คุณผีที่รัก ตอนที่ 14
ลุงสนเดินตามผีเด็กหญิงออกมาที่ลานด้านนอกโรงงาน พีระโผล่มาขวางหน้า
“หนูจะพาลุงสนไปไหนไม่ได้”
“อยากจะเล่นกับหนูใช่มั้ย”
เด็กหญิงตาดุกร้าว โมโห โกรธ จากนั้นก็มีมือผีคลานมากับพื้นไม่ต่างจากแมงมุม ออกมาจากซอกหลืบต่างๆ มาล้อมรอบพีระเอาไว้ทุกด้าน
“หนูมีเพื่อนจะเล่นกับพี่เยอะเลย”
พีระผงะ ถูกมือผีกระชากจนล้มไปกับพื้น
อาจารย์เทพยังดูเชิงกับเกี๊ยง พลางเล่าเรื่องคามินให้เมสินีฟัง
“มีผีที่โหดกว่าพีระอีกเหรอ” เมสินีแปลกใจ
“ไอ้คามิน มันต้องการพลังวิญญาณพีระ เพื่อที่มันจะได้เข้าสิงร่างพีระและกลับมามีชีวิตอีกครั้ง”
“เท่ากับว่า ถ้าผีคามินได้วิญญาณพีระไป มันก็จะทำให้ร่างพีระฟื้นขึ้นมา”
“ถ้าฟื้น คุณพีทก็ต้องโหดเลวชั่วยิ่งกว่าอีกน่ะสิ” ยุทธกังวล
เมสินีรีบรบเร้า
“ตอนนี้พีระอยู่ที่ไหน บอกฉันมา แล้วพวกแกจะฟัดกันหรือพลอดรักกันยังไงก็เชิญ..บอกมา”
ในห้องเก็บตุ๊กตา เสียงเพลงมอญซ่อนผ้าดังตลอดเวลา
“มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ใครเผลอคอยระวัง ใครเผลอคอยระวัง ตุ๊กตาอยู่ข้างหลังระวังจะถูกตี”
เอมี่วิ่งหนีมาอีกด้านอย่างสติแตก น้ำมนต์รีบวิ่งตามมา จับเอาไว้
“พี่เอมี่ ตั้งสติก่อน..หนูมีตะกรุดหลวงพ่อ บารมีหลวงพ่อต้องคุ้มครองเราได้แน่”
“เธอมี แต่พี่ไม่มีนะ”
“เราก็อยู่ด้วยกันสิ”
แต่แล้วเอมี่ผงะ เพราะพบว่ารอบๆตัวเธอกับน้ำมนต์ มีตุ๊กตาผีนั่งเรียงรายล้อมเป็นวงกลม ราวกับการเล่นมอญซ่อนผ้าอยู่
“น้ำมนต์ เขา...พวกเขาจะเล่นกับเราเหรอ”
“เขาอาจจะต้องการแค่เพื่อนเล่นก็ได้”
เสียงเพลงมอญซ่อนผ้าจบลงพอดี แล้วทุกอย่างก็เงียบลง เอมี่กับน้ำมนต์ลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แล้วอยู่ๆก็มีเศษผ้าปลิวลงมาจากด้านบน หล่นมาใส่บ่า เอมี่หยิบมาดู
“ผ้า...ผ้าหล่นข้างหลังพี่...ยังงี้พี่ก็....”
ตำแหน่งตุ๊กตาที่นั่งล้อมรอบ กลายเป็นวิญญาณผีเด็กแทน ทุกตัวจ้องเอมี่
“แฮ่!”
“อร๊าย”
เอมี่วิ่งหนี น้ำมนต์จะตามเอมี่ไป แต่มีรถเข็นสไลด์มาขวางหน้ากระแทกน้ำมนต์ ทำให้ตามไปไม่ได้ น้ำมนต์ได้แต่ห่วงเอมี่
ด้านนอกโรงงานตุ๊กตาร้าง พีระนอนเกร็ง ลุกไม่ได้ เพราะถูกมือผีจับล็อกไว้ และมือผีอื่นๆไต่ขึ้นเต็มตัวพีระพยายามดิ้น
“ปล่อยนะ ไอ้แมนสรวง แกอยู่ไหน มาช่วยฉันที แมนสรวง ไอ้ยมทูตสอบตก”
ทันใด พวกมือผีกระจายหายไปอย่างรวดเร็ว ปรากฏเท้าคนมายืนตรงหน้า พีระตาโต ดีใจ คิดว่าเป็นแมนสรวง แต่พอมองไล่ขึ้นไปจนเห็นหน้า พีระต้องผงะ เพราะคือคามินยืนอยู่
“คามิน”
เอมี่วิ่งหนีมาอีกด้าน แต่ต้องชะงัก เพราะผีเด็กมายืนขวาง เอมี่จะถอยกลับ ก็กลับไม่ได้ ผีเด็กตามมาล้อมเอาไว้ เอมี่จนมุม แล้วทันใด ผีเด็กก็อ้าปาก กรูเข้ารุมกัด
“อย่าเข้ามา แล้วฉันจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้นะ” เอมี่พนมมือสวดมนต์ “ถ้าฉันพอจะมีกรรมดีอยู่บ้างในชีวิต ฉันขอยกบุญทั้งหมดของฉันให้พวกเธอ ขอให้พวกเธอได้ร่มเย็นเป็นสุข หลุดพ้นจากทุกข์ทรมานที่เป็นอยู่”
ทันใด พวกผีเด็กผงะออก ถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น”
แมนสรวงยืนอยู่ข้างเอมี่ แต่เอมี่มองไม่เห็น
“ขอโทษนะครับที่มาช้า กว่าจะเคลียร์งานส่งวิญญาณเสร็จ แต่ผมมาแล้ว จะไม่มีใครทำอะไรเจ้ได้”
แมนสรวงโอบเอมี่เอาไว้ เอมี่สัมผัสได้
“เฮ้ย ทำไม ถึงรู้สึกว่า มีใครบางคน คอยปกป้องเราอยู่”
เอมี่หันหน้ามาทางแมนสรวงพอดี ซึ่งแมนสรวงก็หันมาพูดด้วยเช่นกัน สองคนใกล้ชิด
“เจ้รู้สึกไม่ผิดหรอกครับ”
แมนสรวงหันขวับ มาจ้องพวกผีเด็กอย่างดุดัน พวกผีเด็กผงะๆ กลัวๆ เฝ้าระวัง ตั้งท่าไว้
อาจารย์เทพหยิบลูกประคำออกมา
“ถ้าแกจำฉันไม่ได้..สิ่งเดียวที่ฉันจะช่วยแกได้ ก็คือ ฉันต้องจับแกขังเอาไว้..ดีกว่าปล่อยให้แกไปเป็นสมุนไอ้คามิน”
“เกี๊ยงไม่ใช่สมุน แต่เกี๊ยงเป็น...”
เกี๊ยงแบมือออก ทันใด ปรากฏ หมวกที่มีป้ายไฟเขียนว่า “คามิน” มีรูปหัวใจด้วย
“ติ่งท่านคามิน”
เกี๊ยงเอาหมวกมาสวม ทำหน้าราวกับได้รับพลังจากคามิน
“เกี๊ยงจะฆ่าแก ตามความต้องการของท่านคามิน”
“งั้นแกก็ลองดู”
อาจารย์เทพและเกี๊ยงต่างท่องคาถา เกิดลมพัดแรง เกี๊ยงสะบัดเอากระถางต้นไม้ ลอยพุ่งมาใส่อาจารย์เทพจนกระเด็นไปอีกด้าน ดีมีพนักงานสถานีเดินออกมาด้านนอก เจอลมพัดแรงข้าวของหล่นเกลื่อนกลาด ไม่ไกลนัก อาจารย์เทพคว้าบางอย่างไว้ในมือทันที เกี๊ยงจะเข้าเผด็จศึกอาจารย์เทพ
“แกตาย”
แต่อาจารย์เทพชูมือออกมา ในมือถือบางอย่าง
“แกต่างหากต้องเข้าไปอยู่ในนี้” อาจารย์เทพชูธัมไดร้ฟ์ขึ้นมา “ลงไป”
ทันใด เกี๊ยงถูกดูดลงไปในธัมไดร้ฟ์ทันที ทุกอย่างสงบ เทพรอดหวุดหวิด
“อยู่ในนี้ไปก่อนนะเกี๊ยง ฉันจะหาทางช่วยแก”
คามินมองไปที่ผีเด็กหญิง กวักมือดึงตัววิญญาณผีเด็กหญิงมา ลุงสนร่วงสลบไป ผีเด็กหญิงมาปรากฏข้างกายคามิน
“อย่าอยู่เป็นภาระให้สังคมเลย”
คามินวางมือแตะหัวเด็ก ดูดพลัง ผีเด็กหญิงหายไป
“ทีนี้ก็แก ไอ้วิญญาณบริสุทธิ์”
โซ่คล้องที่ล็อกประตูหลุดหล่นลงกับพื้น น้ำมนต์กับเอมี่เปิดประตูออกมา
“ประตูเปิดแล้ว เปิดได้ไง ใครเปิดให้” เอมี่งง
“ต้องเป็นท่านยมทูตแน่ๆ”
“ยมทูต ใคร”
เอมี่รบเร้าถาม แต่น้ำมนต์ไม่ตอบ รีบไป
พีระวิ่งหนีสุดชีวิต คามินโผล่มาดัก พีระถอยหนีอีก คามินโผล่มาดักหน้าอีก
“ไอ้บ้าเอ๊ย”
พีระชก คามินปัดออก จะคว้าคอพีระให้ได้ แต่พีระเอี้ยวหลบ เตะตัดขา แต่สุดท้ายพีระถูกคว้าคอไว้ได้
“เอาวิญญาณแกมา”
คามินจะดูดวิญญาณพีระ แต่อยู่ๆแมนสรวงโผล่มายืนคั่นกลาง คามินผงะ ถอย
“อ้าว มาสิ มาดูดฉัน ฉันอยากโดนดูด จ๊วบๆ มาๆ”
พีระหลุดรอด เซถอยมา น้ำมนต์วิ่งเข้ามาพอดี
“พีระ เอานี่ไป”
น้ำมนต์เอาสร้อยตะกรุดสวมให้พีระ
“คุณเอามาให้ผมทำไม เอาไว้ป้องกันตัวเอง”
“แต่นายคือเป้าหมายของคามิน” น้ำมนต์บอกอย่างเป็นห่วง
คามินฉุนแมนสรวง
“ไอ้ยมทูต แกไม่เกี่ยวอย่ายุ่ง ไป”
แมนสรวงโผล่แว่บมาตรงหน้าคามิน
“ทำไมจะไม่เกี่ยว ไอ้คามิน ไอเลิฟยู”
แมนสรวงโผกอดคามินเอาไว้ ล็อกอย่างแน่น
“เฮ้ย ปล่อยฉัน”
“ก็บอกให้แกดูดฉัน แกก็ไม่ดูด ฉันกอดแกขนาดนี้เลย จะดูดฉันได้ยัง หรือจะให้ฉันดูดแกเอง”
แมนสรวงทำท่าอ้าปากปล่อยพลังใส่คามิน
“แกคงจะชอบที่จะได้รับพลังยมทูตของฉัน”
คามินดิ้นพล่าน แมนสรวงโวยพีระ
“เอ้า หนีไปเซ่ จะยืนอยู่ทำไม ขุ่นพระ”
น้ำมนต์ได้สติก่อน
“ไปเร็ว พีระ พี่เอมี่ ไปๆ”
น้ำมนต์ เอมี่ พีระ ไปประคองลุงสน พากลับไปที่รถ
“พี่เอมี่ไปขับ”
เอมี่กำลังจะขึ้นรถ แต่ชะงัก มองกลับมาอย่างห่วงใย
“ทำไมฉันถึงรู้สึก ไม่อยากหนีไป มีบางอย่างที่ฉันรู้สึกเป็นห่วงมากอยู่ที่นี่”
“แหม มันน่าซึ้งใจมากที่คุณมีจิตผูกพันกับไอ้ยมทูต แต่มันใช่เวลามั้ย ขึ้นรถ”
พีระผลักเอมี่ขึ้นรถ แล้วขึ้นตาม
คามินไม่ยอมแพ้แมนสรวง
“ถ้าแก จะทำลายฉัน ฉันนี่แหละจะทำลายแกก่อน”
คามินกางกรงเล็บขึ้นมา เส้นเลือดปูดโปนเป็นสีดำทั้งหมด มีพลังอำมหิตปกคลุมฝ่ามือนั้น
“ฉันจะทำลายแกเอง”
คามินอ้อมมือไปจะจ้วงเข้ากลางหลังแมนสรวง คามินแสยะยิ้ม กระหยิ่ม แต่ปรากฏว่าแมนสรวงไปยืนอยู่ไกลออกไป
“ไอ๊หย๋า น่าสยดสยอง”
คามินเบิกตา เพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้จ้วงโดนแมนสรวง ก้มมองท้องตัวเอง พบว่าฝ่ามือจ้วงเข้าไปในตัวเอง
“แก”
คามินทรุดลงไป
“ทีหลัง เวลาดูดพลังวิญญาณมา อย่าเอามาแต่กำลัง เอาตรงนี้มาด้วย” แมนสรวงชี้หัวสมอง “เข้าใจตรงกันนะ จุ๊ฟ”
แมนสรวงเดินแยกไป ทิ้งคามินเจ็บปวดเจ็บใจไป
รถของเอมี่แล่นมา รถค่อนข้างส่ายไปมา เอมี่ขับอย่างสติแตก อารมณ์อกหักที่ต้องทิ้งคนรัก น้ำมนต์กับพีระนั่งด้านหลัง ตัวโยนไปมา พยายามช่วยกันจับตัวลุงสนที่ยังสลบอยู่ไม่ให้กระเด็นไปกระแทก
“พี่เอมี่ ตั้งสติขับดีๆ”
“พี่ พี่เป็นอะไรไม่รู้ พี่เสียใจ พี่เจ็บปวด เหมือนอกหักยังไงยังงั้น”
“พี่เอมี่คงจะมีจิตบางอย่างผูกพันกับแมนสรวงไปแล้ว ถึงจะมองไม่เห็นแต่ก็สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก”
น้ำมนต์ชะโงกหน้าไปปลอบ
“พี่เอมี่ หนูเข้าใจนะคะว่าการทิ้งคนที่รักมามันรู้สึกแย่แค่ไหน แต่ถ้าพี่ไม่ขับดีๆ เราจะตายกันหมด”
“ทิ้งคนรัก ทำไมเธอถึงพูดว่าพี่ทิ้งคนรัก มันหมายความว่ายังไง”
อยู่ๆแมนสรวงปรากฏกายมานั่งข้างเอมี่
“คงจะหมายถึงผม เพราะเจ้ห่วงใยผม แต่ผมมาแล้ว สบายใจได้แล้วนะครับ”
แมนสรวงลูบผม เอมี่รู้ผ่อนคลาย สงบลงไปในทันที
“ฮ้า อยู่ๆก็ รู้สึกสบายใจ อบอุ่นและปลอดภัย เหมือนมีใครบางคนลูบหัวอยู่ข้างๆ”
“หือ” น้ำมนต์เห็นอาการเอมี่ แล้วงง
พีระบอกน้ำมนต์
“แมนสรวงนั่งอยู่นี่แล้ว”
ลุงสนได้สติขึ้นมา
“น้ำมนต์”
“ลุงสนตื่นแล้ว ลุงคะ ไว้หนูจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้ช่วยบอกทางไปหาร่างนายพีระเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” น้ำมนต์รีบบอก
รถตู้คืนผจญผีแล่นผ่านไป รถของเมสินีแล่นสวนมาพอดี ยุทธจอดรถ มองรถตู้ที่แล่นผ่านไป
“นั่นรถของพวกมัน”
“ตามมันไป ให้มันพาไปเจอร่างนายพีท จะได้จัดการทีเดียว” เมสินีสั่งทันที
หอประชุม มหาวิทยาลัย...ลูกโป่งแหกปากต่อว่าอัฐชัยและพิมพ์ดาว
“ไม่ต้องโทษกันไปมา ผิดทั้งคู่นั่นแหละ”
อัฐชัยกับพิมพ์ดาวอยู่ในชุดในละครเวที และมีพวกนักแสดงอื่นๆอยู่ด้วย หลังจากการแสดงละครรอบซ้อมให้ดูแล้วผลไม่น่าประทับใจ
“อาจารย์อิ๋วและคณบดีบอกว่า นี่เหรอละครเวทีที่จะแสดงในอีก 5 วัน มันห่วย มาก พวกเธอจะทำให้คณะและมหาวิทยาลัยขายหน้า”
พิมพ์ดาวกับอัฐชัยจะโทษกัน
“ก็คนบางคน...”
ทั้งคู่จะพูดว่า ไม่ยอมส่งอารมณ์มา
“เงียบ พรุ่งนี้อาจารย์อิ๋วจะขอดูอีกที ถ้ายังเป็นอย่างนี้ อาจารย์อิ๋วจะทำเรื่องแจ้งคณบดี ให้งดการแสดงนี้ซะ”
พิมพ์ดาว อัฐชัย และนักแสดงอื่นๆฮือฮา กลัวอดแสดง
“งั้นวันนี้เราทุกคนก็ต้องซ้อมแก้ไขใหม่ใช่มั้ย” อัฐชัยเริ่มมีความหวัง
“คนอื่นไม่ต้อง เพราะนักแสดงที่มีปัญหา มีแค่แกสองคน”
พิมพ์ดาวกับอัฐชัยอึ้ง
รถตู้ของคืนผจญผีแล่นมาจอดที่โกดังแห่งหนึ่ง พีระมองไปที่สวนตรงหน้า
“ร่างของผมอยู่ที่นี่เหรอ”
ลุงสนบอกน้ำมนต์
“ไม่ใช่หลังนี้ อยู่ด้านใน ไปครับ”
ในรถตู้ เอมี่ยังนั่งนิ่งอยู่ ซาบซ่าน แมนสรวงยื่นหน้ามา
“จะไม่ลงเหรอครับ”
พอดีกับเอมี่หันหน้ามาหาแมนสรวงเช่นกัน สองคนหันหน้าหากัน หายใจรดกัน แต่เอมี่มองไม่เห็น
“ทำไม..ถึงรู้สึกเหมือนมีใครอยู่ใกล้ๆ..ตรงหน้า..ตรงนี้ ไม่ๆๆ ฉันเพ้ออะไรเนี่ย บ้าแล้ว”
น้ำมนต์วิ่งมาตาม
“พี่เอมี่ จะเข้าไปด้วยกันมั้ยคะ”
“เดี๋ยวพี่ตามไป”
น้ำมนต์รีบแยกไปกับลุงสน
รถของเมสินีแล่นตามมาจอดห่างๆ เมสินีกับยุทธมองผ่านกระจกออกมา
“มันเอาร่างนายพีทมาไว้ในที่แบบนี้นี่เอง เราถึงได้หาไม่เจอ...ยุทธ ไหนบอกสิ ว่าเธอจะทำยังไงกับร่างนายพีท”
ยุทธเปิดลิ้นชัก หยิบปืนขึ้นมา โชว์ให้เมสินีเห็น
“แต่สำหรับผู้หญิงสวยๆอย่างคุณ ปืนปากกานะครับ” ยุทธหยิบปืนปากกาส่งให้
“ลายชิวาว่าด้วย” เมสินียิ้มพึงใจ
ข้าวต้มกับงอแงยืนมอง อัฐชัย พิมพ์ดาว งงๆ
“ทำไมพวกพี่ต้องมาซ้อมละครที่บ้านเค้าด้วย”
“อ้าว ไม่ได้เหรอ ว้า...” อัฐชัยหยิบถุงขนมออกมาวาง “อุตส่าห์ซื้อขนมมากินระหว่างซ้อมเยอะมาก งั้นคงต้องขนกลับทั้งหมด”
“แต่เพื่อเห็นแก่มนุษยธรรม เรื่องนี้เค้าจะไม่ยุ่ง”
ข้าวต้มเอาถุงขนมไป ลูกโป่งเพิ่งคุยโทรเสร็จเดินมา
“น้ำมนต์ปลอดภัยดี บอกว่าเพิ่งจะไปถึง ถ้าพีระเข้าร่างเรียบร้อยจะรีบกลับมา”
“กลับมาพร้อมกับพีระที่ฟื้นกลับมาด้วยสินะ แฮปปี้เอนดิ้งซะที” พิมพ์ดาวดีใจ
“พูดยังงี้ต้องการอะไร” อัฐชัยเหล่
“ปล๊าว”
ลูกโป่งตัดบท
“เอ้าๆ พร้อมจะซ้อมละครกันหรือยัง”
อยู่ๆงอแงวิ่งเข้ามา เอาผ้าขนหนูมาห่มตัวเป็นสไบ วิ่งแป๋นแหล๋นเข้ามา
“งอแงพร้อมแล้วค่ะ คุณหลวงของบ่าว”
งอแงลงไปนั่งกับพื้นทันที ทำตาปริบๆแบบว่าอยากเล่นละครกับเขามั่ง
ลุงสนเดินผ่านทางเดินในสวน พวกน้ำมนต์เดินตาม ระหว่างเดินตามลุงสน พีระหันมาถามน้ำมนต์
“น้ำมนต์ คุณอยากให้ผมกลับเข้าร่างจริงๆใช่มั้ย”
“ทำไมถามยังงี้ ช่วยนายมาขนาดนี้ ฉันก็ต้องอยากสิ ถ้านายกลับเข้าร่างได้ นายจะได้กลับไปบริหารสถานีพราวด์ แล้วก็มาช่วยเหลือพวกฉัน”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมจะไม่ลืมบุญคุณของคุณกับเพื่อนแน่นอน”
“สาธุ ให้มันจริง”
“แล้วผมจะบอกเรื่องที่ผมอยากบอกกับคุณด้วย”
น้ำมนต์อึ้ง เดินหนี ตัดบท
“ฉันไม่อยากรู้ ไม่ต้องบอก...เรื่องบางเรื่อง เราปล่อยให้มันคลุมเครือต่อไปดีแล้ว...อย่าไปทำให้มันชัดเจนเลย”
“ทำไม”
“ถ้าทุกอย่างคลุมเครือ ฉันก็ยังมโนให้เป็นอย่างที่ฉันต้องการได้ แต่ถ้ามันชัดเจน มันก็คือความจริง และฉันไม่แน่ใจ ว่าตัวฉันจะรับมือกับความจริงบางอย่างได้...นะ” น้ำมนต์กุมมือ ขอร้อง “ฉันขอร้องนะพีระ...ฉันอยากให้นายเป็นความทรงจำที่ดีของฉัน”
“ผมก็อยากเป็นความทรงจำที่ดีของคุณ”
“งั้นก็อย่าพูดอะไรที่จะมาทำลายทุกอย่างเลย”
“น้ำมนต์ คุณคือคนเดียวที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอีกครั้ง...ผมอยากทำทุกอย่างที่ดีที่สุดให้กับคุณ อยากทำให้คุณมีความสุข อยากบอกว่าผมรักคุณ...แต่ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไง ถ้าไม่ได้สารภาพบาปของผมกับคุณ”
น้ำมนต์จับแก้ม
“ยิ้มสิ แค่ยิ้มก็พอ ถ้านายอึดอัดนายก็ยิ้ม แล้วฉันจะยิ้มตอบ”
“มันก็แค่การหลอกตัวเองไปวันๆ”
น้ำมนต์ยิ้มแฉ่งทั้งน้ำตา
“นะ ยิ้มสิ”
พีระจำต้องยิ้มให้กับน้ำมนต์ไปด้วย แล้วพีระก็ดึงน้ำมนต์มากอด
ภายในโรงนา มีสภาพโปร่ง โล่ง สะอาด มีแสงแดดพอดีๆ ลุงสนเดินนำไปที่มุมด้านหนึ่ง มีม่านกั้นเอาไว้ พอรูดม่านเปิดออก ก็เผยให้เห็นว่า มีเตียงพักฟื้นที่มีร่างคนนอนอยู่ มีสายระโยงรยางค์จากตัวพีระ ตามการรักษาคนป่วยที่ยังไม่ฟื้นที่บ้าน
“นั่นไงครับคุณพีท”
พีระชะงัก ไม่ยอมเดินเข้าไป น้ำมนต์หันกลับมาหา ยิ้มให้
“พีระ” น้ำมนต์ยิ้มให้ แล้วเข้าไปคว้ามือ “เข้าไปสิ”
“น้ำมนต์ ผม...”
“ไม่มีอะไรต้องลังเล ไปเข้าร่างของนายนะ นายจะได้มีชีวิต แล้วจะได้มาบอกรักฉันไง ฉันจะได้ไม่ต้องถูกเพื่อนล้อว่ามีแฟนเป็นผีซะที”
ลุงสนกับน้ำมนต์ปล่อยให้พีระเดินเข้าไป พีระค่อยๆเข้าไปใกล้ๆ ข้างเตียง จนมองใบหน้าตัวเองอย่างจัง
“นี่..ผมเหรอ..หน้าผมเป็นอย่างนี้เหรอ..หล่อจริงๆ”
อัฐชัยในบทบทตะคอกด่าพิมพ์ดาว
“นังเยื้อนเรื้อนกินกบาล นังทาสกลับกลอก เอ็งจงใจใส่ความคุณหญิง เอ็งหาได้มีความยำเกรงข้าไม่”
“เยื้อนพูดความจริง ไม่เคยมีสักครั้งที่เยื้อนคิดร้ายกับคุณหลวง”
งอแงที่นั่งหลังพิมพ์ดาว เยื้องออกไป ทำเหมือนเป็นตัวประกอบทาส
“อย่าไปเชื่อมันค่ะท่านเจ้าคุณ นังนี่มันโกหก”
พิมพ์ดาวกับอัฐชัย ชะงักที่งอแงมาแทรก
“งอแง ไปเล่นที่อื่นได้มั้ย”
“บ่าวชื่อย้อยเจ้าค่ะ เป็นทาสในเรือน”
“งอแง” ลูกโป่งแว๊ดใส่
“เจ้าค่ะ”
งอแงจ๋อย ลุกเดินออกไปนั่งกับข้าวต้มที่นั่งกินขนมดูซ้อมอยู่
“ขอเล่นด้วยก็ไม่ได้ เชอะ”
“เราก็มาเล่นกันตามประสาเด็กเถอะ ข้าวต้มมองรำคาญ
เอมี่เดินลงจากรถมา จะตามน้ำมนต์เข้าไป
“พอๆ หยุดเพ้อๆ ที่เรารู้สึกวูบๆวาบๆมันไม่มีความหมายอะไร อาจเป็นสัญญาณเตือนของวัยทองก็ได้”
แมนสรวงยืนมองอยู่ นึกด่าตัวเอง
“ผมก็ไม่รู้ทำไมถึงได้ทำในสิ่งที่ผมห้ามนายพีระเสียเอง มันคือความรักใช่มั้ย”
อยู่ๆมีใบไม้ร่วง เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ากำลังจะมีการตาย แมนสรวงรับใบไม้นั้นให้ร่วงลงบนฝ่ามือพอดี
“ใบไม้ร่วง กำลังจะมีคนตาย ใครกันมาตายตอนนี้ ขอตัวไปทำงานก่อนนะ”
แมนสรวงถือใบไม้ ใช้มันนำทางไปหาวิญญาณคนตาย หายตัวไป แว่บ! แต่อยู่ๆแมนสรวงก็กลับปรากฏกายที่เดิมมาอีกครั้ง
“ทำไมมาที่เดิม..เฮ้ย หรือว่า..คนตายอยู่ที่นี่”
เมสินีกับยุทธเดินเข้ามาด้านหลังของเอมี่ โดยที่เอมี่ไม่รู้ตัว ยุทธยกปืนขึ้นเล็งเอมี่
“อย่า” แมนสรวงร้องลั่น
งอแงแหกปากร้องลั่น
“แกต้องตาย”
งอแงเอาไม้เรียวเฆี่ยนหลังข้าวต้มที่แต่งตัวผ้าขาวม้าพาดอกเป็นนางทาสอยู่
“โอ๊ย เจ็บเหลือเกิน ท่านเจ้าคุณขา ตีแรงๆโหน่ย”
ข้าวต้มร้องลั่น แล้วก็หยิบขนมกินไป หน้าระรื่น
“นังทาสไม่รักดี ข้าจะลงทัณฑ์แกเอง นี่แน่ะ นี่แน่ะ”
ลูกโป่ง พิมพ์ดาว อัฐชัยมายืนกอดอกจ้องเด็กสองคนอย่างดุมาก
“ไปเล่นสนุกกันที่อื่นมั้ย”
“หรืออยากให้พี่พากลับบ้านตอนนี้”
“หรืออยากให้พี่ยึดขนมคืนทั้งหมด” เอกชัยเสียงเข้ม
งอแงกับข้าวต้มไม่อยากซวย จำยอมไป
“เจ้าค่ะคุณหลวง”
ยุทธเล็งปืนที่เอมี่ แมนสรวงพุ่งเข้ามาเตะปืนนั้นกระเด็น แล้วชก
“โอ๊ย”
ยุทธคว่ำไป เอมี่รู้ตัว หันกลับมา แล้วตะลึง
“คุณยุทธ คุณมาได้ยังไง”
“รีบไปบอกน้ำมนต์เร็ว” แมนสรวงร้องบอก
เอมี่จะรีบตามน้ำมนต์ไป แต่เมสินีมายืนขวางเอาไว้ กระชากแขนเอมี่
“หยุดอยู่เฉยๆเลย”
“อย่าแตะต้องเจ้ใหญ่ของผม”
แมนสรวงกระชากแขนเมสินีดึงออกมา แล้วเหวี่ยงออกไป
“ปล่อยเจ้ใหญ่ของผม”
แมนสรวงดึงตัวเมสินีมาได้ เอมี่ตกใจ เห็นเมสินีดีดดิ้น เหมือนถูกใครบางคนจับตัว แล้วเหวี่ยงออกไป
พีระยืนมองร่างตัวเอง อย่างตะลึง ลุงสนบอกเศร้าๆ
“อาการของคุณพีทตอนนี้ทรงตัว อวัยวะภายใน สมอง และร่างกายทุกส่วนอยู่ในสภาพปกติ เหลือแค่เพียงฟื้นขึ้นมาเท่านั้น”
“พีระ..จะรออะไรอยู่”
“ไม่ ผมทำไม่ได้ ผมมีชีวิตต่อไปไม่ได้ ถ้าคุณไม่ให้อภัยผม” พีระหันกลับมา จะสารภาพ “น้ำมนต์ ผมต้องบอกคุณว่าผมคือคนที่...”
น้ำมนต์ตวาด ไล่
“ไปเข้าร่างได้แล้ว ไปสิ ไป”
น้ำมนต์ดุ จริงจัง ผลักไล่พีระให้หันไปหาร่างตัวเอง
“ไหนบอกว่าจะทำให้ฉันมีแต่ความสุขไง ถ้าอยากให้ฉันมีความสุขก็อย่าทำอย่างนี้..ไปเข้าร่าง”
พีระลังเล
แมนสรวงเข้ามาหาเอมี่
“เจ้...เจ้รีบไปบอกน้ำมนต์”
ยุทธกลับไปคว้าปืนขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เล็งไปที่เอมี่อีกที
“พอได้แล้ว” ยุทธพูดกับแมนสรวงที่มองไม่เห็น “แก...ไอ้พีระหรือไอ้ยมทูต ต้องเป็นยมทูตสินะถึงได้ไม่กลัวผ้ายันต์เลย” ยุทธหยิบสร้อยคอผ้ายันต์ออกมา “แต่ถ้าแกซ่ากับฉันอีกที ฉันยิงยัยเอมี่แน่ ถ้าแกคิดว่าแกไวกว่าลูกปืนก็ลองดู”
“ยมทูต มียมทูตด้วยเหรอ” เอมี่สงสัย
พีระยืนลังเลอยู่ที่หน้าร่างของตัวเอง ยุทธถีบประตูพรวดเข้ามา
“หยุด”
พีระ น้ำมนต์ ตกใจ น้ำมนต์รีบไล่พีระทันที
“รีบเข้าร่างเดี๋ยวนี้พีระ”
ยุทธยกปืนเล็งทันทีเช่นกัน
“ถ้าแกเข้าร่างน้ำมนต์ตาย”
พีระชะงัก ไม่กล้ากลับร่าง และกลายเป็นโกรธ หันกลับมาเผชิญหน้ายุทธ พุ่งเข้าใส่
“แกจะทำอะไรน้ำมนต์”
พีระเข้ามาชกยุทธ แต่กลับกลายเป็นว่า พีระเป็นฝ่ายกระเด็นเอง เพราะยุทธห้อยผ้ายันต์เอาไว้
“พีระ”
น้ำมนต์รีบผวาไปหาพีระ
“หึ ผ้ายันตร์ใช้กันยมทูตไม่ได้ แต่ใช้ป้องกันแกได้ แกควรจะตายไปตั้งนานแล้ว ฉันไม่ควรต้องมาเหนื่อยขนาดนี้”
น้ำมนต์จะผวาเข้าใส่ยุทธ
“อย่าทำอะไรพีระนะ”
น้ำมนต์จะผวาเข้าหายุทธ แต่พีระคว้าตัวน้ำมนต์มากอดเอาไว้ ไม่ให้ไป
“อย่า...ช่างมันน้ำมนต์ ชีวิตผมไม่สำคัญเท่าคุณ ช่างมัน”
“ไม่ เราช่วยกันมาขนาดนี้แล้ว ฉันไม่ยอม”
ยุทธไปเล็งปืนที่ร่างพีระ ทันใด อยู่ๆมีถังไม้ที่แขวนกับชักรอกหมุนเหมี่ยงมาใส่ยุทธจังๆ ยุทธคว่ำไปอีกทาง พบว่ามีเลือดออกมา ลุงสนปรากฏตัวว่าเป็นฝีมือลุงสนเอง
“คุณน้ำมนต์หนีไปก่อน”
ลุงสนลากรถเข็นออกมา รีบไปที่ร่างของพีระ พาพีระลงรถ น้ำมนต์รีบไปช่วย ยุทธตั้งหลักได้ จะหยิบปืน พีระเห็นจังหวะนั้น รีบพุ่งไปคว้าไม้ แล้วฟาดยุทธอีกที
“ชกหน้าแกไม่ได้ แต่ฉันตีหัวแกได้เว้ย”
ลุงสนกับน้ำมนต์เข็นร่างพีระออกมาด้านนอก รีบพากันไป
“รีบไปที่รถเลยค่ะลุงสน”
ยังไปไม่ถึงรถ ก็ต้องชะงัก เพราะเจอเมสินีถือปืนปากกายืนคุมเอมี่อยู่ เมสินีหันกลับมา เห็นร่างพีระถึงกับตกใจ
“นายพีท...นายพีท!”
