เงา ตอนที่ 16
ในระหว่างที่อิศรานุ่งผ้าขาวม้าอาบน้ำจากโอ่ง กางแขนราวปลดปล่อยตัวเองอยู่นั้น อรุณเดินมาทางหนึ่ง ชะงักมองเห็นว่าเจริญขวัญยืนหลบมองอิศราอาบน้ำอยู่
“ไอ้บ้า มาอาบน้ำยั่วสายตาขวัญด้วย ร้ายนักนะเว้ย ฮึ่ม”
เจริญขวัญมองอิศราด้วยสายตาที่อ่อนโยนลง ส่วนอิศราเรียนรู้การมีความสุขกับสิ่งง่ายๆ รอบตัว
ไม่นานต่อมา อิศราเปิดเต็นท์ออกมา ในเสื้อผ้าลำลองสบายๆ แป้งประตัว ประแก้มลายพร้อย ขณะที่ พุดกำลังจัดโต๊ะอาหาร ที่มีเก้าอี้สนามพร้อมนั่งรออยู่
“เอ้า มาเลยๆ ครับ คุณอิศ”
“น่ากินจังเลย”
“จุ๊ๆ คุณดวงแก้ว ฝากแกงเขียวหวานมาให้ชามหนึ่งด้วยครับ”
อิศรายิ้มดีใจ ที่ทลายกำแพงไปได้เปลาะหนึ่ง
“คุณอิศเล่นตื้อถึงลูกถึงคนแบบนี้ ผมว่า อีกไม่นานคุณขวัญต้องใจอ่อนแน่ๆเลยครับ”
“ผมก็หวังว่าอย่างนั้น”
“อย่ายอมแพ้ง่ายๆนะครับ มาครับมา ชนกันสักแก้ว”
พุดรินเหล้าขาวใส่จอกแก้วใบเล็กให้ อิศรารับมาดื่มถึงขั้นร้อนคอฉ่า
“อ่า...”
อรุณเดินมา กอดอกมอง ความสนิทสนมของพุดกับอิศรา พุดกำลังหัวเราะยกแก้วดื่ม
“ลุงพุด” อรุณทักขึ้น
“ชะอุ้ย คุณรุณ”
“อะไรครับเนี่ย ก๊งกัน สนินสนมกันเหลือเกินนะครับ”
“อุ้ยๆ คุณรุณ อย่างอนครับ นั่งก่อนครับ”
“ไม่”
“น่า...นะ”
อิศราแกล้ง ท้าทาย “อย่าชวนเลยครับ น้องอรุณน่ะยังเด็ก คอยังอ่อน ไม่กล้ามาชนแก้วแบบเราๆ ผู้ใหญ่ที่โตแล้วหรอก”
อรุณฉุนกึก ก้าวมานั่งคร่อมเก้าอี้ ตาจ้องอิศราเขม็ง
“ใคร...ใครว่า ผมเด็ก ลุงพุดครับ ขอผมแก้ว”
“ได้เลยครับ” พุดรินให้ “นี่ครับ”
อรุณยกแก้วดื่มรวดเดียวแล้วเกิดอาการร้อนคอ ไอแค่กๆ พุดแอบยิ้ม อิศราขณะยกแก้วดื่มมองอรุณยิ้มๆ
แก้วเป๊กสามใบชนกัน อิศรา กับ อรุณเริ่มเมา แต่อรุณหน้าแดงก่ำ เมามากกว่า พุดคอแข็งกว่าใครคอยรินเติมให้พลางดูแลไปพลาง
“เอ้า ชนๆ ครับ โชนๆ”
อรุณดื่ม เมาอ้อแอ้ “เฮ่ย...มันบาดคอ”
อิศรามึนหน่อยๆ “เห็นมั้ย ว่าแล้ว ว่าคออ่อน”
“อย่า อย่ามาทำพูดมาก..เดี้ยวปัด ชก” อรุณลุกยืนโงนเงน
พุดกำลังอ้าปากจะกรอกเหล้าเข้าปากต้องวางแก้วรีบลุกดึงตัวอรุณไว้
“โอ๊ะๆ อย่าครับ อย่า ลูกผู้ชาย ดื่มเหล้าด้วยกันแล้ว คอเดียวกันครับ ต้องเป็นเพื่อนกันครับ ห้ามตีกัน”
อรุณอ้อแอ้ “พ๊มม่ายอยากเป็นเพื่อนกับมัน”
“ชั้น..ก็ไม่อยากเป็นเพื่อนกันนาย”
“งั้น ชก..ช๊ก ชก ชก” อรุณลุกอีก เงื้อมือยืนแอ่นไปมา
“โอ๊ย อย่าๆ อย่าครับ” พุดจะกินเหล้าโดนขัดคอ ต้องลุกดึงตัวไว้จับนั่งอีก “แหม เมาแล้วหาเรื่องนะคุณรุณ”
“ทำไมนายทำอย่างนี้วะ ทำไม นายหลอกขวัญได้ ห๊ะ ขวัญ เป็นคนดี ดีแสนดี กว่านาย นายมัน คนเลว” อรุณด่า
“เออ เคยเลวก็ได้ แต่...ตอนนี้ ไม่เลวแล้ว”
“ไม่เชื่อ!! ช๊ก ชก ชก” อรุณลุกอีกเงื้อมือ ยืนโงนเงน
“โอ๊ย” พุดลุกดึงตัวไว้จับนั่งอีก “เดี๋ยวปั๊ดปล่อยให้ชกเลยนี่จะได้ดื่มได้มั่ง”
อรุณจ้องอิศรา “นาย..ไอ้คนหลอกลวง”
“ไม่ได้หลอกแล้ว กลับใจแล้วโว๊ย” อิศราโต้
“ไอ้นิสัยไม่ดี”
“ดีแล้วโว๊ย” อิศราเถียง
“เอ้า เถียงกันไปนะ” พุดไม่สนแล้วยกแก้วดื่ม
เวลาต่อมา อิศรา กะ อรุณ กอดคอร้องเพลงด้วยกันด้วยความเมา มีพุดเคาะให้จังหวะ
สองหนุ่มร้องเพลงฮิตของหญิงลีมั่วโครตๆ ท่าทีน่าขำ พุดให้จังหวะไปขำไป
ในขณะที่อิศรา อรุณ และพุด ร้องเพลงโหวกเหวกอยู่นั้น เจริญขวัญเปิดประตูออกมา กอดอกยืนดูใบหน้าเคร่ง ดวงแก้ว มีผ้าสไบขาวคลุมบ่าห่มตัวเดินตามออกมา
“อะไรของเขานะ แม่สวดมนต์อยู่ ตกใจหมด”
“นั่นสิคะ ขวัญก็นอนไม่หลับ เดี๋ยวขวัญไปบอกให้เลิกเองค่ะแม่”
ดวงแก้วจับแขน “ไม่เป็นไรลูก อย่าไปยุ่งกับคนเมาเลย พรุ่งนี้ค่อยเตือนตอนสร่าง คุยรู้เรื่องดีกว่า”
“มาแล้ว เอะอะโวยวาย ยุ่งไปหมด รุณกับลุงพุดก็พลอยเป็นไปด้วย ทำไมไม่กลับกรุงเทพฯ ไปอยู่บ้านที่เขาอยากได้นั่นนักหนานั่นซะนะคะ”
ดวงแก้วยิ้มบางๆ หันมองเจริญขวัญ พูดเป็นเชิงเตือนสติ “นั่นน่ะสิ บ้าน ลูกก็ยกคืนเขาไปแล้ว เขาจะมาตามง้องอนหนูอยู่ทำไมกันนะ”
เจริญขวัญชะงัก ดวงแก้วปรายยิ้ม ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เดินกลับเข้าบ้าน
เจริญขวัญมองมาทางอิศรา ยิ้มบางๆ ในสีหน้า
ไม่นานต่อมา อิศรา อรุณ นั่งเมาพิงกันกลายเป็นเพื่อนกันซะแล้ว พุดดื่มไป ลอบมองสองหนุ่ม
“นายรู้มั้ย เวลาที่ขวัญ..เอิ๊ก...เสียใจ ใคร๊..ใครเสียใจยิ่งกว่านี่!! เรานี่” อรุณพูดไปสะอึกไป
อิศราโอบบ่า “เข้าใจ...เข้าจาย”
“ไม่! นายไม่มีวันเข้าใจ...เรานะ...เอิ๊ก รักขวัญ มาก่อนนายซะอีกแล้วนาย...กลับมาหลอก ทำร้าย คนที่เรารัก”
“เรา..ขอโทษ เรา จะไม่ทำอีกแล้ว”
“ฮึ..นายไม่มีวันรู้หรอก...มันเจ็บ รู้มั้ย..เรารักขวัญ แต่ขวัญ ไปรักนายขวัญไม่รักเราเลย” อรุณเศร้าผสมเมาจนร้องไห้ออกมา “ขวัญไม่ได้ รักเรา ฮือๆๆ”
อิศราโอบบ่าตบบ่าปลอบโยน “โอ๋ๆ อย่าร้องไห้ไปเลยนะ...โอ๋ๆ”
อรุณร้องไห้มีอิศรากอดบ่าปลอบ พุดมองพลางส่ายหน้าขำ
อิศราคลานเข้ามาฟุบลงนอนกับพื้นผ้านวมในเต็นท์ ตามด้วยอรุณ ที่มีพุดแบกโยนเข้ามา นอนเคียงอิศรา ตาพุดมองสองหนุ่มขำๆ
“หึๆ เถียงกันดีนัก เดี๋ยวจะช๊ก จะชก เดี๋ยวก็ร้องไห้ใส่กัน นอนด้วยกันไปเลยแล้วกันนะครับ ฮ่าๆ”
ตาพุดมุดหัวออกไปปิดเต้นท์เรียบร้อย อ้าปากหาวเดินออกไปจากเต้นท์
อิศรากะอรุณ หลับเคียงกัน กรนสนั่นทั้งคู่ อรุณพลิกเอาขาพาดขาอิศรา อิศรายกมือเกาอกแล้วพาดแขนเหยียดไปทับอกอรุณ หลับสนิททั้งคู่
พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า สาดแสงแรกของวัน หยดน้ำค้างเกาะที่ใบไม้ นกบินว่อนบนท้องฟ้าภายในเต็นท์ อรุณนอนหนุนแขนอิศราหันหน้าไปอีกทาง
โรจน์เปิดเต็นท์มุดหัวเข้ามาดูด้วย งุนงงในตอนแรกแล้วหัวเราะ
“ฮ่าๆ วู้ บ้านมีไม่นอน มานอนในเต้นท์ วู้ ฮ่าๆ”
สองคนนอนกรนอยู่ ยินเสียงหัวเราะแล้วค่อยๆ ลืมตา ต่างคนต่างหยีตามองช่างโรจน์ แล้วทั้งคู่หันมามองกัน ก่อนหันกลับทำท่าจะหลับกันต่อแล้วนึกได้ หันมามองกัน สองคนตกใจ อ้าปากร้อง
“เฮ่ย”
โรจน์ตกใจ ร้องด้วย “เหวอ”
โรจน์แหกปากร้องลั่นอย่างตกใจ วิ่งวนไปวนมาหน้าเต็นท์
ไม่นานต่อมา โรจน์เอาเหรียญพระจากย่ามที่สะพายมา ใส่มือดวงแก้วยิ้มกว้าง
“เอามาให้” หันมาทางตาพุด “อ๊ะ ให้” แล้วหันมาให้เจริญขวัญ “อ่ะ ให้”
ดวงแก้วไหว้ “สาธุ แล้วยังไงเอาพระแจกจ้ะ”
“เมื่อวานมีงานที่วัด ไม่เห็นพวกคุณไป ฉันเลยขอท่านเจ้าอาวาสมาให้เอาไว้คุ้มครอง แต่มีพระอย่างเดียว ไม่ทำความดี ไม่สวดมนต์ ก็ช่วยไม่ได้นะ....จาบอกห้าย”
“ขอบคุณมาก ทานข้าวมาหรือยัง พี่พุด พาไปหาพี่ปลั่งหน่อยไป”
“ครับผม” พุดโอบคอโรจน์ “มาๆ เพื่อนเลิฟ ไปกินข้าว”
โรจน์ค้อน “ฮึ ใครเป็นเพื่อนแก”
สองคนเดินกันไป
เจริญขวัญชะเง้อมองไปทางเต็นท์ แต่ไม่เห็นใคร ดวงแก้วมองตาม รู้ใจลูก
อรุณยืนบนรถ ช่วยตาพุดและคนงานลำเลียงถุงปุ๋ยลงจากรถกระบะ มีดวงแก้ว กับเจริญขวัญยืนดูอยู่ อิศราเดินต่อคิวมาช่วยรับถุงปุ๋ย พอเงยมองสบตากับอรุณ สองคนทำท่า ขนลุกขนพองแทบจะพร้อมกัน
“ยี้” / “บรื๋อว์”
พุดขำแต่ส่งถุงปุ๋ยให้อิศรา
“แบกไปดีๆ นะครับคุณอิศ”
อิศรารับมาหันไปป๊ะสายตาอรุณอีก สองคนก็ทำท่าขนลุกขนพองใส่กันอีก
“ยี้” / “บรื๋อว์”
อิศราแบกถุงปุ๋ยไป เจริญขวัญมองตลอด เดินมาจนใกล้พุดที่หัวเราะขำคิกคักอยู่
“อะไรกันน่ะ ลุงพุด”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่ จับเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกัน ฮ่าๆ กลายเป็นแมวไปแระ ฮ่าๆ”
เจริญขวัญงง
อีกฟาก ในห้องอาหารอันหรูหราในคฤหาสน์หลังใหญ่โตโก้หร่าน คุณหญิงเพ็ญ และ นายพลบัญชา นั่งกินข้าวกันอยู่คนละมุม ต่างคนต่างทานโดยไม่คุยกัน มีแต่ความเย็นชามอบให้กัน
บนโต๊ะเป็นเมนูอาหารฝรั่ง ไข่ดาว แฮม ไส้กรอก กาแฟ คุณหญิงเพ็ญทานละเลียด นายพลบัญชาหั่นอาหารจิ้มทานรวดเร็ว
ระหว่างนี้ ชาลินีเข้าห้องมาในชุดนอน สาวใช้ตามมา เอากาแฟมาวางให้
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณพ่อคุณแม่”
นายพลบัญชาปรายตามองยังดูขุ่นเคือง และเย็นชา ส่วนคุณหญิงแทบไม่มองชาลินี
“แล้วไง เรื่องแกกับท่านชายนั่น”
ชาลินีเยื้อนยิ้ม “ก็...เรื่อยๆ ค่ะ”
“ชั้นเอาแกใส่พานไปถวายให้ขนาดนี้ ต้องให้ทำพิธีไปสู่ขอผู้ชายให้ด้วยหรือไง ไหนว่าจะรับผิดชอบ ไหนล่ะ”
“ก็...” ชาลินีโกหกหน้ายิ้มๆ “กำลังคุยๆ กันอยู่ค่ะ”
บัญชากระแทกส้อม ถอนใจแรง
“คุยๆ เฮอะ” ท่านนายพลลุกมองภริยา “คนเป็นแม่ จัดการลูกสาวตัวเองซะบ้างนะ”
“ชีวิตเขา ดิฉันจะไปบงการอะไรเขาได้คะ”
“เฮอะ”
ท่านนายพลเดินออกไป ชาลินีนั่งนิ่ง อัดอั้นหันมาหามารดา
“เอ้อ แม่คะ”
คุณหญิงวางส้อมหน้าเครียด ลุกเดินออกไปอีกคน ทิ้งชาลินีไว้คนเดียว
เด็กๆ 4 คน วิ่งเล่นเตะส่งบอลกันอยู่อย่างสนุกสนาน
ขณะอรุณ และ เจริญขวัญเดินผ่านเด็กๆ คุยกันมา
“นายอิศรา อยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน”
“จะให้ขวัญ ทำยังไงล่ะ ก็เขาไม่ยอมไป”
“ขวัญไล่เขาไปก็ได้ ไม่ยอมให้เขาทำงานด้วยก็ได้ ขวัญไม่ทำเองต่างหาก”
เด็กๆ เตะบอลเล่นกันอยู่ บอลกลิ้งไปเด็กวิ่งตามจนใกล้สระน้ำในไร่ ลูกบอล ตกไปลอยในน้ำ
ฝ่ายอรุณหยุดหันมามองหน้าเจริญขวัญ บอกอย่างจริงจัง
“ขวัญน่ะใจอ่อนเกินไป ยอมให้ไอ้หมอมาหลอกปั่นหัวขวัญ ไม่ใช่แค่ขวัญ อาดวงแก้ว ลุงพุด ป้าปลั่ง โดนมันใช้เสน่ห์ปั่นหัวกันทั่วหน้า”
