xs
xsm
sm
md
lg

พราว ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พราว ตอนที่ 4

สมชายกำลังจุดเทียนหอมในโถแก้ว ขณะที่อรชุมากำลังวางเรียงจานกับข้าวอยู่ที่โต๊ะ
 
“ไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าบ้านเราอีกแล้ว”
สมชายพูดพลางหันไปเห็นอรชุมากำลังจะตักข้าวใส่จาน
“หยุดอยู่กับที่ นั่งลง แล้วอยู่เฉยๆ ผมตักข้าวให้เองครับแม่”
อรชุมาตีมือสมชายผัวะ
“สมชาย แม่จะหัวใจวายกับลูก ชอบเล่นอะไรแบบเนี้ยะ”
สมชายยิ้ม “มีลูกเป็นตำรวจ ยังไม่ชินอีกเหรอแม่”
“ก็ตอนนี้เราไม่ได้เป็นตำรวจแล้วนี่”
สมชายชะงักมือที่กำลังถือทัพพีตักข้าวทันที พร้อมกับเหลือบตาขึ้นมองอรชุมา
“เจ็บจี๊ดเหรอลูก ถ้าคิดถึงก็ยูเทิร์นกลับซะ”
สมชายฝืนทำเป็นไม่แคร์ “ไม่เอา ผมอยากอยู่กับแม่ ยัยนุชมาแล้ว เร็วนุช พี่หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว”
น้องนุชเดินเข้ามานั่งลงพลางมองไปจานไข่เจียว
“ใครเร็วกว่าได้กินก่อน”
2 พี่น้อง แย่งกันตักไข่เจียว พรึ่บเดียวเกลี้ยงจาน อรชุมาค้อนอย่างเอ็นดู
“ ไอ้ลูก 2 คนนี้ แย่งกันตั้งแต่เด็กจนโต แต่เดี๋ยว อย่าเพิ่งกิน คุณพราวหายไปไหน ทำไมเราไม่ชวนมากินข้าวด้วยกันห่ะ ไม่เห็นตั้งแต่บ่ายแล้วนะ กินข้าวปลาบ้างรึปล่าวก็ไม่รู้”
สมชายแอบห่วง แต่แกล้งทำปากแข็ง
“ถ้าหิวเค้าก็หากินเองได้แหละน่า”
พลางทำเป็นตักข้าวกิน แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นหน้าอรชุมากับน้องนุชมองจ้องตำหนิมาเป็นตาเดียว

ทางด้านพราวก็โดนพวก 3 หนุ่มรุมปล้ำ ฉีกเสื้อจนขาด เธอตกใจกลัวสุดขีด พลางพยายามดิ้นรน แล้วร้องไห้เสียงดังลั่น แรงดิ้นทำให้หัวเตียงกระแทกกับผนังด้านหลังดังโครมคราม จนสมชายที่เดินมาหน้าห้องได้ยิน จึงรีบถีบเปิดประตูอย่างแรง ก่อนจะก้าวเข้ามาอย่างโกรธจัดเมื่อเห็นภาพพราวกำลังถูกรังแก
“ไอ้ชั่วเอ้ย”
สมชายวิ่งปรี่เข้าถีบพวกมันคนหนึ่งกระเด็นไป จากนั้นก็ถลามาประคองพราวขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“คุณเป็นไงบ้าง”
พราวโผเข้ากอด พลางร้องไห้อย่างกลัวสุดขีด
พวกมันอีกคนอาศัยจังหวะที่สมชายเผลอต่อยไปที่ขมับ ตามด้วยลูกถีบจนสมชายถลาไปชนประตู
พราวร้องลั่น
“อย่าทำเขาหยุดเดี๋ยวนี้นะ อย่าทำอะไรเค้า อย่า”
แต่ในที่สุดสมชายก็กลับอัดพวกมันจนล้มคว่ำไปได้ทั้ง 3 คน
“เป็นไง มันไหม ถ้ายังมันไม่พอ งั้นไปมันต่อในคุก”
พูดพลางลากคอมันออกไปจากบ้าน พราวตกใจเมื่อได้ยินว่าเขาจะจับมันส่งคุก รีบลุกจากเตียง วิ่งกุมท้องตามออกไป

สมชายลากคอพวกมันโยนไปกองรวมกัน
“พวกแกมาจากไหน เข้ามาที่โฮมสเตย์ฉันได้ไง”
“พวกเราผ่านมา จะมาหาที่พัก”
สมชายจ้องหน้าพวกมันอย่างเอาเรื่อง “จะมาหาที่พัก หรือจะมาลักทรัพย์กันแน่ ไปคุยกันที่โรงพัก”
พวกมันกลัวจนปากคอสั่น ยกมือไหว้ประหลกๆ “
“ผมผิดไปแล้วพี่ อย่าบอกตำรวจเลย”
สมชายหัวเราะขำ “ไม่ต้องบอกหรอก ก็ฉันนี่แหละตำรวจ กลัวตำรวจขึ้นมาเชียว ก่อนหื่นทำไมไม่รู้จักกลัว”
“ปล่อยเค้าไป”
สมชายหันกลัยไปตามเสียง เห็นพราวยืนจับประตูห้องพักอยู่
“วิญญาณนางฟ้าเข้าสิงเอาหรือไง ไอ้หื่น 3 ตัว นี่มันจะ เอ่อ ข่มขืนคุณนะ”
พราวรีบสวนขึ้น
“ฉันถึงอยากให้ปล่อยมันไปไง ฉันขอร้อง ช่วยฉันอีกสักครั้ง ถ้าเรื่องนี้ถึงโรงพัก มีข่าวออกไป ฉันอยู่ที่นี่ต่อไปอีกไม่ได้แน่”
สมชายพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะหันไปกับพวกมัน
“โชคดีของพวกแกจริงๆ อ้าวเฮ้ย เฉยอยู่ทำไม ขอโทษเค้าเสียซิ แล้วก็ขอบคุณเค้าด้วยที่ไม่เอาเรื่อง แมนกว่าพวกแกอีก”
“ขอบคุณครับ ขอโทษครับ”
พราวไม่อยากรับไหว้ รีบถอยหลบเข้าห้อง แล้วปิดประตู
“ลุกขึ้น ไปให้พ้น ไสหัวออกจากที่นี่ได้แล้ว ไป ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจจับแกส่งตำรวจ”
สมชายตะคอกไล่ อรชุมากับน้องนุชเดินเข้ามาพอดี
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นลูก?”
“ไอ้ 3 ตัวนั่น มันจะปล้ำคุณพราวน่ะแม่”
อรชุมากับน้องนุชตกใจ
“ แม่กับนุชเข้าไปดูคุณพราวก่อนเถอะ ผมจะตามไปจัดการส่งไอ้ 3 ตัวนั่นไปให้พ้นจากโฮมสเตย์เราให้เรียบร้อย”
อรชุมากับน้องนุชพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบเดินไปที่บ้านพักของพราว

“คุณพราว น้าขอโทษที่ดูแลที่นี่ไม่ดี ปล่อยให้คนแปลกหน้าหลุดเข้ามาทำให้คุณตกอยู่ในอันตราย”
อรชุมารีบขอโทษปากคอสั่น
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ พราวไม่เป็นอะไร ต้องขอบใจลูกชายของน้าที่มาช่วยพราวไว้ทัน”
อรชุมามองเธออย่างสงสาร
“โธ่เอ้ย ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับคุณด้วย คุณอุตส่าห์หลบร้อนมาพึ่งเย็น หวังว่าจะมีชีวิตสงบๆที่นี่แท้ๆ”

“นั่นซิคะ พราวก็ไม่เข้าใจ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของพราว ก่อนจะมาที่นี่ก็มีคนพยายามจะฆ่าพราว”

อรชุมากับน้องนุชถึงกับตกใจ
 
“คุณพราวพูดเรื่องจริงอ่ะ ไม่ใช่ในละครแน่นะคะ”
พราวฝืนยิ้ม
“ถ้าเป็นละครก็ดีซิ ฉันจะได้เลิกเล่นมันกลางคัน เปลี่ยนไปเล่นละครตลกๆ หรือละครรักโรแมนติก ที่มีผู้ชายอบอุ่น รักฉันสุดชีวิต คอยปกป้องฉันได้”
น้องนุชยิ้มแป้น แล้วรีบบอก
“ผู้ชายอบอุ่นที่นี่ก็มีค่า โอปป้าสมชาย พี่ชายหนูไงคะ โอปป้าสมชายน่ะ ถึงจะห่ามไปหน่อย ปากจัดไปนิด แต่ถ้าใครได้เป็นแฟน หนูรับรองว่าต้องอบอุ่นโคตรๆ เพราะพี่ชายจะดูแลปกป้องผู้หญิงของโอปป้าะอย่างสุดชีวิต
ชนิดที่ไม่คิดถึงชีวิตตัวเองเลยอ่ะ”
พราวยิ้มน้อยๆ อย่างประทับใจ เมื่อนึกถึงตอนที่สมชายเสี่ยงชีวิตมาช่วยเธอ
“คุณพราวคะ ทำไมนิ่งไปล่ะคะ เป็นอะไรรึเปล่า” อรชุมาถามอย่างเป็นห่วง
“เปล่าค่ะ”
พูดพลางหันจะเดินกลับไปที่เตียง แต่แล้วก็กลับเจ็บที่ท้องขึ้นมา
“นั่นไง ไหนบอกไม่เป็นอะไร ปวดท้องเหรอคะ?”
พราวพยักหน้า “มันต่อยท้องฉัน”
อรชุมารีบหันไปบอกให้น้องนุชไปเอากระเป๋าน้ำร้อนกับยาพาราแก้ปวดมาให้พราว
“ไปนั่งที่เตียงก่อนนะคะ ให้น้าดูท้องหน่อยซิ ว่าช้ำมีแผลรึเปล่า”
พูดพลางพยุงพราวไปที่เตียง ด้วยความเป็นห่วง

สมชายเดินตรวจตราไปทั่วโฮมสเตย์ เพราะเกรงว่าไอ้หื่นทั้งสามจะกลับมาป่วนอีก พลันก็ได้ยินเสียงคนเดินอยู่ข้างหลัง เขารีบชักปืนคู่กายที่เอวขึ้นมาอย่างช้าๆ
“เฮ้ย หยุด ยกมือขึ้น”
แต่กลับเป็นลุงจ่อยที่เดินเข้ามา
“ลุงจ่อยเองหรอกเหรอ ?”
ลุงจ่อยรีบบอก “ก็จ่อยน่ะซีครับ นึกว่าไอ้ 3 หื่นนั่นเหรอครับ”
“ก็ใช่น่ะซิ กลัวว่ามันจะย้อนรอยกลับมาอีก ผมถึงได้เดินเป็นยามอยู่เนี่ยะ”
“คิดเหมือนผมเดี๊ยะ เลยออกมาเดินถือไม้รอฟาดกะโหลกมันเหมือนกัน หนอย ดันตาถึงจะปล้ำดาราระดับซูเปอร์สตาร์”
สมชายยิ่งฟัง ก๋ยิ่งฉุน พลางเหน็บปืนเก็บไว้ที่เอวตามเดิม
“กระเป๋าเป้ของพวกมันที่ทิ้งไว้ในห้องคุณพราวมีทั้งเงิน นาฬิกาข้าวของของแขกที่มันแอบเข้าไปขโมยมา มารสังคมแบบนี้ มันน่าจับยัดกรงซะให้เข็ด สักปี 2 ปี”
“ก็แล้วทำไมไม่ทำล่ะครับ คุณสารวัตรปล่อยมันไปทำไม” ลุงจ่อยย้อนถาม
“นึกว่าผมอยากปล่อยเหรอ ยัยซูเปอร์สตาร์โน่น เค้าขอไว้ คงไม่อยากให้ตัวเองเป็นข่าวฉาวๆ”
ลุงจ่อยพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“เฮ่อ เป็นดารานี่มันลำบากเนอะ ทุกข์ก็ปิด สุขก็ปิด ชีวิตเหมือนต้องเล่นซ่อนหาตลอดเวลา ปกๆปิดๆ ชีวิตแบบนี้ ลุงว่ามันไม่มีความสุขหรอก ไม่งั้นทั้งรวยทั้งดังอย่างคุณพราว จะทิ้งชื่อเสียงหลบมาบ้านนอกแบบนี้ ให้คุณชายใช้งานเล่นทำไม คุณพราวเหมือนหนีใครมา”
สมชายหัวเราะเยาะ
“หนีอะไรลุง ดาราชอบทำติสต์แตกแบบนี้แหละ ดังไง เงินเหลือใช้เลยเรียกร้องความสนใจ”
ลุงจ่อยส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
“แต่ลุงว่าคุณพราวกำลังหนีตัวเอง หนีความเป็นดาราของตัวเองไงครับ”
สมชายฟังแล้วถึงกับชะงัก พลางเริ่มฉุกคิดขึ้นมา

สมชายเข้ามาดูแลพราวในห้องพักด้วยความเป็นห่วง แต่กลับไม่เห็นเธออยู่ในห้อง เห็นเพียงกระเป๋าน้ำร้อน และยาวางทิ้งไว้
เขารีบหันขวับไปมองทางตู้เสื้อผ้า แล้วเปิดตู้ออก พลางยิ้มโล่งอกเมื่อเห็นเสื้อผ้าของเธอยังอยู่ครบ
“ข้าวของยังอยู่ แล้วตัวไปไหน ?”