เมสินีเผลอตัวหันปืนมาทางร่างพีระทันที
“อย่านะ ถ้าคุณทำอะไรพีระ ฉันจะถ่ายคลิปคุณ” น้ำมนต์ เอามือถือมาขู่ “คุณยิง ฉันถ่ายคลิป ยังไงคุณก็ไม่รอด”
“ฉันจะช่วยถ่ายด้วย ถ่ายเสร็จ ส่งไปสำนักงานตำรวจทันที” เอมี่เสริม
“ฉันจะแฉให้คนทั้งประเทศรู้ว่าผู้บริหารสถานีพราวด์มีพฤติกรรมอย่างไร ทั้งคุณและสถานีคุณต้องเละแน่”
“ว้าย อย่าถ่ายนะ” เมทินีรีบเก็บปืนปากกา ตีหน้าแสนดีทันที “สวัสดีค่ะ เมสินีมาจะทำบุญค่ะวันนี้”
“เออ สมัยนี้ คนถ่ายคลิปน่ากลัวกว่าคนถือปืนอีกเหรอเนี่ย”
“ลุงสน ไปขึ้นรถค่ะ”
แมนสรวงเห็นพีระวิ่งตามมา รีบต่อว่าทันที
“นายจะมาวิ่งตามหาพระแสงของ้าวอะไร ทำไมไม่กลับเข้าร่างไปเลย”
“ก็กำลังจะกลับ แต่พวกมันมาก่อน”
“งั้นก็รีบไปสิ”
ลุงสนเข็นร่างพีระออกมา กลังจะข้ามถนนเพื่อไปยังรถตู้ อยู่ๆรถของเมสินีที่จอดอยู่ก็สต๊าร์ทเครื่อง ยุทธนั่งเลือดอาบหน้า สีหน้าบ้าเลือดมาก กำลังเร่งเครื่องพร้อมพุ่งชน
“แกต้องตาย ไอ้พีท”
ยุทธขับรถพุ่งเข้าใส่ลุงสนและร่างพีระ ตั้งใจจะชนร่างพีระให้ตาย พวกน้ำมนต์เห็นรถยุทธพุ่งไป ตกใจ
“อย่า”
เมสินีก็ตกใจ เพราะไม่ได้อยู่ในแผน รถพุ่งเข้าหา ลุงสนช็อก โครม! รถพุ่งชนอย่างจัง รถเข็นกระเด็นลอย ไปหล่นแอ้งแม้งตรงหน้าน้ำมนต์ ล้อหมุนติ้วๆน้ำมนต์ถึงกับกรีดร้อง
“ไม่นะ ไม่”
พีระผงะ แมนสรวงรีบจับบ่าไว้
“ไม่ คนที่ฉันต้องรับวิญญาณไป ไม่ใช่นาย”
พีระเอะใจ มองไปอีกที ร่างพีระนอนฟุบกับพื้นข้างทาง ร่างกายไม่ได้เป็นอะไรเลย แค่หล่นจากรถเข็น
รถพุ่งไปเห็นว่าคนที่ถูกรถชนจนเกาะติดหน้ารถคือลุงสน ถูกอัดก๊อปปี้ติดไปกับต้นไม้
“ลุงสน”
ยุทธที่เพิ่งตั้งสติได้จากการกระแทก ยังนั่งอยู่ในรถ เห็นหน้าลุงสนเกาะกระจกหน้า มองจ้องตนตาเหลือก อาฆาต ยุทธช็อก เมสินีเห็นท่าไม่ดี ถอยหนีออกไปจากบริเวณนั้นก่อน พวกน้ำมนต์รีบวิ่งไปหาลุงสน พยายามจะช่วยลุงสนออกมา
“ลุงสน”
ยุทธลนลานลงจากรถมา เอมี่หันไปตวาด
“แกฆ่าลุงสน แกต้องรับผิดชอบ”
“ฉันไม่เกี่ยว”
ยุทธปัดเอมี่ออก แล้ววิ่งหนีไป ยุทธวิ่งหนีไป น้ำมนต์พยายามจะช่วยลุงสน พีระเข้าไปช่วยด้วย พยายามดันรถออก แมนสรวงบอก
“ไม่ทันแล้ว”
พีระชะงัก
“หมายความว่ายังไง”
“ลุงสน อยู่ตรงนี้แล้ว”
แมนสรวงหันไปมองข้างตัว พบว่าวิญญาณลุงสนยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าว่างเปล่า จำอะไรไม่ได้
แมนสรวงถอนหายใจ แต่แล้วต้องทำหน้าที่ส่งวิญญาณ วาดมือ
“ลุงทำดีแล้ว ผมมั่นใจว่าลุงจะได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดี ปราศจากทุกข์ เป็นภพภูมิที่อุดมไปด้วยความสุขนิจนิรันดร์”
แมนสรวงส่งวิญญาณลุงสนไป พีระช็อก หมดแรง
อัฐชัยประคองพิมพ์ดาวเอาไว้ ในบทบาทในละครเวที ในช่วงเหตุการณ์หลังจากที่นังเยื้อนได้เสี่ยงตายช่วยคุณหลวงเอาไว้ จนตัวเองบาดเจ็บแทน
“คุณหลวงไม่สมควรจะถูกเนื้อต้องตัวนางทาส..ปล่อย”
พิมพ์ดาวผลักอัฐชัยอย่างแรง จนหงายหลังไป ลูกโป่งโวย
“ยัยดาว แกจะดีดดิ้นรุนแรงอะไรนักหนา นี่มันฉากรัก ฉากลงเอยแล้ว”
“ก็...” พิมพ์ดาวจะอ้าปากโทษอัฐชัย
ลูกโป่งรีบตัดบทก่อนเพื่อนจะเถียงกันอีก
“เอาใหม่ ๆ”
“คุณหลวงไม่สมควรจะถูกเนื้อต้องตัวนางทาส ปล่อยบ่าวเถอะเจ้าค่ะ”
อัฐชัยสวนอย่างเสียงดัง
“ตอนนี้ฉันก็ไม่ใช่คุณหลวงแล้ว เป็นแค่วิญญาณความจำเสื่อม ที่รู้ความจริงแล้วว่า คนที่ดีต่อฉันแท้จริงแล้วคือเอ็งเพียงคนเดียว อยู่เฉยๆแล้วให้ฉันดูแลเอ็งเถอะนังเยื้อน”
ลูกโป่งทนไม่ได้ โวยวายขัดจังหวะทันที
“โอ๊ย แกสองคนจะฆ่ากันรึไง บทก็เขียนอยู่ว่าให้รักใคร่ มองตากันซาบซึ้ง..ที่เล่นกันมันซาบซึ้งตรงไหน”
พิมพ์ดาว อัฐชัยโทษกัน พร้อมกัน
“ก็คนมันเล่นไม่ดี”
ลูกโป่งกลุ้ม ทันใด เสียงข้าวต้มกับงอแงที่เล่นละครเลียนแบบฉากนี้ดังมา
“คุณหลวงไม่สมควรจะถูกเนื้อต้องตัวนางทาส..ปล่อยบ่าวเถอะเจ้าค่ะ”
“นังเยื้อน...นังเยื้อนเรื้อนกินกบาลของฉัน เอ็งช่วยชีวิตฉันจนตัวเองบาดเจ็บ แล้วจะให้ฉันทอดทิ้งเอ็ง มันไม่กระไรไปหน่อยรึ”
ลูกโป่งกลุ้ม
พีระนั่งเศร้า รู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้ลุงสนตาย น้ำมนต์เดินเข้ามาหา
“พี่เอมี่พาลุงสนไปที่วัดแล้ว คงจะติดต่อญาติให้มาจัดพิธีให้ตามประเพณี...ร่างของนายก็ฝากไว้ที่วัด พวกหมอผีจะได้มาทำอะไรไม่ได้”
พีระยังคงนิ่ง ซึมเศร้า น้ำมนต์เข้าไปนั่งข้างๆ จับมือพีระมากุม ปลอบใจ
“พีระ อย่าคิดมากเลย นายไม่ใช่ต้นเหตุ”
“ผมนี่แหละต้นเหตุ ลุงสนต้องมาตายเพราะปกป้องผม ผมเป็นต้นเหตุให้มีคนตาย มันคุ้มแล้วเหรอที่ชีวิตผมชีวิตเดียวแต่ต้องแลกด้วยชีวิตคนดีๆถึงสองคน”
น้ำมนต์รู้ว่าพีระจะพูดอะไร
“พีระ...”
น้ำมนต์ปล่อยมือ ตัดบท ไม่อยากคุยต่อ จะลุกหนี แต่พีระคว้ามือไว้ จะสารภาพ
“ผมเคยทำให้คนตายมาแล้วครั้งนึง คุณรู้ใช่มั้ย”
“มันไม่เกี่ยวกัน”
“ผมเป็นคนขับรถหรูคันนั้น ผมเป็นคนขับรถเฉี่ยวรถที่แม่คุณขับ ผมเป็นคนทำให้แม่คุณตาย”
น้ำมนต์ช็อก แม้จะรู้แก่ใจแล้ว แต่เมื่อได้ยินจากปากทุกอย่างจึงชัดเจน น้ำมนต์ได้แต่ยืนนิ่ง ช็อก น้ำตาไหล
“ผมรู้ว่าคุณรู้อยู่แล้ว แต่มันคือความจริงที่เราไม่มีทางหนีมันพ้น”
“จะพูดทำไม นายจะพูดออกมาทำไม”
“คุณรู้ความจริงแล้ว ยังคิดว่า ชีวิตผมมีค่าพอจะอยู่ต่อไปอีกหรือเปล่า”
น้ำมนต์เศร้า เจ็บปวด ยกมือปิดปาก ร้องไห้ แล้วหันเดินหนี
น้ำมนต์เดินหนี ราวกับจะหนีความจริงให้พ้น พีระตามมายืนขวาง จับตัวน้ำมนต์เอาไว้ แต่น้ำมนต์รีบผลักออก ไม่ให้แตะตัว
“คุณรังเกียจผม”
น้ำมนต์หันหน้าหนี ยังตั้งรับจัดการกับความจริงที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่พีระก็มาโผล่ยืนตรงหน้าเอาไว้อีก
“คุณหนีความจริงไม่ได้หรอก”
น้ำมนต์เลิกหนี จ้องพีระทั้งน้ำตา
“ทำไม...ทำไมต้องเป็นนายด้วย ทำไม”
“ผมก็ไม่รู้”
“นายรู้หรือเปล่า ว่าถ้าตอนนั้นนายกลับมาช่วยพาแม่ฉันไปโรงพยาบาล แม่อาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้ แต่เพราะนายหนี เพราะนายเอาตัวรอด ทุกอย่างมันเลยสายเกินไปหมด”
“ผมขอโทษ ผมก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่ ผมไม่รู้จริงๆ”
“นายทำให้แม่ฉันตาย ทำให้ชีวิตฉันต้องเป็นอย่างนี้ นายคือคนที่ทำลายความสุขในชีวิตฉันทั้งหมด”
“น้ำมนต์”
“แล้วนายก็เป็นคนที่ทำให้ฉันมีความสุขขึ้นมาอีกครั้ง แล้วนายก็พังมันลงอีก ฉันต้องมีความสุขแล้วถูกนายทำลายอีกกี่ครั้ง” น้ำมนต์ตัดพ้อต่อว่าโชคชะตา “ทำไม...ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมต้องเป็นนาย”
“มันคงเป็นกรรมของผม...ผมถึงถูกส่งให้มาพบคุณ เพื่อให้ผมชดใช้สิ่งที่ผมเคยทำกับครอบครัวคุณเอาไว้”
“ทำให้ฉันเจ็บมากยิ่งกว่าเก่ามันเรียกว่าชดใช้ได้เหรอ”
น้ำมนต์สะบัดหน้า จะหนีไป แต่พีระดึงตัวมากอดเอาไว้ น้ำมนต์ดิ้น พีระไม่ปล่อย
“เขาคงอยากให้ผมได้เห็นผลของการกระทำด้วยความคึกคะนองชั่ววูบ ทำให้ครอบครัวๆนึงต้องเสียเสาหลัก เจ็บปวด ทุกข์ทรมาน เขาอยากให้ผมสำนึก รู้สึกผิดในสิ่งที่ทำ และผมก็รู้สึกแล้ว...ผมจะชดใช้ด้วยชีวิตของผม”
“อะไรนะ”
“ผมไม่ใช่คนดี ผมเคยทำเรื่องเลวร้ายมาก และผมไม่สมควรจะได้รับโอกาสให้มีชีวิตต่อไป”
“ไม่นะ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ”
น้ำมนต์ผละออก พีระถอยจะไป น้ำมนต์โผกอดรั้งพีระเอาไว้
“ฉันไม่อยากให้นายตาย”
พีระนิ่ง ปล่อยน้ำมนต์กอด สองคนรักกัน แต่เจ็บปวดเกินกว่าจะเจอหน้ากันตลอดไป
“ผมขอโทษที่เป็นความทรงจำที่ดีให้กับคุณไม่ได้นะ”
แล้วพีระก็หายไป เหลือแต่น้ำมนต์
“พีระ..นายพีระ”
พีระปรากฏกายที่อีกด้าน เดินซึมแยกมา แล้วชนเข้ากับแมนสรวงที่ยืนรออยู่
“ฉันได้ยินที่นายพูดกับน้ำมนต์นะ จะชดใช้ด้วยชีวิตของนาย มันแปลว่าอะไร”
“ฉันจะไม่กลับเข้าร่างอีกแล้ว”
“นายจะบ้าเหรอ ฉันช่วยตามหาร่างของนายลำบากลำบนแค่ไหนกว่าจะเจอ แล้วนายจะมาติ๊ดส์แตกตอนที่เจอร่างแล้วเนี่ยนะ”
“นายไม่เห็นสายตาที่น้ำมนต์มองฉัน เขาเสียใจ ผิดหวัง ฉันไม่อยากให้น้ำมนต์มองฉันด้วยสายตาอย่างนั้นอีก”
“แต่น้ำมนต์ไม่ได้อยากให้นายตาย”
“แต่เขาก็ไม่อยากเห็นหน้าฉัน”
“นายก็ไม่ต้องตาย แล้วก็ไม่ต้องมาให้น้ำมนต์เห็นหน้า”
“ฉันอยู่อย่างนั้นไม่ได้หรอก ความรู้สึกผิดมันจะตามหลอกหลอนฉันไปจนตาย”
“มันไม่ตามนายไปหรอก ไม่มีอะไรตามนายไปได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ทรมาน เศร้า เหงา หรือแม้แต่ความรัก”
“หมายความว่าไง”
“กลับไปเข้าร่าง เชื่อฉัน”
“ถ้าฉันเข้าร่าง ฉันจะจำอะไรตอนที่เป็นวิญญาณไม่ได้ เหมือนที่ฉันจำเรื่องราวตอนมีชีวิตอยู่ไม่ได้..ทุกอย่างจะกลายเป็นอากาศ จับต้องไม่ได้..ฉันจะลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนนี้ ใช่มั้ย”
แมนสรวงอึ้งที่ถูกถามอย่างนั้น
เอมี่อยู่ที่รถตู้ น้ำมนต์วิ่งเข้ามาหา
“พี่เอมี่..ร่างนายพีระอยู่ที่ไหน”
“หา..อะไร”
“พาหนูไปหาร่างนายพีระเดี๋ยวนี้ เร็ว”
น้ำมนต์ลากเอมี่ไป
พีระพยายามถามแมนสรวง
“ไอ้ที่นายพยายามจะห้ามฉัน ไม่ให้สร้างความผูกพัน ไม่ให้มีความรัก แล้วก็อ้ำๆอึ้งๆมาตลอดคือเรื่องนี้ใช่มั้ย..ทำไมนายไม่เคยบอกฉัน”
“ก็ฉันบอกไม่ได้ มันผิดกฎ”
“เหรอ ผิดกฎเหรอ แล้วที่นายไปหยอดขนมจีบให้เจ้เอมี่คืออะไร”
“คือตัวอย่างของการทำผิดกฎ”
“ไอ้ยมแถ เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง”
พีระกระชากคอเสื้อแมนสรวงมา แมนสรวงรีบร้องห้าม
“เดี๋ยวๆ นายจะมาโกรธฉันไม่ได้ อะไรที่บอกได้ฉันก็บอก ช่วยได้ฉันก็ช่วย ในสายตาฉัน นายก็เหมือนคนในครอบครัว ฉันก็รักและเป็นห่วงนายเหมือนกันนะ”
พีระผลักแมนสรวงออกอย่างหงุดหงิด
“ไม่ต้องมาหวานกับฉัน”
“เออ นายก็ได้รู้แล้ว งั้นนายก็น่าจะสบายใจ กลับเข้าร่างได้แล้ว จริงป่ะ” แมนสรวงพยายามพูดให้พีระคล้อยตาม
น้ำมนต์วิ่งเข้ามาที่ศาลาเอนกประสงค์ มีร่างของพีระนอนอยู่หน้าบริเวณโต๊ะหมู่บูชา
“พีระ”
น้ำมนต์รีบวิ่งเข้าไปหาร่างนั้น เอมี่ตามมา
“น้ำมนต์ เธอจะทำอะไร”
“หนูจะไม่ยอมให้พีระตาย...พีระ นายได้ยินมั้ย ฉันไม่ได้อยากให้นายตาย กลับมาเข้าร่างของนายเดี๋ยวนี้ ได้ยินมั้ย นายต้องฟื้น นายต้องฟื้น”
“น้ำมนต์ ใจเย็นๆก่อน เป็นอะไร”
“นายเป็นความทรงจำที่ดีของฉัน ไม่ว่านายจะเคยทำอะไรผิดพลาดมาก่อน แต่เรื่องแม่ของฉันมันจบไปแล้ว แต่เรื่องของฉันกับนายยังไม่จบ นายต้องกลับมา มาเป็นความทรงจำที่ดีของฉันต่อไปสิ นายพีระ นายต้องกลับมา”
น้ำมนต์กอดร่างพีระร้องไห้ เอมี่ห่วงใย มุมหนึ่งพีระกับแมนสรวงยืนอยู่
“ถ้าสงสารน้ำมนต์ ก็ไปเข้าร่างเถอะ”
“ไม่ ฉันเข้าร่างไม่ได้”
“อะไรอีก”
“ถ้าฉันกลับเข้าร่าง ฉันก็จะกลับไปเป็นนายพีท คนนิสัยเสีย เกรี้ยวกราด เอาแต่ใจ แล้วฉันก็จะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้ ลืมความร้ายกาจของเมสินี ลืมลุงสน ลืมข้าวต้ม แล้วก็น้ำมนต์ ทุกคนจะกลายเป็นคนแปลกหน้าของฉัน ถ้าเป็นอย่างนั้น มันจะมีประโยชน์อะไรที่ฉันจะฟื้น..ไม่ ฉันไม่กลับเข้าร่าง ฉันไม่อยากลืมน้ำมนต์”
พีระวิ่งหนีออกไปทันที แมนสรวงหงุดหงิดที่ห้ามไม่ได้
“เออ กลัวจะลืมคนนั้นคนนี้ แล้วฉันล่ะ ไม่กลัวว่าจะลืมฉันบ้างเหรอ น้อยใจเป็นนะเว้ย เชอะ”
แมนสรวงเซ็ง ฮึดฮัด ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี น้ำมนต์ยังคงกอดร่างพีระเอาไว้ เรียกร้องให้ฟื้น
วันใหม่...เมสินีเดินออกมาด้านหน้าสถานี มองรอบๆตัว อย่างไม่อยากให้ใครมาเห็น แล้วก็มองออกไป หาใครบางคน จนกระทั่งเห็นยุทธสวมแว่นดำใส่หมวกยืนหลบมุมด้านหนึ่ง เมสินีมองซ้ายมองขวา แล้วเดินไปหายุทธ
“เธอจะมาที่นี่ทำไม อยากถูกตำรวจจับหรือไง”
“ผมก็มาให้คุณช่วยน่ะสิ คุณเมจะปล่อยให้ผมเป็นผู้ร้ายหนีคดีอย่างนี้ได้ลงคอเหรอครับ”
“ฉันไม่ทิ้งเธอแน่ ไม่ต้องกลัว แต่ตอนนี้เธอต้องหลบหนีไปก่อน พวกน้ำมนต์มันอาจจะมีคลิปตอนที่เธอขับรถชนลุงสนก็ได้”
“ครับ ผมจะหลบซ่อนตัวเอาไว้ แต่ถ้าระหว่างนี้คุณเมอยากให้ผมทำอะไรแรงๆลับๆ นอกเหนือกฎหมาย บอกผมได้เลยนะครับ”
“งั้นเตรียมตัวไว้เลย ป่านนี้นายพีทกลับเข้าร่างแล้วแน่ๆ ถ้ามันกลับมา ฉันมีงานให้เธอทำแน่ ไป”
ยุทธรีบเดินหลบออกไปทันที เมสินีถอนใจ แล้วหันกลับมา ก็ต้องตกใจจ๊าก เพราะอาจารย์เทพยืนอยู่
“ว้าย”
น้ำมนต์นั่งให้ร่างพีระนอนตัก เอมี่ อัฐชัย พิมพ์ดาว ลูกโป่งยืนมองน้ำมนต์อยู่
“เมื่อคืน น้ำมนต์นั่งเฝ้าร่างพีระทั้งคืนเลยเหรอ” อัฐชัยถามอย่างไม่สบายใจ
“แล้วทำไมพีระไม่กลับเข้าร่าง” พิมพ์ดาวสงสัย
“เพราะเขาจะชดเชยความผิดที่ทำให้แม่ของฉันตาย” น้ำมนต์บอกเศร้าๆ
“หือ” ทุกคนร้องออกมาพร้อมกัน
“พีระคือคนที่ขับรถคันนั้น”
“มันทำให้แม่น้ำมนต์ตาย แล้วน้ำมนต์ยังปกป้องร่างของมันอีกเหรอ”
อัฐชัยจะเข้าไปดึงร่างพีระ แต่น้ำมนต์กอดปกป้อง
“อย่า...เขาไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นเหตุสุดวิสัย จะให้ฉันไปอาฆาตแค้นเขาเพื่ออะไร แม่ก็ไม่ได้ฟื้น..ตอนนี้พีระก็สำนึก และทรมานเพราะความรู้สึกผิดบาปมากพอแล้ว มันก็เพียงพอแล้วที่ฉันจะให้อภัย”
อัฐชัยฮึดฮัด โกรธแทน เดินแยกออกไป
อัฐชัยเดินแยกออกมาด้านนอกศาลา ตะโกนด่าพีระ
“ไอ้พีระ ไอ้ผีเลว ฉันอุตส่าห์ถอนตัวให้แกคบกับน้ำมนต์ แล้วแกทำกับน้ำมนต์อย่างนี้ได้ยังไง..แกไม่มีสิทธิทำให้น้ำมนต์เสียใจ รีบไปเข้าร่างเลยนะ ไม่งั้นฉันจะเป็นศัตรูกับแกถาวร”
อัฐชัยหงุดหงิด ห่วงเพื่อน พิมพ์ดาวตามออกมามอง
พีระหลบอยู่มุมหนึ่ง มองน้ำมนต์กอดร่างของตัวเองอยู่
“ถ้าแกดื้อจะไม่ยอมกลับเข้าร่างอยู่อย่างนี้ มันก็จะเจ็บกันทุกฝ่ายนะ..แล้วจะปล่อยให้น้ำมนต์เป็นยัยเพี้ยนนั่งกอดร่างที่ไร้วิญญาณของนายไปถึงเมื่อไหร่”
“อีกแค่ 4 วัน น้ำมนต์ก็จะรู้ว่าฉันจะไม่มีวันกลับมาได้อีก”
“จะไม่เปลี่ยนใจจริงๆเหรอ”
พีระยังคงนิ่ง แน่วแน่
อาจารย์เทพกำลังหารือกับเมสินี
“นายพีทยังไม่กลับเข้าร่าง อาจารย์เอาที่ไหนมาพูด”
“เมื่อเช้า ผมให้เจ้ากุมารทองของผมไปสืบมา..ได้ความว่า..ผีพีระมีปัญหาอะไรสักอย่างกับน้ำมนต์ ทำให้มันยังไม่กลับเข้าร่าง”
“ถ้างั้นฉันก็ยังมีโอกาสกำจัดนายพีท”
“ถูกต้อง แต่คุณต้องระวังไอ้ผีคามินด้วย มันก็ต้องตามล่าวิญญาณผีพีระเหมือนกัน”
“งั้นอาจารย์ไปจัดการผี ฉันจะไปจัดการคนเอง”
“คุณเมมีวิธีแล้วเหรอ”
“มีสิ ฉันรู้ว่าจุดอ่อนของน้ำมนต์คืออะไร”
เมสินียิ้มแวววาวร้ายกาจ
พวกเอมี่หารือกัน
“นายยุทธขับรถชนลุงสนจนตาย” อัฐชัยถามอย่างตกใจ
“ใช่ แล้วพี่ก็มีคลิปตอนนั้นอยู่ด้วย” เอมี่ยื่นให้ดู
“งั้นก็เท่ากับว่าตอนนี้ พวกเรากับคุณเมสินีก็เป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผยแล้วสิ”
“แปลว่า..เขาอาจจะส่งใครมาทำร้ายพวกเราเมื่อไหร่ก็ได้” พิมพ์ดาวกังวล
ลูกโป่งหน้าเสีย
“ตายๆ เวรกรรมมหาวิบัติอะไรกันของพวกเรา..เจ้านายใหญ่กลายมาเป็นศัตรู ..ละครเวทีก็กำลังจะเปิดแสดง พีระก็หายหัว น้ำมนต์ก็สติแตก..ยังจะมีปัญหาอะไรอีกมั้ยเนี่ย”
มือถือเอมี่ดัง เอมี่หยิบมาดูเบอร์แล้วขอตัวแยกไปรับสาย
เอมี่เดินแยกออกมาโทรศัพท์ที่มุมหนึ่ง
“จริงเหรอคะ ดิฉันไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยคะ ช่อง7HD เชิญให้ดิฉันเข้าไปพรีเซ้นต์รายการคืนผจญผี..ด้วยความยินดีเลยค่ะ จะให้เข้าไปเมื่อไหร่ ติดต่อใครคะ... ค่ะๆ พร้อมจดค่ะ ขอบคุณมากนะคะ สวัสดีค่ะ”
เอมี่วางสาย แล้วก็ดีใจมาก
“ไชโย มีคนเห็นคุณค่ารายการเราด้วย”
เอมี่ดีใจๆ แล้วก็ทำกระดาษจดนั้นปลิว ลมพัดมันกลิ้งไปกับพื้น เอมี่ไล่ตามไปเก็บ จนกระทั่ง กระดาษจดนั้นลอยไปหยุดตรงหน้าแมนสรวงที่ยืนอยู่ เอมี่ตามมาเก็บ
“ธรรมชาตินำพาให้คุณมาหาผมเองนะครับ”
แต่เอมี่เก็บกระดาษแล้วกลับไม่เงยขึ้นมา ค้างอยู่อย่างนั้น เพราะมองเห็นอะไรบางอย่างอยู่ตรงหน้า
แมนสรวงเอะใจ ถอยหลบ ก้มมองตามไปด้วย เห็นว่ากำแพงวัด มีตัวอักษรที่เขียนชื่อคนตายว่า
“แมนสรวง ดวงดาว ชาตะ 14 กุมภาพันธ์ 2439 มรณะ 24 กันยายน 2457”
แมนสรวงกับเอมี่อ่านพร้อมกัน
“นายแมนสรวง ดวงดาว ชาตะ 14 กุมภาพันธ์ 2439 มรณะ 24 กันยายน 2457”
แล้วทั้งแมนสรวงและเอมี่ก็เลื่อนสายตาขึ้นไปมองรูปภาพคนตาย เป็นภาพขาวดำสีซีดๆเพราะผ่านกาลเวลามานาน แต่ยังพอเห็นเค้าว่าคือ ยมทูตแมนสรวง
แมนสรวงและเอมี่ต่างก็ช็อก อ้าปากค้าง ตาเหลือก
อาจารย์เทพเอาธัมไดร้ฟ์เสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์ สักพัก ปรากฏหน้าเกี๊ยงอยู่ในจอ สไกป์(skype)คุยกัน
“ไอ้เกี๊ยง แกได้ยินฉันมั้ย”
เกี๊ยงมองมาที่หน้าจอ ส่องๆดูว่าตรงนี้คืออาจารย์เทพ พอแน่ใจก็คำรามตะคอกใส่
“ไอ้อาจารย์เทพ แกปล่อยฉันไปเดี๋ยวนี้ รู้หรือเปล่าว่าฉันเด็กใคร ฉัน เด็กคามิน พ่อทุกสถาบัน”
“ไอ้คามินมันฆ่าแก แต่ฉันนี่ ฉันจะช่วยแก”
เกี๊ยงคลั่งๆ
“แก...แกลบหลู่ท่านคามินทำไม แกหมิ่นประมาทไอดอลของฉัน แกต้องตาย ฉันจะฆ่าแกด้วยป้ายไฟท่านคามิน..ไอ้หมอผีเทพ”
“ถ้าแกไม่เลิกคลั่ง ฉันก็จะขังแกอยู่ในนั้นตลอดไป”
อาจารย์เทพดึงธัมไดร้ฟ์ออก เสียใจที่เห็นเกี๊ยงเปลี่ยนไป
“ไอ้คามิน ฉันจะฆ่าแกให้ได้”
เอมี่กับแมนสรวงยังอ้าปากเหวอ ค้างอยู่ที่เดิม
“ทำไม..ชื่อแมนสรวง แล้วหน้าก็ยังเหมือน..นายหัวเกาลัด”
“นี่คือฉันเหรอ” แมนสรวงอึ้งๆ
เอมี่สงสัย หยิบมือถือมากดใส่ข้อมูล หาทางอินเตอร์เนต ระหว่างนั้น แมนสรวงถูกแรงดึงดูด เอื้อมมือไปแตะที่รูปภาพตัวเองสัมผัส แล้วทันใด แมนสรวงก็ผงะ เห็นภาพในอดีตชาติ
ภายในเต้นท์พยาบาลใต้ต้นไม้ใหญ่ ช่วงสงคราม ปี 2457 แมนสรวง ทหารวัย18 ปีนอนป่วยอยู่บนเตียงแพทย์ทหาร แมนสรวงใส่กางเกงทหาร ส่วนช่วงอกพันผ้าพันแผลที่ถูกยิงช่วงท้องมา
“น้ำ...”
แมนสรวงเอื้อมมือจะไปหยิบน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กๆใกล้ๆ แต่เอื้อมไม่ถึง แล้วอยู่ๆก็มีมือบอบบางมาหยิบน้ำส่งให้ แมนสรวงเงยหน้ามองไล่ขึ้นไป ได้เห็นการแต่งตัวว่าคือพยาบาล ก่อนจะไปจบที่ใบหน้าว่า คือ เอมี่
“คุณถูกยิงมา อย่าเพิ่งขยับนะคะ เดี๋ยวหายช้า”
เอมี่ยิ้มเมตตาให้ แมนสรวงตะลึง ประทับใจ รักแรกพบ
เอมี่กำลังดูแลคนไข้คนหนึ่งอยู่ นายทหารวิ่งพรวดเข้ามา ตะโกนบอก
“พยาบาล มีทหารถูกยิง เอาเข้ามาเร็วๆ”
นายทหาร 2 นายแบกหามแมนสรวงที่โดนยิงช่วงขาเข้ามา
“คุณ” เอมี่จำได้
“ช่วยผมด้วยครับคุณพยาบาล”
นายทหาร 2 นายแบกหามแมนสรวงที่โดนยิงช่วงแขนเข้ามา
“ช่วยผมด้วยครับคุณพยาบาล”
นายทหาร 2 นายแบกหามแมนสรวงที่โดนยิงช่วงสีข้างเข้ามา
“ช่วยผมด้วยครับคุณพยาบาล”
นายทหาร 2 นายแบกหามแมนสรวงที่โดนยิงช่วงท้องเข้ามา
“ช่วยผมด้วยครับคุณพยาบาล”
พลทหารแมนสรวงยอมโดนยิงตลอด เพื่อจะได้เข้ามาเจอพยาบาลเอมี่ !
