เงา ตอนที่ 11
ไม่นานต่อมา ทุกคนพากันนั่งเรียงบนเก้าอี้ยาวในห้องแดง ท่านชายวสวัตยืนตระหง่านอยู่กลางห้อง ยกเทียนในมือมาชูตรงหน้า ทุกคนมองนิ่งๆ
“มองมาที่เทียนดวงนี้”
สิ้นเสียงนั้น เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะ แสงในห้องสลัวลง มีเพียงแสงจับที่ร่างท่านชาย ทุกคนต่างมองไปที่เปลวไฟของเทียน แต่ละคนเริ่มเคลิ้มคล้อย ลมพัดกรูเข้ามาจนผมพวกผู้หญิงสยาย
ท่านชายชูเทียนขึ้นเสมอใบหน้า น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นดุดัน กังวานก้อง
“ดู! ดูอดีต ในขณะที่เจ้าเป็นวิญญาณรอรับการชำระบาป! ดูความชั่วของมนุษย์!และดูให้เห็น ว่าใครแน่ ที่เป็น นายของเจ้า!”
ประตูปิดเข้ามาเองดังปัง! แสงสว่างส่องผ่านหลังท่านชายเหมือนเป็นสปอตไลท์ ทุกคนถูกสะกดให้มองเทียน ประกายไฟบนเปลวเทียนลอยวน
เปลวเทียนที่ทุกคนเห็นกลายเป็น เปลวเพลิงไฟนรกโลกันต์ พร้อมๆ กับเสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงมไปทั้งห้อง
อิศรา ชาลินี นิกร หมอไพโรจน์ สมชาย และสองสาว ทุกคนหลับตานิ่ง แต่ดูออกว่ารู้สึกกลัว และท่าทีร้อนรุ่มดังถูกไฟเผา ภาพเปลวไฟนรก สลับภาพสัตว์นรกร้องโหยหวนในทะเลนรก ผุดขึ้นในความคิดแต่ละคน ใบหน้าทุกคนเหงื่อแตกพลัก หลับตาอยู่ แต่สีหน้าหวาดผวาทั้งแถบ
ยกเว้นเพียงหมอไพโรจน์ ที่หลับตานิ่งไม่ร้อนรุ่ม และไม่เห็นอะไร เพียงแต่ขมวดคิ้วเหมือนเห็นบางอย่าง
ทุกคนยกเว้นหมอ เห็นเหตุการณ์ในนรก แต่ไม่ปะติดปะต่อ เหมือนหนังขาดตอน อีกทั้งเดี๋ยวชัดเดี๋ยวเบลอ
ภาพสุดท้าย มีเสียงหัวเราะของท่านชายดังกึกก้องขึ้น ตามด้วยเสียงทรงอำนาจกระหึ่มออกมาจากศีรษะไฟ
“ไส หัว ไป ชด ใช้ กรรม!”
ชาลินีทนไม่ไหวเป็นคนแรก ผุดลุกขึ้นตัวสั่นสะท้าน ตะโกนก้อง “หยุด”
ทุกคนสะดุ้ง ลืมตา เหงื่อโชกคล้ายกัน พลันในห้องไฟดับมืด
นิกรร้องลั่น “เฮ้ย อะไรกัน”
สมชายร้องตาม “เฮ้ย ทำไมมัน ร้อนหยั่งงี้”
“บ๊ะ ไฟดับอีกแล้ว” อิศราโวย
คนในห้องลุกพรวด ร้อนรุ่ม งงงวย และกลายเป็นหงุดหงิด
กลางห้องมีเพียงเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ และเทียนที่ปักกับเก้าอี้มอดสั้น น้ำตาเทียนล้อมล้น หมอไพโรจน์พินิจดูงงๆ อยู่คนเดียว เพ่งมองไปที่เทียนเขม็ง
ประตูห้องเปิดออก ทุกคนเกาะกันเดินออกมาในความสลัวราง ชาลินีเกาะแขนอิศราแจ เดินออกมาตรงมาห้องกลาง ท่าทางกลัวมาก
หมอไพโรจน์เดินตามหลังคนอื่น ท่าทางหมกมุ่นครุ่นคิด ทุกคนเดินคุยกันมา
“น่ากลัวชะมัด” สมชายว่า
“กลัวอะไรวะ” นิกรถาม
“กลัวไฟนรกน่ะสิ”
อิศราเอ่ยขึ้นหลังสมชาย “เฮ้ย นายก็เห็นเหรอ เรานึกว่าเราเห็นคนเดียว”
“เฮ้ย เราก็เห็น อย่างกะของจริง ไฟนรกท่วมเลย”
“นั่นสิ ร้อนไปหมด” อิศราหัวเราะ “น่ากลัวเราจะถูกไฟนรกลนกันหมดทุกคน”
แล้วทุกคนก็ชะงัก เมื่อเห็นท่านชายนั่งไขว่ห้างท่าทางสบายอารมณ์ อยู่ที่เก้าอี้ในห้อง
แสงจับที่ท่านชายดูเรืองรองในความสลัวของทั้งห้อง ทุกคนอึ้งกันไปหมด
ท่านชายปรายยิ้มมองมายัง อิศรา และ ชาลินี เป็นการเฉพาะ
เห็นทุกคนมองจ้องอยู่อย่างนั้น ท่านชายวสวัตเยื้อนยิ้ม
“เป็นไง ประสาทเสียกันไปบ้างไหม”
ทุกคนเงียบกริบ อึดอัดไปตามๆ กัน
ท่านชายมองแล้วหัวเราะขึ้นมา “อ้าวแล้วกัน เลยไม่มีใครตอบ”
“แล้วนี่ไฟดับอีกแล้วรึไง วัน...สี” อิศราถาม
“ฉันปิดไฟเองแหละ”
ท่านชายเอื้อมมือไปกดสวิชท์โคมไฟ วันมาจากข้างหลังทำทีเปิดสวิชท์ไฟที่เสาบันได
ไฟทั้งห้องสว่างขึ้น ทุกคนโล่งใจ ต่างกลับมานั่งที่เก้าอี้ยาว และพัดวีตัวเองด้วยความร้อน ทุกคนเหงื่อโชก
ชาลินีขยับไปนั่งใกล้ท่านชายสุดและดูออกว่าหล่อนกลัวมาก หมอไพโรจน์เป็นคนเดียวที่เดินมายืนที่เปียโน สีหน้าท่านชาย ยิ้มละไม
“เป็นไงกันบ้าง ปิดไฟหน่อยเดียว ถึงกับ ขวัญหนีดีฝ่อ”
“ไม่ไหวครับท่านชาย เล่นอะไรก็ไม่รู้” อิศราว่า
“ไหนว่าอยากลองเห็นผีกัน” ท่านชายเย้า
“น่ากลัวจะตายไป ไฟนรก ผีด้วย” หญิง 1 บอก ท่าทีสยอง
“ผมก็เห็นแบบนั้นเหมือนกัน” สมชายเห็นด้วย
นิกรอึ้ง “นี่แปลว่าเห็นเหมือนกันหมดทุกคนเหรอ”
“ไอ้ที่เราเห็น มันคืออะไรครับ แล้วความรู้สึกนี่ ยังกะตกนรกจริงๆ” อิศราถามด้วยความสงสัย
ท่านชายเลิกคิ้ว กลั้นหัวเราะ พูดทีเล่นทีจริง “ก็ส่งให้ไปลงนรกมาจริงๆ น่ะสิ”
ชาลินีมือไม้สั่น “มัน...น่ากลัวเหลือเกินค่ะ”
ท่านชายเหลียวมามอง “นรกเป็นอย่างนั้น มนุษย์ ควรจะกลัวเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป”
ความเงียบทำหน้าที่ของมัน ทุกคนนิ่งงันกันไปครู่หนึ่ง อิศราก็หัวเราะ
“ท่านชาย สะกดจิตหมู่ได้ เยี่ยมมากเลยครับ”
ทุกคนถอนใจ ท่าทีผ่อนคลายลง
“พอท่านชายให้มองที่เปลวเทียนนั่น ทุกคนก็เลยเห็นเป็นไฟนรกเหมือนกัน แล้วพวกภาพผีอะไรนั่น สงสัยท่านชายป้อนโปรแกรมระหว่างสะกดจิต ใช่ไหมครับ” อิศราถาม
ท่านชายมองทุกคน แววตาผิดหวัง ยิ้มมุมปาก “เก่งจริงนะอิศรา”
“เฮ้ย เราเหมือนเห็นยมบาลว่ะ ดีแล้ว ต่อไป ได้เจอตัวจะได้ทักไม่ผิดตัว” นิกรเห็นเป็นเรื่องสนุก
ท่านชายวสวัตหัวเราะเบาๆ “ดี อย่าลืมทัก เมื่อเจอกันล่ะ”
ทุกคนเฮฮา อิศรามองไปทางหมอไพโรจน์ที่เงียบตลอดเวลา
“อาหมอล่ะครับ เงียบเชียว เห็นอะไรบ้างครับ”
ไพโรจน์หันมองท่านชายสบตาตรงๆ
“อาไม่เห็นอะไรเลย”
ทุกคนฮือฮา มองฉงนหมอไพโรจน์ ท่านชายสบตาคลี่ยิ้มบาง ชาลินียังคงนั่งบีบมือตัวเอง อย่างหวาดกลัวไม่หาย
“ทำไมล่ะครับท่านชาย ทำไมผมไม่เห็นอะไร นอกจากความมืด” หมอถามสีหน้าฉงน
“หมอคงจิตแข็ง หรือไม่ก็...” พญามารปรายยิ้มมองมา “มันเป็นเรื่องที่หมอต้องใช้ความสามารถของหมอค้นคว้า และเห็นเอง” ท่านชายลุก “เอาล่ะ เรื่องสนุกๆ จบแล้ว ฉันต้องไปล่ะ”
“ขอบคุณครับ ราตรีสวัสดิ์ครับท่านชาย” อิศราบอกลา
ท่านชายก้มหัวน้อยๆ หันหลังเดินออกไป ชาลินีหันมองตามขยับปากจะเรียก แต่ด้วยความหวาดหวั่นที่ยังคงค้างในใจทำให้เรียกไม่ทัน
หมอไพโรจน์มองตามท่านชาย สีหน้าเคลือบแคลงมากขึ้นทุกขณะ
ท่านชายวสวัตกลับไปแล้ว ทุกคนเดินออกมาจากห้องมาที่ระเบียงหน้าบันไดชั้นบน อิศรานั้นจับกลุ่ม เฮฮามากับนิกรสมชายและสองสาว ในขณะที่ชาลินียังเครียด และหวาดผวา เดินมากับหมอไพโรจน์ อิศราหันมาทางสองคน
“แน่ใจนะว่าจะไม่ไปล้มทับเจ้าสมชายด้วยกัน”
“ขอกลับบ้านดีกว่า” ชาลินีสั่นหน้าพลางถอนใจ “ชั้นน่าจะขับรถมาด้วย เลยต้องรบกวนอาหมอเลยค่ะ”
“ไม่เป็นไร เชิญจ้ะ”
ทุกคนลงบันได แยกย้ายกลับบ้าน
หมอไพโรจน์ ขับรถเคลื่อนออกจากบ้านช้าๆ ชาลินีนั่งขรึมไม่พูดไม่จา จนไพโรจน์แปลกใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าหรอกค่ะ แต่...ยังลืมภาพในหัวเมื่อกี้ไม่ลงค่ะ มันสมจริงเหลือเกิน มัน... มันน่ากลัวจริงๆค่ะ อาหมอ”
“ท่านชายสะกดจิตหมู่คนได้ขนาดนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“แต่ก็สะกดจิตอาหมอไม่ได้นี่คะ”
ไพโรจน์หันมาพยักหน้ากับชาลินี พอหันไปอีกที ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นร่างของคนทรง ยืนขวางทางอยู่ ไฟสาดส่องไปกระทบร่าง หมอไพโรจน์เหยียบเบรก กึก จนชาลินีร้องกรี๊ด
“ชา เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไร เอ๊ะนั่น ตาอาจารย์คนนั้นนี่คะ”
คนทรงยืนนิ่งหน้าเคร่งอยู่บนถนน จ้องมาที่รถของหมอไพโรจน์ สองคนไม่เห็นว่าผีเอกดนัยสิงร่างคนทรงอยู่ในตอนนี้
ชาลินีหงุดหงิด “อะไรของเขา อยู่ๆก็มาขวางหน้ารถ”
“เป็นอะไรหรือเปล่า ชารอในรถนะ”
หมอไพโรจน์เปิดประตูลงไป
คนทรงยืนจังก้าอยู่อย่างนั้น จนหมอไพโรจน์ เปิดประตูเดินตรงมาหา
“คุณ เป็นอะไรหรือเปล่า”
คนทรงจ้องเขม็งไปที่ชาลินีไม่สนใจหมอ
“หรือว่าหารถกลับไม่ได้”
คนทรงก็ยังไม่ตอบใดๆ จนไพโรจน์งง ชาลินีนั่งรอในรถนึกสงสัย เปิดประตูออกมาถาม
“อาหมอคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
คนทรงเอาแต่จ้องชาลินี
“ไม่มีอะไรจ้ะ” หมอหันมาทางคนทรง “ไป ติดรถไปลงถนนใหญ่ด้วยกันก็ได้นะ”
หมอไพโรจน์หันตัวเดินกลับไปขึ้นรถ
ขณะชาลินีกำลังจะขึ้นรถตาม แล้วชะงักหันขวับไป พบว่าคนทรงอยู่ข้างหลังกำลังจ้องอย่างอาฆาตมาดร้าย
คนทรงพูดเสียงยานคางชวนสยองว่า “ชา...”
