คุณผีที่รัก ตอนที่ 11
ค่ำนั้น พีระนั่งจ้องหน้าตุ๊กตาที่เกาะมือตัวเองอยู่ อย่างขอความเห็น
“แกว่าฉันควรบอกความจริงกับน้ำมนต์ดีมั้ย” พีระนิ่ง รอฟังคำตอบจากตุ๊กตา “อื้ม ฉันตัดสินใจได้แล้ว ขอบใจมากนะกรองแก้ว”
แมนสรวงโผล่เข้ามา
“กรองแก้ว นายตั้งชื่อให้ตุ๊กตา”
“ก็ไล่แล้วไม่ยอมไป ก็เลยลองผูกมิตรดู เผื่อจะยอม จริงมั้ยกรองแก้ว” พีระพบว่าตุ๊กตาหายไปจากมือ “เฮ้ย กรองแก้วหายไปแล้ว”
พีระดีใจ แต่อยู่ๆมีเท้าตุ๊กตามาจิ้มที่แก้ม พีระเหลือบมอง เห็นว่าตุ๊กตามายืนอยู่ที่บ่า ยกเท้าถีบหน้าเขาอยู่ แมนสรวงหันมาถาม
“แล้วที่ว่าตัดสินใจได้แล้ว เรื่องอะไร”
“ตอนนี้น้ำมนต์เข้าใจว่าเมสินีเป็นคนที่ทำให้แม่เขารถคว่ำ แต่ความจริงคือฉัน ฉันจะไปบอกเขา”
“จะบ้าเหรอ จะไปรื้อฟื้นให้เขาเจ็บปวดทำไม”
“แต่น้ำมนต์กำลังเข้าใจผิด”
“มันก็ดีแล้วที่เข้าใจว่าเมสินีเป็นคนทำ เพราะถ้าน้ำมนต์รู้ว่านายทำ จะยิ่งเสียใจมากกว่านี้ จะเจ็บมากกว่านี้ แล้วถ้านายกลับเข้าร่างได้ น้ำมนต์จะรู้สึกยังไง”
“แต่ถ้าฉันไม่พูด แล้วพอเข้าร่างได้ ฉันจะมีหน้าไปเจอน้ำมนต์ได้ยังไง”
“เจอได้ เพราะน้ำมนต์จะไม่รู้เรื่อง และนายก็จะจำอะไร...”
แมนสรวงเกือบหลุดปากว่าสุดท้าย “จะจำอะไรไม่ได้” แต่ยั้งปากทัน รีบอุดปากตัวเอง
“อะไร”
“เปล่า...เอาเป็นว่า ห้ามบอกน้ำมนต์เด็ดขาด”
“เมื่อกี้นายจะพูดว่าอะไร”
“ฉันจะพูดว่าตอนนี้นายควรจะไปงานปาร์ตี้เปิดตัวรายการผีผจญผีที่นายเป็นพิธีกร”
“ถ้าไม่พูดความจริง อย่าหวังว่าฉันจะไป ไปเถอะกรองแก้ว”
พีระพาตุ๊กตาผีเดินหนี
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ”
พีระเดินแยกมาอีกด้านของ สวนสาธารณะ แมนสรวงโผล่มาขวางหน้าทันที สาธยายยิ่งใหญ่มาก
“ถ้านายไม่ไปคนอื่นๆก็จะเดือดร้อน น้ำมนต์อาจจะตกงาน บริษัทเอมี่ก็อาจจะเสียหาย ประชาชนก็จะไม่มีรายการผีดีๆดู คนก็จะไม่เชื่อเรื่องผี แล้วก็จะไม่เชื่อเรื่องเวรกรรม ไม่เชื่อเรื่องการทำดีไปด้วย โลกก็จะเต็มไปด้วยคนบาปก็เพราะนาย”
“ถ้าไม่อยากให้โลกวิบัติขนาดนั้น นายก็ควรบอกมา ว่าเมื่อกี้จะพูดอะไร”
“ไม่มีอะไร๊”
“อะไรนะคะกรองแก้ว อ๋อ กรองแก้วไม่อยากคบคนโกหก งั้นไป”
พีระจะไป แมนสรวงร้องเรียก แต่อยู่ๆตุ๊กตาผีดวงตาเปล่งแสงสว่างจนทะลุผ้าที่ปิดตาอยู่ มองเห็นได้ แล้วตามด้วยเสียงวี้ด เล็กแหลม แสบแก้วหู
“โอ๊ย...”