แมนสรวงนอนจับสั่นอยู่บนเตียง มีอาการไข้มาลาเรียระยะสุดท้าย ใกล้ตายแล้ว หน้าซีด ตาลึก เหงื่อออก ตัวเย็น จับสั่น หายใจหอบลึก เพ้อ เอมี่นั่งปลอบอยู่ข้างๆ ดูแลให้หลับให้สบาย
“ผม..ไม่พ้นวันนี้..ใช่มั้ยครับ”
“คุณไม่ต้องกลัวนะคะ คุณก็แค่กำลังจะได้นอนหลับ คุณเหนื่อยมามากแล้ว ถึงเวลาจะได้พักเสียที”
“แต่..ผม...อยากอยู่กับ คุณ...”
แดนสรวงเอื้อมมือไขว่คว้า เอมี่จับมือตอบ
“ฉันก็จะอยู่กับคุณ ฉันจะไม่ไปไหน จะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าคุณจะหลับนะ”
“ขอบคุณนะครับที่ดูแลผม”
เอมี่ลูบหัว
“ขอบคุณนะคะที่มาให้ฉันดูแล และทำให้ฉันยิ้มได้”
“ถ้าชาติหน้ามีจริง ผม..จะขอเป็นฝ่ายดูแลคุณพยาบาล ตอบแทน นะครับ”
“ค่ะ”
แมนสรวงทำท่าหยิบความรักออกมาจากหัวใจ ยื่นให้
“อ้ะ ความรักของผม..ฝากไว้ ชาติหน้าจะมารับคืน”
เอมี่รับมา ยิ้มทั้งน้ำตา แมนสรวงค่อยๆหลับ เอมี่ลูบหัวจนแมนสรวงหลับไป เอมี่น้ำตาตก
แมนสรวงยังอยู่ในท่าเดิมมือสัมผัสรูปภาพเช่นเดิม แต่น้ำตาร่วง เพราะจดจำอดีตได้แล้ว
“เพราะอย่างนี้นี่เอง ผมถึงรู้สึกผูกพันกับคุณ”
เอมี่ง่วนอยู่กับการจิ้มหาประวัติแมนสรวงในเนต แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
“ทำไมในเนตไม่มี..แต่...ทั้งชื่อและรูปมันใช่ หรือจะใช่นายหัวเกาลัดจริงๆ”
“เรารักกันมาแต่ชาติปางก่อน” แมนสรวงบอกอย่างเศร้าๆ
คุณผีที่รัก ตอนที่ 14 (ต่อ)
เอมี่ง่วนอยู่กับการจิ้มหาประวัติแมนสรวงในเน็ต แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ หันหน้ามาทางรูปภาพแมนสรวง ซึ่งแมนสรวงยืนอยู่ตรงนั้นพอดี เอมี่ผงะนิ่งไป ตาเบิกโต สัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างยืนอยู่
“เรารักกันมาแต่ชาติปางก่อน” เสียงแมนสรวงดังก้องขึ้น แมนสรวงมองตาเอมี่ คิดถึงเหตุการณ์ในอดีต
ณ ดินแดนแห่งหนึ่ง...วิญญาณพยาบาลเอมี่ยืนว่างเปล่า ตรงหน้าของเธอคือยมทูตแมนสรวง ที่มองเธออย่างจำได้ว่าคือพยาบาลคนนั้นที่รอคอย
“คุณพยาบาล”
“คะ” เอมี่งง เพราะจำอดีตไม่ได้
“ผมรอคุณอยู่ ในที่สุดคุณก็มา ในที่สุดเราก็ได้อยู่ด้วยกัน”
แมนสรวงโผเข้ากอด น้ำตาดีใจไหล เอมี่ยืนนิ่ง ไม่ได้รังเกียจ มือลูบหลังปลอบใจ
“คุณร้องไห้ทำไม ใครทำให้คุณเสียใจ ไม่เป็นไรนะ คุณรู้จักฉันเหรอ ฉันเป็นใคร ทำไมจำอะไรไม่ได้เลย”
“คุณลองมองหน้าผม แล้วคิดให้ดีสิ”
เอมี่มองหน้า พยายามทบทวน
“ฉัน..จำไม่ได้ ฉันรู้สึกแค่ว่าคุณเป็นคนน่ารัก”
“ผมชื่อแมนสรวง ผมเคยเป็นพลทหารที่คุณรักษาจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตไง ความรักของผมฝากไว้กับคุณ” แมนสรวงทำท่าฝากหัวใจ
เอมี่เริ่มจำได้
“คุณ..แมนสรวง”
“คุณจำผมได้แล้วใช่มั้ย”
เอมี่จำได้ตาโตตะลึง แมนสรวงดีใจมาก โผกอดกันอีกครั้ง แต่แล้วอยู่ๆแมวดำเดินเข้ามาจากกำแพงด้านข้าง เสียงของมันน่ากลัวมาก..เมี๊ยว
“ท่านยมทูตใหญ่”
ฉับพลัน ท้องฟ้าก็กลายเป็นกลางคืน บรรยากาศน่ากลัว
“เจ้าไม่มีสิทธิคืนความทรงจำให้กับวิญญาณ นำส่งวิญญาณผู้หญิงคนนี้ซะ”
“แต่…”
แมวดำดุดันดั่งฟ้าฟาด
“แมนสรวง”
เปรี้ยง! มีเสียงฟ้าฟาด เอมี่ผวา ตกใจ กอดแมนสรวงไว้แน่น
“คุณจะปกป้องฉันใช่มั้ย”
“คุณพยาบาล ผมจะรอวันที่ได้กลับไปพบคุณอีกนะครับ”
แมนสรวงทำท่าส่งวิญญาณ น้ำตานอง เอมี่หายไป แมนสรวงทรุดลงไปคุกเข่า
“เจ้าจะต้องลืมอดีตให้หมดทุกอย่าง แมนสรวง”
เปรี้ยง!ดั่งคำปะกาศิต ฟ้าผ่าลงมาเป็นสายเข้าใส่ตัวแมนสรวง
ปัจจุบันแมนสรวงจ้องหน้ากับเอมี่อยู่ แมนสรงจำได้ทุกอย่าง ในขณะที่เอมี่สีหน้าฉงน สงสัย เซ้นซ์บอกว่าใช่แต่สมองไม่อยากเชื่อ แววตาสั่นระริก
“การที่คุณกับผมมาเจอกันอีกไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทุกอย่างถูกจัดสรรมาแล้วตามเวรและกรรมของเรา”
อัฐชัยเดินมาส่งพิมพ์ดาวที่บ้านน้ำมนต์ เดินคุยกัน
“แกว่าเราปล่อยน้ำมนต์ไว้ที่วัดอย่างนั้น ดีแล้วเหรอ”
“ก็น้ำมนต์ไล่พวกเราให้กลับมา ยืนยันว่าจะอยู่อย่างนั้นจนกว่าพีระจะยอมกลับเข้าร่าง แล้วแกจะให้ทำยังไง”
“น้ำมนต์รักพีระมากเลยเนอะ” อัฐชัยน้อยใจ
“เวลามีความรัก คนเราทำได้ทุกอย่างแหละ ไม่ว่าจะบ้าบอแค่ไหนก็ตาม” พิมพ์ดาวมองค้อน
“ก็เหมือนที่ฉันโกหก สร้างเรื่องใส่ร้ายพีระ”
“เหมือนที่ฉันโดดขี่หลังแกไปทั่วมหาวิทยาลัย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร นอกจากความเจ็บปวดที่มากขึ้น”
อัฐชัยชะงัก หยุดเดิน หันมาพูดอย่างจริงจัง
“ดาว แกรู้ใช่มั้ย ว่าเวลาเรารักใครสักคน มันไม่ต้องใช้เวลา แต่พอจะเลิกรัก นานแสนนานก็เลิกยาก”
“ฉันเข้าใจแก แล้วแกเข้าใจฉันมั้ย”
อัฐชัยกับพิมพ์ดาวมองกันอย่างเข้าใจ สงสารกันและกัน
“เข้าใจสิ ไม่ว่าแกจะงี่เง่าแค่ไหน แกก็เพื่อนรักฉัน ฉันไม่อยากผิดใจกับแกอย่างนี้ เรามาเป็นเพื่อนรักกันเหมือนเดิมนะ”
อัฐชัยยื่นมือให้จับ
“โอเค เพื่อนก็เพื่อน”
พิมพ์ดาวกับอัฐชัยจับมือกัน ยิ้มให้กัน
“งั้น ฉันเข้าไปรับงอแงกลับบ้านก่อนนะ”
แต่แล้ว ข้าวต้มกับงอแงออกมาจากในบ้าน เด็กสองคนมองอัฐชัยกับพิมพ์ดาว แล้วยิ้มครุคริ มีเลศนัย
“พี่ดาว มาๆ งอแงมีเรื่องจะคุยด้วย”
“พี่อัฐชัย มาๆ เข้ามานั่งเล่นในบ้านก่อน”
ข้าวต้มกับงอแงไปคว้าแขนทั้งคู่ลากเข้าบ้าน
ศาลาเอนกประสงค์...น้ำมนต์ยังคงกอดร่างของพีระเอาไว้ พยายามป้อนน้ำให้พีระด้วยหลอด
“ดื่มน้ำไปก่อนนะ อัฐชัยจ้างให้พยาบาลเอาอุปกรณ์ให้อาหารมาแล้ว มีบุรุษพยาบาลมาดูแลด้วย ทนหิวนิดนึงนะ”
พีระกับแมนสรวงยืนมองอยู่อีกด้าน พีระรู้สึกทั้งรักทั้งสงสาร
“เห็นมั้ยที่ฉันพยายามบอกนายว่าอย่าสร้างความผูกพัน เพราะมันจะทำให้มีแต่ปัญหา และมันทำให้เจ็บ”
“ฉันจะไปบอกน้ำมนต์ว่าถ้าฉันกลับเข้าร่างฉันจะลืมทุกอ...”
อยู่ๆพีระเกิดอาการร้อนที่คอหอย เหมือนมีไฟลวกคอทันที
“โอ๊ย”
“นายจะบอกให้มนุษย์รู้เรื่องที่นายจะถูกเซ็ทซีโร่หลังจากกลับเข้าร่างแล้วไม่ได้ มันผิดกฎ” แมนสรวงตวาดแว๊ด
ศาลาเอนกประสงค์...น้ำมนต์ดูแลร่างพีระอยู่ พีระปรากฏกายมายืนมองตรงหน้าน้ำมนต์ ทั้งรักทั้งสงสาร
“ทำไมเป็นคนอย่างนี้”
น้ำมนต์เงยหน้ามอง
“ถ้าไม่อยากให้ฉันเป็นอย่างนี้ นายก็เข้าร่างสิ”
“รู้หรือเปล่าว่าทำตัวอย่างกับคนบ้า นั่งกอดศพ พูดจากับศพเป็นวรรคเป็นเวร คนดีๆที่ไหนทำกัน”
“นี่ไม่ใช่ศพ นี่คือนาย ฉันกอดนาย เพราะฉันรักนาย ฉันถึงต้องดูแลนายจนวินาทีสุดท้าย อย่างนี้แหละที่คนดีๆเขาทำกัน”
พีระนั่งยองลง วอน
“คุณยังมีน้องต้องดูแลนะ กลับไปหาน้องชายคุณเถอะ”
“ทำไมนายไม่กลับเข้าร่าง นายทำอย่างนี้ก็เท่ากับฆ่าตัวตาย มันเป็นบาปมากนะ แล้วไม่ใช่บาปของนายคนเดียว ฉันก็จะบาปด้วย ถ้านายอยากชดใช้ความผิดให้ฉันกับแม่ นายก็ต้องมีชีวิตต่อไปสิ ใช้ชีวิตต่อไปเพื่อดูแลฉันกับน้องแทนแม่”
“มันไม่ใช่แค่เรื่องนั้น”
“แล้วเรื่องอะไร เหตุผลที่นายไม่ยอมกลับเข้าร่างมีอะไร บอกมาสิพีระ”
พีระสับสน อยากจะพูดออกไป แต่ลังเล อึกอัก
“เพราะว่าผมจะลื...” ร้อนคอทันที “โอ๊ย”
“พีระ เป็นอะไร”
พีระพยายามจะพูด
“ผมจะลืม...” แต่สุดท้ายพีระทนปวดร้อนไม่ไหว ต้องวิ่งหนีออกไป “พอแล้ว พอแล้ว”
พีระวิ่งพรวดพราดหนีออกไป น้ำมนต์มองตามเป็นห่วงมาก
“พีระ”
พีระวิ่งหนีมาอีกด้าน อาการปวดร้อนทุเลาลง ค่อยๆตั้งหลักให้ตัวเอง น้ำมนต์วิ่งตามเข้ามาอย่างห่วงใย
“นายเป็นอะไรหรือเปล่าพีระ”
“น้ำมนต์..ผมอยากกลับเข้าร่างนะ ผมอยากทำอย่างที่คุณบอก ผมอยากดูแลคุณกับข้าวต้ม แต่..แต่ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไง ในเมื่อผมจะต้องกลับไปเป็นนายพีทคนเดิม”
น้ำมนต์อึ้ง งง ไม่เข้าใจในทีแรก แต่แล้วก็สรุปเอาเอง คิดว่าพีระอาจจะกลัว หรือกังวล น้ำมนต์จับมือกุม ปลอบ อ่อนโยน
“ถ้ากลัวว่าพอตื่นขึ้นมาแล้วนายจะนิสัยถ่อยทรามแบบที่เคยเป็น ฉันพูดได้เลยว่าไม่มีทาง เพราะตอนนี้นายไม่ใช่คนนิสัยเสียอีกแล้ว”
“มันไม่ใช่อย่างนั้น”
“แล้วมันยังไง บอกฉันสิ”
พีระผละออก พยายามจะอธิบาย
“ตอนนี้ ผมรู้สึกผิด ที่เป็นต้นเหตุให้มีคนตาย ผมอยากรับผิดชอบ อยากทำอะไรก็ได้เพื่อชดใช้ความผิดของผม..แต่ผมจะทำอะไรไม่ได้เลยถ้าผมกลับเข้าร่าง”
“ฉันไม่เข้าใจ ทำไมกลับเข้าร่างแล้วจะทำไม่ได้”
“เพราะผมจะ...”
พีระจะพูดว่าเพราะผมจะลืม...แต่ชะงักเอาไว้ เปลี่ยนวิธีพูด
“เพราะ...คนที่ทำผิด ทำบาป แต่ยังกล้าลอยหน้าลอยตามีความสุขในสังคมอยู่ได้ มันน่าละอาย ผมขอเจ็บปวด ดีกว่าจะปล่อยให้ตัวเองเป็นคนอย่างนั้น ผมขอโทษจริงๆ”
พีระจะเดินหนีไป แต่น้ำมนต์กอดเอาไว้
“พีระ จำที่หลวงพ่อเทียนสอนได้มั้ย อย่าจมอยู่กับอดีต อย่ากังวลถึงแต่อนาคต ปัจจุบันเท่านั้นคือเวลาที่เราจะสร้างสิ่งดีงามและความสุขได้”
“ผมรู้ ผมจำได้ แต่...แต่ผม...คุณปล่อยผมเถอะ”
พีระผลักไสน้ำมนต์ออก จะเดินหนีไป แต่น้ำมนต์ไม่ยอมให้ไป
“นายรักฉันหรือเปล่า”
พีระชะงัก
“ถ้ารักฉัน ก็ต้องอยู่กับฉัน อย่าทิ้งฉันไปอย่างนี้”
“น้ำมนต์”
“อยู่กับฉันนะ”
น้ำมนต์ยื่นมือออกไป รอให้พีระจับ น้ำมนต์วิงวอน
“นะ พีระ นะ”
พีระสับสน อึดอัด แต่แล้วตัดสินใจหันหนี จะเดินไป น้ำมนต์ผงะ หัวใจถูกกระชาก
“พีระ”
พีระเดินไปได้ไม่กี่ก้าว แต่แล้วก็แพ้ใจตัวเอง ตัดสินใจหันกลับมา เดินกลับไปโผกอดน้ำมนต์ ทั้งสองคนกอดกัน รักใคร่
“ผมจะอยู่กับคุณ...ผมจะอยู่กับคุณ”
“ขอบใจนะพีระ”
ข้าวต้มนั่งจ้องอัฐชัย ยิ้มกรุ้มกริ่ม มีพิรุธๆ อัฐชัยมองข้าวต้มเหล่ไปมา รู้สึกแปลกๆ
“ข้าวต้ม มีอะไรปิดบังพี่หรือเปล่า”
“ปล๊าว”
“แล้วเรียกพี่เข้ามาทำไม จะคุยอะไรกับพี่ก็พูดมา” อัฐชัยเริ่มรำคาญ
“เค้า..เค้าอยากหุ่นดีแบบพี่ สอนเค้าลดน้ำหนักหน่อยสิ”
“จริงอ่ะ”
“จริ๊ง” ข้าวต้มยืนยัน
ในครัว...พิมพ์ดาวอยู่ในครัวกับงอแง กำลังจ้องน้องสาวอย่างดุ คาดคั้น
“มีเรื่องอะไรจะปรึกษาพี่”
“ก็...ปัญหาวัยรุ่นทั่วไปค่ะ...เอ่อ...พี่ดาวนั่งลงได้มั้ยคะ นะคะๆ”
พิมพ์ดาวงงๆ แต่ก็ยอมทำตามทำสั่ง นั่งลงไปกับพื้น
“นั่งลงไปเลยค่ะ..แล้วเอามือนึงจับโต๊ะไว้ค่ะ ยังงี้”
จับมือพิมพ์ดาวมาวางในตำแหน่งที่ต้องการ
“ดีค่ะ เกือบเหมือนแล้ว”
มองหาจาน แล้วเอามาวางถือไว้
“ถ้าพร้อมแล้วหลับตาค่ะ”
“จะปรึกษาพี่เรื่องอะไร แล้วทำไมพี่ต้องทำยังงี้”
“หลับตาค่ะ งอแงจะได้ปรึกษาซะที”
พิมพ์ดาวงงๆ แต่ก็หลับตาลง ทันใด งอแงโยนจานชามที่ถือเอาไว้ไปอีกด้าน ให้เกิดเสียงโคล้งเคล้งๆงอแงตะโกน
“ช่วยด้วยค่ะพี่ดาวเป็นลม”
“หา..งอแง เล่นอะไร”
“ชู่ว์ๆ หลับตาไว้ค่ะ”
ทันใด ข้าวต้มวิ่งนำอัฐชัยเข้ามา
“อุ๊ย พี่ดาวเป็นลมเหรอ พี่อัฐมาช่วยพยุงหน่อยเร็วๆ”
“ดาว เป็นอะไรหรือเปล่า มาๆ ไปนั่งพักก่อน”
“อัฐ คือ...”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรคะ อุ้มไปนั่งพักก่อนค่ะๆ”
งอแงกับข้าวต้มรีบเชียร์ อัฐชัยอุ้มพิมพ์ดาวเข้าไป
ห้องรับแขก...อัฐชัยอุ้มพิมพ์ดาวมาวางที่โซฟา ข้าวต้มกับงอแงมาคอยพูดชงตลอด
“อัฐ ฟังก่อน ฉันไม่ได้เป็น”
ข้าวต้มอยู่ๆก็ร้อง
“ฮ้า! พี่อัฐไปหยิบยาดมยาหอมมาก่อนครับ อยู่ตรงโน้น”
“ได้ๆ”
อัฐชัยวิ่งออกไป ข้าวต้มกับงอแงหันมายิ้มครุคริให้กันว่าเป็นไปตามแผน
“งอแง ข้าวต้ม พวกเธอคิดทำอะไร”
“พี่ไม่อยากสมหวังในความรักเหรอคะ พวกเราจะช่วยให้พี่สมหวังเอง”
“นอนๆ พี่เป็นลมอยู่ ให้มันแนบเนียนหน่อย”
“นี่...พี่ไม่เอาด้วยหรอกนะ”
อัฐชัยวิ่งกลับมา
“ยาดมมาแล้ว”
พิมพ์ดาวอึกอัก อัฐชัยเข้ามาประคอง เอายาดมมาให้
“อ้ะ ค่อยๆดมนะดาว ทำไมอยู่ดีๆเป็นลมได้ แกไม่ได้ทานข้าวเหรอ...ไหวมั้ย...ไปหาหมอมั้ย”
พิมพ์ดาวอึกอักไป เพราะรู้สึกดีเหมือนกันที่อัฐชัยมาคอยเป็นห่วง ข้าวต้มกับงอแงยิ้มให้กัน สำเร็จ
ข้าวต้มกับงอแงออกมานอกประตูบ้าน ปิดประตูเบาๆ แล้วล็อกแม่กุญแจ แล้วหันไปส่งซิกข้างๆบ้าน แจ๊วกับเจี๊ยบรออยู่แล้ว แจ๊วปิดหน้าต่างล็อก เจี๊ยบปิดหน้าต่างล็อก แจ๊ว เจี๊ยบ งอแง ข้าวต้มประสานมือกันเย้ แบบไม่มีเสียง คิกคักๆ
น้ำมนต์ยกถังสังฆทานถวายพระ แล้วก้มกราบ พระรับถังเสร็จ จะให้พร
“เดี๋ยวค่ะ เพื่อนหนูจะถวายด้วยค่ะ”
พระสงฆ์งง เพราะมองไปเห็นแต่ถังวางอยู่
“หือ”
พีระยกถังสังฆทานขึ้นมา ตั้งอธิษฐานจิต พระสงฆ์ผงะ
“บุญกุศลที่ลูกพอจะมีในชาตินี้ ลูกขออุทิศให้คุณแม่น้ำฟ้า แม่ของน้ำมนต์ และลุงสน ขอให้ทั้งสองท่านมีความสุขในภพภูมิใหม่ และอยู่ช่วยคุ้มครองให้น้ำมนต์มีแต่ความสุขความเจริญด้วยเถอะ”
พีระจะยกถังถวาย แต่ต้องชะงัก เพราะปรากฏกว่า พระถอยหลังไปติดกำแพง ยกมือพนมขึ้นมาเพราะสยองที่เห็นถังสังฆทานลอยได้ พีระยิ้ม แล้วก็ถวายไป แล้วทั้งพีระและน้ำมนต์ก็พนมมือรอรับพร
“ให้พรได้แล้วค่ะหลวงพ่อ”
พีระยืนเหม่อ มองวิว สีหน้าซึม อยู่ๆน้ำมนต์ยื่นหน้ามาจ๊ะเอ๋
“ทำไมยังทำหน้าเศร้าเป็นเต่าขาดสารอาหารอยู่อีก ฉันบอกแล้วไงว่า ถ้านายอึดอัดก็แค่ยิ้ม แล้วฉันจะยิ้มตอบ ยิ้มสิ”
พีระยิ้มออกมา น้ำมนต์ยิ้มตอบ
“คิดอะไรอยู่ บอกฉันได้มั้ย”
“ผมกำลังคิดว่า ถ้าผมไม่กลับเข้าร่าง คุณก็จะตื๊อผมไม่เลิกใช่มั้ย”
“แน่นอน”
“โอเค ผมยอมแพ้ ผมจะกลับเข้าร่าง”
“จริงนะ”
“อื้อ”
น้ำมนต์ดีใจโดดกอดพีระ เย้ๆ
“แต่...”
น้ำมนต์ชะงัก
“ไม่เอา อย่าแต่สิ ห้ามแต่”
“ขอแต่เดียวนะ..นะๆ”
“แต่เดียวเท่านั้นนะ..อ่ะ ว่ามา...”
“ผมจะกลับเข้าร่างหลังจากจบละครเวทีของคุณแล้ว”
“หา” น้ำมนต์งง
“คุณช่วยผมจนเจอร่างแล้ว ก็ถึงคราวที่ผมจะช่วยคุณให้ประสบความสำเร็จบ้าง ถึงจะยุติธรรม”
“วันที่แสดงละคร คือวันสุดท้ายที่นายต้องกลับเข้าร่างนะ”
“ก็แสดงละครเสร็จ ยังมีเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะสิ้นวันนั้น ยังไงก็กลับเข้าร่างทันที”
“แล้วระหว่างนี้...พวกเมสินีกับหมอผี จะไม่มาทำอันตรายร่างนายเหรอ”
“ให้ร่างผมพักที่นี่ อยู่ในวัด ให้พระคุ้มครอง วิญญาณร้ายกับพวกหมอผีทำอะไรผมไม่ได้หรอก”
“แต่...”
“ไม่เอา ไม่แต่สิ”
พีระฉีกยิ้ม
“ยิ้มสิ ยิ้มหน่อย ยิ้มนะ ผีขอ” พีระทำท่าผีขอ
น้ำมนต์ทนหน้าบึ้งไม่ไหว ยิ้มและหัวเราะออกมา
อัฐชัยถือชามบะหมี่เข้ามาหาพิมพ์ดาว
“ที่แกเป็นลม ต้องเป็นเพราะไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าแน่ โชคดีนะมีบะหมี่เหลือ แกกินไหวมั้ย”
“อัฐ คือ...”
“ฉันป้อนแล้วกัน”
พิมพ์ดาวอยากจะบอกความจริง แต่พออัฐชัยเข้ามานั่งข้างๆจะป้อน ตักขึ้นมาเป่าเส้นให้ พิมพ์ดาวมองอย่างซึ้งใจ รู้สึกดี
“อ้ะ”
อัฐชัยจะป้อน แต่พิมพ์ดาวมองหน้านิ่งๆ ใจนึงก็ปลื้ม อีกใจก็ไม่อยากโกหก
“อ้าปากสิ”
“อัฐ...ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“เหรอ ไม่ได้เป็นอะไรแล้วตะกี้ใครเป็นลม อย่าเพิ่งอวดเก่งน่ะ”
“ฉันไม่ได้เป็นลม ไม่ได้เป็นอะไรตั้งแต่แรก...ข้าวต้มกับงอแงจัดฉากหลอกแก”
“หา...จริงอ่ะ...หน็อย เด็กแสบ เดี๋ยวจะตีพุงกะทิให้ไขมันแตกเลย”
อัฐชัยลุกไป จะไปหาข้าวต้ม จะไปเปิดประตูออก แต่ปรากฏว่าเปิดไม่ได้ เขย่าๆ
“มันล็อก”
ด้านนอก ข้าวต้ม งอแง แจ๊ว เจี๊ยบหัวเราะกันคิกๆ
“ขังไว้ด้วยกันสองต่อสอง ยังไงก็ต้องได้เคลียร์ใจกัน” เจี๊ยบบอก
“เคลียร์กันไปเคลียร์กันมา แล้วก็ลงเอยที่...” ทำท่าเคลิ้ม
ข้าวต้มกับงอแงพูดพร้อมกัน
“ความรัก”
“เราไปตีกันมั่งมั้ยน้องแจ๊วของพี่”
เจี๊ยมมาโอบ แจ๊วศอกกลับ
“เพื่อนเล่นเหรอ”
ภายในบ้าน...อัฐชัยเปิดไม่ได้ ไปดูหน้าต่างหรือประตูอื่น ก็โดนล็อกหมด
“น้องแกกับเพื่อนจะเล่นอะไรเนี่ย” อัฐชัยหงุดหงิด
“ฉันจะไปรู้เหรอ”
“แกไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้”
พิมพ์ดาวชักฉุน
“อ้าว ทำไมพูดงี้”
“ก็แกแกล้งสวมรอยว่าหน้ามืด ให้ฉันดูแลอยู่ได้ตั้งนาน จริงๆแกนั่นแหละอาจจะเป็นตัวบงการพวกเด็กๆ แล้วก็มาแอ๊บทำใสซื่อ ใช่มั้ย...ไหนว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้วไง”
“แกเคยมองฉันในแง่ดีบ้างมั้ย แค่เพราะฉันรักแก มันทำให้ฉันดูแย่และน่าสมเพชในสายตาแกมากขนาดนั้นเลยเหรอ งั้นบอกมาสิว่าฉันต้องทำยังไง ฉันต้องมีแฟนใหม่ ต้องไปคบทอม ตั้งวงดนตรีไทยเลยมั้ย แล้วแกจะหาว่าฉันทำเพื่อประชดแกอีกหรือเปล่า ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้ว หรือต้องให้ฉันตายๆไปเลย แกถึงจะเชื่อ”
พิมพ์ดาวสะบัดหน้า เดินแยกหนีเข้าไปในครัว อัฐชัยอึ้งๆ พิมพ์ดาวนั่งในครัว หน้าตาหงุดหงิด เศร้าใจ น้ำตาไหล
พีระพาน้ำมนต์ที่มีผ้าปิดตาเดินมาที่ริมน้ำ
“จะแกล้งอะไรฉัน”
“ไม่ได้แกล้งซะหน่อย ไว้ใจผมนะ”
“โอเคๆ”
น้ำมนต์หันกลับมา จับหน้าพีระบีบ
“ฉันไว้ใจนาย แต่ถ้านายทำลายความไว้ใจของฉันล่ะก็ น่าดู”
พีระบีบแก้มคืน
“ผมไม่กล้ามีเรื่องกับคุณหรอก”
พีระจับให้หันกลับไป
“หันไป...เอาล่ะ นับหนึ่งถึงสาม แล้วแกะผ้าออกได้”
“หนึ่งสองสาม”
น้ำมนต์นับเร็ว แล้วแกะผ้าออก ตรงหน้าเป็นแม่น้ำ บรรยากาศสวย แต่ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษ น้ำมนต์มองไปรอบๆ
“พีระ นายแกล้งอะไรฉัน”
“ไม่ได้แกล้ง”
พีระชี้ไปที่ท้องฟ้าไกล
“นั่นไง เห็นมั้ย”
“อะไร”
“นั่นไง ดูดีๆสิ”
“ตรงไหน...ชี้นิ่งๆสิ”
น้ำมนต์คว้าแขนพีระ แล้วเอาหน้าเข้าไปแนบ หลับตาข้างหนึ่ง เพื่อส่องให้ตรงเป้า
“ไม่เห็นมีอะไรเลยล่ะ ตกลงมันคืออะไร”
“ความรักของผม”
น้ำมนต์เหวอไป พีระยิ้มแฉ่ง ทำเป็นเขิน พูดสับสนวกไปมา
“ผมบอกคุณยังว่าผมรักคุณ อ้าว ก็เพิ่งบอกอยู่นี่ไง งั้นคุณก็รู้แล้วสินะว่าผมรักคุณ หรือต้องให้พูดจริงๆจังๆอีกทีว่าผมรักคุณ”
“พอแล้ว”
พีระสวนซะงั้น
“เป็นแฟนผมนะ”
น้ำมนต์อึ้ง อ้าปากค้าง ไม่ทันตั้งตัว
“ครั้งก่อนคุณแค่หลอกเพื่อนว่าเราเป็นแฟนกัน แต่ครั้งนี้ของจริง มาเป็นแฟนกันนะ โอเคมั้ย”
น้ำมนต์ยังเหวอ ยังอ้าปากค้าง เพราะช็อกอยู่
“คำตอบคือ...”
น้ำมนต์ยังอ้าปากค้าง พีระเลยผงกหัวนำเพื่อให้น้ำมนต์ผงกตาม พีระทำอยู่ๆ 2-3 ที แล้วในที่สุดน้ำมนต์ก็ค่อยๆผงกหัวตาม เป็นคำตอบว่าตกลง พีระยิ้ม
“คุณเป็นแฟนผีแล้วนะ ต่อไปนี้ ผีสัญญาว่าผีจะทำให้คุณมีแต่ความสุข...แฮปปี้...แฮปปี้”
พีระยิ้มอยู่ตรงหน้า น้ำมนต์ยิ้มเขินอาย
“ผีบ้า...”