ชาลินีประหลาดใจ แต่เพียงแวบเดียว จู่ๆ คนทรงพุ่งเข้าบีบคอชาลินีโดยไม่ทันตั้งตัว
ชาลินีร้องกรี๊ด “อ๊าย...”
หมอไพโรจน์ตกใจ โผมากระชากร่างคนทรงออกจากชาลินี และชกคนทรงเต็มแรง ร่างคนทรงถลาล้ม แต่แล้วกลับเด้งขึ้นมาทันควัน และตรงไปจะบีบคอชาลินีที่เกาะหน้าหม้อรถไออยู่ ท่าทีคนทรงแบบไม่สะทกสะท้านหรือเกรงกลัวหมอไพโรจน์สักนิด หมอไพโรจน์ตรงเข้าดึงก็ถูกสะบัดหลุด
ชาลินีร้องกรี๊ดๆๆ ถอยหนีด้วยความตกใจสุดขีด
หมอไพโรจน์หันรีหันขวาง สุดท้ายคว้ากิ่งไม้ได้ฟาดเข้ากลางหลังคนทรงเต็มแรง ร่างคนทรงล้มลงวิญญาณเอกดนัยหลุดออกจากร่าง ด้วยวิญญาณยังไม่กล้าแข็งพอ แล้วหายวูบไป
หมอไพโรจน์ ตรงไปหาชาลินี
“ชา เป็นไงบ้าง”
ชาลินีกลัวจับจิต และยังไออยู่
พอสองคนมองไป ก็ไม่มีร่างคนทรงอยู่ตรงนั้นแล้ว
ชาลินี และ หมอไพโรจน์เหลียวมองหา ด้วยสีหน้าประหลาดใจสุดขีด
คนทรง ตะกายกลับเข้าห้องมาอย่างอ่อนแรงและหวาดกลัว ท่าทียังตื่นตระหนก
“กูต้องไม่ตาย กูต้องไม่ตาย”
คนทรงถลาไปนั่งหน้าโต๊ะหมู่ในห้องทำพิธี ที่มีเครื่องปั้นแปลกๆ รูปกุมารทองหลายตัวตั้งวางอยู่ คนทรงหยิบสร้อยประคำสวมคอมือไม้สั่น พนมมือ หลับตาสวดมนต์ปากขมุบขมิบ
คนทรงลืมตายิ่งหวาดหวั่นกับตัวเอง
“เป็นไปไม่ได้”
ทันใดนั้นเอง คนทรงเริ่มอึ้งและกลัวเหมือนน่าจะคาดไว้ได้ว่าอาคมเมื่อพบว่าคาถาเสื่อมฤทธิ์หมด ผีหลุดจากการจองจำ
กุมารทองเดินเข้ามาหาช้าๆ ปลายโซ่ลากกับพื้น ดังแครกๆ คนทรงสะท้าน มือที่พนมสั่น เสียงโซ่ตกลงกองกับพื้น คนทรงหันมามอง แล้วต้องเบิกตาโพลง ตกใจสุดขีด
ร่างกุมารน้อย บัดนี้กลายเป็นคนตัวใหญ่ ที่คอไม่มีโซ่ล่ามแล้ว หน้าตาถมึงทึง น่ากลัว และกำลังสืบเท้าก้าวเข้ามา
กุมารแสยะยิ้ม ทำเสียงแหลมเล็ก “พ่อจ๋า” แล้วใบหน้ากลายเป็นเหี้ยมเกรียม น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นปีศาจห้าวใหญ่ “จับกูมาไว้ตั้งนาน ทำให้กูไม้ได้ไปผุดไปเกิด มึง ตาย!”
คนทรงถดกายถอยกรูด
“อย่า...อย่า...อย่านะ กลัวแล้ว กูกลัวแล้ว”
มือใหญ่ยักษ์ของกุมมาร ขย้ำไปที่คอคนทรงหมับ บีบเค้นอย่างแรง คนทรงตาเหลือกร่างถูกจับคอยกตัวขึ้น
มองไปที่ผนังห้อง เห็นเป็นเงากุมารร่างสูงใหญ่กำลังบีบคอและยกร่างคนทรงลอยขึ้น แล้วเหวี่ยงร่างคนทรงมาตกกระแทกโต๊ะหมู่ดังโครมคราม หม้อดินสองสามใบบนนั้นตกลงมาแตก เห็นเงาดำสองเงา ของผีพรายผู้หญิงพุ่งออกมากรีดเสียงหัวเราะแหลมเล็ก พุ่งพันรอบร่างคนทรงที่ดิ้นพล่าน
ยินเสียงร้องดังโหยหวน ท่ามกลางความสงัดเงียบยามค่ำคืนของบ้านคนทรง
ด้านชาลินีมาถึงบ้านแล้ว นั่งเอนๆ พิงหมอนอิงในห้องโถงอย่างอ่อนแรง หมอไพโรจน์กำลังเช็คกระเป๋ายา สักครู่ สาวใช้ เดินเอาถุงน้ำเย็นใส่ชามเล็กที่มีน้ำและน้ำแข็งมาให้
“ขอบใจ อ้อ เดี๋ยวหมอขอให้แม่บ้านทำซุปร้อนๆมาให้หน่อยนะ”
“ค่ะ” สาวใช้เดินออกไปทางครัว
หมอไพโรจน์ขยับไปนั่งเก้าอี้โซฟากับชาลินี
“ไหน ขออาดูหน่อย”
หมอตรวจดูต้นคอชาลินี แล้วค่อยๆ แตะด้วยถุงผ้าในมือเบาๆ
“มีรอยช้ำนิดหน่อย เอาถุงผ้าเย็นวางปะคบไว้ก่อนนะ”
“ค่ะ” ชาลินีจับถุงประคบต่อ
“อาอยากให้ไปแจ้งความ ชาก็ไม่ยอม”
“ชาไม่อยากเป็นข่าวกับคนบ้าค่ะ ขี้เกียจเป็นเรื่อง คนไม่เข้าใจเดี๋ยวก็แต่งเรื่องไปนั่นไปนี่ให้เสียชื่อ”
“ไม่น่าปล่อยไป ยิ่งบ้า เดี๋ยวก็จะไปทำร้ายคนอื่น”
“ชาไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ”
ไพโรจน์ถอนใจ “เดี๋ยวชาทานอะไรสักหน่อย แล้วรีบทานยารีบนอนซะล่ะ ถ้าพรุ่งนี้เป็นอะไรมากขึ้นมา โทร.หาอานะ”
ชาลินียิ้ม “ขอบคุณค่ะ มีอาเป็นหมอนี่ ดีจริงๆ แถมเป็นนักบู๊ด้วย”
ไพโรจน์ยิ้มท่าทางประหม่า ชาลินีหลับตา เอามือขับถุงผ้าเย็นคลึงคอ ปอยผมตกลงมา ไพโรจน์มองโดยไม่ทันตั้งใจ เอื้อมมือไปจับผมชาลินีเสยทัดให้ที่หู
ชาลินีลืมตาปรายมอง หมอไพโรจน์อึ้ง เสหัวเราะท่าทีขัดเขิน ชาลินียิ้มตาเจ้าชู้ รู้ทัน
คุณหญิงชุดไปงานเลี้ยง เดินเข้ามาเห็นสองคน ร้องทักด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“อ้าวหมอ ไปไงมาไงคะ แล้ว ยายชา เป็นอะไร”
หมอไพโรจน์ไหว้ ขยับมานั่งเก้าอี้เดี่ยว
“ไปปาร์ตี้บ้านนายอิศกับอาหมอมา คอเคล็ดนิดหน่อย อาหมอเลยพามาส่งค่ะ”
หมอไพโรจน์ดูขัดเขิน คุณหญิงเพ็ญสังเกตเห็นยิ้มในสีหน้า
ชาลินีอยู่ในชุดนอนมีผ้าเช็ดผม เปิดประตูออกมาจากห้องน้ำแล้วชะงัก เมื่อเห็นมารดานั่งอยู่ที่เตียง กำลังดูปิ่น
“อ้าว แม่ ไม่นอนอีกหรือคะ”
“ยัง แล้วแกเป็นยังไง คอเคล็ดหายหรือยัง”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ”
คุณหญิงเพ็ญมองหน้าลูกสาว “นี่ แกว่าหมอไพโรจน์ เป็นยังไง”
“หมายความว่ายังไงคะแม่”
“ชั้นว่าเขาชอบแก เห็นสายตาที่มองแกหลายครั้งแล้ว แต่เขาเป็นคนขี้อาย ถึงได้อยู่เป็นโสดมาจนป่านนี้”
“แม่คะ อาหมอกับหนู ห่างกันตั้งเกือบยี่สิบปี แล้วก็คุ้นเคยกันจนเหมือนญาติอยู่แล้ว”
“ก็ดูเผื่อๆไว้ ไม่เห็นเป็นไร”
“ไม่ค่ะ แม่อย่าพูดอย่างนี้ให้ท่านชายได้ยินนะคะ”
คุณหญิงหมั่นไส้ “คำก็ท่านชาย สองคำก็ท่านชาย แกแน่ใจในตัวท่านชายแล้วเหรอ”
ชาลินี หงุดหงิดทันที
“แม่ก็เห็นนี่คะว่าท่านชายปฏิบัติกับหนูพิเศษขนาดไหน”
“ไม่รู้สิ ชั้นดูไม่ออก ก็เห็นทำท่าอี๋อ๋อ อ่อนหวานกับเด็กเจริญขวัญนั่นเหมือนกัน”
ชาลินีชะงักอย่างไม่คาดฝันกับคำพูดจี้ใจดำจังๆ วี้ด วีน มารดา
“แม่! นี่แม่เอาหนูไปเปรียบเทียบกับ อีเด็กบ้านนอกนั่นได้ยังไง”
“โอ๊ย ผู้ชาย เขาเห็นผู้หญิงเหมือนกันหมดนั่นแหละ ดูอย่างพ่อแกสิ เวลาชอบใคร ถามถึงฐานะการศึกษาเหรอ”
“แต่ท่านชายไม่ใช่”
“นี่ ชั้นก็เตือนแกดีๆ จะมาวี้ดวี้ดใส่ชั้นทำไม” คุณหญิงฉุน ลุกไปหาลูก พูดจริงจัง “แกดูชั้นสิ ตลอดชีวิต ชั้นถูกสอนให้มองแต่ผู้ชายที่สูงกว่า แล้วเป็นยังไง ชั้นมีความสุขมั้ย บางที คนที่สูงกว่าก็ไม่ใช่คนที่เหมาะสม เท่ากับคนที่ทัดเทียมหรอกนะ”
“ยังไง คนที่เหมาะสมกับชา คือท่านชายคนเดียวเท่านั้นค่ะ”
ชาลินีหงุดหงิดงุ่นง่าน ขุ่นเคืองใจไปหมด
อ่านต่อหน้า 2
เงา ตอนที่ 11 (ต่อ)
วันถัดมา นิกร และ สมชาย พากันมาหาคนทรงที่บ้าน สองหนุ่มเปิดประตูรั้วเดินเข้ามาด้านใน สมชายทุบประตูบ้าน ร้องเรียกอย่างโกรธขึ้ง เรื่องทำร้ายชาลินี
“อาจารย์ อาจารย์”
“เฮ้ย เปิดดูดิ ถามให้รู้เรื่องว่าทำไมทำหยั่งงั้นกับคุณชาลินี” นิกรบอก
ประตูไม่ได้ล็อก สมชายเปิดประตูเข้าไปกับนิกร สองคนชะงักตกใจ
