xs
xsm
sm
md
lg

เงา ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เงา ตอนที่ 7

ขณะเดียวกันนั้น อรุณแวะมาหาตามที่อยู่ที่เจริญขวัญให้ไว้ เขาเดินมากดกริ่งหน้ารั้ว แล้วชะเง้อมองเข้าไปในบ้านหลังใหญ่โต รอสักครู่ วันจึงมาเปิดประตู เดินออกมามองหน้า ถามเสียงขุ่น

“มาหาใครคะ”
อรุณขยับจะพูด วันชิงพูดอีก
“อ้อ...หรือมาขายของ ขายอะไรจ้ะรูปหล่อ หม้อไหกระทะหรือชาลดความอ้วน”
“โทษนะครับ คือ...เจริญขวัญ อยู่บ้านนี้หรือเปล่า”
วัน ชะงัก มองอรุณหัวจดเท้า
ดวงแก้วออกมา จากด้านในบ้าน เจออรุณยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ในห้องรับแขก
“พ่ออรุณ” ดวงแก้วยิ้มดีใจ “นั่งก่อนสิจ้ะ”
อรุณยกมือไหว้ วันลอบมองสองคนอย่างอยากรู้อยากเห็น ก่อนเดินไป อรุณลงนั่งเจียมตัว มองไปรอบ
“โอ้โห...ตอนแรกผมคิดว่ามาผิดบ้าน ขวัญล่ะครับ”
“ไปข้างนอกกับคุณอิศราจ้ะ ไปตั้งแต่ก่อนเที่ยง ไม่รู้เลยว่าจะกลับเมื่อไหร่”
“อ้าว เหรอครับ..แล้ว ไปกันแค่สองคนเองเหรอครับ”
ดวงแก้วพยักหน้าไม่ได้คิดอะไรมาก แต่อรุณเริ่มไม่สบายใจ
“เออ พ่ออรุณ ช่วยดูนี่ที” ดวงแก้วควักกระดาษแผ่นเล็กในกระเป๋าส่งให้ “หมอประจำตัวยายขวัญเขาให้ชื่อหมอที่เก่งเรื่องโรคหัวใจมา แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้ย้ายไปโรงพยาบาลไหน พ่อรุณพอจะสืบหาให้อาทีได้ไหม”
“ได้ครับ” อรุณยิ้มยินดี

อิศราเดินเตร่อยู่หน้าร้านหนังสือพูดโทรศัพท์ผ่านบลูธูท ตาคอยมองไปทางเจริญขวัญที่ยังเลือกซื้อความสุขอยู่ในร้านหนังสือใบหน้ายิ้มแย้ม
“อยู่แต่ในร้านหนังสือเกือบชั่วโมงแล้ว ยืนรอจนเมื่อยแล้วเมื่อยอีก”
ยินเสียงชาลินีหัวเราะ “เธอนี่ ไม่มีน้ำยาจริงๆ เหรอเนี่ย”
“บ้า..แค่นี้นะ”
อิศราวางสายหันไป เห็นเจริญขวัญคุยกับพนักงานขายในร้าน ก็หันกลับมาเบื่อๆ
แต๋วและเพื่อนสาวแต่งตัวเปรี้ยวเดินผ่านมาเห็น
“อุ้ย พี่อิศขา” แต๋วปราดหาเกาะแขน “มาเที่ยวห้างเวลากลางวันเป็นด้วยเหรอคะ”
อิศราตกใจกลัวเจริญขวัญเห็น “ผมมาทำธุระน่ะ”
แต๋วคล้องแขนหมับ “มาเจอแบบนี้เค้าเรียกพรหมลิขิตค่ะ ไปหาอะไรทานกันนะคะ”
อิศรามองไปทางเจริญขวัญ เห็นกำลังจะจ่ายเงิน ชักหงุดหงิดแต๋ว จับสองมือของแต๋วจากแขน
ใบหน้าอิศรายิ้ม แต่ตาเข้ม ดุ “ผมบอกแล้วไง ว่าผมมีธุระ”
แต๋วหน้าเจื่อนไป
จากในร้านเจริญขวัญหันมามองหาอิศรา เห็นแต๋วกับเพื่อนสาวเดินจากไป อิศรามองตามแล้วหันมาสบตาเจริญขวัญ ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ เจริญขวัญยิ้มตอบ

เจริญขวัญรอพนักงานคิดเงินอยู่ที่เคาท์เตอร์
“ทั้งหมด สองพันแปดร้อยยี่สิบ”
“อุ๊ย เกือบสามพันเลยเหรอคะ” เจริญขวัญหน้าเสียด้วยตังค์ไม่พอ “เอ้อ...ขอเลือกบางเล่มออกได้ไหมคะ”
อิศราเดินเข้ามาวางเงินบนเคาท์เตอร์ เจริญขวัญหันมามอง อิศราไม่มองเธอแต่พูดกับพนักงาน
“คิดเงินเลยครับ”
มาดอิศราดูแมนมาก เจริญขวัญตะขิดตะขวงใจ

สองคนอยู่ตรงโต๊ะมุมสวยในร้านขนมบรรยากาศน่ารัก พนักงานเอาขนมเบเกอรี่สีสวยน่าทานมาวางเสิร์ฟ พร้อมถ้วยไอศกรีมสำหรับเจริญขวัญ และกาแฟสำหรับอิศรา สีหน้าเจริญขวัญแช่มชื่น
“อนุญาตให้ขวัญคืนเงินเถอะนะคะ แม่รู้ ขวัญโดนดุแย่”
“เป็นอะไรไป ขวัญมีศักดิ์เป็นน้องผม พี่ดูแลน้อง ไม่ผิดหรอก” อิศราผายมือเชื้อชวน “ทานซะสิ เดี๋ยวไอศกรีมละลาย”
เจริญขวัญเริ่มทาน อิศราเปิดถุงหยิบหนังสือออกมาดูทีละเล่ม แล้วหัวเราะ
“ขวัญท่าจะชอบอ่านหนังสือเด็ก”
หนังสือส่วนใหญ่ที่เจริญขวัญเลือกซื้อมา มีแต่หนังสือภาพสวยๆ สำหรับเด็กๆ
เจริญขวัญหัวเราะ “เรามีลูกๆหลานๆของคนงานที่ไร่ กับเด็กๆ ในชุมชนหลายคนค่ะ ขวัญจะเอาไปเล่านิทานแล้วก็เอารูปไปให้เด็กๆ ดู”
อิศราพยักหน้ารับรู้ แล้วหยิบอีกเล่มมาดู เป็นหนังสือเกี่ยวกับ โรคหัวใจ
“มีหนังสือทางการแพทย์ด้วย จะเอาไปอ่านให้เด็กฟังเหมือนกันเหรอ”
เจริญขวัญยิ้ม เลี่ยงไม่ตอบ เสทานขนม อิศราปรายตามองแววตาครุ่นคิด
“เสาร์นี้ จะมีประชุมญาติ เพื่อแนะนำ ขวัญกับคุณอาดวงแก้ว”
“เหรอคะ” เจริญขวัญยิ้ม ตื่นเต้น “ดีจังจะได้พบญาติพี่น้องของคุณพ่ออีก”
“อาเล็กหายสาบสูญไปนานญาติทุกคนก็อยากรู้จักอาดวงแก้ว กับขวัญ แล้วก็...” อิศราซ่อนอารมณ์ที่กรุ่นๆ ในใจ “จะได้จัดการเรื่อง มรดกคุณย่าให้เรียบร้อย”
สีหน้าเจริญขวัญจริงจังขึ้นด้วยนึกเกรงใจ “คุณอิศคะ...ขวัญไม่เคยนึกมาก่อนว่า คุณย่าจะยกบ้านหลังนี้ให้...บ้านที่คุณอิศอยู่มาตั้งแต่เด็ก”
อิศราซ่อนสีหน้า และพยายามสะกดอารมณ์ “ตั้งแต่...เกิด”
เจริญขวัญยิ่งกังวล “แล้ว...คุณอิศจะ...ไม่เป็นไรเหรอคะ”
อิศราสะกดอารมณ์ ก่อนตีหน้าซื่อ ยิ้มบาง
“ไม่ต้องห่วงหรอก ที่จริงผมก็เตรียมจะย้ายออกนะ” อิศราหลบสายตาเพราะพูดคำโกหกอยู่ “ผมมีคอนโดอยู่ แต่จะหมดสัญญาเช่าอีกสองเดือน”
เจริญขวัญตกใจนิดๆ “คุณอิศ ไม่ต้องย้ายไปไหนหรอกนะคะ ขวัญ..ขอร้อง” น้ำเสียงของเธอกระตือรือร้น “ขวัญกับแม่ก็คงไม่ได้อยู่ที่บ้านนี้ตลอดหรอกค่ะ อย่างเก่ง ก็คงจะไปๆ มาๆ เพราะเรามีไร่ต้องดูแล..นะคะคุณอิศรา”
อิศราอมยิ้ม “คนอยู่บ้านเดียวกัน ต้องเรียกให้ห่างเหินได้ยังไงเรียก พี่อิศ สิจ๊ะ”
เจริญขวัญเขิน “ค่ะ พี่อิศ”
อิศรายิ้มทรงเสน่ห์ ตากรุ้มกริ่มประสาเสือผู้หญิง

เจริญขวัญยังมองโลกในแง่งามเสมอ ไม่คิดอะไร

ทางฝ่ายอรุณ รอสักพักแล้ว จึงลุกเดินออกมาหยุดมองไปยังทางเดินหน้าบ้าน เห็นอิศรา กับเจริญขวัญ ลงรถเดินยิ้มแย้มเข้าประตูบ้านมา

เจริญขวัญยิ้มทัก “อ้าว อรุณ”
อรุณยิ้มกว้าง “ขวัญ”
เจริญขวัญปราดมาหา ด้วยความดีใจ
“มาเมื่อไหร่ มาถูกด้วย เก่งจัง”
“มาสักพักแล้วละ” เด็กหนุ่มเหลือบมองมายังอิศรา
เจริญขวัญมองตามแล้วเอ่ยถามอิศราขึ้น “พี่อิศจำอรุณได้ใช่ไหมคะ”
“ได้สิจ๊ะ เพิ่งเจอเมื่อสองวันนี่เองนี่” อิศราทำท่าเหมือนจะรับไหว้
อรุณเพียงก้มหัวทักทาย
อิศราหมั่นไส้ทันที แต่หันไปยิ้ม แตะบ่าเจริญขวัญเหมือนพี่ชายใจดี อรุณมองแล้วไม่สบอารมณ์
“ตามสบายนะจ๊ะ”
“ขอบคุณมากนะคะ พี่อิศ”
อิศรายิ้มแล้วจะเดินขึ้นห้อง พอผ่านหน้าอรุณก็เหลือบมองอย่างไม่ถูกชะตา อรุณมีสีหน้าชัดว่าไม่ถูกชะตาเช่นกัน

อรุณ กับ เจริญขวัญ เดินคุยกันมาในสวนสวย
“มาแค่สองวัน ดูขวัญ สนิทกับ..เขามากเลยนะ”
“ก็...แหม เราก็เป็นญาติกัน”
สองคนมาหยุด อรุณเหลียวมองความใหญ่โตของบ้าน
“ญาติเพิ่งเจอ ก็เหมือนคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันนั่นแหละ จะเป็นคนยังไงก็ไม่รู้”
เจริญขวัญไม่ชอบใจนัก “เธอพูดอะไรของเธอน่ะอรุณ”
อรุณเปลี่ยนเรื่อง เสยิ้ม มองไปทางตัวบ้านอีกที “มรดกของขวัญ...เบ้อเริ่มเลยเนอะ” อรุณมองเจริญขวัญ พลางยื่นมือไปแตะหัวเย้า “เป็นเศรษฐีแล้วสิเนี่ย”

อิศราออกมาจากอีกมุมหนึ่งของบ้าน มองมายังสองคน สีหน้าสงสัย เคร่งขรึม
เจริญขวัญค้อน “บ้า มาจับหัวเขาทำไม”
“โอ๋ๆ ขอโทษน๊า...” อรุณยิ้ม ยกสองมือบีบแก้มอย่างสนิทสนม “แม่เศรษฐี”
“อรุณนี่ บ้าชะมัด เดี๋ยวเถอะ”
เจริญขวัญตีอรุณ อรุณหัวเราะ
อิศรา มองจ้องอยู่ไม่วางตา สงสัยครามครันว่าสองคนคุยกันเรื่องอะไร

เจริญขวัญมาส่งอรุณที่ประตูรั้ว
“ไปนะ แล้วจะแวะมาอีก พาไปเที่ยว”
เจริญขวัญยิ้ม “แล้วนี่จะเดินออกไปเหรอ ซอยลึกอยูนะอรุณ”
“เดินไปเรื่อยๆ เดี๋ยวคงเจอวินมอเตอร์ไซค์ ไม่ต้องห่วงหรอก” อรุณยิ้มบอก
เสียงรถบีบแตรลั่น สองคนหันไปมอง เห็นรถอิศราแล่นออกมาจากในบ้าน จอดเทียบ หน้าต่างเปิดลง อิศราสวมแว่นดำ หันมายิ้มบางๆ
“จะกลับแล้วเหรอครับ”
เจริญขวัญ กับอรุณมองฉงน
“ขึ้นรถสิ” อิศรายิ้มทอดไมตรี

อิศราขับรถแล่นมา อรุณนั่งเงียบๆ มาตลอดทาง
“จะไปไหน”
“เกษตร...ครับ แต่ผมลงถนนใหญ่ก็ได้” อรุณว่า
“น้อง ชื่ออะไรนะ”
“อรุณ”
“เป็น...เพื่อนกับน้องขวัญนานแล้วเหรอ”
“ตั้งแต่ ป.1” อรุณฟังทะแม่งๆ “ทำไมเหรอครับ”
อิศรายิ้ม “ก็ไม่ทำไมหรอก น้องขวัญเป็นเหมือนคนในครอบครัว ผมก็อยากรู้จักเพื่อนน้องขวัญบ้าง”
อรุณยักไหล่ ยิ้มกวน “งั้นผมก็คงต้องฝากเนื้อฝากตัวไว้กับพี่มั่งสินะครับ เผื่ออนาคต ผมต้องมาเป็นน้องเขย”
อิศราแตะเบรกโดยไม่ตั้งใจ ทำให้รถกระชาก อรุณแทบหน้าคะมำ
“โทษ พอดีเห็นตัวอะไรไม่รู้” อิศราจงใจแขวะอรุณ “มันบ้า ดันมาวิ่งตัดหน้า”
อรุณลอบมองสีหน้าหงุดหงิดระคนสงสัย

ไม่นานนักรถอิศราจอดส่งตรงป้ายรถเมล์ อรุณหันมาขอบคุณและบอกลา
“ขอบคุณครับ อ้อ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ...ว่าที่พี่เขย”
อิศราหงุดหงิดไม่มองหน้า อรุณยิ้ม ลงจากรถปิดประตู
อิศราขับปราดไปเลย อรุณมองตาม
“ไอ้พี่คนนี้...แปลกๆ ว่ะ”
ส่วนอิศราขับรถมาตามทางหงุดหงิดสุดๆ กับคำพูดอรุณ
“ไอ้เด็กบ้า..กวนโอ๊ย จริงๆ”