น้ำมนต์เดินหนีไป พีระกำลังจะตาม แต่อยู่ๆแมนสรวงมายืนขวางหน้าเอาไว้ แมนสรวงหน้าเครียด เพราะรู้เจตนาที่พีระทำดีกับน้ำมนต์
“นายคิดจะทำอะไร”
ละแวกริมน้ำ...พีระเดินหนีมาอีกด้าน แมนสรวงคาดคั้น
“ขอน้ำมนต์เป็นแฟน นายคิดจะทำอะไร”
“ก็ฉันกับน้ำมนต์รักกัน เลยเป็นแฟนกัน แปลกตรงไหน”
“แปลกตรงที่ ฉันไม่เชื่อว่านายจะยอมกลับเข้าร่างจริงๆ”
“งั้นก็แสดงว่า...ต่อมความไว้วางใจของนายบกพร่อง มีปัญหา ควรไปปรึกษาหมอนพพร”
“แกจะหลอกให้น้ำมนต์ดีใจ แล้วทำลายมันทิ้ง มันไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ”
“ฉันจะทำให้ 4 วันสุดท้ายนี้เป็นวันที่น้ำมนต์มีความสุขที่สุด”
“นั่นไงๆ นายพูดอย่างนี้ แสดงว่านายคิดจะทำอย่างที่ฉันคิดจริงๆ”
“ฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉัน ถ้านายข้องใจ มันก็เป็นปัญหาของนาย ไปจัดการเอาเอง ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
พีระเดินหนีไป แมนสรวงฮึดฮัด ขัดใจ
อัฐชัยกับพิมพ์ดาวนั่งกันคนละมุม มือถืออัฐชัยดังขึ้นเขากดรับสาย
“โทรมาทำไมอาจารย์เทพ”
อาจารย์เทพพูดโทรศัพท์จากมุมหนึ่งของสถานีพราวด์
“คุณอัฐชัย ถ้าคุณอยากสมหวังกับน้ำมนต์ ให้ผมช่วยมั้ย บอกผมมาว่าร่างไอ้พีระมันอยู่ที่ไหน แล้วผมจะกำจัดมารความรักคุณให้ คุณกับน้ำมนต์จะได้แฮปปี้เอนดิ้ง”
“อาจารย์พูดจริงเหรอ”
พิมพ์ดาวหันมอง ดูว่าอัฐชัยคิดจะทำอะไรอีก แต่อัฐชัยเหลือบเห็นพิมพ์ดาวจ้อง เลยเดินแยกไปอีกด้าน
“อาจารย์ช่วยผมได้จริงๆใช่มั้ย”
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว ผมจะไปจัดการพีระให้คุณเดี๋ยวนี้เลย บอกผมมาสิ”
“ผมรักน้ำมนต์มาก มากจนใครๆก็รู้และดูออก และมันก็มากเกินกว่าที่ผมจะเอาความสุขของน้ำมนต์ไปขายให้หมอผีอย่างอาจารย์ ผมไม่หักหลังเพื่อน ผมจะช่วยให้พีระกลับเข้าร่างได้ ให้พีระกับน้ำมนต์รักกัน แล้วพวกเราจะเล่นงานทั้งอาจารย์และคุณเมสินีให้ย่อยยับ คอยดู” อัฐชัยวางสาย
“แล้วคุณจะเสียใจที่มาลองดีกับผม”
อาจารย์เทพวางสาย แค้นที่โดนลบหลู่
อัฐชัยวางสาย พิมพ์ดาวเดินเข้ามา
“จะร่วมมือกับอาจารย์เทพทำอะไรพีระอีก”
อัฐชัยย้อน ล้อเลียน
“ทำไม...แค่เพราะฉันรักน้ำมนต์ มันทำให้ฉันแลดูแย่และน่าสมเพชในสายตาแกมากเหรอ คิดว่าฉันจะหักหลังเพื่อนซ้ำแล้วซ้ำอีกเหรอ ต้องทำยังไงแกถึงจะเชื่อ”
“อย่ามาล้อเลียนนะ”
อัฐชัยทำท่าไม่แยแส เดินแยกไปเขย่าประตูต่อ แต่มันยังล็อก พิมพ์ดาวหงุดหงิดๆ
สถานีพราวด์...อาจารย์เทพหยิบดินบริเวณสถานีขึ้นมากำ
“ถ้าอยากลองดีกับฉัน ฉันก็จะจัดให้”
อาจารย์เทพบริกรรมคาถา แล้วโยนดินนั้นลงไปที่พื้น เกิดเป็นกลุ่มควันสีดำ แต่มีดวงตาดุดันดวงนึงอยู่ในกลุ่มควันนั้น แล้วมันก็พุ่งลงดินเลื้อยแล้วจมหายไปอย่างรวดเร็ว
กลุ่มควันเลื้อยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณบ้านน้ำมนต์ โผล่ขึ้นมาเป็นกลุ่มควันที่เห็นเสี้ยวหน้าคนและดวงตาดุดันนั้น จ้องเข้าไปในบ้าน บริเวณนั้น ข้าวต้ม งอแง แจ๊ว เจี๊ยบนั่งอยู่
“เค้าหิว” ข้าวต้มบ่น
“อดทนหน่อยสิ เราต้องขังสองคนนั้นเอาไว้จนกว่าเขาจะรักกัน” งอแงบอก
“โอเค เค้าจะอดทน” ข้าวต้มนั่งได้1วิ ก็ลุกขึ้นอีก “เค้าหิว”
“ไม่ให้ไปๆ”
งอแงรั้งข้าวต้มเอาไว้ วุ่นวายๆ โดยไม่รู้เลยว่าวิญญาณผีเดินเข้าไปในบ้านเรียบร้อยแล้ว
วิญญาณผีเข้ามาในบ้าน อัฐชัยกำลังเขย่าประตูหาทางออกอยู่
“ข้าวต้ม ถ้าไม่เปิดให้พี่ออกไปดีๆ พี่พังประตูนะ”
พิมพ์ดาวที่นั่งงอนอยู่อีกด้าน หันมองไปที่กระจกแล้วตกใจ เพราะเห็นว่ามีเงาดำปกคลุมด้านหลังอัฐชัย และมีดวงตาผี พิมพ์ดาวรีบหันขวับกลับมามอง
“อัฐ”
“จะเรียกทำไม”
ทันใดนั้น ดวงตาผีก็พุ่งเข้าร่างทันที อัฐชัยผวาเฮือก ตาเหลือก แล้วล้มตึงลงไป ชักดิ้นชักงอ มีอาการกระตุกๆ แบบไฟช็อตๆ พิมพ์ดาวตกใจรีบวิ่งเข้าไปดู
“อัฐ...คุณจะทำอะไรอัฐ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที...ข้าวต้ม เปิดประตู พี่อัฐแย่แล้ว ช่วยด้วย”
อัฐชัยลืมตาอีกครั้ง ดวงตาของเขาอัฐชัยเป็นเหมือนดวงตาผี...
ด้านนอกบ้าน พวกข้าวต้มกับงอแงที่ชุลมุนกันอยู่ชะงัก ที่ได้ยินเสียงพิมพ์ดาว ซึ่งยังดังต่อเนื่องมา แจ๊วชะงัก
“อุ๊ยๆ เริ่มร้องให้ช่วยแล้ว”
ข้าวต้มยิ้ม
“งั้นก็แสดงว่า...กำลัง เข้าด้าย เข้าเข็ม”
เจี๊ยบทำท่าว่าโดนขึงพรืด
“ช่วยด้วยค่ะ ใครก็ได้ช่วยที”
แล้วทุกคนก็หัวเราะคิกคักๆกันสนุกสนาน
อาจารย์เทพเดินเข้ามาในห้องทำงานเมสินี
“ผมส่งผีไปรังควานที่บ้านน้ำมนต์แล้ว ถ้าคุณมีแผนจะทำอะไร ก็ลงมือตอนนี้ได้เลย”
“ขอบใจ”
เมสินีหยิบโทรศัพท์มากด เอาแนบหู
“ลงมือได้”
เมสินียิ้มร้าย
น้ำมนต์เดินจับมือกันมา
“การเดินมากๆดีต่อสุขภาพกาย แต่การเดินกุมมือดีต่อสุขภาพใจ...คุณว่าป่ะ”
“เป็นผีมีหัวใจด้วยเหรอ”
“จะให้ควักออกมาโชว์ไหมล่ะ อยากดูมั้ยล่ะ”
พีระทำท่าจะถกชายเสื้อขึ้นมา น้ำมนต์รีบห้าม
“อย่ามาทะลึ่งนะ”
“แฮ่...ผีจะแหกอกโชว์แล้วน้า...”
พีระแกล้งเล่นกันคิกคัก แต่แล้วเอมี่วิ่งเข้ามาหา
“น้ำมนต์”
“พี่เอมี...มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
“พี่อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับนายแมนสรวง”
“เรื่อง...อะไรคะ”
เอมี่ยกมือทำท่าปืน
“ทุกเรื่องที่เธอรู้ รู้เท่าไหร่ ส่งมาให้หมด”
น้ำมนต์มองหน้ากับพีระ อึ้งๆ
พวกข้าวต้มเอาหูแนบประตูและกำแพงเพื่อฟังเสียงภายใน เสียงพิมพ์ดาวดังมา
“อัฐ แกมีสติหน่อยสิ...แกจะทำอะไรฉัน...ปล่อยฉันนะ ช่วยด้วย อัฐถูกผีเข้า ช่วยด้วย”
แจ๊วกับเจี๊ยบคิกคัก จินตนาการไปไกล
“ตายแล้ว ยังกับในละคร พระเอกทนความพยศของนางเอกไม่ไหว สุดท้ายก็เลยต้องใช้กำลังปราบพยศ” แจ๊วเสียงตื่นเต้นมาก
ทันใด มีเสียงกระแทกประตูจากด้านใน...ปังๆ เจี๊ยบตาโต
“อั๊ยยะ รุนแรง ฮาร์ดคอร์กันขนาดนี้ คงจะทั้งตบและจูบเลยสินะ”
ในขณะที่งอแงกับข้าวต้มตั้งข้อสังเกต สงสัยๆ
“แต่...เสียงพี่ดาวฟังดูแปลกๆ” งอแงแย้ง
ข้าวต้มเห็นด้วย
“คิดเหมือนกันเลย”
ข้าวต้มกับงอแงมองหน้ากัน ทำหน้าสงสัยไปมา อัฐชัยกำลังเอาหัวโขกกระแทกประตู พิมพ์ดาวเข้ามากระชากห้าม
“พอได้แล้วอัฐ พอ”
อัฐชัยหัวแตกหันมาบีบแขนพิมพ์ดาวอย่างแรงด้วยสองมือ มีอาการแบบคนโดนของ
“ฉันจะเอาชีวิตมัน แกไม่ต้องมายุ่ง”
อัฐชัยเหวี่ยงพิมพ์ดาวไป กระแทกโซฟา ล้มไปกอง แล้วพุ่งไปหากำแพง เอาหัวโขกไม่หยุด
“อัฐ พอได้แล้ว”
“มันต้องตาย ฮ่าๆ ฉันจะเอาชีวิตมัน”
อัฐชัยวิ่งเข้าไปที่ครัว พิมพ์ดาวรีบตามไปทั้งๆที่เจ็บ
“อย่าทำอะไรอัฐนะ”
พิมพ์ดาวตะโกนให้คนช่วย
“ใครอยู่ข้างนอก ช่วยมาห้ามอัฐที”
อัฐชัยวิ่งเข้ามาในครัว แล้วไปคว้ามีดขึ้นมา พิมพ์ดาวตามมาพอดี
“อย่านะ”
“ไอ้ผีพีระมันอยู่ที่ไหน ถ้ามันไม่อยากให้คนบริสุทธิ์ต้องตาย ก็โผล่มา ไม่งั้นฉันจะฆ่าพวกแกทุกคน ทีละคน จนกว่ามันจะโผล่มา”
แต่อยู่ๆข้าวต้มกับงอแงวิ่งเปิดประตูด้านหลังเข้ามา
“พี่ดาว...”
อัฐชัยหันมาทางเด็กๆ แต่แล้วทันใด เจี๊ยบกับแจ๊ววิ่งตามเข้ามาด้านหลังอัฐชัย
“เฮ้ย อย่านะ”
แจ๊ววิ่งไปกระชากมือข้างที่ถือมีดของอัฐชัย ทำให้มีดตวัดมาเฉี่ยวโดนต้นแขนเจี๊ยบแทน
“โอ๊ย”
“โทษทีๆ มาช่วยฉันหน่อยเร็ว”
เจี๊ยบรีบเข้าไปช่วยแจ๊วจับมืออัฐชัยข้างที่จับมีดเอาไว้ ข้าวต้มเข้าไปเกาะขาอัฐชัย จนล้มลงไปนั่งกับเก้าอี้ งอแงรีบเอาสร้อยพระออกมาจากคอ ยกขึ้นจบที่ศีรษะ แล้วสวมเข้ากับคออัฐชัย
“อ๊าก”
อัฐชัยคลั่ง สะบัดทุกคนกระเด็นหมด ทุกคนผงะ ถอยออกห่าง
“พวกแก...พวกแกอย่าคิดว่าจะปลอดภัย ตราบใดที่ฉันไม่ได้ตัวพีระ พวกแกทุกคนจะต้องตาย”
อัฐชัยทรุดหมดสติลงไปกองกับพื้น
“อัฐ”
พิมพ์ดาวไปดูแล แจ๊วกับเจี๊ยบกอดเด็กๆเอาไว้ด้วยความสยองที่โดนขู่
เอมี่ยืนกรานว่าอยากรู้
“บอกพี่มาตามตรง...นายแมนสรวงคือใคร”
น้ำมนต์กับพีระมองหน้ากัน อึกอัก ไม่แน่ใจว่าควรบอกหรือไม่ ทันใดนั้น แมนสรวงรีบโผล่มาห้าม
“อย่าบอก...เพราะถ้าเอมี่รู้ว่าฉันคือยมทูต นี่มันผิดกฎผู้นำส่งวิญญาณอย่างรุนแรง ฉันจะถูกลงโทษขั้นสูงสุด”
“ฉันไม่พูดอยู่แล้ว นายไปบอกน้ำมนต์เถอะ”
“ฉันคุยกับน้ำมนต์ไม่ได้ ฉันถึงบอกนายให้นายไปบอกน้ำมนต์ให้ฉันไงเล่า...รีบบอกสิ”
“เออๆ น้ำมนต์...”
พีระหันมา ปรากฏว่าน้ำมนต์กับเอมี่ไม่อยู่แล้ว มองไปอีกด้าน พบว่าสองสาวชวนกันไปนั่งอีกมุม เม้าท์กันประสาสาวๆ แมนสรวงกับพีระตกใจ
“เฮ้ย”
เอมี่ช็อก ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“เธอพูดจริงๆเหรอ”
“ค่ะ เขาเป็นผู้พิทักษ์วิญญาณ มีหน้าที่ดูแลพีระ แต่หน้าที่หลักก็คือนำส่งวิญญาณไปสู่การพิพากษา เรียกง่ายๆว่าคือยมทูต”
“ยมทูต...สรุปง่ายๆว่า...เขาเป็นคนหรือเปล่า”
ทันใดนั้น แมนสรวงโผล่มาข้างหลังเอามืออุดหูเอมี่
“อย่าไปฟังน้ำมนต์”
เอมี่รู้สึกได้ถึงแมนสรวง ท่าทางขนลุกๆ
“พี่สัมผัสได้ว่า มีอะไรบางอย่างอยู่ข้างหลังพี่ ตอนนี้ ใช่มั้ย”
น้ำมนต์มองไปที่พีระเป็นเชิงถาม พีระพยักหน้าว่าใช่ น้ำมนต์เลยหันมาหาเอมี่แล้วพยักหน้าตอบ
“ค่ะ”
เอมี่ช็อก ผงะ กลัวตัวสั่น
เอมี่วิ่งหนีกลับมาที่รถ กำลังจะเปิดประตูรถขึ้นไป แต่อยู่ๆกลับเปิดไม่ได้ เหมือนมีใครมารั้งเอาไว้ คือแมนสรวงนั่นเองที่เป็นคนรั้งประตูเอาไว้
“ผมไม่ให้คุณไปจนกว่าคุณจะเข้าใจ”
เอมี่กลัวมาก ผงะออก ลนลาน ยกมือไหว้
“อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันขอโทษที่เคยด่าว่าหรือทำร้ายนาย ฉันไม่รู้ ฉันสำนึกผิดแล้ว อย่าฆ่าฉันเลยนะ”
“เฮ้ย ผมไม่ได้จะทำร้ายคุณ”
แมนสรวงปิดประตูกลับดังเดิม...ปัง เอมี่สะดุ้ง ยิ่งตกใจกลัว
“ว้าย...อยากได้อะไรบอกฉันมา ฉันจะทำให้ทุกอย่าง ขออย่างเดียวไว้ชีวิตฉันเถอะ...ฉันยังสาว ยังโสด ยังไม่เคยมีแฟน ความสาวความสวยของฉันยังขึ้นหิ้งอยู่ ฉันตายไม่ได้”
แมนสรวงเห็นอาการกลัวลนลานของเอมี่ ได้แต่ยืนช็อก ตะลึง ทำอะไรไม่ถูก
“ผมไม่เคยคิดร้ายกับคุณเลย ทำไมคุณต้องกลัวผมขนาดนี้”
แมนสรวงหมดแรง เอมี่เห็นว่าเขานิ่งไป รีบขึ้นรถ ปิดประตู ขึ้นหนีไปเลย แมนสรวงยืนมอง หัวใจโดนกระชากไป
อัฐชัยนอนซมอยู่ที่โซฟา พิมพ์ดาวกำลังดูแล เอาผ้าซับเลือดที่หัวให้
“เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง พวกเธอจะต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทุกบาททุกสตางค์”
เจี๊ยบจ๋อย
“หูย...ก็ใครจะไปรู้ พวกเราอยากช่วยน้องดาวนะ”
“ช่วยอย่างนี้ ทีหลังไม่ต้องช่วยเลย”
“แล้วนี่ พี่อัฐชัยเป็นอะไรครับ” ข้าวต้มถามอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันเห็น...พลังอะไรก็ไม่รู้ พุ่งเข้าใส่อัฐ แล้วก็คลั่งอย่างนี้ อัฐอาจจะดดนหมอผีทำของ”
แจ๊วถือกล่องอุปกรณ์ทำแผลเข้ามาได้ยินก็ตกใจ
“โดนทำของ”
พิมพ์ดาวห่วงใยมาก น้ำตาไหล
แมนสรวงนั่งซึมริมน้ำ มาดเท่ อกหัก สักพัก พีระโผล่เข้ามา
“ไงล่ะ ห้ามฉัน ด่าฉัน แต่ดันมีความรักซะเอง รู้ซึ้งหัวอกผีน้อยหัวใจไร้ขอบเขตอย่างฉันแล้วใช่มั้ย”
แมนสรวงนิ่ง ไม่เล่นด้วย พีระเห็นแมนสรวงไม่เล่นด้วยก็อึ้งๆ
“อ้าว เครียดจริงนี่หว่า”
“ทำไมเขาต้องกลัวฉันด้วยวะ ฉันไม่เคยทำอะไรไม่ดีกับเขาเลยสักครั้ง ทำไมต้องมองฉันอย่างนั้นด้วย”
“นายรักเจ้เอมี่จริงๆเหรอ”
“ความรักของฉันมันเป็นบ่วงกรรมมาแต่อดีตชาติ...ฉันกับเจ้เอมี่เคยรักกันมาก่อน ที่ฉันได้เจอกับเขา มันไม่ใช่บังเอิญ แต่มันเป็นเพราะ” แมนสรวงทำท่าฝากหัวใจ “ฉันฝากหัวใจเอาไว้ที่เค้า”
“ฝากหัวใจ...อื้ม เฮ้ย นี่นายจำเรื่องราวของตัวเองได้แล้วเหรอ”
“เจ้เอมี่คือคนที่ดูแลฉันจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต จิตสุดท้ายของฉันจึงมีแต่เขา ไม่เคยลืม...ความทรงจำมันเจ็บปวดใจจริงๆ”
“มันรู้สึก อี๊ด อื้ด เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ ฉึก...ใช่มั้ย”
พีระทำท่าใช้สองมือยืดหนังสติ๊กให้สุดๆ จนมันเริ่มขาดเปรี๊ยะ เริ่มขาดเปรี๊ยะ แล้วสุดท้ายมันก็ขาด แล้วดีดสะท้อนดังฉึก แมนสรวงพยักหน้า
“ใช่เลย”
“เราสองคนหัวอกเดียวกัน”
พีระกับแมนสรวงโผกอดกันอย่างเข้าอกเข้าใจกัน
“แล้วทำไมนายไม่ไปเกิดใหม่ จะมาเป็นยมทูตทำไม”
“ฉันมาเป็นยมทูต เพื่อแลกเปลี่ยนกับการจะได้กลับไปเกิดใหม่ในชาติภพเดียวกับเจ้เอมี่อีกครั้ง...หนึ่งร้อยปี ถ้าฉันทำสำเร็จ ฉันก็จะได้อย่างที่ต้องการ”
พีระเริ่มรู้ตัวว่าซวยอีกแล้ว
“หมายความว่า...”
“นายต้องกลับเข้าร่าง”
พีระหน้าตื่น
“ห๊า”
พีระจ้ำหนี แมนสรวงไล่ตาม
“พีระ...ไอ้พีระ”
“ทำไมทุกอย่างมันต้องมาฝากเอาไว้ที่ฉันด้วยวะ มันไม่ยุติธรรมกับผีตัวเล็กๆอย่างฉันเลย”
แมนสรวงโผล่มายืนขวางหน้า
“นายต้องช่วยฉันนะพีระ”
“ไม่” พีระหันหนี
แมนสรวงดึงตัวพีระกลับมา
“พีระ...นายมองฉันสิ ฉันทรมานมาร้อยปีแล้ว นายไม่สงสารฉันเหรอ” แมนสรวงทำหน้าน่าสงสาร
“ไม่” พีระหันหนีอีก
แมนสรวงดึงให้หันกลับมาอีก จ้องตา บอกรัก
“พีระ ฉัน รัก นาย”
พีระสะดุ้ง
“เฮ้ย...”
“นายรักฉันมั้ย ถ้ารัก กลับเข้าร่างเพื่อฉันนะ”
“ไม่เว้ย ไม่ๆ”
พีระปัดออก แล้วจะเดินหนี แต่แมนสรวงแสร้งทรุดลงไป ทำตัวน่าสงสารราวกับวัลลี
“พีระ...สงสารฉันเถอะนะ ฉันขอร้อง”
พีระหันกลับมาดู ตะลึงกับมารยาแมนสรวง
“นี่ นายทำขนาดนี้เลยเหรอ...ชาติก่อนเป็นวัลลีรึไง”
“พีระ” แมนสรวงอ้อน
“ไม่เว้ย”
พีระวิ่งหนีไปเลย แมนสรวงจากเศร้าๆก็กลายเป็นเข้มงวด ไม่ยอมแพ้
“ฉันก็ไม่ยอมพลาดรักกับเอมี่เหมือนกัน”
พิมพ์ดาวทำแผลให้อัฐชัยจนเสร็จ
“โชคดีนะแผลไม่ลึกมาก หัวแข็งใช้ได้นะแก”
พิมพ์ดาวเสยผมอัฐชัยให้เรียบร้อย แต่แล้วก็เผลอตัวมองหน้าเขานิ่งไป เคลิ้ม ตกในภวังค์ความรัก แต่แล้วก็ได้สติ รีบเตือนตัวเอง
“ไม่ๆ เราเป็นเพื่อนกันแล้ว พอๆ เลิกคิดๆ”
อยู่ๆอัฐชัยส่งเสียงครวญคราง ผีที่สิงอยู่ภายในกำลังดิ้นรนต่อสู้กับแสงแห่งธรรมของสร้อยพระที่ห้อยคออยู่ อัฐชัยตัวเกร็ง บิดไปมา ทรมาน เจ็บปวด พิมพ์ดาวพยายามจับตัวอัฐชัยให้นิ่ง
“อัฐ...อัฐ...ตั้งสติ...พวกมันใช้อำนาจมืดมนดำกับแก แต่แกต้องอย่ายอม ตั้งจิตให้ดี ระลึกถึงพระพุทธคุณ บทสวดมนต์ก็ได้ อย่ายอมแพ้มัน”
อัฐชัยดิ้นมาก พิมพ์ดาวคว้าสร้อยคอที่เขาสวมอยู่ขึ้นมา จับมืออัฐชัยมาพนมโดยให้สร้อยพระอยู่ข้างใน แต่อัฐชัยจะปล่อยมือ พิมพ์ดาวจำต้องใช้มือตัวเองกุมมือเขาเอาไว้ เป็นท่าพนมมือประสานกัน
“อัฐ สวดมนต์ แกต้องสวดมนต์...นะโมตัสสะ”
อัฐชัยพอจะมีสติอยู่บ้าง พึมพำ พิมพ์ดาวที่พยายามจับอัฐชัยเอาไว้ให้นิ่ง เหลือมองเห็นเข้าไปในคอเสื้อ ที่หน้าอกของเขาปรากฏว่ามีรอยดวงตาผีปรากฏอยู่ มันยังฝังตัวอยู่ในอัฐชัย พิมพ์ดาวผงะ
แจ๊วที่แอบดูอยู่ วิ่งกลับมารายงานพวกข้าวต้มที่นั่งอยู่ด้านนอกบ้าน
“ไม่มีอะไรน่าห่วงค่ะ ยังดูแลกันอย่างสวีทหวานมาก”
แจ๊วเห็นเจี๊ยบท่าทางกลัวๆ
“เป็นอะไรของแก”
“แกไม่ได้ยินที่คุณอัฐพูดเหรอ ว่าจะฆ่าพวกเราทุกคน ทีละคน”
“พี่อัฐไม่ได้พูด ผีพูด” ข้าวต้มแย้ง
“ก็นั่นแหละ ผีมันจะมาฆ่าเราจริงๆเหรอ”
“ผีมันก็ขู่เราไปงั้นแหละ พวกเราเป็นคนดี ความดีต้องคุ้มครอง” งอแงบอก
ข้าวต้มเห็นด้วย
“ถูกต้อง จงเชื่อมั่นว่าความดีจะปกป้องเราจากความชั่ว เหมือนที่เค้าเชื่อมั่นว่า ความอ้วนจะปกป้องเค้าจากความผอม”
“หือ...”
ทุกคนงงกับตรรกะของข้าวต้ม ทันใด ข้าวต้มเหลือบเห็นว่ามีคนยืนลับๆล่อๆอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน
“นั่นใคร”
ข้าวต้มเปิดประตูรั้วออกมาอย่างระมัดระวัง ยื่นหน้าออกมามองซ้ายมองขวา แต่ไม่พบอะไร งอแงตามข้าวต้มออกมา
“เห็นใครเหรอหมูอ้วน”
“ไม่เห็นเลย กลับเข้า...”