ที่แท้พราวหลบมานั่งเหงาๆ มองพระจันทร์อยู่คนเดียวที่ศาลาริมน้ำ พอได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา ก็รีบคว้าไม้ที่ถือติดมือมา พลางลุกขึ้นแล้วหันขวับไป
สมชายเห็นท่าหวาดผวา จนมือไม้สั่นของพราว ก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วง
“กลัวแล้วยังจะออกมานั่งข้างนอกคนเดียวอีก ทำไมไม่อยู่ในห้อง”
สมชายทำเสียงดุ แต่ในใจเต็มไปด้วยความห่วงใย พราวทรุดนั่งลงเหมือนเดิมก่อนจะตอบ
“ฉันไม่กล้าอยู่ในห้องคนเดียว หน้าไอ้ 3 คนนั่น มันติดตาตามหลอนฉัน ออกมาอยู่ข้างนอก ถ้าเกิดอะไรขึ้น ฉันยังร้องตะโกนให้ใครช่วยได้ หรือไม่ก็มีทางวิ่งหนีไปไหนต่อไหนได้”
สมชายได้ยินก็ใจอ่อนยวบ
“คุณไม่ได้เป็นอะไรมากแน่นะ ไอ้ 3 ตัวนั่น มันไม่ได้ทำอะไรคุณ มากไปกว่าที่ผมเห็นใช่มั้ย”
พราวหันขวับมามองสมชายทันที
“นี่ ปากเหรอที่พูด คุณคิดว่าฉันเสียตัวให้มันแล้วเหรอ”
สมชายรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ
“เฮ้ยเปล่า ผมแค่ซักถามให้แน่ใจตามนิสัยตำรวจไง จะได้ช่วยคุณได้ถูก สาบานว่าไม่ได้คิดลามก ไม่ได้คิดซ้ำเติม ไม่ได้คิดอะไรๆทั้งนั้น”
พราวค่อนยิ้มออก “ขอบคุณที่มาช่วยฉันทันเวลา ขอบคุณมาก”
สมชายยิ้มจริงใจตอบไป
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก คุณไม่เป็นอะไรผมก็ดีใจแล้ว”
พราวแหงนหน้ามองพระจันทร์ แล้วยิ้มเศร้า น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมา
“ยิ่งหนี ฉันก็ยิ่งเจอแต่เรื่อง บางทีอาจจะไม่มีที่ไหนๆบนโลกนี้ ให้พราวหนีพ้น พราวคงต้องหนีขึ้นไปอยู่บนพระจันทร์โน่น ถึงจะไม่มีใครรู้จัก หลุดพ้นเคราะห์กรรมของตัวเอง แล้วก็มีความสุข”
“บนโลกนี้ก็มีความสุขเยอะแยะไป คุณหามันไม่เจอเองอ่ะ”
พราวปาดน้ำตาหันมามองสมชาย
“พูดๆน่ะ แล้วมันอยู่ไหนบ้างล่ะ คุณบอกฉันหน่อยซิ ฉันจะได้ไปหามัน”
“ได้ เดี๋ยวผมพาไปหาเอง”

สมชายยื่นมือไป พราวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจับมือตอบ เพราะเริ่มไว้เนื้อเชื่อใจสมชายแล้ว

สมชายก้าวลงเรือลำใหญ่แบบเรือหางยาวติดเครื่อง ที่ท่าจอดเรือที่อยู่บริเวณใกล้บ้าน ห่างออกมาจากส่วนที่เป็นโฮมสเตย์ พลางช่วยจับมือรับพราวลงมาในเรือ แต่แรงก้าวขาทำให้เธอรู้สึกปวดแปลบที่ท้องที่ยังจุกอยู่
 
“เอ่อ ไม่ไหวมั้งคุณ ผมว่าอย่าไปเลย”
พราวฝืนพยักหน้า “ฉันไหว ฉันจะไป”
สมชายพยักหน้า พลางปล่อยมือจากพราวไปเอาเชือกที่ผูกเรือออก พร้อมติดเครื่องเรือ
“ดึกๆ แบบนี้ คุณจะพาฉันออกเรือไปไหนเหรอ อย่าบอกนะว่าจะพาไปตกปลา”
สมชายส่ายหน้ายิ้มๆ
“ตกปลาน่ะเด็กๆ ไม่หนุกหรอก ผมจะพาไปดูกระสือ สนุกกว่า”
พราวตกใจแทบช็อก
“หา กระสือเหรอ”

น้องนุชที่อยู่ในบ้าน รีบกวักมือเรียกแม่มาดูสมชายที่ขับเรือพาพราวออกไปกลางน้ำ
อรชุมาเห็นน้องนุชยิ้มแป้น ก็มองอย่างรู้ทันความคิด
“นี่ เราคิดอะไรอยู่ใช่ไหมยัยนุช ?”
น้องนุชพยักหน้ารับ “คิดอยากให้พี่ชายได้คุณพราวมาเป็นลูกสะใภ้ให้แม่ไง”
“เราก็คิดไกลไปโน่น เป็นไปไม่ได้หรอก 2 คนนั่น กัดกันจะตาย”
“ลองลงเรือลำเดียวกันไปสองต่อสองแบบนั้นแล้ว อะไรๆก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละแม่จ๋า”
อรชุมาคิดตามที่น้องนุชพูด แล้วก็เผลอยิ้มออกมา

พราวนั่งตัวลีบอยู่ในเรือด้วยท่าทางหวาดๆ ครู่หนึ่งสมชายก็ดับเครื่อง ปล่อยให้เรือลอยลำไปกับสายน้ำช้าๆ
“อ้าว ดับเครื่องทำไมคุณ ?”
สมชายทำเสียงกระซิบกระซาบ “อย่าเสียงดังซิ เราถึงคลองผีหลอกกันแล้ว”
พราวสะดุ้งโหยง นั่งตัวแข็ง สมชายผละจากเครื่องเรือมานั่งลงที่ข้างๆ พร้อมกับชี้ไปข้างหน้า
“โน่นไง เห็นแสงแว้บวั้บแล้ว มากันเป็นดงเลย”
พราวหลับตาปี๋ ก่อนจะ หันมาเกาะแขน แล้วซุกหน้ากับแขนสมชาย
“เอ๊า หลับตาปี๋แบบนั้นจะไปเห็นอะไรคู้ณ เลิกซุกผมได้แล้ว ลืมตาดูโน่น”
พราวโวยวายขึ้นมาทันที “ไม่เอา ฉันไม่ดู ฉันจะกลับแล้ว”
สมชายหลุดหัวเราะออกมา
“ผมไม่แกล้งคุณแล้ว ไม่มีกระสือหรอก ทำเป็นหัวอ่อนเชื่อผมไปได้ อ่ะ ดูซะ”
พราวมองไปข้างหน้าอย่างตะลึงพรึงเพริด เมื่อเห็นฝูงหิ่งห้อยนับพันส่องแสงระยิบระยับอยู่ที่ดงต้นลำพู

พราวนั่งเท้าคางมองหิ่งห้อยเพลิน จนสมชายหาว
“คุณว่า หิ่งห้อยมันจะเบื่อไหม ที่มีแต่คนมาดูมันทุกวัน”
สมชายพยักหน้า “คงงั้นมั้ง เดี๋ยวนี้มันถึงน้อยลงกว่าตอนที่ผมเป็นเด็กๆ เยอะ”
“มันก็คงเหมือนกับฉัน ที่มีแต่คนคอยจับตาดูชีวิต จนรู้สึกระแวงไปหมด”
สมชายฟังอย่างเห็นใจ พอหันมาอีกทีพราวก็นั่งสัปหงกไปแล้ว พร้อมกับเอนตัวมาพิงไหล่เขา สมชายค่อยๆขยับมือไปโอบไหล่พราวไม่ให้ไหลร่วงจากไหล่ พลางแอบมองหน้าเธอ แล้วก็สัมผัสได้ว่า ยิ่งได้เห็นด้านที่อ่อนแอของเธอ หัวใจกร้านๆ ที่ห่างความหวานของรักมานาน ก็เริ่มหวั่นไหว

มีนที่เพิ่งทำครัวเสร็จเดินออกมา ก็เจอแมนที่กำลังกวาดบ้านอยู่
“แมนไปช่วยแม่แก้วเตรียมข้าวปลารอเด็กๆไป พี่จะไปปลุกเด็กๆอาบน้ำก่อน”
พูดพลางเดินเข้าห้องนอน เห็นเด็กๆนอนหลับเรียงกันอยู่
“สายแล้วเด็กๆ ตื่นได้แล้วจ้า ตื่นๆเร็วคนดีของพี่มีน กิ๊ฟ อ้อน ติ๊บ ปอนด์ปอนด์ ตื่นได้แล้วจ้ะ ไปอาบน้ำ แปรงฟัน หม่ำข้าวกันเร็ว”
เด็กๆ ทยอยกันตื่น แล้วเดินเรียงกันออกไปจากห้อง เหลือแต่เด็กหญิงผมแกละวัยประมาณ 5 ขวบที่ยังนอนคว่ำอยู่ มีนมองอย่างเอ็นดู
“ปอนด์ปอนด์ เด็กขี้เซา ยังไม่ตื่นอีกเหรอ เพื่อนๆ เค้าตื่นกันหมดแล้วนะ เมื่อคืนเอาแต่เล่น เลยนอนดึกใช่มั้ย ปอนด์ปอนด์ตื่นเร็ว”
มีนจับตัวปอนด์ปอนด์พลิกหงายขึ้น แล้วต้องตกใจ
“ทำไมตัวร้อนจี๋อย่างงี้ ปอนด์ปอนด์ลืมตาขึ้นมองพี่”
แม่แก้วกับแมนได้ยินเสียงมีน ก็รีบวิ่งเข้ามาดู
“มีอะไรมีน ?”
มีนหน้าซีด ตกใจ
“ปอนด์ปอนด์ตัวร้อนจี๋เลยอ่ะแม่แก้ว มีนปลุกเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกตัวเลย”
แม่แก้วเข้ามาจับตัวเด็กหญิง แล้วรีบหันมาบอกมีน
“รีบพาส่งโรงพยาบาลเถอะมีน แบบนี้อันตราย น้องอาจจะช็อกได้”
มีนรีบอุ้มปอนด์ปอนด์ออกไป โดยมีแม่แก้วถือเป้ผ้าเก่าๆของมีนวิ่งตามหลังมาด้วย
“ปอนด์ปอนด์เข้มแข็งไว้นะน้อง อย่าเป็นอะไรไปนะ พี่มีนกำลังพาไปหาหมอแล้ว”
มีนกับแม่แก้วเห็นรถแท็กซี่วิ่งผ่านมา ก็รีบโบก แต่แท็กซี่ทุกคันกลับวิ่งผ่านหน้าไป

มีนอุ้มปอนด์ปอนด์วิ่งเข้ามาถึงโรงพยาบาลพร้อมกับแม่แก้ว ด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน ก่อนจะรีบพุ่งตรงเข้าไปหากลุ่มพยาบาลที่ยืนอยู่
“ช่วยด้วยค่ะ เด็กไข้สูง ไม่รู้สึกตัวเลยค่ะ”

พยาบาลรีบเข็นเตียงมารับปอนด์ปอนด์ แล้วเข็นตรงไปยังห้องฉุกเฉิน

มีนกับแม่แก้วรอฟังอาการของปอนด์ปอนด์อย่างร้อนใจอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน ครู่ใหญ่ๆ พยาบาลก็เดินออกมา
 
“เป็นผู้ปกครองน้องปอนด์ๆนะคะ?”
แม่แก้วรีบบอก “ใช่ค่ะ ปอนด์ปอนด์ไม่สบายเป็นอะไรคะ ?”
“คุณหมอแจ้งว่า น้องป่วยเป็นไข้เลือดออกค่ะ ดีนะคะที่มาทันเวลา ถ้ามาช้าอีกนิดเดียว เด็กอาจจะอาการแย่กว่านี้”
มีนตกใจ รีบบอกกับพยาบาลอย่างเป็นห่วง
“บอกหมอช่วยปอนด์ปอนด์ด้วยนะคะ อย่าให้เป็นอะไรไป”
“ค่ะ หมอก็ช่วยอย่างเต็มที่ ดูแลอย่างใกล้ชิดเลย กลัวจะช็อกน่ะค่ะ เพราะน้องกำลังมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ไข้สูง ตอนนี้คุณหมอก็กำลังจะให้เกล็ดเลือดอยู่ ค่ารักษาก็เลยอาจจะสูงมาก ต้องบอกไว้ก่อนนะคะ”
“ไม่ว่าจะเสียเงินเท่าไหร่ ค่ารักษามากแค่ไหน มีนก็จะหามาให้ค่ะ บอกหมอต้องรักษาปอนด์ปอนด์ให้หายนะคะ”
พยาบาลรับคำ แล้วรีบเดินกลับเข้าห้องไป จังหวะเดียวกับที่มือถือของมีนดังขึ้น
“ฮัลโหล มีอะไรแมน? ห่ะ พี่จะรีบไปเดี๋ยวนี้”
มีนรีบกดวางสาย แม่แก้วรีบหันมาถาม
“ที่บ้านมีเรื่องอะไรรึปล่าวลูก ?”
มีนหน้าเครียด “ยายเค้ามาทวงค่าเช่าบ้านค่ะ เดี๋ยวมีนจะไปต่อรองกับยายเค้าเอง แม่แก้วรอดู
อาการปอนด์ปอนด์อยู่ที่นี่นะ วันนี้มีนจะไปทำงานให้พี่แฟรงค์ มีนจะได้เงินมาก้อนใหญ่เลยค่ะ แม่แก้วสบายใจได้ มีนรีบไปก่อนนะ”
พูดจบก็รีบเดินออกไป แม่แก้วน้ำตาไหล ยืนมองตามด้วยความเห็นใจ
“โธ่มีน หนูต้องมาลำบากกับแม่แท้ๆ”