ทางด้านอรอนงค์นั่งซึมอยู่ในห้องน้องชาย มีปวีณาและวัลภา คุยกับแอ๋วอยู่
“ชั้นให้แม่บ้านมาทำความสะอาดให้เรียบร้อยแล้วนะคะ”
“ขอบคุณนะคะ” ปวีณาบอก
“เอ้อ...ชั้นว่า น่าจะนิมนต์พระมาสวดหน่อยก็ดีนะคะ...คือ มันแปลกๆ”
วัลภาฉงน “แปลกยังไงคะ”
“ก็...คนที่อยู่ชั้นนี้ ยัง...รู้สึกว่า เหมือนยังมี...ใครอยู่ในห้องนี้น่ะค่ะ...เค้าว่า คนที่ฆ่าตัวตาย จะอยู่กับที่ตายไม่ไปไหน” แอ๋วว่า
อรอนงค์ น้ำตาหยดสงสารน้อง
“ค่ะๆ ขอบคุณมากค่ะ”
“อ้อ...เจอมือถือนี่ อยู่ใต้โต๊ะด้วย...พี่ไปก่อนนะคะ”
แอ๋วส่งมือถือให้ปวีณา ก่อนเดินออกไป ปวีณาส่งมือถือใส่มืออรอนงค์
“ดูสิ ว่าเอก โทร.หาใครเป็นคนสุดท้าย”
อรอนงค์ยังนั่งซึมอยู่ แต่คิดบางอย่างได้ กดเปิดมือถือน้อง แต่พบว่าแบตหมด จึงหยิบ Power bank มาเสียบแล้งกดเปิดเครื่องทันที

มือถือชาลินีที่วางอยู่ในห้องดังขึ้น หล่อนหยิบมือถือมาดูแล้วต้องตกใจ
“เอก”
ชาลินีตกใจวางมือถือลง เสียงมือถือยังคงดังต่อเนื่อง พร้อมชื่อเอกดนัยปรากฏขึ้นหน้าจอ
ชาลินีมองตะลึง แล้วตั้งสติได้ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็น โกรธ

อรอนงค์ถือมือถือเดินมา และเปิด Speaker phone ฟังกับอีกสองสาว
ยินเสียงรอสายจากมือถือคู่สาย
วัลภาค่อนแคะ “สงสัยเห็นเป็นเบอร์น้องเอก ตกใจหงายหลังพึ่งไปแล้ว นึกว่าผีหลอก”
ปวีณาบอกน้ำเสียงหยัน

“หรือไม่ก็ไม่กล้ารับสาย เฮอะ”

ทันใดนั้น มีเสียงกดรับสาย เป็นเสียงแข็งกระด้างของชาลินีดังลอดออกมา

“ว่าไง”
อรอนงค์แค้น เจ็บใจ “ชาลินี”
“ใช่ โทร.มาหาชั้นไม่ใช่เหรอ คงคิดสินะว่าใช้มือถือของเอกโทร.มาแล้วชั้นจะช็อก”
เสียงอรอนงค์เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “เธอเป็นคนสุดท้ายที่เอกคุยด้วย”
ชาลินีชะงักไปชั่วขณะ รีบคุมสติสวนออกมาไม่ยี่หระ “แล้วไง”
อรอนงค์สวนกลับรุนแรง “เธอต้องรู้ว่าเอกผิดปกติ ถ้าเพียงแต่เธอ พูดกับเขาดีๆ เขาคงไม่ทำแบบนี้”
“หยุดโทษฉันซะทีที่เอกตาย ถ้าคิดจะโทษใครสักคน โทษตัวเองดีกว่ามั้ง อรอนงค์”
“ต๊าย แรงนะยะ” วัลภาโกรธ
“เธอทำตัวเป็นแม่เขา ทำเหมือนเขาเป็นลุกแหง่ ไม่ให้อิสระกับเขาเอง เขาถึงได้กลายเป็นคนอ่อนปวกเปียกแบบนี้”
อรอนงค์สะอื้นไม่มีเสียง เจ็บปวดจนสุดจะประมาณ “เธอ...เธอ กล้าโทษชั้น”
ชาลินีรำคาญ “ชั้นจะพูดกับเธอเป็นครั้งสุดท้าย”
กลุ่มสามสาวที่ฟังโทรศัพท์อยู่ ตะลึงกับความแรงของชาลินี
“ฉัน...”
ด้านหลังกลุ่มสามสาว วิญญาณเอกดนัย ยืนอยู่ตรงมุมมืดของห้อง
“ไม่เคยรักเอก” ชาลินีบอกเสียงเข้ม
สามสาวไม่รู้ว่าผีเอกดนัยฟังอยู่ในมุมมืดของห้อง ดวงตาเศร้าและสะเทือนใจ ก่อนจะกลายเป็นดวงตาแข็งกร้าวของความแค้น
“เอกยิงตัวตายเพราะความใจอ่อน ความโง่ของเขา ไม่เกี่ยวกับชั้นและต่อไปนี้ เราก็จบสิ้นกันนะ อรอนงค์ ไม่ต้องพยายามติดต่อฉันมาอีก”
ชาลินีกดปุ่มปิดมือถือ หน้าเครียด
อรอนงค์เรียกไว้ “ชาลินี เดี๋ยวก่อนสิ”
“มันวางหูไปแล้ว” ปวีณาบอก
อรอนงค์ร้องไห้อย่างเคืองแค้น
“เอก...น้องพี่ ได้ยินหรือยัง ว่าเอกเป็นเหยื่อของมัน...เอกน้องพี่”
วัลภาปลอบ “ใจเย็นๆ อร”
ในมุมมืด วิญญาณเอกดนัยยืนอยู่ สีหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาแดงก่ำ แค้นระคนเศร้า

อิศรามาหาท่านชายวสวัตที่วัง เวลานี้นั่งอยู่ที่เคาท์เตอร์บาร์ในห้องรับแขก อิศรารินเหล้าเอง ท่านชายยืนเบื้องหลัง
“เห็นว่าเมื่อวาน ท่านชายแวะไปเยี่ยม ท่านเจ้าของตึกสองแม่ลูกนั่น”
“ใช่ ทำไมเหรอ”
อิศราคลายความกังวลในใจลง “ก็มีคนเขาหึงท่านชาย มาฟ้องผมน่ะสิครับ”
ท่านชายหัวเราะเบาๆ “ฉันแค่นึกสนุกอยากไปเห็นเสียหน่อยว่าเธอจะกล่อมคุณเจริญขวัญเรื่องบ้านยังไง”
อิศราทอดเสียงนุ่มเมื่อพูดถึงเจริญขวัญโดยไม่รู้ตัว “เจริญขวัญเป็นคนแปลก ไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงอื่นที่ผมเคยเจอ บางทีก็ดูซื่อๆ แต่บางทีก็ดูฉลาด”
ท่านชายลอบมอง
จู่ๆ อิศราเกิดหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อนึกถึงอรุณ “รู้ไหมครับ ว่าเจริญขวัญมีแมงหวี่มาคอยเกาะๆ แกะๆอยู่...ผมคงทนไม่ได้แน่ ถ้าบ้านผมจะมีไอ้เจ๋อนั่นมานั่งชูคอเป็นเจ้าของบ้านไปด้วย”
ท่านชายสัพยอก “ตกลง เป้าหมาย อยู่ที่ผู้หญิง หรือบ้าน”
“มันก็ต้องผู้หญิงก่อนสิครับ ถึงจะได้บ้าน”
ท่านชายซ่อนสีหน้าชิงชัง “ลึกซึ้งไม่ใช่เล่น”
อิศราสะดุดใจในน้ำเสียง “ท่านชายคงไม่ชอบใจวิธีของผม”
“ทำไมฉันต้องชอบหรือไม่ชอบ ในเมื่อมันเป็นเรื่องของเธอ ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”
“ผมมันหลังชนฝาแล้วครับท่านชาย ถ้านรกมีจริง ผมคงตกนรกล่ะ แต่ผมยอม...แต่ชีวิตที่ยังมีอยู่ ผมต้องสบาย”
พญามารเตือนสติ “มนุษย์...คิดได้เพียงเท่านี้นะ เงิน ความสบายส่วนตัว ไม่แยแสความดีชั่ว” ท่านชายคลี่ยิ้มออกมา “เอาเถอะ ฉันจะคอยดู ว่าเธอจะทำได้ถึงขนาดไหน”
อิศรายิ้ม ยกเหล้าดื่มดับความหงุดหงินในใจ

ค่ำคืนนั้นอิศราเดินเข้าบ้านมา ท่าทางเหมือนมึนเมาหน่อยๆ วันสาวใช้จอมเจ๋อประแป้งหน้าขาว ออกมาคอยรับใช้
“วันนี่คุณอิศกลับเร็ว ยังไม่เที่ยงคืนเลย”
อิศราฉุน “เป็นแม่ฉันเหรอ พูดจา...”
“ขอโทษค่ะ คือวันแค่เป็นห่วง”
อิศราลงนั่ง ถอดถุงเท้า
“คนอื่นล่ะ”
“นอนกันหมดแล้วค่ะ เอ้อ...คุณอิศคะ วัน...เอ้อ..เฮ้อจะเล่าดีมั้ยน้า” วันลังเล
“มีอะไรก็พูดมาสิ”
“คือ...วัน...แอบได้ยินคุณดวงแก้ว คุณเจริญขวัญ เขาพูดว่า...เอ้อ...”
“อะไร” อิศราเริ่มรำคาญ
“เขาอยากขายบ้านน่ะค่ะ”
อิศราชะงัก มือกำแน่น ตาวาววับ
“ถ้าขายบ้าน วันกะป้าสีจะไปอยู่ไหนคะ แล้วคุณอิศจะทำยังไงคะ”
อิศราแค้นใจและกังวล ผุดลุกพรวด ตะเพิดวัน
“จะไปไหนก็ไป”
วันตกใจ รีบเดินเร็วรี่หนีไป
อิศราหันขวับไปมองรูปย่าอุ่น อย่างแค้นใจ เสียใจ สีหน้าครุ่นคิด

เช้าวันถัดมา แม่ลูกลงครัวกันแต่เช้า เห็นหม้อตั้งเตาอยู่ มีข้ามต้มหมูดูน่ากิน ดวงแก้วคนข้าวต้มหมูนั้นอยู่ในครัว
มีวันและสีคอยเป็นลูกมือ สีมองหม้อข้าวต้ม “หอม น่ากินจังเลยค่ะ คุณดวงแก้ว”
เจริญขวัญอยู่ด้วยยิ้มชื่น “แม่ทำกับข้าวอร่อยหลายอย่างนะคะ ยิ่งผัดเผ็ดปลาดุกทอดกรอบงี้..อื้อหือ”
“ขวัญก็...นี่คุณอิศราตื่นหรือยังนะ”
“ตื่นแล้วค่ะ อยู่หลังบ้าน” วัน
“ขวัญ ไปดูสิ คุณอิศหิวหรือยัง จะได้ทานพร้อมกัน”
“ค่ะ”
เจริญขวัญเดินออกไปทางหลังบ้าน

เจริญขวัญเดินออกมาเหลียวหาอิศรา สักครู่หนึ่งได้ยินเสียงเหมือนคนกระโดดน้ำ เจริญขวัญหันไป เห็นอิศรากำลังว่ายน้ำอยู่ในสระ สีหน้าเจริญขวัญขัดเขิน จะเดินไปเรียกก็อายจะหันกลับก็กระไรอยู่ อึ้งๆ อยู่นานสองนาน จนอิศราว่ายมาใกล้จุดที่เจริญขวัญยืน โผล่พรวดมาเกาะขอบสระ
“อ้าว น้องขวัญ”
เจริญขวัญกระอึกกระอัก อิศรายิ้ม โหนตัวขึ้นจากสระ สะบัดผมที่เปียก
เจริญขวัญลอบมองโดยไม่ตั้งใจ เห็นร่างแกร่งกำยำ กล้ามท้องเป็นลอน ซิกซ์แพ็คของอิศราก็หน้าแดง หันหน้าหนี อิศราปรายตามอง ยิ้มๆ
“ขวัญ ช่วยส่งผ้าเช็ดตัวให้พี่หน่อยได้ไหมจ๊ะ”
เจริญขวัญเก้ๆ กังๆ หันไปหยิบผ้าเช็ดตัว ยื่นให้ แทบไม่หันมามอง อิศรายิ้มในสีหน้า หยิบผ้าเช็ดตัวมาพันเอว
เจริญขวัญบอก “แม่..ให้มาตามไปทานข้าวค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ”
เจริญขวัญอายจัด รีบเดินไป อิศรามองตามแววตาเจ้าเล่ห์เพทุบาย

อิศราเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เดินออกมาตรงเทอเรซบริเวณริมสระ แล้วชะงัก เมื่อเห็นเจริญขวัญ ดวงแก้ว กำลังจัดโต๊ะอาหาร และหันมายิ้มต้อนรับอย่างอบอุ่น อิศราคลายยิ้ม สีหน้าเกือบเหมือนอิศราคนเดิม แต่แล้วก็สลัดความใจอ่อน ยิ้มเจ้าเสน่ห์เสแสร้งแทนขณะลงนั่ง
“โอ้โห อะไรครับเนี่ย”
“ข้าวต้มเครื่องค่ะ ไม่ทราบว่าคุณอิศราชอบอาหารเช้าแบบไทยๆไหม”
“ผมมันพวกลิ้นจระเข้ อะไรผมก็กินได้ แต่ที่ไม่ชอบคืออะไรที่มันเผ็ดมาก”
เจริญขวัญหัวเราะ “จำน้ำพริกของแม่ วันนั้นได้มั้ยคะ”
ดวงแก้วหัวเราะตาม อิศรายิ้ม ก้มตักข้าวเข้าปาก
“อื้อ...อร่อยจริง”
ดวงแก้ว กับเจริญขวัญยิ้มที่เห็นอิศราชอบ อิศรายิ้มนัยน์ตาเข้มโดยสองแม่ลูกไม่ทันเห็น
ที่ห้องรับแขกตอนสายวันนี้ ญาติ 3 คน หน้าเดิม นั่งอยู่ในนั้นแล้ว คุณหญิงเพ็ญ และ ชาลินี ยืนอยู่มุมห้อง
ญาติหญิง 1 หันมาทางคุณหญิง “แม่เพ็ญคิดว่า ไม่ผิดตัวแน่นะ”
“หญิงจะไปรู้ได้ยังไงคะ ชาว่าไงลูก เคยเจอแล้วนี่”
ชาลินียักไหล่พรืด “โน คอมเมนท์ค่ะ”

ญาติหญิง 1ดูเหมือนยังไม่เชื่อสนิทใจนัก

อิศรา เดินนำ ดวงแก้วมากับเจริญขวัญเข้ามาในห้องรับแขก ท่าทางสองแม่ลูกตื่นเต้นมาก

“ทุกท่านครับ”
ทุกคนหันมอง
“ผมขอแนะนำ คุณอาดวงแก้ว ภรรยาของคุณอาเล็ก แล้วก็ เจริญขวัญ ลูกสาวอาเล็กครับ”
ดวงแก้ว และ เจริญขวัญ ยิ้ม ยกมือไหว้ ชาลินียิ้มบางเฉียบดูอารมณ์ไม่ออก
คุณหญิงเพ็ญและญาติอื่นๆ ต่างรับไหว้ มองหัวจดเท้า ดวงแก้ว และเจริญขวัญหน้าเสียไปบ้าง
ดวงแก้วทำใจเย็นเดินมาหา คุณหญิงเพ็ญ
“คุณเพ็ญ ยังสวยเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนเลยนะคะ”
“คุณหญิงเพ็ญจ้ะ..เรียกให้ถูกหน่อยสิ คนกรุงเทพฯเขาถือ”
ดวงแก้วยิ้มเจื่อนๆ เจริญขวัญพลอยเจื่อนไปด้วย