ข้าวต้มกำลังจะชวนกลับ แต่แล้วสายตาไปสะดุดกับอะไรบางอย่าง ถึงกับต้องหันมามองด้วยสีหน้าและสายตาตะลึงพรึงเพริดสุดๆ
“ฮ้า”
ข้าวต้ม เห็นขวดชาไข่มุกวางอยู่ที่ถนน ภาพของมันช่างยั่วยวนน่ากินมากๆ
“ชาไข่มุก”
ข้าวต้มรีบวิ่งไปที่แก้วชา แล้วเห็นโน้ต
“สำหรับข้าวต้มสุดหล่อ”
งอแงตามมามอง
“อี๊ ใครมาเขียนแกล้งนายเนี่ย”
“น้องอนุบาลที่โรงเรียนต้องแอบเป็นติ่งเค้าแน่ๆ เลยแอบมาเอาใจเค้าอย่างนี้”
ข้าวต้มหันไปอีก เห็นถุงขนมวางเรียงเป็นทาง
“ฮ้า ขนมเพียบเลย”
ข้าวต้มวิ่งไล่ไปเก็บขนม ไล่ไปตามทาง งอแงเรียกไว้
“หมูอ้วนเดี๋ยวก่อน”
พีระกับน้ำมนต์เดินกลับบ้าน
“คุณแมนสรวงจะโกรธฉันมั้ยอ่ะ”
“ไม่หรอก รู้ตอนนี้หรือตอนไหน สุดท้ายพี่เอมี่ก็จะรู้อยู่ดี เพราะแมนสรวงก็จะต้องจากพี่เอมี่ไปเหมือนผม”
“จะเหมือนได้ไง นายไม่ได้จากซะหน่อย”
“เออ จริงด้วย ลืม” พีระทำท่าว่าเป็นมุกที่แกล้งลืม “อุ๊ย งอนเลยหรา ผมแค่ล้อเล่นเอง...งอนง่ายแปลว่ารักมากนะเนี่ย”
“นี่นายแกล้งให้ฉันหงุดหงิดใช่มั้ย”
น้ำมนต์ไล่ตีพีระ หัวเราะกันไป
ข้าวต้มไล่เก็บขนมมาจนเต็มหน้าตัก งอแงตามมาปราม
“หยุดเดี๋ยวนี้เลย คุณครูไม่เคยสอนเหรอว่าห้ามรับขนมจากคนแปลกหน้า”
“สอน แต่นี่ไม่ใช่คนแปลกหน้า เพราะไม่เห็นหน้าเลย” ข้าต้มเก็บขนมต่อ
“นั่นแสดงว่ายิ่งอันตราย หมูอ้วน ช่วยฉลาด ทำตัวให้เป็นที่น่าภาคภูมิใจของระบบการศึกษาหน่อยได้มั้ย”
ข้าวต้มจ๋อย
“ก็ได้”
แต่อยู่ๆละไมเดินเข้ามาในลุคของคนตาบอด น่าสงสาร สวมแว่นตาดำ
“สวัสดีจ้ะเด็กๆ”
ละไมยิ้มอย่างมีแผนการร้ายๆ ข้าวต้มกับงอแงงงๆ
น้ำมนต์ขี่หลังพีระเดินอยู่
“จะขี่ถึงบ้านเลยเหรอ”
“อย่าบ่น โทษฐานที่ชอบแกล้งฉัน เดินไปเลย...หมดแรงเหรอ งั้นต้องชาร์ตแบตให้นายซะหน่อย”
น้ำมนต์บิดหู พีระร้องลั่น
“โอ๊ย”
พีระรีบเดิน น้ำมนต์หัวเราะมีความสุขมากๆ พีระรู้สึกดีที่ได้ยินเสียงหัวเราะของน้ำมนต์
“คุณรู้มั้ยว่าผมชอบมากเวลาที่คุณหัวเราะ”
“จริงอ่ะ”
“ใช่ เพราะมันแสดงว่าคุณกำลังมีความสุข ผมอยากให้คุณมีความสุขมากๆนะน้ำมนต์ รู้ป่าว”
“ไม่แระ ไม่หัวเราะแระ...แน่จริงทำให้ฉันหัวเราะสิ”
พีระแกล้งทำหน้าเบ้ เหยเก บูดเบี้ยว แอ๊บแบ๊วไปมา เพื่อทำให้น้ำมนต์หัวเราะออกมา ทีแรกน้ำมนต์ก็พยายามกลั้นเอาไว้ แต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมาจริงๆ พีระพลอยยิ้มและหัวเราะไปด้วย
“ถ้านายชอบให้ฉันหัวเราะ นายก็ต้องอยู่ทำให้ฉันหัวเราะนะ”
พีระนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะฉีกยิ้มออกมา
“แน่นอน”
“สัญญา” น้ำมนต์ชูนิ้วก้อย
“สัญญา”
พีระคว้ามือน้ำมนต์มา แล้วเอามานาบที่หน้าอกซ้าย
“ด้วยใจเลย”
น้ำมนต์ยิ้มเขิน มีความสุข
ละไมฉีกยิ้มแป้นอยู่
“หนูสองคนดูท่าจะเป็นเด็กดีและฉลาดมาก โดยเฉพาะหนูคนที่ตัวอ้วนๆ”
ข้าวต้มมองหา
“ใครเหรอครับ แถวนี้ไม่เห็นมีใครอ้วนสักคน”
“คือน้าตาบอด และหลงทาง จำไม่ได้ว่าจอดรถเอาไว้ตรงไหน หนูๆพอจะมองเห็นรถน้ามั้ยจ้ะ”
“นั่นหรือเปล่าคะ”
งอแงชี้ไปที่รถตู้คันนึงที่จอดเปิดประตูรออยู่
“ใช่จริงๆด้วย หนูคนที่ผอมๆ ช่วยจูงน้าไปส่งที่รถหน่อยได้มั้ย”
“ได้เลยครับ”
ข้าวต้มจูงละไมไป งอแงมองตามไป เพราะกำลังสงสัยว่าทำไมตาบอดแล้วดันรู้ว่าใช่รถคันนั้นหรือเปล่า
“รู้ได้ไงว่าใช่รถคันนั้น...ฮ้า หรือจะโกหก”
แจ๊วกับเจี๊ยบวิ่งตามเข้ามาพอดี
“น้องงอแงมาตรงนี้ทำไม แล้วข้าวต้มอยู่ไหนคะ” แจ๊วถาม
“อยู่นั่นค่ะ”
งอแงชี้ไปที่รถ ขณะนั้นข้าวต้มขึ้นไปบนรถก่อนแล้ว จะได้ช่วยดึงตัวคุณน้าตาบอดขึ้นรถตามมา งอแงตะโกน
“หมูอ้วน ลงจากรถเดี๋ยวนี้”
“ว่าไงนะ”
ข้าวต้มจะลงจากรถ แต่ละไมคว้าตัวไว้ ดันกลับขึ้นไป ไม่ยอมให้ลง
“ขึ้นไป”
ละไมไม่ยอมให้ลง ข้าวต้มดิ้น โวยวาย เจี๊ยบตกใจ
“เฮ้ย ปล่อยน้องข้าวต้มนะ”
แจ๊วกับเจี๊ยบวิ่งเข้าไปพยายามจะช่วยข้าวต้ม แต่สมุนเมสินีลงจากรถมา ขวางแจ๊วกับเจี๊ยบเอาไว้ แจ๊วถูกเหวี่ยงกระเด็นไป ส่วนเจี๊ยบถูกต่อยจนคว่ำไป งอแงวิ่งไปรั้งละไมเอาไว้ ไม่ยอมให้เอาข้าวต้มไป
“ปล่อยหมูอ้วนนะ ปล่อยๆ...ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วยๆ”
ละไมไม่มีทางเลือก เลยอุ้มงอแงขึ้นไปด้วยอีกคน
“ขึ้นไปเลยไปๆ”
ละไมดันขึ้นไปหมด รีบปิดประตู ออกรถ จังหวะนั้น น้ำมนต์กับพีระเดินผ่านเข้ามาพอดี
“ข้าวต้ม”
น้ำมนต์ตกใจ รถแล่นออกไปพอดี น้ำมนต์พยายามวิ่งไล่ แต่ก็ไม่ทัน
“ใคร...พวกมันเป็นใคร”
“ไม่รู้ค่ะ” แจ๊วส่ายหน้า
“พีระช่วยด้วย”
น้ำมนต์มองมา แต่พีระหายตัวไปแล้ว
พีระวิ่งมาอีกด้าน ทะลุผนังมาดักที่ถนนหน้ารถทันที
“แกจะเอาข้าวต้มไปไหน”
รถตู้แล่นมาถึง พีระจะกระโดดเข้าไปในรถ แต่กลับต้องกระเด็นออกมา
“โอ๊ย...ยันตร์ ในรถมีผ้ายันตร์หมอผี...โธ่เว้ย”
พีระเจ็บใจ
ละไมอยู่ในรถตู้ลนลานพูดโทรศัพท์
“ได้ตัวน้องชายน้ำมนต์มาแล้วค่ะ”
งอแงกรี๊ดร้อง จนสมุนที่นั่งในรถด้วยยกมือปิดหู
“กินนกหวีดมารึไง” ละไมหันไปด่าสมุน “แกจะปิดหูทำไม ปิดปากมันเซ่”
สมุนรีบปิดปากงอแง ข้าวต้มเลยจะกรี๊ดบ้าง แต่กรี๊ดไม่เป็น เป็นเสียงกรี๊ดแบบแหบๆ จนแทบไม่ได้ยิน
เมสินีพูดสายอยู่ แปลกใจที่ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิง
“เสียงกรี๊ดใคร ฉันให้แกไปเอาตัวน้องชายน้ำมนต์มา แกไปพาใครมานังละไม”
“ก็...ก็น้องน้ำมนต์นั่นแหละค่ะ...เสียงเด็กเวลาตกใจ มันก็สาวแตกยังงี้แหละค่ะ”
ละไมยิ้มแห้งกลัวมีความผิด ข้าวต้มยังพยายามจะกรี๊ดอยู่ แต่กรี๊ดไม่ออกสักที
คุณผีที่รัก ตอนที่ 14 (ต่อ)
น้ำมนต์กลับเข้ามาในบ้าน
“พี่แจ๊ว โทรแจ้งตำรวจเลย”
“ค่ะๆ” แจ๊วหยิบมือถือมากด
พิมพ์ดาววิ่งออกมา
“เกิดอะไรขึ้น มีเรื่องอะไร”
“มีคนจับตัวข้าวต้มกับงอแงไป”
“หา” พิมพ์ดาวตกใจ
พีระวิ่งกลับเข้ามา
“มันมีผ้ายันตร์ติดรถไว้ ผมเข้าไปดูไม่ได้ว่าใครเอาตัวข้าวต้มไป”
ทันใดมือถือน้ำมนต์ดังขึ้น เธอรีบรับสาย
“คุณเมสินี...คุณเอาตัวข้าวต้มไป”
เมสินีกำลังเดินออกจากสถานีพราวด์ พูดโทรศัพท์ไปเดินไป
“ทำไมกล่าวหากันอย่างนั้นล่ะ ฉันก็แค่โทรมาเพราะคิดถึงและห่วงใย...สบายดีมั้ย...ฟังเสียงแล้วคงจะไม่ค่อยสบายสินะ...อยากให้ฉันช่วยมั้ย ฉันมีข้อแลกเปลี่ยนเดียว”
น้ำมนต์ฟังข้อเสนอของเมสินี
“เดี๋ยวก่อนคุณเมสินี อย่าเพิ่งวาง เดี๋ยว”
แจ๊ววิ่งกลับออกมา
“ตำรวจรับสายแล้วค่ะ”
น้ำมนต์ไปกระชากมือถือแจ๊วมาแล้วกดวางสายทันที น้ำมนต์ท่าทางหงุดหงิดกับข้อเสนอของเมสินี เจ๊ยบหันมาถาม
“เขาไม่ให้แจ้งตำรวจเหรอ แล้วเขาจะเอาอะไรเหรอครับ...ถ้าให้เขาได้ก็ให้ไปเถอะครับ เพื่อความปลอดภัยของเด็กๆ”
น้ำมนต์ลังเลลำบากใจ พีระรู้ได้ทันที
“เขาต้องการร่างของผมใช่มั้ย”
เมสินีเดินกลับเข้ามาในบ้าน แต่แล้วต้องชะงักเมื่อละไมเดินเข้ามา
“คุณเมคะ จะให้ละไมทำยังไงต่อคะ”
เมสินีเดินไปนั่งพัก สบายอารมณ์
“เสร็จงานแล้วก็ไปพัก...อ้อ โทรบอกพวกนั้นว่าอย่าเพิ่งทำอะไรเด็กๆนะ”
ละไมหันไปบอก
“พวกแกได้ยินแล้วใช่มั้ย”
เมสินีหันไปมองตาม แล้วต้องผงะ เพราะพบว่าสมุน2คนกำลังคุมตัวต้นข้าวกับงอแงอยู่ตรงนั้น
“เฮ้ย แกพาเด็กมาที่นี่ทำไม”
“ก็คุณเมบอกให้พามาที่บ้านไม่ใช่เหรอคะ”
“ฉันบอกให้พาไปบ้านนอก ไม่ใช่บ้านฉัน...ฉันไม่อยากมีเอี่ยวในคดีลักพาตัว”
ละไมหน้าเหวอ
“อ้าว”
“ไป พามันออกไป ไปๆ”
ละไมจะหันไปจัดการเด็ก แต่อยู่ๆงอแงกับข้าวต้มมองหน้ากันเป็นสัญญาณ แล้วกัดแขนสมุนที่จับอยู่พร้อมกัน
“โอ๊ย”
งอแงกับข้าวต้มผลักสมุนล้มแล้วจะวิ่งหนีออกไป แต่มีสมุนอีกคนดักอยู่ งอแงกับข้าวต้มเลยต้องถอย แล้วหนีเข้าไปด้านใน วิ่งขึ้นชั้นบน แต่ข้าวต้มยังแวะหยิบแอปเปิ้ลที่วางในถาดผลไม้บนโต๊ะตรงนั้นมา 3 ลูก งอแงปราม
“หมูอ้วน”
ข้าวต้มรีบวิ่งตามงอแงขึ้นชั้นบนไป เมสินีโมโห
“ตามไปจับมันสิ ก่อนมันจะทำเสียเรื่อง ไป”
พวกสมุนรีบไล่ตาม ละไมไล่ตามไปด้วย เมสินีหงุดหงิด
ข้าวต้มกับงอแงวิ่งขึ้นมาชั้นบน พวกสมุนไล่ตามมา งอแงหันไปหยิบถ้วยแก้วตรงตู้โชว์แถวนั้นมา แล้วโยนใส่บันไดให้มันแตก เพล้งๆ พวกสมุนที่วิ่งตามกันมา เบรกไม่ทัน คนแรกเหยียบแก้วไปถึงกับกระโดดเหยงๆ
“โอ๊ย อู้ว อ้าว”
สมุนคนที่ 2 วิ่งตามมาเบรกไม่ทัน ชนสมุนคนนั้นกระเด็นไปเหยียบแก้วอีก
“โอ้ว อู๊ย”
ละไมวิ่งตามมาหลังสุด เห็นพวกสมุนออกัน
“ตามมันไปสิ ตาม”
ละไมไม่รู้เรื่องเลยผลักสมุนคนที่ 2 ไปชนสมุนครแรกจนทำให้สมุนทั้งสองล้มลงไปกันทับ
“อ๊าก”
“แก้ว มันมีแก้ว” สมุนรีบบอก
“อ้าว ไม่รู้...หน็อย เด็กแสบ”
ละไมมองขึ้นไป งอแงกับข้าวต้มกำลังแลบลิ้นปลิ้นตาล้อหลอกอยู่ ละไมเหยียบหลังสมุนเพื่อวิ่งตามต่อไป
ข้าวต้มกับงอแงวิ่งมาถึงชั้นบน มองหาทางหนีทีไล่ ข้าวต้มทำแอปเปิ้ลหล่น เลยแวะเก็บ ละไมวิ่งตามมาทันเลยจับข้าวต้มเอาไว้ได้
“ปล่อยเค้านะ”
“ไม่ปล่อย”
งอแงวิ่งกลับมา
“คุณเมสินีขา พี่ละไมนินทาคุณค่ะ”
ละไมตกใจ เผลอยกมือ
“เปล่านะคะ เปล่า”
เมสินีเพิ่งจะวิ่งตามมาถึง ละไมรู้ตัวว่าโดนหลอก
“ว้าย นังเด็กแสบ หลอกคนใช้ไร้การศึกษาเหรอ”
“จับมันให้ได้นังละไม” เมสินีสั่งเสียงเข้ม
งอแงรีบวิ่งเข้าห้องนอนไป ข้าวต้มวิ่งตามมา แต่ละไมกระโดดผวาพุ่งเข้าคว้าตัวข้าวต้มคว้าขาเอาไว้ได้
ข้าวต้มพยายามดิ้น แต่ละไมจับเอาไว้แน่น งอแงเข้ามาจั๊กจี๋เอวละไม
“คุณเมขา ช่วยด้วยค่ะ เร็วๆ”
เมสินีวิ่งมา จะช่วยคว้า แต่สะดุดขาของละไม ล้มทับละไมไป ละไมร้องจ๊ากเจ็บ เผลอปล่อยมือ ข้าวต้มผลุบเข้าไปในห้อง ประตูปิดทันที เมสินีจะเปิดประตู แต่เปิดไม่ได้ มันล็อก
“พวกเด็กแสบ เปิดประตูนะ เปิด”
งอแงกับข้าวต้มช่วยกันเข็นโต๊ะมาขวางประตูเอาไว้ งอแงยิ้มภูมิใจ
“ไม่รู้จักเด็กฉลาดชาติเจริญซะแล้ว”
เมสินีหงุดหงิดอยู่หน้าห้อง ทุบๆกระชากๆ
“ฉันบอกให้เปิดประตู จะไม่เปิดใช่มั้ย ได้ งั้นก็อยู่ในนั้นไปเลย”
เมสินีหันมาสั่งสมุนที่เพิ่งตามมาถึง
“พวกแกเฝ้าหน้าห้องไว้ ถ้ามันออกมาเมื่อไหร่ จับมันไปเลาะฟันให้หมดปากเลย”
เมสินีเดินหงุดหงิดออกไป
งอแงนั่งสุขุมที่เตียง ข้าวต้มเดินกระวนกระวายไปมา
“ไม่น่าเลยๆ”
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่าหมูอ้วน”
“ไม่ได้กลัว แต่ไม่น่าทำแอปเปิ้ลหล่นเลย...หิว...งอแง เราต้องส่งสัญญาณให้พี่น้ำมนต์มาช่วยนะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เรามีของดี”
ข้าวต้มแปลกใจ
“จริงเหรอ”
งอแงหยิบมือถือขึ้นมาโชว์อย่างตื่นเต้น ข้าวต้มมองแล้วห่อเหี่ยว
“อ้าว นึกว่าของกิน”
น้ำมนต์ยืนมองสภาพอัฐชัยอยู่
“มันทำของใส่อัฐงั้นเหรอ”
“เธอดูเอาเองสิ”
พิมพ์ดาวแหวกอกเสื้ออัฐชัยให้ดู เห็นว่าที่กลางอกมีดวงตาผีอยู่ แจ๊วกับเจี๊ยบตกใจ
“ว้าย”
แจ๊วกับเจี๊ยบเผลอกอดกัน
“นี่ถ้าไม่สวมสร้อยพระเอาไว้ อัฐอาละวาดกว่านี้อีก” พิมพ์ดาวบอกอย่างกังวล
พีระเจ็บใจ
“มันทำของ แล้วก็ลักพาตัวเด็กงั้นเหรอ เมสินีนี่มันชั่วล้วนๆไม่มีดีปนเลย”
เจี๊ยบหันมาหาน้ำมนต์
“น้ำมนต์...แล้วผีที่สิงคุณอัฐ มันยังพูดด้วยนะว่า มันจะฆ่าพวกเราทุกคนทีละคน”
“มันขู่จะทำร้ายพวกพี่ด้วยเหรอ” น้ำมนต์ตกใจ
แจ๊ว เจี๊ยบ พิมพ์ดาวพยักหน้ากันหมด พีระรู้สึกผิด
“เพราะผมคนเดียว มันต้องการผม”
พีระพรวดพราดเดินออกไป น้ำมนต์รีบตามไป
พีระเดินเครียดออกมาด้านนอก กำลังจะออกไปจากรั้วบ้าน แต่น้ำมนต์ตามมาตะโกนห้ามไว้ก่อน
“ห้ามออกไปนะ”
พีระชะงัก หันกลับมาโวย
“คุณไม่เห็นเหรอว่าผมทำให้คุณกับเพื่อนต้องเดือดร้อน แล้วนี่ข้าวต้มกับงอแงต้องมาเกี่ยวด้วย”
“นายรับปากฉันแล้วว่านายจะกลับเข้าร่าง อย่าทำอย่างนี้”
“แต่...ผมไม่อยากให้มีใครต้องตายเพราะผมอีก”
พีระกำลังจะออกไป แต่ทันใด พิมพ์ดาววิ่งออกมา พร้อมตะโกนเสียงดัง
“งอแงโทรมา”
พีระชะงัก น้ำมนต์กับพีระรีบกลับไปหาพิมพ์ดาว ที่ยื่นมือถือซึ่งกดสปีกเกอร์เอาไว้แล้วมา
“งอแง...ข้าวต้ม พวกเธออยู่ไหน เป็นไงบ้าง” น้ำมนต์ถามอย่างร้อนใจ
งอแงกับข้าวต้มเอาหัวชนกันพูดโทรศัพท์
“เราขังตัวเองอยู่ในห้องนอนค่ะ พวกมันเข้ามาไม่ได้...พวกพี่รีบมาช่วยเราด้วยนะคะ”
ข้าวต้มตะโกนเข้ามา
“เอาของกินมาด้วย”
“พวกเธออยู่ในห้องอย่างนั้นนะ ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด พี่จะรีบไปช่วยเดี๋ยวนี้”
น้ำมนต์วางสาย หันไปสั่งทุกคน
“ดาว แกอยู่ดูแลอัฐที่นี่ ฉันจะไปจัดการเอง”
น้ำมนต์จะไป พีระจับแขนไว้
“หยุดเลย...คุณอยู่นี่ ที่เหลือปล่อยเป็นหน้าที่ผีเอง”
พีระทำหน้าเด็ดขาดมั่นใจ ไม่ยอมให้ต่อรอง
บ้านเมสินี ยามค่ำคืน...เมสินีได้รับรายงานจากสมุน
“เด็กสองคนนั้นยังไม่ยอมออกมาอีกเหรอ มันไม่หิวข้าวหิวน้ำเลยหรือไง เฝ้ามันไว้ ออกมาเมื่อไหร่จับมันให้แน่นเลยนะ เด็กแสบ”
สมุนแยกไป ละไมถือโทรศัพท์มือถือเมสินีวิ่งปราดเข้ามายื่นให้
“คุณเมขา...น้ำมนต์โทรมาค่ะ”
เมสินีคว้ามารับสาย
“เธอไม่ต้องอารัมภบท บอกมาเลยว่าร่างพีระอยู่ที่ไหน แล้วฉันจะส่งน้องชายเธอถึงหน้าประตูบ้านเลย”
น้ำมนต์พูดโทรอยู่ โดยมีพีระอยู่ข้างๆ น้ำมนต์ท่าทางร้อนใจ ห่วงใยน้องชาย
“คุณจับน้องชายของฉันไปทำไมคะคุณเมสินี”
“ฉันไม่ล้อเล่นนะ ถ้าไม่บอกมาว่าพีระอยู่ที่ไหน ก็อย่าหวังว่าเธอจะได้เห็นหน้าน้องชายเธออีก”
“ค่ะๆ ถ้าฉันบอกคุณ แล้วคุณจะทำอะไรพีระคะ เขาเป็นลูกคุณไม่ใช่เหรอ”
“ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน”
“คุณจะฆ่าพีระเหมือนที่คุณวางแผนฆ่าคุณธีระศิลป์ใช่มั้ยคะ”
“ไม่ต้องมาสู่รู้ ฉันจะไม่ต่อรองกับเธออีกแล้ว จะบอกไม่บอก”
น้ำมนต์ยิ้มกระหยิ่ม เป็นต่อขึ้นมาทันที
“แน่ใจเหรอคะว่าจะไม่ต่อรอง...คุณรู้หรือเปล่าว่ามือถือของฉัน...อัด เสียง ได้”
เมสินีช็อก เสียรู้แล้ว
“แก...นี่แกอัดเสียงฉันเหรอ”
“อยากฟังเสียงตัวเองคนเดียวหรือฟังพร้อมคนทั่วประเทศดีคะ ปล่อยน้องชายฉันภายในหนึ่งชั่วโมง ไม่อย่างนั้นก็ สวัสดีโซเชี่ยลแคม”
น้ำมนต์ตัดสายทันที แล้วหันมาหาพีระที่ยิ้มให้กำลังใจอยู่ แท็กมือกัน
“เยี่ยมมาก ไม่เสียแรงที่เรียนการแสดงมา”
“ต้องขอบใจแผนการของผีมากกว่า”
เมสินีแค้นมาก
“น้ำมนต์ แกคิดจะลองดีกับฉันงั้นเหรอ”
น้ำมนต์หารือกับพีระ
“ทำไมเขาไม่ติดต่อกลับมาอีก หรือเขาจะไม่ยอมปล่อยข้าวต้ม พีระ มันต้องไม่ได้ผลแน่ๆ เราไปที่บ้านเมสินีเถอะ”
น้ำมนต์จะไป พีระดึงมือไว้
“ใจเย็นๆ นี่เพิ่งผ่านไปห้านาทีเอง น้องชายคุณไม่เป็นอะไรหรอก”
“ฉันไม่อยากอยู่เฉยๆ ฉันห่วงข้าวต้ม”
“น้องคุณก็เหมือนน้องผม ผมก็ห่วงเหมือนกัน ถ้าเราไปตอนนี้ เมสินีจะรู้ว่ามันถือไพ่เหนือกว่า แล้วมันจะไม่ยอมหมอบให้เรา”
“แต่ฉัน...”
“ชู่ว์...ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว มองหน้าผม มองสิ มองจนกว่าคุณจะเลิกกังวล”
พีระจับให้น้ำมนต์จ้องตากัน น้ำมนต์ร้อนใจ
“ผมจะไม่ทิ้งน้องชายคุณ เชื่อใจผมนะ”
อาจารย์เทพเดินกลับเข้ามาในบ้าน เมสินีเข้ามาหาทันที
“ให้ผมกลับมาหาด่วน มีเรื่องอะไร”
“สั่งสอนเด็กอวดดีให้ฉันที”
น้ำมนต์ยังมองตาพีระอยู่ เริ่มสงบลง มีสติมากขึ้น
“ฉัน...โอเคแล้ว...ปล่อยเถอะ”
พีระยิ้มแฉ่ง ยังไม่ยอมปล่อย
“นี่...ปล่อย”
“คุณโอเคแล้ว แต่ผมยังไม่โอเค...มองตาต่อนะ”
“ไม่ว่าจะเดือดร้อนวุ่นวายแค่ไหน นายก็เล่นได้ตลอดเลยนะ”
“อ้าว ก็ผีอยากให้คุณมีความสุข”
ทันใด แจ๊วกับเจี๊ยบวิ่งแหกปากออกมา
“ช่วยด้วยๆ”
“น้องน้ำมนต์...คุณอัฐ...ตายแล้วค่ะ”
น้ำมนต์กับพีระตกใจ
“หา”
พีระกับน้ำมนต์วิ่งเข้ามาในบ้านพบว่าอัฐชัยนอนเกร็งไปทั้งตัว นิ้วมือนิ้วเท้าหงิกเกร็ง คอตึงเส้นเลือดปูด ปากอ้าค้าง กรามตึง ตาเหลือก และเห็นว่าที่ช่วงคอกลายเป็นสีดำคล้ำช้ำเลือดช้ำหนอง น้ำมนต์ตะลึง
“อัฐเป็นอะไร”
พิมพ์ดาวตกใจมาก
“ฉันก็ไม่รู้ อยู่ดีๆอัฐก็มีอาการรุนแรงมากขึ้น แกดูคออัฐสิ มันเป็นอย่างนี้ แล้วก็ค่อยๆกว้างขึ้นเรื่อย”
แจ๊วกลัวๆ
“สีช้ำเลือดช้ำหนองยังงี้ ต้องตายแน่ๆเลย”
พีระมองอาการ
“ต้องเป็นเพราะไสยศาสตร์ที่อยู่ในตัวอัฐแน่”
“น้องอัฐสวมพระเอาไว้แล้ว ยังเอาไม่อยู่อีกเหรอ หมอผีที่ไหนมันถึงได้แก่กล้าอาคมขนาดนี้” เจี๊ยบบอก
พีระมั่นใจ
“จะมีใครถ้าไม่ใช่อาจารย์เทพ”
น้ำมนต์อึ้ง
อาจารย์เทพกำลังทำปลุกเสกคุณไสยอยู่ตามคำสั่งเมสินีที่ยืนรอดูผลงานอยู่ใกล้ๆ ยิ้มสะใจ ละไมมองอย่างตื่นเต้นๆ
“ทำให้มันรู้ ว่าฉันไม่ใช่คนที่พวกมันจะมาต่อรองด้วย”
อัฐชัยที่ตาเหลือก พิมพ์ดาวเป็นห่วง
“อัฐ...อัฐอย่าเป็นอะไรนะ”
แจ๊วชี้ที่มือ
“คุณดาว ดูมือคุณอัฐสิ”
พิมพ์ดาวจับมืออัฐชัยขึ้นมา พบว่ามือเป็นสีดำไปแล้ว
“อัฐ...ไม่นะ...น้ำมนต์ อาจารย์เทพเขาต้องการอะไร ทำไมเขาต้องทำกับอัฐอย่างนี้”
พีระทนดูไม่ได้ บอกกับน้ำมนต์
“โทรหาเมสินีเดี๋ยวนี้ บอกสิ่งที่มันอยากรู้ไป”
น้ำมนต์ตกใจ
“หา...แล้วนายล่ะ”
“ช่างผมเถอะ แต่จะเอาชีวิตเพื่อนคุณกับน้องชายคุณมาแลกไม่ได้”
“ฉันไม่โทร”
“น้ำมนต์ ยังไงผมก็ต้องตายอยู่แล้ว อย่าให้มีใครมาตายเพราะผมอีกเลย ผมขอร้อง”
“ไม่”
“งั้นผมไปเอง”
พีระวิ่งออกไป
พีระออกมา น้ำมนต์วิ่งตามมา
“ถ้านายไป ฉันไปด้วย ฉันจะไม่ทิ้งนาย”
“อย่างี่เง่าน่ะ”
“นายนั่นแหละงี่เง่า นายรับปากแล้วว่าจะเข้าร่าง แล้วทำไมจะต้องพร้อมยอมตายตลอดเวลาขนาดนี้ด้วย...พีระ นายบอกเองนะว่าเราต้องมีสติถึงจะคิดแผนการได้ นายก็ต้องมีสติสิ ถ้าเราช่วยกันคิด มันต้องมีทางออก”
พีระยืนนิ่ง เครียด จำยอม มือถือน้ำมนต์ดังขึ้น น้ำมนต์มองมือถือ แต่ยังไม่รับสาย เพราะระแวงว่าพีระจะหนีไป น้ำมนต์เดินไปคว้าแขนเขาเอาไว้
“ผมไม่หนีหรอก รับเถอะ”
เมสินีพูดโทรอยู่ที่บ้าน ท่าทางเหนือกว่า
“ฉันจะให้เวลาถึงพรุ่งนี้เที่ยง ถ้าฉันไม่ได้ในสิ่งที่ฉันต้องการ อะไรจะเกิดขึ้นกับเพื่อนของเธอ ฉันก็ไม่รับประกัน ส่วนเด็กสองคนนี้ เธอก็รอลุ้นเป็นเซอร์ไพร้ส์ก็แล้วกัน”
เมสินีวางสาย ยิ้มสะใจ น้ำมนต์ที่เกาะแขนพีระอยู่ วางสายเช่นกัน หน้าเครียด
“เรามีเวลาถึงพรุ่งนี้เที่ยง...”
พิมพ์ดาวกำลังดูแลอัฐชัย เอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้ ทั้งรักทั้งห่วงใยมาก น้ำตาไหล
“แกอย่าเป็นอะไรนะ...นะอัฐ แล้วฉันจะยอมทุกอย่างเลย ฉันสัญญาว่าจะเป็นเพื่อนแกจริงๆ จะไม่คิดมากกว่านี้ จะไม่เซ้าซี้ ไม่งี่เง่าด้วย ขอแค่แกปลอดภัยก็พอ”
อัฐชัยไม่ได้สติ พิมพ์ดาวเช็ดตัวให้ไปอย่างเศร้าๆ น้ำตาไหล แจ๊วกับเจี๊ยบแอบมองอยู่ สงสารทั้งคู่
แมนสรวงพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำใส่พีระ
“ทำไมฉันจะต้องช่วยนายด้วย”
“นายจะปล่อยให้อัฐชัยกับเด็กสองคนมีอันตรายเหรอ”
“มันก็แล้วแต่บุญและกรรมของสามคนนั้น และฉันไม่จำเป็นต้องช่วยผีเห็นแก่ตัวอย่างนาย”
น้ำมนต์เดินออกมา ร้องไห้โฮๆ อย่างทุกข์ทรมานจิตใจ เพราะห่วงใยข้าวต้ม
“ข้าวต้ม น้องพี่ ฮือๆ ถ้าน้องเป็นอะไรไปแล้วพี่จะอยู่ยังไง พี่จะมีหน้าไปบอกแม่ยังไง ฮือๆ”
แมนสรวงมองหน้าพีระ
“นี่ถึงกับให้น้ำมนต์มาแอคติ้งหลอกฉันเลยเหรอ”
พีระเซ็ง
“แอคติ้งอะไร น้ำมนต์เสียใจจริงๆ นายคิดว่าช่วยน้ำมนต์เถอะนะ แล้วฉันจะช่วยนายตอบแทน”
น้ำมนต์โพล่งขึ้นมา
“ข้าวโต้ม ฮือๆ”
“เหรอนายจะกลับเข้าร่างงั้นเหรอ ฉันไม่เชื่อนายหรอก ไอ้ผีสัปปรับ”
“ฉันจะช่วยให้พี่เอมี่เลิกกลัวนาย”
แมนสรวงอึ้ง
“พี่เอมี่”
น้ำมนต์โพล่งขึ้นมา
“ข้าวโต้มมมมมน้องพี่ ฮือๆ”
“นายคงไม่อยากให้พี่เอมี่เกลียดและกลัวนายเหมือนนายเป็นก้อนเซลลูไลท์ที่ต้นขาไปตลอดหรอกใช่มั้ยล่ะ”
แมนสรวงอึ้ง ลังเล น้ำมนต์ทนไม่ได้ ลุกยืนขึ้นมาขู่ไปในอากาศ
“จะช่วยไม่ช่วย...ถ้าไม่ช่วย พี่เอมี่จะไม่ใช่แค่รังเกียจคุณ แต่ฉันจะใส่ไฟให้พี่เอมี่กำจัดคุณออกไปจากชีวิต ชาตินี้ไม่ต้องได้พบเจอกันอีกเลย”
แมนสรวงอึ้ง เถียงไม่ออก ไม่มีทางเลือก
พิมพ์ดาวยังคงเช็ดตัวให้อัฐชัย ปากท่องบทสวดมนต์ไปด้วย ท่องไปน้ำตาไหลไป เพราะห่วงใย ไม่อยากให้เป็นอะไรไปข้างๆกันแจ๊วกับเจี๊ยบหลับไปแล้ว น้ำมนต์เดินกลับเข้ามาเห็น
“ดาว...แกพักบ้างเถอะ”
“ฉันไม่เป็นไร ฉันจะสวดมนต์ให้อัฐ เผื่อว่ามันจะช่วยอะไรได้บ้าง”
พีระบอกกับน้ำมนต์
“ถ้านายอัฐชัยหายดี หวังว่าเขาจะเห็นความรักของพิมพ์ดาวซะทีนะ”
พีระลากน้ำมนต์เข้ามาในห้องนอน เธอโวยวายลั่น
“ฉันไม่นอน...น้องฉันเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ จะให้ฉันหลับได้ยังไง”
“ไม่หลับก็ต้องนอน คุณจะมาอดนอนไม่ได้ เดี๋ยวก็ไม่สบายพอดี”
“ฉันนอนไม่ไ..ด้...”
น้ำมนต์จะเถียงอีก พีระอุ้มขึ้นมาเลย น้ำมนต์ตกใจ แล้วเขาก็วางน้ำเธอลงบนเตียง
“นอน”
พีระวางลง น้ำมนต์จะลุกขึ้นมา แต่เขากดและคร่อมเธอเอาไว้
“คุณต้องนอน ถ้าคุณอยากมีแรงไปช่วยน้องคุณด้วยกัน ผมขอร้อง”
น้ำมนต์อ่อนลง
“ก็ฉันว้าวุ่นใจขนาดนี้ ใครจะไปหลับลง”
“ผมจะกล่อมคุณเอง...นะ”
พีระล้มตัวนอนข้างๆ นอนตะแคง เท้าคางมอง
“หลับตาสิ...หลับตา”
น้ำมนต์จำใจต้องหลับตาลง พีระใช้นิ้วตัวเองคลี่คิ้วที่ขมวดของน้ำมนต์
“อย่าขมวดคิ้ว...อย่าย่นหน้าผากด้วย...สบายๆ อย่าเกร็ง และก็ไม่ต้องคิดอะไรด้วย”
“ฉัน...”
“ชู่ว์...ไม่ต้องพูด...ไม่ต้องคิดนะ”
แล้วพีระก็ฮัมเพลงออกมา น้ำมนต์ค่อยๆนิ่งไป ผ่อนคลายมากขึ้น รู้สึกดีที่มีคนกล่อมให้ฟัง เธอแอบลืมตามามองหน้าเขา รู้สึกอบอุ่น มีความสุข พีระหันมาเห็นพอดี ยิ้มอบอุ่นให้ น้ำมนต์ยิ้มตอบ แล้วเขาเอามือมาปิดตา น้ำมนต์เลยคว้ามือเขามากอด เอาแนบแก้ม แล้วหลับตาลงอีกที พีระเอ็นดู รักใคร่
“หลับฝันหวาน ฝันดี ฝันเห็นผีด้วยนะ”
พีระฮัมเพลงต่อไป
บ้านเมสินี เช้า วันใหม่...เกี๊ยงกลิ้งกระเด็นออกมาจากธัมไดร้ฟ์ พอตั้งหลักได้ เงยหน้ามา ก็เห็นอาจารย์เทพเดินเข้ามา
“แก”
เกี๊ยงทำท่าจะพุ่งเข้าใส่ แต่กลับขยับเขยื้อนไม่ได้ เพราะอาจารย์เทพใช้อาคมสะกดเอาไว้
“เกี๊ยง...ไอ้เกี๊ยง พลังของไอ้คามินมันทำให้แกคลั่งไคล้มัน แต่แกต้องเอาความทรงจำตัวเองกลับมา...มองหน้าฉัน จำไม่ได้เหรอว่ามีชีวิตอยู่ แกกับฉันผ่านอะไรด้วยกันมาตั้งมาก”
“ฉันไม่รู้จักแก ฉันรู้จักแต่ท่านคามิน มายไอด้อล”
“ตอนแกสี่ขวบ แกถูกพ่อกับแม่ทิ้ง ฉันนี่แหละที่เป็นคนเอาแกมาเลี้ยงเหมือนลูก ฟูมฟักแกด้วยความรักและอาคม แกถึงได้เป็นคนกะทัดรัดขนาดกำลังดีอย่างนี้”
“อาจารย์เทพเหรอ...ไม่รู้จัก”
“แกจำเพลงนี้ได้มั้ย เพลงที่แกชอบให้ฉันร้องให้ฟังตอนเด็กๆ”
อาจารย์เทพร้องเสียงแหลมปี๊ด
“เสียง รถด่วนขบวนสุดท้าย แว่วดังฟังแล้วใจหาย หัวใจน้องนี้แทบขาด”
เกี๊ยงซาบซึ้ง จำได้ น้ำตารื้น
”หา...ทำไมคุ้นเพลงนี้...”