ห้องเกลื่อนกลาด ร่างอาจารย์นอนอยู่มุมหนึ่ง เลือดเกรอะกรัง น่วม สมชาย นิกร ปราดหา
“อ้าว อาจารย์ ทำไมน่วมขนาดนี้ นี่ฝีมือชกอาหมอรึเปล่าวะ”
“ไม่น่าใช่” นิกรแปลกใจ เหลียวมองไปรอบห้อง “โจรเข้าบ้านหรือเปล่าวะเนี่ย”
“อาจารย์ อาจารย์” สมชายเขย่าร่างเรียกสติ
อาจารย์ได้สติฟื้นมองสองคนร้องลั่นพนมมือถดตัวหนี
“กลัวแล้ว ผมกลัวแล้ว...อย่าเข้ามานะ” คนทรงร้องไห้สะอึกสะอื้น “ผมกลัวแล้ว”
“บ้าจริงๆ นี่นา”
นิกร และสมชายมองอาจารย์ เห็นคนทรงออกอาการหวาดกลัวขวัญผวา ร้องไห้คร่ำครวญอยู่อย่างนั้น
เจริญขวัญสวมเสื้อเสื้อโคร่ง ใส่หมวก กำลังลงต้นไม้กับอรุณที่คอยช่วยกลบดิน
“ลงต้นไม้ให้แน่นๆ อีกหน่อยสิ คุณขวัญ ต้นโย้หมด” อรุณแกล้งเสียงเข้มดุ
“แหม ทำมาดุนะ พ่อหนุ่มเกษตร” เจริญขวัญหันเห็นหนอนจึงจับหนอนโยนใส่ “นี่แน่ะ”
“เฮ่ย อะไรอ่ะ” อรุณกระเด้งตัว พยายามปัดออก “ขวัญเนี่ย”
อรุณพยายามปัดหนอน เด้งไปเด้งมา พุดหัวเราะก๊าก เจริญขวัญหัวเราะ มือถือดังขึ้น เจริญขวัญลุกหยิบมือถือดูชื่อแล้วกดรับสาย สีหน้าขัดเขิน
“สวัสดีค่ะ”
อิศรายืนพิงต้นไม้ในไร่นั่นเองขณะพูดโทรศัพท์ “คนใจร้าย”
เจริญขวัญงง ถูกด่า “อ้าว”
อิศราหัวเราะเบาๆ “จริงนี่ หนีมาตั้งหลายอาทิตย์ จะปล่อยให้พี่อดข้าวตายใช่ไหม”
เจริญขวัญหัวเราะขัน “แหม คงไม่ถึงขนาดนั้นมั้งคะพี่อิศ”
อรุณที่หัวเราะอยู่กับตาพุดหันมามองเจริญขวัญทันที
อิศราถามขึ้นว่า “ทำอะไรอยู่”
“อ๋อ กำลังทำงานที่ไร่ค่ะ”
อิศรายิ้มกริ่ม “ท่าทางมีความสุขจริงเลย มิน่า ลืมพี่”
เจริญขวัญสะดุดหู สงสัย “เอ๊ะ”
อิศราเดินออกมาจากหลังต้นไม้ มองมาทางเจริญขวัญ
“ขวัญแต่งตัวคล้ายวันแรกที่เราเจอกันเลย วันที่พี่เกือบคิดว่าขวัญเป็นเด็กผู้ชาย”
เจริญขวัญเหลียวหา จนหันไปเห็นอิศรายืนเท้าแขนข้างหนึ่งกับต้นไม้อีกมือพูดมือถืออยู่ ยิ้ม เสียงหล่อ
“พี่มารับขวัญกลับบ้าน”
เจริญขวัญอึ้ง ประทับใจ ลดมือลง
อิศราส่งยิ้มหล่อมา แล้วเบือนสายตามองเบื้องหลังเจริญขวัญ
อรุณก้าวเข้ามาทางด้านหลังเจริญขวัญ มองมา จากประหลาดใจที่เห็นอิศรา แล้วกลายเป็นหงุดหงิดทันที พุดตามมา มองภาพ สองชายหนึ่งหญิง อย่างงงๆ เจริญขวัญยิ้มบางกับอิศรา
ครู่ต่อมา อิศรานั่งอยู่ตรงระเบียง ปลั่งเอาน้ำวางให้
“น้ำค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“เซียะเซียะหนี่ ถูกต้องแล้วค่า” ปลั่งดี๊ด๊า
ดวงแก้วนั่งอยู่กับเจริญขวัญ กระแอมเตือนปลั่งให้น้อยๆ หน่อย อรุณยืนพิงกรอบประตูมองคู่ปรับเขม็ง
“คุณอิศน่าจะโทร.มาบอกก่อนว่าจะมา
“แหม เราก็คนกันเองนี่ครับ อีกอย่างผมทนคิดถึงกับข้าวฝีมืออาดวงแก้วไม่ไหวล่ะครับ” อิศราลูบท้องอ้อน “เห็นมั้ยครับ ผอมไปจมเลย”
อรุณเบือนหน้ามาพูดกับตัวเอง “มุกเดียวกับกูเลย” หันมองอิศราอย่างไม่พอใจนัก
“แต่อายังมีธุระต้องทำน่ะค่ะ”
“เราเพิ่งเริ่มลงต้นไม้แปลงใหม่ในไร่กันน่ะค่ะ” เจริญขวัญเสริมคำพูดมารดา
อิศราหน้าม่อย “อ้อ เหรอ ครับ”
อรุณลอบยิ้ม อิศราค่อยๆ คลายยิ้ม พร้อมบอกว่า
“ถ้างั้น ผมของค้างที่นี่ รออาแก้วจนกว่าจะเสร็จธุระได้ไหมครับ ขอสมัครช่วยงานที่ไร่อาแก้วด้วยอีกคนแล้วกัน”
อรุณชะงักอ้าปากค้าง ส่วนอิศราคลี่ยิ้มกว้าง ตาวาววับ
เจริญขวัญ และ ดวงแก้ว ประหลาดใจ อรุณไม่พอใจ อิศราปรายตามามองขณะยกแก้วน้ำดื่ม ยิ้มในสีหน้า
อรุณเดินหงุดหงิดมาอีกทาง แล้วเตะลมแล้งสามสี่ทีอย่างฉุนเฉียว
“เว้ย”
อรุณหอบหายใจ แล้วเปล่งเสียงคำราม พร้อมเตะลมไปอีกที เกือบโดนพุดที่เดินมาจากหลังต้นไม้
อรุณตกใจร้อง “เฮ้ย”
ตาพุดวี้ดว้ายท่าทางน่าขำ “อุ้ย อกอีแป้นแตก”
“ลุงพุด” อรุณยกมือไหว้ “ขอโทษครับ
พุดแหย่ “คุณรุณเป็นไรครับ ออกกำลังกาย หรือกำลังจะแปลงร่างเป็น ยอดมนุษย์ หรือ สไปเดอร์แมนเหรอครับ” พุดเลียนท่าอรุณ “เฮ้ย”
อรุณหงุดหงิด เศร้าเป็นบ้า
อรุณทรุดตัวลงนั่งบนแคร่ หลังเล่าพฤติกรรมไม่น่าไว้ใจของอิศราให้ฟังจนจบ พุดนั่งตาม
“ฮ้า อย่างงั้นเลยเหรอครับ”
“อย่างนั้นสิครับลุงพุด ลุงพุดก็คอยสังเกตเอาเองแล้วกัน ญาติประสาอะไร คอยทำตามเชื่อมตาหวานใส่ขวัญ ชอบแตะเนื้อต้องตัวด้วยนะครับ เดี๋ยวก็จับมือ เดี๋ยวก็โอบเดี๋ยวโอบบ่า มันน่าเกลียดใช่มั้ยครับลุง ใช่มั้ยๆ”
พุดตบเข่าฉาด “ใช่ครับใช่ ถึงไงก็เป็นผู้ชาย ทำแบบนั้นได้ไง แล้วทำไมคุณรุณไม่เตือนคุณขวัญล่ะครับ”
“เตือนแล้ว เชื่อผมซะที่ไหน” อรุณออกอาการน้อยใจ “ใช่สิ ผมมันแค่...” เด็กหนุ่มกัดฟัน “เพื่อน”
พุดโกรธแทน
“แต่ก็เป็นเพื่อนสนิท ที่รัก และหวังดีกับคุณขวัญมาตลอด ไม่ได้นะครับคุณรุณ จะปล่อยให้คนไม่ดี ไม่จริงใจ มาหลอกลวงคุณขวัญไม่ได้นะครับ”
อรุณฟังแล้วซึ้ง หันมากระพริบตาถี่ “ลุงพุด ขอบคุณครับที่เข้าใจ”
พุดโอบบ่าอรุณปลอบ “เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย ไม่เข้าข้างคุณรุณจะเข้าข้างใครล่ะครับ ลุงจะคอยเป็นหูเป็นตา คอยช่วยคุณรุณเอง”
อรุณยิ้ม แต่ยังกดดันและไม่สบายใจอยู่มาก
จานน้ำพริกปลาทู ผักสด ชะอมทอดถูกวางลงบนโต๊ะ ต่อด้วยแกงส้ม ปลั่งช่วยกันกับเจริญขวัญจัดอาหาร
“โอ้โห น่ากินจังเลยครับ แบบนี้ล่ะที่...” อิศรายิ้มมองหน้าเจริญขวัญจงใจพูดว่า “คิดถึง”
เจริญขวัญขัดเขินแต่ซ่อนสีหน้า ปลั่งลอบมอง ชักเริ่มเอะใจ แต่อยากเอาใจอิศรา
“วันหลัง คุณอิศอยากทานอะไรพิเศษ บอกปลั่งได้นะคะ”
“ขอบคุณครับ”
ดวงแก้วเปิดประตูออกมาจากห้องนอน
“คุณอิศ คืนนี้นอนห้องยายขวัญแล้วกันนะคะ เดี๋ยวให้ขวัญมานอนกับอา”
“โธ่ ผมนอนโซฟาห้องรับแขกนี่ก็ได้ครับอาแก้ว”
“ยุงเยอะจะตายค่ะ ขวัญจัดห้องใหม่ ปูผ้าปูเตียงให้ใหม่เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ว่าแต่ คุณอิศเตรียมเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวมาบ้างหรือเปล่าคะ”
อิศรายิ้มแหย ลืมสนิท “จริงสิ”
หลังอาหารมื้อค่ำ ในห้องนอนเจริญขวัญตอนนี้ มีเสื้อผ้าของคุณเล็ก พร้อมผ้าขนหนู และแปรงสีฟันใหม่วางอยู่
ดวงแก้ว และ เจริญขวัญ เปิดประตูนำอิศราเข้ามา เจริญขวัญหยิบเสื้อ
“ของพ่อค่ะ แต่รับรองว่าสะอาด
อิศราหยิบเสื้อมาทาบกับตัว หันมายิ้มกับดวงแก้ว “อาเล็กกับผม ไซส์เดียวกันเลยนะครับ”
สองคนยิ้มคิดถึงคุณเล็ก
“ตามสบายนะคะคุณอิศ”
ดวงแก้ว กับเจริญขวัญ ออกจากห้องไป อิศรามองตาม หัวเราะเบาๆ
ดวงแก้วและเจริญขวัญเดินออกมาในห้องโถง เจริญขวัญเกาะแขนแม่ ดวงแก้วครุ่นคิดผิดสังเกตในท่าทีลูก