ทนายวันชัยมาถึง ทุกคนย้ายมานั่งล้อมโต๊ะในห้องหนังสือของบ้าน วันชัยนั่งหัวโต๊ะ อิศรายืนอยู่ใกล้
“ที่ผมเชิญทุกท่านมาวันนี้ เพื่อแจ้งให้ทราบว่า เป็นที่น่าเสียใจที่คุณเล็กได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ยังคงมีทายาทคือ คุณเจริญขวัญ ซึ่งก็จะเป็นผู้ที่ได้รับมรดกคือบ้านหลังนี้ และหลังจัดการเรื่องสวดครบร้อยวันกับเผาแล้ว ผมก็จะทำเรื่องของการโอนกรรมสิทธิ์และแบ่งสมบัติส่วนอื่นๆ ตามพินัยกรรม”
คุณหญิงเพ็ญทักท้วง “เดี๋ยวนะ อย่าหาว่าฉันหาเรื่องเลยนะ เราจะมั่นใจได้ยังไง ว่าแม่หนูคนนี้เป็นลูกของคุณเล็ก”
ดวงแก้วชะงักตกตะลึง
ญาติชาย 1 พยักพเยิดตาม “นั่นสิ เอาอะไรมาพิสูจน์ ตาเล็กเสียไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
ดวงแก้วเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ดิฉัน...ดิฉัน...มีคุณเล็กคนเดียว”
เจริญขวัญกุมมือปลอบดวงแก้ว “แม่”
อิศรามาหยุดเบื้องหลังเจริญขวัญวางมาดญาติแสนดี “ผมว่าพูดแบบนี้ เสียมารยาทไปหน่อยไหมครับ”
ญาติๆ ค้อนควักกันทั้งแถบ
“เธอมั่นใจได้ยังไง” คุณหญิงเพ็ญค้อนอีก “ถ้าเธอไม่เสียดายว่าบ้านที่ควรจะเป็นของเธอ อาจจะตกไปอยู่ผิดคน ก็ตามใจ”
เจริญขวัญหน้าเสีย อิศรายกมือจับบ่าสองข้างของเจริญขวัญทางเบื้องหลัง
“ครับ ผมมั่นใจ...ว่าน้องเจริญขวัญคือ ลูกสาวของอาเล็ก และเป็นเจ้าของมรดกบ้านหลังนี้ ตามพินัยกรรมของคุณย่า”
ชาลินียิ้มพูดเบาๆ อย่างรู้ทัน “บราโว”
“ที่สำคัญ อะไรที่เป็นความปรารถนาของคุณย่า...ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว จบไหมครับ”
เจริญขวัญตื้นตันใจที่อิศราช่วย ญาติๆ มองค้อน ทนายวันชัยมองอย่างสนเท่ห์ ประหลาดใจและไม่ค่อยเชื่อใจอิศรานัก
ชาลินีมองอิศราขำๆ เมื่อสบตากันชาลินีแอบขยิบตาให้
อิศรายิ้ม มือที่จับบ่าเจริญขวัญบีบเบาๆ เจริญขวัญรู้สึกดีเหมือนมีอิศราคอยปกป้อง

ขณะเดียวกัน เงาท่านชายในกระจกหลังเปียโนที่วังขรึมดุ “เธอเริ่มแผนของเธอแล้วสินะ อิศรา”

บรรดาญาติๆ กำลังเดินกลับ อิศรายืนส่ง กับคุณหญิงเพ็ญและชาลินี
คุณหญิงเพ็ญเอ่ยขึ้น “อาล่ะแปลกใจเธอจริงๆ อิศรา ไหนเคยหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่จะเสียบ้านไป พอตอนนี้ กลับมากางปีกปกป้อง”
“เขาว่า ใจคน เหมือนสายน้ำไม่ใช่เหรอครับ” อิศรายักไหล่หัวเราะ
“เอาเถอะ เรื่องของเธอ” คุณหญิงเพ็ญหันมาทางชาลินี “แม่ไปล่ะ ที่ประชุมสโมสรตามแล้ว”
“ค่ะ แม่”
ชาลินีมองตามมารดาแล้วหันไปอีกทาง เห็นดวงแก้ว เจริญขวัญ ยืนคุยกับทนายวันชัยอยู่
“เธอนี่ แสดงละครเก่งไม่ใช่ย่อยเหมือนกันนะ นั่น ดู อีตาทนาย เอาใจกันน่าดู”
อิศรามองตาม

ทนายวันชัยบอกกับดวงแก้ว เจริญขวัญ
“ผมจะเตรียมเอกสารทุกอย่างให้เรียบร้อย คุณเจริญขวัญก็เตรียมเอกสารตามที่ผมบอก หลังวันเผา ผมจะนัดไปอำเภอกันนะครับ”
เจริญขวัญไม่ค่อยสบายใจนัก ยกมือไหว้ทนาย ทนายรับไหว้ เดินมาทางอิศรา เจริญขวัญ ดวงแก้ว มองตาม

อิศรา ชาลินี และทนายวันชัยเดินคุยกันมา
“ผมกลับล่ะ ขอให้โชคดีนะครับ คุณอิศ”
“โชคดี” อิศราแค่นหัวเราะประชด “ขอบคุณครับ”
“ถ้าคุณหญิงท่านได้รับรู้ ว่าคุณอิศใจกว้างแบบนี้ ท่านคงพอใจมาก...ผมเอง...ยังแทบไม่อยากเชื่อ”
อิศราตวัดตามอง วันชัยยิ้มรู้ทัน แล้วเดินออกไป
“พูดยังกะรู้ทันเธอยังงั้นแหละ”
“ตาทนายนี่แหละ ตัวยุ่ง” อิศราหงุดหงิด
ชาลินียิ้มปรายตามองไปทางเจริญขวัญ “จะทำอะไรก็รีบทำซะน๊า..อิศก่อนที่ทุกอย่างมันจะหลุดลอยไป”
อิศรามองตามไปทางเจริญขวัญ
เจริญขวัญหันมาสบตา อิศราก็ปรับสีหน้าส่งยิ้มอบอุ่นไปให้
เจริญขวัญยิ้มตอบ

แต่พอเจริญขวัญหันไปคุยกับแม่สีหน้าอิศราก็คลายยิ้ม นัยน์ตาเข้ม ชาลินียิ้มรู้ทัน

อ่านต่อหน้า 2

เงา ตอนที่ 7 (ต่อ)

สองแม่ลูกกลับขึ้นห้อง ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจนักต่อการไม่ยอมรับของบรรดาญาติๆ ดวงแก้วทรุดลงนั่งเศร้าลึกๆ แต่ท่าทีสงบ เจริญขวัญเอ่ยขึ้น

“แม่ ขวัญมือเย็นไปหมดเลย”
“เป็นอะไรลูก”
เจริญขวัญยิ้มบางๆ “ตื่นเต้นน่ะจ้ะแม่ ได้เจอญาติๆ ของพ่อตั้งหลายคน”
ดวงแก้วอึ้งไป ไม่อยากสบตาลูก “พวกเขาคงไม่ค่อยตื่นเต้นนักที่ได้เจอแม่ แม่ก็ยังเป็นแค่คนบ้านนอกสำหรับคนในตระกูลคุณพ่อ หนูเลยพลอยโดนเหน็บไปด้วย” ดวงแก้วรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา “คิดกันได้ยังไง พูดกันได้ยังไง ว่าหนูอาจจะไม่ใช่ลูกของคุณพ่อ”
เจริญขวัญยิ้มชื่น กอดแม่จากทางด้านหลัง “ลืมไปเถอะค่ะแม่ อย่างน้อย คุณอิศราก็ชื่อเราและก็ปกป้องเรา พี่อิศ กับคุณชาลินีก็ดีกับเราจังเลยนะคะ”
ดวงแก้วยังไม่สบายใจอยู่ดี รำพึงออกมา “แม่ก็เห็นอยู่..แต่...เฮ้อ...”
“หรือถ้าแม่ไม่สบายใจ เราคืนบ้านเขา แล้วกลับบ้านเรากัน..เอาไหมจ๊ะ”
“บ้านหลังนี้เป็นสิทธิ์ของหนูโดยชอบธรรม ถึงมันอาจจะเป็นบ้านเก่า แต่มันอาจจะเป็นหลักประกันให้ชีวิตหนูได้ในอนาคต”
“หรือของแม่...ถ้า..เกิด...วันหนึ่ง..ไม่มีขวัญ” เจริญขวัญว่า
ดวงแก้วดุ “เอ๊ะ ดูพูดเข้า”
“ก็แม่ ยังพูดเลย” เจริญขวัญยิ้ม กอดแม่ “แม่ ขวัญไม่ยึดถือสมบัติเหล่านี้เลยนะคะ ถ้าแม่ไม่สบายใจ เราก็ไม่ต้องเอาหรอก ไว้รอเวลาทำบุญครบร้อยวันคุณย่าแล้วถึงจะได้โอนบ้าน วันนั้นเราค่อยตัดสินใจอีกที ดีไหมคะ”
ดวงแก้วยิ้มพยักหน้ารับ กอดหอมแก้มเจริญขวัญอย่างรักใคร่และชื่นชมความคิดลูก

ทั่วทั้งวัง ดูวังเวง ทั้งที่เป็นตอนหัวค่ำแท้ๆ
นายพลพินิจ และคนสนิท เดินขึ้นบันไดตามหลังสิริมา ผ่านหุ่นนกตรงที่พัก จนขึ้นมายังชั้นสอง
ท่านชายวสวัตยืนรออยู่ในห้องสะสมของโบราณ หันหน้าไปทางแชนเดอเลียร์ และหันหลังให้ ภุมมะ ยืนรอรับใช้อยู่ด้วย
“สวัสดีท่านชาย”
ท่านชายหันมา สีหน้าเรียบเย็น ดูดุ ไร้หัวใจ ทรงอำนาจ และดวงตาคมกริบ
ห่อผ้าในกล่องถูกแกะออกโดยคนสนิทของนายพลพินิจ เผยให้เห็นเศียรพระที่ถูกตัดมา เบื้องแรกท่านชายมองเหมือนตะลึงและเจ็บปวด สุดท้ายกลายเป็นโกรธจัดวูบขึ้นมาจนต้องเก็บซ่อนโทสะนั้น ด้วยการสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง มือท่านชายกำแน่น ภุมมะ กับสิริ มองหน้ากันแล้วค้อมหัวลงรับรู้ความคิด
นายพลพินิจไม่รู้ความในใจท่านชาย หัวเราะเสียงดัง
“นี่เป็นแค่ตัวอย่างของที่ผมจะจัดส่งให้ ท่านชายดูเอาเอง เนี้ยบขนาดไหน”
ท่านชายข่มอารมณ์เต็มที่ พูดโดยไม่มองหน้า น้ำเสียงดุ “สมบัติของแผ่นดิน ท่านนายพลยังกล้า...เอ้อ...สามารถนำมาได้”
ท่านชายหันมองนายพลพินิจช้าๆ ยิ้มบางเฉียบ “ถ้าไม่ใช่ คน...อย่างท่านนายพลพินิจ คงไม่มีใครทำได้”
นายพลพินิจหัวเราะชอบใจ “ผมมีชื่อเสียงเรื่องนี้ คนที่อยากขายวัตถุโบราณไปต่างประเทศ มันต้องมาหาผมทั้งนั้น เหมือนทีมีคนแนะนำท่านชายให้มาหาผมนั่นแหละ เออ...ว่าแต่นายวิเชียรที่แนะนำท่านชายมาหาผม มันหายไปไหน ท่านชายรู้ไหม”
ท่านชายวสวัตเหลือบมองนายพลพินิจ
หวนนึกถึงภาพในนรกภูมิ วิญญาณสัตว์นรกตนหนึ่ง ซึ่งคือวิเชียรที่นายพลพินิจถามถึง กำลังอ้าปากร้องอย่างทุกข์ทรมาน นายนิรบาล กำลังทิ้งหอกใส่ร่างวิญญาณตนนั้นที่ดำผุดดำว่ายในทะเลนรก ร้องโหยหวน

ท่านชายดึงตัวเองกลับมา เยื้อนยิ้มอย่างจงชัง น้ำเสียงกร้าว “เขาก็คงได้อยู่ ในที่ที่เขา สมควรอยู่”
“งั้นถ้าไม่คาสิโนที่ลาสเวกัส ก็ต้องมาเก๊า หรืออาจจะใกล้ๆ แถวปอยเปต ไอ้วิเชียรมันชอบ” พินิจหัวเราะร่า
ท่านชายพึมพำเหยียดยิ้มเย้ยหยัน “ปอย...เปรต...ท่าจะใช่”
สิริ และภุมมะสบตากัน ยิ้มเกรียม
นายพลพินิจหัวเราะเอง เสียงดัง แต่แล้วก็สะดุดไป เมื่อทั้งห้องไม่มีใครหัวเราะด้วยแม้แต่คนสนิท
“เอ้อ...” พินิจมองรอบห้อง “ท่านชายเองชื่นชอบสะสมของโบราณนี่เอง มิน่า เอ...หรือท่านมีที่ขายต่างประเทศ”
ท่านชายพูดเสียงเกือบเป็นดุ “สมบัติของแผ่นดิน...ควรอยู่บนแผ่นดินของตัวเอง ขอโทษ ผมมีธุระ คงต้องขอตัวก่อน”
“เดี๋ยวสิ เอาเป็นว่า ของล็อตใหม่ล่าสุดแต่เป็นของโบราณแท้แน่นอน ผมจะจัดการให้เรียบร้อยในวันสองวันนี่แหละท่านชายเตรียมเงินไว้ ตามที่เราตกลงก็แล้วกัน”
ท่านชายก้มศีรษะนิดๆ หน้าดุดัน และทนขยะแขยงไม่ไหว เดินออกไปเลย
นายพลพินิจงง
ไม่นานต่อมา นายพลพินิจเดินดุ่มๆ มาหยุดหน้าประตูตึก อาละวาดใส่คนสนิท อย่างอารมณ์เสีย
“เอ๊า มายืนเป็นบื้อทำไม ไปตามคนรถมให้มารับอั้วสิวะ”
“ครับนาย” ลูกน้องคนสนิทวิ่งไป
นายพลพินิจขุ่นเคืองไม่หาย “หยิ่ง เต๊ะ เหลือเกินท่านชาย เฮอะ ขายล็อตนี้แล้วไม่เสวนาด้วยแล้ว ทำท่าเหมือนใหญ่ซะเหลือเกิน เป็นใครมาจากไหนวะ”
จู่ๆ สิริ เคลื่อนออกมาจากกรอบประตูเบื้องหลัง
“ท่านยิ่งใหญ่..เกินกว่าที่..คุณ...จะนึกได้ เชียวละ”
นายพลพินิจหันมามองสิริ สีหน้าไม่พอใจนัก สิริยิ้มมุมปาก ถอยหลังไป
“อะไรของมัน ทำไมอยู่ๆ ขนลุก...รถอยู่ไหนวะ ช้าจริง”
นายพลพินิจขนลุกเกรียว เดินไปทางรถลูกน้อง

ท่านชายวสวัตยืนมองเศียรพระที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนโต๊ะ แววตาเต็มไปด้วยความเสียใจ ภุมมะยืนอยู่ สิริเดินเข้ามายืนข้าง ค้อมศีรษะ
ท่านชายหน้าเศร้า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ยามอโยธยาเรืองรุ่ง กวาดตามองไปที่ใด ล้วนงามจับตา ประหนึ่งแดนสวรรค์” พญามารเสียใจจนน้ำตาคลอ “ยามคนดีมีศีลธรรม หมั่นเข้าวัด รักษาศีล องค์พระปฏิมาคือสิ่งสูงค่าเหนือตน” พลางตวัดตามามองเศียรพระอย่างระทม “เดี๋ยวนี้ คนขาดศีล สิ้นสำนึก มอง...พระ...เป็นเพียงวัตถุ ที่ถูกทำลาย เพื่อแลกเงินตรามาสนองกิเลสของพวกมันสมบัติของแผ่นดิน ของชาติ ของศาสนา แท้ๆ” ท่านชายสั่งเสียงกร้าว “สิริ ภุมมะ”
“เจ้าข้า”
สีหน้าท่านชายดุดันจนน่ากลัว เอ่ยถามเสียงต่ำในลำคอ
“สัตว์นรก..ถึงเวลา ที่มันต้องได้รับการลงทัณฑ์”
“เจ้าข้า”