เกี๊ยงเผลอร้องออกมาประสานไปกับอาจารย์เทพ
“พี่จ๋าลาแล้ว...น้องแก้ว ต้องจำนิราศ ดั่งถูกสายฟ้าฟาด หัวใจน้องจะขาดแล้ว”
เกี๊ยงจำได้
“หา...อาจารย์เทพ”
อาจารย์เทพดีใจ
“แกจำฉันได้แล้วใช่มั้ย”
“อาจารย์ของเกี๊ยง”
เกี๊ยงซาบซึ้งโผกอดอาจารย์เทพ ร้องไห้ คร่ำครวญ เมสินีเดินเข้ามายืนกอดอกมองอยู่
“จะดราม่าอีกนานมั้ย ฉันมีเรื่องให้จัดการ”
น้ำมนต์ พีระ แมนสรวงมายืนหน้าบ้านเมสินี
“คุณรอตรงนี้ คอยดูลาดเลาให้พวกเรา”
“ไม่ ฉันจะช่วยทำอะไรที่มีประโยชน์ ฉันไม่รอเฉยๆ”
“ไม่ได้ให้รอเฉยๆ ให้ดูลาดเลาเข้าใจมั้ยดูลาดเลา”
“คุณเดินทะลุประตูไม่ได้ คุณจะถูกพวกมันมองเห็น แล้วมันจะทำให้ผมห่วงหน้าพะวงหลัง...เชื่อผมนะ...ดูแลตัวเองให้ปลอดภัย แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ผีจัดการนะ เราจะพาเด็กสองคนออกมาให้ได้”
“แต่...”
“ไม่ต้องแต่...ผมขอนะ ถ้าคุณเป็นอะไร ผมจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย”
“แล้วถ้านายเป็นอะไรไปล่ะ ฉันก็คงรู้สึกผิดที่ไม่ได้ช่วยนายเลย”
“ผมสัญญา ถ้ามีเหตุการณ์ร้ายแรง หรืออันตรายเกินควบคุม ผมจะรีบหนีเอาตัวรอด ปล่อยให้ยมทูตรับหน้าไป โอเคมั้ย”
น้ำมนต์พยักหน้า
“อื้อ”
“ไม่เอาอย่าเศร้าดิ มาๆ ขอกอดที”
พีระดึงน้ำมนต์มากอดปลอบใจให้หายเศร้า งุ้งงิ้ง แมนสรวงยิ่งดูยิ่งหมั่นไส้ ทนดูไม่ได้ อิจฉา
“โอ๊ย เบื่อคนมีความรักเว้ย หมั่นไส้เว้ย อิจฉาเว้ย จะกอดกันอีกนานมั้ยเว้ย”
พีระผละออก
“ก็ช่วยไม่ได้ คนมันแฮปปี้เอนดิ้งแล้ว”
“ฉันอยากสวีทวี่วีแบบนี้กับเจ๊เอมี่บ้าง”
“เอาน่า แล้วฉันจะช่วยให้นายเอง...” พีระหันไปบอกกับน้ำมนต์ “รอตรงนี้นะ แล้วผีจะรีบกลับมา”
พีระกับแมนสรวงทะลุประตูเข้าไปเลย น้ำมนต์ยังคงไม่ยอมทนอยู่เฉยๆ คิดทำอะไร แล้วมองไปที่กริ่งประตูบ้าน
พีระกับแมนสรวงเข้ามาในบริเวณบ้าน
“เฮ้ย หลบ”
แมนสรวงดึงพีระหลบ แล้วชี้ให้ดูว่าด้านหน้า มีพวกวิญญาณผียืนรักษาการณ์ตามจัดต่างๆเพียบ มีทุกประตู ทุกหน้าต่าง และมีบนต้นไม้หรือชั้นลอย ส่องกล้องมองหาผู้บุกรุก พีระกับแมนสรวงอึ้งๆ
“มันรู้ว่าเราสองผีจะแอบเข้ามา เลยปลุกผีมาเฝ้าบ้านหลังนี้ไว้”
อาจารย์เทพทำพิธีปลุกผีอยู่ที่ดาดฟ้า โดยมีเมสินียืนอยู่ด้วย
“เอาโหดๆเลยนะจารย์ เจอผีบุกรุกที่ไหน ฆ่ามันให้ตายซ้ำซ้อนไปเลย”
พีระคิดหาทางลอบเข้าไป แมนสรวงกระซิบ
“พวกมันเยอะขนาดนี้ เราไม่มีทางแอบเข้าไปโดยที่พวกมันไม่เห็นแน่ ต้องหาทางล่อความสนใจพวกมันก่อน”
“ฉันมีวิธี”
แมนสรวงมองหน้า
“อะไร”
“นั่นไง”
พีระชี้ไปอีกด้าน แมนสรวงหันไปมอง แต่ไม่เห็นอะไร แล้วพีระก็ผลักแมนสรวงอย่างเต็มแรง จนกระเด็นคว่ำออกไป
“นายนั่นแหละตัวล่อพวกมัน”
“หา”
แมนสรวงตกใจ มองไปทางพวกผี เห็นผีส่องกล้องที่อยู่บนระเบียงจ้องมา จับได้ ชี้นิ้วสั่ง พวกผีอื่นๆหันมาเห็นหมด เริ่มกรูกันมา แมนสรวงจำต้องถอยหนี
“ฝากไว้ก่อนนะไอ้ผีเจ้าเล่ห์”
แมนสรวงล่อพวกผีไป พีระแอบเข้าไป
ข้าวต้มนอนแผ่ผึ่งพุงอยู่หน้าพัดลม สภาพอดอยากหิวโหยมาก
“ไม่มีอะไรตกถึงท้องเค้าเจ็ดชั่วโมง ห้าสิบนาที สิบวินาที...ไม่มีอะไรตกถึงท้องเค้าเจ็ดชั่วโมง ห้าสิบนาที สิบห้าวินาที...”
งอแงเดินออกมาจากอีกด้าน ลากกล่องข้าวของออกมา
“เราจะไม่ทนอยู่อย่างนี้”
“ใช่ เราต้องออกไปซื้อขนมกิน”
“ไม่ใช่ แต่เราจะรอความช่วยเหลืออย่างเดียวอาจไม่ทันการณ์ พวกมันอาจบุกเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้...เราต้องหนี”
“หา...แล้วจะหนียังไง”
“เชื่อหัวงอแงเถอะ”
งอแงดูมั่นใจมาก
พีระแอบเข้ามาภายในบริเวณบ้าน
“น้ำมนต์บอกข้าวต้มอยู่ห้องนอนใหญ่ชั้นบน”
พีระกำลังจะขึ้นบันไดไป แต่อยู่ๆมีเสียงกริ่งดังขึ้น พีระชะงัก แปลกใจ ใครกด
“เสียงกริ่ง...ใครกด หวังว่าคงไม่ใช่...”
ประตูรั้วบ้านเปิดออก ละไมออกมาต้อนรับ พบว่าเป็นน้ำมนต์ยืนอยู่ ละไมอึ้ง
“คุณน้ำมนต์”
“ฉันมาพบคุณเมสินี”
น้ำมนต์แน่วแน่
เมสินีมาที่หน้าห้องนอนทุบประตู
“นี่ ยัยเด็กแสบทั้งสองคน ถ้าไม่ยอมออกมาดีๆ ฉันจะให้หมอผีเสกผีมาหักคอพวกเธอ...จะออกมาไม่ออก”
เมสินีหงุดหงิด ละไมวิ่งเข้ามาตาม
“คุณเมขาๆ น้ำมนต์มาแล้วค่ะ”
เมสินีอึ้ง รีบเดินไป
งอแงก้มเอาหน้าแนบกับพื้น มองผ่านช่องใต้ประตู ก่อนจะหันมารายงานให้ข้าวต้ม
“ยัยแม่มดใจร้ายไปแล้ว ได้เวลาของเราแล้ว”
ข้าวต้มยืนเท่ เอาผ้ามาผูกหน้าผาก
“เค้าพร้อมลุย”
พีระเดินมาอีกด้าน แต่แล้วต้องผงะ เพราะมีวิญญาณผีตัวนึงยืนอยู่ มันหันขวับมาพอดี พีระรีบผวาหาที่หลบ กำลังจะขึ้นบันไดไป แต่มีผีอีกตัวเฝ้าอยู่ พีระถอยหลบแล้วแอบมองไปอีกที มันกำลังเดินเข้ามา พีระตัดสินใจ ถอยหลัง ทะลุผนังไป ผีตัวนั้นตามมามอง แต่ไม่เจออะไรแล้ว
พีะทะลุกำแพงมา ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่รอดมาได้หวุดหวิด
“ผีเต็มไปหมด ต้องหาทางขึ้นไปชั้นบนให้ได้”
พีระหันกลับมา แล้วต้องผงะ เพราะอาจารย์เทพนั่งส้วมอยู่
“เฮ้ย”
อาจารย์เทพทั้งแค้นทั้งอาย
“จะโผล่มาให้เจอก็ไม่เลือกเวล่ำเวลาเลยใช่มั้ยไอ้ผีพีระ”
พีระยิ้มแหะๆ
“ปลดทุกข์ตามสะดวกนะจารย์”
พีระรีบทะลุประตูห้องออกไป
พีระทะลุประตูออกมาแล้วรีบไป อาจารย์เทพรีบนุ่งกางเกงวิ่งตามออกมา ยังนุ่งไม่เสร็จดีตะโกนไล่หลัง แค้นๆ
“ไอ้พีระ...ฉันจะเอาวิญญาณแกยัดโถส้วม”
น้ำมนต์นั่งอยู่ต่อหน้าเมสินี หลังตรง นั่งเชิด ไว้ตัว
“ไหนล่ะของที่ฉันต้องการ”
น้ำมนต์หยิบมือถือมาเปิดเสียง เป็นเสียงเมสินีคุยโทรศัพท์กับน้ำมนต์ดังมา
“เธอไม่ได้ทำก๊อปปี้ไว้แน่นะ”
“ฉันเป็นนักศึกษา มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ฉันละอายถ้าจะต้องสตรอเบอร์รี่ โกหก สร้างภาพ หลอกลวงผู้คนไปวันๆเหมือน...ใครบางคน”
เมสินีฉุนกึก
“ไม่ต้องปากดี...เอามา”
น้ำมนต์ชักมือถือออก
“น้องชายฉันกับงอแงอยู่ไหน”
“วางมือถือลง และบอกฉันมาว่าร่างนายพีทอยู่ที่ไหน...เธอจะได้ตัวน้องชายเธอคืน เมื่อคนของฉันเจอร่างของนายพีทจริงๆ
“คุณต้องปล่อยน้องฉันก่อน ฉันถึงจะบอกคุณ”
“เธอไม่มีสิทธิ์ต่อรอง”
“งั้นฉันกลับ” น้ำมนต์ลุก
แต่น้ำมนต์ต้องชะงัก เพราะคนของเมสินียืนล้อมไว้
“คิดว่าเธอจะได้กลับออกไปงั้นเหรอ”
แมนสรวงวิ่งหนีพวกผีมา ถูกดักหน้า ดักหลัง จนกระทั่งถูกพวกผีต้อนให้ถอยจนกระทั่งจนมุม
“มาๆ มากันให้หมด ฉันจะได้จัดการทีเดียว...ขอได้รับความสนุกสนานสำราญใจจากแมนสรวงสรวงทัวร์นรก ณ บัดนาว”
แมนสรวงทำท่าส่งวิญญาณ ทันใด พวกวิญญาณผีทยอยหายไปทีละตัวๆจนหมด แมนสรวงปัดฝุ่นที่มือ
“พวกผีไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
แต่อยู่ๆเกี๊ยงเดินเข้ามา แมนสรวงอึ้ง
“เกี๊ยง...”
น้ำมนต์หันกลับมาจ้องหน้าเมสินี
“การที่ฉันไว้ใจคุณ มันเป็นเรื่องที่สะท้อนว่าฉันเป็นคนโง่มากจริงๆ”
“และถ้าเธอไม่อยากโง่ซ้ำซ้อน ก็บอกที่ซ่อนร่างพีระมา”
“คุณจะได้ตามไปฆ่าเขา เพราะคุณกลัวว่าพีระจะมาแฉความผิดคุณ และเอาทรัพย์สินทุกอย่าง รวมถึงสถานีพราวด์ดิจิตัลที่คุณปล้นจากพ่อเขาคืนไปใช่มั้ย”
“มันไม่ใช่ธุระของเธอ...น้ำมนต์ ไอ้พีทมันฆ่าแม่เธอนะ มันขับรถชนแม่เธอ เธอยังจะไปช่วยมันเพื่ออะไร ไม่อยากเห็นคนทำผิดได้รับกรรมเหรอ มันสมควรจะตายเพื่อชดใช้ความผิดให้แม่เธอ”
“ไม่ ความตายไม่ใช่การชดใช้ คนที่มีสำนึกแล้วใช้โอกาสใหม่ที่ได้รับทำสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ นั่นต่างหากคือการชดใช้ความผิด...ความตายเหมาะสมกับคนชั่วที่ไร้สำนึกอย่างคุณเท่านั้น”
“น้ำมนต์”
เมสินีกระชากแขนน้ำมนต์มา ชักจะเหลืออดเงื้อมือมาอวด
“ฉันดูคลิปนักเรียนตบกันมาเยอะ จะโฟร์แฮนด์ แบ็กแฮนด์ คร่อมแล้วตบ จิกหัวกระแทกพื้น ฉันทำได้ทุกท่า อยากจะลองใช่มั้ย”
“คลิปดีๆมีให้ดูไม่ดู เรื่องดีๆมันซึมไม่เข้าสมองคุณเลยใช่มั้ย”
เมสินีดุ อาฆาต น้ำมนต์จ้องตอบ ไม่กลัวเกรง
แมนสรวงพิจารณาเกี๊ยง
“ไอ้ลูกศิษย์หมอผี...นี่นาย ตายไปแล้ว”
“ใช่ และฉันก็จำทุกอย่างได้ ว่าแกกับไอ้พีระคือศัตรูหมายเลขหนึ่งของจารย์เทพ...และแกต้องถูกกำจัด”
“คิดจะกำจัดยมทูตงั้นเหรอไอ้ลูกหมา เดี๋ยวฉันจะส่งวิญญาณแกไปพิพากษาเอง”
แมนสรวงยื่นมือออกมาจะทำท่าส่งวิญญาณ แต่เกี๊ยงยกมือพรึ่บเกิดพลังกระชากแขนแมนสรวง จนเสียหลักเป๋ไป แมนสรวงตะลึง ไม่อยากเชื่อ
“เฮ้ย...นี่แกมีอาคม”
เกี๊ยงสะบัด เหวี่ยง แมนสรวงกลิ้งไปกระแทกผนัง...อั้ก
เมสินีเหวี่ยงน้ำมนต์ลงไปที่โซฟา
“เธอจะไม่มีวันได้ออกไปจากที่นี่ จนกว่าฉันจะได้สิ่งที่ต้องการ ทุกอย่าง” เมสินีตามไปกระชากน้ำมนต์ “ลุกแล้วพาฉันไปหาร่างนายพีทเดี๋ยวนี้”
“ฉันไม่ไป”
“ละไม...ไปบอกอาจารย์เทพให้ทำคุณไสยใส่เด็กสองคนนั้น ให้มันตายอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ตำรวจจะสืบไม่พบหลักฐาน ไม่คิดว่าเป็นการฆาตกรรม และสรุปว่าตายเพราะโรคประหลาด”
ละไมยิ้มเย้ย
“ฆ่าเด็กด้วยคุณไสย ตำรวจก็ไม่มีหลักฐานฆาตกรรม เอาผิดใครไม่ได้”
น้ำมนต์โกรธ
“คุณมันเลวที่สุด”
“พาฉันไปหาร่างนายพีท นี่คือโอกาสสุดท้ายของเธอ”
สมุนเมสินีกำลังยืนเล่นมือถือเฝ้าอยู่หน้าห้องคนเดียว ประตูห้องนอนเปิดแง้มออก งอแงเดินร้องไห้ออกมา แต่ซ่อนมือไว้ด้านหลัง
“พี่ปล่อยหนูไปเถอะ อย่าทำอะไรหนูเลย”
“ออกมาได้แล้วเหรอ ถ้าว่าง่ายๆก็จะไม่เจ็บตัวนะ”
“ค่ะ”
สมุนเผลอยื่นหน้ามาใกล้ ทันใด งอแงหยิบเอาที่หนีบผมของผู้หญิงที่ซ่อนไว้ด้านหลังมางับหน้าสมุนทันที
“จ๊าก”
ข้าวต้มลากสายไฟออกมาจากห้อง พร้อมกับถือไดร์เป่าผมเหมือนเป็นปืน วิ่งเข้ามาจ่อหน้าสมุนอีก
“ปืนพลังความร้อน ย้าก”
สมุนสะดุ้ง
“ร้อน”
น้ำมนต์กับเมสินีได้ยินเสียง
“ข้าวต้ม”
น้ำมนต์ผลักเมสินี แล้วจะวิ่งไปตามเสียง แต่เมสินีกระชากแขนเหวี่ยงกลับไป
“เธอไม่ได้โง่ แต่เธอจงใจจะดึงความสนใจฉันมาอยู่ที่เธอใช่มั้ย” เมสินีหันไปสั่งสมุน “ไปดูสิ ถ้าไอ้เด็กเปรตออกจากห้องมาแล้ว จับมันมาให้ฉัน”
ละไมตั้งท่าพร้อมตบน้ำมนต์
“ลุกมีตบแน่”
น้ำมนต์กังวลห่วงข้าวต้ม
พีระกำลังขึ้นบันไดมา
“เสียงข้าวต้ม...”
พีระจะวิ่งตามเสียงไป แต่อยู่ๆก็ถูกกระชากด้วยพลังที่มองไม่เห็น จนกระเด็นถอยหลังมากระแทกผนังร่วงไปกองกับพื้น เขาเงยหน้ามามอง พบว่าเป็นฝีมือของอาจารย์เทพที่ยืนอยู่
“ฉันจะส่งวิญญาณแกไปนรกเอง”
ข้าวต้มกับงอแงเล่นงานสมุนอยู่ แต่ทันใด มีสมุนอีกคนวิ่งเข้ามา
“เฮ้ย ทำอะไร”
งอแงล้วงฟ๊อกกี้ขึ้นมา
“ปืนผงซักฟอก”
งอแงฉีดน้ำผงซักฟอกไปที่พื้น สมุนคนนนั้นวิ่งมาถึงก็ลื่นล้มไปทันที แล้วฉีดซ้ำเข้าหน้าอีก จนสมุนแสบตาไปหมด
“หมูอ้วน ไปเร็ว”
งอแงกับข้าวต้มวิ่งหนีไป
ร่างพีระติดไฟพรึ่บ
“เฮ้ย”
อาจารย์เทพกำลังสวดคาถาเล่นงานพีระอยู่
“ฮ่าๆ ดิ้นเข้าไป ไฟอาคมไม่มีวันดับได้ จนกว่าฉันจะทำให้มันดับ วิญญาณแกจะต้องหมกไหม้ไม่เหลือชิ้นดี ฮ่าๆ”
“โอ๊ย”
พีระพยายามดิ้นๆ
น้ำมนต์ได้ยินเสียงพีระ ยิ่งตกใจ
“เสียงพีระ”
ละไมเงื้อมือ
“ถ้าลุกมีตบ”
พลั่วะ น้ำมนต์ตบละไมคว่ำ แล้วผลักเมสินีวิ่งออกไปทันที
พีระกำลังดิ้นทรมาน ด้านหนึ่ง งอแงกับข้าวต้มวิ่งผ่านมา แต่แล้วข้าวต้มชะงัก เพราะเห็นพีระกำลังทรมาน
“พี่พีระ”
ข้าวต้มวิ่งมาพุ่งเข้าใส่อาจารย์เทพเต็มแรง อาจารย์เทพไม่ทันตั้งตัว เลยเสียหลักเซถลาล้มลงไป โดยที่ข้าวต้มนั่งคร่อมทับร่างเอาไว้
“ไอ้หมอผีหน้าโหด กล้าทำร้ายพี่พีระได้ยังไง ต้องเจอสั่งสอน”
ข้าวต้มกระโดดนั่งทับๆ ให้น้ำหนักตัวกระแทกท้อง
“ช้างกระทืบโรง นี่แน่ะๆ”
อาจารย์เทพจุก
“โอ๊ย”
“งอแงมาช่วยแล้ว”
งอแงวิ่งเข้ามาพร้อมขวดพริก
“ต้องเจอพริกป่น”
งอแงโรยพริกใส่ อาจารย์เทพร้องลั่น แสบร้อนตา ไฟที่ตัวพีระค่อยดับไป แต่พีระก็ยังบาดเจ็บซม น้ำมนต์วิ่งเข้ามา
“พีระ...นายเจ็บมากมั้ยพีระ ฉันมาช่วยแล้วนะ”
“ไม่เป็นไร...รีบไปเถอะ”
น้ำมนต์รีบประคอง
“ข้าวต้ม งอแง หนีก่อน”
ข้าวต้ม งอแงผลักอาจารย์เทพที่ตาปิดเพราะพริกจนคว่ำไปอีกทาง แล้วรีบวิ่งมาช่วยน้ำมนต์ประคองพีระ อาจารย์เทพซมซานออกไป
“น้ำ...น้ำๆ”
ทันใด เมสินีเข้ามายืนขวางพวกน้ำมนต์ มีสมุนตามมาด้วย
“พวกแกจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้”
“คุณไม่มีสิทธิ์ห้ามพวกเรา”
เมสินีหยิบปืนออกมา
“ทีนี้มีสิทธิ์ยัง”
พีระเข้าไปจับมือเมสินี หันปืนไปทางสมุนเมสินี พวกสมุนตกใจ ยกมือหมด
“เอาสิ ยิงเลย ยิงพวกมันเลย” พีระรีบบอกน้ำมนต์ “พาเด็กๆออกไป”
น้ำมนต์จะพาข้าวต้มกับงอแงออกไป แต่สมุนเมสินีขยับเข้ามาขวาง งอแงยกปืนฟ๊อกกี้มาขู่ ยิงน้ำแฟ๊บใส่พวกสมุนอีก จนต้องปิดตาครวญครางกันระงม น้ำมนต์พาเด็กๆออกไปจนได้ พวกสมุนรีบไล่ตามไป
“เฮ้ย เดี๋ยว อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว” เมสินีโวยวาย
คนอื่นๆออกไปหมด เหลือพีระกับเมสินี พีระปลดปืนจากเมสินีจนมันกระเด็นหล่นไป แล้วผลักเมสินีออก เมสินีกลัวๆ พีระจ้องเมสินีแววตาดุดัน
แมนสรวงกระเด็นมาอีกด้าน..
“ตอนมีชีวิตแกไม่เห็นเก่งอย่างนี้”
“ฉันรู้สึกเหมือนความตายมาช่วยปลดล็อกข้อจำกัดทางอาคมให้กับฉัน ฉันเรียนรู้ง่ายจดจำไวไม่ต้องพึ่งซุปไก่สกัด เดี๋ยวฉันจะโชว์อาคมในโกดังสมองฉันให้แกดู”
“อย่าๆ...อย่าทำฉันเลย ฉันกลัวแล้ว”
เกี๊ยงท่องคาถาพึมพำ ยื่นมือออกไป แมนสรวงเจ็บปวด ร้องลั่น
“อ๊าก”
แมนสรวงก็หายไป เกี๊ยงสะใจ ชื่นชมตัวเอง
“อาคมของฉันเหนือยิ่งกว่ายมทูต ฮ่าๆ”
อยู่ๆมีมือมาสะกิดหลัง เกี๊ยงหันกลับไป พบว่าคือแมนสรวงนั่นเอง เงื้อหมัด แล้วชกหน้าเกี๊ยงจังๆ...เปรี้ยง เกี๊ยงกระเด็นกลิ้ง
“คิดว่าอาคมแกจะทำอะไรยมทูตได้เหรอ...มนุษย์แอ๊บเป็นคนดีได้ ฉันก็แอ๊บเป็นยมทูตกระจอกได้เหมือนกัน แล้วรู้เปล่าว่าข้อดีของการเป็นคนกระจอกคืออะไร คือคนจะไม่รู้ไงว่าจริงๆแล้วเราเก่งมาก...มันก็จะประมาท และมันก็จะติดกับ”
“แกจะบอกว่าฉันประมาทและติดกับ”
“เต็มๆเลยล่ะไอ้หนู เตรียมไปนรกได้เลย”
“ไม่นะ ไม่”
เกี๊ยงวิ่งหนี แล้วหายตัวไป
เกี๊ยงโผล่มาอีกที่ด้าน แต่อยู่ๆแมนสรวงโผล่มาขวาง จับตัวเอาไว้
“ไปที่ชอบๆซะ”
ทันใด น้ำมนต์ ข้าวต้ม งอแงวิ่งหนีออกมาจากตัวบ้าน พวกสมุนตามมาจับตัวเอาไว้ พวกน้ำมนต์ดิ้นและส่งเสียงโวยวาย แมนสรวงได้ยินพอดี แมนสรวงชะงัก
“น้ำมนต์”
เกี๊ยงผลักออก แล้ววิ่งหนีหายไปทันที แมนสรวงเซ็ง แต่ต้องรีบไปช่วยน้ำมนต์ แมนสรวงมากระชากสมุนออก จับพวกมันเอาหัวกระแทกกันจนสลบไป
“ไป หนีไป”
“คุณยมทูตใช่มั้ยคะ...พีระยังไม่ออกมาเลย”
งอแงรีบบอก
“หนีก่อนเถอะค่ะ ไป”
งอแงกับข้าวต้มคว้ามือน้ำมนต์ชวนให้หนีไปก่อน น้ำมนต์วิ่งไปแต่ก็ยังห่วงพีระอยู่
เมสินีจะวิ่งฝ่าออกไป แต่พีระคว้าแขนแล้วเหวี่ยงกลับเข้าไป ล้มนั่งไป
“นายพีท...แกจะทำอะไรฉัน ไอ้ผีดื้อด้าน แกมันคือมารขัดขวางความสุขของฉัน ถ้าแกอยู่เมืองนอกถาวรแกก็ไม่ต้องตาย ใครใช้ให้แกสะเออะกลับมา สถานีพราวด์ต้องเป็นของฉัน ฉันคือคนที่สร้างมันขึ้นมา ถ้าพ่อแกไม่มีฉัน พราวด์ดิจิตัลก็มาไม่ถึงจุดนี้ แล้วรู้มั้ยว่าเขาตอบแทนฉันยังไง เขาตอบแทนด้วยการจะยกสถานีนี้ให้แกบริหาร แล้วให้ฉันเป็นผู้ช่วยแก เหมือนที่ฉันเป็นผู้ช่วยเขา”
“แกก็เลยฆ่าพ่อ”
“ฉันเลยต้องทำเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ฉันควรได้”
“แกฆ่าพ่อฉัน”
พีระโกรธ ข้าวของในห้องกระเด็นกระจายเพราะแรงความโกรธของเขา เมสินีสยองๆ
“พราวด์ดิจิตัลเป็นของฉัน แกไม่มีสิทธิมาชุบมือเปิบ เข้าใจมั้ย”
พีระพุ่งเข้าไปบีบแขนเมสินีแน่นขึ้นด้วยความโกรธ เมสินีรู้สึกเจ็บ และรู้สึกถึงอันตรายจากพีระ
“แกฆ่าพ่อ แล้วก็ฆ่าฉัน แกมันเลว...เลวมาก”
“โอ๊ย”
“แก...แกต้องชดใช้”
พีระโกรธแค้นมากจนขาดสติ หยิบปืนที่หล่นอยู่ขึ้นมา เล็งใส่ เมสินีหน้าตื่น
“นายพีท...แกจะฆ่าฉันเหรอ อย่านะ...อย่า”
เมสินีช็อก ผงะ วิ่งหนีออกไป
เมสินีวิ่งหนีขึ้นมาบนดาดฟ้า พีระถือปืนตามมา จนกระทั่งเมสินีจนตรอก ไม่มีทางไป หันกลับมา พบว่าพีระถือปืนตามเข้ามาแล้ว เธอเห็นแต่ปืนลอยอยู่
“อย่า...อย่าฆ่าฉัน”
“กลัวด้วยเหรอ เวลาที่แกทำกับคนอื่น แกเคยเห็นความกลัวตายของคนอื่นมั้ย แกเคยปรานีให้พวกเขาบ้างมั้ย...ทำไมต้องฆ่าพ่อ ทำไมต้องทำลายครอบครัวของฉัน”
“แกจะเอาอะไร ฉันยอมแล้ว แต่อย่าฆ่าฉันเลย”
ทันใด น้ำมนต์วิ่งตามเข้ามา ร้องห้ามพีระทันที
“พีระอย่า”
พีระชะงัก แต่ยังคงเล็งปืนที่เมสินีอยู่
“อย่าฆ่าคน...นายต้องไม่ฆ่าคน...ความตายไม่ใช่การชดใช้ มันแค่ความสะใจของพวกบ้าคลั่งความรุนแรง แต่นายไม่ใช่ นายไม่ได้มีจิตใจเหี้ยมโหดเหมือนคนพวกนั้น โลกนี้มีคนบ้าสงครามกระหายเลือดมากพอแล้ว นายอย่าเป็นอย่างพวกเขาเลย ฉันขอร้อง”
พีระโกรธจนสั่น
“ผมเป็นคนอย่างนี้ ผมเป็นพวกบ้าความรุนแรงแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
น้ำมนต์พูดไป เดินเข้าหาไป
“ไม่ใช่...นั่นคืออดีต แต่ตอนนี้นายเปลี่ยนไปแล้ว นายเป็นคนอ่อนโยน นายเป็นผีน่ารัก นายฆ่าคนไม่ได้”
น้ำมนต์มาถึงตัว พยายามเรียกสติพีระ
“พีระ...มองหน้าฉัน..ยิ้มสิ จะอึดอัดหรือเครียดอะไรให้ยิ้มเข้าไว้ แล้วทุกอย่างจะเบาขึ้น โลกจะน่าอยู่ขึ้น”
น้ำมนต์จับมือพีระที่ถือปืนอยู่ แล้วยิ้มให้เขา
“ยิ้มให้ฉันนะ”
น้ำมนต์ปลดปืน พีระยิ้มให้ผสมกับร้องไห้ น้ำมนต์ดึงมากอด เมสินีวิ่งหนีไปทันที น้ำมนต์กอดปลอบพีระเอาไว้
บ้านน้ำมนต์...อัฐชัยมีสภาพดีขึ้น รองคล้ำดำที่ตอนนี้แผ่มาถึงคอและใบหน้าค่อยๆลดน้อยลงเรื่อยๆพิมพ์ดาวที่ยังสวดมนต์ให้ สังเกตเห็น
“อัฐ..รอยช้ำน้อยลงแล้ว” พิมพ์ดาว เปิดอกเสื้อดูรอยดวงตาผี ก็เห็นว่ามันหายไปแล้ว “ดวงตาก็ไม่มีแล้ว นี่อัฐอาการดีขึ้นแล้วใช่มั้ย อัฐ”
พิมพ์ดาวถึงกับดีใจน้ำตาไหล ทันใด งอแงกับข้าวต้มวิ่งเข้ามา
“พี่ดาว”
งอแงวิ่งมากอดพิมพ์ดาว
“เราไม่เป็นอะไรนะ เมสินีไม่ได้ทำอะไรใช่มั้ย”
“ไม่เลยค่ะ งอแงมีปัญญาเป็นอาวุธ”
พิมพ์ดาวหัวเราะให้กับความสดใสของน้องสาว
“เอ้อ ข้าวต้ม แล้วพี่สาวเราล่ะ ไม่กลับมาด้วยกันเหรอ”
พีระเดินจ้ำหนี น้ำมนต์เดินจ้ำกึ่งวิ่งไล่ตาม
“พีระ หยุดก่อน”
“อย่ามายุ่งกับผม”
“พีระ” น้ำมนต์ตามมาดึงแขน
พีระสะบัดออก พร้อมตวาด
“อยากถูกผมฆ่าหรือไง ไม่เห็นเหรอว่าผมเกือบจะฆ่าเมสินีอยู่แล้ว ผมไม่ใช่คนที่คุณควรจะเข้าใกล้ ผมทำอะไรรุนแรงได้มากกว่าที่คุณคิด”
“นั่นไม่ใช่นาย นายเป็นคนอ่อนโยนกว่านั้น”
“นั่นแหละตัวผม ไอ้โหดๆคนนั้นคือผมร้อยเปอร์เซ็นต์”
น้ำมนต์จับตัว เรียกสติ
“ถ้านายโหดจริง นายก็ยิงเมสินีไปแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ นายยังยับยั้งชั่งใจได้ เพราะนั่นไม่ใช่ตัวนาย ก็แค่ขาดสติไปชั่ววูบเท่านั้นเอง”
“คุณไม่เข้าใจ มันไม่ใช่แค่ขาดสติ แต่ผมเป็นคนๆนั้น”
“โอเค นายอาจจะเคยเป็น แต่ถ้านายไม่อยากเป็นก็อย่าเป็นสิ นายเลือกจะเป็นคนแบบที่นายอยากเป็นได้ นายต้องมองให้เห็นตัวเองในอนาคต มองให้เห็นคนที่เราอยากจะเป็น แล้วก็ทำทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น มันอาจจะยากและต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่เราก็ต้องทำ”
พีระส่ายหน้าเพราะน้ำมนต์ไม่เข้าใจว่าเขาต้องลืมทุกอย่าง
“ผมไม่มีสิทธิ์เลือก ผมจะต้องกลับไปเป็นคนเดิม ไม่ว่าจะอยากเป็นหรือไม่ก็ตาม”
น้ำมนต์ดึงพีระมากอด ปลอบให้หายช็อก หายตกใจ
“นายทำได้ ฉันจะช่วยนายเอง พีระ นายทำได้”
น้ำมนต์กับพีระนอนคุยอยู่ท้ายกระบะคันหนึ่งที่จอดอยู่ เปิดขอบท้ายกระบะแล้วห้อยขาลงพ้นขอบ
“นี่ สบายใจขึ้นบ้างยัง”
“ก็...ดีแล้ว”
“แน่ใจนะว่าดี”
พีระฉีกยิ้มออกมา
“ดีแล้ว”
น้ำมนต์หัวเราะ พีระมองความสดใสของน้ำมนต์ รู้สึกทั้งรักทั้งขอบคุณ
“พีระ ตอบฉันตามตรงได้มั้ย นายตั้งใจจะกลับเข้าร่างจริงๆหรือเปล่า”
“ทำไมถึงถาม”
“เพราะนายดูเหมือนจะทรมานมากที่ต้องฟื้นขึ้นมา นายไม่ได้โกหกฉันใช่มั้ยพีระ”
พีระนิ่งไป น้ำมนต์สรุปได้เลย
“นายโกหกฉันจริงๆ คนเราถ้าไม่ได้โกหกก็ต้องรีบปฏิเสธ แต่นี่นายนิ่ง ก็แปลว่ายอมรับ ทำไมล่ะพีระ บอกฉันได้มั้ย”
พีระลุกขึ้นมานั่ง น้ำมนต์รีบตาม
“นายรักฉันจริงๆหรือเปล่า”
“น้ำมนต์...”