ทั้งพีระและแมนสรวงต้องรีบอุดหู แต่อุดยังไงเสียงก็ยังทะลุทะลวงเข้าไปได้ พีระรีบห้าม
“กรองแก้ว อย่าร้อง กรองแก้ว”
มุมด้านหลังผับร้าง อาจารย์เทพกำลังเอาธงวนรอบๆตุ๊กตาผีอีกตัวที่วางไว้ในอ่างน้ำเล็กๆ ท่องคาถา
“ให้เจ็บ ให้มันเจียนตาย ให้วิญญาณมันทุรนทุราย ไม่เป็นสุข”
ตุ๊กตาผีมีเลือดไหลออกมาจากตา หู จมูกปาก เกี๊ยงสงสัย
“ทำยังงี้แล้วจะทำให้ไอ้พีระมาที่นี่ได้จริงเหรอจารย์”
“ถ้ามันทนได้ก็ทนไป แต่ฉันมั่นใจว่ามันจะต้องกระเสือกกระสนเจียนตายมาหาฉันแน่ๆ”
พีระกับแมนสรวงทรุดไปกับพื้น มืออุดหู แต่ทรมานแก้วหูมาก
“หยุด...หยุดเดี๋ยวนี้ กรองแก้วคนสวย ได้โปรด กรองแก้ว”
แมนสรวงเอามืออุดหูดิ้น
“โอ๊ย น้องกรอง ยัยกรอง นังกรอง อีกรอง หยุด...ไอ้อาจารย์เทพ มันส่งนังกรองมาเพราะอย่างนี้ เอาไว้ติดตามตัวแก ไม่ว่าแกจะหนีไปหลบที่ไหน มันก็จะตามจนเจอ”
พีระปวดแก้วหูอยู่ เพราะเสียงของกรองแก้วทำให้ฟังไม่ถนัด
“หา...ว่าอะไรนะ”
“มันส่งนังกรองมาติดตามตัวแก”
“อ้าว อยู่ดีๆมาด่าฉันติ๊สท์และแก่ทำไมวะ”
“ไม่ได้ด่า ไอ้มั่ว”
“เฮ้ย ด่าไอ้ชั่วเลยเหรอ”
“โอ๊ย แกฟังไม่ดีเพราะเสียงนังกรองแก้ว ฉันไม่เคยด่าหยาบๆคายๆอยู่แล้ว”
“เฮ้ย” พีระอึ้ง ช็อก จริงจัง “นี่นายด่าฉันว่า คาย เลยเหรอ”
“ฉันพูดว่าหยาบคายๆ ไม่ใช่คายคำเดียว ดูปากชัดๆ หยาบ-คาย”
พีระสะเทือนใจ
“พอ...ฉันอุตส่าห์คิดว่านายก็เหมือนเพื่อน แต่ทำไมต้องมาด่ากันด้วยคำรุนแรงอย่างนี้...ฉันผิดหวัง”
“โอ๊ย” แมนสรวงหงุดหงิด ขี้เกียจเถียง ประชด
“ไอ้รูปหล่อ ไอ้เทพบุตร หล่อเหลาเขย่าใจสาวๆ”
“เออ อันนี้รู้อยู่แล้ว” พีระพยักหน้า
“เฮ้ย ทีชมล่ะได้ยินชัดเชียวนะ” แมนสรวงตาลุก
“จะทำยังไงกับกรองแก้วดี”
“ถ้าพูดไม่รู้เรื่อง งั้นฉันก็ต้องจัดการมันด้วยการสวมวิญญาณสก๊อยโซเชี่ยล”
“คือ” พีระงงๆ
“ตบมัน”
แมนสรวงพุ่งเข้าจะตบกรองแก้ว แต่พีระกลับโดนเอง
“นี่หน้าฉันๆ”
ประตูทางเข้าผับร้าง แขกและนักข่าวทยอยเข้ามาภายใน บรรยากาศผับมีข้าวของล้มไม่เป็นระเบียบ มีหยากไย่ มีควันจางๆ บรรดาแขกที่มาต่างพากันตื่นเต้น โดยมีทีมงานคอยแจกหน้ากากผีสีขาวแบบเต็มหน้า ครึ่งหน้า ครึ่งเสี้ยวให้กับแขกที่เข้างานทุกคน
“จะใส่เลยหรือยังไม่ใส่ก็ได้นะคะ”
แขกทุกคนแต่งตัวดูดีแบบสากลแต่แต่งหน้าเหมือนผี...มุมบาร์น้ำ มีบาเทนเนอร์สวมหน้ากากผีกำลังโชว์ลีลาโยนขวดไปมาและเด็กเสิร์ฟภายในงาน แต่งตัวเป็นผีเช่นกัน แขกเหรื่อถ่ายรูปคู่ด้วย อัฐชัยคุยโทรศัพท์อยู่มุมด้านหนึ่ง เอมี่กับพิมพ์ดาวรอลุ้นด้วย