มีนวิ่งกระหืดกระหอบกลับมาที่บ้าน เห็นแมนถูกยายเจ้าของบ้านพานักเลง 2 คน มาไล่ที่ จับโยนเสื้อผ้าข้าวของออกจากบ้าน เด็กๆ ออกมายืนร้องไห้กระจองอแงกันอยู่หน้าบ้าน
“ยายจ๋าทำไมมาไล่กันแบบนี้ล่ะ ก็ไหนยายสัญญาว่าจะให้เวลาหนู 3 วันไงจ๊ะ นี่มันแค่ 2วันเองนะยาย”
ยายทำหน้าดุใส่
“จะ 2 วัน 3 วัน กี่วัน แกก็ไม่มีปัญญาหาเงินมาจ่ายฉันได้หรอกอีปานแดง อีอัปลักษณ์ ฉันจะมาไล่วันนี้ หรือพรุ่งนี้ มันก็มีค่าเท่ากันแหละเว้ย”
มีนรีบระล่ำระลักบอก
“ไม่เท่ากันหรอกยาย วันพรุ่งนี้สำหรับหนูมีค่ามากกว่า เพราะหนูมีความหวัง หนูจะหาเงินมาให้ยายได้แน่ๆ”
ยายหน้าดุ มองมีนอย่างนึกรังเกียจ
“อีมีน อีเด็กกำพร้า อีขยะสังคม ฉันไม่เชื่อแก ฉันไม่รออีกแล้ว ถ้าแกอยากอยู่บ้านนี้ต่อไป จ่ายค่าเช่า ที่ค้างอยู่มาวันนี้!เดี๋ยวนี้ จ่ายมา”
มีนถึงกับอึ้งไป “ตอนนี้ หนูยังไม่มีจ้ะยาย”
“อีตอแหล ไม่มีจ่าย แกก็ไสหัวไปหาที่ซุกหัวนอนข้างถนนโน่น ไป เอาไอ้เด็กจรจัดพวกนี้ไปให้พ้นจากบ้านฉันให้หมด”
ยายตวาดลั่น ทันใดนั้น
“เท่าไหร่”
ทุกคนหันไปมอง เห็นแฟรงค์เดินหิ้วกระเป๋าเข้ามากับเอมี่
“5 หมื่น แล้วจบไหมยาย?”
มีนมองหน้าแฟรงค์อย่างโล่งใจ
“มีนติดยายแค่ 4 หมื่น 5 เองค่ะพี่แฟรงค์”
“งั้นฉันจ่ายล่วงหน้าให้เลย 5 หมื่น 5”
พูดพลางยื่นเงินส่งให้ ยายยื่นมือมาดึงเงินจากมือแฟรงค์ แล้วเดินออกไปทันที
มีนโอบกอดแมนและเด็กๆ พลางยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความโล่งอก

พราวที่นอนอยู่บนเตียง สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะฝันร้าย พลางมองไปยังสมชายที่นอนหลับอยู่กับพื้นข้างเตียง ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ ที่เขามาคอยมานอนอยู่ดูแลเธอทั้งคืน จากนั้นก็สังเกตเห็นแผลแตกที่คิ้ว เห็นมีเลือดซึมๆออกมา พลางรีบหันไปดึงกระดาษทิชชู่ที่โต๊ะข้างเตียง ค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ แล้วยื่นมือไปจะซับเลือดให้เขาอย่างเบามือ
สมชายรู้สึกตัวตื่น พร้อมกับจับแขนพราวเหวี่ยงลงนอนด้วยสัญชาตญาณการป้องกันตัว พราวร้องลั่น
“อ๊าย ฉันเอง”
สมชายตาสว่างขึ้นมาทันที
“โธ่เอ้ย ทำอะไรของคุณเนี่ยะ เกือบโดนต่อยแล้วไหมล่ะ ทีหลังก็อย่าเข้าหาตำรวจแบบเงียบๆ อย่างงี้อีก จำไว้”
สมชายพูดพร้อมกับปล่อยหมัดที่กำเงื้ออยู่แล้วทำเป็นลูบผมเแทน พราวมองอย่างหมั่นไส้

“คุณนี่มันขี้เก๊กชะมัด บอดี้การ์ดสมชาย ออกไปจากตัวฉันได้แล้ว”

พราว ตอนที่ 4 (ต่อ)

พูดพลางใช้มือจับไปที่เอวสมชายเพื่อผลัก แต่เขากลับสะดุ้ง
“ฮ่ะๆ นี่ บอดี้การ์ดสมชายบ้าจี้เหรอ นี่แน่ะๆ”
พราวรู้จุดอ่อน แกล้งจี้เอวใหญ่ แต่กลับถูกสมชายล็อกแขนมากอดเอวเขาไว้ ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้กัน ชนิดจมูกกับปากจ่อติดอยู่ด้วยกัน
สมชายเผลอตัวบรรจงจูบพราว แต่แค่แตะริมฝีปากเสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับเสียงเรียกของอรชุมา
“หนูพราวจ๊ะ”
สมชายกับพราวได้สติ รีบผละออกจากกัน
“แม่”
สมชายรีบเก็บปืนที่วางไว้ แล้วเก็บรองเท้าอย่างลนลาน พราวดันเขาที่ยืนหันรีหันขวางหาทางหนีไปที่หน้าต่าง
“หน้าต่างโน่นไง ไปเร็ว”
สมชายรีบปีนหน้าต่างออกไปอย่างทุลักทุเล พราวรีบเดินไปเปิดประตูรับอรชุมา
“มอนิ่งค่ะคุณน้า มาแต่เช้าเชียว”
“น้าห่วงน่ะค่ะ ว่าคุณพราวจะเป็นยังไงบ้าง แต่ดูๆแล้ว เช้านี้หน้าตาคุณพราวสดชื่นเชียว แก้มแดงมีเลือดฝาด แล้วเมื่อคืน ตาชายพาออกเรือไปไหนมาจ๊ะ ?”
พราวก้มหน้าอายๆ “เอ่อ อ๋อ เค้าพาไปดูกระสือมาน่ะค่ะ อุ้ย ไม่ใช่ค่ะ ไปดูหิ่งห้อย ไปดูที่คลองผีหลอกโน่น”
อรชุมาพยักหน้า แล้วรีบพูดต่อ
“แต่ไปดูหิ่งห้อยถึงไหน ไม่เห็นตาชายกลับไปนอนบ้าน”
พราวแกล้งทำหน้าตายอย่างซ่อนพิรุธ
“ไม่กลับเหรอคะ พราวก็ไม่ทราบค่ะ คงหลับอยู่แถวๆนี้มังคะ”
อรชุมามองหน้าพราว รู้สึกตะหงิดๆ ใจขึ้นมา

รถตู้หรูของแฟรงค์เลี้ยวเข้ามาจอดที่ด้านหน้าโรงแรม ที่มีกองทัพนักข่าว ทีมงานจัดงานและผู้มาร่วมงานจับกลุ่มรออยู่เต็ม
ส้มจี๊ดรีบหันมาบอกสุดเขตต์
“ยัยพราวมาแล้ว”
สุดเขตต์ตั้งกล้องในมือรออย่างใจจดจ่อ แฟรงค์กับเอมี่ก้าวนำลงจากรถ ก่อนที่มีนในคราบพราวสวมชุดราตรีสั้นหรูหราหน้าผมจัดเต็มพร้อมสะพายกระเป๋าถือเล็กๆ ก้าวลงมาตามมา
เสียงกดชัตเตอร์ดังรัว พร้อมเสียงกรี๊ดเบาๆ ของแฟนๆ สุดเขตต์กดชัตเตอร์พร้อมรอยยิ้มด้วยหัวใจที่
แช่มชื่นโดยไม่รู้ตัว
มีนในคราบพราวส่งยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร ดวงตาดูอ่อนน้อม พร้อมยกมือไหว้ให้ทุกคน ผิดกับพราวตัวจริงลิบลับ ส้มจี๊ดมองอย่างหมั่นไส้
“ยัยนี่มาแนวใหม่ ทำเป็นมือไม้อ่อน ขยันสร้างภาพจริงจริ๊งนะหล่อน”
“สร้างภาพตรงไหน สายตาจริงใจขนาดนั้น”
สุดเขตต์เถียง ทั้งๆ ที่สายตาไม่ยอมละจากมีน
มีนหันมามอง แล้วส่งยิ้มให้สุดเขตต์ ส้มจี๊ดมองอย่างแปลกใจ
แฟรงค์ เอมี่ รีบพามีนเดินแทรกฝูงชนเข้าโรงแรมไป สุดเขตต์รีบตามเข้าไปไม่ต้องรอให้ส้มจี๊ดสั่งให้
ตามเหมือนทุกครั้ง

มีน แฟรงค์ เอมี่ เดินมาตามทางเดินตรงมายังห้องจัดเลี้ยง ที่จัดมุมหนึ่งเป็นมุมค็อกเทล กลุ่มนักข่าวถูกกันไว้ที่ประตูไม่ให้เข้ามา สุดเขตต์ได้แต่ชะเง้ออยู่นอกห้องกับพวกส้มจี๊ด และกองทัพนักข่าว
มีนที่เพิ่งมาในงานที่บรรยากาศหรูหราแบบนี้เป็นครั้งแรก พยายามควบคุมให้ตัวเองเดินอย่างมั่นใจ แต่สายตาไม่วายมองกวาดไปทั่ว แล้วก็เผลอตัว กุมมือทั้ง 2 ข้างไว้แน่น จนแฟรงค์ต้องกระซิบเตือน
“อย่ากุมมือซี ไหล่อย่าตก เชิดหน้าไว้ ตาอย่าวอกแวก”
มีนถอนใจ พลางพยายามข่มความตื่นเต้น

ติณห์ยืนถือแก้วไวน์คุยอยู่กับรัฐมนตรีบัญชา โดยมีคนอารักขาล้อมรอบ พอหันมองไปเห็นมีน ในคราบของพราวกับคณะกำลังเดินตรงเข้ามา ก็ยิ้มดีใจ พร้อมกับวางแผนในใจว่าจะต้องทำทุกวิถีทางไม่ยอมให้พราวห่างเขาไปได้อีก
แฟรงค์เห็นติณห์มองมาแต่ไกล ก็รีบกระซิบกระซาบบอกมีนทันที
“จ๊ะเอ๋คุณติณห์ เค้ายืนหล่ออยู่นั่น ส่วนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างคุณติณห์เป็นใคร? หนูจำที่พี่บอกได้มั้ย”
มีนนึกย้อนไปถึงตอนที่แฟรงค์เปิดภาพรัฐมนตรีบัญชาให้ดู
“นี่คือรัฐมนตรีบัญชา ประธานจัดงานประมูลภาพการกุศลในครั้งนี้ พราวเคยช่วยงานกุศลท่านมา 3 ครั้งแล้ว ได้เงินเป็นล้านทุกครั้ง ท่านเลยเอ็นดูเรียกพราวว่าลูกทุกคำ”
จากนั้นก็กดรูปของติณห์ขึ้นมา
“ส่วนหนุ่มหล่อคนนี้ หนูเจอมาแล้วมางานมีตติ้งแฟนคลับ จำได้ป่ะ? เค้าชื่อติณห์ หล่อ ไฮโซ ที่สำคัญยังสะๆๆโสด สดๆๆทั้งแท่ง เจ้าของบริษัท N&T ที่กำลังปิ๊งพราว รายละเอียดทั้งหมด หนูไปอ่านต่อเอาเองในข้อมูลที่พี่ปริ้นต์มาให้ ส่วนนี่คนสำคัญนังส้มจี๊ด นักข่าวหัวเป็ด คู่อริของพราว”

จากนั้นแฟรงค์ก็เปิดภาพไล่เรียงมา ล้วนเป็นคนดัง ที่มีนต้องเจอในงาน

ติณห์ส่งยิ้มทักทายมีนที่เดินเข้ามาพร้อมกับแฟรงค์และเอมี่
 
“สวัสดีครับคุณพราว”
มีนส่งยิ้มตอบให้ พร้อมๆ กับที่รัฐมนตรีบัญชาทักขึ้นมา
“เจอกันอีกแล้วนะลูกพราว”
“สวัสดีค่ะท่าน”
บัญชายิ้มให้อย่างเอ็นดู
“หวัดดีๆ มีงานกุศลที่ไหน เราต้องเจอกันที่นั่น”
เมื่อเห็นมีนไม่พูดต่อปากต่อคำเหมือนพราว แฟรงค์เลยต้องรีบฉอเลาะแทน
“แหมท่านก็รู้ พราวน่ะชอบงานกุศล จริงไหมจ๊ะพราว”
ด้วยนิสัยชอบช่วยคนอื่น ทำให้มีนพูดออกไปโดยสัญชาตญาณ
“จริงค่ะ ในเมื่อเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ถ้ามีโอกาส เราก็ควรตอบแทนคืนสังคมไปบ้าง ถึงไม่มีเงิน
2 มือ 2 แขน ด้วยแรงของเรานี่ก็ช่วยได้ค่ะ”
แฟรงค์กับเอมี่หันมามองหน้ากันแล้วก็แเค่นหัวเราะออกมา
“แบบว่าช่วงนี้ พราวกำลังเห่อเรื่องทำบุญทำกุศลน่ะฮะ โดยเฉพาะช่วยเหลือบ้านเด็กกำพร้า”
ติณห์ยิ้มกรุ้มกริ่ม แล้วรีบพูดเอาใจ
“ไว้วันหลัง เราไปทำบุญด้วยกันนะครับคุณพราว ผมเองก็ชอบ แต่ขาดคนร่วมทางเดินสายทำบุญน่ะครับ”
มีนมองอึ้งๆ รู้สึกทำตัวไม่ถูกกับสายตาของติณห์ จนแฟรงค์ต้องแอบสะกิดเตือน
“พราวก็ คุณติณห์เค้าชวนทำบุญ จะไม่รับบุญเค้าหน่อยเหรอ”
มีนรู้สึกตัว รีบพยักหน้ารับ
“เอ่อ ได้ซิคะ จะไปเมื่อไหร่ ก็ลัดคิวของพราวจากพี่แฟรงค์ได้เลยค่ะ”
“ถ้าอย่างงั้น ผมคงต้องจองเหมาคิวงานคุณพราวทั้งหมดไว้คนเดียวซะแล้วครับ”
แฟรงค์กับเอมี่ทำเป็นหัวเราะชอบใจ รัฐมนตรีบัญชาพลอยหัวเราะไปด้วย มีนได้แต่ฝืนยิ้ม รู้สึกอึดอัดกับสายตาหวานเลี่ยนของติณห์อย่างบอกไม่ถูก
จังหวะนั้นเองที่นักข่าวฝ่าทีมงานหน้าประตูเข้ามาได้ นำทีมโดยส้มจี๊ด
“คุณพราวคะ ทำไมพักกองละครอโยธยาไปล่ะคะ ? ทำไมไม่ให้คิวถ่ายทำต่อ”
จากนั้นนักข่าวคนอื่นก็ยิงคำถามตามมาเป็นชุด มีนหันไปมองสีหน้าตื่นๆ สุดเขตต์ ที่ยืนอยู่ข้างส้มจี๊ด มองเธอด้วยแววตาเป็นห่วง
แฟรงค์รีบกระซิบบอกมีน “ไม่ต้องไปมองพราว ไม่ต้องตอบ”
ขณะที่ทีมงานให้บอดี้การ์ดรีบกันนักข่าวออกไป
ติณห์ยกแก้วขึ้นจิบ พลางแอบมองท่าทีของมีนที่ดูกังวลๆ อย่างนึกแปลกใจ