ภุมมะและสิริน้อมรับเสียงเข้ม

ในความมืดมิดยามค่ำคืน มีแสงจากไฟหน้ารถพุ่งมาหยุด และจอดลงที่หน้าวัดร้างแห่งหนึ่ง

ในรถกระบะคันที่แล่นเข้ามา มี โบ้ ตุ่น ก้าน ชายชาวบ้าน 3 คน ที่มีกระเป๋าย่ามใส่เครื่องมือตัดเศียรพระ คนสนิทนายพลพินิจ และลูกน้องชาย 1 อีกคน ในชุดดำ เป็นคนขับเข้ามา ทั้งหมดลงจากรถ
คนสนิทนายพลพินิจ สั่งการดุ ยืนคู่ชายชุดดำ ทั้งสองมีปืนเหน็บอยู่ที่เอว
บรรยากาศในวัดร้าง ดูวังเวง องค์พระพุทธรูปปูนปั้น องค์ใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่กลางแสงสลัว
ตุ่น กับ ก้าน ส่องไฟฉาย โบ้ เอากระเป๋าวางกับพื้น เปิดออก ดึงเครื่องมือตัดเศียรพระออกมา
ตุ่น ก้าน จุดคบไฟ วางให้แสงเป็นระยะๆ
แสงไฟสาดสะท้อนพระพักตร์พระพุทธรูป แลดูงดงามเข้มขลัง แสงไฟสาดไปที่เศียรพระ ดูสงบ
โบ้ ตุ่น ก้าน ขยับเข้าไปที่องค์พระเบื้องหน้า โบ้ และ ตุ่น ปืนขึ้นองค์พระ ก้านตรงไปที่ส่วนมือขององค์พระ
พวกมันจะตัดเศียรและมือตามออเดอร์
คนสนิทนายพลพินิจ มองสามคนเข้าที่เตรียมจะทำงาน ก่อนจะหันมาพยักหน้ากับ ชายชุดดำอีกคน พากันเดินออกไปด้านหน้าเพื่อไปคุมเชิง
ทั้งสองเดินออกมา ในลักษณะคุมคอยดูว่าจะมีใครหลุดหลงมา

ในบรรยากาศมืดมิดวังเวง มีแสงเพียงไฟที่จุดเป็นหย่อมๆ พอมองเห็น ที่บริเวณมือขององค์พระ ก้านขยับจับมือสำรวจ กะบริเวณที่จะตัด ส่วนที่ที่เศียร โบ้ และตุ่น ปีนขึ้นไปอย่างไม่เกรงกลัว
จู่ๆ มีลมกรูมาวูบใหญ่ พัดใบไม้แห้งกระจายไปทั่วบริเวณ น่าประหลาดที่ลทเคลื่อนเข้าหากลุ่มสามคนอย่างประสงค์ร้าย
โบ้ และตุ่น สัมผัสลมที่พัดมาจากเบื้องหลัง พากันชะงักนิดๆ ไฟพลิ้วลู่ เมื่อลมพัดเจียนดับ
จู่ๆ พื้นดิน รอบองค์พระสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทำให้ โบ้ ตุ่น ก้าน รู้สึกได้ อุปกรณ์ในมือของก้านร่วงลงพื้น แรงสะเทือนทำให้ ทั้งสามคนต้องหาที่ยึด และตื่นตกใจ
แลเห็นเงาตระหง่านของยักษ์ พาดไปที่องค์พระ ที่สามคนจับอยู่

ผู้แสดงสิริ ภุมมะ คนติดตามนายพลพินิจ ชายชุดดำตปก อีก 1คน
คนสนิทนายพลพินิจ กำลังเอาปากคาบบุหรี่ และจุดไฟแช็ค พอจะจ่อบุหรี่ ไฟเกิดดับ ต้นไม้ไหว ลมพัดแรง
“ฝนจะตกหรือไงวะ”
ชายชุดดำลูกน้อง 1 มองไปรอบๆ
พบว่าในราวป่าหลังต้นไม้ไปที่ทั้งคู่ยืนคุมเชิงอยู่ มีเงาร่างภุมมะยืนหันหลังให้อยู่ แล้วก้าวออกจากเงามืดมาหา
ลูกน้อง 1 ร้อง “เอ๊ะ”
คนสนิทถาม “อะไร”
ลูกน้อง 1 ทำทียกนิ้วจุ๊ปาก มือล้วงปืนพกออกมา มองไปในป่า อย่างระแวดระวัง
คนสนิทนายพล ควักปืนออกมาเตรียมพร้อม หันไปมองรอบตัว เดินแยกออกจากกันช้าๆ คนสนิทนายพลพินิจ เพ่งดูหลังต้นไม้
สิริ ยืนแฝงตัวอยู่ในความมืดหลังต้นไม้เขม้นมองมาอย่างดุดัน
“เฮ้ย”
คนสนิทเล็งปืนไป พลันร่างสิริ กลายเป็นควันดำเงาพุ่งปราดไปยังต้นไม้อีกด้านหนึ่ง คนสนิทกวาดมือเล็งปืนตามอย่างตกใจ
ในขณะที่ลูกน้อง 1 หันมาอีกทาง เจอภุมมะยืนทะมึนอยู่ในเงามืด แต่พอเล็งปืนไป ภุมมะก็วูบเป็นควันดำพุ่งหายไปอีกทาง ทั้งสองคนตกใจ เงาดำพุ่งปราดสวนกันไปมา

ส่วนด้านในวัดบริเวณองค์พระยังคงมีแรงสะเทือนจนสามคน ต้องเกาะเกี่ยวยึดองค์พระไว้อย่างตื่นตระหนก ไต้ที่จุดปักไว้ที่ผนัง ตกลงพื้น สามคนหน้าตื่น มองไปมองมา
ยักษ์ตัวใหญ่ สวมโจงกะเบนสีแดงขุ่นเดินเข้ามา เงาร่างยักษ์พาดใกล้ โบ้ และตุ่น ทั้งสองคนเงยหน้ามองอย่างตกใจ ใบหน้าดุดันเหมือนยักษ์ ตาโตสีแดงก้มมาใกล้โบ้และตุ่น
ยักษ์คำราม เสียงกึกก้อง “ไอ้คนใจบาป”
สามคนร้องลั่นไม่เป็นเสียงมนุษย์
เท้ายักษ์ยกกระทืบลงกับพื้นอีกที เกิดแรงสั่นสะเทือน เลื่อนลั่น โบ้กับตุ่นทนแรงสะเทือนไม่ได้ มือร่วง ตกลงจากองค์พระที่เกาะไว้
โบ้ตกลงหัวชนแง่งหิวคอหักตายคาที่ ส่วนตุ่นตกลงมาเจ็บ คลานถอยหลังหนีกระเซอะกระเซิงร้องโหยหวน ตามองยักษ์ที่เดินเข้าหาอย่างตื่นตะลึง ยักษ์เดินเข้ามาจ้องอย่างเคืองแค้น
“มึง...ต้อง...ตาย”
ตุ่นร้องลั่น พลิกตัวหนีอย่างรวดเร็วและไม่ทันระวัง ตัวตุ่นพลิกไปทับเครื่องมือที่ตกลงมาก่อน เสียบทะลุตายคาที่ ก้านตกใจกับเหตุการณ์ประหลาด
เงาดำคล้ายลมไต้ฝุ่นพุ่งมาม้วนเอาวิญญาณ โบ้และตุ่นไป ก้านร้องลั่น
ยักษ์หันมาหาก้านที่ซุกตัวอยู่ข้างองค์พระ ยกมือไหว้ปลกๆ
“คุณพระคุณเจ้า ช่วยลูกช้างด้วยคร๊าบ ฮือๆ” ก้านร้องไห้
สีหน้ายักษ์ถมึงทึง

ฝ่ายชายสองคน ยังคงหมุนตัวไปมาในระหว่างทีเงาดำพุ่งปราดสลับไปมา ซ้ายที ขวาที ก้านเปล่งเสียงร้องลั่นวิ่งหนีตายออกมา
คนสนิทนายพลพินิจหันขวับไปด้วยความตกใจ แล้วยิงเปรี้ยงออกไป ร่างก้านทรุดลง
“อ้าว เฮ้ย” คนสนิทร้องลั่นเมื่อเห็นว่าเป็นก้าน
สิริ ปรากฏตัวออกมายืนอยู่เบื้องหลัง หัวเราะลั่น คนสนิทหันมา ตกใจสุดขีด สิริหัวเราะหึๆ
ชายชุดดำลูกน้อง 1 ที่ยืนตรงข้ามหันมาเห็นภุมมะยืนนิ่งจ้องอยู่
“มึง...มึงเป็นใครวะ”
ลูกน้อง 1 ยกปืนเล็งใส่ภุมมะที่ยิ้มอยู่
กลายเป็นว่า ลูกน้อง 1 และ คนสนิทนายพลต่างเล็งปืนหันใส่กันเองโดยไม่เห็นกันและไม่มีร่าง ภุมมะ สิริ ทั้งสองยิงเปรี้ยงเข้าใส่กัน
ลูกน้อง 1 ทรุดลง คนสนิทนายพลโดนกระสุนที่อก แต่ยังไม่ถึงชีวิตทรุดฮวบ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเห็น สิริ กับ ภุมมะ มายืนจ้องหน้า เงาดำพุ่งมากวาดวิญญาณ ก้านและชายชุดดำไป
คนสนิทนายพลตกตะลึงพรึงเพริด แล้วเริ่มสะอึก เลือดไหลออกจากปาก
“คุณพระ...”
มือสิริเอื้อมมาบีบปากของมัน
“พระ? มึงไปไม่ถึงหรอก ที่ของมึง...รออยู่แล้ว”
คนสนิทนายพลสะอึก เลือดพุ่งออกจากปาก ตายตกไปตามกัน เงาดำตวัดมากอบวิญญาณไป

ร่าง สิริ กับ ภุมมะวูบหายไป

มองออกไปยังนอกหน้าต่างของวัง แลเห็นแสงฟ้าแลบแปลบปลาบ เสียงฟ้าคะนอง และฝนยังคงตกหนัก ท่านชายวสวัตยืนกอดอกมองไปนอกหน้าต่างนั้น แสงฟ้าแล่นสาดกระทบร่างท่านชายเป็นระยะๆ สองมือท่านชายยื่นออกไปเบื้องหน้า หัวเราะ กึกก้อง

“คะนองให้เต็มที่ คะนอง...ให้มนุษย์ สำนึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับฟ้าดิน ความดี ความชั่ว ย่อมอยู่ในสายตาของฟ้าดินทั้งสิ้น บาปชั่วต่างๆ อยู่ในอำนาจที่ข้าจะได้รู้ ได้เห็น ได้ยิน”
สิริ ภุมมะ ยืนอยู่ด้านหลังท่านชายแล้ว
“ไม่มีบาปของคนใด ทีข้าจะปล่อยให้มันผ่านไป โดยไม่ทวงหนี้ชดใช้ !!
สายฟ้าผ่าเปรี้ยง ตามด้วยฟ้าแลบฟ้าคะนอง ไม่หยุดหย่อนที่นอกหน้าต่าง
“แสดงอิทธิฤทธิ์ของเจ้าเข้าไป เพื่อให้ใครสักคน จะต้องชดใช้คำสาบานที่เคยไว้ให้ต่อเจ้า”

รถนายพลพินิจแล่นมาตามถนนท่ามกลางเสียงฟ้าคำรามก้อง และสายฟ้าแลบแปลบปลาบ ฝนตกหนักอยู่ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
นายพลพินิจนั่งอยู่ด้านหลัง พยายามกดมือถือ ด้วยสีหน้าหงุดหงิดงุ่นง่าน
“เฮ้ย หายหัวไปไหนวะ บ้าเอ๊ย”
สุธรรมเป็นคนขับรถให้ “อะไรเหรอครับนาย”
“ก็เจ้าชาญน่ะสิ สั่งให้ไปทำงานอะไรให้หน่อย หายไปเลยไม่โทร.มารายงานเลย โทร.ไปก็ไม่รับสาย” นายพลพินิจไม่รู้ว่า ชาญ คนสนิท ตายไปแล้ว
“ฝนกำลังตก คลื่นอาจไม่ดีก็ได้ครับนาย”
พินิจหงุดหงิดไม่หาย “เฮ้อ..เรียบร้อยรึยังก็ไม่รู้”
“งานอะไรเหรอครับนาย”
นายพลพินิจไม่อยากบอก “ก็...ช่างเถอะๆ เอ้อ...วันนี้เลยต้องกวนให้มาขับรถให้”
“ไม่เป็นไรครับ สำหรับนายเรียกผมได้เสมอ”
นายพลพินิจ ยังคงหงุดหงิดที่ตามลูกน้องไม่ได้
รถแล่นออกไปท่ามกลางท้องฟ้ามืดมิด และสายฝนที่ตกไม่ลืมหูลืมตา
จู่ๆ ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงที่รถ จนรถเหลียหลักส่ายอย่างรุนแรง พุ่งไป
สุธรรมตกใจหักพวงมาลัยสุดแรงเกิด รถพุ่งชนเสาไฟฟ้า แสงสว่างวาบของสายฟ้าผ่าอีกเปรี้ยง เสียงฟ้าร้องครืนครันอย่างน่ากลัว

ควันดำม้วนเอาวิญญาณนายพลพินิจ ที่ถูกฟ้าผ่าตาย และสุธรรม เข้ามากองที่พื้นลานตัดสินในนรกภูมิ ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมองอย่างหวาดกลัว นายนิรยบาล ประกบข้าง
ท่านชายวสวัติปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า มีสิริ ภุมมะ ยืนอยู่เบื้องหน้า จ้องมาทางนายพลพินิจอย่างจงชัง
วิญญาณนายพลพินิจตะลึง “ทะ...ท่าน..ที่แท้...ท่าน…”
“สิริ ตรวจดูบัญชีของเจ้าหรือยัง” ท่านชายเอ่ยขึ้น
“เรียบร้อยแล้วเจ้าข้า”
“ว่ามา ข้าจะฟัง”
“สัตว์นรกตนนี้ เคยสาบาน อ้างฟ้าดินเป็นพยานในความซื่อสัตย์ ต่อแผ่นดิน กระทำตนดุจมีศีล แต่กลับโกหกมารยา ทำลายลักทรัพย์ของศาสนา แลยังฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทั้งสองเท้าสี่เท้า ฆ่าถ่วงมนุษย์ทั้งเป็น”
วิญญาณนายพลร้องไห้หวาดกลัวสุดขีด
“เจ้ารู้ล่ะสิว่า โทษผิดบาปทั้งปวง ย่อมต้องได้รับการชดใช้ เจ้าเคยอ้างฟ้าดินเป็นพยาน แต่เจ้าก็หัวเราะเยาะ ตระบัดสัตย์ ดูหมื่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถึงคราว เจ้าก็ต้องชดใช้...สิริ...อ่านโทษของมัน”
“สัตว์นรกตนนี้ ต้องได้รับทุกขเวทนา ในเวตตรณีนที ที่เต็มไปด้วยน้ำเค็มขังได้นานนับกัลป์หนึ่ง ริมฝั่งดาษดื่นด้วยขวากกรด สัตว์นรก จะวิ่งไปดื่มน้ำ จักถูกขวากกรดนั้น ตัดเท้า ร่างกายให้ขาดเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย”
นายพลพินิจร้องไห้พนมมือ ตัวสั่นเทิ้ม วิญญาณสุธรรมเองก็ตกใจกลัว มองนายพลที่หมดสภาพ ก่อนจะหันมามองท่านชายอย่างหวาดกลัว สิริอ่านโทษต่อ
“และร่างมัน ยังต้องตกไปน้ำเค็ม ที่บัวกรดตีอีกครั้ง สัตว์นรกจะกลับตายกลับเป็น ทนทุกข์เวทนา อยู่อย่างนั้น”
“ไม่...ไม่” นายพลพินิจร้องไห้ลนลาน
“บาปของผู้ใด ต้องตกแก่ผู้นั้น”
แสงไฟพุ่งจากร่างท่านชายวสวัตปรากฏเป็นศรีษะไฟ
“ไสหัวมันไป ชดใช้...กรรม!”
วิญญาณนายพลพินิจร้องโหยหวน นายนิรยบาลเข้าประกบ ไฟลุกล้อมทั้งหมดหายวูบไป
วิญญาณสุธรรมมองอย่างตกใจ
“ใคร...ต่อไป”
ภุมมะหน้าตื่น “เอ้อ...กระหม่อมตรวจดูแล้ว เจ้าคนนี้ ไม่มีในบัญชี เจ้าข้า”
วิญญาณสุธรรมหมอบมองท่านชายอยู่ กลัวจนตัวสั่น
ท่านชายหันมองมา สุธรรมยิ่งตัวสั่น ตาเบิกโพลง พนมมือ
“ภุมมะ เจ้าทำงานพลาด”
ภุมมะค้อมหัว
“นำ...มัน...กลับ...ไป”
เสียงดังกึกก้องรอบทิศ
“กลับไป...กลับไป”
เกิดแสงสว่างขาววาบใส่หน้าวิญญาณสุธรรม