“ฮัลโหลแจ๊ว เจ้านายเธออยู่...อ้าว ข้าวต้มเหรอ”
ข้าวต้มพูดสายอยู่ อีกมือหนึ่งถือขนมกินไปด้วย
“พี่แจ๊วไม่อยู่แต่ทิ้งโทรศัพท์เอาไว้ครับ พี่อัฐจะคุยกับพี่น้ำมนต์ อืม ทำไมเค้าต้องให้คุยด้วยครับ”
น้ำมนต์เข้ามาดึงมือถือมาเลย
“ฉันไม่ไปงานปาร์ตี้ ไม่ต้องโทรมาตื๊ออีก แค่นี้นะ”
น้ำมนต์วางสาย นั่งลงอย่างเซ็งๆ ข้าวต้มกับงอแงมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ
อัฐชัยอึ้ง ช็อกๆเอมี่ถามอย่างร้อนใจ
“น้ำมนต์ยอมมาใช่มั้ย”
“น้ำมนต์วางสายกระแทกใส่ผม” อัฐชัยสะเทือนใจ อกหัก “ใช่สิ ผมไม่มีค่าอะไรแล้วถึงได้ตัดบทเหมือนผมโทรไปเสนอขายเครื่องกรองน้ำ”
“แกอย่าเว่อร์” พิมพ์ดาวปราม
เอมี่เศร้าจนต้องคิดบวก
“น้ำมนต์ตัดสายเพราะจะรีบมางานใช่มั้ย”
“เจ๊ก็อย่าเว่อร์” พิมพ์ดาวหันมามองหน้า
“ใจร้าย” อัฐชัยเสียใจ
“ใจดำ” เอมี่เสริม
อัฐชัยกับเอมี่โผกอดกัน
“ฮือๆ”
พิมพ์ดาวเซ็ง
น้ำมนต์นั่งเซ็งอยู่ที่บ้าน ข้าวต้มกับงอแงเข้ามานั่งประกบ ข้าวต้มกินขนมไปด้วย
“ทำไมพี่ไม่ไปงานเปิดตัวรายการใหม่อ่ะ”
“พี่...พี่ไม่อยากไป”
“ตอบอย่างนี้ ต้องมีอะไรแน่ๆ มีใครทำให้พี่ไม่พอใจเหรอคะ” งอแงมองๆ
“เหรอครับ” ข้าวต้มสงสัย
น้ำมนต์มองข้าวต้ม แต่ไม่อยากบอก
“ไม่มีอะไร อย่ารู้เลย”
“อย่ารู้เลย งั้นก็แสดงว่ามีอะไรจริงๆ” งอแงคาดคั้น
“งอแงเป็นเด็กฉลาดมากนะ แต่ไม่ต้องฉลาดเรื่องของพี่ได้มั้ย”
งอแงงอนนิดๆ
“งอแงฉลาดกับข้าวต้มก็ได้...ข้าวต้ม พี่สาวนายเป็นพิธีกร ถ้าพิธีกรไม่ไป แล้วงานเข้าจะเปิดรายการได้เหรอ”
ข้าวต้มหันมาถามน้ำมนต์
“พี่เป็นพิธีกร ถ้าพี่ไม่ไป เขาจะเปิดรายการได้เหรอ”
“ไม่มีพี่เขาก็หาคนมาแทนได้เองแหละ”
“คิดอย่างนี้ไม่ถูก” งอแงแย้ง
“คิดอย่างนี้ไม่ถูก” ข้าวต้มเสริมทันที
“แม่สอนงอแงว่า คนเราต้องมีความรับผิดชอบ ถ้าตั้งใจทำอะไรแล้ว ต้องทำให้สำเร็จ จะเลิกล้มกลางคันไม่ได้”
ข้าวต้มเห็นว่ายาว จำไม่ได้
“ตามนั้น”
“เพราะในงานๆนึงไม่ได้มีแค่เราคนเดียว ยังมีเพื่อนร่วมงาน มีคนอื่นๆอีกมากมาย”
“ตามนั้น” ข้าวต้มพยักหน้า
“คนที่ทำอะไรครึ่งๆกลางๆไม่มีวันเจริญ”
น้ำมนต์ส่ายหน้าเซ็ง
“พวกเธอไม่เข้าใจพี่หรอก พี่ไม่ได้อยากทิ้งทุ่นเหมือนกัน แต่...แต่พี่ทำงานกับคุณเมสินีไม่ได้อีกแล้ว พี่จะทำงานให้เขาได้ยังไง ในเมื่อเขาเป็นคน...”