“แปลกดีเหมือนกันนะคะแม่ มี...ผู้ชายมาอยู่ในบ้านอีกคน”
ดวงแก้วถอนใจหันมองหน้าเจริญขวัญ “นั่นสิ แปลกดี”
เจริญขวัญไม่เข้าใจว่าแม่คิดอย่างไร เสยิ้ม
“ยังไง คุณอิศก็เป็นผู้ชายแปลกหน้าของคนที่นี่ หนูก็ ระมัดระวังอย่าให้ชาวบ้านเขานินทาเอาได้ รู้ไหม”
“ค่ะแม่”
อิศราอยู่บนเตียงในห้องนอนเจริญขวัญ หยิบกรอบรูปครอบครัวมาดู เป็นภาพสามคนพ่อแม่ลูก ดูอบอุ่น อิศรายิ้มนั่งเอนพิงพนักหัวเตียง มือข้างหนึ่งยกมือถือรอสาย อีกมือหนึ่งถือกรอบรูป
“กู๊ด อีฟนิ่งครับท่านชาย”
ท่านชายยืนอยู่ในห้องที่วัง พูดสายด้วยจิต
“ว่าไง”
“ทายสิครับ ว่าผมอยู่ไหน”
ท่านชายยิ้มหยัน น้ำเสียงเรียบใบหน้านิ่ง
“พูดแบบนี้ ฉันคงไม่ต้องเดา”
อิศราหัวเราะ “ผมน่าจะรู้ ว่าคนที่รู้ใจผมดีที่สุด คือมิตรแท้ของผมท่านนี้เอง”
ท่านชายอึ้งไป แล้วหัวเราะเบาๆ “อย่ามั่นใจนัก ฉันอาจจะเป็นศัตรูที่ร้ายที่สุดของเธอก็ได้ แล้วนี่โทร.มาทำไม”
“รายงานความคืบหน้าครับ ขวัญไม่ยอมกลับกรุงเทพฯ เสียที ผมเลยมาตาม ตอนนี้ ผมก็นอนอยู่ในห้องขวัญ อ้อ อย่าเข้าใจผิดนะครับ ขวัญอยู่กับอาดวงแก้ว”
“แล้วยังไง เธอต้องการให้ฉันแสดงความดีใจที่เธอตามไปหลอกเขาถึงบ้านงั้นเหรอ” ท่านชายทำเสียงขำใส่ แต่ตาวาววับ
“แหม ก็ไม่ถึงหลอกขนาดร้อยเปอร์เซ็นต์นี่ครับ อย่างน้อยผมก็...มีใจให้ขวัญเขานิดๆ แล้วนะ” อิศราหัวเราะ
“แล้วถ้าไม่มีบ้านหลังนั้นเป็นตัวล่อ เธอมีจะมีใจให้คุณเจริญขวัญเขาแค่ไหน เคยถามตัวเองดูแล้วหรือยัง อิศรา”
อิศราชะงักไป มองกรอบรูปในมือตัวเองแล้วผุดลุกขึ้น
“ท่านชาย ถามคำถามยากเกินไป ผมตอบไม่ได้หรอกครับ ฮัลโล...ฮัลโล...ท่านชายครับ...อ้าว” อิศรามองมือถือ
ท่านชายวสวัตยุติการส่งสารทางจิต ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ถอนหายใจ
ท่านชายหันมายืนตรงกรอบหน้าต่างวัง ส่วนอิศราเดินมาที่กรอบหน้าต่างห้องเจริญขวัญ
สองชายต่างยืนอยู่ในกรอบของตน ทอดสายตามองออกไป คิดถึงเจริญขวัญทั้งคู่ แต่ต่างอารมณ์กัน
“เจิญขวัญ” อิศราพึมพำ ยิ้มกระหยิ่มอย่างมีชัย
ส่วนท่านชายหน้าเศร้าเครียดขรึม นึกเป็นห่วง “เจริญขวัญ”
ค่ำนั้นเจริญขวัญยืนรับลมอยู่ตรงหน้าต่าง บริเวณระเบียงของบ้าน
นึกถึงภาพที่อิศราเงยหน้ายิ้มให้บอกว่า “คิดถึง”
เจริญขวัญขวยเขินพยายามข่มใจให้สงบ
จู่ๆ เจริญขวัญกลับนึกถึงตอนที่ท่านชายประคองเต้นรำ ใบหน้าท่านชายเศร้าหมอง เจริญขวัญ ชะงัก ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมคิดถึงท่านชาย
เจริญขวัญถอนใจยาว “เฮ้อ...”
ระหว่างนี้อรุณแอบชะเง้อมองอยู่หลังต้นไม้ พลางตบยุงไปมา ด้วยความเป็นกังวลและห่วงใย เจริญขวัญยืนอยู่สักครู่ก็ปิดหน้าต่างลง
เจริญขวัญตื่นเช้า กำลังเปิดหน้าต่างออกเพื่อรับลม แล้วเดินมาจะเปิดประตู แต่ต้องชะงัก เมื่อมองออกไป เห็นอิศราใส่เสื้อของพ่อยืนหันหลังให้อยู่ มีผ้าขาวม้าพาดบ่า เจริญขวัญมองจ้อง ด้วยความคิดถึงพ่อ
อิศรายืนดื่มกาแฟอยู่ที่สนามหน้าบ้าน มองบรรยากาศโดยรอบ ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้
เจริญขวัญยิ้มบางๆ ตอบ ในใจรู้สึกอบอุ่นโดยประหลาด
อิศราขี่จักรยานพาเจริญขวัญมา จนใกล้ถึงต้นไม้ใหญ่ในไร่ เจริญขวัญก็ร้องบอก
“จอดๆๆ จอดป้ายนี้ก่อนค่า”
อิศราหัวเราะ “อ้าว กลายเป็นเด็กรถเมล์ไปแล้วเหรอ”
สองคนหัวเราะกัน อิศราจอดจักรยาน สองคนลงจากรถ อิศรามองรอบๆ สีหน้าฉงน
“ให้พี่จอดที่นี่ทำไม”
เจริญขวัญยิ้ม เดินนำไปยังต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้า อิศราตาม
เจริญขวัญเดินหยุดมามองต้นไม้ที่คุณเล็กเป็นคนปลูก อิศราตามมางงๆ เจริญขวัญแหงนมองต้นไม้ ยิ้มเศร้า หันมาอธิบาย
“ขวัญพามาให้รู้จักกับต้นไม้ของพ่อค่ะ”
อิศราฟัง สีหน้าประหลาดใจ
“พ่อเป็นคนเอาต้นไม้ต้นนี้มาลงไว้ที่นี่ ตั้งแต่ขวัญยังไม่เกิด จนมันโต พ่อชอบพาขวัญมานั่งเล่นที่นี่ เล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้ขวัญฟัง”
อิศรามองเจริญขวัญอย่างประทับใจ เจริญขวัญน้ำตารื้น ยกมือแตะต้นไม้แล้วยิ้ม
“ขวัญนั่งวาดรูปที่นี่ตอนที่เกิดอุบัติเหตุ แต่พ่อมาช่วยจนพ่อต้อง ตายแทนขวัญ ขวัญเลยเชื่อนะคะ ว่าพ่อไม่ได้ไปไหน พ่ออยู่ที่นี่แหละค่ะ” เจริญขวัญเงยหน้ามองร่มเงาไม้ใหญ่
“งั้น พี่ก็ต้องทำความรู้จักกับอาเล็กสินะ”
อิศราเงยหน้ามองรอบต้นไม้ พูดเสียงดัง
“อาเล็กครับ ผมลูกของพ่อใหญ่นะครับ ผมชื่ออิศราครับ” เจริญขวัญยิ้มทั้งน้ำตา อิศราบอกต่อว่า “ขอบคุณนะครับ ที่สอนให้น้องขวัญเติบโตขึ้นมา” เขาหันมามองหน้าเจริญขวัญ “เป็นคนน่ารักแบบนี้”
เจริญขวัญยิ้ม ท่าทีขวยเขิน
ลมพัดมาวูบหนึ่ง ใบไม้และละอองเกสรต้นไม้ ร่วงพัดพรู อิศรามองอย่างตื่นตะลึง และประหลาดใจ เพิ่งเห็นสิ่งมหัศจรรย์อันเป็นความงดงามจากธรรมชาติที่สร้างความสุขให้ใกล้ๆ ตัว ก่อนจะหันมามอง เจริญขวัญด้วยแววตาตะลึงนั้น
ละอองเกสร และใบไม้พร่างพรูกระจายรอบร่างเจริญขวัญ ที่ยืนมองอิศราพลางหัวเราะเบาๆ ดูเธอสวยงามเหลือเกิน
อิศรามองเจริญขวัญ ประทับใจมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เจริญขวัญก้าวออกมาจากต้นไม้ เดินมาหาเขา จู่ๆ กิ่งไม้ด้านบน หักโค่นตกลงมา อิศราเห็นเข้า
“ขวัญ”
อิศราพุ่งตัวไปแขนสองข้างรวบร่างเจริญขวัญกอดไว้อย่างป้องกัน ไม้ที่หักตกลงใส่หลังอิศราแทน อิศราสะดุ้งเจ็บ ผวาไปซบบ่าเจริญขวัญที่มองอย่างตกใจ
อิศราดันตัวออกจากบ่าเจริญขวัญ ทำให้ใบหน้าสองคนมาอยู่ใกล้กันแค่คืบ อิศราสบตากับเจริญขวัญเต็มตา เจริญขวัญมองหน้าอิศราอย่างเป็นห่วง กิริยาของสองคนหากมีใครมาเห็น ดูราวกับจะจูบกัน
อรุณขี่จักรยานมาจอดมองไปใต้ต้นไม้ ที่เห็นตรงหน้าคืออิศรากอดเจริญขวัญอยู่ อรุณโกรธจนหน้ามืด กระโจนจากจักรยาน ทิ้งจักรยานลงพื้นโครม
ขณะที่เจริญขวัญเริ่มเขิน อิศรายิ้มใส่ตา อรุณกระโจนเข้ากระชากร่างอิศราออกจากเจริญขวัญ เงื้อมือชกหน้าอิศราเปรี้ยง
“มึง!”
เจริญขวัญตกใจร้อง “ว้าย”
อิศราแค่ผงะ เพราะตัวหนากว่า แรงหมัดอรุณทำให้เขาเพียงแค่ทรุดลงไป อิศราสะบัดหน้ามา โกรธจัด
“เฮ้ย อะไรวะ”
อรุณผวามากระชากคอเสื้อด้วยมือหนึ่ง เงื้อหมัดอีกข้างเตรียมชก
“ไอ้พี่ชายลามก”
อรุณชกมาอีกหมัด อิศรากำมืออรุณแล้วชกกลับแรงกว่า อรุณล้มกับพื้น
เจริญขวัญร้องลั่น “ว้าย อรุณ!”