สุดเขตต์ลากส้มจี๊ดออกมา แล้วก็พูดตำหนิ
“เค้าให้แกมาทำข่าวกอล์ฟการกุศล แกมาถามซอกแซกเรื่องส่วนตัวของคุณพราวอยู่ได้”
“แล้วทำไมฉันจะถามไม่ได้” ส้มจี๊ดย้อนกลับ
“มีสปิริตหน่อยซิเฮ้ย เวลาแกไปงานอะไร แกก็ต้องทำข่าวงานนั้น ไปกองละคร แกก็ต้องทำข่าวเรื่องละคร ไม่ใช่ไปถามเค้าเป็นแฟนใคร เลิกกับใคร คั่วกับใคร”
ส้มจี๊ดชี้หน้าสุดเขตต์ด้วยความโมโห
“ไม่ต้องมายุ่ง ฉันอยู่วงการนี้ ฉันรู้ดีกว่าแก หึ ฉันชักห่วงแกมากกว่าว่ะ ฉันเห็นนะว่าแกไปส่งยิ้มน้อย
ยิ้มใหญ่ให้ยัยพราว ยัยนั่นก็ส่งยิ้มตอบทำเป็นเล่นด้วย”
“เฮ้ย เล่นด้วยอะไร แกคิดมากไปรึปล่าวส้ม คุณพราวก็ยิ้มให้ทุกคนนั่นแหละ ยกเว้นแก”
พูดจบสุดเขตต์ก็หันเดินไปทางห้องประมูลภาพ ขณะที่ส้มจี๊ดรีบกดมือถือ
“ฮัลโหล อยู่ไหนคะน้อง มาถึงโรงแรมหรือยัง ?”
“มาถึงนานแล้วค่ะ”
ส้มจี๊ดเหลียวหลังไปมอง เห็นจันทร์จรีสวมแว่นกันแดดพูดมือถือเดินออกมาจากมุมด้านหนึ่ง พร้อมกับยิ้มร้าย เพราะตั้งใจตามมาเพื่อหาคำตอบเรื่องพราวที่คาใจให้ได้

ในห้องประมูลภาพ ที่ตกแต่งด้วยภาพวาดเต็มผนัง และอีกส่วนหนึ่งวางอยู่บนขาหยั่งเพื่อให้ผู้ต้องการบริจาคเงินได้จับจอง
รัฐมนตรีบัญชากล่าวเปิดงานอยู่ที่โพเดี้ยมจัดงาน โดยมีมีน ติณห์ แฟรงค์ เอมี่ และศิลปินวาดภาพหลายคนยืนอยู่ข้างๆ
“สำหรับงานประมูลภาพการการกุศลในวันนี้ มีศิลปินหลายท่านได้กรุณาส่งภาพผลงานเข้ามาร่วมงาน ผมหวังว่าเราจะสามารถขายภาพ ระดมทุนการศึกษาให้แก่เยาวชนของชาติที่เรียนดีแต่ขาดทุนทรัพย์ได้มากเป็นประวัติการณ์ในวันนี้ ที่สำคัญในวันนี้ผมต้องขอขอบคุณ ดาราซูเปอร์สตาร์ เบอร์1ของไทย คุณพราวพิชญาดา ขอบคุณมากที่ให้เกียรติมาร่วมงานในวันนี้ และไม่ว่าไปงานไหน เธอก็จะร่วมบริจาคด้วยทุกครั้ง เรามาดูซิครับว่าในงานนี้ คุณพราวจะช่วยมอบทุนการศึกษาให้เด็กๆสักเท่าไหร่ งั้นเรามาเปิดงานด้วยภาพแรกกันครับ”
ทีมงานสาวสวยยกรูปบนขาหยั่งมีผ้าคลุมออกมาวาง
“ภาพนี้เป็นผลงานของอาจารย์สวรรค์ อัสนี วันนี้ท่านก็ให้เกียรติมาร่วมงานด้วยครับ”
รัฐมนตรีบัญชาผายมือส่งไปให้
“และผมจะให้เกียรติคุณพราวเป็นคนแรก ในการบริจาคให้กับภาพนี้”
มีนในคราบพราวรู้สึกใจคอไม่ดี รีบหันมามองแฟรงค์กับเอมี่ ที่ทำท่าฉีกยิ้มให้ยิ้มตาม
“เชิญคุณพราวเปิดภาพดูได้เลยครับ”
มีนหันไปจับผ้าขาว ค่อยๆแง้มๆแอบๆดูแบบเก้ๆ กังๆ ทำเอาทั้งงานมองอย่างงงๆ กับท่าทีที่แปลกไปของพราว
แฟรงค์เห็นท่าไม่ดี รีบพูดขึ้น
“ไม่เอาน่าพราว เล่นมุกอยู่นั่นแหละ ดึงผ้าออกได้แล้วหนู ทุกคนอยากจะเห็นใจจะขาดแล้ว ว่าเป็นรูป
อะไร”

“ผมช่วยนะครับ”

ติณห์พูดพลางยื่นมือผ่านหลังมีนไปจับชายผ้า พร้อมกับยิ้มโปรยให้เธอ ก่อนจะดึงผ้าขาวออกช้าๆ ทันทีที่ผ้าหลุดออกเห็นภาพ ทุกคนในงานก็ฮือฮา
 
มีนมองภาพนั้นเต็มตา เป็นภาพครอบครัวไก่ มีพ่อแม่และลูกเจี๊ยบ 3 ตัว
“ทำไม อึ้งไปล่ะครับคุณพราว มีอะไรรึปล่าวครับ”
ติณห์หันมาถามเมื่อเห็นท่าทีของมีน
“เปล่าค่ะ ฉันแค่อึ้งน่ะค่ะ ภาพนี้มีแค่ไก่ ไม่มีอะไรเลย”
ศิลปินเจ้าของรูปมองมีนอย่างไม่พอใจ รัฐมนตรีบัญชา แฟรงค์ เอมี่หน้าเสีย นักข่าวรีบจดประเด็นทันที ติณห์รีบช่วยแก้ตัวให้
“เอ่อ .ผมว่าก็สวยดีนะครับ”
มีนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่ค่ะ ไม่สวย แต่เป็นรูปที่งดงามและกินใจมากๆต่างหาก”
รัฐมนตรีบัญชาหันมายิ้มให้ พลางรีบประกาศทันที
“คุณพราวบอกว่ารูปพ่อแม่ไก่กับลูกไก่งดงามและกินใจมากๆครับ คุณสวรรค์ อัสนี”
“แล้วภาพนี้กินใจยังไงเหรอครับคุณพราว?” ติณห์หันมาซักต่อ
“ลูกเจี๊ยบทั้ง 3 ตัว เกิดมา อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อ เป็นครอบครัวที่มีความสุข แต่ถ้าภาพนี้ ขาดพ่อ
ขาดแม่ ก็จะเหลือแค่ลูกเจี๊ยบแค่ 3ตัว อยู่ด้วยกันตามลำพัง ภาพ ๆ นี้ ก็จะเป็นภาพที่ไม่สมบูรณ์ กลายเป็นภาพที่เหงา
และน่าเศร้ามากๆ”
แขกผู้มีเกียรติพากันพยักหน้าเห็นด้วย มีนพูดต่อทั้งที่น้ำตาคลอ
“เด็กที่เกิดมามีเงินทอง ทรัพย์สมบัติมากมายไม่ใช่คนที่โชคดีที่สุดในโลก แต่เด็กที่เกิดมามีพ่อแม่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา และมีครอบครัวที่อบอุ่นต่างหาก ที่เป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกค่ะ”
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วห้อง สุดเขตต์มองมีนอย่างประทับใจ แฟรงค์รีบปรบมือผสมโรง
“กินใจฮะ กินมากๆ นี่แหละพราว”
ติณห์ลอบมองพราวด้วยสายตาแปลกใจ นี่เหรอพราว ผู้หญิงที่ทำลายชีวิตน้องชายตัวเอง พลางอดคิดไม่ได้ว่าเธอกำลังสร้างภาพโกหกหลอกลวง
รัฐมนตรีบัญชารีบพูดตัดบท
“เอาล่ะครับ ในเมื่อคุณพราวชื่นชอบครอบครัวไก่รูปนี้ แล้วคุณพราวจะบริจาคให้กับรูปนี้เท่าไหร่ครับ ?”
พูดพลางจ่อไมโครโฟนไปที่มีน ที่ยืนอึ้ง เพราะไม่รู้ว่าควรจะให้เท่าไหร่
“เอ่อ พราวขอบริจาคหมื่นนึงค่ะ”
ทุกคนอึ้งไปทั้งงาน แฟรงค์กับเอมี่ทำท่าจะเป็นลม ขณะที่ส้มจี๊ดยิ้มขำ ส่วนสุดเขตต์กลับมองมีนอย่างเป็นห่วงอยู่ลึกๆ
จันทร์จรีที่อยู่อีกมุมหนึ่ง มองอย่างจับผิด
“บริจาคแค่หมื่นเดียว นี่มันไม่ใช่ยัยพราวเลย ยัยพราวมันต้องเว่อร์กว่านี้”
แฟรงค์นึกออก รีบเดินเข้าไปคว้าไมค์แย่งพูด แก้สถานการณ์
“ท่านรอ-มอ-ตอฮะ พราวตั้งต้นตัวเลขให้ประมูลรูปนี้เป็นทุนก้อนแรกไงฮะ ใครจะร่วมมอบทุนก็ประมูลมาได้เลยค่าทุนบริจาคก้อนแรกในวันนี้จะได้เยอะไงฮ้า”
ติณห์รีบยกมือขึ้นเป็นคนแรก
“ถ้าอย่างงั้น ผมขอประมูลรูปนี้ร่วมกับคุณพราวเป็นเงิน 1ล้านบาทครับ”
แฟรงค์ตาโต “ว้าย 1ล้าน เคาะเลยค่ะท่านรอ-มอ-ตอ เคาะเลย”
รัฐมนตรีบัญชารีบสรุป
“เอาล่ะครับ เราได้ทุนการศึกษาก้อนแรกให้กับเยาวชนของเราจากคุณติณห์ร่วมกับคุณพราวเป็นเงิน
1 ล้านบาทครับ”
ทุกคนในงานปรบมือลั่น ติณห์หันจับมือมีนขึ้นชูโค้งให้ทุกคน ก่อนจะยกมือมีนที่จับอยู่ขึ้นมาจูบ