“รุณก็พูดเกินไป ว่าแต่เมื่อคืน ลุงพุดทำอะไร รุณกับเขาน่ะ เจอหน้ากันถึงร้องยี้ๆ”
อรุณอึ้งแล้วพูดเสียงอ่อยๆ ท่าทีหงุดหงิดไม่หาย
“เราเมา หลับไปไม่รู้ตัว ตื่นมา เจอหน้าไอ้พี่ตัวดีของขวัญนอนในเต็นท์ด้วยกัน ..บรื๋อ ยี้”
เจริญขวัญชะงักตาโต มองหน้าอรุณแล้วหัวเราะออกมาเต็มเสียง
อรุณพลอยยิ้มไปด้วย ขำตัวเอง
ยินเสียงดังตูม เหมือนมีคนตกน้ำ
อรุณ กับเจริญขวัญหันขวับไปตามเสียงด้วยสีหน้าตกใจ
เห็นร่างเด็กคนหนึ่ง ผลุบๆ โผล่ๆ ในน้ำ เด็กหญิงและเด็กอีกสองคนร้องบ้าง ตะลึงบ้างข้างสระ
เจริญขวัญ กับอรุณวิ่งมาตกใจ
“จ๊อด”
“พี่จ๊อดเป็นตะคริวค่ะ” น้องสาวบอก
เจริญขวัญตกใจหันไปทางอรุณ “รุณ”
อรุณเข้าใจ รีบถอดรองเท้า แต่ยิ่งรีบกลับยิ่งช้า
“เร็วเข้าสิรุณ เดี๋ยวจ๊อดก็ตายหรอก”
อรุณเซนั่งยกเท้าถอดรองเท้าผ้าใบทุลักทุเล
ร่างจ๊อดผลุบดำลงใต้น้ำท่าทางจะแย่ เจริญขวัญตกใจ หัวใจเต้นแรงจนกลายเป็นหอบ เอามือแตะอกตัวเอง ทรุดลงนั่งคุกเข่ากับพื้นแต่สายตายังคงมองไปอย่างห่วง
ฉับพลัน พระเอกโผล่มา อิศราวิ่งมาจากหนึ่ง สลัดรองเท้าแตะ แล้วกระโดดพุ่งหลาวไปในน้ำ เจริญขวัญหันไปมองในสระ เห็นอิศราดำผุดดำว่ายเหลียวหาจ๊อด แล้วมุดดำลงไปในน้ำ
อรุณ ชะงักงัน ถอดร้องเท้าไม่ทัน เลยลุกมายืนคู่เจริญขวัญมองในสระ
อิศราโผล่หัวขึ้นมา แล้วดำลงไปอีกที เด็กๆ มากอดเจริญขวัญลุ้นอย่างตกใจ
ครู่เดียวนั้นเอง อิศราอุ้มเด็กจ๊อดมาวางลงบนพื้นตัวเปียกทั้งคู่ จ๊อดหลับตานิ่งอิศรารีบเป่าปากช่วยหายใจ
ทุกคนมุงล้อมดู ทั้งตกใจ และลุ้น
ครู่หนึ่งเด็กจ๊อดสำลักน้ำพรวดออกมาได้ ทุกคนโล่งใจ อิศรายิ้มดีใจ เจริญขวัญปราดเข้าไปประคองจ๊อดให้นั่งพิงตัวเอง
“จ๊อด เป็นยังไงบ้าง จ๊อด”
จ๊อดไอโขลกๆ หันมากอดเจริญขวัญร้องไห้อย่างตกใจ แต่เจริญขวัญดีใจที่เด็กจ๊อดรอดตาย เงยหน้ามายิ้มสบตากับอิศราที่ยิ้มตอบ
อรุณยืนมองอยู่ รู้ตัวว่าพ่ายแพ้อีกครั้ง แต่บัดนี้เริ่มทำใจยอมรับได้บ้างแล้ว
ต่อมา เด็กๆ นั่งเล่นพับกระดาษกันบนแคร่ จ๊อดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว นั่งเล่นอยู่ในกลุ่ม อิศราเปลี่ยนชุดแล้ว ผมยังหมาดๆ เดินเอาผ้าขาวม้าซับผมมาลงนั่ง
“ไงนายจ๊อด เล่นซะทุกคนตกใจแทบตาย”
จ๊อดหัวเราะ อิศราเมียงมองดู เด็กที่พับนกกันอย่างสนใจ
“พับนกนี่ที่พี่ขวัญสอนใช่ไหม”
“ใช่ค่า” / “ใช่ครับ” เด็กๆ บอก
“ไม่น่ายากเนอะ”
เด็กคนหนึ่งเอากระดาษส่งให้พับ อิศรารับมาแล้วหัวเราะ
“ไหน พี่ลองทำดูด้วยก็ได้”
อิศรานั่งพับกระดาษ พลางถามเด็กๆ ให้ช่วยสอนว่าพับอย่างไร บรรยากาศอบอุ่น ทุกคนเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้น อิศรายิ้มแย้มมีความสุข
“ไหนพับไงนะ แบบนี้เหรอ ยังไงล่ะ”
เจริญขวัญเดินเข้ามาข้างต้นไม้ หยุดยืนมอง เห็นอิศรานั่งเล่นพับนก หัวเราะหัวใคร่อย่างมีความสุข
เจริญขัญลอบยิ้ม แล้วจู่ๆ รู้สึกเจ็บหน้าอก อาการโรคหัวใจกำเริบ
เจริญขวัญพลิกตัวหันมาพิงต้นไม้ สูดลมหายใจยาว หวาดกลัวเล็กน้อย โดยทางด้านหลังเป็นอิศรากับเด็กๆ
“ไม่...เราต้องไม่เป็นอะไร”
เจริญขวัญเหงื่อซึมทั่วใบหน้า สูดลมหายใจลึกๆ พยายามช่วยตัวเองตามเคย
ฝ่ายอิศราพับเสร็จชูนกขึ้นกลางอากาศ
“นี่ เสร็จแล้ว สวยมั้ยล่ะ”
นกผลงานของอิศรา ยังไม่ค่อยสวยนัก เด็กๆ หัวเราะขบขัน
“ทำไมล่ะ นี่นกพิเศษ พันธุ์คอบิด ไม่เคยเห็นหรือไง”
เด็กๆร้องบอก “ไม่เคย...”
“ก็นี่ไงล่ะ ดูไว้เลย”
อิศราวางนกลงบนแคร่ สักครู่หนึ่ง มีนกอีกตัวพับสวยกว่า ถูกวางลงด้วยมือเจริญขวัญ อิศราเห็น ชะงัก หันไปมอง เจริญขวัญกอดอกยืนยิ้มอยู่
“ขวัญ” อิศราลุกพรวดยืน ด้วยความดีใจ
“นั่นมันนก หรืองูเก็งกองคะ”
เด็กหัวเราะยกใหญ่
เจริญขวัญเดินมาใต้ต้นไม้ของพ่อ อิศราตามมา ท่าทีดูสุภาพกว่าอิศราคนเดิม
“ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยชีวิตนายจ๊อด”
อิศรายิ้ม ถ่อมตัวมากขึ้น
“ขวัญถามจริงๆ จะอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหนคะ”
“ขวัญจะไล่พี่อีกเหรอจ๊ะ” ชายหนุ่มก้มหน้าแอบชำเลือง “ถึงไล่พี่ก็ไม่ไป”
เจริญขวัญพูดเหมือนคราง “พี่อิศ ยังต้องการอะไรอีก” มีกระแสความน้อยใจเจือในตอนท้าย
อิศราชะงัก เงยมอง ตื้นตัน “พี่อิศ” เขาคลี่ยิ้มสีหน้าเต็มตื้น
เจริญขวัญหลบตา ยังคงมีแววน้อยใจ
“ท่านชายเคยถามพี่ว่า พี่ได้ทำอะไรให้สมกับคุณค่าของขวัญหรือยัง ถ้าการที่พี่ทำงานในไร่ ยอมทำทุกอย่างที่ขวัญบัญชา ไม่ว่าจะกี่เดือนกี่ปี พี่ก็จะทำ เพื่อขอให้ขวัญ กลับมาไว้ใจพี่อีกครั้ง”
อิศราล้วงกระเป๋า หยิบกระดาษที่พับเป็นสี่เหลี่ยมออกมา
“จำได้ไหมจ๊ะ ว่านี่คืออะไร ใบโอนกรรมสิทธิ์ ที่ขวัญเซ็นทิ้งไว้เพื่อยกบ้านคุณย่าให้พี่”
อิศรายิ้ม พับกระดาษไปมา เจริญขวัญมอง สุดท้ายอิศราพับเป็นเครื่องบินกระดาษ แล้วปาออกไป
เครื่องบินกระดาษลอยหายไป
“พี่ ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น นอกจาก...”
อิศราทรุดตัวคุกเข่าและเอื้อมมือมาจับมือเจริญขวัญ ที่กำลังตกใจ
“พี่อิศ”
“ขอให้ขวัญยกโทษให้พี่”
“พี่อิศ ลุกขึ้นเถอะค่ะ”
“ไม่ จนกว่าขวัญจะบอกว่า ยกโทษให้พี่”
“ค่ะๆ ยกโทษให้ ลุกขึ้นเถอะค่ะ”
“ไม่”
เจริญขวัญงง “อ้าว”
“ขวัญต้องยอมรับรักของพี่ก่อน”
“อะไรกัน ขอตั้งหลายอย่าง” เจริญขวัญสะเทิ้น ขัดเขินไปหมด “ลุกขึ้นเถอะค่ะ”
อิศราไม่ยอม “บอกก่อน ว่า ขวัญยังรักพี่”
“เอ๊ะ เมื่อกี้ไม่ได้ถามคำนี้นี่นา”
“ก็เหมือนกันแหละ ขวัญบอกก่อน ว่ายอมรับรักของพี่ เพราะขวัญก็รักพี่เหมือนกัน ไม่งั้นพี่ไม่ยอมลุกด้วย...ขวัญก็รู้ว่าพี่ทำจริง ว่าไงจ๊ะ”
เจริญขวัญหน้าแดง พยักหน้านิดๆ
อิศราหัวเราะดังก้อง กระโดดลุก กางแขนแหงนหน้ากู่ก้องร้องขึ้นฟ้า
“ไชโย ขวัญรับรักพี่แล้ว วู้”
เจริญขวัญกึ่งเขินกึ่งตกใจ
“พี่อิศ”
อรุณกำลังเดินตามหาเจริญขวัญชะงัก
ยินเสียงอิศรา “ขวัญรับรักพี่แล้ว”
คำพูดนั้นกระแทกเข้าหน้าอรุณจังๆ สีหน้าเด็กหนุ่มหมองลง รู้ว่าแพ้แล้วอย่างหมดข้อกังขา และเริ่มทำใจได้
“โชคดีนะขวัญ”
อรุณยิ้มเศร้ากับตัวเอง หันหลังกลับไปทางที่มา
อิศราหัวเราะอย่างสดใสหันมา มองเจริญขวัญที่ทั้งเขินทั้งขำ
“พี่อิศน่ะ”
อิศราเดินยิ้มแก้มแทบแตก ตรงมาหาเจริญขวัญ โอบแขนเข้ารอบกอดตัวเจริญขวัญ
“ขวัญจ๋า พี่จะไม่มีวันทำให้ขวัญเสียใจอีกแล้ว”
อิศรายิ้มกอดเจริญขวัญแนบแน่น
ใบหน้าของเจริญขวัญที่ชิดบ่าของอิศรา ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข แต่แล้วครู่หนึ่งก็รู้สึกหัวใจเต้นแรงอีก เจริญขวัญตื่นกลัว ซ่อนอารมณ์ อิศราไม่รู้เรื่อง มีความสุขอย่างเดียว
“ขวัญรู้มั้ย นี่แหละ ที่พี่ต้องการ บ้านของพี่ คือขวัญ คนเดียวเท่านั้นพี่รักขวัญนะจ้ะ”
เจริญขวัญน้ำตาคลอ สุขปนทุกข์ กับร่างกายอันอ่อนแอของตัวเอง
อ่านต่อหน้า 2
เงา ตอนที่ 16 (ต่อ)
ถัดจากนั้นไม่นานนัก อิศราพูดมือถือ อยู่หน้าเต็นท์ สีหน้าและน้ำเสียงตื่นเต้นถึงขีดสุด
“ท่านชายต้องช่วยผมแล้วล่ะครับ”
ท่านชายวสวัตนั่งอยู่บนเก้าอี้ ที่ตั้งอยู่ตรงหน้ากรอบหน้าต่างในห้อง ร่างท่านชายย้อนแสงเห็นเป็นเงา เหงา และดูโดดเดี่ยวเหลือเกิน
“อะไรหรือ” ท่านชายพูดด้วยจิต
อิศรายังตื่นเต้นอยู่อย่างนั้น “ผมพูดกับขวัญแล้ว ขวัญยอมยกโทษให้ผมแล้ว”
สีหน้าท่านชาย ขรึมเศร้าและสงบ “ก็ดีแล้วนี่”
“แต่ จะคุยกับอาแก้วนี่สิครับ ผมไม่กล้า ท่านชายครับ กราบล่ะ ช่วยมาเป็นผู้ใหญ่ให้ผม..เป็นคนการันตี ว่าผมจะเป็นคนดีที่อาแก้วจะไว้ใจ ยกลูกสาวให้ได้น่ะครับ”
ท่านชายอึ้ง
ยินเสียงอิศราดังมาว่า “นะครับท่านชาย”
ท่านชายนิ่งอยู่อย่างนั้น
ขณะเดียวกันชาลินี สวมแว่นดำเดินเข้ามาในห้องโถง หยุดมองหาท่านชาย สิริก้าวออกมา ชาลินีทำเป็นไม่สนใจ จะเดินต่อไป สิริขวาง
“ท่านชายไม่อยู่”
ชาลินีถอดแว่นมอง ปรายยิ้มเยาะ “ดีนะ รู้จักรายงานก่อนถามแล้ว คงรู้แล้วสิ ว่าอีกหน่อยที่นี่จะมีเจ้านายเพิ่ม”
สิริมองดุ เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ยิ้มแสยะ ชาลินีสยอง อดถอยหลังไม่ได้แต่ทำใจสู้
“แล้วท่านชายไปไหน”
“ท่านชายไปหา...” น้ำเสียงสิรินอบน้อมเมื่อเอ่ยชื่อต่อมา “คุณเจริญขวัญ ที่บ้านไร่”
ชาลินีชะงัก
“ว่าไงนะ ไปที่ไหนนะ”
สิริแยกยิ้มมากขึ้น ก้าวเข้าใกล้ บอกอย่างจงใจ
“ท่านชาย ไปหา มนุษย์ที่งามเพียบพร้อม ผู้คู่ควรแก่การยกย่อง”
ชาลินีโกรธ จนตัวสั่น หันกลับเดินออกไปอย่างรวดเร็ว สิริมองตาม พูดกับตัวเอง
“ไปสิ ตามไป จะได้รู้ ว่าท่าน คือใคร”
ท่านชายมาถึงบ้านไร่แล้ว กำลังเดินเข้ามามองเต็นท์ ภุมมะเดินตามหลังมาหยุดที่หน้าเต้นท์
แต่ท่านชายเดินเรื่อยๆ ต่อมาจนถึงต้นไม้ที่หน้าแคร่หยุดยืนนิ่ง
เจริญขวัญเดินออกมาจากบ้าน ชะงักเมื่อเห็นท่านชาย
ท่านชายวสวัตหันมาช้าๆ แววตาเศร้าเหลือเกิน เจริญขวัญเห็นสายตานั้นก็ชะงัก จนเมื่อท่านชายส่งยิ้มให้ แววเศร้าในตาจางหายไป เจริญขวัญรีบดุ่มเดินมาหา เจริญขวัญหยุดไหว้อย่างนอบน้อมยินดี
“ท่านชาย สวัสดีค่ะ”
ท่านชายรับไหว้ ยิ้มนุ่ม สบตากับเจริญขวัญ
ท่านชายนั่งที่แคร่รออยู่ก่อน ขณะเจริญขวัญเดินเอาน้ำมาวางให้
“ขอบใจ”
“แม่กับพี่อิศ ไปทำงานในไร่ค่ะ”
“คุณทำให้อิศราเปลี่ยนไปมาก เรื่องของคุณกับอิศรา คงจะเป็นไปด้วยดีสินะ”
เจริญขวัญกึ่งเขินกึ่งเศร้า “ก็...”
