข้ามาให้ยาเหรอคะ? เห็นป้าแจ่มบอกว่าต่อไปนี้คุณน้าจะเป็น
คนดูแลให้ยาคุณพ่อเอง”
สโรชาโวยวายอย่างร้อนตัว
“ทำไม? ฉันจะให้ยาพ่อเธอแล้วจะมีปัญญหาอะไร?พ่อ พ่อเธอก็ผัวฉันนะ อ๋อ นี่กลัวว่าฉันจะวางยา
พิษพ่อเธองั้นเรอะ? และถึงฉันจะไม่ได้ให้ยา ฉันก็มีสิทธิ์เดินเข้ามาได้ตลอดเวลาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอจ๊ะ มาก็ดีล่ะ ดูแลกัน
ไปละกันนะ ให้สมกับที่พ่อเธอรักเธอมาก มากกว่าใคร”
พูดพลางปรายตามองไปทางเอกสิทธิ์ ที่นอนตาลอยน้ำตาเอ่อ พลางนึกถึงภาพสิ่งที่ตัวเองเคยทำไว้
เอกสิทธิ์เห็นภาพตัวเองเดินอุ้มทารกออกมาถึงหน้าโรงพยาบาล
“พ่อจะดูแลลูกให้ดีที่สุด เดือนฉายคุณเองที่บังคับให้ผมทำแบบนี้”
พลางมองซ้ายขวาแล้วตัดสินใจอุ้มทารกคนหนึ่งออกไป
คิดถึงตรงนั้นเอกสิทธิ์ก็เกิดอาการเกร็ง พรเพ็ญตกใจรีบเข้าไปบีบนวดตามตัว
“คุณพ่อ คุณพ่อเป็นอะไรไปคะ คุณน้า คุณน้าช่วยโทร. ตามหมอด้วยค่ะ”
สโรชามองเอกสิทธิ์ด้วยสีหน้านิ่ง ๆ เรียบเฉย
“รักกันมากก็ช่วยกันไป 2 คนพ่อลูกเถอะ”
เอกสิทธิ์ชักกระตุกแรงขึ้น พรเพ็ญถึงขนาดต้องพยายามปล้ำให้หยุดจนตัวเธอเองเหงื่อแตกหอบเหนื่อย
ก่อนจะรีบคว้ามือถือมือไม้สั่น
แต่จู่ๆ ก็หายใจเหนื่อยอ่อน จนต้องตะปบหัวใจตัวเอง มือถือหล่นพื้น
อ่านต่อตอนที่ 3