สมชายเดินจะไปที่เรือนครัว แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อมองไปที่ศาลานั่งเล่นใต้ร่มไม้ที่อรชุมามักมานั่งจัดดอกไม้ เย็บปักถักร้อย แกะสลักผลไม้ ทำงานฝีมือบ่อยๆ
พราวแต่งชุดนุ่งซิ่น เกล้ามวย เหน็บดอกไม้ดอกชบากำลังฝึกนั่งทำเทียนหอมเป็นดอกลีลาวดีอยู่กับ
อรชุมา
สมชายมองอย่างอึ้ง เพราะเป็นภาพพราวที่เขาไม่คิดว่าจะเห็น
“อ้าว ชาย มีอะไรเปล่า?”
อรชุมาเงยหน้ามาทักเมื่อสมชายเดินตรงเข้ามา พราวรีบหลุบตามองเทียนที่ทำอยู่ในมือ รอยจูบเมื่อเช้า ยังทำให้หวั่นไหวไม่หาย
“ผมมาตามหาลูกมือของผม กลับไปช่วยงานในครัวน่ะสิครับแม่”
พราวสวนกลับไปทันที
“เสียใจ วันนี้ฉันไม่ว่าง”
“ได้ไงคุณ นี่จะผิดคำพูดกับผมเหรอ”
“แล้วตาบอดสีหรือไง ไม่เห็นเหรอ ฉันกำลังช่วยแม่คุณทำเทียนหอมอยู่”
สมชายหัวเราะขำ
“ทำเป็นด้วยเหรอ เดี๋ยวของสวยๆเค้าก็เสียหมด”
“เสียอะไร เสียตรงไหน นี่เห็นไหม ฉันทำตั้งหลายดอกแล้ว สวยออก?”
พราวพูดพลางหยิบเทียนที่ทำเสร็จแล้ว ขึ้นมาจากอ่างที่ลอยน้ำไว้อย่างสุดแสนภูมิใจ
น้องนุชรีบเดินเข้ามาดึงอรชุมาออกไปจากศาลาอย่างเงียบเชียบ
“แม่ มานี่เลย เร็วๆ อย่าอยู่เป็นก้างขวางคอเค้าเลย”
อรชุมาเห็นดีด้วย “นั่นซิ ทำยังกับว่าโลกนี้ มีพราวกับสมชายแค่ 2 คนงั้นแหละ”
“ไม่ดีเหรอแม่ ฮิๆ มีแววได้ลูกสะใภ้เป็นดาราเห็นๆ”
น้องนุชพาแม่เดินออกไป
พราวนั่งจุ่มสีติดกลีบเทียนทีละดอกทำเป็นดอกลีลาวดี โดยมีสายตาสมชายที่ทำเป็นคอยมองจับจ้องเหมือนจับผิดอยู่ แต่ลึกๆ กลับมองเธออย่างเอ็นดู
พราวก้มหน้าเขิน พลางค้นพบความสุขที่แท้จริง ที่ได้ทำในสิ่งแปลกใหม่ที่ตัวเองถูกใจ และมีใครที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
พราวดึงกลีบเทียนเป็นดอกลีลาวดีเสร็จ พลางมองเทียนในมือ แล้วนึกไปถึงแฟรงค์
“พี่แฟรงค์ พราวเจอที่พักใจของพราวแล้ว ที่ที่พราวอยู่แล้วมีความสุข พราวจะไม่กลับไปวงการอีกแล้ว
ขอโทษนะพี่แฟรงค์ ลาก่อน”

จากนั้นก็วางเทียนลงไปในอ่างน้ำ แล้วก็มองตามอย่างอิ่มใจ

น้องนุชแอบโผล่หน้ามองไป เห็นพราวกับสมชายกำลังเล่นป้ายสีเทียนกันอยู่ ก็รีบควักมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้
 
“รูปนี้ต้องบันทึกไว้เป็นเกียรติประวัติของครอบครัว พี่สมชายกำลังอินเลิฟกับซูเปอร์สตาร์เบอร์1ของประเทศ น่ารักอ่ะ โรม้านมากๆ นี่ถ้าเราเอารูปนี้ลงไอจี ผู้ชายทั้งโลกจะต้องอิจฉาพี่สมชาย”

มีนแอบเดินออกมาจากห้องประมูลภาพ พร้อมกับเดินเลี่ยงไปทางมุมปลอดคน จันทร์จรีเห็นท่าทางของมีนลับๆ ล่อๆ ก็รีบเดินตามไป
มีนที่เดินหลบมา เริ่มมีอาการปวดหัวเริ่มกำเริบรุนแรงขึ้น พลางจะควานหายาในกระเป๋า แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าทิ้งเป้ผ้าตัวเองอยู่ที่คอนโดพราว
“ยาอยู่ในกระเป๋าเป้ ทำไงดี”
มีนพยายามข่มความปวด แต่สุดท้ายก็ทรงตัวไม่อยู่ กำลังจะทรุดลงไป โชคดีที่สุดเขตต์คว้าตัวไว้ได้ทัน “คุณเป็นอะไร?”
“ฉันรู้สึกปวดหัว โอ๊ย”
มีนตอบแบบตะกุกตะกักเพราะความปวด สุดเขตต์ตกใจ
“ปวดมากเลยเหรอครับ ทำไงดี”
พลางหันมองไปรอบๆ พร้อมกับหาทางว่าจะพามีนไปพักได้ที่ไหน
ขณะที่จันทร์จรีกำลังตรงไปยังมุมที่สุดเขตต์กำลังประคองมีนอยู่

จันทร์จรีเดินตรงไปด้วยหน้าตาเอาเรื่อง ก่อนจะลี้ยวที่มุมห้องจัดเลี้ยงมาด้านข้างที่เห็นมีนเดินมา พลางมองตรงไป แต่กลับไม่เจอใคร
จันทร์จรีส่ายหน้าอย่างขัดใจ

มีนในคราบของพราวมาหลบนั่งพักอยู่ในห้องที่จัดไว้สำหรับแขกใช้พักผ่อน พลางพยายามต่อสู้กับความเจ็บปวดทรมาน 2 มือกำบีบไว้แน่น
สุดเขตต์เปิดประตูรีบเดินเข้ามาพร้อมแก้วน้ำดื่ม และยา จากนั้นก็รีบแกะยาออกจากแผงด้วยมืออันสั่นเทา เพราะเห็นอาการของบมีนน่าเป็นห่วง
“ไหวไหมครับ กินยาก่อน ขอโทษนะครับ ผมจะช่วยประคองคุณนะ”
มีนได้แต่พยักหน้า เม้มปากขบฟันแน่น สุดเขตต์ประคองเธอ ที่ปวดจี๊ดจนแทบโงหัวไม่ขึ้น พร้อมกับส่งยากับน้ำให้
มีนรับยามาป้อนเข้าปากตัวเอง ตามด้วยน้ำ จากนั้นก็ร้องโอดครวญด้วยความปวด พร้อมกับอิงศรีษะซบกับไหล่ของสุดเขตต์
“ทำไมคุณถึงปวดขนาดนี้ครับ คุณเป็นไรอะไรกันแน่ครับคุณพราว ปล่อยให้ปวดอาจจะแย่กว่านี้ ผมว่าผมพาคุณส่งโรงพยาบาลดีกว่า”
สุดเขตต์จับไหล่เธอจะดึงเธอขึ้น แต่มีนรีบคว้ามือห้ามไว้
“เดี๋ยวฉันก็หาย คุณไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เชื่อฉันซิ”
สุดเขตต์จำต้องพยักหน้ารับ
2 มือของมีนไขว่คว้าสะเปะสะปะ จนคว้าดึงแขนเสื้อเขาไว้เพื่อยึดเกาะสู้กับความเจ็บปวด สุดเขตต์เลยคว้ามือที่เย็นเฉียบนั้นมาจับไว้ มีนลืมตัว บีบมือเขาไว้แน่น จนเล็บจิกลงบนเนื้อหลังมือเขา สุดเขตต์เจ็บแปลบ แต่ก็อดทนไว้
“ไม่ไหวต้องบอกผมนะครับคุณพราว .ต้องบอกผมนะ อย่าทนอยู่นะครับ”
สุดเขตต์ข่มใจพูด ทั้งที่ตัวเองก็เจ็บ เพราะถูกเล็บของมีนจิกเนื้ออยู่

อีกด้านหนึ่งแฟรงค์กับเอมี่ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เมื่อจู่ๆ มีนก็หายตัวไปจากห้อง เช่นเดียวกับส้มจี๊ดก็กำลังหันมองหาสุดเขตต์เหมือนกัน

พราว ตอนที่ 4 (ต่อ)

อาการปวดหัวของมีนค่อยๆ ทุเลาลง เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง ก่อนจะพบว่าตัวเองทั้งกุมมือ ทั้งอิงศรีษะซบอยู่กับไหล่สุดเขตต์
 
“ขอโทษค่ะ ฉันรบกวนคุณ”
พูดพลางขยับตัวจะผละออกมา สุดเขตต์รีบส่ายหน้า
“ไม่รบกวนเลยครับคุณพราว คุณไม่สบาย ผมดีใจที่ได้ช่วยคุณ”
มีนปรือตาที่แทบจะลืมไม่ขึ้น มองเห็นรอยยิ้มที่แสนดีของสุดเขตต์
“คุณคงไม่เอาไปลงข่าวใช่มั้ยคะ?”
สุดเขตต์ส่ายหน้ายิ้มๆ
“.ผมไม่ใช่คนฉวยโอกาสแบบนั้นหรอกครับ คุณสบายใจได้”
มีนยิ้มของคุณ “เดี๋ยวนั่งพักอีกแป๊บนึง ฉันก็คงจะหายค่ะ”
“แล้วจะให้ผมไปบอกคุณแฟรงค์ผู้จัดการให้ไหมครับ ?”
มีนโบกมือห้าม “ไม่ต้องค่ะ คุณไปเถอะ ทิ้งฉันไว้ที่นี่ ฉันหายแล้ว ฉันจะออกไปเอง”
สุดเขตต์เห็นมีนกลืนน้ำลายเพราะคอแห้ง ก็รีบออกไปหาน้ำดื่มมาให้
จันทร์จรีที่เดินมองหาพราว มองผ่านประตูกระจกเห็นมีนนั่งอยู่ตามลำพังในห้อง ก็ยิ้มร้าย
“อยู่นี่เอง”
ส่วนติณห์ แฟรงค์ และเอมี่ ก็วุ่นวายกับการเดินตามหามีนให้ควั่ก

มีนได้ยินเสียงประตู คิดว่าเป็นสุดเขตต์เดินกลับมา ก็ปรือตาขึ้นมอง แต่พอเห็นเป็นจันทร์จรีก็ถึงกับอึ้งไป
“ทำไมทำหน้าอย่างงั้นล่ะพี่พราว อะไรอ่ะ ไม่เจอหน้ากันแค่ไม่กี่วัน ทำเหมือนไม่รู้จักจรีงั้นแหละ”
มีนพยายามนึกว่าจันทร์จรีเป็นใคร
“แล้วนี่เป็นอะไรไปคะ มานั่งแอบอยู่ในนี้คนเดียว ลับๆ ล่อๆ”
มีนรีบปฏิเสธ “เปล่า แอร์ข้างนอกมันเป่าจนหนาวมาก ชุดมันบาง ก็เลยเข้ามานั่งหลบแอร์ในนี้”
มีนในคราบขงพราวฝืนยืนเผชิญหน้ากับจันทร์จรี ที่มองเธออย่างจ้องจับผิด

สุดเขตต์ที่รีบเดินจะเอาน้ำกับผ้าเย็นไปให้มีน เห็นส้มจี๊ดเดินหน้าบึ้งผ่านมา พร้อมกับกดมือถือง่วน เขา รีบหลบเข้าหลังเสา พร้อมล้วงมือถือที่ตั้งสั่นไว้ขึ้นมาดู แต่ไม่ยอมรับสาย
ส้มจี๊ดรอสายอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเดินไปอีกทาง สุดเขตต์ก็รีบเดินหลบไปทันที

“วันนั้นพี่พราวหนีไปอยู่ที่ไหนมาคะ จรีเป็นห่วง”
จันทร์จรีแกล้งทำเป็นถามอย่างห่วงใย มีนไม่รู้จะตอบยังไง เลยรีบตัดบท
“ขอบใจจ้ะที่เป็นห่วง”
จันทร์จรีพยายามมองอย่างจับพิรุธ
“ขอบใจ ? วันนี้พี่พราวมาใจดีแปลกๆ นะคะ แล้วทำไมไม่โผล่หน้าเหวี่ยงๆ กลับไปที่บ้านพราวแสงบ้างเลยล่ะคะ พี่พราวทำเหมือนหลบๆ ซ่อนๆ ไม่อยากเจอหน้าพวกเรางั้นแหละ”
มีนอึกอัก จันทร์จรีมองจ้องอย่างนึกแปลกใจกับท่าทีไม่ไว้ตัวเหมือนก่อน
“อ้ำอึ้งอะไรคะพี่พราว พี่ทำตัวมีพิรุธมากเลยรู้ไหมคะ”
ขณะเดียวกันสุดเขตต์ที่เดินมาถึงหน้าห้องเห็นจันทร์จรียืนเผชิญหน้ากับพราวอยู่ในห้อง ก็รู้สึกเป็นห่วง
“พี่เป็นอะไรไป พี่ปิดบังอะไรเราอยู่ พี่ถึงไม่ยอมกลับไปเจอพวกเราที่บ้านพราวแสง”
“ไม่มี พี่ไม่ได้ปิดบังอะไรเลย”
จันทร์จรีแค่นยิ้ม พลางจิกตาร้ายใส่
“โกหกไม่เนียนเลยนะคะ แถมยังแทนตัวเองว่าพี่กับจรีซะด้วย รุ่นพี่พราวแสนดีกับรุ่นน้องจรีตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ทุกทีไม่เคยเห็นนังหัวจรีเลยนะคะรุ่นพี่พราว”
มีนผงะตกใจ จังหวะเดียวกับที่เสียงเคาะประตูของสุดเขตต์ดังขึ้นมาขัด
“คุณพราวครับ มีอะไรรึเปล่า เปิดประตูครับ”
มีนจะเดินไปเปิดประตู แต่จันทร์จรียกมือขวางไว้
“เดี๋ยวซิคะ รุ่นพี่ยังไม่ตอบฉันเลย ทำไมต้องทำตัวหลบๆซ่อนๆ ถ้าไม่ตอบ ก็อย่าหวังว่าจะออกจาก
ห้องนี้ได้เลย”
จันทร์จรีจับไหล่มีนทั้ง 2 ข้าง พร้อมกับถามคาดคั้น
“เธอจะทำอะไร ? ปล่อยฉันนะ”
จันทร์จรียิ้มร้าย
“ไม่ปล่อย ตอบมา วันนี้ฉันจะกระชากหน้ากากซูเปอร์สตาร์จอมปลอมอย่างเธอออกมาให้ได้”
สุดเขตต์เห็นเหตุการณ์ยื้อยุดกันข้างใน ก็รีบเคาะประตูรัว พร้อมกับตะโกนเรียกเสียงดังลั่น
“อย่าทำอะไรคุณพราวนะ เธอไม่สบายอยู่ เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้คุณพราว”
ติณห์ แฟรงค์ เอมี่ ที่เดินตามหามีนอยู่ ผ่านมาได้ยินพอดี ก็รีบวิ่งไปตามเสียง
“ไหนครับ คุณพราวอยู่ไหน ?”
ติณห์ถามสุดเขตต์อย่างร้อนใจ
“อยู่ในนั้นครับ?”
เมื่อมองไปในห้อง แฟรงค์กับเอมี่ก็แทบลมใส่เมื่อเห็นจันทร์จรีกำลังจับไหล่คาดคั้นมีนอยู่ แฟรงค์รีบบอกให้ฟังประตูเข้าไป สุดเขตต์อาสาวิ่งกระแทกเต็มแรง ประตูเปิดออกพร้อมร่างเขาที่ล้มกลิ้งไปกับพื้น
จันทร์จรีตกใจหันมามอง แฟรงค์ปรี่เข้ามาชี้นิ้วด่าทันที
“หยุดนะจรี ปล่อยพราวเดี๋ยวนะ ทำบ้าอะไรของหล่อน”
จันทร์จรีเจ็บใจที่ถูกขัดจังหวะ รีบปล่อยมือ มีนยืนเซจะเป็นลม สุดเขตต์จะถลาเข้าไปประคอง แต่ติณห์ที่เข้าถึงตัวก่อน รีบประคองไว้
“ผมจะพาคุณพราวหลบไปก่อนที่นักข่าวจะมานะครับคุณแฟรงค์”
แฟรงค์พยักหน้ารับ ติณห์รีบประคองมีนออกจากห้องไป สุดเขตต์รีบตามหลังไปด้วย