ท่านชายมองเข้าใจ ยิ้มเศร้า “บางครั้งมนุษย์ก็ควรหาความสุขในทางที่ถูกที่ควรให้เต็มที่” พญายมราชในคราบมนุษย์มองเป็นเชิงเตือน “ตักตวงความสุข ความทรงจำที่ดีไว้ ในขณะยังมีเวลา”
เจริญขวัญชะงัก แทงใจดำกับอาการเจ็บอกบ่อยๆ ในระยะหลังมานี้
“แล้วท่านชายล่ะคะ ความสุขของท่านชายคืออะไร”
ท่านชายเยื้อนยิ้ม “ฉันเหรอ ฉันมีแต่งาน มีแต่ความรับผิดชอบ ที่ไม่มีวันหยุด”
“ท่านชายมีเพื่อนมากไหมคะ”
ท่านชายหัวเราะเบาๆ “คงไม่มีใครอยากได้เพื่อนอย่างฉันนักหรอก”
“คุณอิศรา ไม่ใช่เพื่อนหรือคะ”
“เขาคิดอย่างนั้น แต่เขาอาจจะไม่ตั้งใจมากกว่า”
“แต่ท่านชายก็ยังอุตส่าห์มาถึงที่นี่ ตามที่พี่อิศราขอร้อง”
“ฉันไม่ได้มาเพื่อเขาอย่างเดียว” ท่านชายทอดสายตาอ่อนโยนมายังเจริญขวัญ “แต่เพื่อเธอด้วย”
“ขอบคุณค่ะ”
เจริญขวัญตื้นตัน สบตาอ่อนโยนอมเศร้าของท่านชายอย่างสะดุดใจ
“ทำไม ขวัญรู้สึกว่า ท่านชาย...เหงาเหลือเกิน”
ท่านชายชะงัก สบตาเจริญขวัญ ประหลาดใจกึ่งอบอุ่นกึ่งเศร้า แต่ก็คล้ายยอมรับ
“ใช่ แต่ฉันเลือกไม่ได้”
“งั้น จะรับขวัญเป็นเพื่อนได้ไหมคะ”
ท่านชายลุกยืนเพื่อซ่อนแววตา เจริญขวัญลุกตาม
“วันหนึ่ง เธออาจเสียใจที่พูดแบบนี้”
“ไม่ค่ะ ไม่ว่าวันนี้ หรือ วันหนึ่งข้างหน้า ขวัญก็อยากให้ท่านชายรู้ว่า ท่านชายก็ยังมีเพื่อนอยู่อีกคนหนึ่ง”
“ขอบใจ...ขอบใจมาก” ท่านชายเบือนหน้าหนี
เจริญขวัญมอง แล้วยื่นมือเรียวบางไปหา หมายจะให้จับมือ ท่านชายมองมือแล้วมองหน้าเจริญขวัญ
เจริญขวัญยิ้มสว่าง “สัญญาเป็นเพื่อนกันไงคะ”
“ไว้ สักวันเถอะ ฉัน จะยื่นมือให้เธอจับ”
“ขวัญจะคอยค่ะ”
ท่านชายมองเจริญขวัญ ยิ้มอบอุ่นระคนเศร้า เจริญขวัญยิ้มตอบ
ชาลินีมาได้เห็นจังหวะแบบนี้เสมอ หล่อนมีกระเป๋าถือใบงามหรู ก้าวมาหยุดมอง ค่อยๆ ถอดแว่นออกมองตะลึง ด้วยแรงริษยา เมื่อเห็นท่านชายยิ้มให้กับเจริญขวัญอย่างอบอุ่นอ่อนโยน ที่หล่อนไม่เคยได้รับมัน
มือชาลินีข้างที่ถือแว่นตกลงข้างตัว มันสั่นน้อยๆ กำแว่นแน่น
ชาลินีอิจฉาริษยารอยยิ้มอบอุ่นของท่านชาย ด้วยแต่ละครั้งที่ท่านชายมองหล่อน มีแต่รอยยิ้มเรียบเย็นเย้ยหยัน ชาลินีน้ำตาคลอ เจ็บแค้นเหลือประมาณ แต่ยังวางใบหน้าเย่อหยิ่งถือดีดังเคย
ท่านชายและเจริญขวัญหันไปมอง เห็นชาลินียืนมองอยู่
เจริญขวัญทักทาย “อ้าว คุณชาลินี มาด้วยเหรอคะ”
ท่านชายหันมองชาลินีหน้าเคร่งปนดุ ไม่พอใจที่ชาลินีตามมา หล่อนรีบปั้นหน้ายิ้ม
“ชาไปหาท่านชายที่วัง ทราบว่ามาที่นี่เลยถือโอกาสตามมาค่ะ จะมาดูนายอิศซะหน่อย ว่ากลายเป็นหนุ่มชาวไร่ไปแล้วหรือยัง”
รถกระบะดวงแก้วแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน อิศรายืนท้ายรถส่งเสียงมาก่อนลงเพราะเห็นแต่ไกล
“วู้ ท่านชายครับ”
ดวงแก้วลงมายืนตะลึง อิศรากระโดดข้ามรั้วมาหาท่านชาย ยิ้มกว้างอย่างดีใจ
ท่านชายหันมองดวงแก้วที่มองมาอย่างตกใจหน่อยๆ ยิ้มบางๆ ไปให้
ท่านชายนั่งเก้าอี้ติดขอบระเบียง มีดวงแก้ว และอิศรา นั่งอยู่ด้วยกัน
“ผมโทร.เรียนเชิญท่านชายมา ก็เพื่อขอให้ท่านเป็นพยานคำพูดของผม”
ดวงแก้วหันมองไปทางท่านชาย แววตาสงสัยและหวั่นหวาด พยายามซ่อนอารมณ์
“ปกติ มันไม่ใช่หน้าที่ของฉัน แต่ครั้งนี้ ฉันมาในฐานะ เพื่อน”
อิศรายิ้มยินดี แล้วหันมาพูดอย่างจริงจัง
“อาดวงแก้วครับ ผมอาจจะเป็นคนไม่ดีมามากมาย แต่ขวัญเป็นดี ดีเสียจนผมบอกตัวเองว่า ผมต้องพยายามทำตัวเป็นคนดีเพื่อขวัญ”
“แต่คุณก็รู้ ว่ายายขวัญไม่แข็งแรง แกต้องผ่าตัด ซึ่งมันก็มีความเสี่ยง”
“นั่นแหละครับ ผมถึงไม่อยากจะรออะไรอีกแล้ว ผมอยากดูแลขวัญไปจนชั่วชีวิต อาแก้วครับ ขวัญและผม เรารักกัน”
ดวงแก้วมองอิศราเห็นความตั้งใจจริง
“ผมอยากจะขอหมั้นน้องขวัญไว้ก่อน อีกสักอาทิตย์ผมจะจัดผู้ใหญ่มา ขอตามประเพณี ระหว่างผ่าตัด ผมจะได้คอยดูแลขวัญได้อย่างเต็มที่” อิศรายิ้มแววตาฝัน “พอขวัญหาย ก็ค่อยจัดงานแต่งงานกัน”
ดวงแก้วมองนิ่ง “ถ้าคุณรักยายหนูจริง อาก็ยินดียกให้ แต่ถ้าคุณเห็นว่ายานหนูเป็นเพียงผลพลอยได้ของตึกนั่น” ดวงแก้วละสายตามามองท่านชาย “อาขอแลกทุกอย่างกับยายหนู”
อิศราไม่รู้เรื่อง “ไม่ครับ ผมจะไม่ยอมแลกขวัญ กับอะไรทั้งนั้น”
ดวงแก้วมองนิ่ง “ขอให้คุณรักษาคำมั่นนี้ไว้ตลอดไปนะคะ”
อิศรายกมือไหว้ดวงแก้ว และหันไปมองท่านชาย ก่อนลุกไปหา ท่านชายยืนรับ
“เรียบร้อยแล้วนะอิศรา”
อิศรามองอย่างตื้นตันมาก “ท่านชาย” เขาพนมมือไหว้ “ผมกราบขอบพระคุณครับ”
ท่านชายก้มศีรษะรับนิดๆ ก่อนมองมาทางดวงแก้ว ที่ยังไม่กล้าสบตาท่านชายอย่างสนิทใจ
เจริญขวัญยืนชะเง้อดูไปทางหลังบ้านอย่าง ตื่นเต้นและขัดเขิน ชาลินีสวมแว่นดำ นั่งวางท่าเย่อหยิ่ง มองอยู่เบื้องหลังอย่างหมั่นไส้
“เธอนี่เก่งนะ”
เจริญขวัญหันมา ชาลินีทำเป็นยิ้ม
“ที่ปราบนายอิศเสียอยู่หมัด ก็ดีนะ เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน”
เจริญขวัญได้แต่ยิ้ม
“ทีนี้ก็คงต้องมาลุ้นกันล่ะ ว่าระหว่างเธอกับนายอิศ และชั้นกับท่านชาย ใครจะได้แต่งก่อนแต่งหลัง”
“คะ จริงเหรอคะ” เจริญขวัญพูดประสาซื่อ
ชาลินีฉุน “ทำไมเธอถึงคิดว่าจะไม่จริง”
เจริญขวัญห่วงชาลินี “คุณชาลินีมั่นใจเหรอคะ ว่า...รู้จัก ท่านชายดีแล้ว”
ชาลินีกัดฟันยิ้ม “แน่นอนสิ ชั้นกับท่านชายรักกันจะตาย ว่าแต่ทำไมเธอถามแบบนี้ แหม เธอก็จับ...เอ้อ จับหัวใจตาอิศไว้ได้ทั้งคนแล้วนี่ ไม่พอเหรอจ้ะ”
เจริญขวัญชะงักงัน ไม่มั่นใจ แต่สำเหนียกถึงความริษยาในเนื้อเสียง เลยอึ้งไป
อิศรา กับ ท่านชายเดินออกมา
“คุยอะไรกันอยู่” อิศราถาม
“ชั้นกำลังคองเกรทจูเลชั่นเธอทั้งสองคนไง”
“ขอบใจ” อิศรามายืนข้างเจริญขวัญยิ้มบอกข่าวดี “อาดวงแก้ว ตอบตกลงแล้วจ้ะขวัญ”
เจริญขวัญยิ้มขัดเขิน
“ชา เราจะหมั้นกับน้องขวัญ ให้เร็วที่สุด ชาต้องมาด้วยนะ”
ชาลินีตวัดตามองท่านชาย ที่มองอิศราเจริญขวัญอย่างขรึมๆ
ชาลินีเดินคุยมากับท่านชายอีกมุม
“ท่านชายผิดหวังมากหรือคะ”
ท่านชายหยุดมองชาลินี อย่างผู้ใหญ่มองผู้ต่ำกว่า น้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
“ฉันไม่เคยหวังอะไรจาก ใคร มานานแล้ว”
“แล้วไปค่ะ ชาคิดว่า ท่านชายจะเสียดายเจริญขวัญ”
“เจริญขวัญเป็นคนดี ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย”
“ใช่สิคะ ส่วนชาน่ะมันไม่ใช่คนดี แต่ถ้ารักใครแล้ว ชาต้องได้”
ท่านชายมองชาลินีอย่างเวทนาลึกล้ำ และเตือนด้วยเมตตาครั้งสุดท้าย
“คิดดูเสียใหม่ คิดดูให้ดี ฉันจะให้โอกาสเธอครั้งสุดท้าย ชาลินีสำหรับฉัน ความรักคือความตาย”
ชาลินียืนกราน “และชาก็ขอยืนยัน ว่าชายอมตายเพื่อความรัก”
สองคนมองหน้ากัน ชาลินีมุ่งมาด ท่านชายเหนื่อยล้า เบือนหน้าหนี
“ได้ ถ้าเธอปรารถนาเช่นนั้น”
ท่านชายเดินจากไป ชาลินีหมายมาด
อีกด้านในไร่ โรจน์ส่งปิ่นโตให้พุดที่จับไว้ผลักออก ส่งไปผลักมากันอยู่อย่างนั้น
“เอาไปเถอะ”
“ไม่เอา ข้าวที่บ้านมี”
“ของดีๆ ทั้งนั้น อุตส่าห์ตักจากบาตรท่านเจ้าอาวาสมาให้เลยนะ”
“ของเหลือก้นบาตรพระด้วย! โอย นี่มันเย็นแล้วป่านนี้ไม่บูดหมดแล้วเรอะ เอากลับไปเถอะ”
ภุมมะเดินตัดหน้าผ่านทั้งสองคนไป เหมือนจะไปที่รถ โรจน์ชะงักเพ่งมองภุมมะ
ภุมมะหยุดหันมาหา โรจน์ชะงัก คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมาก่อน
ทันใดนั้นเอง ท่านชายวสวัตเดินตามมาจากทางเดียวกันกับภุมมะ โรจน์หันไปมอง ร่างท่านชายเดินผ่าน โรจน์ขยี้ตามอง
พลันนึกถึงในทะเลนรกขึ้นมา ตามด้วยภาพท่านชายนั่งบนตั่ง สุดท้ายเป็นศีรษะไฟ
“ไส หัวไป ชดใช้ กรรม”
โรจน์ถึงทรุดลงนั่งแปะกับพื้น ตาเบิกโพลงมองไปทางท่านชาย อ้าปากแต่ร้องไม่ออก
พุดงงใหญ่ “เฮ่ย เจ้าโรจน์ เป็นอะไรของแก”
“เป็นไปได้ยังไง นั่น...นั่น...ท่าน..ยม..ยม..มะ”
ท่านชายชะงักกึก หันมาช้าๆ สบตากับโรจน์ ดุดัน โรจน์แหกปาก
“เหวอ...”