อรุณล้มกองกับพื้น โดยมีเจริญขวัญเข้ามาด้านหลังอรุณมองเขาอย่างตกใจ อิศราโกรธจัด กำหมัดแน่น และกำลังจะก้าวไปซ้ำ แต่แล้วชะงัก สายตาอิศราเปลี่ยนไป คิดแผนได้
อรุณที่ล้มอยู่ อายเจริญขวัญด้วยและยิ่งโกรธ กระโจนลุกมาเอาตัวพุ่งรวบเอวอิศรา จนเซผงะล้มลงพื้นทั้งคู่ อรุณรวบเอวพลางร้องคำราม
“เฮ่ย ไอ้พี่เฮงซวย”
หลังอิศรากระแทกพื้น เจ็บจริง ซ้ำรอยแผลเดิม “โอ๊ย”
อรุณคุกเข่ากึ่งคร่อมอยู่ กระชากคอเสื้ออิศรา เงื้อมือชกเปรี้ยง โดยไม่รู้ว่าตกเป็นเครื่องมือของอิศรา
“ไอ้เลว”
อิศราหน้าสะบัดตามแรงชก
“ว้าย พี่อิศ! อรุณ หยุดนะ”
“ไอ้พี่เฮงซวย” อรุณเงื้อหมัดจะชกอีก
เจริญขวัญกรี๊ด “หยุดเดี๋ยวนี้”
อรุณเงื้อมือแล้วชะงัก
อิศราสะบัดหน้ามามอง อิศราใบหน้านิ่ง แววตามีรอยยิ้มหยันและสีหน้าโกรธ อรุณอึ้งไปเมื่อเห็นรอยยิ้มของอิศรา
อรุณสบตากับอิศรา พิศวงรอยยิ้มนั้นไม่คลาย
เจริญขวัญถลามาดึงอรุณออกไปจากอิศราอย่างแรง โกรธอรุณสุดจะประมาณ
“ชั้นบอกให้หยุด”
เจริญขวัญตบหน้าอรุณเปรี้ยงเข้าให้ อรุณหน้าสะบัด เจ็บกายไม่เท่ากับเจ็บปวดใจ หันมามองเจริญขวัญอย่างตกตะลึงปนน้อยใจ เจริญขวัญด่าออกมาด้วยอารมณ์โกรธ
“ทำไมเธอทำแบบนี้”
เจริญขวัญผวาเข้าดูอิศรา เห็นปากห้อเลือดยิ่งสงสาร และยิ่งโกรธอรุณ
“พี่อิศ เป็นไงบ้างคะ อุ๊ย เลือด”
อรุณสุดทน “แล้วเธอไปปล่อยให้เขามากอดเธอแบบนั้นได้ยังไง พี่ชายที่ไหนมันกอดแบบนั้นล่ะ มีแต่ไอ้พี่ลามกนี่ล่ะสิ!”
เจริญขวัญโกรธมากขึ้น “ก็พี่อิศเขาช่วยชั้น กิ่งไม้มันหักตกลงมา เขาเอาตัวบังชั้นจนกิ่งไม้นั่นมันก็ตกมาใส่หลังเขาแทน”
อรุณอึ้ง นิ่งงันไป
“พี่อิศ เป็นยังไงบ้างคะ”
“ไม่เป็นไร แต่ พี่เจ็บหลัง...โอย”
“โธ่ พี่อิศ”
เจริญขวัญเป็นห่วงอิศรามาก อรุณอึ้ง อิศราแม้จะเจ็บจริง แต่หรี่ตามองอรุณอย่างผู้ชนะ
อ่านต่อหน้า 3
เงา ตอนที่ 11 (ต่อ)
ที่ห้องนอนเจริญขวัญไม่นานต่อมา อิศรานั่งเปลือยหลังให้ดวงแก้วและเจริญขวัญแต้มยาแดง ทาแผลที่หลังโดนกิ่งไม้หล่นใส่ให้
“มีเลือดออกซิบๆ แล้วก็รอยช้ำเยอะเลย ไปหาหมอดีกว่าไหมคะคุณอิศ” ดวงแก้วว่า
“นั่นสิคะ ไปเอ็กซ์เรย์ดูว่าข้างในเป็นอะไรมากหรือเปล่า เผื่อกระดูกหัก”
อิศราลองขยับแขน แล้วใส่เสื้อ ยิ้มให้
“ผมว่าคงไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ กระดูกผมแข็ง”
ดวงแก้วเพิ่งจะเห็นรอยฟกช้ำตอนอิศราหันมา “เอ๊ะ ไหนว่าเจอกิ่งไม้หล่นใส่หลัง แล้วทำไมหน้าช้ำ ปากแตกด้วยล่ะค่ะ”
อิศราปรายมองสบตาเจริญขวัญ แล้วทำทีเป็นคนดีไม่พูดอะไร กลัดกระดุมเสื้อ
ดวงแก้วมองหน้าลูกสาวอย่างสงสัย
อรุณนั่งหน้าเศร้าอยู่กับพุดและปลั่งตรงระเบียงหน้าบ้าน ปลั่งกำลังพันผ้าให้ที่มือของอรุณที่ซ้น
พุดกระซิบกระซาบ “ถึงกะชกหน้าไปหลายหมัดเลยเหรอครับแหม คุณรุณนี่แมนจริงๆ”
“แมนยังไงล่ะ ไก่ยังอ่อน ดูสิ ปากเจ่อเชียว แล้วมือก็ซ้น นี่แสดงว่าหน้าคุณอิศแข็งกว่าหมัดคุณรุณนะคะ” ปลั่งค่อน
“แต่ลุงพุด ป้าปลั่ง เข้าใจผมใช่ไหมครับ ผมเห็นภาพแบบนั้น ผมก็คิดว่าเขาลวนลามขวัญ ผมก็ต้องปกป้อง ลุงพุดป้าปลั่งเข้าใจผม” อรุณบอกกับพุด “ใช่มั้ย” แล้วหันมาบอกกับปลั่ง “ใช่มั้ยครับ”
พุดกะปลั่งรีบรับ “ใช่ค่า ใช่” / “ใช่ครับ ใช่”
เจริญขวัญเดินออกจากบ้านมาหยุดฟังสีหน้าเคร่ง
“ถ้าเป็นลุงพุด เห็นใครทำกับป้าปลั่งแบบนี้ ก็ทำเหมือนกันใช่ไหมครับ”
“โอ๊ย ผมเอาใส่พานถวายให้ไปเล๊ย”
“ห๊า ว่าไงน๊า ใส่พานถวายไปเลยงั้นเหรอ”
ปลั่งตีผัวข้ามตัวอรุณ พุดปกป้องตัวเองหลบหลังอรุณ “เฮ่ยๆ ล้อเล่นน่า ล้อเล่น” ตาหัวเราะแล้วหันมาเห็นเจริญขวัญยืนหน้าตึงมองอยู่ เสียงหัวเราะเบรกพรืด “เอ้อ...แฮะๆ ไป ยายปลั่ง เราไปตีกันที่อื่นกันเถิดจะเกิดผล”
ปลั่งหันมองตามผัวเห็นเจริญขวัญ “เออ...ไป”
ปลั่งลุกเดินไปบิดหูพุดให้เดินตาม ด่าไปเดินกันไป
“เฮ่ย ก็ไปดีๆ ทำไมต้องดึงหูไปด้วย”
ตาพุดยายปลั่งเดินบ่น ด่า กันไปจนเสียงเงียบลง
อรุณลุกยืนหันมา เห็นเจริญขวัญกอดอก มองมาอย่างโกรธขึ้ง
“ขวัญ”
เจริญขวัญปรายมอง เห็นว่าพุดกะปลั่ง ยังแอบดูอยู่ ก็หันตัวเดินหนีไปอีกทาง อรุณเดินตาม
เจริญขวัญเดินมาหยุดข้างบ้าน อรุณตามมาอย่างเร็ว
“ขวัญ ขวัญ เราขอโทษ ขวัญ”
เจริญขวัญหยุด หันมาพูดสวนอย่างรุนแรง “ขอโทษ! เธอพูดคำนี้มากี่ครั้งแล้วอรุณ”
“แต่คราวนี้ เราเห็นกับตาว่าเขากอดเธอ” อรุณสวนเสียงดัง
“เบาๆ หน่อยได้ไหม เดี๋ยวแม่ได้ยิน”
อรุณเบาลงแต่พูดแรงอยู่ “เราเห็นเขากอดเธอ ทำรุ่มร่ามกับเธอแบบนั้น เราทนไม่ได้ เราจะไปรู้ได้ยังไงว่าเขา โชว์แมน กอดเธอเพราะกิ่งไม้มันหักใส่” อรุณแถ พูดตั้งข้อสังเกต “แล้วเขาปล่อยให้เราชกทำไม ทำไมไม่พูดล่ะ ทำไมไม่อธิบายล่ะ”
“ยังกะจะพูดทัน มาถึง เธอก็ ชกเอา ชกเอา ยังงั้น”
อรุณสวนอีก “ก็เราห่วงขวัญ”
เจริญขวัญสวนกลับ “ทำไมต้องห่วง บอกมาสิว่าทำไมต้องห่วง”
“ก็เราเป็น...” อรุณชะงักจุกไปเลย “เป็น...”
เจริญขวัญน้ำตาคลอหน่วยตาเจียนหยดถามเสียงเด็ดขาด “เป็นอะไร”
อรุณอึ้งน้ำตาคลอมองเจริญขวัญที่จ้องหน้า น้ำตาเจียนหยด ด้วยความโกรธ เข้าใจในความรู้สึกอรุณ และตัวเองรู้สึกกดดันมากในยามนี้ เจริญขวัญสืบเท้าเดินเข้าหาอรุณ
“บอกเรามาสิ ว่าเราเป็นอะไรกัน”
อรุณก้มหน้า น้ำตาคลอ
ฝ่ายอิศราได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน เดินมาหยุดที่หน้าต่าง เลิกม่านแอบดูอยู่ ใบหน้าเรียบเฉย
เจริญขวัญเดินเข้าหาอรุณที่ก้มหน้าอยู่ คาดคั้นเสียงดังขึ้น
“บอกเรามาสิ ว่าเราเป็นอะไรกัน อรุณ”
อรุณก้มหน้านิ่งอยู่ พูดว่า “เพื่อน” ออกมาแล้วน้ำตาหยดติ๋ง
เจริญขวัญน้ำตาคลอ มองอรุณที่ยืนก้มหน้าอย่างเข้าใจ
“ใช่ เพื่อน และเราอยากเป็นเพื่อนกับอรุณตลอดไปเราไม่อยาก ไม่อยาก...” เจริญขวัญน้ำตาร่วง “ไม่อยาก เสียเพื่อนดีๆ ไป”
อรุณเงยมองหน้าอย่างตะลึง
“อย่าทำอะไรที่เกินขอบเขตของความเป็นเพื่อนอีกต่อไปเลยนะ อรุณ ไม่อย่างนั้น เราก็ไม่ควรเจอกันอีก”
ฟ้าถล่มตรงหน้าอรุณ “ขวัญ”
เจริญขวัญหันหลังซ่อนน้ำตา
อรุณโกรธสวนออกไปอย่างรุนแรง “ขวัญ! ขวัญมองเขาด้านเดียว มองเขาแต่ด้านดี เชื่อเขาไปหมด ระวังเถอะ สักวันขวัญจะเสียใจ”
เจริญขวัญ หมดความอดทน เดินหนี
อรุณได้เพียงแต่มองตาม จะเดินตามก็ไม่กล้า ครั้นพอหันจะกลับ ก็เห็นม่านหน้าต่างห้องเจริญขวัญเปิดอยู่ โดยที่อิศราเลิกม่านออกมา จงใจให้อรุณเห็นตัวเอง และมองมาด้วยสีหน้ายิ้มหยัน และ สมน้ำหน้า
อรุณยิ่งโมโห มองกลับอย่างโกรธแค้น ก่อนจะหุนหันเดินออกไป
อิศราปิดม่าน หันมาแค่นหัวเราะหึๆ
“ไอ้เด็กบ้า...อูย”
อิศราแตะปาก เจ็บจริง
อรุณเดินน้ำตาคลอ ทั้งโกรธ เสียใจ และน้อยใจมา เจอตาพุดยายปลั่งโผล่ออกมาหา
“คุณรุณๆ เป็นไง โดนหนักเลยใช่ไหมครับ”
ปลั่งปลอบ “ใจเย็นนะคะคุณรุณ เดี๋ยวคุณขวัญอารมณ์ดีๆ ก็คืนดีเองนะคะ”
“ลุงพุด ป้าปลั่งครับ ยังไง ผมก็เชื่อสัญชาติญาณของผม ว่านายนั่น ไม่ได้คิดกับขวัญแค่น้องสาวแน่ๆ” อรุณหันไปจับมือสองผัวเมีย “ลุงพุด ป้าปลั่ง ต้องคอยดูแลขวัญนะครับ ฝากขวัญด้วยนะครับ”
พุดกะปลั่งรีบรับ “ครับๆ” / “ค่า” อย่างเสียไม่ได้
ด้านอิศรานั่งอยู่บนเตียงส่องกระจกมองรอยฟกช้ำที่หน้าหล่อๆ ของตัวเอง ด้วยความโมโห
“ไอ้บ้าเอ๊ย ถ้าไม่ติดว่าขวัญอยู่ตรงนั้น มันน่วมไปแล้ว”
เสียงเคาะประตูก๊อกแก๊ก ดังมาจากข้างนอก อิศรารีบทำทีเป็นนั่งเอนพิงหมอนบนเตียง
ยินเสียงดวงแก้ว “อย่าลืมเอายาให้คุณอิศด้วยนะลูก”
ตามด้วยเสียงเจริญขวัญว่า “ค่ะ แม่”
สักครู่ เจริญขวัญเปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดถ้วยข้าวต้ม น้ำ และยา เห็นอิศรานั่งเอนทอดตัวยาวบนเตียงเจริญขวัญวางถาดบนโต๊ะข้างเตียง ลงนั่งตรงขอบเตียง
“ขวัญทำข้าวต้มมาให้ค่ะ ทานแล้วจะได้ทานยา นี่ ยาแก้ปวดกล้ามเนื้อ แก้อักเสบนะคะ”
“ขอบใจจ้ะ”
อิศราขยับลุก แล้วลีลาแกล้งทำเป็นเจ็บร้องโอดโอย
เจริญขวัญจับตัวเขา “อุ๊ย ช้าๆ ค่ะ โธ่ ไม่น่าต้องเลยมาเจ็บตัวเพราะขวัญเลย”
อิศราหัวเราะ “อือ โดนสองเด้งเลยเนอะ”
เจริญขวัญถอนหายใจ รู้สึกไม่สบายใจ “ขวัญ ต้องขอโทษแทนเพื่อนด้วย”
“เพื่อน?” อิศรายิ้ม แหย่ วัดใจ “แค่เพื่อนจริงๆเหรอ”
เจริญขวัญอึดอัด ไม่อยากตอบคำถามนี้
อิศราปรายตามองดูอาการเจริญขวัญ เกรงว่าจะ ลุย รุก สาวแสนดีมากไป เลยเปลี่ยนลีลาเจ้าเล่ห์ใหม่ ทำเป็นไม่สบายขึ้นมา
“เวียนหัวจัง พี่รู้สึก ตัวรุมๆ เหมือนจะเป็นไข้ยังไงบอกไม่ถูก”
“จริงเหรอคะ”
เจริญขวัญตกใจ เอามือแตะหน้าผาก แตะแก้มเขาตรวจดูไข้
“ตัวยังไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่นะคะ งั้น รีบทานข้าวแล้วทานยานอนพักนะคะ”
อิศรายิ้มเอื้อมมือมาประกบมือเจริญขวัญที่แตะหน้าผากเขาดึงมาจับไว้สองมือ เจริญขวัญตกใจมาอิศราตายิ้ม ตาหวานฉ่ำ
“ขวัญ...”