น้ำมนต์จะพูดว่าที่ทำให้แม่ตาย แต่พูดไม่ออก ตัดบทด้วยการเดินแยกไปเลย ข้าวต้มกับงอแงงง ไม่เข้าใจ
“ทำงานด้วยไม่ได้ เพราะเขาเป็นคนเนี่ยนะ” ข้าวต้มกินขนมต่อ
“หยุดกินได้แล้ว” งอแงดุ
“ไม่ได้ คนที่ทำอะไรครึ่งๆกลางๆไม่มีวันเจริญ”
น้ำมนต์เดินเข้ามาในห้องนอน ทิ้งตัวนั่งเครียด แล้วมองไปที่รูปแม่
“หนูรู้ว่าเรื่องมันผ่านไปนานแล้ว แต่หนูทำงานกับคนที่ทำกับแม่ไม่ได้ แม่เข้าใจหนูใช่มั้ยคะ”
ในสวนสาธารณะ...พีระนอนแผ่ หมดแรงจะสู้กับตุ๊กตาผี ตุ๊กตายังส่งเสียงอยู่ แมนสรวงล้มนอนข้างๆ
“เชื่อฉันเถอะ นายต้องไปงานปาร์ตี้”
“หา...”
แมนสรวงขยับ หันมากระซิบข้างๆหู
“นายต้องไปงานปาร์ตี้ และต้องไม่บอกความจริงกับน้ำมนต์”
“ไม่ได้ยินที่ไอ้หมอผีเทพพูดเหรอว่า มันจะจับฉันไปให้เมสินีทำลาย มันทำงานให้เมสินี”
“ฉันได้ยินมันบอกว่าจะปล้ำน้ำมนต์” แมนสรวงกระซิบ
“แต่น้ำมนต์ไม่ไป”
“ไม่ไป ไม่ได้แปลว่าจะรอด ”แมนสรวงกระซิบ
“หา...จริงด้วย ถึงจะอยู่ที่บ้านก็ไม่ปลอดภัย” พีระหน้าตื่น
พีระรีบวิ่งไป แมนสรวงเซ็งพูดกระซิบ
“จะไปไหนอีก...” แมนสรวงนึกได้ว่าจะกระซิบทำไม “เฮ้ย จะไปไหน”
ด้านในผับร้าง...เอมี่กำลังคิดหาทางแก้สถานการณ์
“ทำไมคุณเมสินีไม่เข้าใจเราเลย หรือเหตุผลเราไม่แน่นพอ...ดาว เธอต้องช่วยพี่คิดเหตุผลแล้วไปพูดกับคุณเมอีกทีนึง”
“คุณเมเขาไม่ฟังเราหรอกค่ะพี่เอมี่ ทำใจเถอะค่ะ”
“ไม่ พี่ไม่ยอม”
แต่แล้วเอมี่ชะงักไป เพราะเหลือบไปเห็นยุทธเดินมาหยิบเครื่องดื่มจากพนักงานเสิร์ฟผ่านไป เอมี่แววตาวาว คิดใช้เสน่ห์เข้าช่วย
“พี่รู้แล้ว”
เอมี่เติมปาก และดันทรง แล้วเดินไปหายุทธ
ยุทธยื่นดื่มเครื่องดื่มที่มุมบาร์น้ำ เอมี่เดินเข้ามายืนอีกด้าน มองเขาเป็นเป้าหมาย เธอหยิบลิปสติก มาเติมปากให้แวววาวยิ่งขึ้น พิมพ์ดาวเดินตามเข้ามา
“พี่เอมี่จะทำอะไรคะ”
“ใช้ท่าไม้ตาย”
เอมี่จัดชุดและดันทรงให้เป๊ะ แล้วหยิบเครื่องดื่มจากพนักงานเสิร์ฟที่เดินผ่านมาพอดี หยิบ 2 แก้ว แล้วเดินไป พิมพ์ดาวมองหาอัฐชัย
“นายอัฐไปไหนเนี่ย”
พิมพ์ดาวเดินแยกไป