โรจน์ถดถอยแล้วลุกขึ้นวิ่งหนีไปพลางแหกปากร้องไปตลอดทาง
พุดหันตามไป
“อ้าวเฮ้ย แล้วทิ้งปิ่นโตไว้นี่เลยเหรอ เฮ้ย กลัวอะไรวะ กลับมาก่อน”
พอพุดหันมา พบว่าไม่มีทั้งภุมมะและท่านชายแล้ว ถึงกับขนลุกเกรียว
“ทำไมมันขนลุกอย่างเนี่ย”
อิศราเดินตามชาลินีมาหน้าบ้าน
“นี่เธอแอบตามท่านชายมาเอง ชั้นนึกว่าท่านชายบอกเธอ”
“แล้วทำไมชั้นจะมาไม่ได้” ชาลินีเบะปาก “จะได้มาแสดงความยินดีในความสำเร็จของเธอ ที่จับแม่นั่นได้ด้วยไง”
“ชั้นอาจจะเคยคิดแบบนั้น แต่ตอนนี้ ชั้นรักขวัญจริงๆ”
“น้ำเน่า”
“ชา เธอต่างหากที่ต้องดูตัวเอง เที่ยวไล่ตามจับท่านชายอยู่แบบนี้ ถึงขนาดโกหกกับคุณอาว่าท่านชายปล้ำ เธอบ้าไปแล้วชา มันไม่ถูกเลย”
“จะถูกหรือผิด ชั้นก็จะได้ในสิ่งที่ชั้นต้องการ เธอก็มุดหัวอยู่ในท้องร่องบ้านไร่ไปเถอะ ฮึ ก็เหมาะกับเธอดีนี่”
ชาลินีจะเดินไป อิศราเท้าเอวพูดตามหลังไป
“เธอใช้คำโกหกเพื่อจับท่านชาย แต่เธอจะไม่มีวันได้ความรักจากท่านชายเลยนะชา”
คำพูดประโยคนั้นมีอำนาจ จนทำให้ชาลินีชะงัก กัดปาก สวมแว่นดำเดินหุนหันออกไป
อิศรามองตามอย่างอิดหนาระอาใจแทนท่านชาย
ตกเย็นตาพุดล้างปิ่นโตกับโอ่งหลังบ้าน คุยให้ยายปลั่งฟังเรื่องโรจน์
“เหรอ ร้องโหวกเหวกวิ่งไปเลยเหรอ ตาโรจน์ กลัวอะไรวะ”
ดวงแก้วเก็บจานเดินออกมาทางระเบียงหลังบ้านข้างห้องกินข้าว ชะงักหยุดฟัง
“ตอนแรกข้านึกว่ากลัวหน้าคนขับรถของท่านชายที่มาเพราะหน้าซีดๆ ดุๆ หยั่งกะผี แต่พอตาโรจน์เห็นท่านชายก็ยิ่งร้องใหญ่เลยว่ะ”
ดวงแก้วฟังอยู่
“ร้องว่าไง” ปลั่งซัก
“แหกปากร้องเย้อ...แล้วก็เรียก ท่าน ยม ยม..อะไรก็ไม่รู้”
เสียงจานแตกดังเพล้ง
พุด กะปลั่ง หันไปเห็นดวงแก้วที่ถือจานมา ยืนชะงักคาที่ทำจานตกจากมือ พูดพร่ำกับตัวเอง
“ท่าน...ยม”
ค่ำนั้น โรจน์หอบหิ้วย่าม สัมภาระประดามี อันมีม้วนภาพวาดและของใช้ส่วนตัว วิ่งเร็วรี่ตะลีตะลานมาตามทางข้างวัด แล้วต้องตกใจวูบเมื่อมีร่างๆ หนึ่งก้าวออกจากมุมตึกมาขวาง
“เย้ย กลัวแล้วๆ”
ที่แท้เป็น หลวงพ่อเจ้าอาวาส
“เป็นอะไรไป ช่างโรจน์ นี่จะไปไหน”
“อยู่...อยู่ไม่ได้แล้วหลวงพ่อ ท่าน...ท่านมาเองเลย” ชายชราละล่ำละลัก
“ท่านอะไรที่ไหน” หลวงพ่อฉงน
“ผม ผม...ผมไปแล้วหลวงพ่อ”
โรจน์วิ่งไปเลย เจ้าอาวาสมองตาม ส่ายหน้า
โรจน์ดันวิ่งเตลิดเข้ามาในป่าช้าหลังวัด ยิ่งมืดค่ำบรรยากาศน่ากลัวเข้าไปใหญ่ ความรีบร้อนลนลานทำให้โรจน์วิ่งมาจนสะดุดล้มหน้าคะมำคว่ำหน้ากับพื้น ข้าวของกระจาย
“โอ๊ย”
เกิดแสงสว่าง ที่ส่องจ้าขึ้นที่ร่างของโรจน์ ชายชราค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง
แสงนั้นเหมือนส่องจากอุโมงค์ ตามด้วยควันสีขาวฟุ้งกระจายไปทั่ว ท่านชายวสวัตก้าวเดินออกมาจากกลุ่มควันนั้นช้าๆ เป็นเงาดำ โรจน์ตกใจผวานั่งพนมมือตัวสั่นพับๆ
“กลัวแล้ว...ลูกกลัวแล้ว”
ท่านชายก้าวมายืนตรงหน้าชายผู้บอกต่อใครๆ ว่าเคยไปนรกมาแล้ว แสงส่องพาดรับดวงตาชัดเจนกว่าส่วนอื่นของใบหน้า ท่านชายเอียงคอมองภาพที่หล่นกระจายอยู่กับพื้น
ลมแรงพัดพลิกภาพเหล่านั้นเปิดเองทีละภาพ จนภาพสุดท้าย คือภาพวาดนรกที่มีชายชุดดำในภาพคล้ายท่านชายพญายม
ท่านชายปรายตามามองโรจน์ที่ร้องไห้พนมมือตัวสั่นอยู่
“เจ้ากลัวอะไร กลัวความตายงั้นรึ”
“เปล่า...เปล่า พระเจ้าข้า ลูกช้าง กลัว...กลัวนรกเจ้าข้า ฮือๆ”
ท่านชายหัวเราะบางเบา มีกระแสเมตตาเจือในนั้น “นรก ใช่สิ เจ้าก็เคยผ่าน เคยเห็นมาแล้วนี่”
“ลูกช้างกลัวเจ้าข้า กลัวตกนรก ฮือๆ กลัวกรรมกลัวเวร ฮือๆ ลูกช้ายังไม่ได้ทำบุญให้มาก สร้างกุศลให้เยอะๆเลย...ฮือๆ กลัวตกนรก...ฮือๆ”
ท่านชายยิ้มปราณี
“งั้นก็เร่งทำความดีสิ ใช้พรสวรรค์ของเจ้า เล่าในสิ่งที่เจ้ากลัว เพื่อให้มนษย์ได้คิด จนละชั่ว ทำดี เผื่อ นรกจะได้มีที่ว่างมากขึ้น สวรรค์แน่นกว่านี้”
“เจ้าข้า ฮือๆ”
ช่างโรจน์หลับหูหลับตาพนมมือรับคำ พร้อมกับก้มกราบ
ท่านชายมองชายชราเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ควันสีขาวจะดูดร่างท่านหายไป
ควัน แสง จากหาย ทุกอย่างเงียบลง โรจน์ค่อยๆ หรี่ตาดูทีละข้าง จนไม่เห็นใครแล้ว ก็ลุกลี้ลุกลน รวบกระดาษภาพวาด แล้วชะงัก เมื่อพบว่ากระดาษแผ่นที่เคยวาดภาพนรก บัดนี้กลายเป็นกระดาษสีขาว ว่างเปล่า
กลับถึงบ้านคืนนั้น ชาลินีนิ่งขบคิดนั่งกัดเล็บอยู่ในห้องนอน
“ทำไมท่านชายถึงยกย่องนังเด็กคนนั้นนัก”
ชาลินีหงุดหงิด ลุกมาที่หน้ากระจก ชาลินีมองตัวเองในกระจก
นึกเปรียบเทียบที่ท่านชายยิ้มกับเจริญขวัญและบอกว่า
“เจริญขวัญเป็นคนดี ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย”
แต่พูดกับหล่อนว่า “สำหรับฉันความรักคือความตาย”
ชาลินีมุ่งมั่นมาดหมาย
“จะแคร์ทำไมกับความรักของท่านชาย มาจนป่านนี้แล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้น ชาลินี”
อีกฟาก ในโถงกลางบ้าน ตรงโต๊ะเล็กใบนั้น มีรูปเอกนัยตั้งอยู่ พร้อมแก้วน้ำ มาลัยพวงเล็กวางในจาน และมือถือเครื่องเก่าของเอกดนัย วางข้างๆ คล้ายเป็นตัวแทนของผู้เป็นน้องชาย
ยินเสียงพูดโทรศัพท์ระหว่างสามสาว อรอนงค์ ปวีณา กับ วัลภา ผ่าน face time )
อรอนงค์ถามเพื่อนไปว่า “ที่อเมริกาหนาวมากมั้ย”
วัลภาตอบเพื่อนๆ ว่า “ไม่เท่าไหร่จ้า”
ปวีณาถามอีก “แล้วนี่เมื่อไหร่จ้ะกลับเธอ เพื่อนคิดถึง”
วัลภาไม่ทันตอบ อรอนงค์ถามต่อ “แล้ว ที่บ้านของฮันนี่ของเธอเขาเป็นไงบ้าง”
“อูย บ้านเขาใหญ่โต แด๊ด กับ มัม ของเขาน่ารักมากก อุ๊ยต๊าย มีเรื่องจะเมาท์ให้ฟังเยอะแยะเลยพวกเธอ โดยเฉพาะ ชั้นมีข่าวใหญ่เมาท์ให้เธอฟังด้วย อร”
อรอนงค์ฉงน “ชั้นเหรอ เรื่องอะไรล่ะ”
“เรื่องยายชาลินีน่ะสิ อุ้ย แค่นี้ก่อนนะ ฮันนี่ชั้นเรียกแล้ว บาย”
มือถือวัลภาปิดไป เหลือเพียงสองสาว
อรอนงค์นิ่งนึก ท่าทีร้อนใจ “เรื่องยายชาลินี เรื่องอะไรกัน ดูสิพูดแล้วก็วางไป”
ปวีณาปลอบ “น่า อีกไม่กี่วันยายวัลภากลับมาก็รู้”
อรอนงค์หันมามองรูปเอกดนัย ยังเจ็บใจ แค้นใจชาลินีไม่หาย
อ่านต่อหน้า 3
เงา ตอนที่ 16 (ต่อ)
ระหว่างนั้น สองสาวนั่งดื่มกาแฟเม้าท์มอยกันไป ในร้านกาแฟของห้างดัง สาวหนึ่งชื่อ ลักขณาแต่งกายเปรี้ยวมีสไตล์ สมอาชีพนักประชาสัมพันธ์ และ เป็นนักจัดอีเว้นท์ชื่อดัง
ลักขณายกกาแฟจิบพลางถามข้างมีถุงเครื่องสำอางใบใหญ่วางอยู่
“เชิญนักข่าวเลี้ยงน้ำชาเหรอคะ น้องชาลินีจะจัดงานการกุศลให้ที่ไหนอีกเหรอคะ”
อีกสาวเป็นชาลินี ที่เยื้อนยิ้มพลางเปิดปากโกหกตามถนัดของหล่อนว่า
“ไม่ใช่งานการกุศลหรอกค่ะ แต่ว่า เรียกว่าเป็นข่าวดีของชาแล้วกันค่ะ”
“ต๊าย อย่าบอกนะว่าจะแถลงข่าวงานแต่งหรืองานหมั้นของตัวเอง”
ชาลินีหัวเราะขวยเขินเป็นเชิงรับ
ลักขณายิ้มกริ่ม “นั่นแน่ แล้ว ผู้ชายที่โชคดีคนนั้น ใครเอ่ย”
“นั่นแหละค่ะ ที่ว่า คนในสังคมจะต้องเซอร์ไพรส์ไปตามๆ กันเลยล่ะค่ะ”
ชาลินียิ้ม จิบกาแฟ
คุยกันอีกสักครู่ สองสาวก็เดินออกมาที่หน้าร้าน ชาลินีไหว้ลาลักขณา
“เดี๋ยวพี่จัดเรื่องนักข่าว เอาหัวใหญ่มาไม่กี่คนก็พอ แต่รับรองดังสมใจน้องชาแน่ๆ ค่ะ”
“เชื่อมือค่ะพี่ลัก ขอบคุณค่ะ”
พอลักขณาจะเดินออก เหมือนนึกอะไรได้ “อุ้ย พี่ลืมของที่โต๊ะ น้องชาไปก่อนก็ได้ค่ะ”