เอมี่รีบปราดไปปิดประตูห้องล็อก จันทร์จรีหน้าซีดตกใจ แฟรงค์ยืนเท้าเอวอย่างโกรธสุดๆ

ติณห์ประคองมีนหลบมาตามทางเดินลงบันไดชั้น 2 ลงมายังล็อบบี้ชั้นล่าง พร้อมกับกดมือถือโทร.บอกคนขับรถให้รีบเอารถมารับ สุดเขตต์รีบเดินตามหลังมา คอยหันมองซ้ายขวาดูลาดเลานักข่าวให้
 
ติณห์รีบอุ้มพามีนที่ยืนไม่อยู่ไปที่ประตูหน้าของโรงแรม จังหวะเดียวกับที่รถของเขาแล่นเข้ามาจอดพอดี
สุดเขตต์รีบวิ่งมาช่วยเปิดประตูรถให้
“เดี๋ยวครับคุณติณห์ ฝากดูแลคุณพราวด้วยนะครับ”
ติณห์มองหน้าสุดเขตต์อย่างไม่ชอบใจนัก
“แล้วคุณมาสั่งอะไรผม”
ส้มจี๊ดเดินตามออกมาเห็นเข้าพอดี สุดเขตต์หันมามอง แล้วรีบไล่ติณห์
“รีบพาคุณพราวไปเร็วๆ ครับ”
ติณห์รีบพามีนขึ้นรถออกไป ก่อนที่ส้มจี๊ดจะวิ่งมาถึง
“เมื่อกี้ยัยพราวใช่ไหม ทำไมนายไฮโซติณห์ต้องโอบต้องประคองขึ้นรถไปด้วย เป็นอะไรเหรอ”
สุดเขตต์รีบปฏิเสธ
“คุณพราวที่ไหน แกตาฝาดแล้ว”
ส้มจี๊ดจะหันมาเถียง แต่สุดเขตต์กลับเดินหนีไปก่อน

“มาทำอะไรที่นี่ จรี?”
แฟรงค์ถามคาดคั้นจันทร์จรีอย่างเอาเรื่อง
“ก็นี่มันโรงแรม จรีก็มาหาบุฟเฟ่กลางวันกิน ไม่ได้เหรอพี่แฟรงค์”
เอมี่มองค้อน “อุ้ย เด็กเจ๊เก่งอ่ะ เล่นละครสดๆ ดีกว่าเวลาแสดงอยู่ในกองถ่ายอีกอ่ะ”
จันทร์จรีหันมาทำตาเขียวใส่เอมี่
“พี่เอมี่ด่าจรีว่าสะตอเหรอ”
แฟรงค์สวนกลับทันที
“ก็สะตอจริงไหมล่ะ ตะกี๊ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเธอจงใจส่งตัวเองมาที่นี่ เพื่อมาหาเรื่องพราวโดยตรง”
“พี่คิดอย่างงั้นเหรอ แล้วพราวมีเรื่องอะไรให้จรีมาหาเรื่องรึเปล่าล่ะ” จันทร์จรีพูดย้อน
“จรี เยอะไปแล้วนะ ฉันรู้ว่าอินเน่อร์เธอคิดจะเทียบรัศมีพราวตลอดเวลา แต่ถ้าจะใช้วิธีสกปรกๆ เป็นนางร้ายแบบนี้ล่ะก็ แม่หมอแฟรงค์ทำนายได้เลยว่าเธอไม่มีวันชนะพราว never ever บั้นท้ายชีวิตเธอจะตกอับ เน่า
ฟอนเฟะ หนอนงี้ยั้วเยี้ย อยู่ในวงการนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ”
จันทร์จรีแทบกรี๊ด
“พี่แฟรงค์ใจร้าย พี่แฟรงค์ลำเอียง พี่มาสาปแช่งหนูทำไมเนี่ยะ”
“ฉันชิงสาปแช่งเธอก่อน ให้เธอสำเนียกไงยะ ดีกว่าปล่อยให้เธอหลงผิดไปถูกสาปแช่งทีหลัง ไม่ได้ผุดได้เกิด เสียเวลาปั้นฉันเปล่าๆ”
จันทร์จรีกัดปากอย่างเจ็บใจ แต่ไม่กล้าเถียงเมื่อเห็นหน้าแฟรงค์เอาจริง

ติณห์ที่อยู่เบาะหลังของรถนั่งโอบไหล่มีนให้นั่งซบอยู่กับไหล่ พลางลอบมองหน้าเธออย่างแปลกใจ ที่วันนี้พราวช่างดูบอบบาง ไร้พิษสง แตกต่างจากนางร้ายในคราบซูเปอร์สตาร์ที่เขาเคยรู้สึก
มีนขยับตัว แต่ยังรู้สึกมึนๆ แต่หมดแรง ติณห์รีบบอกอย่างเป็นห่วง
“ดูอาการคุณไม่ดีเลยนะครับ ผมว่าไปโรงพยาบาลดีกว่าครับ”
“ฉันไม่ไปโรงพยาบาล ฉันอยากนอน ฉันอยากกลับบ้าน พาฉันกลับบ้านนะคะ ฉันได้หลับสักงีบ ฉันก็จะดีขึ้นเอง ฉันเป็นอย่างงี้บ่อย ฉันรู้ตัวดี นะคะ พาฉันกลับบ้าน”
ติณห์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลอบยิ้มอย่างมีแผน
“ถ้าคุณต้องการอย่างงั้น โอเค, ครับ คุณจะพาคุณกลับบ้าน คุณหลับไปเถอะครับ อยู่กับผม ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร ผมจะดูแลคุณเอง”

ติณห์พูดพลางโอบไหล่เธออย่างอบอุ่น ทว่าแอบซ่อนรอยแค้นไว้ในใจ

สมชายสตาร์ทมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์นิจจาคันเก่งของตัวเอง หลังจากที่จอดทิ้งไว้เป็นเดือนๆ พราวเดินผ่านมา เห็นท่าทางเขาเพลิดเพลินมีความสุข ก็รีบเดินตรงไปหา
 
“ให้เดา อดีตคุณต้องเคยเป็นสมชายเด็กแว้น ขาซิ่งอัมพวาแน่ๆ”
สมชายที่นั่งยองอยู่ข้างรถ โผล่หน้าขึ้นมามอง พลางแอบดีใจที่เห็นพราวเป็นฝ่ายเข้ามาหาเขา แต่ไม่วายเก็บอาการไว้
“ให้เดา คุณต้องเคยเป็นดารามาก่อนแน่ๆ”
พราวเท้าเอวมอง พลางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“เดาให้มันไกลๆกว่านี้หน่อยได้มั้ย ฉันหมายถึงเดาอดีตของฉัน ย้อนไปไกลๆ หน่อย ก่อนจะเข้าวงการอะไรงี้”
สมชายอมยิ้ม
“อดีตของคุณ ผมไม่อยากรู้หรอก ผมรู้แต่ว่าอนาคต คุณจะเป็นอะไร”
พูดพลางเดินมาขึ้นคร่อมรถ พราวมองเขาอย่างแปลกใจ
“เป็นเด็กสก๊อยไง มะ ขึ้นมา ไปลองเครื่องกันหน่อย ผมหมายถึงว่า ผมจะไปลองเครื่องมอเตอร์ไซค์
ไปด้วยกันไหม?”
พราวมองที่ชุดตัวเอง ที่นุ่งผ้าซิ่นอยู่ “ไปทั้งชุดนี้เนี่ยะนะ”
“ทำไม แม่ผมใส่ชุดนี้ซิ่งท้ายรถผมไปจ่ายตลาดบ่อยๆ ลมมันโกรกดี”
พูดจบก็ดึงแขนพราวมานั่งซ้อนแบบนั่งข้าง
“แล้วมือเนี่ยะ กอดผมแน่นๆ ผมไม่ได้พิศวาสคุณหรอกนะ แต่ไม่อยากให้ร่วง ขี้เกียจเก็บศพ”
พราวมองค้อน พลางทำเหมือนจะลง สมชายรีบเร่งเครื่องออกไป

ระหว่างทางทั้งคู่ต่างก็ยิ้มหัวเราะให้กัน โดยไม่มีกำแพงใดๆ มาขวางกั้น พราวแอบมองสมชายอยู่เบื้องหลังเงียบๆ ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายห่ามๆ คนนี้ จะกลายมาเป็นที่พักใจ มาเติมเต็มความสุขที่ขาดไปให้เธอ จากนั้นก็กระชับแขนที่กอดเอว พร้อมทั้งพิงตัวอยู่กับแผ่นหลังของเขา สมชายรับความรู้สึกที่เธอส่งมาอย่างเงียบๆ
พราวได้หัวใจเขาไปแล้วชนิดที่เขาไม่ได้ตั้งตัว

สมชายขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดที่ริมแม่น้ำที่เงียบ สงบ เป็นธรรมชาติ พราวลงจากรถเดินไปยืนมองแม่น้ำกว้างๆ มีป่าธรรมชาติ 2 ฝั่งอย่างชื่นชม
“งามมากแม่กลอง อัมพวามีมุมเงียบๆสวยๆ แบบนี้ด้วย”
สมชายลงจากรถ เดินเข้าไปยืนเคียงข้าง
“คุณคิดว่าอัมพวามีแต่ตลาดน้ำ กับเรือขายผัดไท หอยทอดพายไปพายมาแต่ในคลองงั้นเหรอ”
พราวมองค้อน พลางยื่นมือไปตบแก้มเบาๆ สมชายผงะหลบ แต่ไม่ทัน
“อ๋อ ไม่เข็ด อยากโดนจับโยนลงน้ำอีกใช่ไหม มะ จัดให้”
พราวรีบวิ่งหนี แต่สมชายก็คว้าเอวจับตัวเธอไว้ได้
“ฉันขอโทษ ต่อไปจะไม่ตบคุณอีกแล้ว”
สมชายหยุด มองหน้าเธอที่หลับตาปี๋ซึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม พราวค่อยๆลืมตาขึ้น เห็นสมชายมองหน้าเธอยิ้มๆ
“อย่ามายิ้มแบบนี้นะ ฉันกลัว ไม่จับฉันโยนน้ำแล้วใช่ไหม ?”
“ไม่จับโยนก็ได้ แต่ผมขอตบแก้มคุณคืน”
“ว่าไงนะ จะตบฉันคืนเหรอ ก็เอาซี้ เอาเลย ถ้าคุณกล้าตบผู้หญิงล่ะก็” พราวพูดท้าทาย
“ทำไมผมจะไม่กล้า”
สมชายพูดพลางยื่นหน้าไปหอมแก้มฟอดใหญ่ พราวตาค้าง ตกตะลึง