ร่างสุธรรมอยู่ในห้องไอซียู ที่โรงพยาบาล หมอไพโรจน์ และพยาบาลผู้ช่วย 2 คน กำลังปั้มหัวใจ
พยาบาล 1 เอ่ยขึ้น “หมอคะ สัญญาณชีพมาแล้ว”
“ดี...เขากลับมาแล้ว”

สุธรรมออกจากห้องไอซียู พักฟื้นอยู่ในห้องผู้ป่วย ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ร่างกาบมีริ้วรอยการบาดเจ็บที่หน้าผาก มีสายน้ำเกลือเสียบอยู่ที่แขนข้างหนึ่ง ตาที่หลับอยู่สั่น ลูกตาภายใต้หนังตากลอกไปมาพึมพำเบาๆ
“ท่าน...ท่าน...”
พยาบาลกรวดน้ำเกลืออยู่หันมามอง หนิง ภรรยาสุธรรมผวามาหาที่เตียง
“พี่..พี่ฟื้นแล้ว..พี่สุธรรม...” หนิงร้องไห้ด้วยความดีใจ
พยาบาลรีบเดินออกไป
สุธรรมพึมพำอีกคำ “เว..ตตรณี..นที”
หนิงงง “อะไรนะพี่”
หมอไพโรจน์ ก้าวเข้ามาโดยเร็ว ตามด้วยพยาบาลที่ไปตาม หนิงถอยเปิดทางให้หมอไพโรจน์จับข้อมือ ตรวจชีพจร และ ม่านตา
“คุณสุธรรม...คุณสุธรรม ได้ยินผมไหม”
สุธรรมค่อยๆ ลืมตา กระพริบตาช้าๆ
“ที่นี่...ที่ไหน...”
“ที่นี่โรงพยาบาลครับ คุณปลอดภัยแล้ว” ไพโรจน์บอก
“เกือบไป...เกือบ...ไม่ได้กลับ...แต่...ท่าน...ท่านตายแล้ว”
หมอไพโรจน์ งง
“ท่าน..ท่านไปเวตตรณีนที”

สุธรรมไอออกมา หมอไพโรจน์กับพยาบาลช่วยกันดูแล

หมอไพโรจน์และหนิงเดินออกมาหน้าห้องคุยกัน

“สบายใจได้แล้วนะครับ อาการทั่วไปของคุณสุธรรม ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
“แปลกจังเลยค่ะ ทำไมถึงทราบว่าท่านตายแล้ว ทั้งๆ ที่เพิ่งฟื้น เรายังไม่ได้บอกอะไรเลย”
“คนเพิ่งฟื้นเวลาเพ้อก็พูดอะไรแปลกๆ ยังงี้ล่ะครับ คงต้องพักผ่อนอีกระยะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะคุณหมอ” หนิงยกมือไหว้
หมอไพโรจน์รับไหว้ หนิงเข้าห้องไป
ด้านหลังของหมอไพโรจน์ยามนี้ ท่านชายวสวัตในชุดดำยืนอยู่ตรงสุดทางเดิน มองตรงมาที่หมอ
หมอไพโรจน์มองตามหนิงเข้าไปในห้อง แล้วรู้สึกเหมือนมีคนมองอยู่ทางด้านหลัง
ไพโรจน์หันไปมองเห็นเสี้ยวร่างของท่านชายเดินเลี้ยวแวบๆ ไปทางหนึ่ง หมอไพโรจน์ฉงน รีบเดินตามไป

หมอไพโรจน์เดินมา แล้วชะงัก สองข้างทาง ไม่มีใคร
“เอ๊ะ หายไปไหนนะ เร็วจริง”
หมอไพโรจน์ ไม่ติดใจ มองนาฬิกาข้อมือ

หมอไพโรจน์ยืนรอลิฟท์อยู่ สักครู่ลิฟท์เลื่อนลงมา ประตูลิฟท์เปิดออกช้าๆ ท่านชายวสวัตยืนก้มหน้าอยู่ในนั้น ค่อยๆ ช้อนตาเงยหน้าขึ้น หมอไพโรจน์มองขณะจะก้าวเข้า ถึงกับชะงัก
สองคนสบตากัน จากสีหน้าเยือกเย็นของท่านชายปรากฏรอยยิ้มบางๆ คล้ายกระตุกยิ้มตรงมุมปาก
ประตูลิฟท์จะปิด หมอรีบเอื้อมมือมาดันประตูให้เปิดแล้วก้าวเข้ามา พลางเอ่ยทัก
“ท่านชายจริงๆ ด้วย เมื่อกี้ผมคิดว่าผมตาฝาด”
สีหน้าท่านชายราบเรียบ
“มาเยี่ยมใครครับ หรือว่า...” หมอมองสำรวจ “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ท่านชายเอ่นขึ้นมาว่า “หมอ เคยบอกว่า วิทยาศาสตร์ คือคำตอบของความเป็นความตาย ของมนุษย์”
หมอไพโรจน์งง “ส่วนใหญ่...ใช่ครับ”
ท่านชายยิ้มพูดเสียงสี “แล้วคน ที่กลับมาจากความตายล่ะหมอ วิทยาศาสตร์การแพทย์อีกงั้นสิ”
“มันจะมีอย่างอื่น เป็นไปได้มากกว่านั้นเหรอครับ”
ท่านชายหัวเราะ น้ำเสียงฟังดูน่าขนลุก “มันไม่น่าแปลกงั้นหรือหมอ คนสองคนนั่งในรถคันเดียวกัน ฟ้าผ่าลงมากลางรถ คนหนึ่งตัวไหม้ ดำเป็นตอตะโก อีกคนหนึ่ง กลับฟื้นจากความตาย”
“ท่านชายหมายถึง นายพลพินิจกับผู้กองสุธรรม เอ๊ะ ท่านชายมาเยี่ยมผู้กองหรือครับ”
ท่านชายไม่ตอบหันมามองหมอไพโรจน์ ถามอีกคำ “หมอเคยได้ยินคำว่า...ชะตา ยังไม่ถึงฆาตไหม”
หมอไพโรจน์กำลังจะขยับพูดตอบโต้
จู่ๆ ลิฟท์หยุดกึก ไฟในลิฟท์มืดลงชั่วครู่ แล้วไฟ Emergency สว่างขึ้นแทนแสงสลัวกว่าปกติ
ท่านชายวสวัตยืนนิ่ง ขณะที่หมอไพโรจน์ร้องลั่น “อ้าวเฮ้ย”

ที่ห้องรปภ. จอมอนิเตอร์หนึ่งในห้อง แสดงภาพเหตุการณ์ภายในลิฟท์ที่ท่านชายกับหมอติดอยู่ในนั้น
ยาม 1 ร้อง “เฮ้ย ลิฟท์ติดอีกแล้ว”
“มีคนอยู่ในลิฟท์หรือเปล่า” ยาม 2 มองจ้องจอ “เอ้า คุณหมอไพโรจน์นี่หว่า”
ทว่าภาพในจอ เห็นเป็นหมอไพโรจน์ยืนอยู่คนเดียว

หมอไพโรจน์กดปุ่มขอความช่วยเหลือในลิฟท์
“ชอบติดอยู่เรื่อย แล้วก็ไม่รู้จักซ่อม”
หมอหันมาทางที่ท่านชายยืนเมื่อครู่
“ท่านชาย”
หมอไพโรจน์ไม่เห็น หันขวับมาอีกทาง พบว่าท่านชายยืนอยู่ใกล้อีกด้านอย่างน่าประหลาด ใบหน้าท่านชายดูขาวซีดแต่กระจ่างในความสลัวของแสงในลิฟท์ ดวงตาที่มองมาคมกริบ มีแววเย้ยหยันมนุษย์โดยที่หมอไม่ทันคิด
“เรื่องบางเรื่อง อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เหมือนที่เราต้องได้พบกัน”
หมอไพโรจน์ตัวแข็ง งุนงง เหมือนถูกตรึงกับที่
ท่านชายขยับมาใกล้มองจ้องหมอ
“หมอเป็นคนดี แต่ก็ยังมีอัตตา มีอคติ” พญามารหัวเราะเบาๆ เย้ยหยันแต่เหมือนกำลังพูดคุยกับเด็ก “บางที เมื่อถึงเวลา เมื่อหมอไม่มีอคติ ลดอัตตา...หมออาจจะค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าคำว่า วิทยาศาสตร์ เชียวล่ะ”
หมอได้แต่ยืนแข็งอยู่ ไม่เข้าใจนัก แต่พูดไม่ออก
“แล้วเมื่อนั้น วิทยาศาสตร์การแพทย์ อาจไม่ใช่สิ่งเดียวที่หมอจะมีไว้ ช่วย...คน”
ลิฟท์เปิดออก ท่านชายเยื้อนยิ้ม เดินผ่านหมอไพโรจน์ออกไป
หมอไพโรจน์ได้สติ หันมาทางประตูลิฟท์เปิดอยู่ รีบก้าวออกไปเกือบปะทะกับยามที่ยืนอยู่
“คุณหมอ โอเคนะครับ”
หมอไพโรจน์หันซ้ายแลขวา ไม่เห็นแม้เงาท่านชาย
“เห็นผู้ชายที่เดินออกมาก่อนฉันไหม เขาเดินไปทางไหน”
“ผู้ชาย...ที่ไหนครับ”
“ก็คนที่ติดในลิฟท์กับชั้น ที่เดินออกมาก่อน ชั้นตามหลังมาติดๆ”
ยามเกาหัว
“ไม่มีนะครับ ผมไม่เห็นใครเลย ผมมาเปิดประตูลิฟท์ ก็มีคุณหมอล่ะครับ เดินออกมาคนเดียว” ยามพูดเสียงอ่อยๆ “คุณหมอ อย่าทำให้ผมกลัวสิครับ”

หมอไพโรจน์ได้แต่ยืนงุนงงสงสัยอยู่อย่างนั้น

อ่านต่อหน้า 3

เงา ตอนที่ 7 (ต่อ)

เจริญขวัญตื่นแต่เช้าเช่นทุกวัน เวลานี้รดน้ำต้นไม้อยู่ อิศรายืนพิงต้นไม้อีกต้นกอดอกมาดเท่ ตาคม กริบมองเจริญขวัญอยู่ เหมือนเสือจ้องลูกแกะ เจริญขวัญยังไม่รู้ตัวยิ้มสดใสสุขใจอยู่อย่างนั้น

อิศราเดินมาช้าๆ ด้วยสายตาเกลียดชังที่ยังปรากฏในดวงตาคมคู่นั้น จนพอมาใกล้ เจริญขวัญหันสายรดน้ำไปทางอิศราโดยไม่รู้ น้ำกระเซ็นไปโดนจนอิศราสะดุ้งถอย
“อุ้ย พี่อิศ ขอโทษค่ะ” เจริญขวัญรีบลดมือที่จับสายยางรดน้ำไปอีกทาง
อิศราหัวเราะ “ไม่เป็นไรจ้ะ นิดหน่อย ขวัญขยันจนพี่อาย ที่จริงพี่จ้างคนทำสวนมาเดือนละครั้งอยู่แล้ว”
“เดือนละครั้ง ไม่พอหรอกค่ะ” เจริญขวัญมองต้นไม้ “มิน่าล่ะ ต้นไม้เศร้าเชียวเอ้อ” พูดแล้วนึกกระดากเกรงจะเป็นการไปว่าอิศรา
“อือ...ต้นไม้พวกนี้...เฉาเหมือนพี่นั่นแหละ” อิศราเล่นละคร
เจริญขวัญฉงน “คะ”
“คุณพ่อคุณแม่ของพี่ เสียไปตั้งแต่พี่ยังเด็ก พี่ก็มีแต่คุณย่า ถึงแม้หลังๆ คุณย่าจะได้แต่นั่งนอนๆ ในห้อง แต่พี่ก็ยังมีคนคุยด้วย พอท่านเสียไป” อิศราพูดกึ่งจริงจังกึ่งหลอกสาวสร้างภาพ “พี่ก็เหมือนตัวคนเดียว”
อิศราทำเป็นไขว้มือด้านหลังเงยหน้ามองต้นไม้ ดูเศร้าในสายตาเจริญขวัญ
“แต่พี่อิศก็ยังมีคุณชาลินี คุณป้าหญิง กับคนอื่นๆ”
“ไม่เหมือนกันหรอก เขาก็อยู่ส่วนเขา” อิศราบอกเสียงเศร้าพลางหันมองเจริญขวัญ ยิ้มอบอุ่นแววตาระยิบระยับเจ้าเล่ห์ “พี่ดีใจนะที่ได้พบ ขวัญ...กับอาดวงแก้ว”
“ทำไมเหรอคะ” เจริญเขินเบี่ยงสายตาหนี “ขวัญมาแย่งบ้านของพี่ไปแท้ๆ”
คำนั้นทำให้อิศราสะดุดกึก ตาเปลี่ยนไปเกือบคุมไม่อยู่ แต่แล้วรีบยิ้มกลบ
“ใครว่า...ขวัญ...กับอาดวงแก้ว มาช่วยเติมบ้านให้เป็นบ้านต่างหาก”
เจริญขวัญเริ่มใจอ่อนหลงเชื่อ ยิ้มบางๆ ใสซื่อ
อิศรายิ้มขยับเข้าใกล้ เอื้อมมือไปช้าๆ เหมือนจะจับมือเจริญขวัญ ใกล้จนเจริญขวัญหน้าแดง แต่อิศรามาจับสายยางรดน้ำจากมือเจริญขวัญ
“มา...พี่ช่วย”
เจริญขวัญปล่อยมือให้อิศรา รดน้ำต้นไม้ไป คอยมอง
“เอ้อ...พี่อิศราต้องบีบหัวสายยางหน่อยค่ะ จะได้เป็นฝอย”
“ยังไงจ้ะ”
เจริญขวัญขยับไปช่วยบีบให้ดู จับสายยางร่วมกับมืออิศราไปด้วย
“แบบนี้ไงคะ”
อิศราหัวเราะหัวใคร่กับเจริญขวัญ
อรุณเดินเข้ามา มือหนึ่งหิ้วถุงพลาสติกใส่ห่อก๋วยเตี๋ยวมาด้วย มองภาพความสนิทสนมนั้นอย่างตกตะลึง แล้วฉุนวูบขึ้นมา ก่อนจะเดินพรวดๆ ไปหาร้องทักเสียงดังลั่น
“ขวัญ”
เจริญขวัญและอิศราหันมา อรุณมีสีหน้าหงุดหงิดเต็มที เจริญขวัญที่ยิ้มอยู่มองอย่างประหลาดใจแล้วเปลี่ยนเป็นลำบากใจ
อิศรามองอรุณด้วยสายตายิ้มเย้ย อรุณชะงัก แล้วอิศราก็รีบเปลี่ยนสายตานั้นเมื่อหันมาทางเจริญขวัญ ที่ยิ้มเก้อๆ ไป