ลักขณาเดินกลับไปที่โต๊ะ ชาลินีหันตัวจะเดินออก เห็นอรอนงค์ เข้ามากับปวีณา ก็ชะงัก
อรอนงค์ ปวีณา กำลังยิ้มคุยกันอยู่หันมาเจอหน้าชาลินี
“ต๊าย ตายยากจริง แม่คนนี้” ปวีณาเปิดฉากพูดเสียดสี
“ทำไมพูดแบบนี้ นินทาชั้นอยู่ ตามนิสัยกัดไม่เลิกอยู่ล่ะสิ” ท่าทีชาลินีเย้ยหยันนิดๆ
อรอนงค์แค้น “ไม่ใช่แค่นินทาหรอก แต่สาปส่งคนอย่างเธอต่างหาก พอใจมั้ย”
ชาลินีพ่นลมหายใจแรงๆ “เฮ้อ...เด็กๆ เอาเถอะจ้า อีกไม่นาน พวกเธอก็คงจะต้องยิ่งดีดดิ้น
เร่าร้อนด้วยความอิจฉาชั้นอีก”
ชาลินีเหยียดยิ้มเดินปร๋อออกไป สองสาวมองตามด้วยความแค้น
“เมื่อไหร่มันจะจมธรณีลงไปซะที ยิ่งเห็นมันความสุขชั้นยิ่งเจ็บใจแทนเอก โอ๊ย เกลียดตัวเองเหลือเกิน ปวีณา ทำอะไรมันไม่ได้สักอย่าง”
เสียงลักขณาทายทักมาอย่างคนคุ้นเคยกัน “จะทำอะไรใครเหรอคะ น้องอร”
ลักขณายืนถือถุงเครื่องสำอางที่ลืม ออกมาทันได้ยิน ปวีณา อรอนงค์หันไปมองตาโต
ลักขณาเป็นฝ่ายนั่งฟังอยู่ในร้านกาแฟ อรอนงค์ ปวีณา เล่าเรื่องราวอย่างน่าสนใจ อรอนงค์เล่าไปแล้วร้องไห้น้ำตาซึม ต้องเอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา ปวีณาแตะปลอบ
ลักขณาเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นที่เขาเมาท์เล่าลือกัน ก็เป็นเรื่องจริงทั้งนั้นสิคะ”
“จริงอย่างที่สุดค่ะพี่ลักขณา ที่ณาไม่อยากเอาเรื่องมากไปกว่านี้ก็เพราะณาท้อง ไม่งั้นณาหย่าไปแล้ว” ปวีณาเสริม
“ยิ่งเรื่องของน้องอร ยิ่งน่าเศร้า ชายหนุ่มพ่ายพิษรักฆ่าตัวตายเพราะเจอสาวไฮโซหลอกลวง โถ” สาวนักประชาสัมพันธ์หน้าเศร้า
“แล้วยายชายังหาว่าน้องอร โง่เอง พี่ลักขณาคะ เราทำข่าวได้ ตีแผ่ให้สังคมรู้ความจริง”
“แหม มันก็ยากอยู่นะคะ เพราะเราไม่มีหลักฐาน เดี๋ยวโดนฟ้องกลับ เรียกค่าเสียหายบานเลยนะคะ”
อรอนงค์ถอนหายใจ สบตากับปวีณาใบหน้าเครียด
มุมหนึ่งในวัง ท่านชายวสวัตถามขึ้นขณะลงนั่งตรงโต๊ะในบริเวณนั้น
“จะจัดงานที่นี่ งานอะไร”
ผู้มาเยือนนามชาลินีบอกว่า “คล้าย ๆ งานแถลงข่าวน่ะค่ะ”
“เรื่องอะไร” ท่านชายเลิกคิ้วฉงน
ชาลินีพยายามหว่านล้อม “เอ้อ...ท่านชายขา คือ คุณพ่อคุณแม่ เร่งรัดชาทุกวัน ว่าเรื่องระหว่างเรา จะเป็นยังไงต่อไป เอ้อ ที่ท่านชายบอกว่า จะรับผิดชอบ”
ท่านชายซ่อนยิ้มในหน้ารู้ทัน เหมือนกำลังดูคนเล่นละคร “อือม์ แล้วเธอจะทำยังไง”
“ชาเลยคิดว่า ถ้าเราแค่...แถลงข่าวกับ นักข่าวไม่กี่ฉบับหรอกค่ะ พวกข่าวสังคม นิตยสารไม่กี่ฉบับ ว่า ท่านชายกับชา เอ้อ...คบหากันอยู่ เท่านี้ คุณพ่อคุณแม่ก็คงสบายใจแล้ว”
ท่านชายวสวัตยิ้มบางเฉียบ ชาลินีใจชื้น
“นะคะ อาทิตย์หน้า ชาขอนัดนักข่าวมาที่วังนะคะ ท่านชายก็ควรต้องอยู่ด้วย เพื่อเป็นการยืนยัน”
“ได้...ฉันจะอยู่ในงาน ตามที่เธอ ต้องการ”
ชาลินีตื้นตัน ท่านชายมองอย่างลึกซึ้ง หมายมาด
“ท่านชายขา...ชา...ชารัก...”
ท่านชายวสวัตลุกขึ้นทันทีเดินจากโดยไม่มอง หรือรอฟังคำรักจากปากของชาลินี
“รักท่านชาย”
ชาลินีได้แต่มองละห้อย ตามท่านชายที่เดินจากไปโดยไม่ยอมฟังและหันมามอง
เจ้าหล่อนเจ็บจี๊ดในหัวใจ แต่พยายามข่มอารมณ์ ทำใจหลอกตัวเอง
บ่ายวันนี้ อิศรายืนอยู่บนบันไดตอกตะปูตัวสุดท้ายกับป้าย ‘ห้องสมุดเจริญขวัญ’ กับศาลา โดยมีเจริญขวัญยืนดูอยู่ อิศรากระโดดตุ๊บลงมาที่พื้น วางค้อน ยิ้มภาคภูมิใจอวดผลงาน
“แต่น แต้นแต้น ถูกใจมั้ยจ้ะขวัญ ป้ายใหม่ ฝีมือพี่ล้วนๆ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะพี่อิศ”
“พี่จะช่วยอาดวงแก้ว ช่วยขวัญทำงาน ขยายไร่เจริญขวัญให้ใหญ่โตไปเลย เวลาเรามีลูก ลูกจะได้ที่วิ่งเล่นกว้างๆ” อิศรายิ้มสุขใจ
เจริญขวัญเขิน “เด็กจะต้องการที่วิ่งเล่นกว้างสักแค่ไหนเชียวคะ”
อิศรายิ้ม เดินเข้าเบื้องหลังเจริญขวัญ กอดเธอจากด้านหลัง
“ขวัญจ๋า ขอบคุณนะ ที่ทำให้พี่มีความสุขเหลือเกินขวัญล่ะจ้ะ อยู่ในอ้อมกอดของพี่แบบนี้..มีความสุขมั้ย”
เจริญขวัญเขินใหญ่ “อึดอัดออกค่ะ”
“แน้ คนโกหก ไม่ยอมด้วย ต้องลงโทษ” อิศราขโมยหอมแก้ม “นี่แน่...ไปไหนไม่รอด ต้องโดนสามฟอด นี่ๆๆ”
“โอ๊ย พี่อิศอ่ะ” เธอผละตัวออก จับแก้มหน้าแดงจัด เขินเหลือประมาณ “เอาเปรียบจังเลย”
“เหรอ งั้นยอมให้ลงโทษ ให้หอมกลับ” อิศราทำแก้มป่องให้
“ไม่เอาค่ะ”
“น่า ไม่ต้องอาย พี่หลับตาก็ได้ เอ้าเร็ว” อิศราทำแก้มป่องหลับตาพริ้ม
เจริญขวัญขวยเขินอยู่อย่างนั้น
ระหว่างนี้ อรุณสะพายเป้เดินมาพอดี เขาชะงัก เจริญขวัญมองมาเห็น คิดปราด ทำท่าให้อรุณเงียบๆ ไว้ ลากมืออรุณมา จับหน้าอรุณยื่นเข้าใกล้แก้มอิศรา อรุณขัดขืนส่ายหน้าจะหนี เจริญขวัญบังคับด้วยสายตา และจับตัวจับคางอรุณไว้
“เอ้าเร็ว” อิศราเร่ง
“ก็ได้ค่ะ หลับตาไว้นะคะ”
อรุณหน้าเหยเก สยอง
“จ้า” อิศราเสียงหวาน
“พร้อมนะคะ หนึ่ง สอง ซั่ม”
เจริญขวัญดันหน้าอรุณให้เอาปากไปชนแก้มอิศราค้างไว้ อรุณตาโตอิศราลืมตา ยิ้มกระหยิ่มหันมา สองชายเห็นหน้ากันต่างคนต่างสยอง
“ย๊าก” / “ยี้”
เจริญขวัญหัวเราะชอบใจ
อรุณขยี้เช็ดปากออกอย่างแรง อิศราเช็ดแก้มแรงไม่ต่างกัน พอหันกลับมาเจอหน้ากันก็ขนลุกขนพองอีก
“ย๊าก” / “ยี้”
ถัดมาไม่นาน สามคนนั่งคุยกันบนแคร่ อรุณซึ่งบัดนี้ทำใจได้แล้วเป็นฝ่ายจิกกัดแซวขึ้น
“ถามจริงเหอะขวัญ ไปชอบคนอย่างนี้ได้ไง ทำเป็นป่องแก้มให้หอม ยี้ เสี่ยวชะมัดเลย”
อิศราหัวเราะ แซวกลับ “อย่ามาว่ากันเลย นี่ วันหลังพี่สอนเรื่องเสี่ยวๆ แบบนี้ให้มั้ย จะได้ไว้จีบผู้หญิง...คนอื่นนะ ไม่ใช่คนนี้”
อรุณหมั่นเขี้ยว “ได้ทีละโชว์พาวเลยนะคุณพี่”
เจริญขวัญถาม “รุณจะกลับกรุงเทพเหรอจ๊ะ”
“เปิดภาคเรียนแล้ว จะตั้งใจเรียนให้จบซะที คงจะไม่กลับมาบ่อยๆ อีกแล้ว”
“ดีแล้วละ”
อิศราถาม “แต่ว่า งานหมั้นของพี่กับขวัญ รุณต้องมานะ”
อรุณแกล้งทำเสียงขุ่น “ไม่รู้ ดูก่อน”
อิศราหมั่นไส้ “อื้อหือ ต้องให้ง้อเหรอครับ คุณน้อง”
อรุณยักไหล่กวนๆ
“ไม่ได้นะ รุณต้องมา” เจริญขวัญจับมืออรุณขอร้อง “อย่าลืมสิ ว่ารุณ คือเพื่อนที่ดีที่สุดของขวัญนะ”
อรุณมองมือแล้วมองเจริญขวัญ ยิ้มให้อย่างเพื่อน
“ได้ เราจะมาเพื่อขวัญ แต่ไม่ได้มาเพื่อ คุณพี่สุดเสี่ยวนี่หรอกนะ”
“คำก็เสี่ยว สองคำก็เสี่ยว เออ ไม่เสี่ยวมั้งก็ให้มันรู้ไป”
เจริญขวัญ หัวเราะท่าทีกระเง้ากระงอดของบุรุษร่างบึกบึน
สามคนปรองดอง เรื่องราวบาดหมางกินใจ จบลงด้วยดี
นายพลบัญชาเท้าเอวอยู่กลางห้องโถงหันมาทางธิดาคนเดียว
“ว่าไงนะ จัดแถลงข่าวเรื่องแกกับท่านชาย จัดทำไมทำไมไม่ให้เขามาสู่ขอให้เป็นเรื่องเป็นราว”
ชาลินีนั่งอยู่ ในขณะที่คุณหญิงนั่งดื่มไวน์ดับกลุ้ม หน้าตาเฉยเมย
“ท่านยังไม่พร้อมค่ะ ตอนนี้เราแค่อยากประกาศให้สังคมรู้ว่าเราหมั้นหมายกันด้วยใจก่อน”
“เรื่องมากจริงๆ”
คุณหญิงแค่นหัวเราะ “เขาไม่พร้อมจะหมั้น ไม่พร้อมแต่ง แค่ทำตามน้ำไปเรื่อยๆมากกว่ามั้ง”
ชาลินีลุกพรวด เครียดปนฉุน
“หนูอยากให้พ่อแม่สบายใจ ทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องเป็นราว เรื่องพิธีเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วหนูจะแจ้งวันอีกทีนะคะ”
ชาลินีเดินขึ้นห้องไปเลย
“ดูมัน ตกลงมันเห็นพ่อแม่เป็นหัวหลักหัวตอหรือไง” ท่านนายพลหันมาดุคุณหญิง “คนเป็นแม่เอาแต่ดื่มเหล้าลูกสาวพึ่งพาไม่ได้ ก็อีแบบนี้...”