“พูดความจริงกับฉันเถอะ”
พีระลังเล อยากบอกความจริงทุกเรื่อง แต่พูดออกมาตรงๆไม่ได้
“น้ำมนต์ ทำไมคุณให้อภัยผม ทั้งๆที่ผมทำเรื่องที่ไม่น่าจะให้อภัยได้เลย”
น้ำมนต์หันหน้า มองไปบนฟ้า
“แม่เคยบอก ไม่ว่าจะทุกข์แค่ไหน เราต้องอยู่อย่างมีความสุข...สุขเหมือนช่วงเวลาที่เรามองดาวบนฟ้า”
พีระมองดาวบนฟ้าตามน้ำมนต์
“ยิ่งฟ้ามืด ดาวก็ยิ่งสว่าง สดใส สวยงาม มีความหวัง ฉันรู้ว่าแม่อยากเห็นฉันมีความสุขมากกว่า ฉันก็เลยเลือกที่จะมีความสุข”
“แล้วถ้าเราเลือกไม่ได้ล่ะ ถ้าเราถูกบังคับให้ต้องเป็นในสิ่งที่ไม่อยากเป็น”
“หมายความว่ายังไง”
“มันมีเหตุผลที่เวลาเราตายไปแล้ว จะจดจำเรื่องราวตอนมีชีวิตอยู่ไม่ได้ เพราะความทรงจำจะสร้างปัญหา”
“แล้วยังไง”
“ผมไม่อยากเป็นคนที่ทำร้ายคุณ”
“ทำไมนายต้องทำร้ายฉัน แปลว่าอะไร มันเกี่ยวอะไรกับความทรงจำ”
น้ำมนต์ข้องใจ จ้องหน้าพีระ แต่พีระพูดออกมาไม่ได้ ได้แต่ส่งความรู้สึกผ่านสายตา อัดอั้น
อยู่ๆน้ำมนต์ก็คิดขึ้นมาได้ ไม่อยากเชื่อ
“ความทรงจำจะสร้างปัญหา”
“อย่าบังคับให้ผมกลับเข้าร่างเลยนะ”
พีระเดินหนีไป น้ำมนต์นั่งช็อกนิ่ง เข้าใจแล้วว่าพีระจะลืมทุกอย่างเมื่อกลับเข้าร่าง
คุณผีที่รัก ตอนที่ 14 (ต่อ)
น้ำมนต์วิ่งตามพีระที่เดินห่างออกไป
“พีระ”
พีระหันกลับมา น้ำมนต์เข้ากอด
“นายต้องฟื้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ให้มันเกิด ฉันไม่กลัว และนายก็ห้ามกลัวด้วย เข้าใจมั้ย”
“น้ำมนต์ ผมไม่อยากเป็นความทรงจำที่ทำให้คุณเจ็บปวด”
“ความทรงจำไม่ใช่ปัญหา จะสุขหรือทุกข์ มันก็คือชีวิตเรา เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ พีระ ตอนนายเป็นผีความจำเสื่อม ฉันยังช่วยนายได้ ถ้านายเป็นคนแล้ว ฉันก็จะไม่ทอดทิ้ง ฉันสัญญา”
“แต่...”
น้ำมนต์เอามือปิดปากพีระตัดบท
“นายต้องเลือกมีความสุขเท่านั้น”
น้ำมนต์กับพีระมองตากัน รักใคร่ เข้าใจ พร้อมจะเผชิญอุปสรรคด้วยกัน
“ขอบคุณนะน้ำมนต์ ขอบคุณจริงๆ”
พีระเช็ดน้ำตาให้ อ่อนโยน รักใคร่ น้ำมนต์เองก็เช็ดน้ำตาให้พีระด้วย ต่างคนต่างห่วงใยกันและกันมาก
“ยิ่งฟ้ามืด ดาวก็ยิ่งสว่าง”
“สดใส สวยงาม มีความหวัง”
สองคนกอดกันด้วยความเข้าใจ
วันใหม่ เมสินีขับไล่อาจารย์เทพที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ออกไปจากออฟฟิศฉัน”
“คุณเม ฟังผมก่อน”
“ฉันไม่ฟัง ฉันให้โอกาสแกจัดการนายพีทกี่รอบแล้ว แต่แกไม่เคยทำสำเร็จสักรอบ กะอีแค่จับผีตัวเดียวแกยังทำไม่ได้ ฉันจะไม่เสียเวลากับแกอีก ออกไป”
“คุณเม...”
“หรือจะให้ฉันเรียกยามมาไล่แกไป”
เกี๊ยงโวยใส่
“ถ้าจะให้จารย์เทพไปก็ต้องจ่ายเงินมาก่อน ทั้งหมดสามแสน เงินสด งดเช็ค แบงก์กงเต็กไม่เอา”
“ถ้าไม่มีผม คุณจะจัดการอะไรไอ้ผีพีระได้” อาจารย์เทพมองเย้ยๆ
“ฉันจัดการผีไม่ได้ แต่ฉันจัดการคนได้ แล้วฉันก็มีคนที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อฉันอยู่แล้ว” เสินีเชิด
อาจารย์เทพกับเกี๊ยงเดินออกมาจากสถานีพราวด์
“จารย์น่าจะให้เกี๊ยงหักคอยัยเมสินีไปเลย ปากดีนักว่าจะจัดการเอง ถ้าทำได้แต่แรกจะมาขอให้จารย์ช่วยทำไม แล้วจารย์จะเอายังไงต่อ”
“ฉันจะจับไอ้ผีพีระให้ได้ แล้วจะเอาวิญญาณมันมาโก่งราคาให้อีนังเศรษฐีกระเป๋าฉีกเลย”
“เยี่ยมเลยจารย์ แต่จารย์จะมีปัญญาจับผีพีระเหรอ”
“ได้สิวะ ต้องได้” อาจารย์เทพบอกอย่างมั่นใจ
เมสินีที่นั่งอยู่ในห้องตามลำพัง คุยโทรศัพท์กับยุทธ
“ยุทธ เตรียมตัวไว้ให้พร้อม เร็วๆนี้ฉันจะขอความช่วยเหลือจากเธอ”
เมสินีวางสาย ยิ้มร้ายกาจ
พิมพ์ดาวทำโจ๊กอยู่ที่ครัวอย่างอารมณ์ดี มีความสุข งอแงแซว
“ถึงกับต้องเข้าครัวโชว์ฝีมือเองเลยเหรอคะพี่ดาว”
“พี่อัฐชอบทานโจ๊กเละๆ เคี่ยวนานจนเหลวแต่ไม่เหนียว ร้านค้าแถวนี้มีซะที่ไหน แล้วพวกร้านให้หมูชิ้นสองชิ้นเอง พี่ไม่อยากเจอพี่อัฐเหวี่ยงใส่”
พิมพ์ดาวยกโจ๊กจากหม้อต้มมาเทใส่ชามแบ่ง 3 ถ้วย ถ้วยใหญ่ 1 เล็ก 2
“เย้ๆ เค้าตัวเล็ก เค้าเอาชามใหญ่สุด” ข้าวต้มรีบบอก
“ไม่ได้ ชามใหญ่ของพี่อัฐ เธอสองคนชามเล็ก”
ข้าวต้มเซ็ง
“ใช้บ้านเค้าสวีทกับแฟน แล้วยังงกกับเค้าอีกเหรอ ใจรั้ย ใจรั้ยมากๆ”
อัฐชัยลืมตา ได้สติ มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อไปทั้งตัว ปวดหัว พยายามจะลุกขึ้นนั่ง พิมพ์ดาวที่ยกถ้วยโจ๊กเข้ามาพอดี รีบวาง แล้วเข้าไปช่วยประคอง
“อัฐ ค่อยๆ”
“ดาว ทำไมอัฐมานอนที่บ้านน้ำมนต์ได้”
งอแงโผล่หน้ามาเล่าแทน
“พี่อัฐถูกหมอผีทำของใส่ค่ะ แต่ตอนนี้ปลอดภัยดีแล้ว เพราะพี่ดาวเอาสร้อยพระให้พี่สวม และดูแลพี่ตลอดทั้งวันทั้งคืน”
“แล้วยังทำโจ๊กชามโตให้พี่อีก” ข้าวต้มเสริม
“จริงเหรอดาว” อัฐชัยหันไปถามอย่างแปลกใจ
“ก็ใช่น่ะสิ แกโดนอาจารย์เทพทำของ แต่แกไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
“แกทำโจ๊กให้ฉันเหรอ”
งอแงกับข้าวต้มตอบรับ
“ใช่ค่ะ / ใช่ครับ”
“ไปเถอะงอแง เห็นคนรักกันป้อนโจ๊กชามโตกว่า แล้วเค้าปวดใจ”
ข้าวต้มกับงอแงยิ้มกรุ้มกริ่ม คิกคัก กันออกไปนั่งกินโจ๊กอีกมุม
“แกอย่าคิดมาก ฉันก็ทำให้ในฐานะเพื่อนเท่านั้น เอ้า ฉันต้องไปเก็บกวาดในครัว แกกินเองได้ใช่มั้ย”
พิมพ์ดาววางถ้วยโจ๊กไว้ แล้วลุกออกไป อัฐชัยมองอย่างงุนงงปนขอบคุณ
มหาวิทยาลัย...ลูกโป่งรู้เรื่องจากน้ำมนต์ แล้วรู้สึกไม่สบายใจ
“พีระจะลืมทุกอย่างถ้ากลับเข้าร่าง จริงเหรอน้ำมนต์”
“เขาไม่ได้บอกตรงๆ ฉันคิดและสรุปความเอาเอง พีระคงจะพูดตรงๆไม่ได้เพราะมันอาจจะผิดกฎ”
“อย่างนี้ พีระก็จะเรื่องราวตอนที่เขาเป็นวิญญาณไม่ได้เลย จำฉันไม่ได้ จำแกไม่ได้ด้วยงั้นเหรอ”
“ใช่ และเขาก็จะกลับไปเป็นนายพีท ลูกชายนิสัยเสียของเจ้าของสถานีพราวด์ดิจิตัลตามเดิม และเพราะอย่างนี้ พีระถึงไม่อยากกลับเข้าร่าง เพราะเขากลัวว่าเขาจะลืมฉัน แล้วก็ทำให้ฉันเสียใจ”
“โหย แมนอ่ะ แล้วแกจะเอาไง”
“ฉันไม่ยอมให้เขาตายเด็ดขาด ตอนเป็นวิญญาณ ฉันยังช่วยให้เขาจำได้ ตอนเป็นคนฉันก็ต้องช่วยได้”
“แกมีวิธีแล้วเหรอ”
น้ำมนต์ตาวาว หัวเราะกระหยิ่ม
“หึๆ ยังไม่มี”
ลูกโป่งเซ็ง น้ำมนต์เครียด แต่ไม่ยอมแพ้
แมนสรวงกับพีระนั่งคุยกันอยู่ในสวนของมหาวิทยาลัย
“น้ำมนต์รู้ความลับแล้ว” แมนสรวงตกใจมาก
“ฉันไม่ได้พูดนะ น้ำมนต์เป็นคนฉลาดปะติดปะต่อข้อมูลแล้วสรุปได้เอง”
“นายมันเจ้าเล่ห์ หาทางบอกให้น้ำมนต์รู้จนได้ แล้วถ้าเกิดน้ำมนต์ไปเที่ยวโพนทะนา จนเกิดเรื่องวุ่นวาย”
พีระโพล่งออกมา
“ฉันจะกลับเข้าร่าง”
“หือ” แมนสรวงชะงักทันที
“ฉันเคยกลัวว่าถ้าฉันกลับเข้าร่างแล้ว ฉันจะจำน้ำมนต์ไม่ได้ จะทำให้น้ำมนต์เสียใจและเจ็บปวด แต่พอน้ำมนต์ยืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นยังไง เขาจะช่วยฉัน จะไม่ทอดทิ้งฉัน ฉันเชื่อใจน้ำมนต์ เลยจะกลับเข้าร่าง”
“ถ้านายกลับเข้าร่าง ฉันก็ได้ไปเกิดใหม่เจอกับเจ๊เอมี่น่ะสิ ยะฮู้”
แมนสรวงดีใจโผกอดพีระ ทั้งสองคนหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข
พิมพ์ดาวนั่งอยู่ในครัว มองไปที่หม้อที่ต้มโจ๊ก พบว่าไม่มีเหลือติดหม้อเลย ลืมแบ่งเอาไว้ให้ตัวเองกิน
“เอ้า ลืมแบ่งของตัวเอง ของก็ไม่เหลือทำใหม่แล้ว”
พิมพ์ดาวเซ็ง แต่อยู่ๆอัฐชัยเดินเข้ามา
“มาแบ่งกับฉันสิ”
“ไม่ต้องมามีน้ำใจ กินไปเถอะจะได้หายป่วย”
“แกตักให้ฉันตั้งเยอะ ใครจะไปกินหมด” อัฐชัยวางถ้วยที่โต๊ะ แล้วนั่ง “ไปหยิบช้อนมาสิ เร็วๆ ถ้าแกไม่กิน ฉันไม่กินนะ”
พิมพ์ดาวไปหยิบช้อนมา
“เออๆ กินก็ได้แกจะได้หยุดพูดมาก น่ารำคาญ”
พิมพ์ดาวมานั่งด้วย ตักโจ๊กมากิน
“ขอบใจนะที่ดูแลฉัน”
พิมพ์ดาวเขิน แต่เฉไฉ
“เออ เพื่อนก็ต้องดูแลเพื่อนอยู่แล้ว อย่าพูดมาก กิน..อ่ะ เอาตับไปกิน” พิมพ์ดาวตักให้
“แก...ให้ฉันกินตับ” อัฐชัยหยอกๆ
“แกอย่ามาทะลึ่ง” พิมพ์ดาวชักสีหน้า
อัฐชัยยิ้มๆ ตักกิน
“ทะลึ่งอะไร...อ้ะๆ ตับแกอร่อยดี อ้ะ แกให้ตับฉัน งั้นฉันให้” อัฐชัยควานหา แล้วตักขึ้นมา “อ้าว นี่ไม่ใช่หมูสับเหรอ”
“หมูบ้านแกสิ นี่มันหัวใจ ไม่รู้จักเหรอ”
“เหรอ อ้ะ งั้นฉันให้หัวใจแกแล้วกัน”
พิมพ์ดาวเหวออึ้ง อัฐชัยที่ทีแรกพูดไม่ได้คิดอะไร แต่พอพูดออกไปแล้วก็ฉุกคิดได้ ทั้งสองคนมองหน้ากันไปมา พิมพ์ดาวรีบทำเฉไฉกลบเกลื่อนก่อน ถือช้อนรอ
“จะให้ฉันก็ให้มาซะทีสิ”
อัฐชัยเพิ่งได้สติ จะส่งหัวใจหมูใส่ช้อนพิมพ์ดาว แต่ส่งพลาด หัวใจหมูหล่นลงไปในถ้วยโจ๊ก ทำให้โจ๊กกระเด็นเลอะมือพิมพ์ดาว
“ว้าย”
อัฐชัยตกใจ รีบจับมือพิมพ์ดาวมาเช็ดให้
“ขอโทษๆ ไม่ได้ตั้งใจ ร้อนหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไร แค่อุ่นๆ”
อัฐชัยเช็ดให้ พิมพ์ดาวมองอย่างรู้สึกดี แล้วพอเช็ดเสร็จอัฐชัยก็เงยหน้าขึ้นมามอง สบตากัน แล้วต่างก็เขินกัน รีบผละออก มุมหนึ่ง ข้าวต้มกับงอแงแอบดูอยู่ หัวเราะคิกคักกันที่เห็นสองคนนี้ดีต่อกันเสียที
น้ำมนต์ยื่นสมุดบันทึกให้พีระ
“คุณจะให้ผมเขียนไดอารี่” พีระแปลกใจ
“ใช่ เขียนสิ่งที่นายเห็นและพบเจอ จะเขียนถึงคน สถานที่ หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นของนายก็ได้ เขียนอะไรก็ได้ ฉันจะได้เก็บเอาไว้ดู เวลาที่คิดถึง”
“อ้อ เขียนเอาไว้ พอวันข้างหน้ากลับมาอ่านอีกที จะได้รู้ว่าตอนนั้นเรารู้สึกอะไร กับใคร ยังไง ใช่มั้ย”
“ฉลาดอ่ะ เอ้า นี่ปากกา”
“ผมควรจะเขียนถึงเรื่องอะไรก่อนดีนะ”
พีระเขียนลงไปคำแรกว่า “น้ำมนต์”
“ทำไมต้องชื่อฉัน” น้ำมนต์ข้องใจ
“ก็คนแรกที่อยู่ในความทรงจำผมคือคุณ”
“หยอดตลอดอ่ะ” น้ำมนต์เขิน
“แล้วชอบมั้ยล่ะ”
น้ำมนต์ยิ้ม แต่ต้องเข้มสั่งการไป
“เขียน”
“จ้า...”
พีระเริ่มลงมือเขียน
พีระเขียนบันทึกอย่างมุ่งมั่น เขียนเรื่องราวต่างๆอย่างไม่หยุด เขียนไปหัวเราะไป เศร้าไป โกรธไป เปลี่ยนท่าไปมา โดยมีน้ำมนต์มองอยู่อย่างอยากรู้อยากอ่าน
น้ำมนต์มาชะโงกหน้าแอบอ่าน แต่พีระรีบปกปิด ไม่ให้ดู โบกมือไล่น้ำมนต์ไปนั่งรอไกลๆ น้ำมนต์นั่งแกร่วรอ ในขณะที่พีระยังสนุกกับการเขียน
พีระเขียนเสร็จ ปิดสมุด แล้วยื่นให้น้ำมนต์
“อ่ะ เขียนเสร็จแล้ว ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ...คุณ”
“ขออ่านได้ป่ะ”
“ไม่ได้ ผมแค่ฝากไว้กับคุณ เก็บเอาไว้ให้ผมอ่านเมื่อถึงเวลา”
“ขออ่านนิดเดียวนะ”
น้ำมนต์จะเปิดให้ได้ พีระเข้าแย่ง แต่สุดท้าย น้ำมนต์เปิดได้ แต่ต้องแปลกใจ
“ไม่เห็นมีอะไรเลย”
พีระเข้ามาดู
“อ้าว ตะกี้ผมเขียนเต็มเลยนะ ทำไมตัวอักษรหายไปหมดเลย หรือ เขารู้ว่าเราพยายามจะทำอะไรอยู่”
พีระเซ็ง น้ำมนต์หงุดหงิดๆ ไม่ยอมแพ้
น้ำมนต์เอาโทรโข่งให้พีระถือ ส่วนตัวเองถือกล้องวีดีโอถ่ายภาพ
“พีระ นายดูคลิปนี้ นี่แหละนายตอนที่เป็นวิญญาณ...พูดสิ”
พีระงงๆแปลกๆที่ต้องสื่อสารกับตัวเอง
“พีระ ฉันคือนาย นายคือฉัน นายเคยวิญญาณออกจากร่าง แล้วน้ำมนต์ก็เป็นคนช่วยนายเอาไว้ จนกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ นายห้ามทำร้ายหรือทำให้น้ำมนต์เสียใจ พูดอะไรต่ออ่ะ”
“โอเค แค่นี้พอใช้ได้แล้ว”
น้ำมนต์รีบกดที่กล้อง เพื่อย้อนดู แต่พอเพลย์ภาพอีกที ปรากฏว่าพอแพนไปที่พีระภาพก็เบลอซ่าแตกสุดๆจนมองไม่รู้เรื่อง เสียงก็แตกจนจับไม่ได้ความเลย”
“ทำไมล่ะ ทำไมเป็นงี้”
“พอเถอะน้ำมนต์ มันไม่มีประโยชน์หรอก”
“ไม่ ฉันไม่ยอม เอางี้” น้ำมนต์วางกล้องลง แล้วล้วงหยิบปากกาขึ้นมา
“อ้ะ”
“อะไร”
น้ำมนต์ยื่นแขนให้
“เอาปากกาจิ้มแขนฉัน จิ้มให้เป็นรอยเลยนะ ให้มันเป็นแผลเป็น แบบที่นายจะไม่มีวันลืม”
“น้ำมนต์ คุณจะบ้าเหรอ”
“ไม่บ้า แผลเป็นเดียว แต่ถ้ามันช่วยนายได้ ฉันว่าคุ้ม เอ้า”
“ไม่ ผมไม่ทำร้ายคุณ”
“นายต้องทำ”
พีระดึงน้ำมนต์เข้ามากอด
“ถ้าจะมีร่องรอยอะไรที่ช่วยให้ผมจดจำได้ ก็คือคุณนี่แหละน้ำมนต์ คุณคนเดียว ให้ผมกอดคุณนะ แล้วผมจะประทับกอดนี้เอาไว้ ไม่ใช่แค่ในความทรงจำ” พีระชี้หัวตัวเอง “แต่มันจะอยู่ในนี้ด้วย” พีระจับมือน้ำมนต์มาแตะตำแหน่งหัวใจ “คุณจะไม่มีวันหายไป”
พีระดึงน้ำมนต์เข้ามากอดอย่างสุดซึ้ง ทั้งสองคนซึมซับความรู้สึกดีๆที่มีให้กัน
พีระกับน้ำมนต์นั่งอยู่ด้วยกันที่พื้นริมสระน้ำ น้ำมนต์มองเหม่อ ยังเครียดและเศร้าไม่หาย พีระเห็นน้ำมนต์ไม่หายเครียด เลยเอื้อมมือกุมมือเธอไว้ ประสานนิ้วเข้าไป แล้วฉีกยิ้มแฉ่ง บ่งบอกว่าให้เธอยิ้มเถอะ
น้ำมนต์ฉีกยิ้มตาม
“ไม่ต้องไปกังวลอนาคตนะ สนใจแค่ว่าเวลานี้เราอยู่ด้วยกัน จับมือกัน ยิ้มให้กัน มีความสุขด้วยกัน ก็พอแล้วนะ”
“อื้อ อยู่กับปัจจุบัน อนาคตให้เป็นเรื่องอนาคต”
“ใช่เลย”
สองคนยิ้มให้กัน ทันใด ลูกโป่งวิ่งเข้ามาหา ท่าทางตระหนกๆ
“น้ำมนต์ แกไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้”
“ทำไม”
“มีตำรวจมาหาถามแก”
ตำรวจเดินเข้ามา น้ำมนต์กับพีระอึ้ง
น้ำมนต์ลงนั่งต่อหน้าตำรวจ
“คุณเมสินีหาว่าหนูบุกรุก”
“ภาพจากวงจรปิดยืนยันว่าน้องบุกรุกบ้านคุณเมสินีจริง แล้วไม่ใช่แค่นั้น น้องยังมีตัดต่อคลิปเสียงใส่ร้ายคุณเมสินีอีกด้วย” ตำรวจอธิบาย
“ตัดต่อใส่ร้าย นี่เขาแจ้งความว่าหนูใส่ร้ายเขางั้นเหรอ” น้ำมนต์ตะลึง
“คุณเมสินียังไม่ได้แจ้งความ ท่านรู้ว่าพวกน้องแค้นที่ท่านถอนสปอนเซอร์ละครเวทีและปลดรายการผีๆสางๆที่พวกน้องทำ ก็เลยอยากทำลายชีวิตท่าน นี่ท่านให้มาเตือน เพราะเห็นว่ายังเด็ก คิดอะไรไม่รอบคอบ เลิกจองเวรคุณเมสินีซะ ไม่ต้องไปเปิดอินสตาแกรมแอนตี้เมสินีด้วย ไม่อย่างนั้นท่านจะเอาเรื่องทางกฎหมาย”
“เอาเรื่องหนู เขาจะเอาเรื่องอะไรหนูไม่ทราบคะ”
“รู้ตัวมั้ยว่าเป็นบุญมากนะที่ได้รับเมตตาจากคนระดับนี้ ถามจริง รู้บ้างหรือเปล่าว่าปีๆนึงคุณเมสินีท่านทำบุญเท่าไหร่ พวกน้องไปคิดร้ายกับคนดีๆอย่างท่านได้ยังไง สติดีหรือปล่า”
น้ำมนต์อึ้ง ที่กลายเป็นคนทำผิด แต่คนชั่วอย่างเมสินีได้รับการเชิดชู
เมื่อตำรวจกลับไป น้ำมนต์หงุดหงิด โวยวาย
“คนผิดแจ้งความเอาเรื่องคนถูก แล้วก็ดันมีคนเชื่อ และตามสรรเสริญแบบไม่ลืมหูลืมตาอีก นี่เราอยู่ในโลกที่แยกแยะความดีความชั่วด้วยเงินทำบุญงั้นเหรอ คนเลวที่ทำบุญมาก มีค่าน่านับถือกว่าคนดีที่ทำบุญน้อยงั้นเหรอ”
ลูกโป่งถอนใจ
“ถ้าคนเราแยกแยะความดีที่เสแสร้งกับความดีที่จริงแท้ไม่ออก ก็ต้องใช้ชีวิตอยู่กับความจอมปลอมไปจนตายงั้นเหรอ เฮ้ย น่ากลัวนะ”
พีระมองน้ำมนต์อย่างกังวล
“น้ำมนต์ ผมอยากสั่งห้ามคุณยุ่งเกี่ยวกับเมสินีอีก แต่ผมรู้ว่าห้ามคุณไม่ได้ การห้ามไม่ให้คุณต่อต้านคนผิด ก็ไม่ต่างกับการสนับสนุนให้คุณทำผิดเอง ผมจะช่วยคุณ”
“เราจะช่วยกันนะ และฉันรู้แล้วว่าจะจัดการเมสินียังไง” น้ำมนต์โพลงขึ้นมา
“ยังไง”
“เมสินีทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองสถานีพราวด์ เราก็ต้องทำให้สถานีพราวด์กลับมาหาเจ้าของที่แท้จริง”
“ใช่ คุณผีพีระต้องฟื้น แล้วกลับไปทวงบัลลังก์ของเขาคืนมา” ลูกโป่งเห็นด้วย
น้ำมนต์กับพีระยิ้มให้กัน มุ่งมั่น
เมสินีคุยกับปืน เจ้าหน้าที่สถานีในห้องทำงาน สถานีพราวด์
“เธอแน่ใจนะ” เมสินีถามเสียงเข้ม
“ผมเพิ่งเช็กกับทางคณะแล้วก็พี่ไตปลาที่เป็นผู้กำกับเรื่องนี้ครับ เขายืนยันมาจริงๆว่าในละครเวทีเรื่องนี้ จะมีผีร่วมแสดง วันเสาร์นี้จะเป็นรอบกาล่าแล้ว เขาส่งบัตรเชิญมาให้ด้วยนะครับ นี่ครับ” ปืนวางซองเอกสาร
“ขอบใจ เธอไปทำงานได้”
ปืนออกไป เมสินีมองไปที่ปฏิทิน
“วันเสาร์นี้เหรอ”
เมสินียิ้มร้าย กดโทรศัพท์หายุทธทันที
อัฐชัยนั่งอยู่ในพร้อมจะซ้อมละครอยู่ในโรงละคร
“แกจะมานั่งดูซ้อมเฉยๆเนี่ยนะอัฐ” ลูกโป่งแปลกใจ
“อีกสองวันละครจะแสดงแล้ว ฉันไม่อยากขาดซ้อม จริงๆฉันเดินบล็อกกิ้งได้นะ แต่ยัยดาวไม่อนุญาตให้เดิน”
“ฉันพามาดูซ้อมก็บุญแล้วยังไม่ทันจะหายดี อย่าเพิ่งอวดเก่ง เดี๋ยวเป็นหนักขึ้นมาจะซวยกันทั้งโปรดักชั่น” พิมพ์ดาวโต้
“ครับผม”
อัฐชัยพูดดี จนพิมพ์ดาวเหวอๆ เขินๆ ลูกโป่งสังเกตเห็นพอดี ทำหน้าตาเหวอ อมยิ้ม แซวๆ
“ครับผม...อื้ม...ดี...พูดเพราะดี...ครับผม...หึๆ” พิมพ์ดาวหันมาจ้อง รีบกลบเกลื่อน “เอ้ ยัยน้ำมนต์อยู่ไหนนะ มายังนะ”
น้ำมนต์ยืนรอเอมี่อยู่ทางเดินเข้ามหาวิทยาลัย ครู่หนึ่งเอมี่เดินมา
“พี่เอมี่ มาช่วยลูกโป่งเตรียมการต้อนรับแขกรอบกาล่าละครเวทีใช่มั้ยคะ ก่อนจะไปหอประชุม รบกวนมาทางนี้แป๊บนึงนะคะ”
“จะพาพี่ไปไหน”
น้ำมนต์ลากเอมี่ไป มุมด้านหนึ่ง ยุทธสวมหมวกใส่แว่นดำยืนมองอยู่
-
แมนสรวงตกใจ ตื่นเต้นกับสิ่งที่พีระบอก
“น้ำมนต์จะพาเจ๊เอมี่มาหาฉันจริงๆเหรอ..แล้ว..แล้วฉันจะพูดยังไงกับเจ๊ดี เจ๊จะโกรธฉันมั้ย ฉันควรทักทายว่ายังไง..ฉัน...”
“พอ ไม่ต้องตื่นเต้น อยากพูดอะไรก็พูด ทำอะไรก็ทำ โอกาสอยู่ในมือนายแล้ว”
แมนสรวงกระวนกระวายเดินกลับไปกลับมา แต่แล้วต้องชะงัก เพราะเห็นเอมี่เดินเข้ามากับน้ำมนต์
“พาพี่มานี่ทำไม” เอมี่งง
“เอ่อ มีคนอยากคุยด้วยค่ะ จริงๆก็ไม่ใช่คนหรอกค่ะ”
น้ำมนต์มองไปทางพีระ เขาชี้ว่าแมนสรวงยืนอย่ข้างๆ
“เขาอยู่นี่ค่ะ”
“เขา..นี่หมายถึงนายแมน...” เอมี่รู้ว่าหมายถึงแมนสรวง หันไปต่อว่า “น้ำมนต์...”