อีกฟากรถท่านชายวสวัตที่มีภุมมะขับ แล่นมาตามถนน โดยมีรถชาลินีวิ่งตามมาด้านหลัง
“ภุมมะ ผู้หญิงคนนั้น ตามข้ามา”
“เจ้าข้า”
“ข้าไม่อยากให้เขาผิดสังเกต”
“เจ้าข้า”
ภุมมะลดความเร็ว จนรถสองคันเริ่มวิ่งตู่คู่ใกล้กัน
ชาลินีในชุดตีกอล์ฟ ชะเง้อมองจากในรถ คลี่ยิ้มพึงใจ กดแตรเรียกถี่ๆ
ท่านชายสะท้อนใจ “ผู้หญิงคนหนึ่ง ดีเกินไป ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เลวเกินไป...ข้าไม่เคยเข้าใจผู้หญิงเลยสักนิดเดียว ภุมมะ จอดรับสมาชิกเก่าของเจ้าขึ้นมาได้”
ภุมมะหักเลี้ยวจอด

รถชาลินีมาจอดต่อท้ายรถท่านชาย ชาลินีก้าวลงมาด้วยชุดตีกอลฟ์สวยงามสดใส
ท่านชายพญามารลดกระจกลง ชาลินีเดินมาเกาะข้างหน้าต่างใส่จริตน่ารักน่าใคร่ มองอาการท่านชายคล้ายคนหยิ่ง แต่หล่อบาดใจหล่อนนัก
“โอ๊ย บังเอิญจังเลยค่ะ รถท่านชายวิ่งเร็วจนชาเกือบตามไม่ทัน ไปไหนมาแต่เช้าคะ”
“เพิ่งกลับจากทำงาน”
“โห ทำงานแต่เช้าเลยเหรอคะ” ชาลินีฉอเลาะ
“งานตามหน้าที่น่ะ” ท่านชายปรายตามอง ยิ้มละไม “เธอล่ะ ไปไหนมา”
“ไปตีกอล์ฟมาค่ะ อือ...ท่านชาย ทานอะไรหรือยังคะ”
ท่านชายปรายตามองอีกครั้ง พลางเลิกคิ้วฉงน
“เอ้อ...ก็ ถ้ายัง จะเชิญไปที่บ้านน่ะค่ะ เอ้อ...” ชาลินีคิดหาคำโกหกปราดเดียว “ชา คุยเรื่องท่านชายให้แม่ฟัง แม่ก็เลยอยากรู้จักน่ะค่ะ”
“เอ ไปพูดยังไงเข้าล่ะ”
“นินทาไว้หลายอย่างเลยล่ะค่ะ นะคะ เดี๋ยวชาจะได้โทร.ตามนายอิศมาด้วย นะคะ ไปรถชาก็ได้ เดี๋ยวตอนกลับ จะให้นายอิศไปส่ง”
ท่านชายยิ้มบางๆ ภุมมะลงมาจากรถ มาเปิดประตูให้ท่านชายลงมา
“กลับไปก่อนนะภุมมะ”
ภุมมะค้อมหัว
ชาลินียิ้มกริ่มดีใจนัก แต่เมื่อแลเลยไปที่ภุมมะ ก็เห็นสายตาและรอยยิ้มเหยียดหยันตรงมุมปากของภุมมะ ที่ไม่น่าพึงใจ
ท่านชายและชาลินีเดินกลับมายังรถชาลินี ที่ตอนนี้หล่อนคิดแผนตีสนิทอีกขณะหันมาหา
“จะเป็นไรไหมคะ ถ้าจะขอให้ท่านชายขับรถ ทำโทษ ฐานที่ทำให้ชาต้องขับรถไล่อยู่ตั้งนาน กว่าจะทัน”
ท่านชายวสวัตยิ้มใบหน้าเรียบ แววตารู้ทันว่าหล่อนเล่นเกมอยู่ พลางเดินไปข้างคนนั่ง เปิดประตูให้อย่างงดงาม

ชาลินีขึ้นนั่งตัวแทบลอย ภาคภูมิใจเหลือแสน ที่ท่านชายคอยปิดประตูให้

ทางด้านอรุณยื่นถุงก๋วยเตี๋ยวให้เจริญขวัญ สีหน้าเคร่งขรึม ยังหงุดหงิดอยู่ไม่คลาย

“เราซื้อผัดไทมาฝาก” อรุณเน้นคำตอนท้าย “ให้ขวัญกับอาแก้วเจ้านี้อร่อยมาก”
เจริญขวัญรับมา ท่าทีอึดอัด “ขอบคุณอรุณ”
อิศรามองอาการของทั้งสองคน รู้สึกนึกสนุกอยากล้วงความนัย ยิ้มเย้า
“น้องขวัญโชคดีจริง มี แฟน คอยเอาใจ”
เจริญขวัญหันขวับมาทางอิศราอย่างตกใจ พอๆ กับที่อรุณหันขวับมาอย่างตกใจ กลัวเจริญขวัญด่า ท่าทีกระอึกกระอัก อยู่นั่น อิศรามองอาการออกทันที หัวเราะเบาๆในลำคอ
“มะ...ไม่ใช่นะคะ คือ อรุณเป็นเพื่อนค่ะ”
อิศรายิ้มปรายมองอรุณ พอสบตาอรุณก็เบือนหน้าหนีอย่างหงุดหงิดและเสียหน้า
“อ้าวเหรอจ้ะ...ไอ้พี่ก็คิดว่า น้องอรุณ...จะเป็น น้องเขยในอนาคต”
เจริญขวัญปฏิเสธอีก “ไม่ค่ะ ไม่ใช่”
อรุณอดเหลือบมองเจริญขวัญอย่างเสียใจไม่ได้ และมองอิศราอย่างเกลียดชังมากขึ้น
อิศราปรายยิ้มกวนตีนใส่อรุณเล็กน้อยอย่างมีชัย

ด้านท่านชายวสวัตขับรถมาในท่าทางสบาย มือเหมือนเพียงแตะเบาๆ ที่พวงมาลัย ชาลินีลอบมองท่านชายอย่างหลงรัก แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นที่เลขไมล์หน้าปัดรถ ชาลินี เอะใจ ชะโงกมอง
“เอ๊ะ ทำไมเข็มพวกนี้ไม่ชี้เลขไมล์เลย เมื่อกี้ยังดีๆ เลยไม่รู้เลยว่าท่านชายเหยียบแค่ไหน”
“สิ่งที่อยู่ใกล้ฉัน มันเป็นสิ่งที่ตายแล้วเสมอ” ท่านชายกล่าวเป็นนัย
ชาลินีหัวเราะ “แหม ทำไมพูดซะแบบนี้ล่ะคะ”
ท่านชายยิ้ม เท้าเหมือนเตะคันเร่งเพิ่ม รถแล่นเร็วปาดแซงคันอื่นไป
“อย่างนี้เขาเรียกว่า ขับแบบแข่งกับมัจจุราชนะคะ”
“ก็ถ้านั่งมากับ มัจจุราชแล้ว จะกลัวทำไม ไม่มีความตายใดๆ จะกล้าล่วงล้ำมาได้”
ชาลินีหัวเราะคิก แล้วคิดได้ “วันก่อน ชาฝันไม่ดีเลยค่ะ ฝันเห็นคุณย่า ท่าทาง เหมือนจะบอกอะไรอย่างนั้นแหละ ที่นั่นน่ากลัว...แล้วก็ มีเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น...เสียงคล้ายท่านชาย”
“งั้นหรือ...งั้นฉันคงเป็นคนน่ากลัวมากสินะ เธอถึงเก็บไปฝันอย่างนั้น”
“ไม่จริงค่ะ ตรงกันข้ามมากกว่า”
“งั้นเธอคงว่า ฉันน่ารักสินะ”
ชาลินีถูกใจอย่างจัง
“มีไม่กี่คนนักหรอกนะ ที่จะเห็นฉันน่ารัก และน้อยคนนัก ที่จะเข้าใจฉัน เห็นใจฉัน...และทำให้ฉัน มีความสุข”
ชาลินีปลื้มอีก เพราะเข้าใจไปอีกอย่าง
“แต่ความสุขนั้น เหมือนสายฟ้า สว่างแวบเดียว แล้วก็จางหาย”
ชาลินีมองยิ้มละมุน “ชา...เข้าใจค่ะ”
ท่านชายหันมองมาดวงตาคมกริบ สีหน้าเหมือนเย่อหยิ่งขึ้นมา
“เธอน่ะเหรอ จะมาเข้าใจฉัน”
เท้าท่านชายแตะคันเร่ง รถพุ่งปราดไปอย่างแรงดูน่าหวาดเสียว

เจริญขวัญ กับอรุณ คุยกันอยู่ในศาลากลางสวน
“เราไม่เข้าใจ ทำไมขวัญต้องมางอนเราด้วย”
“ไม่ได้งอน...โกรธ”
“นั่นแหละ โกรธเราเรื่องอะไร”
“ยังจะมาถามอีก” ท่าทางเจริญขวัญดูหงุดหงิดมาก “ก็รุณน่ะมาทำท่าให้พี่อิศเขาคิดว่ารุณเป็น...แฟนเราทำไม”
“เราทำที่ไหนกัน เราก็แค่มาเจอขวัญธรรมดา หน้าเราก็เป็นแบบนี้ ขวัญกะ...เขาน่ะสิ”
“ทำไม”
อรุณอึดอัด ไม่กล้าพูดตรงมาก และหงุดหงิด
“พี่ชายอะไรกัน ทำท่ายังกะเสือผู้หญิง เราว่าแทนที่ขวัญจะระแวงเรา ขวัญระวังคนอื่นดีกว่า”
“รุณน่ะ..คิดบ้าๆ”
เจริญขวัญหงุดหงิด อรุณถอนใจ มองอย่างละห้อยงอนง้อเช่นเคย
“อย่าทำหน้าแบบนี้ซี่...อุ๊ยๆๆ ดูๆๆ”
“อะไร”
“ตีนกาขึ้นเต็มเลย”
“รุณน่ะ”
อรุณหัวเราะ เจริญขวัญยิ้มขำ
อิศรายืนหลบ คอยแอบมองเจริญขวัญและอรุณอยู่อีกมุมหนึ่ง ด้วยสีหน้าหงุดหงิด ดวงแก้วเดินมาเห็นก็ทักขึ้น
“คุณอิศ” แล้วมองไปตามสายตาอิศรา “อ้าว ตาอรุณ มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“นาย..เอ้อ...น้องอรุณนั่น แฟนของน้องขวัญหรือเปล่าครับท่าทาง สนิทกันมาก” อิศราลวงถาม
“ไม่ใช่หรอกค่ะ” ดวงแก้วยิ้ม “ตาอรุณเป็นลูกไล่ให้ขวัญมาตั้งแต่เด็กแล้ว พ่อนั่นก็ช่างตามใจจนยายขวัญเคยตัว ใช้ให้ทำอะไรก็ทำหมด”

อิศรายิ้ม มั่นใจในแผนร้ายของตัวเองมากขึ้น สีหน้ากลายเป็นขำอรุณ หันมองทางสองคนอีกที ดวงแก้วมองอิศราเริ่มเอะใจ

รถยังคงแล่นทะยานมาอย่างเร็วราวกับจะบิน โดยภายในรถตอนนี้ ท่านชายวสวัตเพียงวางมือแตะพวงมาลัยไว้เบาๆ ปล่อยให้รถแล่นฉิวไป พลางเหลือบตามองมายังชาลีนี พูดอ่อนหวานอย่างเสแสร้ง

“กลัวไหม”
ชาลินีตอบทันที “ไม่กลัวค่ะ ถ้าท่านชายขับ ถึงตาย ชาก็ไม่กลัว”
ท่านชายมองมาอีก พลางหัวเราะ “เห็นจะยังไม่ถึงเวลา”
“ชาพูดจริงนะคะ สำหรับชา...” ชาลินีพูดด้วยท่าทีขวยเขินกึ่งประหลาดใจตัวเองกึ่งจริงจัง “ท่านชายเป็นคนที่...ชาจะพูดยังไงดี มันเหมือน ความผูกพัน...ความ...” หล่อนจะบอกรัก แต่ยังไม่กล้าเลยเปลี่ยนเป็น “เอ้อ...คุ้นเคย”
ท่านชายหัวเราะ เย้ยหยันเล็กๆ “เราอาจจะรู้สึกกันไปคนละทิศ เข้าใจไปคนละทาง แต่มีอย่างหนึ่ง ทีทำให้เราเกี่ยวพันกันไว้ได้ สิ่งนั้น มันเหนียวแน่น...รัดรึง”
ชาลินีฉงน “อะไรคะ”
“สัญชาติญาณไง” ท่านชายเผลอพูดเสียงเข้มขึ้น “สัญชาติญาณ ของบ่าว พอเห็นนายย่อมจำได้ ย่อมจงรักภัคดี ย่อมหมอบราบคาบแก้ว เข้าหา...เพราะ เคยรู้รสโทษทัณฑ์สัญชาติญาณทำให้มนุษย์หาสิ่งเกาะเกี่ยว และเธอกับฉัน ก็มีสัญชาติญาณตรงกันเสียด้วย! เราควรดีใจที่ได้พบกัน”
ชาลินีมองอย่างสงสัยแต่กิริยาน่ารัก ยังไม่ได้เอะใจอะไร ท่านชาย รู้สึกตัว หัวเราะกลบ
“ขอโทษ ที่ฉันอาจจะพูดรุนแรงไปหน่อย แต่ผู้หญิง ทำให้ฉันยุ่งยากเสมอ”
“ท่านชายเคยเฟลหรือคะ”
“ทำไม ฉันมีท่าทางเหมือนคนอกหักงั้นหรือ”
“ก็ไม่ทราบสิคะ เห็นเวลาพูดถึงผู้หญิง ท่านชายจะดูเหยียดๆ หรือจะเป็นเฉพาะแค่กับ ชา” ชาลีนีทำท่างอนงาม
“กับผู้หญิงบางคน...ก็ต้องมีข้อยกเว้น”
“แล้วชา เข้าข่ายยกเว้นด้วยหรือเปล่าล่ะคะ”
ท่านชายปรายตามอง ยิ้มแล้วเมินมาดูถนน “อันนางรูปโสภานั้นหาง่าย แต่ทั้งกายทั้งใจให้งามสม
ย่อมหายากนักหนาน่านิยม หากภิรมย์ชมชื่นรื่นฤดี”
ชาลินีเข้าใจไปเอง เขินอีก กระเง้ากระงอดใส่ “ตอบไม่เห็นตรงคำถาม”
“ก็ตอบ ไว้ให้คิดไง”
ท่านชายวสวัตยิ้มมุมปาก ชาลินีใจละลาย แอบยิ้ม เลยไม่ทันเห็น ว่าท่านชายปรายตามองแล้วแค่นยิ้มหัวเราะเย้ยหยัน
รถแล่นทะยานไปโดยเร็ว