“ทำไมคุณถึงหนีมาที่อัมพวานี่คนเดียว ?”
จ่ๆ สมชายก็ถามขึ้นมา เมื่อทั้งคู่มานั่งมองพระอาทิตย์ยามจะตกดินที่ริมแม่น้ำด้วยกัน
“แล้วคุณล่ะ ทำไมถึงกลับมาอยู่บ้านที่อัมพวา ไม่เป็นตำรวจแล้วเหรอ?”
สมชายหันมามองหน้าเธอยิ้มๆ
“ทำเป็นลืม คุณด่าผมเองไม่ใช่เหรอ ผมเป็นต้นเหตุทำให้เพื่อนคู่หูของผมถูกยิงตาย ทำให้คุณถูกลูกหลงจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ผมต้องรับผิดชอบ ก็นี่ไง ผมลาออกแล้ว”
พราวได้ฟังก็ถึงกับอึ้งไป
“คุณจะมาเอาอะไรกับคนที่กำลังนอนเจ็บอยู่ในโรงพยาบาล ฉันพูดไปเพราะฉันโกรธ อย่างคุณ ไม่น่าจะอ่อนไหวกับคำพูดของฉันได้เลยนะ”
สมชายรีบพูดต่อ “ผมลาออกก็ช่างผมเหอะ ว่าแต่คุณ หนีน้ำกรดมาล่ะซิ”
“คิดว่าฉันกลัวตายใช่ไหม ใช่ นั่นก็เหตุผลนึง มีคนจ้องจะทำร้ายฉัน”
“แล้วคุณสงสัยใคร?” สมชายถามกลับ ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น
“ฉันเองก็ไม่รู้ พราวมีแฟนคลับ มีทั้งคนที่รัก แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีทั้งคนเกลียดเหมือนกัน การเป็นซูเปอร์สตาร์มันเหมือนดาบหลายคม มันพร้อมจะทิ่มแทงเราเองได้ทุกทาง มันเหนื่อย มันล้า มันหยุดรักษาภาพไม่ได้ ถ้าฉันยังอยู่ในวงการ พราวต้องเป็นที่หนึ่ง พราวต้องต้องรักษาบัลลังก์ของตัวเองเอาไว้ พราวพลาด พราวร่วงเมื่อไหร่ พราวจะถูกกระหน่ำซ้ำเติม ฉันเลยต้องหยุดพราวไว้แค่นี้ พาตัวเองออกมาซะ”
สมชายมองหน้าพราวอย่างเข้าใจความรู้สึก แต่ก็อดถามไม่ได้
“แล้วคุณไม่เสียดายเหรอ มีคนเป็นล้านๆ ที่อยากเป็นอย่างคุณนะ”
“ทำไมฉันจะไม่เสียดาย แต่การเป็นดาวอยู่ข้างบนฟ้าคนเดียว มันโดดเดี่ยวมาก มีแต่คนเอื้อมมือไขว่คว้าหาพราว แต่...”
พราวก้มลงดูฝ่ามือทั้ง 2 ข้างของตัวเอง แล้วยิ้มเศร้า

“ไม่เคยมีใคร ให้พราวได้กุมมือเค้าอย่างอุ่นใจเลย เวลาพราวต้องการใครสักคน ไม่มี”

ขาดคำสมชายก็ยื่นฝ่ามือทั้ง 2 ข้างไปประกบกุมฝ่ามือทั้ง 2 ข้างของพราวไว้
 
“งั้นผมให้คุณยืมมือผมกุมไว้ก่อน คุณอุ่นพอแล้วค่อยคืนผม”
คำพูดง่ายๆบ้านๆ ไม่หรูหรา แต่ทำเอาพราวซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ ก่อนจะโผกอดสมชายอย่างคนที่ได้เจอที่พักใจที่อบอุ่น
ทั้งคู่โอบกอดกันท่ามกลางท้องฟ้ายามพระอาทิตย์ตกดินที่แม่น้ำ

อีกด้านหนึ่งมีนในคราบพราวกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ พลางมองไปรอบๆ ตัว แล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่ภายในห้องนอนตกแต่งหรูหรา ไม่ใช่ห้องแคบๆในบ้านแสนรักของตัวเอง
มีนลุกขึ้นนั่งอย่างตกใจ ก่อนจะรีบเปิดประตูห้องออกมา แล้วก็ยิ่งตะลึงงันกับความใหญ่โตหรูหราของคฤหาสน์หลังงาม ทว่ากลับไม่พบใครเลย
เมื่อมองตรงไปเห็นบันไดใหญ่อยู่มุมไกล มีนก็รีบเดินไป จนกระทั่งผ่านห้องๆหนึ่ง แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นด้านหลังใครคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องผ่านประตูที่เปิดแง้มอยู่
มีนกำลังจะเคาะประตูถาม แต่แล้วก็ต้องชะงักมือ เมื่อมองผ่านประตูเข้าไปชัดๆ แม้เห็นเพียงด้านกหลัง เธอก็จำได้อย่างแม่นยำ
ติณห์นั่งอยู่ข้างเตียงกลางห้องที่ไม่ต่างกับเตียงคนไข้หนักในห้อง ICU มีสายน้ำเกลือ สายอาหาร
ท่อออกซิเจนระโยงระยาง พลางลูบหัวคนบนเตียง ที่มีนเห็นแต่ส่วนลำตัวและช่วงเท้าที่มีผ้าห่มไว้
สีหน้าติณห์ขณะใช้มือลูบหัวคนที่นอนบนเตียงโศกเศร้า
ตรีนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่บนเตียง ที่จมูกสอดสายออกซิเจนไว้ ตาทั้ง 2 ข้างหลับไม่สนิท เหมือนคนนอนลืมตาหลุบต่ำที่แขนมีให้น้ำเกลือและวิตามิน มีเครื่องวัดหัวใจและความดันอยู่ข้างเตียง
“พี่เฝ้ารอปาฏิหาริย์ทุกวัน รอเห็นน้องตื่นและลุกขึ้นมาเป็นน้องชายคนเดิมของพี่ ถ้าไม่ใช่เพราะคนๆนั้น ชีวิตของตรี คงไม่หมดอนาคตแบบนี้”
สีหน้าของเขาเปลี่ยนจากเศร้าโศกเป็นเจ็บปวดระคนแค้น

ติณห์เดินออกมาจากห้อง เห็นมีนที่เข้าใจว่าเป็นพราวยืนอยู่หน้าห้อง ก็แสร้งทำเป็นแปลกใจ
“อ้าว คุณพราว มายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
มีนรีบบอกอย่างเกรงว่าเขาจะเคือง
“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาแอบฟังคุณเลย”
“นี่ก็แปลว่า คุณได้ยินหมดทุกอย่างที่ผมพูดกับน้องชายผม ?”
มีนพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะถามต่อด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“น้องชายคุณป่วยเป็นอะไรเหรอคะ ถึงต้องมารักษาอยู่ที่บ้าน”
ติณห์มองอย่างพยายามหยั่งความรู้สึกว่าพราวจะรู้สึกหรือสำนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเคยทำขึ้นมาบ้างไหม
“น้องชายผมถูกความรักทำร้ายจนสาหัส”

ภาพเหตุการณ์เมื่อ1ปีก่อน ย้อนกลับมาในความทรงจำของติณห์อีกครั้ง
“พี่ติณห์ ผมจะไปขอเค้าแต่งงานวันนี้”
ตรีพูดพร้อมกับเปิดกล่องแหวนเพชรโชว์
“ใคร ผู้หญิงคนไหน ไม่เห็นพามาแนะนำให้พี่รู้จักเลย”
“รอให้เธอตอบตกลงแต่งงานกับผมก่อนนะครับ แล้วผมจะรีบพาว่าที่น้องสะใภ้คนสวยมากราบพี่งามๆ”
ตรีจูบไปที่แหวน ก่อนปิดกล่อง ด้วยแววตาเปี่ยมสุข
“ผมไปล่ะ สายแล้ว จองร้านไว้เซอไพรส์ขอเค้าแต่งงานด้วย เดี๋ยวเค้าจะรอนาน”

ตรีขับรถปาดหน้าคนโน้นคนนี้ไปมา ใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์เหล้าและความเสียใจ กล่องแหวนเพชรถูกวางทิ้งไว้ที่เบาะข้างๆ
พลันเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ตรีกดรับสายที่พวงมาลัย
“ฮัลโหลตรี เป็นไง พี่อยากฟังข่าวดีของแก”
ติณห์ถามมาทางปลายสาย
“เค้าบอกเลิกผม เค้าทิ้งผม พี่ได้ยินไหม เค้าบอกว่าเค้าไม่เคยรักผมเลย ที่ผ่านมาทั้งหมดผมคิดไปเองคนเดียว”
“ใจเย็นๆตรี แกเมารึปล่าวเนี่ยะ”
ตรีน้ำตาพราก
“เค้าบอกว่า เค้ากำลังจะดัง เค้าไม่อยากมีผมไว้ถ่วงอนาคตของเค้า เค้าไม่ได้รักผม เค้าไม่ได้รักผม”
ตรีพูดได้แค่นี้ก็สะดุ้งสุดตัว เมื่อพบว่าเขาขับรถเร็วจนเสียการควบคุม
เสียงรถเบรกเอี๊ยดแล้วชนโครมดังสนั่น

ติณห์ขบกรามอย่างข่มความรู้สึก เสียงโครมที่ได้ยินจากโทรศัพท์วันนั้นยังดังก้องอยู่ในหัว

“หลังขับรถชน ผมพยายามรักษาเค้าจนสุดความสามารถ แต่เค้ากลับไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย กลายเป็นเจ้าชายนิทราอยู่บนเตียงมาร่วมปีแล้ว”

พราว ตอนที่ 4 (ต่อ)

พูดพลางมองหน้าเธอ ด้วยความหวังว่าจะสะกิดพราวให้เสียใจเมื่อนึกถึงคนที่ตัวเองเคยสลัดรัก แต่กลับเห็นสีหน้าที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว มีแค่ความตกใจของมีน
 
“เจ้าชายนิทราเหรอคะ”
“ใช่ น้องผมนอนเหมือนผัก ขยับตัวไม่ได้ กินไม่ได้ พูดไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ แม้แต่หายใจเอง มีเพียงแต่หัวใจของเค้าเท่านั้นที่ส่งเสียงเต้นอยู่ให้ผมได้ยิน ให้ผมได้รับรู้ว่าเขายังไม่ตาย เขายังอยู่กับผม”
ติณห์ขบกรามแน่น นัยน์ตาแดงก่ำ ทว่ากลับเห็นสีหน้าของมีนที่มองเขาอย่างเห็นใจ
“คุณติณห์คะ ฉันเสียใจด้วยค่ะ”
2 มือของติณห์กำราวระเบียงชั้น 2 แน่น อย่างพยายามยับยั้งตัวเองไม่ให้หันไปขย้ำพราวให้ตายคามือ “เสียใจเหรอครับ ?”
พลางหันมามองหน้าผู้หญิงที่เขาคิดว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องชายเขาต้องเป็นแบบนี้
“ค่ะ ฉันอยากให้กำลังใจคุณพยายามรักษาน้องชายคุณต่อไป รอปาฏิหาริย์ของคุณต่อไปนะคะ อย่าท้อที่จะรอ ปาฏิหาริย์นั้น อาจจะกำลังเดินทางมาหาคุณอีกไม่ช้านี้ก็ได้”
ติณห์หันมา พร้อมกับเปลี่ยนความแค้นเป็นแผนร้าย เขาโผกอดมีนที่คิดว่าเป็นพราว ราวกับซึ้งใจมากเหลือเกิน
“ขอบคุณมากครับ คุณพราว ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้ผม บางทีปาฏิหาริย์ของผม อาจจะมาพร้อมกับคุณก็ได้”
มีนนิ่งอึ้งอยู่ในอ้อมกอดของติณห์ ทั้งที่ไม่เข้าใจความหมาย แต่ก็โอบตอบปลอบใจเขา เพราะเธอก็มีน้องชายที่รักมากเหมือนกัน

สุดเขตต์นั่งอยู่ในห้องภายในบ้านไม้หลังเก่าๆ ที่จัดเป็นสตูดิโอย่อมๆ ไว้สำหรับถ่ายภาพงานที่รับมา
พลางมองมือตัวเองที่ถูกมีนบีบจนเล็บจิกเป็นรอยแผล ด้วยความสงสัยและคาใจกับอาการปวดหัว และท่าทีของพราว
ใน 2 ครั้งหลังสุดที่เขาได้เจอมากับตัว
“พราว ตกลงตัวตนของคุณเป็นยังไงกันแน่ ?”

มีนที่ยังอยู่ในอ้อมกอดติณห์ รู้สึกอึดอัด เมื่อรู้สึกว่าเขากอดเธอแน่นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะบีบเธอให้สลาย
“คุณติณห์คะ ฉันหายใจไม่ออก”
ติณห์ได้สติ รีบปล่อยมีน ก่อนที่จะมีพิรุธให้จับได้
“ขอโทษครับ ผมลืมไปว่าคุณเองก็ไม่ค่อยสบาย แล้วตอนนี้รู้สึกเป็นยังไงครับ ดีขึ้นหรือยัง?”
พูดพลางยื่นมือลูบดวงหน้ามีนอย่างอ่อนโยน
“ดีขึ้นแล้วค่ะ”
จังหวะนั้นพ่อบ้านก็เดินเข้ามาบอกว่าแฟรงค์มาขอพบ ติณห์พยักหน้ารับรู้
“คุณแฟรงค์มารับคุณกลับแล้ว ผมดีใจมากครับคุณพราว ที่มีโอกาสได้ดูแลคุณในวันนี้ หวังว่าบ้านผมจะมีโอกาสได้ต้อนรับคุณอีกนะครับ”
ติณห์มองตาหวานซึ้ง เพราะตั้งใจจะมัดใจพราวให้อยู่หมัด
“ขอบคุณค่ะ งั้นฉันกลับก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่แฟรงค์จะรอนาน สวัสดีค่ะ”
พูดจบ มีนก็รีบวิ่งไปเลย โดยไม่รอให้เขาเดินตามไปส่ง

ติณห์ยืนมองมีนวิ่งลงบันไดไปโดยไม่มีมาดดั่งนางพญาของพราวอย่างแปลกใจ

มีนสลัดคราบพราว รีบเดินมาตามทางเดินในโรงพยาบาล พลางมองหาห้องที่ปอนด์ปอนด์พักรักษาตัวอยู่ ก่อนจะค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปอย่างเบาๆ แม่แก้วที่นั่งเฝ้าปอนด์ๆอยู่ข้างเตียงหันมา
 