น้ำมนต์วอน
“ให้โอกาสเขาได้อธิบายนะคะ คนเราจะมีความสุขได้ อันดับแรกเลยคือต้องไม่ซับซ้อน อย่าเยอะ ยิ่งไม่ใช่เด็กวัยรุ่นด้วย ยิ่งต้องทำตัวง่ายๆสบายๆนะคะ”
“แต่เขาไม่ใช่คน”
“ถ้าเขามีเจตนาไม่ดี เขาทำร้ายพี่ไปนานแล้วค่ะ สื่อสารกับเขาผ่านการแชทนะคะ”
น้ำมนต์หยิบโน๊ตบุ๊คมาเปิด
“แชทกับผีเนี่ยนะ”
ทันใด หน้าจอแชทในคอมดังขึ้นมา เป็นตัวอักษรว่า
“อย่ากลัวผมเลย”
เอมี่อึ้ง งง มองไปข้างๆรอบๆก็ไม่เห็นแมนสรวง ทั้งๆที่แมนสรวงนั่งอยู่ตรงข้ามนั่นเอง
“เขาปรากฏตัวไม่ได้ แต่เขายังพอสื่อสารได้ ตามสบายนะคะ”
น้ำมนต์กับพีระแยกออกไป ทิ้งเอมี่กับแมนสรวงเอาไว้ แมนสรวงนั่งรออยู่ด้านตรงข้าม รอคุยกันผ่านคอม เอมี่นั่งมองหน้าจอ แต่ไม่คิดจะแชทด้วย
ในหอประชุม ไตปลานำทีมนักแสดงวอร์มร่างกายอยู่ โดยอัฐชัยนั่งดูอยู่ บนเวที ฉากและอุปกรณ์ประกอบฉากถูกเซ็ทเอาไว้พร้อมสำหรับการเปิดแสดงจริงแล้ว ทีมงานบางส่วนกำลังเก็บรายละเอียดของฉากไปด้วย นักแสดงก็ซ้อมไปด้วย
“ฟิตๆหน่อยจะเล่นแล้ว” ไตปลาบอกทุกคน
น้ำมนต์เดินเข้ามา
“พี่ไตปลา สวัสดีค่ะ”
“น้ำมนต์ของพี่” ไตปลาจะโผกอด แต่ชะงัก เพราะพีระดันหน้าไว้ “อ่ะ ใครดันพี่”
“พีระค่ะ”
ไตปลาจะผวาออก แต่พีระดึงมากอดไว้
“ผมก็เป็นหนึ่งในนักแสดงนะครับ กอดผมบ้างสิ”
“เฮ้ยๆ ปล่อย ช่วยด้วยๆ”
พีระกอดไตปลาไม่ปล่อย น้ำมนต์ขำๆ
การซ้อมฉากคุณหลวงแผลงฤทธิ์เริ่มขึ้น ไตปลาเล่นเป็นคุณหลวงแทนอัฐชัย
“พวกมึงฆ่ากู” ไตปลาคำรามด้วยความโกรธ
ผู้ช่วยผู้กำกับ สเตจ และอัฐชัยที่ดูการซ้อมอยู่ก็ช่วยกันทำเสียงฟ้าผ่า เอาปี๊บหรือกล่องสังกะสีมาตี เปรี้ยงๆ
“ฟ้าผ่า”
พวกนักแสดงสมทบแตกตื่น ฟ้าคำราม ลมพัดแรง ทุกคนหนีตายอลหม่านวุ่นวาย พิมพ์ดาววิ่งสวนคนอื่นเข้ามา
“คุณหลวงคะ อย่าอาละวาดเลยเจ้าค่ะคุณหลวง”
อัฐชัยที่นั่งดูอยู่มองพิมพ์ดาวเล่นอย่างเพลิน
น้ำมนต์นั่งอยู่บนนั่งร้านบริเวณริมๆเวทีเพื่อปรับแสงตำแหน่งของไฟละคร
“โอเคยังคะ”
หัวหน้าฝ่ายแสงส่งสัญญาณมือบอกให้น้ำมนต์ไปทางขวาอีก
“ขวาอีกๆ โอเค ขอดวงถัดไปเลย”
น้ำมนต์ขยับจะไปปรับดวงต่อไป แต่พีระโผล่มายืนอยู่ด้วย ปรับไฟให้
“ผมช่วยนะ”
“ไม่ไปซ้อมเหรอ”
“ก็มันยังไม่ถึงฉากของผมนี่ เลยมาช่วยจัดไฟ” พีระจับมือน้ำมนต์เอาไว้
“นั่นมือฉัน”
“อ้าว นึกว่าหลอดไฟ”
น้ำมนต์ยิ้มรู้ว่าพีระมารยาหลอกแต๊ะอั๋ง
ไตปลาแสดงบทเป็นคุณหลวงอย่างพระเอกเว่อร์มาก เป็นการซ้อมฉากบอกรัก หลังผ่านเหตุการณ์ที่มีกลุ่มคนจะทำร้ายนางเยื้อน แล้วคุณหลวงมาช่วยเอาไว้ได้
“นังเยื้อนเรื้อนกินกบาล นั่น แขนเอ็งมีแผล” ไตปลาจะเข้าจับ
“อย่าเจ้าค่ะ อย่าแตะต้องตัวบ่าวเลย มันไม่สมควร” พิมพ์ดาวขยับหนี
“โถ หากการแตะต้องคนที่รักและหวังดีกับตัวเราไม่การไม่สมควรแล้ว โลกนี้ยังจะมีอะไรที่สมควรอีก มาเถอะ เราดูแผลให้”
พิมพ์ดาวถูกดึงเข้ามาใกล้ชิด ไตปลาพยายามทำหน้าตาหวานซึ้งพระเอกมากๆ พิมพ์ดาวแหยงๆ
พีระกับน้ำมนต์นั่งดูเหตุการณ์อยู่บนนั่งร้าน
“พีระ มาดูฉากนี้”
“ฉากอะไร”
“ฉากสำคัญมาก ที่จะแสดงให้เห็นความรักของคุณหลวงกับนางทาสที่จะผูกพันกันไปตลอดกาล”
พีระมองหน้าน้ำมนต์ที่กำลังอินกับละครของตัวเอง แล้วอดไม่ได้ที่จะชื่นชม แอบมอง
“ในบทเขียนว่า...นางเยื้อน เขิน มองตาคุณหลวงราวกับต้องมนต์จนไม่อาจถอนสายตาได้ จนในที่สุด คุณหลวงก็โน้มเข้าไปใกล้ ใกล้เรื่อยๆ จนกระทั่ง ทั้งสองคนจูบกัน”
พีระเป็นฝ่ายมองน้ำมนต์ แบบเดียวกับที่น้ำมนต์บรรยาย
“ดูอยู่หรือเปล่า”
น้ำมนต์หันขวับมาถาม ปรากฏว่าใบหน้าของพีระอยู่ใกล้มาก หน้าของน้ำมนต์หันมาจมูกก็ชนกันโดยไม่ตั้งใจ ทั้งสองคนสบตากัน เขิน ไม่อาจถอนสายตาได้ โน้มเข้าหากัน แต่อยู่ๆเสียงพิมพ์ดาวดังขัดจังหวะขึ้นมา
“พอแล้ว”
พิมพ์ดาวผลักออกจากไตปลา เดินหนีทันที พีระกับน้ำมนต์ได้สติ ผละออกจากกัน แล้วยิ้มๆเขินๆ
พิมพ์ดาวเดินมานั่งพัก อัฐชัยหยิบน้ำดื่มส่งให้
“พี่ไตปลาเก่งเนอะ ถ้าฉันเล่นไม่ได้ พี่ไตปลาคงจะเสียบแทนบทคุณหลวงได้เลยเนอะ”
พิมพ์ดาวดุใส่
“ไม่ตลกเลย นายรีบๆแข็งแรงเลยนะ ไม่งั้นมีเรื่องแน่”
อัฐชัยขำๆ
เอมี่นั่งจ้องคอมที่เดิม แมนสรวงรออยู่ตรงข้ามกัน ยกมือแตะไปที่คอม เกิดตัวอักษรที่หน้าจอว่า
“จะไม่คุยกับผมจริงๆเหรอครับ”
เอมี่อ่านข้อความ แล้วสับสน อยากจะคุย แต่ก็ไม่อยาก แมนสรวงแตะที่คอมอีก
“ไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมผมถึงตกหลุมรักเจ๊”
เอมี่ลุกพรวด ปิดฝาคอม
“ไม่ ฉันไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้น”
เอมี่ลุกยืนพรวด แล้วตัดสินใจเดินออกไปทันที แมนสรวงอึ้ง เศร้า
พิมพ์ดาววิ่งหนี กลุ่มนักแสดงชายในบทชาวบ้านเข้ามา แล้วสะดุดล้มกลางเวที พวกชาวบ้านชายถือไม้ รุมเข้ามาจะทำร้าย แต่แล้วอยู่ๆ พีระเข้ามาอุ้มพิมพ์ดาวขึ้นมา
“ผะ..ผี”
พวกชาวบ้านกระเจิงไป พีระอุ้มพิมพ์ดาวขึ้นมา อุ้มแบบเกร็งและตื่นเต้นมาก แล้วก็เดินทื่อๆแข็งๆกึกๆกักๆเป็นหุ่นยนต์ไปตามทาง ไตปลาสั่งคัท
“คัทๆ คุณผีครับ มันไม่ใช่แค่อุ้ม นังทาสเยื้อนคือคนๆเดียวที่ดีที่สุดกับชีวิตคุณหลวง คุณต้องอุ้มด้วยความรู้สึกรัก อยากทะนุถนอม และโกรธแค้นคนที่ทำร้ายนังเยื้อนด้วย รัก โกรธ แค้น อาฆาต ทรมานหัวใจ ทุกความรู้สึกต้องเห็นตอนที่คุณอุ้ม เข้าใจมั้ย”
“แค่อุ้ม ต้องรู้สึกเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ”
พีระมองไปที่น้ำมนต์แบบอ้อน น้ำมนต์ที่นั่งบนนั่งร้านบนเวทีหัวเราะขำๆที่พีระโดนเยอะ ยกมือทำท่าให้กำลังใจ สู้ๆ
พีระลองอุ้มพิมพ์ดาวขึ้นมาใหม่ซ้ำๆ พีระอุ้มแบบต่างๆที่แสดงว่าโลกสลาย อุ้มหลากหลายความรู้สึก แต่ไตปลาก็ร้องคัทๆ พีระอุ้มอีกซ้ำๆ แต่ไตปลาก็ร้องคัทๆตลอด พีระเหนื่อยใจ รู้สึกว่าการแสดงยากจัง
มุมหนึ่งของหอประชุม ตรงประตูทางเข้า ยุทธที่สวมหมวกใส่แว่นดำ ใส่ชุดเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ของหอประชุมยืนมองอยู่ ยิ้มเหี้ยม
แมนสรวงนั่งเซ็ง กำลังจะลุกไป แต่อยู่ๆเอมี่เดินกลับมา
“จะพูดอะไรก็พูดมา”
แมนสรวงอึ้ง ดีใจ ไม่อยากเชื่อ เอมี่มาเปิดฝาคอม
“พูดมาสิ”
แมนสรวงแตะที่คอม
“เรารู้จักกันมาแต่ชาติปางก่อน”
“หา” เอมี่อ่าน แล้วงง
“พลทหารแมนสรวงกับพยาบาลเอมี่ คุณจำได้มั้ยครับ”
“พลทหารแมนสรวงกับพยาบาลเอมี่งั้นเหรอ ฉันเคยมีอดีตชาติร่วมกับนายงั้นเหรอ”
“ใช่ครับ”
แมนสรวงเดินอ้อมมาหลังเอมี่ ยื่นแขนไปแตะคอม ทำให้เอมี่อยู่ในอ้อมแขน ใกล้ชิดกัน
“ไม่แปลกใจเหรอ ทำไมผมถึงรักคุณตั้งแต่แรกเห็น ทำไมผมต้องตามติดคุณ ทำไมผมถึงรู้ว่าคุณชอบดอกคาร์เนชั่น คุณคือคนที่ผมเฝ้ารอจะได้พบอีกครั้ง”
เอมี่อึ้ง สับสน แล้วรับไม่ได้ ปิดฝาคอมอีกที ผละออกทะลุร่างแมนสรวงถอยออกมา
“อย่ามาเหลวไหล งี่เง่า ปัญญาอ่อน ฉันไม่ใช่สาวคอซองวัยใส ฉันไม่เพ้อเจ้อหลงละเมอกับนิยายพาฝันของนายหรอก นายกับฉันไม่ได้มีความลึกซึ้งต่อกันขนาดนั้น เพราะนายมันก็แค่ผีเด็กเกรียน เลว และบ้ากามมาก”
“ผมพูดความจริง”
“หลอกให้กลัวยังไม่น่าเจ็บใจเท่าหลอกให้มีความหวังว่าจะได้ลงจากคาน ไอ้ผีเลว ผีใจร้าย นายรู้มั้ยว่ารุ่นนี้อะไหล่ไม่มีผลิตขายแล้ว พังแล้วพังเลย ซ่อมไม่ได้”
เอมี่เดินหนีไป แมนสรวงถอนใจ
ไตปลางงที่อัฐชัยเสนอตัวซ้อมเอง
“จะซ้อมเอง”
“ใช่ครับ ฉากจบไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรมาก ผมเล่นได้ ผมจะได้ซ้อมพูดบทไปด้วยไงครับ”
“โอเคๆ งั้นไปกลางเวทีเลย เอาให้ตรงตำแหน่ง ให้บาร์ไฟอยู่บนหัวพอดี เพราะจะมีไฟท๊อปให้ โอเค ตรงนั้นแหละ”
อัฐชัยกับพิมพ์ดาวขยับไปให้อยู่ใต้บาร์ไฟ นั่งประจำที่ คือคุณหลวงโอบกอดนางเยื้อที่กำลังจะตายไว้ ยุทธยังแอบมองอยู่ มองที่ตำแหน่งที่อัฐชัยพิมพ์ดาวนั่ง สลับกับมองบาร์ไฟเหนือศีรษะ
น้ำมนต์ที่ยังอยู่บนนั่งร้าน หยุดงานเพื่อรอดูฉากนี้ พีระมานั่งข้างๆด้วย
“ถ้ามีป๊อปคอร์นก็ดีเนอะ”
ไตปลาสั่งเริ่ม
“พร้อมแล้วเริ่ม”
อัฐชัยกอดพิมพ์ดาวกำลังจะสิ้นใจเอาไว้
“นางเยื้อน เอ็งต้องไม่ตายนะ เอ็งต้องไม่เป็นอะไร”
“คุณหลวงเจ้าขา บ่าวบุญน้อย คงรับใช้คุณหลวงได้เพียงเท่านี้ คุณหลวงสัญญากับบ่าวแล้วนะคะว่าคุณหลวงจะกลับเข้าร่าง มีชีวิตต่อไป คุณหลวงต้องรักษาคำพูดนะเจ้าคะ”
“ไม่..เอ็งคือความทรงจำเดียวของข้า ข้าอยากมีชีวิตอีกครั้งก็เพื่อมาอยู่กับเอ็ง ถ้าไม่มีเอ็ง ข้าก็ไม่อยากอยู่”
“รับปากกับเยื้อนสิคะ คุณหลวงจะมีชีวิตต่อไปเพื่อเยื้อน”
“เยื้อน ไม่ ข้าไม่ให้เอ็งตาย”
“บ่าวรักคุณหลวงนะเจ้าคะ”
แล้วพิมพ์ดาวก็มือตก คอพับ สิ้นใจไป อัฐชัยดึงพิมพ์ดาวมากอด เสียใจมาก
“นังเยื้อน”
อัฐชัยกอดพิมพ์ดาวร้องไห้ มองหน้าพิมพ์ดาว ประคองแก้มด้วยมือ ด้วยความอินมากๆ
น้ำมนต์อึ้ง ช็อก งง
“ทำไมตาย ไม่สิ ไม่ใช่อย่างนี้”
น้ำมนต์รีบปีนลงจากนั่งร้านทันที พีระงง รีบปีนตาม น้ำมนต์เดินพุ่งตรงไปหาไตปลา
“พี่ไตปลา พี่เปลี่ยนบทเหรอ หนูไม่ได้เขียนฉากจบอย่างนี้ หนูให้นางเยื้อนไม่ตาย จบแฮปปี้เอนดิ้ง”
“แฮปปี้เอนดิ้งมันไม่ประทับใจ ไม่จับใจคนดู มันต้องอย่างนี้”
“ไม่ได้ค่ะ หนูต้องการแสดงให้เห็นว่าความรักไม่มีขอบจำกัด เพราะฉะนั้นนางเยื้อนกับคุณหลวงต้องได้มีชีวิตอยู่ด้วยกันและรักกัน”
ไตปลาเสียงแข็ง
“พี่จะให้จบอย่างนี้ และพี่ไม่ได้ถือวิสาสะเปลี่ยนบทนะ พี่ปรึกษาครูอิ๋วแล้ว ท่านโอเค...เอาน่า เรื่องนี้รักกันไม่ได้ หนูก็ให้เขาไปรักกันเรื่องหน้านะ ไปๆ พักห้านาที แล้วมาซ้อมต่อ”
ไตปลาตัดบท ทุกคนแยกย้าย น้ำมนต์ผิดหวัง พีระงงว่าน้ำมนต์เป็นอะไร
น้ำมนต์เดินออกมาจากหอประชุม พีระรีบตามมาห้าม
“น้ำมนต์ จะไปไหน”
“ฉันจะไปคุยกับครูอิ๋ว ทำไมถึงให้เปลี่ยนบทโดยไม่บอกฉันสักคำ แล้วเล่นเปลี่ยนฉากสำคัญด้วยฉันไม่ยอม”
“ใจเย็นๆ ผมว่ามันก็ซึ้งดีนะ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
“ไม่ได้ เขาสองคนต้องได้อยู่ด้วยกัน ต้องไม่มีใครตาย แล้วบทละครเรื่องนี้ฉันได้แรงบันดาลใจส่วนนึงมาจากชีวิตของนาย ฉันไม่อยากให้มันเป็นลาง”
“อ๋อ ที่แท้คุณก็ห่วงผม คุณกลัวมันจะเป็นลางร้ายของเราสองคนเหรอ”
“ก็...”
“อย่าคิดมากสิ ละครก็คือละคร ชีวิตจริงก็คือชีวิตจริง ผมจะกลับเข้าร่างและฟื้นมาอยู่กับคุณ เราจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า ดีมั้ย”
น้ำมนต์อิดออด จำยอม
ลูกโป่งชื่นชมอัฐชัย ขณะที่พิมพ์ดาวนั่งอยู่ด้วยไม่ไกลกัน
“อัฐ ฉากจบเมื่อกี้แกเล่นดีมากเลยรู้ป่ะ ฉันน้ำตาไหลเลย เชื่อเลยว่าแกรักยัยดาวมากและหัวใจสลายจริงๆ ไปแอบซ้อมมาตอนไหนเนี่ย”
“ต้องยกความดีความชอบให้ดาว เพราะดาวรักฉัน ฉันก็เลยเล่นดี หมายถึง ดาวเล่นจนฉันเชื่อ ฉันเลยพลอยเชื่อไปด้วย”
ลูกโป่งแซวเพื่อน
“อ๋อ ความรักของดาวทำให้นายแอคติ้งดีขึ้น แหม ความรักมันดีอย่างนี้นี่เอง เนอะดาวเนอะ”
“หยุดแซวเลย ฉันไม่ได้คิดอะไรกับอัฐแล้วนอกจากเป็นเพื่อน เดี๋ยวมันเข้าใจฉันผิดอีก”
“ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย” อัฐชัยรีบบอก
ไตปลารีบเข้ามา เสียงดัง
“หยุดเลยๆ อัฐชัย พิมพ์ดาว พี่พอจะได้ข่าวมานะว่าเธอสองคนมีปัญหากัน ขอบอกเลยนะ ว่าถ้ามีปัญหามาก บทพระเอก พี่จะเล่นเอง ส่วนบทเธอ น้ำมนต์น่าจะจำบทที่เขียนเองได้แน่ๆ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่อยากถูกถอด อย่างี่เง่ากับพี่”
พิมพ์ดาวกับอัฐชัยเซ็ง
“ไปห้องน้ำนะคะ”
พิมพ์ดาวเดินแยกไปเลย อัฐชัยงง สับสนความรู้สึกตัวเองว่ารักหรือไม่รักดาวกันแน่
“ไม่ตามไปเหรอ”
ลูกโป่งยุๆ อัฐชัยอึกอักๆ ไม่แน่ใจตัวเอง มุมหนึ่งยุทธนั่งหันหลังอยู่แถวนั้น ได้ยินทุกอย่าง เดินแยกออกมาพร้อมโทรศัพท์คุยกับเมสินี
“คุณเมครับ ผมรู้แล้วครับว่าจะจัดการยัยเด็กน้ำมนต์ยังไง รับรอง มันไม่สามารถอ้าปากเปิดโปงคุณได้อีกแน่”
ยุทธวางสาย แล้วเดินออกไป
พีระลากน้ำมนต์เข้ามาในหอประชุม
“นายมีอะไร ดึกแล้วทำไมไม่ไปคุยที่บ้าน”
“ผมอยากให้คุณช่วยผมหน่อย ผมยังเล่นไม่ได้เลย ผมไม่อยากเจอพี่ไตปลาด่าซะเสียสัญชาติผีอีก”
“ก็นายตลกอ่ะ เกร็งเป็นก้อนหินเชียว” น้ำมนต์ทำท่าอุ้มแบบเกร็งๆล้อเลียน “ฮ่าๆ”
“อย่ามาล้อผมนะ”
น้ำมนต์ทำท่าล้อ พีระไล่จับให้หยุด จนกระทั่งจับได้
“มาสอนผมเล่นละครเลย”
น้ำมนต์สอนพีระเล่นละคร ให้ทำแบบฝึกหัดด้านจินตนาการ
“หลับตา แล้วจินตนาการว่าตัวเองเป็นถั่วงอก ค่อยๆโตขึ้นๆ”
พีระทำท่าเป็นถั่วงอกที่ค่อยๆโตขึ้น จากนั้นทำตัวเป็นสัตว์ต่างๆตามที่น้ำมนต์สั่ง
น้ำมนต์นั่งเก้าอี้อยู่ แล้วพีระเข้ามาพยายามพูดเพื่อขอเก้าอี้จากน้ำมนต์
“ลองพยายามขอเก้าอี้จากฉันให้ได้ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามแตะต้องตัวฉัน”
พีระทั้งหว่านล้อม ทั้งร้องไห้ประมาณว่าพ่อแม่ตาย ทั้งโกรธ ทำท่าควักปืน ทั้งกอดแข้งกอดขา
แต่ยังไงน้ำมนต์ก็ไม่ลุก ลอยหน้าลอยตา
พีระนอนแผ่ น้ำมนต์ล้มนอนข้างๆ เหน็ดเหนื่อยจากการซ้อม
“หลักสำคัญของการแสดงก็คือ อย่าคิดว่าจะทำอะไร แต่ให้รู้สึก...รู้สึกอย่างไร ก็ทำตามที่รู้สึก action is reaction”
“ไม่เข้าใจ”
น้ำมนต์เขกหัวพีระทันที
“โอ๊ย ตีผมทำไม” พีระทำท่าจะตีกลับขู่ๆ “เดี๊ยะๆ”
“นี่แหละรีแอคชั่น ปฏิกิริยาตอบกลับ ไม่ได้คิด ไม่ได้เตรียมการไว้ก่อน รู้สึกเจ็บก็เลยอยากตีคืน”
“อ๋อ เข้าใจแระๆ เหมือนตีปิงปองช้ะ ตีไปแล้วมันก็สะท้อนกลับมา”
“เฮ้ย นี่เข้าใจจริงๆเหรอ ไม่อยากเชื่อ”
“จริงสิ เดี๋ยวจะทดสอบให้ดู...อืม”
พีระเหลือบมองผ่านหน้าน้ำมนต์ไป ทำท่าช็อก สมจริง
“เมสินี”
น้ำมนต์ถูกหลอก รีบหันกลับไปมอง แต่ไม่เห็นมีอะไร
“ไม่เห็นมีอะไรเลย”
พีระยื่นหน้ารอ พอน้ำมนต์หันกลับมา แก้มน้ำมนต์ชนเข้ากับปากของพีระพอดี
น้ำมนต์ตะลึงช็อก ค้างอยู่อย่างนั้น
“หอมคือแอคชั่น แล้วที่คุณช็อกอยู่ คือรีแอคชั่น ช้ะ”
น้ำมนต์หันกลับมา พีระยิ้มน่ารักใส่ น้ำมนต์เขิน
“ผมยิ้มคือแอคชั่น ที่คุณเขินคือรีแอคชั่น ช้ะ”
น้ำมนต์จะเดินหนี พีระดึงมือเข้ามา ดึงน้ำมนต์มากอด
“ผมรักคุณคือแอคชั่น แล้วที่คุณรักผมตอบ คือรีแอคชั่นช้ะ”
“ปล่อยนะ”
“ตอบมาก่อนสิ ว่ารักผม ช้ะ”
น้ำมนต์เขิน ไม่ยอมพูด
วันใหม่..บริเวณด้านหน้าทางเข้าหอประชุม ส่วนต้อนรับแขก มีจุดลงทะเบียนสื่อ ลงทะเบียนแขก มีการจัดตกแต่งสถานที่สวยหรู มีเอกสารสูจิบัตรสำหรับแขกผู้ใหญ่วางเรียงๆ มุมอาหารและเครื่องดื่มเล็กๆอยู่อีกด้าน และมีมุมแบ็กดร็อปถ่ายรูปของละครเวที เรื่อง “คุณหลวงที่รัก”
เอมี่จัดโต๊ะต้อนรับอยู่ วางแจกันดอกไม้ ดูความเรียบร้อย อาจารย์อิ๋วเดินมากับช่างภาพมหาวิทยาลัย มายืนถ่ายรูปกับแบ็กดร็อป
“ดารา คนดัง เซเล็บ ต้องถ่ายให้ครบทุกคน ห้ามหลุดแม้แต่คนเดียวนะ เชิญท่านคณบดีไปถ่ายคู่ด้วยยิ่งดี” อาจารย์อิ๋วโพสท่าให้ช่างภาพถ่าย ขณะที่สั่ง
“อาจารย์อิ๋วขา แล้วมีช่างภาพวีดีโอบันทึกการแสดงมั้ยคะ” เอมี่เดินมาถาม
“อ้าว เห็นพวกคุณทำรายการทีวีนึกว่าจะเตรียมมา แต่ไม่เป็นไรค่ะ มีแค่ภาพเซเล็บมาร่วมงานก็พอแล้วค่ะ”
เอมี่เซ็งอาจารย์อิ๋วที่สนใจแต่ชื่อเสียง เอมี่หันไปอีกด้าน เห็นยุทธที่สวมหมวกสวมแว่นปิดบังหน้าตา เดินผ่านเข้าไปด้านในโรงละคร เอมี่มองไม่เห็นหน้า แต่ไม่คุ้นกับคนๆนี้ รู้สึกแปลกๆ
“อาจารย์อิ๋วคะ คนนั้นใครคะ”
อาจารย์อิ๋วหันขวับ
“เซเล็บเหรอคะ ไหนๆ”
อาจารย์อิ๋วชะเง้อๆดู เอมี่เซ็งมาก
ยุทธแอบเข้ามาภายในหอประชุม มองไปด้านใน เห็นนักศึกษาทีมฉากบางคนเก็บรายละเอียดงานอยู่ ทีมเสื้อผ้าก็ซ่อมแซมงานอยู่ ทุกคนต่างรีบทำงานของตัวเอง เขามองไปเห็นว่านั่งร้านยังวางคาอยู่บนเวที จึงแอบไปที่นั่งร้าน ปีนขึ้นไปยังบาร์ไปที่อยู่เหนือศีรษะกลางเวที หยิบอุปกรณ์แผงวรจร เอาติดเข้าไปกับราวเหล็กบาร์ไฟนั้น
น้ำมนต์เดินมากับพีระ
“วันนี้พอละครจบแล้ว ฉันจะพานายไปกลับเข้าร่างทันที ห้ามเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวเข้าใจมั้ย” น้ำมันต์หันไปสั่ง
“ครับผม น้ำมนต์ คุณแน่ใจนะว่าคุณจะโอเค”
“โอเคสิ ไปเถอะ พี่ไตปลารอแล้ว”
พีระดึงมือไว้
“เดี๋ยว ผมขอพูดอะไรสักหน่อยได้มั้ย...ผมขอโทษนะ”
“ขอโทษเรื่องอะไร”
“ขอโทษล่วงหน้า เพราะผมรู้ว่าผมจะทำให้คุณต้องเสียน้ำตา และเสียใจมาก แต่ผมอยากให้คุณรู้นะว่า วิญญาณของผมไม่เคยอยากทำร้ายคุณเลย”
“ฉันรู้ รู้มาตั้งนานแล้วว่านายมีแต่จะปกป้อง ไม่เคยอยากทำร้ายฉันเลย”
“คุณรับปากผมนะ ถ้าผมร้ายกับคุณมากเกินไป คุณอย่าทนนะ ไปจากชีวิตผม อย่าอยู่อย่างทรมาน คุณควรจะเลือกมีชีวิตที่มีความสุขนะ”
“อย่าวิตกกับเรื่องที่ยังไม่เกิด เวลานี้เรามีความสุขดี เราก็ควรจะมีความสุขกับช่วงเวลานี้ให้เต็มที่”
น้ำมนต์ยิ้ม พีระยิ้มตอบ
“ครับผม”
พีระตั้งแขนให้น้ำมนต์ควง สองคนควงแขนกันเดินไป
พิมพ์ดาวกับอัฐชัยเดินเข้ามาด้วยกัน อัฐชัยเอากระเป๋าถือของพิมพ์ดาวไปถือให้
“วันหน้าแกไม่ต้องไปรับฉันที่บ้านแล้ว เดี๋ยวรุ่นน้องก็เข้าใจผิดคิดว่าแกเป็นแฟนฉัน จะไม่กล้าเข้ามาจีบแก”
“ไม่จีบก็ไม่จีบสิ ฉันก็แค่อยากตอบแทนที่แกดูแลฉัน” อัฐชัยโต้
“ตอบทงตอบแทนอะไร อย่าเว่อร์ เพื่อนกันไม่ต้องซีเรียสหรอก”
“ก็ฉันอยากทำให้”
“เอากระเป๋าฉันคืนมา เป็นเพื่อนกันไม่ต้องมาถือให้”
“แกจะย้ำคำว่าเพื่อนอีกกี่รอบ”
“ฉันแค่ไม่อยากให้คนเข้าใจความสัมพันธ์ของเราผิด เอากระเป๋ามา”
“อ๋อ พอฉันทำดีด้วย แกเลยทำเป็นเล่นตัวเลยใช่มั้ย”
“เล่นตัวอะไร...พอ ฉันไม่อยากจะทะเลาะกับนายอีก เอากระเป๋ามา”
อัฐชัยกอดกระเป๋าไว้ ไม่ให้
“กลัวคนเข้าใจผิดเหรอ งั้นฉันจะถือให้แกทั้งวันเลย ใครอยากจะเข้าใจผิดว่าอะไรก็เชิญ”
“ฮึ่ย อยากถือถือไปเลย”
พิมพ์ดาว หงุดหงิด รำคาญใจ เดินแยกออกไปอีกทาง อัฐชัยเดินแยกไปอีกทาง ยุทธที่หลบอยู่แถวนั้น มองทั้งคู่ แล้วเดินตามพิมพ์ดาวไป
พิมพ์ดาวเดินปึงปังมาแล้วเข้าห้องน้ำหญิงไป ยุทธตามมาที่หน้าห้องน้ำ หยุดมอง แล้วมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นใคร ยุทธเดินเข้าไปในห้องน้ำหญิงทันที
พิมพ์ดาวเดินตรงไปที่อ่างล้างมือ ส่องกระจก หงุดหงิด
“นายมันบ้าที่สุดเลย ไอ้บ้าอัฐ”
แต่แล้วพิมพ์ดาวต้องผงะ เพราะเห็นยุทธสวมหมวกสวมแว่นเดินเข้ามา พิมพ์ดาวหันกลับมามองเต็มๆ พอเห็นหน้าชัดเจนว่าเป็นยุทธ
“คุณ..คุณยุทธ...ช่วย...”
พิมพ์ดาวจะร้องให้คนช่วย แต่ยุทธไวกว่า พุ่งเข้าเอามือปิดปากพิมพ์ดาวทันที จนเสียงร้องไม่ทันออกมา
“ถ้าไม่อยากตาย เงียบ!”
พิมพ์ดาวถูกแล็กซีนปิดมาก และมัดมือไว้ แล้วยุทธก็เดินออกไป ลองเปิดประตูให้แน่ใจว่าล็อกจากด้านในแล้ว ไม่สามารถเปิดได้ และเอาป้ายติดหน้าประตูว่า “ชำรุด ห้ามใช้โดยเด็ดขาด” ขึ้นมาติด
เมสินีที่กำลังลองชุดสวยเตรียมมางานกาล่าละครเวที พูดโทรศัพท์อยู่
“ทำดีมากยุทธ ฉันกำลังจะไปดูผลงานของเธอด้วยตาฉันเอง โชว์มาให้เต็มที่เลยนะ อย่าทำให้ฉันผิดหวัง”
เมสินีวางสาย ยิ้มสะใจ
จบตอนที่ 14