รถชาลินีที่ท่านชายขับแล่นมาถึงหน้ารั้วบ้าน คนรถวิ่งมาเปิดประตูให้ รถแล่นเข้าแล้วจอด ท่านชายลงจากรถ เดินอ้อมไปเปิดประตูให้ชาลินี อย่างมีมารยาทและเล่นเกมอารมณ์ต่อ ที่ชาลินีดูไม่ทันมองมัวแต่ปลื้ม
“ขอบคุณค่ะ” พลางหันมาทางคนรถ “นายผล เอารถไปเก็บในโรงจอดด้วยนะจ๊ะ เชิญค่ะ ท่านชาย”
ชาลินีเดินนำเข้าบ้านไป ท่านชายเดินตาม
คนรถแตะตัวถังรถอย่างไม่ตั้งใจ แล้วงง ลูบตัวถังดูอีก
“แปลกแฮะ ทำไมหน้าหม้อรถเย็นเฉียบอย่างกับจอดไว้ตั้งนานแล้ว เพิ่งขับกันเข้ามาเดี๋ยวนี้เองนี่หว่า”
ชาลินีเดินนวยนาดเข้ามาในห้องรับแขกอันหรูหรา สีหน้าหล่อนตื่นเต้นไม่หาย ท่านชายเดินตามหลัง
“บ้านเล็กคับแคบหน่อยนะคะ”
“ถ้าขนาดนี้เล็ก บ้านคนอื่นก็คงไม่พอหายใจ”
“ท่านชายเชิญนั่งก่อนนะคะ ขอชาไปเรียนคุณแม่ก่อน”
“ตามสบาย ฉันไม่หายไปไหนหรอก”
ชาลินียิ้มหวาน หันตัวจะเดินไปขึ้นบันได พอดีคุณนมเดินหน้าซีด คล้ายคนป่วย มากับคนรับใช้ หญิง 1 ที่ช่วยถือปิ่นโตออกมา
“อ้าว นม จะไปไหนจ้ะ” ชาลินีนึกอายท่านชายว่าที่บ้านมีคนแก่ เกรงไม่นานดูในสายตา
“กำลังจะไปวัดค่ะ” นมบอก
“ทำไมมาทางนี้ ไม่ออกทางหลังบ้าน”
“พอดี นมลืมผ้าเช็ดปากไว้ เมื่อเช้าคุยกับคุณแม่ในนี้น่ะค่ะ”
นมเดินเขยกมา จะผ่านท่านชาย ท่านชายถอยเบี่ยงให้อย่างสุภาพนอบน้อม นมเงยหน้ามองเห็นใบหน้าท่านชายยิ้มละมุน มีแววนอบน้อมเกรงใจ และมีแสงจากแดดส่องกระทบท่านชายดูกระจ่างใสงดงาม นมชะงัก ตะลึงแลในความงามสง่า จนต้องขยี้ตา และเห็นท่านชายยิ้มตอบ
ชาลินีหงุดหงิดที่เห็นนมยืนจ้องท่านชาย ก็ปราดไปหยิบผ้าเช็ดหน้า ส่งให้นมมองท่านชายอยู่
“เอา ตะลึงอะไรอยู่คะนม จะเอาผ้าก็เอาสิคะ”
“ค่ะ ๆ ขอบคุณค่ะคุณหนู”
ชาลินีพยักหน้าให้ หญิง 1 มาประคองนมไปพลางแก้เกี้ยว
“พี่เลี้ยง คนเก่าแก่ของคุณแม่น่ะค่ะ ช่วงนี้ไม่ค่อยสบายแก่แล้วป้ำๆ เป๋อๆ ไปเยอะ”
“เป็นคนแก่...ที่ดีทีเดียว”
“เดี๋ยวชามาค่ะ”

ชาลินีเดินเร็วรี่ขึ้นบันไดไป

ระหว่างนั้นคุณนมเดินมากับหญิง 1ที่คอยประคองมาตรงหน้าบ้าน

“คุณนม ผู้ชายคนนั้น หล่อจังนะคะ แต่ทำไม ดูแล้ว น่ากลัวยังไงบอกไม่ถูก ดูสิคะ ขนลุกเลย”
นม หันไปมองทางท่านชายอีก เห็นท่านชายยืนเอามือไพล่หลังอยู่ งามสง่าดังเดิม นมลูบแขนตัวเอง ขนลุกเช่นกันแต่ตัดบทขึ้นว่า
“ไปกันเถอะ”
คุณนมเดินออกไป ขณะที่ท่าชายยืนสง่างามสีหน้าเรียบอยู่ในบ้านชาลินี

คุณหญิงเพ็ญอยู่ในชุดลำลอง เสื้อกางเกงอยู่บ้านสบายๆ กำลังหมุนตัวดูหุ่นตัวเองหน้ากระจก
ชาลินีเปิดประตู ปราดเข้ามา เก็บอาการตื่นเต้นแทบไม่อยู่
“แม่คะ”
“ชา ดูหน่อยสิ แม่อ้วนขึ้นมากไหม สงสัยต้องไปเข้าคอร์สโยคะ หรือคอร์สลดความอ้วนสักหน่อยละ”
“แม่ รีบลงข้างล่างเถอะค่ะ ท่านชายวสวัตมา”
“ห๊ะ แกว่ายังไงนะ ท่านชายวสวัตน่ะนะ มาบ้านเรา...” คุณหญิงตื่นเต้นในเบื้องแรก แล้วกลายเป็นงง “แล้วมาทำไม”
ชาลินียิ้มกริ่มภูมิใจ “ชาบอกว่า...” หล่อนทำตาโตเหมือนไร้เดียงกับวาจาโกหกหน้าตายนั้น “แม่ชวนท่านมาทานอาหารเช้าที่บ้าน”
“ชั้น...ไปชวนตั้งแต่เมื่อไหร่”
ชาลินีค้อนควัก “แม่ล่ะก้อ...ชาอุตส่าห์ชวนท่านมาบ้านจนได้แล้ว..แม่รีบลงไปดีกว่าค่ะ”
“เดี๋ยวสิ ให้แม่แต่งตัวก่อน”
“อ้าว ก็นี่ไงคะ”
“ท่านชายวสวัตเชียวนะ เราจะให้แม่แต่งตัวปอนๆ ลงไปได้ไง เรารีบไปดูแลท่านเถอะ”
ชาลินี หัวเราะคิก เดินออกไป
“นี่...ชั้นกำลังมีแวว จะได้เป็นแม่ยาย...ท่านชาย เหรอนี่”
คุณหญิงเพ็ญตื่นเต้น รีบปลดกระดุมเสื้อเปลี่ยนชุดหรู

ฝ่ายดวงแก้วคุยอยู่กับอรุณ มีเจริญขวัญอยู่ด้วย
“เรื่องที่อาขอพ่อรุณไว้ ลืมหรือเปล่าจ๊ะ”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมหาพบแล้ว หมอไปต่างประเทศครับ แต่ผมทำนัดรอไว้ให้แล้ว”
เจริญขวัญฉงน “หมออะไรคะแม่”
“หมอที่เชียวชาญเรื่องหัวใจ ที่อาหมอของเราแนะนำให้มาหาไง”
เจริญขวัญทำหน้าเหนื่อยหน่าย
“อยู่แต่ในบ้านไม่เบื่อเหรอครับ วันนี้ให้ผมพาไปเที่ยวดีกว่า” อรุณเสนอ
“ไปกันเถอะ อาขออยู่บ้าน”
อิศราเดินเข้ามาทันได้ยินพอดี
“จะไปไหนกันเหรอ”
“พ่อรุณจะพายายขวัญไปเที่ยวน่ะค่ะ”
“เหรอ...” อิศรายิ้ม “พี่ไปด้วยสิ”
“ไม่ต้องหรอก...เอ้อ..ครับ ผมพาขวัญไปเองได้” อรุณรีบออกตัว
อิศรายิ้มเยาะ แต่ทำทีเป็นขำๆ “ไปยังไงล่ะ แทกซี่ หรือ รถเมล์”
อรุณฉุน “ก็...ไปได้ก็แล้วกันครับ”
เจริญขวัญบอก “รบกวนพี่อิศเปล่าๆ ค่ะ”
“ก็จะไปลำบากทำไม รถพี่มี พี่ก็ว่างๆอยู่แล้ว”
“นั่นสิ ถ้าไม่ลำบากคุณอิศรา ก็ดีเหมือนกันค่ะ ไปยืนรอรถเดี่ยวยายขวัญเกิดเหม็นควันรถเป็นลมเป็นแล้งเอา” ดวงแก้วว่า

เจริญขวัญยิ้มชื่นขณะที่อรุณหงุดหงิด ส่วนอิศราลอบยิ้มซ่อนแววสาสมใจ โดยไม่มีใครเห็น

อ่านต่อหน้า 4

เงา ตอนที่ 7 (ต่อ)

ส่วนในห้องทานอาหารบ้านชาลินีตอนนี้ คนรับใช้จัดวาง ชามข้ามต้มสวยงามหรูหรา สามที่สำหรับ ท่านชาย คุณหญิงและชาลินี ชาลินียืนท่าทางตื่นเต้น กำกับคนรับใช้

“จัดน้ำส้มคั้นสดๆมาด้วยนะ เอ้อ ท่านชายจะรับกาแฟหรือชาดีคะ”
“แค่นี้..พอแล้ว”
ชาลินียิ้ม มองไปทางประตู คุณหญิงเพ็ญเดินเข้ามา แต่งตัวใหม่ใส่เครื่องเพชรเต็มยศ ชาลินีขำแม่“คุณแม่มาแล้วค่ะ”
ท่านชายยืนรับก้มศีรษะนิดๆ คุณหญิงออกอาการตื่นเต้น
“สวัสดีค่ะท่านชาย แหมไม่ทราบล่วงหน้าว่าท่านชายจะมา ยายหนูไม่ยักโทร.บอกก่อน อาหารเช้าเท่าที่มีนะคะ ไม่ทราบว่าจะถูกปากหรือเปล่า”
ท่านชายเพียงยิ้มบางๆ ขณะลงนั่ง
“ดีใจจริงๆ ที่ได้พบท่านชายส่วนตัว ที่เคยพบงานสังคมสงเคราะห์คราวก่อนก็ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกัน”
ท่านชายยิ้ม แววตาเข้ม จิกกัดออกมา “คุณหญิง คงออกงานเพื่อ...สงเคราะห์สังคมบ่อย”
“โอ๊ย ก็ไม่อยากออกมากหรอกค่ะ แต่คนนั้นก็ชวนเป็นกรรมการ คนนี้ก็มาขอให้เป็นประธาน เลยวุ่นไปหมด”
“น่าเห็นใจ คงจะหาเวลาว่างไม่ค่อยได้”
คุณหญิงหน้าตาเบิกบานขึ้นมาอีก
“ค่ะ แต่จะทำยังไงได้ คนในสังคมต้องการให้เราช่วยเหลือมีอีกมาก อย่างนี้ก็กำลังจะจัดงานเพื่อหาเงินช่วยเหลือเด็กกำพร้า ยังสรุปสถานที่ไม่ได้เลยค่ะ”
ชาลินีปิ๊งไอเดีย ถามเชิงลวงล่อ “จริงสิ..จัดงานเกือบจะทั่วกรุงเทพฯ ไม่มีที่ไหนน่าสนใจแล้วนะคะแม่”
“ก็นั่นสิ” คุณหญิงกลุ้ม
ท่านชายกำลังยกช้อนแตะริมปีปากแอบยิ้มนิดๆ อย่างรู้ทันชาลินี และนึกหยามเหยียด
“แต่มีที่หนึ่งนะคะแม่ ถ้าแม่ได้ไปจัดงานล่ะก็ รับรอง ดังเลยค่ะ”
“ที่ไหน”
ชาลินีมองท่านชาย “ที่วังของท่านชายไงคะ”
สองแม่ลูกหันมามองท่านชายหน้าตื่น โดยท่านชายไม่แสดงสีหน้าใดๆ ทั้งที่รู้ทันชาลินี
“ได้ไหมคะท่านชาย เพื่อการกุศล”
ท่านชายหัวเราะ “เพื่อการกุศล” พลางยิ้มมีเลศนัย “ได้ ฉันจะลองทำกุศลให้สังคมดูสักที”
คุณหญิงดีใจตื่นเต้น ชาลินีปรายมองมารดาอย่างภาคภูมิ
เสี้ยวหน้าท่านชายตอนนี้ ยิ้มมุ่งมาดมีเลศนัยอะไรบางประการ

อรุณพาเจริญขวัญมาเดินดูของในกิฟท์ช็อปน่ารักกระจุกกระจิกในช็อปปิ้งมอลล์ เจริญขวัญยิ้มแย้ม แต่แล้วอดห่วงไม่ได้หันมามองทางเบื้องหลัง เห็นอิศราเดินตามมา ทำตัวเหมือนพี่ชายอารมณ์ดี ส่งยิ้มให้ เจริญขวัญเบาใจดูของต่อ
แต่อรุณหันมามองหน้าตึงไม่ค่อยพ่อใจ อิศราปรายตามาทางอรุณแค่นยิ้มอย่างเหนือกว่า อรุณยิ่งหงุดหงิด หันมาพูดเบาๆ
“ขวัญอ่ะ มากันเองสองคนก็ไม่ได้ หมดสนุกเลย”
“เกรงใจพี่อิศราเหมือนกันนะ”
อรุณฟังแล้วลิงโลด “งั้นก็ไล่เขากลับไปก่อนสิ เดี๋ยวเราพากลับไปส่งเอง”
เจริญขวัญลังเล หันมามองอิศราอีกที พบว่าอิศรากำลังพูดมือถือ

อิศรายืนคุยสายกับชาลินีอยู่อีกมุมหนึ่ง เห็นเจริญขวัญกับอรุณอยู่ทางด้านหลัง
อิศราทำน้ำเสียงประหลาด “ท่านชายน่ะนะ ไปถึงบ้านชา...ว้าว...เก่งนี่”
“มาหน่อยสิ ฉันจะได้ให้ท่านชายรอ นี่ ชั้นบอกท่านไปว่าเธอจะมารับท่านไปส่งที่วัง”
“เฮ้ย ไม่ว่าง” อิศราเหลือบมองไปทางเจริญขวัญ “คุณก็ดูแลคนของคุณไปสิ ผมก็กำลัง...” ในสายตาอิศราเห็นอรุณยิ้มแย้มชี้ชวนเจริญขวัญพูดคุยอยู่ ก็เอ่ยต่อว่า
“ระวังผลไม้ของผม ไม่ให้ร่วงไปลงมือวานร”
ชาลินีหัวเราะ “แหม ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนหรอกน่ะ”
อิศราหัวเราะ “เท่านี้นะ”
อิศราวางสาย เหลือบมองเห็นเสี้ยวหน้างดงามสดใสของเจริญขวัญ อิศรามองลุ่มลึก และครุ่นคิดตริตรอง
ที่บ้านชาลินี 3 คน ทานข้าวต้มอิ่มแล้ว คนใช้ 1 ลำเลียงเก็บสำรับข้าวต้มเข้ามาในครัว แม่ครัวมองอย่างแปลกใจ
“เอ๊ะ ตักไปสามที่ ทานอยู่แค่สองเหรอ”
“ทานกันทั้งสามคนกับแขกของคุณชาลินีค่ะ”
“ทำไมชามนี้เหมือนไม่มีใครกิน ตักไปยังไง กลับมาอย่างนั้นเอาๆ เก็บล้างเข้า”
แม่ครัวเดินไป คนใช้ 1 แอบเอาช้อนตักชามข้าวท่านชายมากินแล้วหน้าเบ้

“ยี้ ทำไมมันจืดอย่างนี้ล่ะ”

ต่อมา เจริญขวัญกับอรุณ เดินมาดูภาพเขียน ในสตูดิโอเล็กๆ แห่งหนึ่ง สีหน้าเจริญขวัญตื่นเต้น