เจริญขวัญชะงัก
“พี่มา เพราะคิดถึงขวัญ แต่ยังไม่ได้ยินขวัญบอกสักคำ ว่าคิดถึงพี่บ้างหรือเปล่า”
คำหวานจากปากเขา ทำเอาเจริญขวัญอึ้งไป ทั้งขัดเขิน อึดอัด และไม่สบายใจ
“ว่าไงล่ะ”
เจริญขวัญชักมือออก “พี่อิศ ทานข้าวแล้ว ทานยานะคะ” แล้วลุกจะเดินออก
“คนใจร้าย คนเค้าอุตส่าห์เจ็บตัวเพื่อช่วยตัวเองแท้ๆ” อิศราอมยิ้ม “พูดให้ดีใจหน่อยก็ไม่ได้”
เจริญขวัญชะงัก ขวยเขินและไม่สบายใจอยู่อย่างนั้น เดินออกไป
อิศราหัวเราะเบาๆ ตามหลังไป
เจริญขวัญออกมาจากห้องนอนตัวเองที่ให้อิศรานอน มาหยุดยืน สับสนหนักกับหลายความรู้สึกปนเป ดูออกว่าไม่ค่อยสบายใจนัก
คำเตือนของอรุณดังก้องในหู
“ขวัญ! ขวัญมองเขาด้านเดียว มองเขาแต่ด้านดี เชื่อเขาไปหมด ระวังเถอะ สักวันขวัญจะเสียใจ”
ทิ้งภาพเจริญขวัญ ไม่สบายใจนัก เจริญขวัญขยับเดินมา แล้วเกิดอาการหายใจไม่ออกกะทันหันผวาไปเกาะโต๊ะกินข้าว พยายามหายใจเข้าออกลึกๆ จนผ่อนคลาย มีความกังวล
ณ ป่าชานเมือง
เงาดำล่องลอยลงมาจากยอดไม้เหมือนใครกำลังบินลง ละลิ่วล่องเป็นไต้ฝุ่นสายย่อมลงพื้น จนลมพัดใบไม้ที่พื้นปลิวกระจาย ฉับพลันเงาดำนั้นกลายเป็น ร่างท่านชาย ดูยิ่งใหญ่
ตามมาด้วยสายดำเล็กกว่า อีก สองสายเบื้องหลัง กลายเป็น สิริ และ ภุมมะ
ท่านชายยืนด้านหน้าเด่นเป็นสง่า สิริภุมมะประกบสองข้างด้านหลัง
ที่พื้นดินสองกองด้านหลัง สิริและภุมมะ พื้นค่อยๆ โป่งนูนขึ้นแล้วร่างของนายนิรยบาลสองตนก็ปีนขึ้นมาจากนรก ทรุดตัวนั่งคุกเข่าข้างเดียว ก้มหน้ารอรับคำสั่ง
ท่านชายไม่แม้แต่จะปรายตาแล มองไปข้างหน้าด้วยสีหน้าดุดัน
กลางป่าแห่งนั้น แลเห็นกรงไม้ไผ่ที่กั้นขึ้นอย่างง่ายๆ แต่แข็งแรง ด้านในมีคนถูกขังทั้งชายและหญิง แต่งกายซอมซ่อคล้ายชนเผ่าอยู่ราว 5 คนเมื่อมองไปทางด้านหลังเห็นเป็นภูเขาสูงสุดลูกตา
ฉับพลันมีมือๆหนึ่งยื่นออกมาฉับพลันแบบร้องขออาหาร ตามด้วยอีกมือจากในกรง ชายแต่ละคนท่าทางหิวโหย รูปร่างผอมแห้ง นั่งกอดเข่า บ้างนอน บ้างเอื้อมมือมาร้องขออาหาร
ด้านนอกกรงเป็นบริเวณโล่งๆ รอบด้านเป็นป่า ผู้คุมชาย 2 คน กำลังต้มหม้อข้าวกับไฟกองฟืน ผู้คุมที่เหลือในมือมีปืน ยืนห่างกัน แต่ไม่ค่อยระวังมาก อีกคนหนึ่งกำลังพูดมือถือ
สักครู่ผู้คุมชายเอาหม้อที่ต้มอาหาร เดินไปที่กรง ผู้คุมอีกคนที่มาด้วย เอาพานท้ายปืนกระทุ้งกรงไม้ไผ่ให้คนถอยไป ก่อนเปิดกรงให้ผู้คุมที่ถือหม้อ เสือกหม้อนั้นเข้าไป ผู้ถูกคุมขังในกรง กรูกันมา ล้วงอาหารกิน
ชาย 1 ท่าทางเป็นหัวหน้าที่พูดมือถืออยู่ กดปิดสายสนทนาหันมาสั่งรวมๆ
“เฮ่ย เตรียมผู้ชายไว้สองคน ขายได้แล้วเว้ย นัดส่งชายป่าอีกสองชั่วโมง เดี๋ยวเอาใส่รถไป”
ชาย2 ถาม “ไอ้ที่เหลือล่ะพี่”
ชาย1 บอก “เก็บไว้ก่อนสิวะ”
ผู้คุมชาย 2 คน ตรงไปที่กรงไม้ไผ่
ประตูไม้ไผ่เปิดออก ผู้ถูกคุมทั้ง 5 คน ถูกขับไปออกองเกาะกันอยู่มุมหนึ่ง
ผู้คุมทั้งสองตรงไปกระชาก ชายผอมแห้ง 2 คนที่มีท่าทีหวาดกลัว โดยมีเมียของชายคนหนึ่งร้องกรี๊ดเข้ากอดสามียื้อยุดไว้
“เฮ่ย ปล่อยสิวะ”
ผู้คุม2 โวย ตบผู้หญิงกระเด็น
ทันใดนั้นเอง ประตูกรงปิดเองดังโครมใหญ่ ทุกคนในกรงหันมองประตูกรงอย่างตกใจ
ผู้คุม1 ที่ล็อกตัวชายชนเผ่าไว้หนึ่งคนนั้น อยู่ๆ ร่างกระเด้งเหมือนถูกวิญญาณใครสวมร่าง ปล่อยมือให้ชายชนเผ่าผอมแห้งร่วงลงพื้นไป แล้วรีบผวาไปเกาะกลุ่มผู้ถูกคุมขังด้วยกัน
ผู้คุม1 ที่ถูกสวมวิญญาณ ใบหน้าค้างเกร็งตาเบิกโพลง เห็นใบหน้าภุมมะซ้อนอยู่เบื้องหลังอย่างดุดัน มือกำลังกำคอของผู้คุม 1 แน่น
ผู้คุม2 มองอย่างสงสัย
“มึงเป็นอะไรวะ”
ทั้งกรงไม่มีใครเห็น ว่ามีภุมมะอยู่ในนั้น ผู้คุม1 เดินแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ผสมซอมบี้ ตรงเข้าหาผู้คุม2 ปัดมือที่ล็อกตัวชายชนเผ่าออก
“เฮ่ย อะไรวะ”
ผู้ถูกคุมขังไปนั่งออ เกาะกอดกันมองเหตุการณ์อย่างตื่นตระหนก
ผู้คุม1 ตบเข้าที่หน้าของผู้คุม2 ผงะหงายกระเด็นไปอย่างแรงเกินมนุษย์จนล้มลงไป ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก และโกรธสุดขีด ผู้คุม1 ยังคงเดินเข้าหาเรื่อยๆ ด้วยท่าแข็งทื่อ
“ไอ้เชี่ย” ผู้คุม2 โกรธจัด ด่าอย่างรุนแรง พร้อมกับคว้าปืนยาว เล็งแล้วยิงใส่ผู้คุม1 ไปสามนัดซ้อน
ผู้คุม1กระเด้งตามลูกปืน ทีละนัดนั้น จนนัดที่3 ล้มลงกับพื้น
ผู้คุม2 มองอย่างงุนงงตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จู่ๆ ผู้คุม1 กระเด้งลุกขึ้นในท่ายืนจ้องมองมา
ผู้คุม2 กลัว “เหวอ...” รีบถดตัวหนี ผู้คุม1 ตรงเข้าไปบีบคอหมับ
อ่านต่อหน้า 4
เงา ตอนที่ 11 (ต่อ)
ชาย1 ผู้เป็นหัวหน้า และ ผู้คุมอีกสองคนที่เหลือหันไปทางเสียงปืน
“เฮ่ย ไรวะ”
ชาย 3 เล็งปืนกวาดไปมาอย่างตระหนก “ตำรวจมาเหรอวะ”
จังหวะนี้ มีลมแรงพัดมากรูใหญ่ พร้อมกับร่างท่านชายวสวัต ปรากฏขึ้น และก้าวเดินออกมาจากความว่าง สิริ ภุมมะ ตามหลังมา มองมาอย่างดุดัน
ชาย1 เล็งปืนไป “เฮ่ย มึงเป็นใคร”
“นายที่แท้จริงของเจ้าไง เจ้าสัตว์นรกในร่างคน” ท่านชายคำราม
“เฮ่ย”
ชาย1 เล็งปืนยิงเปรี้ยง กระสุนทะลุผ่านร่างท่านชาย โดยที่ท่านชายเดินเข้าหาช้าๆ และเพียงตวัดมือ ข้างเดียวเบาๆ ร่าง ชาย 1 กระเด็นลอยไปชนต้นไม้คอหักตาย
ชายอีกสองคนที่เหลือ ตกใจ ร้องลั่น จะวิ่งหนี ภุมมะที่ยืนอยู่ด้านหลังท่านชายหันไป แล้วพุ่งใส่ชาย3 อย่างเร็ว
ชาย 3 วิ่งมาเจอ ภุมมะพรวดมายืนขวาง ก็ตกใจ ภุมมะคำรามใส่ ใบหน้าขยายใหญ่พุ่งเข้าใส่อย่างน่ากลัว ชาย3 ตกใจแหกปากร้องลั่น ภุมมะคว้าคอบีบ ยกร่างจนขาลอยจากพื้น หักคอจนตาย
ชาย 2 วิ่งหนีมาตัวสั่นพับๆ เหลียวไปมองหลัง พอหันมาอีกทีตกใจ เจอสิริยืนอยู่ สิริยิ้มอย่างน่ากลัว ตวัดจับมือชาย4 ให้หันปลายกระบอกปืนเข้าหาตัวเอง เสียงปืนดังเปรี้ยง
ด้าน ผู้คุม2 บีบคอผู้คุม1 ในขณะที่มีเสียงปืนด้านนอก หนึ่งนัด
ร่างชาย 2 ล้มลงขาดใจตาย พร้อมกันนั้นร่างผู้คุม2 ที่ถูกสิงก็ร่วงลงพื้น ตายตามสภาพ แลเห็นวิญญาณนายนิรยบาลออกจากกายนั้น
บรรดาคนที่ถูกคุมขังกอดกันอย่าง งงงวย ตระหนกและหวาดผวา
ท่านชายวสวัตยืนสง่างามอยู่ ใบหน้าดุดันเปี่ยมอำนาจ สิริ ภุมมะเข้ามายืนด้านหลัง นายนิรยบาลทั้ง 2ปรากฏตัวพร้อมร่างวิญญาณของผู้คุมชายทั้ง 5 คุกเข่ากับพื้น ยังอยู่ในสภาพงุนงง ไม่รู้ตัวว่าตายแล้ว
ท่านชายมอง แล้วตวัดนิ้ว เกิดเป็นโซ่ไฟเข้ามัดทั้ง 5 วิญญาณ พวกมันต่างเร่าร้อนร้องโอดโอย
“เจ้าสัตว์นรกถ่อยบาป! พวกเจ้าบังอาจจับมนุษย์อื่นมาขาย พรากลูกพรากครอบครัวเขา ไม่เห็นแม้สักนิดว่าพวกเขาเป็น คนเหมือนกัน!! พวกเจ้า!จักต้องได้รับการลงโทษในอเวจีอย่างสาสม สิริ ภุมมะ”“เจ้าข้า”
“นำพวกมันลงไปจองจำในนรกล่ามโซ่ไฟนี้ให้ได้รู้ถึงความทุกข์ทรมาน เพื่อรอการชำระโทษ ชดใช้กรรม!”