“อย่าโทษแต่ดิฉันเลย ถ้าคุณรู้อย่างที่ชั้นรู้...” คุณหญิงรู้ว่าเผลอปากก็ชะงัก อึ้งไป
นายพลฉงนสนเท่ห์มาก “รู้อะไร”
คุณหญิงพูดไม่ออก กระแทกแก้ววางกลบอาการ แล้วลุกเดินออกไป
นายพลหัวเสียมาก “เออ ให้มันได้อย่างนี้สิ แต่ละคน”
โรจน์ นั่งวาดรูปมือสั่นเทาอยู่ข้างพระประธานภายในอุโบสถ
โรจน์มีสายสิญจน์พันคล้องห้อยตัวเลอะเต็มไปหมด ดวงแก้วเดินเข้ามา หา
“ช่างโรจน์จ๊ะ”
โรจน์สะดุ้งโหยง “เฮ่ย”
“ฉันเองจ้ะ”
“คนสวยใจดี”
ดวงแก้วฉันอยากจะถามอะไรหน่อย วันก่อน เห็นพี่พุดว่า ช่างโรจน์เห็นใครบางคน แล้วตกใจมาก”
“ใช่” โรจน์นึกได้ หันหนี ไม่กล้าพูด “อะไรๆ ไม่รู้ จำไม่ได้”
“ก็วันนั้น ช่างโรจน์พี่พุดที่บ้าน เอาปิ่นโตไปให้ไงจ้ะ ช่างโรจน์กลัวใครเหรอ กลัวคนที่หน้าเหมือนภาพที่ช่างโรจน์วาดใช่มั้ย” ดวงแก้วพลิกกระดาษหา “ภาพนั้นไปไหน”
โรจน์ค่อยๆ หันมาช้าๆ ลองใจดวงแก้ว “ภาพอะไร”
“ภาพผู้ชายที่เหมือนยืนในนรกน่ะ”
โรจน์หันมาคว้ามือ “คุณ รู้เรื่องด้วยเหรอ เคยไปเที่ยวนรกมาเหมือนกันใช่ไหม มันน่ากลัวมาก มันร้อนมาก ใช่ไหม”
ดวงแก้วตกใจท่าที แต่เลี่ยงถามไม่ยอมตอบ “ภาพเขียนผู้ชายคนนั้น เป็นใครนะ”
“ท่านยมไง...ท่านยมบาลไง” โรจน์ปิดปากตัวเองหมับ “อุปส์”
ดวงแก้วตัวเกร็งตะลึงตะไล หมดสิ้นสงสัย เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วสำหรับเรื่องค้างคาใจนั้น
“ฉัน ไม่ได้คิดไปเองจริงๆ”
“จุ๊ๆ ท่านลบรูปไปแล้ว ท่าน ท่านคงไม่อยากให้ใครรู้” โรจน์คว้ามือดวงแก้วอีกที “เราพูดไม่ได้นะ แต่เราต้องช่วยกันนะ ต้องช่วยบอกให้คนทำความดี กตัญญู มีศีลมีธรรม คนจะได้ไม่ต้องตกนรก เราต้องช่วยกัน นะ นะ”
ดวงแก้วยังตะลึงตะไลจังงังอยู่อย่างนั้น
กลับถึงบ้านดวงแก้วตัดสินใจเล่าเรื่องให้ลูกสาวฟัง เจริญขวัญตื่นตะลึงจับมือแม่มั่น
“เราควรต้องบอกพี่อิศไหมคะแม่”
“อย่าเลยลูก ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ขวัญกลัวไหมลูก”
เจริญขวัญนิ่งคิดไปนิด แล้วยิ้มบาง
“ไม่เลยค่ะแม่ ถ้านี่เป็นเรื่องจริง ขวัญว่า ท่านน่าสงสาร ขวัญอาจจะไม่ควรพูดคำนี้ เพราะเราเป็นเพียงแค่มนุษย์แต่แค่คิดว่า ท่านต้องทำงานหนักแค่ไหน บอกใครไม่ได้ มิน่า ท่านถึงได้ดูเศร้าเหลือเกิน”
“ท่านคงเห็นความชั่ว บาปของคนบนโลกนี่มาก จนเหนื่อยหน่าย ขนาดเรา เห็นคนไม่ดี คนอตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เรายังเอือมยังโกรธ แต่นี่ สิ่งที่ท่านต้องรับรู้ แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่ของท่าน ที่จะไปเปลี่ยนวิบากของใคร ท่านก็คงเศร้า หดหู่มากเหมือนกัน นะลูกนะ”
ดวงแก้วพูดด้วยความเข้าใจเห็นใจในภาระอันใหญ่หลวงนั้น เจริญขวัญรับรู้
ภารกิจอันหน้าเหนื่อยหน่ายของท่านที่สองแม่ลูกสงสาร เกิดขึ้นอีกวันหนึ่งไม่นานต่อมา
หน้าบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ผู้คนมากมายมุงดู และด่าทอ พร้อมกับปาขวดน้ำบ้าง บางคนฮึดฮัดอยากทำร้ายประชาทัณฑ์บ้าง กับคน ผู้ต้องหาฆ่าคนในครอบครัวตัวเอง ที่สวมหมวกกันน็อกมีกุญแจมือและตำรวยหลายนายคนกัน
เสียงสาปแช่งก่นด่าเสียงเซ็งแซ่ “ไอ้ฆาตรกร” / “ไอ้คนอตัญญู” / “โหดเหี้ยม” / “มึงต้องไม่ตายดี”
ข้างๆ มีนักข่าวหันมารายงานกับตากล้อง “หลังจากที่นำตัวฆาตกร มาทำแผนประกอบการฆาตกรรมบุคคลในครอบครัว แต่ก็ไม่สามารถฝ่าด่านประชาชนที่พยายามจะรุมประชาทัณฑ์ฆาตกรเลือดเย็นได้ ตำรวจจึงต้องนำตัวกลับโรงพักค่ะ”
ใบหน้าฆาตกรที่โผล่พ้นจากหมวกกันน็อก ยังยิ้มร่าเหมือนไม่ได้ทำผิด
หลังจากนั้น ฆาตกรวัยเพียง 18 ปี ถูกผลักเข้ามาในห้องขัง ล็อกประตู
ตำรวจอดถามไม่ได้ว่า “มึงทำได้ไงวะ กูถามจริงๆ มึงไม่กลัวบาปกลัวกรรมมั่งไง”
ฆาตกรหันมายิ้ม “มีด้วยเหรอ บาป กรรม กูทำผิด ทำให้จับได้ กูก็ถูกตำรวจ ก็แค่นั้นแหละ”
“ไอ้ชั่วเอ๊ย”
“ใครบอกว่าชั่ว กูบ้าต่างหาก พอขึ้นศาล ก็จะบอกว่า กูมันบ้า” ฆาตกรหัวเราะร่า “กูบ้าโว๊ย”
ตำรวจโมโห มองรังเกียจแล้วเดินไป ฆาตกรไร้สำนึกมองตาม โดยไม่ทันสังเกตว่าด้านหลังในเงามืด มีใครคนหนึ่ง นั่งอยู่
“นายนี่ เยี่ยมเลย”
ฆาตกรค่อยๆ หันมา พบว่าท่านชายแต่งกายธรรมดา กางเกงยีนส์ดำ เสื้อยืดดำ นั่งอยู่ในแสงสลัว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองช้า ปรบมือช้าๆ
“โหดเหี้ยมเกินใครๆ”
“ต่างคนต่างอยู่โว๊ย อย่ามาเสือก”
ฆาตกรลงนั่ง ท่านชายมองตาม
“นายคิดอะไร ตอนที่ลงมือ กับคนที่กินข้าวหม้อเดียวกับนายมาทั้งชีวิต”
“ไม่เห็นต้องคิด พวกเขาไม่รักกู ไม่ยกสมบัติให้กู กูก็ต้องช่วยตัวเองกูแค่พลาด ไม่งั้นป่านนี้ กูนอนบนกองเงินกองทองไปแล้ว”
ท่านชายลุกยืน ก้าวออกมาจากเงามืด ทำให้เพิ่งเห็นร่างและหน้าท่านชายชัดๆ
“พวกเขา ไม่รักนายงั้นเหรอ”
จู่ๆ ไฟในห้องขังดับพรึบ เหลือเพียงสปอตไลท์ลงสองจุด คือที่ท่านชายและฆาตรกร
“เฮ่ย อะไรวะ” ฆาตกรขยับจะลุก “เฮ่ย ทำไมกูขยับตัวไม่ได้”
พลัน ท่านชายเปลี่ยนเป็นชุดพญามารในนรก จ้องมองมาอย่างดุดัน
“เฮ่ย อะไรกันเนี่ย ช่วยด้วย” ฆาตกรตกใจสุดขีด
“เจ้ามันโฉดชั่ว จนข้า ต้องหยิบยื่นนรกให้เจ้าได้สัมผัสแม้เจ้ายังมีชีวิต
“นี่มันอะไรกัน”
“จงดู”
ท่านชายชี้ไปมุมหนึ่ง ฆาตกรมองตามอย่างหวาดหวั่น
เกิดเป็นภาพแม่ฆาตกรตอนยังสาว กอดลูกทารกในอ้อมกอด ผู้เป็นพ่อมากอดด้วย ดีใจได้ลูกชาย
แม่ร้องเพลงกล่อม “ลูกเอ๋ย นอนเถิดนอนเสียเจ้า ยังอ่อน ยังเยาว์ ขวัญเจ้าดวงจิตแม่เอย”
ฆาตกรตะลึงมองจ้องภาพ
“เห็นความสุขของผู้ชายผู้หญิงคู่นั้น วันที่ได้กำเนิดเจ้าไหม”
ฆาตกรคราง “แม่ พ่อ”
ภาพต่อมา เห็นพ่อ แม่กับลูกชายคนโต 11 ขวบ ลูกชายกำลังไอ พ่อแม่กังวลหนัก
“ตัวร้อนจี๋เลย รีบพาไปหาหมอเถอะค่ะ” แม่บอก
ฆาตกรมองตะลึงเริ่มได้คิด
ท่านชายเอ่ยขึ้นอีก “เห็นความรัก ที่เขาทั้งสองมีให้กับสายเลือดของตัวเองไหม”
เกิดภาพน้องตีกันแย่งของกัน แม่พ่อจับของออกจากมือน้อง
“อย่าแย่งกัน เป็นพี่น้องกันต้องรักกันสิลูกเอ้ย” พ่อบอก
ฆาตกรน้ำตาเริ่มคลอ ปากสั่น
“เห็นความพยายามของเขาที่จะสร้างความรักในครอบครัวไหม”
พี่กับน้องนั่งเล่นกัน พ่อโอบบ่าแม่ยืนดูอย่างมีความสุข
“เจ้าล่วงรู้ความฝันของเขาไหม” เสียงท่านชายดังแทรกขึ้น
“วันที่แม่จะมีความสุขที่สุด คือวันที่ลูกบวชให้พ่อแม่” แม่บอก
พ่อว่า “และเขาก็ได้ทำงาน แต่งงาน มีหลานให้เราหลายๆ คน”
พ่อและแม่กอดกันอย่างมีความสุข
ภาพผีพ่อ ผีแม่ และ ผีน้องชาย ยืนหน้านิ่งมองตรงมา
“ทำไมทำกับเราแบบนี้”
ฆาตกรร้องไห้โฮๆ
“ไม่ นี่ผมทำอะไรลงไป ผมทำอะไรลงไป ฮือๆ ผมขอโทษ ผมขอโทษ”
“เจ้าสัตว์นรก แม้กรรมบนโลกจะลงทัณฑ์เจ้าเพียงประหารมันก็ยังไม่สาสมกับความเลวระยำที่เจ้าทำ หลุมนรกอเวจีชั้นต่ำที่สุดคือที่สุดท้ายที่เจ้าจะต้องชดใช้ อย่างไม่มีวันได้ผุดได้เกิด นรกในใจของเจ้าจะแผดเผา ไปจนกว่าเจ้าจะตาย
“ผมทำอะไรลงไป ผมทำอะไรลงไป ฮือๆ” ฆาตกรซุกตัวกอดกับตัวเอง ร้องไห้สะอึกสะอื้น
ท่านชายมองด้วยความเกลียดชัง
ภายในห้องภาพโบราณของวัง ท่านชายทรุดลงนั่งอย่างอ่อนแรง เหนื่อยล้ายิ่งนัก
“ทำไม ยิ่งความเจริญเข้าสู่สังคม จิตใจมนุษย์กลับยิ่ง หยาบ ต่ำช้ามากขึ้น ข้าไม่เข้าใจ...ข้าไม่เข้าใจจริงๆ”
ท่านชาย เจ็บปวดรวดร้าว กับผิดบาปในจิตใจมนุษย์ยิ่งนัก
อ่านต่อหน้า 4
เงา ตอนที่ 16 (ต่อ)
เช้าวันนี้ ดวงแก้วเช็คถุงปุ๋ยกับตาพุดที่รถกระบะ ในขณะที่อิศราทำงานในไร่กับคนงาน
อีกทางหนึ่งเจริญขวัญถือกระติกน้ำมาหยุดมองอิศรา เห็นเขาร่าเริงดูมีความสุข เจริญขวัญยิ้ม ละไม
“ขวัญ ขอน้ำทางนี้หน่อยลูก”
“ค่ะแม่”
เจริญขวัญหันตัวหิ้วกระติกน้ำใบใหญ่เดินไป หนักเอาการ พอก้าวไปสักสี่ห้าก้าว ก็รู้สึกใจเต้นแรง เจริญขวัญชะงัก
ทุกอย่างเงียบงันไป ยินเสียงการเต้นของหัวใจ ในความเงียบ ดังตุบๆ ตุบๆ กระติกน้ำตกพื้น น้ำหกกระจาย
ดวงแก้วหันมาเห็นตกใจมาก อิศราเงยหน้ามามองแต่ไกลตกใจ ที่เห็นร่างของเจริญขวัญค่อยๆร่วงลงพื้น อิศราทิ้งจอบ โลดแล่นวิ่งมา ตะโกนสุดเสียง
“ขวัญ”
ดวงแก้ว รีบวิ่งเข้าไป ตาพุดตาม
“ขวัญ ลูก”
เจริญขวัญนอนเจ็บอกที่พื้น อิศราปราดมาถึงก่อน ประคองขึ้นแนบอก ดวงแก้วปราดตามมาทิ้งตัวลงอย่างไม่กลัวเจ็บ จับมือเจริญขวัญนวดเรียกสติ
“ขวัญ ขวัญลูกแม่”
“ขวัญ ลืมตาสิ ขวัญ”
เจริญขวัญเสียงแผ่วๆ “แม่...พี่อิศ...ขวัญ...ขอโทษ” พูดเท่านั้นเธอก็สลบเหมือดไปเลย
ดวงแก้ว อิศราร้องลั่น “ขวัญ”
ทุกคนวิ่งมาล้อมวงดู อิศราประคองเจริญขวัญ มีดวงแก้วตกใจอยู่
อีกฟาก หมอไพโรจน์คุยมือถือ เดินมาเร็วรี่ อีกมือมีแฟ้ม และหนังสือธรรมะเล่มโต