“สวยจัง..ไม่สิ งามมากเลย คนเขียนเขาเก่งจังเลยนะอรุณ”
“เรารู้ว่าขวัญชอบวาดรูป ถึงได้ตั้งใจพามาที่นี่”
“เราชอบจริงๆ ขอบใจจ้ะรุณ”
อรุณยิ้มยืด หันไปมองทางอิศรา พบว่าอิศรากึ่งง่วงกึ่งเบื่อ สองหนุ่มสบตากัน อรุณเบือนหน้าหนีช้าๆ อย่างเย้ยหยัน อิศราแค่นยิ้มไม่ค่อยพอใจนัก และมองไปทางเจริญขวัญ เห็นเจริญขวัญกำลังดูภาพเขียนอย่างตื่นเต้น สีหน้าชื่นชมมาก
อิศราเริ่มคิดแผนบางอย่าง

ไม่นานต่อมา อรุณลงนั่งกับเจริญขวัญตรงมุมร้านเครื่องดื่ม มีอิศราตามมาหยุดห่างๆ
“ขวัญอยากดื่มอะไรจ้ะ ไอติมด้วยมั้ย เดี๋ยวเราไปสั่งให้”
เจริญขวัญเมียงมอง แล้วหันมาทางอิศรา
“พี่อิศนั่งสิคะ”
“ขวัญทานกันไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา” อิศราเดินไปเลย
อรุณกระแทกตัวลงนั่งอย่างหงุดหงิด “ไม่สนุกเลย มีคนคอยเดินตามดูยังกับเป็นนักโทษ”
เจริญขวัญหัวเราะขำ ค้อนควัก กิริยาน่ารัก อรุณหงุดหงิดอยู่นั่นแล้ว

อิศราเดินกลับเข้ามาในสตูดิโอวาดภาพ ถามกับเจ้าของร้าน
“ขอโทษครับ พอดีผมเห็นโต๊ะนั่น เหมือนมีการสอนวาดภาพ”
“ค่ะ บางครั้งเราก็จัดครูมาสอนเทคนิคการเขียนภาพสไตล์ต่างๆ ให้เด็กที่สนใจเรียนพิเศษน่ะค่ะ”
อิศรายิ้มสมใจ “เฉพาะเด็กเหรอครับ”

ฝ่ายเจริญขวัญ อรุณ นั่งดื่มน้ำ ทานไอศกรีมใกล้หมดแล้ว เจริญขวัญเหลียวหาอิศรา อรุณหมั่นไส้แต่แกล้งแซวเล่นขำๆ
“สงสัย...พี่ชายคนใหม่..ของขวัญ คงเบื่อ หนีกลับไปแล้วมั้ง”
เจริญขวัญยังไม่คิดอะไรมากนัก ยิ้มขำ
“ถ้ากลับก็น่าจะบอก หรือ เราบอกให้พี่อิศกลับไปก่อนดีไหม ชักเกรงใจเหมือนกัน”
“หือม์ ทำไมเพิ่งมาคิดได้ หึ ขวัญ ให้เขากลับไปเลยนะ เดี๋ยวเราพาขวัญดูหนังต่อ นะ นะ”
เจริญขวัญยิ้ม อิศราเดินเข้ามาพอดี
“ขวัญ...เรียบร้อยหรือยัง”
“ค่ะ พี่อิศอยากดื่มอะไรไหมคะ”
“ไม่ล่ะ ไป พี่มีอะไรจะบอก”
เจริญขวัญฉงน “อะไรคะ”
อิศรายิ้ม “มาสิจ๊ะ”
ขณะอิศราจะเอื้อมไปคว้ามือเจริญขวัญ อรุณตาลุกมองมืออิศราที่จับมือเจริญขวัญ อิศราปรายหางตามองอรุณยิ้มเย้ย
อิศราฉุดมือเจริญขวัญที่เดินตามไปด้วยความงง
“เฮ่ย อะไรน่ะ” อรุณลุกพรวด แล้วรีบร้อนลนลานควักกระเป๋าเงิน “เก็บเงินด้วยครับ”
อรุณลุกลนเป็นการใหญ่

อิศราจูงมือเจริญขวัญมาหน้าร้านวาดรูปเมื่อครู่
“พี่อิศรา...เดี๋ยวค่ะ จะพาขวัญไปไหน”
“น่า” อิศรายิ้มจูงแขนเจริญขวัญไป
เจริญขวัญมองมืออิศราที่กุมแน่นกับมือตัวเอง เริ่มรู้สึกหวั่นไหวในใจ เลยแลมามองหน้าอิศรา เริ่มรู้สึกขัดเขิน ทั้งสองมาจนถึงร้าน เข้าไปในร้าน เจ้าของร้านหันมา
อิศราจับเจริญขวัญมายืนด้านหน้าสองมือจับบ่าเจริญขวัญที่งงอยู่ ทางด้านหลัง
“เด็กนักเรียนมาแล้วครับ”
“อะไรคะพี่อิศ”
อิศราพูดจากเบื้องหลังขณะที่เกาะบ่าเจริญขวัญอยู่ “พี่มาสมัครเรียนวาดภาพให้ขวัญจ้ะ”
เจริญขวัญทั้งประหลาดใจ ระคนดีใจ “พี่อิศ” หันมาหาโดยเร็ว ใบหน้าเกือบใกล้กับหน้าอิศรา
อิศรายิ้มอยู่สบตาเจริญขวัญแล้วชะงักงันไป กับความใสซื่อของเธอ ที่เกือบละลายใจของเขาได้ แต่ก็เพียงแค่ชั่วเวลานิดเดียวเท่านั้น
“เรียนแค่สิบครั้งอาทิตย์ละสองวัน” อิศราบอก
เจริญขวัญดีใจแล้วนึกเกรงใจ “ค่าเรียนเท่าไหร่คะ”
“นั่นมันเรื่องของพี่ ไม่ต้องถามหรอก”
เจริญขวัญมองอิศราอย่างตื้นตันใจ “พี่อิศ แต่...”
“น่ะ ถือว่าแลกกัน กับที่ขวัญดูแลพี่ที่บ้าน” อิศราอ้อน
อรุณวิ่งตามมาเหลียวหาสองคน ด้วยสีหน้าหงุดหงิด อรุณวิ่งเข้าร้านมา แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นมือหนึ่งของอิศรายังจบบ่าเจริญขวัญ ที่กำลังเงยหน้ามองอิศราอย่างตื้นตัน ดีใจ อยู่อย่างนั้น
อรุณมอง กำมือแน่น หึงมาก เจริญขวัญหันไปหาเจ้าของร้าน
“แล้ว จะเริ่มได้เมื่อไหร่คะ”
อิศรายิ้มอยู่ พอหันมาเห็นอรุณที่ยืนโมโหหึงอยู่ อิศราเปลี่ยนรอยยิ้มเป็นเย้ยหยัน แต่ทำหน้าเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ว่าอรุณหึง
เจริญขวัญปลาบปลื้มตื้นตันใจไม่หาย

อิศราหันมามองความดีใจ สดชื่นของหญิงสาว สายตากร้าวแข็งก็เริ่มอ่อนละมุนขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ขณะเดียวกัน ท่านชายวสวัตที่หลับตานิ่งอยู่เหมือนส่งจิตไปล่วงรู้เรื่องของ อิศรรา และ เจริญขวัญ แล้วท่านชายก็ลืมตา หน้าขรึมนิ่ง สิริ เปิดประตูให้ ท่านชายก้าวลงมาหน้าขรึม

ชาลินีรีรอว่า สิริหรือท่านชายจะมาเปิดให้ ท่านชายปรายตามองสิริเป็นเชิงบอก สิริจึงเดินอ้อมมาเปิดให้ชาลินีอย่างไม่เต็มใจนัก
“ท่านชายคะ ขอบคุณมากนะคะ ที่จะให้ยืมวังจัดงานของคุณแม่ เดี๋ยวชาจะเป็นคนคอยดูแลเรื่องตกแต่งสถานที่เอง จะทำให้เรียบร้อยเลย ไม่ต้องห่วงนะคะ”
ท่านชายหันมองมาใบหน้าขรึม ก้มศรีษะรับ “ฉันเชื่อว่าเธอจะจัดการได้”
“เอางี้ไหมคะ พรุ่งนี้ท่านชายว่างไหมคะ เราเจอกันเพื่อคุยเรื่องคอนเซ็ปท์งานอีกสักครั้ง ดินเนอร์กันไปด้วย เอ้อ..เดี๋ยวชาจะตามนายอิศมาด้วย ..นะคะ”
“ได้...ขอบใจสำหรับวันนี้ แล้วพบกัน”
ท่านชายก้มศีรษะเหมือนอำลา ก่อนเดินเข้าไป
ชาลินีมองตามท่านชายแล้วมองวังโดยรอบอย่างตื่นเต้น จนมาเจอสายตาสิริ ที่มองอย่างขบขันดูถูก ชาลินีกลับขึ้นรถ
“เกลียดหน้า ตานี่ ชะมัด”
ชาลินีขับรถออกไป

ในศาลาสวดศพหลังหนึ่ง มีภาพนายพลพินิจ ตั้งอยู่ คุณหญิงภรรยายืนซับน้ำตามีแขกคอยปลอบ
สุธรรมนั่งห่างจากเก้าอี้คนอื่นไปทางด้านหลัง ชิดผนังด้านหนึ่ง ยังคงมีท่าทีป่วย และไอเป็นระยะ หนิง ภรรยาดูแลอย่างเป็นห่วง
“หมอบอกยังไม่ให้ออกมาก็ดื้อ..เป็นซะอย่างนี้คุณน่ะ”
“ไม่เป็นไร” สุธรรมมองไกลไปที่รูปท่านนายพล “งานท่าน ยังไงก็ต้องมา”
สุธรรมมองดูแขกในงานที่นั่งอยู่ จนเห็นหมอไพโรจน์ยืนคุยอยู่กับคนข้างๆ ตรงหน้าศาลา สักครู่ท่านชายวสวัตจะเดินเข้ามา มีพวงหรีดที่ภุมมะถือเดินตามหลังมา
หมอไพโรจน์ที่กำลังคุยอยู่ ชะงักหันไปมอง สุธรรมเงยหน้าไปมองโดยไม่ตั้งใจหลังจากไอ แล้วชะงัก นึกถึกภาพพระยายมในนรก ท่านชายเดินเข้าประตูศาลามา มีภุมมะตามหลัง ตรงไปที่คุณหญิง
สุธรรมหายใจติดขัด ตัวสั่นมือสั่น ตาเบิกโพลง
“พี่ เป็นอะไรไป ทำไมตัวสั่นแบบนี้”

สุธรรมตกใจ ผวากลัวอย่างรุนแรง

ภุมมะแขวนพวงหรีดสีแดงใต้รูปนายพลพินิจ ท่านชายกำลังยืนคุยกับคุณหญิง ที่มองแขกตรงหน้าอย่างประหลาดใจ ไม่รู้จัก แต่ยำเกรงบุคลิก

ท่านชายพูดเสียงนุ่มไม่ได้จริงใจนัก เนื้อเสียงเหมือนคำพูดเยาะมากกว่า
“เป็นวาระที่น่าเสียใจอย่างยิ่งนะครับคุณหญิง ขอแสดงความเสียใจด้วย” ท่านชายค้อมศีรษะ
“ขอบพระคุณค่ะ..เอ้อ..คุณคือ...”
หมอไพโรจน์เข้ามา “สวัสดีครับท่านชาย”
คุณหญิงงง “ท่านชาย”
ไพโรจน์บอก “ท่านชายวสวัต ไงครับ”
คุณหญิงตื่นเต้น “อ้อ...ท่านชายวสวัต ขอบพระคุณนะคะที่กรุณามา”
ท่านชายยิ้มบางๆ

ท่านชายลงนั่งตรงโซฟาสำหรับแขกพิเศษ หมอไพโรจน์ลงนั่งด้วย ภุมมะออกไปยืนหน้าประตูนอกศาลาแล้ว ไพโรจน์ยิ้มสุภาพ
“ผมไม่คิดว่าจะได้พบท่านชายอีก เร็วแบบนี้”
“หมออยากเจอฉัน ก็แวะไปที่คลับโลกันต์ได้เสมอ”
ไพโรจน์หัวเราะ “ผมไม่ค่อยชอบไปที่อย่างนั้น คือ ผมไม่ค่อยมีเวลา”
ท่านชายมองหมอแววตาลึกล้ำ รู้ด้วยจิตว่าหมอเป็นคนดี ยิ้มบางๆ ทอดเสียงนุ่ม “ฉันรู้”
ไพโรจน์ชั่งใจ มองท่านชายอย่างเคลือบแคลงค้างคาใจ ตอนที่ติดลิฟท์ด้วยกัน จนต้องถามขึ้น
“คืนนั้น...ท่านชายออกจากลิฟท์ไปเร็วมาก แวบเดียว...หายไปเลย”
“หมอพูดเหมือนฉัน หายตัวได้” ท่านชายปรายยิ้ม พูดไม่มองหน้า “บทเรียนขั้นพื้นฐานของวิทยาศาสตร์บอกไว้ไม่ใช่หรือว่า ..สสาร ไม่มีวันสูญหายไปจากโลก” ท่านชายหัวเราะเบาๆ ปิดท้าย
“ท่านชาย” หมอหัวเราะ พูดช้าชัด “ผมไม่เคยพบใคร พูดอะไรชวนให้คิดอย่างท่านชายมาก่อนเลย...ท่านชายนี่ เป็นคนน่า...ค้นหาจริงๆ”
ท่านชายหันมอง ปากยิ้มบาง ตานิ่ง มองสบตากับหมออย่างล้ำลึก
“ก็ลองค้นหาดูสิหมอ”
หมอไพโรจน์มองท่านชายอย่างพิศวง ท่านชายยิ้มแล้วรู้สึกเหมือนสะดุดใจ ปรายตามองไปทางทิศที่สุธรรมนั่ง ท่านชายนั่งด้านหน้ากับหมอไพโรจน์ ตรงหัวแถวหน้าโลงศพ
สุธรรมถามเมียเสียงสั่น “นั่นใคร...คนนั้น..ใคร”
“ใคร..ไม่รู้สิคะ..ทำไมคะ”
“ใช่ ใช่แน่...เขา...พิพากษาส่งท่านไป เวตตรณีนที”
ภรรยาของสุธรรมฉงน “ตอนคุณฟื้นก็พูดแบบนี้ เวตตรณีนที คืออะไรคะ”
สุธรรมเบิกตาโพลงหวาดกลัวขึ้นมาจับจิต “นรก สำหรับผู้ตระบัดสัตย์ต่อฟ้าดิน ต่อแผ่นดิน นรก...มีแต่ขวากหนามกรด”
หนิงงง “คุณไปจำมาจากไหน แล้วผู้ชายคนนั้น พิพากษาท่าน คุณคะ ฉันว่าคุณกลับบ้านกันดีกว่าค่ะ”
“ผมไม่ได้เพ้อนะ ผมจะพิสูจน์ให้คุณดู”
“พิสูจน์อะไร”
“เขา” สุธรรมมองไปทางท่านชาย “คือ...พญายม”
หนิงยังงุนงงอยู่ ผู้กองสุธรรมลุกพรวด ตรงดิ่งไปยังแถวที่นั่งของท่านชายวสวัต

สุธรรมเดินอย่างคนระโหยโรยแรง แต่พยายามฝืนเดินให้ไว แววตาสุธรรมมุ่งมั่น ภรรยาตามมาจับแขน ก็ปัดแขนภรรยาออก มองไปเห็นท่านชายที่นั่งหันหลังให้อยู่
สุธรรมเดินผ่านคนตรงไปหาท่านชาย โดยท่านชายนั่งอยู่ เหมือนยังไม่รู้ตัว
จนเมื่อสุธรรมก้าวมาใกล้ มือสุธรรมสั่นระริก หวาดกลัวแต่ฝืนใจสู้ เอื้อมมืออันสั่นระริกผ่านอากาศ ไปหาท่านชายช้าๆ สุธรรมกลืนน้ำลายลงคอ

ท่านชายวสวัต ยังคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น

อ่านต่อตอนที่ 8
กำลังโหลดความคิดเห็น