สิริ ภุมมะ น้อมรับแข็งขัน “เจ้าข้า”
ร่างนายนิรยบาล สิริ ภุมมะ และ สัตว์นรกหน้าใหม่ทั้งห้า วูบหายลงดิน ด่ำดิ่งสู่นรกภูมิ
บรรดาคนที่ถูกขังเกาะกลุ่มกัน ค่อยๆ ก้าวผ่านร่างที่ตายออกมา อย่างระมัดระวัง และ งุนงง ทั้งหมด ไม่มีใครเห็น ร่างท่านชายที่ยืนอยู่
ท่านชายมองกรงขังและชายหญิงชนเผ่าที่ค่อยๆ ออกมากันนั้น หวนรำลึกถึงเรื่องราวในอดีต
เหตุการณ์ในอดีตชาติ พระยาเจนศึก ชาติภพที่แล้วของท่านชายวสวัต สั่งด้วยน้ำเสียงอันเหี้ยมโหดดุดันว่า
“ต้องฆ่ามันให้หมด ไม่ให้เหลือ แม้แต่ปากเดียว”
ทหาร จับชาวบ้าน เชลยศึกที่จับตัวได้กรอกยาพิษ ตามคำสั่งของพระยาเจนศึกที่มองจ้องอยู่ โดยที่ขุนไกรไม่เห็นด้วย และรับไม่ได้
จนเมื่อตายไป วิญญาณพระยาเจนศึก ในสภาพเลือดเลอะทั้งตัว คุกเข่าอยู่ต่อหน้า ยมบาลองค์ก่อน
“เจ้า! แม้ชาตินี้ จะเป็นคนที่ยุติธรรม และสละชีวิตเพื่อปกป้องแผ่นดิน อันเป็นกุศล มหากุศล หากแต่บาปที่เจ้าได้ทำ นับแต่อดีตชาติ จนชาตินี้ ที่ได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์ ทำให้ บาปกรรมและบุญทัดเทียมกัน เพราะฉะนั้น บุญของเจ้าจะรอไปเจ้าเสวยบุญบนสวรรค์ แต่เจ้า! ต้องได้รับโทษทัณฑ์จากผลแห่งบาปกรรมเสียก่อน!”
วิญญาณพระยาเจนศึกตื่นตระหนก
“เจ้า จักต้องมารับภาระหน้าที่ เป็นประจักษ์พยานแห่งกรรมดีและกรรมชั่วของอเวไนยสัตว์ทั้งหลาย และชดใช้กรรมของเจ้าในเวลาเดียวกัน! จนกว่าจะมีผู้ที่มีบาปและบุญเท่ากัน มาเป็นตัวตายตัวแทนของเจ้า”
สิ้นเสียงอันทรงอำนาจ มีลำแสงพุ่งใส่วิญญาณพระยาเจนศึก ที่แผดเสียงร้องโหยหวน
พริบตานั้นเอง ปรากฏแสงสว่างวาบขึ้นอีกมุมหนึ่งในความมืด ก่อนที่พระยาเจนศึกจะปรากฏร่าง ในชุดพญามารสีดำขลิบริ้วแดง เป็นท่านชายวสวัต ที่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ทั้งดุดัน และเศร้าสร้อย ในคราวเดียวกัน
ท่านชายกลับมาถึงวัง มองแก้วน้ำทองแดงในมือ ยกแก้วขึ้นมาดื่ม อย่างยอมรับสภาพที่ต้องชดใช้กรรม
“กรรม ทำมาเยี่ยงไร ข้า ยอมรับ ผลแห่งกรรมนั้น”
ท่านชายทรุดนั่งอย่างเจ็บปวด ทุกข์ทรมานยิ่งนัก พยายามข่มตาหลับลงช้าๆ
ค่ำนั้น ภายในห้องพระบ้านเจริญขวัญ ดวงแก้วนั่งสมาธิอยู่ ค่อยๆ ลืมตา แล้วก้มกราบพระสามที ก่อนจะมององค์พระอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด สีหน้าเคลือบแคลง
เจริญขวัญนั่งชันเข่าพิงเก้าอี้มองไปไกล ใบหน้าขรึมเศร้า ดวงแก้วออกจากห้องพระเดินผ่านมาเห็น
“ขวัญ มานั่งตากลมอยู่ทำไมกันลูก เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ขวัญคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะแม่”
ดวงแก้วลงนั่ง “อีกสองสามวัน คงลงต้นไม้เสร็จ ก็คงไม่มีอะไรแล้ว คุณอิศมารออยู่แบบนี้ แม่ก็เกรงใจแก”
อิศราออกจากห้องเดินมา ชะงักเห็นสองแม่ลูกนั่งคุยกันอยู่ ยิ้มทำท่าจะก้าวไปแล้วชะงักเมื่อได้ยินเสียงเจริญขวัญพูดขึ้นว่า
“กลับไปคราวนี้ ทำเรื่องโอนบ้านเรียบร้อยแล้ว” เจริญขวัญยิ้มเศร้า กังวลเรื่องอาการหัวใจไม่อยากบอกแม่ “เราก็คงไม่ต้องไปๆ มาๆ บ่อยหรอกค่ะแม่”
เจริญขวัญหันมองดวงแก้ว แล้ว เข้ากอด
“ขวัญอยากให้แม่สบาย ไม่อยากให้แม่เหนื่อยอย่างนี้อีกแล้ว”
สีหน้าอิศราขรึมลง เข้าใจไปว่าบ้านอาจถูกสองคนขาย อิศราเดินออกไป
“พูดจริงๆ แม่ยังไม่ค่อยสบายใจที่จะกลับกรุงเทพฯ” ดวงแก้วบอก
“ทำไมล่ะคะแม่ หรือว่า แม่ไม่ชอบคุณอิศรา”
“เปล่าหรอกลูก ไม่ใช่คุณอิศรา แต่...ไม่มีอะไรหรอกลูก”
ดวงแก้วไม่กล้าบอกลูก เรื่องที่เคลือบแคลงสงสัยในตัวท่านชายวสวัต
สามสาวอยู่ที่บ้านอรอนงค์ ปวีณานั่งเอนตัวอยู่บนโซฟาห้องรับแขก เร่งวัลภาที่กำลังปอกมะม่วงอยู่ข้างๆ
“แก ปอกมะม่วงเร็วๆ หน่อย ซี่ ลูกชั้นเปรี้ยวปาก”
“โอ๊ย รีบจนมีดจะบาดมือตายอยู่แล้ว” วัลภาบ่น ก้มหน้าพูดกับท้องปวีณา “หลานจ๋า อย่าเรื่องมากนัก น้าเหนื่อย”
ทันใดนั้นเอง นิตยสารแฟชั่นเล่มหนึ่ง ถูกอรอนงค์โยนลงบนโต๊ะตรงหน้า จนสองสาวสะดุ้ง
“ว้าย”
“อะไรอ้า อร” วัลภาฉงน
“ก็ดูสิ”
ปวีณาจะหยิบ แต่วัลภาเร็วกว่า คว้ามาดูหน้าปก
“อุ๊ตะ ยัยชาลินี”
ชาลินีสวยเฉิดฉายอยู่บนหน้าปกแมกาซีนแฟชั่นเล่มดัง
อรอนงค์กัดฟัน “มันเชิดหน้า มีความสุขดีเหลือเกิน วัลภา ปวีณา นี่ชั้นจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ยิ่งเห็นแบบนี้ ชั้นยิ่งเจ็บใจ”
อรอนงค์กระแทกตัวลงนั่งกุมขมับอยากจะร้องไห้ ในขณะที่ วัลภาเปิดอ่านบทสัมภาษณ์ชาลินีในเล่ม
“อร ใจเย็นๆ” ปวีณาทำได้แต่ปลอบ
วัลภาอ่านไปร้องขึ้น “อุ๊ต๊ะ ต๊ายๆ นี่ๆ ชั้นจะอ่านบทสัมภาษณ์มันให้ฟัง...สำหรับเรื่องของความรัก คุณชาลินี มีสีชมพูแต้มในหัวใจหรือยังคะ”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังถ่ายแบบเสร็จ ชาลินีนั่งเก้าอี้อยู่หน้าเซ็ตถ่ายแบบ กำลังให้สัมภาษณ์หน้าระรื่น
“เรื่องความรักเหรอคะ แหม เราเป็นผู้หญิงพูดตรงๆก็คงไม่งามใช่ไหมคะ แต่ว่า...” ชาลินีมองคนสัมภาณ์ตาหวานซึ้ง “ถ้าใครตามข่าวอยู่ ก็คงทราบว่าเมื่อไม่นานนี้ ชาได้จัดงานการกุศลใหญ่งานหนึ่ง ที่ได้รับความกรุณาจากท่านชายวสวัต”
วัลภายังอ่านสัมภาษณ์ในหนังสืออยู่
“หมายความว่าโลกสีชมพูนี้ จะมีชื่อท่านชายวสวัตอยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่าคะ”
ตอนนั้นชาลินีหัวเราะให้สัมภาษณ์ไปว่า “ก็ยังไม่ได้หมายความขนาดนั้นนะคะ เพียงแต่ว่า อืม...ยังไงดีล่ะ ก็ต้อง รอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ค่ะ”
วัลภาหมั่นไส้ “อุ๊ยต๊าย ช่างกล้า แบบนี้เค้าเรียกใช้สื่อสร้างกระแสหวังมัดผู้ชายนะเนี่ย”ปวีณาฉุน “ร้ายนะยะ แต่ว่าท่านชายสนใจยายชาแล้วจริงๆ เหรอ”
“โอ๊ย แต่คนที่เสน่ห์เล่ห์กลพราวแพรอย่างอย่างชา คงไม่ปล่อยท่านชายไปง่ายๆ หร๊อก ดูอย่างสามีแกกะเอกสิ ...อุปส์” วัลภาหลุดปาก
อรอนงค์ยิ่งคิดยิ่งแค้น “มีชาลินีคนเดียวหรือไง ที่อยากได้ผู้ชายคนไหน ก็ต้องได้น่ะ...ท่านชายวสวัต”
ที่ร้านอาหารบนยอดตึกค่ำวันนี้