“รีบพามาเลย เดี๋ยวทางนี้อาจเตรียมห้องไว้ให้ ตอนนี้เป็นไงบ้าง โอเค แค่หอบเหนื่อยนะ รีบๆ อาจะรอที่โรงพยาบาล”
หมอไพโรจน์วางสาย เดินจนมาถึงเคาน์เตอร์วางเอกสารและมือถือบนโต๊ะ
“เช็ควอร์ดหน่อยว่ามีห้องว่างไหม โทร.หาหมอภิมย์ให้ด้วย ว่ามีเคสด่วน”
“ค่ะอาจารย์”
หมอไพโรจน์คว้ามือถือและแฟ้มไป แต่รีบจนลืมหนังสือธรรมะ พยาบาลเห็นหยิบชูหนังสือขึ้น
“อาจารย์คะ ลืมหนังสือค่ะ”
หมอมองมา
“ขอบใจ” รับคืนไป
พยาบาล 1 พึมพำ “นี่ ได้ยินที่เขาว่า เดี๋ยวนี้อาจารย์แกฝักใฝ่ธรรมะ ไปวัดทุกอาทิตย์ท่าจะจริงนะ”
ร่างเจริญขวัญนอนครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่บนเตียง มีบุรุษพยาบาล และอิศรา ช่วยเข็นมาตามทาง ดวงแก้ววิ่งตาม
“ขวัญ” อิศราเรียกสติ
“ขวัญลูก” ดวงแก้วใจจะขาด
หมอไพโรจน์วิ่งมารับ เตียงจอดตรงหน้า หมอรีบเปิดตาเจริญขวัญส่องไฟฉายดูเห็นว่าปกติ พูดกับบุรุษพยาบาล
“พาไปส่งที่ห้องไอซียูเลย”
บุรุษพยาบาลและพยาลเข็นเตียงเจริญขวัญไป อิศราและดวงแก้ว คุยกับหมอไพโรจน์ท่าทีร้อนรนใจ
“อาหมอครับ ขวัญ”
“ทำใจดีๆ กันไว้ อย่าตกใจ เดี๋ยวอาตรวจให้ละเอียดก่อน”
“ต้องผ่าตัดเลยไหมคะ” ดวงแก้วถาม
“ขอดูอาการก่อนนะครับ คงต้องมีการเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนการผ่าตัด ใจเย็นๆ นะอิศรา คุณเจริญขวัญจะไม่เป็นไร”
“ฝากด้วยนะครับอาหมอ”
หมอไพโรจน์พยักหน้า อิศรา และ ดวงแก้วเป็นห่วงมาก
ชาลินีพูดมือถืออยู่บ้าน
“ว่าไงนะ ถึงกับช็อกต้องเข้าโรงพยาบาลเลยเหรอ”
อิศราพิงผนังกำแพงทางเดินโรงพยาบาล ท่าทางอิดโรย และเป็นกังวล
“ใช่ แต่หมอยังไม่ได้ผ่าตัดให้วันนี้ รอดูฟื้นฟูร่างกายก่อน”
ชาลินีเบะปาก ไม่ได้สนใจจริงจัง
เสียงอิศราดังขึ้นมาอีก “เธอเจอท่านชาย ฝากเรียนด้วยล่ะ ว่าอยู่ที่โรงพยาบาบอาหมอไพโรจน์”
“โอเค จะบอกให้”
ชาลินีรับส่งๆ แล้ววางหู ให้นึกหมั่นไส้
“จะต้องบอกท่านชายทำไม จะให้แห่แหนไปเยี่ยม ยังกะหล่อนสำคัญนักรึไง...เฮอะ”
เจริญขวัญนอนลืมตาแป๋วอยู่บนเตียง มีสายน้ำเกลือที่แขน ใบหน้าดูอิดโรย อิศรานั่งกุมมือข้างเตียง ดวงแก้วยืนอยู่กับหมอไพโรจน์
“ขวัญไม่เป็นไรหรอกค่ะ แม่ หมอฉีดยาแล้ว ขวัญวิ่งยังได้” เจริญขวัญเอ่ยขึ้น
“อย่าทำเป็นเก่งเลย” หมอไพโรจน์ยิ้ม หันมาหาดวงแก้ว “นี่เพิ่งสารภาพกับหมอนะว่ามีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะหลายครั้งแล้ว ทำไมปล่อยจนช็อกอีก ไม่รีบมาหาหมอ”
เจริญขวัญหน้าจ๋อย
“เด็กดื้อ น่าตีจริงๆ ทำให้ทุกคนตกใจเป็นห่วงกันหมด” อิศราบ่น เอ็ดเอา
“ขวัญขอโทษค่ะ”
“แต่คราวนี้ หนีไม่ได้แล้วนะ พักฟื้นให้ร่างกายพร้อม ก็ต้องผ่าตัดแล้ว” หมอบอก
เจริญขวัญหน้าเบ้
“ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะอยู่กับขวัญตลอดเวลา” เขากุมมือเจริญขวัญมาแนบหน้า “คนดีของพี่”
ดวงแก้วยังคงกังวลหนัก เป็นห่วงลูกเหลือเกิน
ครู่ต่อมา ดวงแก้ว อิศรา มาส่งหมอไพโรจน์ที่หน้าห้อง
“หมอคะ ยายหนูจะไม่เป็นอะไรจริงๆนะคะ”
หมอหน้าขรึมลงขณะบอก “ผมอยากให้รีบผ่าตัดในขณะที่หัวใจยังมีกำลังชดเชยยิ่งทิ้งไว้ กล้ามเนื้อหัวใจก็ยิ่งชำรุด หลอดเลือดอาจจะถูกอุดตัน หรือหัวใจวายเฉียบพลันก็ได้”
ดวงแก้วร้อง “โอว์”
“แต่เรายังทันใช่ไหมครับ หมอช่วยได้นะครับ”
“หมอเชื่อว่า เราจะรักษาเจริญขวัญได้ ต้องเข้มแข็งให้กำลังใจคนไข้นะ”
หมอตบแขนอิศราก่อนเดินไป ดวงแก้วหันมาหาอิศรา ท่าทีร้อนรนนิดๆ
“คุณอิศคะ อาจะกลับบ้านไปเก็บของใช้ส่วนตัวของอากับยายขวัญแล้วจะรีบกลับมานอนเฝ้ายายขวัญเอง”
อิศรายังอึ้ง ขรึม และกังวลอยู่มาก “ครับผม”
ดวงแก้วจับแขนอิศราไว้ อิศรามองอย่างประหลาดใจ
“คุณอิศ สัญญาอะไรกับอาสักอย่าง”
“ครับผม”
“อย่าให้ท่านชายมาเจอยายขวัญ อย่าให้ท่านแตะต้องตัวยายขวัญ”
อิศราฉงนฉงาย “ทำไมล่ะครับ”
“คุณอิศ แค่สัญญากับอาก็พอ ถ้าท่านมา คุณต้องเฝ้าอย่าให้คลาดสายตาเลยนะคะ สัญญานะคะ”
อิศราพยักหน้ารับ แม้ไม่เข้าใจ
ดวงแก้วเดินมาตามทางเดิน ด้วยกิริยาอาการของคนที่กังวลหนักและอ่อนเพลีย ก้มหน้าเดินมา จนเงยหน้าขึ้นมองตรงไป ชะงักเมื่อเห็นชาลินีเดินตรงเข้าหา
“คุณชาลินี”
ดวงแก้วอดมองไปทางข้างหลังที่ชาลินีเดินผ่านมาไม่ได้ เกรงว่าท่านชายจะมา
“เห็นนายอิศโทร.ไปบอก ว่าเจริญขวัญป่วย”
“ค่ะ”
“นายอิศยังอยู่ใช่ไหม อยู่ห้องไหนชั้นไหนล่ะ”
“คุณชาลินีมาคนเดียวใช่ไหมคะ ท่าน...ท่านชายวสวัต ไม่ได้มาด้วยใช่ไหมคะ”
ชาลินีชะงักหันมา หล่อนถอดแว่น ย้อนถามเสียงขุ่น
“ทำไมต้องถามหาท่านชายด้วย”
ดวงแก้วกระอึกอึกกระอัก
“อ้อ หรือว่า รู้เรื่องที่ชาจะแต่งงานกับท่านชายแล้ว”
ดวงแก้วตกใจ “คะ คุณจะแต่งงานกับท่านชาย”
“ใช่” ชาลินียิ้มพราย ภาคภูมิ “ดีไม่ดี จะแต่งก่อนที่นายอิศจะแต่งกับเจริญขวัญด้วย”
ดวงแก้วลนลาน “ไม่ได้นะคะ คุณแต่งงานกับท่านไม่ได้”
ชาลินีขมวดคิ้ว “ทำไมจะไม่ได้”
ดวงแก้วจับแขนหล่อน ท่าทางร้อนรน และเป็นห่วง “คุณชาลินี ไม่ได้สังเกตท่านบ้างเหรอคะท่านชาย เหมือนผู้ชายคนอื่นหรือเปล่า”
ชาลินีฉงนปนฉุน “พูดอะไรของเธอ อ้อ...นึกว่าเป็นแต่ลูก แม่ก็ด้วยงั้นสิ”
“อะไรนะคะ” ดวงแก้วตกใจ
“คิดจะเก็บท่านชายไว้ให้ลูกสาวตัวเองเหรอ ก็ลูกสาวตัวจับนายอิศได้แล้วไง”
“คุณชาลินี เข้าใจผิดแล้วค่ะ”
ดวงแก้วขยับเข้าใกล้ พูดด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน หวาดกลัวจับจิต และเป็นห่วงสาวไฮโซคนสวย ชาลินีก้มมองอย่างไม่พอใจ
“คุณจะแต่งงานกับท่านไม่ได้เป็นอันขาด เพราะว่าท่านเป็น...”
ก่อนที่จะหลุดประโยคนั้นออกมา พลันเสียงท่านชายดังเข้ามา นุ่มนวลแต่ทรงไว้ซึ่งอำนาจ
“ฉันเป็นอะไร”
ดวงแก้วใจหายวาบ ค่อยๆ หันไปทางเสียง ชาลินีหันตาม แล้วยิ้มหงุดหงิด ที่ท่านชายก็มา แต่ดวงแก้วมองอย่างตะลึงตะไล ตกใจสุดขีด
ท่านชายก้าวเข้ามาหยุดมองมา ดู ลึกลับ และสูงส่ง
“มีใครบอกได้งั้นเหรอว่า ฉันเป็นอะไร”
ดวงแก้วตัวแข็ง ท่านชายยืนนิ่งมองตรงมา
เย็นเดียวกันนั้น กรอบรูปเอกดนัยตั้งวางอยู่ ข้างจานมาลัยดอกไม้ แก้วน้ำ และมือถือของเขาผู้วายชนม์ไปนานแล้วเครื่องนั้น
อรอนงค์เดินเข้า ยกแก้วน้ำใหม่มาเปลี่ยน และมาลัยงามพวงใหม่ หล่อนมองรูปน้องชายนิ่งด้วยความคิดถึง และอาลัยหา
“เอก...นี่เราจะแก้แค้นนังนั่น ไม่ได้เลยหรือไง พี่ทำใจไม่ได้นะเอก”
อรอนงค์เครียด ครู่หนึ่งมองมือถือ ตัดสินใจคว้ามา ต่อด้วย Power bank อรอนงค์ ไล่ดู Phone book และ Photo ก็ไม่เห็นอะไรพิเศษ นอกจากรูปทั่วไปของเอกดนัยคนเดียว
อรอนงค์ถอนใจยาว เกือบเลิกล้ม แต่แล้ว เมื่อมือคลิกไปที่หมวดวิดีโอ หล่อนต้องชะงักงัน มันเป็นภาพและเสียง เอกดนัยพูดกับกล้องอัดคลิปวิดีโอ โดยมีร่างชาลินีนอนหลับอยู่บนเตียง
อรอนงค์ลุกยืนพรวด ตาจ้องที่มือถือในมือ สีหน้าสาแก่ใจ มีความหวังในการแก้แค้นให้น้องชายแล้ว
“เสร็จฉันละ นังชาลินี”
ดวงแก้วตะลึงตะไลอยู่ตรงทางเดิน ท่านชายยิ้มน้อยๆ เดินมา
“ไหน เมื่อครู่กำลังพูดกันว่า ฉันเป็นอะไร”
ดวงแก้วเครียด
“มีใครบ้างล่ะที่ทราบ ว่าฉันคือใคร” ท่านชายมองดวงแก้ว ตาดุปากยิ้ม “คุณดวงแก้ว กำลังจะอธิบาย ไม่ใช่หรือ”
“ปละ..เปล่าค่ะ”
“ทำไมล่ะ คุณดวงแก้วคิดว่า รู้จักฉันดีนี่นา”
ดวงแก้วปากสั่นมือสั่นจนต้องกุมมือไว้ พูดไม่ออก
ท่านชายหันมาทางชาลินีหัวเราะบางๆ ในลำคอ ขณะถามว่า “หรือเธอ คิดว่าเธอรู้จักฉันดี”
“ถ้าคนอย่างชาลินีไม่รู้จักท่านชายดีพอ ก็ไม่มีใครรู้แล้วล่ะค่ะ” ชาลินีพูดอวดดวงแก้ว
“ใช่ ทุกคนได้รู้จักฉันแน่! ไม่ช้าก็เร็ว และไม่มีใครหนีพ้นด้วย”
ท่านชายปรายมองดวงแก้ว ก่อนก้าวเดินไปช้าๆ ชาลินีรีบเดินตามหลัง
ดวงแก้วมองตาม น้ำตาคลอหน่วย เข่าอ่อนแทบจะหมดแรง
ฝ่ายเจริญขวัญนั่งเอนพิงหมอนอยู่บนเตียง มองอิศราอยู่ที่นั่งกุมมือเธออยู่ข้างเตียง ด้วยความรักและเป็นห่วง
“พี่อิศ นั่งจับมืออยู่แบบนี้ ไม่เมื่อยบ้างหรือคะ”
อิศรายิ้มสั่นหน้า จูบมือเจริญขวัญ “ไม่จ้ะ” เขายกมือลูบเรือนผมคนรักเบาๆ
เจริญขวัญยิ้มอ่อนแรง แล้วจู่ๆ รู้สึกขนลุกแปลกๆ มองไปทางประตู
อิศราฉงน “อะไรจ๊ะขวัญ”
“พี่อิศได้กลิ่นหอมนั่นไหมคะ”
อิศราไม่ได้กลิ่น ไม่รู้สึกผิดสังเกตอะไรมาก
“กลิ่น...ของ...” เจริญขวัญชะงัก ไม่อยากบอกชายคนรัก
อิศราประหลาดใจ เจริญขวัญเพ่งมองไปทางประตู ท่าทีออกจะหวั่นหวาดไม่น้อย
ท่านชายหน้าขรึมเคร่ง เดินนำทุกคนมาตามทาง มีชาลินีเดินตามมาดวงแก้วรั้งท้าย ท่านชายมาหยุดหน้าประตู ดวงแก้วเดินแซงชาลินี และท่านชายมาขวางหน้าประตูไว้