“มีน ทำไมมาดึกนักลูก ?”
“โทษทีจ้ะแม่แก้ว มีนไปทำงานให้พี่แฟรงค์ กว่าจะเสร็จก็เย็นมากแล้ว แล้วปอนด์ปอนด์เป็นยังไงบ้างจ้ะ?”
พูดพลางลูบหัวปอนด์ปอนด์ที่นอนหลับอยู่บนเตียงด้วยความเป็นห่วง
“หมอบอกว่าอาการดีขึ้นมาก ไข้ลดลงแล้ว แต่ต้องนอนโรงพยาบาลไปอีกวันสองวัน จนกว่าจะแน่ใจว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ หมอถึงจะให้กลับบ้านได้”
“ก็ให้อยู่ตามที่หมอบอกนั่นแหละแม่ พี่แฟรงค์ให้เงินมีนมาแสนนึง”
มีนพูดพลางหยิบเงินออกมาจากเป้
“นี่จ้ะ จ่ายค่าเช่าบ้านไปแล้วก็เหลืออยู่ 4 หมื่น 5 น่าจะพอจ่ายค่าโรงพยาบาล”
แม่แก้วจับมือมีน ที่ถือเงินอยู่
“มีน ที่หนูทำอยู่ แม่รู้ว่าหนูลำบากที่ต้องไปแสดงเป็นคนอื่น มันไม่ใช่ตัวหนูเลย”
“แต่ถ้ามีนไม่ทำ เราก็ไม่รู้จะหาเงินมาจากไหนได้มากเท่านี้นะแม่แก้ว เราต้องขอบคุณคุณพราวนะแม่ ชีวิตของเธอ ช่วยต่อชีวิตพวกเรา ให้หายใจต่อไปได้อีก แม่แก้วอย่าห่วงมีนเลยนะจ๊ะ ให้มีนทำต่อเถอะ มีนคงทำได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวคุณพราวกลับมา มีนก็ต้องกลับมาเป็นอีปานแดงคนเดิมอยู่ดี มีนไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปได้หรอกแม่”
มีนพูดยิ้มๆ อย่างยอมรับสภาพ แม่แก้วยิ้ม พลางยื่นมือลูบหน้าที่มีปานของมีน
“สำหรับแม่แล้ว ปานแดงของหนูมันเป็นสัญลักษณ์ที่บอกว่าหนูแสนดี แตกต่างไม่เหมือนใคร จิตใจหนูประเสริฐยิ่งกว่าคนหน้าตาสวยบางคนซะอีกลูก หนูจงภูมิใจในสิ่งที่หนูมีนะมีน หนูต้องภูมิใจ”
มีนพยักหน้ารับ ก่อนจะยิ้มให้แม่แก้วอย่างความสุขใจที่ได้ทำเพื่อคนอื่น

ขณะเดียวกัน พราวก็เริ่มมีความสุข และกระตือรือล้นที่จะทำงานในโฮมสเตย์มากขึ้น เธอรีบเดินมาที่ครัว พลางมองไปทางสมชายที่กำลังล้างผักจัดเตรียมวัตถุดิบ แล้วค่อยๆ ย่องเข้ามาโผล่หน้าข้างๆ ไหล่เขา
“มีอะไรให้ช่วยทำป่าวค่ะบอดี้การ์ดสมชาย ?”
สมชายหันมามองยิ้มๆ “ตื่นสายแล้วยังมากวนอีก”
“ก็ไม่มีคนไปปลุกอ่ะ”
“อยากให้ปลุกทุกวันเหรอ งั้นก็ต้องอยู่นานๆ”
พราวมองหน้าเขาล้อๆ “อยู่ตลอดไปได้ป่ะ”
สมชายทำหน้าหมั่นเขี้ยวใส่ พราวหัวเราะ ก่อนจะผละไปคว้าผ้ากันเปื้อนที่แขวนอยู่มาใส่ เดินไปยังจานชามที่ล้างคว่ำไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
“ช่วยเช็ดจานให้ก็แล้วกันนะ รับรองว่าจะทำให้แตกน้อยที่สุด”
พูดพลางหยิบผ้ามาเช็ดจาน สมชายเช็ดมือ วางงานตัวเอง เดินเข้ามาโอบพราวทางด้านหลัง
“ใครเค้าเช็ดจานกันอย่างงี้ ต้องช่วยกันเช็ดแบบนี้”
สมชายจับมือพราวแล้วเช็ดๆ พร้อมกับอิงหน้าที่ข้างแก้มพราว ที่ยิ้มอายๆ
ลุงจ่อยเดินถือถาดเข้ามาเห็นเข้า อารามตกใจ มือทำถาดร่วงเสียงดังสนั่น ทั้งคู่ตกใจรีบผละออกจากกันอย่างเขินๆ
“เปล่านะครับ ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
ลุงจ่อยพูดพลางรีบวิ่งออกไป จากนั้นก็รีบมาเล่าให้อรชุมาฟังทันที

น้องนุชกำลังวางแจกันดอกไม้ วางเทียนหอม จัดห้องใหม่หลังแขกเก่าเช็คเอ้าท์ออกไปเพื่อรอรับแขกใหม่ที่จะเข้ามาพัก พลางพูดมือถือกับเพื่อน
“เรื่องจริงนังแต๋ม ฉันไม่ได้โม้ พี่สมชายของฉันกำลังอินเลิฟกับคุณพราว ซุปตาร์เบอร์1ย่ะ หลักฐานเหรอ ก็อยู่ที่โฮมสเตย์ฉันนี่ไง เฮ้ยๆๆ อย่ามานะนังแต๋ม ไม่ได้ๆ ฉันถูกสั่งปิดข่าว ขืนพวกแกยกโขยงแก๊งต่อยหอยกันมาดู ฉันได้ถูกพี่กับแม่ฆ่าเอาแน่ๆ อะไรนะ? ไอจีเหรอ ทำไมจะไม่กล้า แกอย่าท้าฉันนะนังแต๋ม เดี๋ยวฉันจะโพสต์ให้แกดู”
น้องนุชกดวางสาย แล้วรีบเปิดรูปในมือถือที่แอบถ่ายพราวกับสมชายสวีตกันไว้ แต่ดูแล้วรูปไม่ถูกใจ
“รูปเห็นหน้าไม่ชัดเลย ไกลเป็น 100 เมตร ต้องจัดใหม่”

สมชายกำลังพายเรือพาพราวนั่งชมบรรยากาศอยู่ที่คลองบริเวณสวนผลไม้ของตัวเอง น้องนุชเดินแอบมาในสวน ก่อนจะย่องไปที่หลังต้นไม้ได้ระยะพอเหมาะ จากนั้นก็ยกมือถือไปโฟกัสภาพแล้วรีบกดถ่ายรัว ก่อนจะรีบผละออกมาพิมพ์ข้อความว่าอิงรักโฮมสเตย์ อัมพวา แล้วกดโพสต์เข้าไอจี

“ทำอะไรยัยนุช ?”

น้องนุชตกใจ หันไปมองอรชุมา
 
“อุ๊ย เปล่าจ้ะแม่”
“เห็นพี่ชายเรากับคุณพราวไหม ?”
“โน่น สวีตกันอยู่ที่สวนโน่น แม่เตรียมตัวไว้เถอะ”
อรชุมาย้อนถาม “เตรียมตัวอะไร ?”
“อ้าว ก็เตรียมตัวดังไง เป็นแม่ผัวซุปตาร์”
อรชุมาแกล้งโวยวายใส่ลูกสาว แต่แอบยิ้มกระหยิ่ม
“ถ้าเป็นจริงๆ เราคงเดินตลาดลำบากแน่ ใครๆก็ต้องรู้จัก จะปล่อยตัวโทรมๆไม่ได้อีกแล้ว ไม่ได้ๆมะขามเปียก ขมิ้น ต้องเตรียมไว้ขัดผิวซะหน่อย”

แฟรงค์นั่งกุมขมับ หน้าเครียดอยู่ในห้องทำงาน
“ฉันจะหาข้ออ้างไม่ให้คิวพราวไปถ่ายละครไรอีกเนี่ยะ ไม่ให้คิวเค้ามาจะสองสามอาทิตย์แล้ว ขืนส่งยัยมีนปานแดงไปแสดงแทน ชักโครกแตกเหม็นโฉ่แน่”
พลันเสียงแมสเซสไลน์ในไอแพดดังขึ้นรัว แฟรงค์รีบเปิดดูต้อง แล้วก็อ้าปากค้าง เมื่อพบว่ามีเพื่อนๆ ส่งรูปพราวในไอจีที่น้องนุชโพสต์มาให้ดู
“คุณพระช่วยกล้วยเน่า พราว อ๊าย ในที่สุด ฉันก็หาตัวหล่อนเจอแล้ว”
ขณะที่เอมี่เคาะประตูห้องโครมคราม แล้วเปิดประตูวิ่งโวยวายเข้ามาในห้อง
“พี่แฟรงค์ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ใครไม่รู้โพสต์รูปพราวในไอจี”
แฟรงค์รีบบอก “ฉันเห็นแล้ว นี่ไง มีคนส่งมาให้ฉันด้วย”
จากนั้นทั้งคู่ก็หันมามองหน้ากัน พลางมองจ้องที่ผู้ชายที่อยู่ในรูป ต่างก็จำได้ว่าเป็นสมชาย ที่ดูแล้วไม่น่าจะไปอยู่ด้วยกันได้
“เรื่องนั้นช่างมันก่อน สำคัญว่าพราวอยู่ที่ไหน ต้องรีบไปเอาตัวพราวกลับมาด่วน”
ทั้ง 2 มองไปใต้รูป
“อิงรักโฮมสเตย์ อัมพวา รีบไปเร็ว ก่อนที่นักข่าว จะไปถึงก่อนเรา”
ทั้ง 2 รีบแจ้นออกจากห้องไป อารามรีบร้อนจึงเผลอทิ้งไอแพดหน้าที่มีรูปไอจีของพราวไว้บนโต๊ะ และเปิดประตูอ้าทิ้งไว้

จันทร์จรีเดินโผล่มายืนมองอย่างสงสัยว่า 2 คน รีบไปไหน พลางเห็นไอแพดวางอยู่

ส้มจี๊ดกำลังพูดมือถืออยู่ในบ้านของสุดเขตต์ ด้วยอาการลิงโลด
 
“อัมพวาเหรอ ขอบใจมากนะน้องที่ฮอตไลน์มาบอก”
จันทร์จรียิ้มร้าย ก่อนจะตอบกลับมาทางปลายสาย
“ เปลี่ยนจากคำขอบใจเป็นเขียนเชียร์จรีดีกว่านะคะพี่ แล้วก็รีบๆไปที่อิงรักโฮมสเตย์เถอะค่ะ พี่
แฟรงค์รีบแจ้นออกไปแล้ว เดี๋ยวพี่จะพลาดข่าวเด็ดให้หนังสือ HOT SHOT นะคะ”
พูดจบก็รีบวางสาย โดยไม่รู้ตัวว่ามิกิแอบถ่ายรูปเธอด้วยมือถือจากนอกห้อง อย่างนึกรู้สึกรังเกียจในการกระทำของเธอ
ส่วนส้มจี๊ดก็รีบพาสุดเขตต์เดินทางตามหาพราวที่อัมพวาทันที

จันทร์จรีเดินออกมาจากห้อง ก็เห็นต้อยติ่ง ที่กำลังดูไอแพดอยู่กับมาร์ค มิกิ ต่างก็ทุ่มเถียงกันอยู่ว่าพระเอก หรือไฮโซคนไหนกันแน่ ? ที่อยู่ในรูปกับพราว
“ฉันเกรงว่าไอ้หมอนั่นจะเป็นพวกกระทิงเปลี่ยว กินอร่อย รักสนุก แต่โลว์คลาสนะซิ”
ทั้ง 3 คน หันมามองจันทร์จรีพร้อมกัน มาร์ครีบแก้แทนพราว
“รู้ได้ยังไงว่าโลว์คลาส พี่พราวเป็นถึงซูเปอร์สตาร์ ไม่ลดตัวไปทำตัวมั่วแบบนั้นหรอก”
มิกิพยักหน้าเห็นด้วย
“พูดแบบนี้ ดูถูกพี่พราวให้เสียชื่อ พี่พราวกลับมาก่อนเถอะ มิกิจะฟ้อง”
จันทร์จรีของขึ้นทันที “แน่ใจเหรอว่าแกจะพูดได้ อีมิกิ”
ขาดคำก็ปรี่เข้ามาตบมิกิจนหน้าคว่ำ มาร์ครีบเข้ามาขวาง เลยพลอยโดนจันทร์จรีถีบเข้าที่เป้าจังๆ
“หยุดนะคุณจรี ไม่อย่างงั้นต้อยติ่งจะเทลาโฟนไปบอกคุณพี่แฟรงค์เดี๋ยวนี้”
ต้อยติ่งทนไม่ไหว คว้ามือถือขึ้นขู่ พร้อมทำท่าจะกด
“คุณแม่บ้านติ่งจะประกาศตัวเป็นศัตรูกับจรีอีกคนงั้นเหรอ”
ต้อยติ่งส่ายหน้ายิก
“บ่ได้ประกาศตัว แต่ต้อยติ่งต้องทำตามหน้าที่แม่บ้านของบ้านพราวแสง เกิดเรื่องไรขึ้น ต้อยติ่งก็ต้องรายงานคุณพี่แฟรงค์ค่ะ ไม่หยุดก็เทลาโฟนๆ”

จันทร์จรีเห็นท่าของต้อยติ่งเอาจริง เลยจำต้องปล่อยมิกิ แล้วรีบเดินผละไป มิกิร้องไห้โฮ มือจับมือถือของตัวเองที่แอบถ่ายจันร์จรีไว้แน่น ด้วยความแค้น
จบตอนที่ 4
กำลังโหลดความคิดเห็น