ท่านชายนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง โดดเดี่ยว แววตาเศร้าลึก ในร้าน ไม่มีคน มีเพียงบาร์เทนเดอร์ยืนอยู่ในเคาน์เตอร์
อรอนงค์ก้าวออกมาจากลิฟท์ตรงชั้นร้านอาหาร ตามด้วย วัลภา และปวีณา
วัลภามองเข้าไปในร้านยิ้ม “ร้านสวยจริง”
อรอนงค์เดินนำ สองสาว เข้าไปในร้าน แล้วชะงัก เมื่อเห็นท่านชายวสวัตนั่งอยู่
บริกรมาต้อนรับ อรอนงค์ ปวีณา วัลภา ไปนั่งเคาน์เตอร์บาร์ เรียงกันไป อรอนงค์ ปวีณา และวัลภา
ปวีณาสั่งกับบาร์เทนเดอร์ “ขอพันช์นะจ๊ะ ไม่เอาแอลกอฮอล์นะ”
ระหว่างนี้ อรอนงค์มองไปทางท่านชายวสวัต ตลอดเวลา
แต่ท่านชายยังคงนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างนิ่งอยู่อย่างนั้น
“โอย หล่อใจขาด..แล้วเอาไงต่อ อร” วัลภายิ้มกริ่ม
“นั่นสิ อยู่ๆ จะเดินไปหาเหรอ ต้องมีฟอร์มหน่อยนะ ว่ามั้ย”
ปวีณาบอก “ลองเดินไปแล้วแกล้ง ทำผ้าเช็ดหน้าหล่นดีไหม”
“มุขโบมากค่ะคุณเพื่อน” วัลภาค้อนขำๆ
อรอนงค์นิ่งคิดตัดสินใจ
แม้ไม่ได้หันไปมอง แต่ท่านชายวสวัตได้ยินทุกคำ รับรู้ มุมปากยิ้มเหยียด
สักครู่ ภุมมะ เดินผ่านหน้าสามสาวไปหาท่านชาย น้อมตัวก้มพูดบางอย่าง ท่านชายลุกเดินนำ ภุมมะเดินตาม สามสาวทำตัวไม่ค่อยถูก ลอบมอง ละล้าละลัง
“อุ้ยๆ เดินมาแล้ว อร” วัลภาพยักพเยิด
อรอนงค์พยายามจะส่งสายตาและรอยยิ้มให้ท่านชาย แต่ท่านชายเดินผ่านไปเลย โดยไม่แม้แต่จะมองหน้าสามสาว
สามสาวมองตามไปตาเดียวกัน
“ว้า ไปแล้วอ่ะ”
วัลภาหันมาหาอรอนงค์และปวีณา แล้วเห็นภุมมะก็ตกใจ
ภุมมะเดินผ่าน ชะลอเท้า หันปรายตามองสามสาวหน้าเคร่งขรึมดุ
วัลภาหน้าแหย กลัว “ว้าย”
ภุมมะเดินผ่าน
“ใจหายหมดเลย หน้าตาน่ากลั๊วน่ากลัว” ปวีณาลูบท้อง “โอ๋ๆ ลูกไม่กลัวนะคะ ไม่กลัวนะ”
ท่านชายยืนรอหน้าลิฟท์ มีภุมมะเดินตามมาถึง และยืนสงบเยื้องหลัง
“ผู้หญิง ชอบนัก ที่จะเล่นกับไฟ”
ภุมมะตอบเบาๆ ว่า “ไม่รู้สักนิดว่าเป็นไฟนรก ด้วยเจ้าข้า”
ท่านชายหัวเราะหึๆ
พอประตูลิฟท์เปิด ท่านชายก้าวเข้าไปกับภุมมะ ร่างท่านชาย และ ภุมมะ ยืนในลิฟท์ แล้วหายไปทั้งคู่ ก่อนประตูลิฟท์ปิดลงด้วยซ้ำ
อรอนงค์ ปวีณา วัลภา พากันเดินออกมาจากมุมเค้าน์เตอร์ไวน์ เห็นแค่ประตูลิฟท์ปิด
“แล้วไงล่ะอร เป้าหมาย ไม่อยู่ซะละ”
อรอนงค์ครุ่นคิด “ก็ต้องหาเป้าหมายใหม่สิ”
เป้าหมายที่ว่า คือ คุณหญิงเพ็ญ ที่เช้าวันนี้ มาออกรอบตีกอลฟ์ในสนามประจำ และกำลังตีลูกโด่งไปไกล คุณหญิงเพ็ญพอใจ ส่งไม้กอลฟ์ให้แคดดี้ มีเสียงปรบมือดังขึ้น
คุณหญิงเพ็ญหันไปทางที่มาของเสียง เห็น อรอนงค์ ปวีณา วัลภา เดินปรบมือเข้ามาในชุดกอลฟ์กระโปรงตีกอล์ฟ กันทั้งสามสาว วัลภาชมเปาะ
“อู๊ย เก่งจังเลยค่ะ ท่าสวิงก็ยังกับมือโปรเลยนะคะ”
“อ้าว หนู อรอนงค์ ปวีณา วัลภา สามใบเถานี่เอง มาตีกอล์ฟที่นี่เหมือนกันเหรอจ๊ะ” คุณหญิงยิ้มทัก
สามสาวยิ้มตอบ ปรายตามองกันอย่างหมายมาด
ทุกคนอยู่ที่คาเฟทีเรียในสนามกอลฟ์ คุณหญิงนั่งตรงข้ามสามสาว ที่พยายามผลัดกันเล่าเรื่อง คุณหญิงหน้าเคร่ง
อรอนงค์สรุป “นี่ล่ะค่ะ ฤทธิ์เดชของชาลินี แย่งผัวเพื่อน ฆ่าน้องชายหนู”
คุณหญิงเพ็ญอึ้งไปชั่วขณะ เหมือนจะเชื่ออยู่ครู่หนึ่ง สามสาวยิ้มให้กันอย่างสะใจ แต่แล้วคุณหญิงเพ็ญ กลับหัวเราะออกมายาว ทำเอาสามสาวงง
คุณหญิงแค่นยิ้ม “แค่นี้ใช่มั้ย ที่พวกหนูจะมาเล่าให้ชั้นฟัง”
สามสาวอึ้ง
“แต่เรื่องทั้งหมดที่เราเล่า เป็นเรื่องจริงนะคะ คุณอาหญิง” อรอนงค์ย้ำ
“ถ้ายายชาแย่งสามีปวีณาจริง หนูก็คงไม่ท้องป่องแบบนี้ล่ะมั้งจ้ะ ส่วนเรื่องที่ว่า ยายชาฆ่าน้องชายเธอ ไหนล่ะหลักฐาน ถ้ายายชาฆ่าจริงๆ ก็แจ้งความเลยซี่”
คุณหญิงจ้องหน้า สามสาวอึ้งกิมกี่ที่เหตุการณ์ตาลปัตร
อรอนงค์ฉุน “เอ๊ะ คุณอาหญิงจะไม่เชื่อ จะไม่จัดการอะไรยายชาเลยเหรอคะ”
“จะให้ชั้นจัดการอะไร” คุณหญิงลุก “ชั้นว่าพวกเธอ ไปหัดเข้าวัดเข้าวาทำบุญ หรือไปเที่ยว ไปทำอะไรๆให้มันมีประโยชน์กับตัวเองดีกว่า จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน คอยอิจฉาหาเรื่องคนอื่น”
อรอนงค์ลุก ปวีณา วัลภา ลุกตาม
“อิจฉาหาเรื่องเหรอคะ คุณหญิงเข้าข้างยายชาเกินไปแล้ว”
คุณหญิงตวัดเสียง เริ่มโกรธ “แม่ไม่เข้าข้างลูก จะให้เข้าข้างใคร”
“ที่เรามาบอก ก็เพราะอยากให้คุณหญิงรู้จักลูกสาวตัวเองให้มันดีกว่านี้ จะได้สั่งสอนลูกตัวเองบ้าง” ปวีณาค่อน
คุณหญิงเพ็ญหันขวับมาหา “นี่กล้าหาว่าชั้นไม่สั่งสอนลูก ถอนหัวหงอกชั้นจะจะเลยเหรอ”
“อุ่ย คือ หนูไม่ได้หมายความถึงขนาดนั้นอ่ะค่ะ” ปวีณาไหว้ “ขอโทษค่ะ”
“พวกเธอนี่มันไร้สาระ น้ำเน่าจริงๆ”
คุณหญิงสะบัดตัวเดินออกไปเลย
วัลภาชะงัก “เฮ่ย..อะไรเนี่ย”
สามสาวหน้าเสีย ผิดหวังไปทั้งแถบ
ชาลินีรู้เรื่องจากปากคุณหญิงเพ็ญที่ลงนั่งก้นไม่ทันจะหายร้อน
“คะ นี่พวกมันกล้าไปหาแม่” หล่อนกระอึกกระอักชั่วนิดเดียว “กล้าเล่าเรื่องโกหกตอแหลว่าหนูกับแม่ขนาดนี้เชียวเหรอ ชาจะไปเอาเรื่องพวกมัน”
คุณหญิงเพ็ญกอดอกจ้องลูกสาวอยู่
“ไม่ต้องไปต่อความยาวสาวความยืดหรอก ชั้นก็ด่าเจ็บๆ ไปแล้วเหมือนกัน ดีนะว่าไปหาแค่ชั้น ถ้าพ่อแกรู้เรื่อง แกตายแน่ยายชา”
“อ้าว ไหนแม่ก็รู้ว่ามันเรื่องโกหก”
“จะโกหกโกเจ็ดอะไร ถ้ามันไม่มีมูล ยายสามคนนั่น คงไม่กล้ามาพูดกับชั้นหรอก แต่ชั้นขี้เกียจรำคาญ ไม่อยากขายหน้า แล้วก็ไม่อยากให้พ่อแกมาด่าชั้น หาว่าชั้นเลี้ยงลูกไม่ดีอีก”
ชาลินีผิดหวังอย่างรุนแรง มองคุณหญิงเพ็ญ
“อ้าว ที่แท้ แม่ห่วงตัวเอง” หล่อนแค่นหัวเราะ แดกดันมารดา “นึกว่าห่วงหนูเสียอีก”
“ทำไมชั้นจะดูลูกสาวตัวเองไม่ออก ว่าแกก็นิสัยเจ้าชู้เหมือนพ่อ แกระวังเถอะ ถ้าเรื่องงามหน้าหลุดไปเข้าหูท่านชายของแก”
ชาลินีตัวสั่นทันที ลุกพรวด
"ไม่ ไม่ได้เด็ดชาด ไม่มีวัน" ชาลินียิ้มหลอกตัวเอง "หรือถึงไปเข้าหูท่านชาย ท่านชายก็ต้องไม่เชื่อ ในเมื่อ ในเมือ มันเป็นเรื่องโกหก มันไม่ใช่เรื่องจริงเลยนะแม่ แม่ต้องเชื่อหนู"
คุณหญิงเพ็ญถอนใจอย่างแรง "แกก็จัดการเองแล้วกัน อย่าให้มายุ่งอะไรกับชั้นอีก"
คุณหญิงเพ็ญลุกเดินขึ้นห้องไป ชาลินีมือสั่น หอบหายใจรุนแรง โกรธถึงที่สุด
อ่านต่อตอนที่ 12