ใบหน้าเผือด ส่ายหน้า “ท่านคะ ได้โปรด”
ชาลินีงง “อ้าว มาขวางทำไมกัน”
ดวงแก้วไม่สนใจชาลินี “ท่านคะ”
ท่านชายนิ่ง ชาลินีเริ่มรำคาญ
“อะไรของเขานักหนานะ”
ชาลินีก้าวไปที่ประตู เบี่ยงหลบดวงแก้ว เปิดประตูเข้าไป ยืนรีรอ
ดวงแก้วตกใจชาลินีนำเข้าไปก่อน ท่านชายก้าวมา หยุด พูดโดยไม่มองดวงแก้ว
“วันนี้ ฉันแค่มาเยี่ยม เท่านั้น”
ท่านชายก้าวเข้าไปเลย ดวงแก้วหันมองตาม สีหน้าหวาดหวั่น
เจริญขวัญมองไปขณะอิศราลุกยืนรับ ชาลินีเข้ามาก่อน เจริญขวัญมองจ้องเห็นท่านชายวสวัต ก้าวเข้ามา
ส่วนดวงแก้ว ตื่นตระหนก รีบร้อนก้าวแซงปราดไปอยู่บ้างเตียงกับเจริญขวัญ
“ชา...ท่านชายสวัสดีครับ” อิศรายิ้มกับญาติผู้พี่ ไหว้ท่านชาย
ท่านชายยิ้มเดินมาใกล้เตียง ดวงแก้วจับมือเจริญขวัญทันที กิริยาปกป้องลูกเต็มกำลัง แต่ไม่กล้ามองสบตาท่านชาย
เจริญขวัญเตือนสติมารดาว่าอย่าให้ผิดสังเกต และอย่ากลัว “แม่คะ”
ท่านชายทอดเสียงนุ่ม “เป็นยังไงบ้าง คุณเจริญขวัญ”
“ขวัญแข็งแรง วิ่งแข่งยังได้เลยค่ะ”
ท่านชายหัวเราะบางๆ ชาลินีมองยิ่งริษยา
“ไม่จริงหรอกครับ หมอบอกว่า ดื้อครับ มีอาการหลายครั้งไม่ยอมบอกใคร โดนผ่าซะเลย สม”
เจริญขวัญค้อน “พี่อิศ”
ชาลินีหมั่นไส้ความน่ารักของทั้งสอง ปราดมายืนเคียงท่านชาย
“นี่ผ่าเสร็จแล้วจะต้องอยู่พักฟื้นนานสินะ”
“ทำไม จะมาช่วยเฝ้าไข้เหรอ”
ชาลินียิ้ม อวดโอ้ “เปล่า ฉันแค่เสียดาย อยากให้หายให้ทันงานของฉันกับท่านชายน่ะ เราจะเชิญนักข่าว มาทำข่าวที่วัง”
“ทำข่าว เรื่องอะไร”
“ถามได้ ก็เรื่อง ความสัมพันธ์ของของฉันกับท่านชายน่ะสิ”
อิศรา กับ เจริญขวัญชะงัก มองหน้าท่านชาย
“ท่านชาย จริงเหรอครับ” อิศราถาม น้ำเสียงห่วงผสมกังวล
ชาลินียิ้มภาคภูมิ แต่ท่านชายหน้าขรึม เลี่ยงไม่ตอบ แต่เดินมาใกล้เตียงเจริญขวัญอีก ดวงแก้วขยับชิดเจริญขวัญอย่างระวัง
“ฉันดีใจที่เห็นคุณกำลังใจดี”
เจริญขวัญมองท่านชาย คิดไปเรื่อยเปื่อยในใจ
“ขวัญกลัวจังเลย ขวัญจะตายไหมคะ”
ท่านชายยิ้มตอบมาว่า “ไม่ต้องกลัวนะ คุณจะปลอดภัย”
เจริญขวัญชะงัก ท่านชายอ่านความคิดเธอได้
เจริญขวัญลองอีกครั้ง เธอมองหน้าท่านชาย
“งั้น ยังไม่ถึงเวลา ที่ท่านชาย จะจับมือขวัญ ใช่ไหมคะ”
ท่านชายมองสบตา นึ่งขรึมเหมือนชั่งใจว่าจะตอบดีหรือไม่
เจริญขวัญมองลุ้น ท่านชายขยับเข้าใกล้อีก ดวงแก้วมองระแวงปกป้องลูกเต็มอัตรา ท่านชายก้มมาใกล้หน้าเจริญขวัญ พูดเบาๆ กับ เจริญขวัญว่า
“ใช่”
เจริญขวัญเบิกตากว้างมองสบตาท่านชาย ท่านชายยิ้มให้เศร้าๆ อย่างรู้กัน
ชาลินีเดินขยับมา เพื่อให้มองเห็นอาการสองคน เห็นท่านชายแสดงความอ่อนโยนกับเจริญขวัญหล่อนหน้าเคร่ง ไฟริษยาเผาทรวง
ต่อมาอิศราในท่าทางร้อนรนเป็นกังวลแทนท่านชาย เดินเคียงคู่มากับท่าน โดยด้านหลังมีชาลินีตามมาห่างๆ
“ท่านชายครับ เรื่องทำข่าวที่ชาพูด จริงเหรอครับ ท่านชายปฏิเสธก็ได้นะครับ ถ้าท่านชายคิดว่ามัน...ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง”
ท่านชายยิ้มขรึมๆ “ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก อิศรา ดูแลคุณเจริญขวัญให้ดี”
ท่านชายเดินจากไป อิศรายืนมองตาม หงุดหงิดแทน ชาลินีเดินมาเสียบข้างแทนที่ท่านชาย
“ได้ยินแล้วใช่ไหม อย่ายุ่งกับเรื่องของฉันเลย มาแข่งกันดีกว่า ว่าเธอกับชั้น ใครจะได้แต่งงานก่อนกัน”
ชาลินียิ้มเดินไป อิศรามองตามสงสารปนระอา
เจริญขวัญ อยู่กับดวงแก้วสองคนในห้องพักฟื้น งุนงงกับที่สองคนจะแถลงข่าวการแต่งงาน
“มันจะเป็นไปได้ยังไงคะแม่ ที่คุณชากับท่านชาย”
“แม่ก็ไม่รู้ หรือว่า เราจะเข้าใจผิดว่าท่านเป็น...”
“แม่คะ...เมื่อกี้ ขวัญเพิ่ง...แค่คิดในใจ ถามท่านว่า ขวัญจะปลอดภัยไหม แล้วท่านก็ตอบมาว่า ขวัญจะปลอดภัย”
แม่ลูกสบตากัน ขนลุก
“อย่ากลัวท่านเลยนะคะแม่ วันนี้อาจยังไม่ใช่เวลาของขวัญ แต่วันหนึ่ง ก็ไม่มีใครหนีพ้น หัตถ์ของพญายมได้ ท่านเพียงต้องทำหน้าที่ของท่านเท่านั้นเอง”
ดวงแก้วยังไม่สบายใจนัก แต่เข้าใจ และยอมรับ กุมมือลูกสาว
วันเวลาเดียวกัน สองสาว อรอนงค์และปวีณาก้มหัวชิดกันมองในถือมืออย่างตื่นเต้น
เป็นภาพคลิปจากมือถือของเอกดนัยที่ถูกส่งมายังมือถือของอรอนค์แล้ว
“ต๊าย คลิปเด็ดขนาดนี้ ทำไมถึงเพิ่งมาเจอนะ อร”
“ชั้นก็ไม่ทันคิด นี่วิญญาณตาเอกคงมาดลใจให้ชั้นเปิดดูแน่ๆ แต่นี่มันไม่ใช่หลักฐานว่ามันทำให้ตาเอกฆ่าตัวตายนะ”
“โอ๊ย แค่คลิปหลุด เห็นมันนอนเตียงหลับปุ๋ยกับตาเอกขนาดนี้ ก็ฉาวพอแล้วล่ะ”
เสียงวัลภามาก่อนตัว
“คงไม่ฉาว ข่าวใหญ่ เท่าข่าวที่เรา หอบมาจาก อเมริกา หรอกจ้”
อรอนงค์ ปวีณาเงยหน้ามองไปทางประตู
วัลภายืนโพสท่าสวยยิ้มแต้ สองสาวตาโต
“ยายวัลภา”
วัลภานั่งกลางเมาท์กระจาย มีอรอนงค์ ปวีณานั่งฟังอย่างสนใจ
“ชั้นยังแทบไม่อยากเชื่อเลยนะแก ว่านังชาจะร้ายขนาดนี้ อุ้ย เมียของอีตาฝรั่งผัวเก่าของยายชา เป็นเพื่อนสนิทกับฮันนี่ของชั้น นั่งเมาท์ให้ชั้นฟังหมดไส้ หมดพุงเลยล่ะแก”
อรอนงค์ ตื่นเต้น ยิ้มสาแก่ใจ
“เราต้องการหลักฐาน เธอจะหาหลักฐานได้มั้ย ยายภา”
ที่โรงพยาบาลตอนนี้ พยาบาลเข็นเตียงเข้ามาเพื่อมารับเจริญขวัญไปรับการผ่าตัด ดวงแก้วกอดกุมมือลูกปลอบ
“ไม่ต้องกลัวนะลูก”
“แม่ต่างหาก ทำใจให้เข้มแข็งนะคะ ขวัญจะไม่เป็นไรค่ะ ขวัญรักแม่”
ดวงแก้วยิ้ม ก้มจูบหน้าผากลูก
“แม่ก็รักหนู”
พยาบาลจะช่วยพาเจริญขวัญลงเตียง
“ผมช่วยเองครับ”
อิศราเข้าช้อนอุ้มร่างเจริญขวัญยกลงบนเตียงรถเข็นอย่างทะนุถนอม ก่อนก้มจูบมือยิ้มให้
“เดี๋ยวพบกันนะจ้ะ”
เจริญขวัญยิ้มตอบ กำลังใจจากแม่และคนรักเต็มเปี่ยม
เจริญขวัญนอนบนเตียงที่นางพยาบาลเข็นมา มือเจริญขวัญสั่นจนเธอต้องยกมาประสาน
อิศรายื่นมือมาจับมือเธอปลอบ เจริญขวัญมองอิศราเดินตามมายิ้มให้กำลังใจตลอดทาง
ประตูห้องผ่าตัดเปิดออก พยาบาลเข็นพาเจริญขวัญเข้าไป อิศราคลายยิ้ม ยืนมองตามจนประตูปิดลง ดวงแก้วมองตามแล้วค่อยๆ ทรุดลงนั่งหน้าห้อง ห่วงใยลูกสาวเหลือเกิน
ร่างเจริญขวัญนอนหลับตาอยู่ ถูกสวมหน้ากากออกซิเจนให้ รอบๆ ยาสลบออกฤทธิ์ ร่างทุกคนเบลอ ทั้งหมอและพยาบาล ที่ทำการต่อชีวิตให้เธออย่างขันแข็ง ทุ่มเท
อิศราที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อ มีดวงแก้วนั่งรอข้างๆ พยายามสงบใจ
สักครู่ประตูห้องเปิดออก อิศรา ดวงแก้ว ลุกพร้อมกัน และกังวลปนคาดหวังไม่ต่างกัน หมอไพโรจน์ เดินออกมา หยุดยิ้มพยักหน้าให้เป็นคำตอบ ดวงแก้วแทบร้องไห้ อิศราดีใจเหลือล้น
“การผ่าตัดเรียบร้อยดี แต่ต้องดูแลรักษาตัวให้ดี ไม่ควรทำงานหนักในช่วงฟื้นตัว เพราะหัวใจก็ยังไม่แข็งแรง”
ดวงแก้วยกมือพนม น้ำตาคลอ “คุณหมอ ขอบคุณมากนะคะ”
ไม่นานต่อมา คุณหญิงเพ็ญนั่งคุยอยู่กับอิศราที่แวะมาหา สองคนดื่มกาแฟพลางคุยกัน
“แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง อาก็ไม่มีเวลาไปเยี่ยมเลย”
“หมอให้พักฟื้นที่โรงพยาบาลอีกสองสามวันแล้วก็ให้ไปพักต่อที่บ้านครับ อาหญิงครับ พอขวัญหาย เราจะแต่งงานกัน”
คุณหญิงอดทึ่งไม่ได้ “เธอยอมหยุดชีวิตเพลย์บอยที่แม่ขวัญจริงเหรอ อิศรา”
“ครับ! ผมอยากจะขอให้อาหญิงกับอาผู้ชายเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายผม นะครับ”
คุณหญิงรับคำอย่างเต็มใจ “ก็เอาสิ”
“ขอบคุณมากครับ งั้น ผมขอตัวก่อนนะฮะ”
อิศราไหว้แล้วลุกจะเดินออกไป แต่พอหันมาเห็นชาลินีมายืนกอดอกพิงประตู ยิ้มเยาะ
“คนผ่าหัวใจ อ่อนแออย่างนั้น จะแต่งงานมีลูกมีเต้าได้เร้อ...อิศ”
“ขอบใจที่สนใจ แต่ไม่ต้องยุ่งจะดีมาก”
อิศราเดินออกไปเลย ชาลินีแค่นหัวเราะตาม
“เธอไปกัดเขาทำไม” คุณหญิงเพ็ญไม่พอใจ
“แม่ก็เดาทางนายอิศไม่ออกหรือคะ ที่เขายอมตกล่องปล่องชิ้นกับยายหน้าจืดชาวไร่ชาวสวนน่ะ ก็เพื่อฮุบบ้าน ก็เท่านั้น”
คุณหญิงวางแก้วพูดไม่มองหน้า
“ดีนะ ทั้งลูก ทั้งหลาน จะแต่งงาน ไม่มีใครจริงใจกันสักคน”
“เอ๊ะ แม่ ทำไมต้องมาแขวะถึงหนู”
คุณหญิงลุกพรวด กัดฟัน พูดเน้น น้ำตาคลอด้วยความคับแค้นใจ “ยายชา แกรู้มั้ย ชั้นไม่เคยหลับตาลงสักคืน ชั้นเห็นแต่หน้าแก กับมือที่เปื้อนเลือดของหลานชั้น”
ชาลินีชะงักกึก ปราดไปหาคุณหญิงมารดา
“แม่พูดอะไร” ชาลินีปากสั่นน้ำตาคลอ “จะย้ำความผิดพลาดของหนูทำไม ในขณะที่หนูกำลังจะมีความสุข ทำหน้าที่ของแม่ส่งหนูให้ถึงฝั่ง สักครั้งได้มั้ยคะ”
คุณหญิงเพ็ญมองหน้าลูกสาวที่เว้าวอนแกมบังคับ แล้วเบือนหน้าหนี กลัดกลุ้มกดดันมากๆ
ชาลินีกดดันหนัก แต่ฝืนทำเป็นเข้มแข็งทระนง ไม่มีอะไรมาหยุดหล่อนได้อีกแล้ว!
อ่านต่อตอนที่ 17 อวสาน