บาร์เทนเดอร์โยนขวดน้ำไปมา โชว์ลีลา เอมี่มาหยุดยืนด้านหลังยุทธ กระแอมๆ ยุทธหันมา เอมี่ทำตาวิ้งๆให้อยู่ ตั้งใจจะใช้เสน่ห์กับยุทธ เอมี่วางท่าเซ็กซี่
“เอมี่หยิบมาเผื่อค่ะ”
“เอ่อ ขอบคุณครับ”
เมสินีเดินมายืนหลังเอมี่ กอดอก ยืนนิ่ง รอฟังว่าคุยอะไร
“คุณยุทธขา เรื่องพิธีกรของรายการผีผจญผีที่จะเปิดตัวคืนนี้อ่ะค่ะ จริงๆแล้วแค่ฉายตัวอย่างก็พอ แล้วเปลี่ยนมาเปิดตัวผู้จัดอย่างเอมี่ไม่น่าสนใจกว่าเหรอคะ...คุณยุทธว่าเอมี่น่าสนใจมั้ยคะ”
“เอ่อ ครับ”
“ถ้าน่าสนใจ...งั้นคุณยุทธช่วยพูดกับเจ้านายคุณทีสิคะ”
“อืม ทำไมคุณไม่พูดเองล่ะครับ”
“แหม ผู้หญิงพูดกับผู้หญิง...มัน...คือแบบ...ก็ต้องมีนิดนึงที่ต้องเยอะไว้ก่อน ไม่รู้จะเยอะทำไม แต่ถ้าได้คนสนิทรูปหล่อ แขนบึ้ก ยิ้มละลายใจอย่างคุณยุทธช่วยพูด รับรองคุณเมโอเคแน่ค่ะ”
“โอเคมั้ยครับ”
“ไม่โอเค”
“คุณเมไม่โอเคครับ”
“คุณเม” เอมี่ชักเสียว หันกลับไปดู “คุณเม”
“อีกยี่สิบนาทีถึงเวลางาน ถ้าน้ำมนต์กับพีระไม่มา ฉันจะฟ้องบริษัทเธอข้อหาผิดสัญญาจ้าง จะเรียกค่าเสียหายให้บริษัทเธอไม่ได้ผุดได้เกิดอีกเลย และผู้หญิงที่น่าสนใจมากอย่างเธอจะต้องหมดทางทำมาหากินในสายงานทีวีอีกต่อไป...เยอะพอมั้ย”
อยู่ๆมีเสียงน้ำมนต์ดังมาจากด้านหลังเมสินี
“สวัสดีค่ะคุณเมสินี”
เมสินีหันมา พบว่าน้ำมนต์ยืนอยู่ ในชุดที่แต่งมาจากบ้าน
“ขอโทษที่มาสายนะคะ”
“น้ำมนต์ น้ำมนต์มาแล้ว ฉันรอดตายแล้ว”
เอมี่โดดกอดน้ำมนต์ทันที เมสินีมองอย่างหมั่นไส้ แต่ก็ยิ้มแย้มให้ น้ำมนต์ไม่ยิ้มตอบเมสินีเลย หน้าบึ้งใส่ตลอด
หน้าบ้านน้ำมนต์ ข้าวต้มกอดพีระหนึบ
“ข้าวต้ม ปล่อยพี่ก่อน”
“ไม่..เค้าจะไม่ให้พี่พีหนีไปไหนอีก จะจับตัวไว้รอจนกว่าพี่น้ำมนต์กลับมา จะได้คุยกันให้เข้าใจ”
“พี่น้ำมนต์ไปออกงานนะ กลับดึกแน่ จะกอดทั้งคืนไหวเหรอหมูอ้วน” งอแงถาม
“น้ำมนต์ไปงานเหรอ...ข้าวต้ม ปล่อยพี่”
“ไม่ปล่อย”
“ฉันจัดการเอง” แมนสรวงดีดนิ้วที่หน้าข้าวต้ม “โน่น พีระอยู่ตรงโน้น นี่มันกระสอบทราย”
ข้าวต้มเงยหน้ามองพีระ แต่กลับเห็นเป็นกระสอบทราย เลยหันไปมองที่กระสอบทราบ และเห็นเป็นพีระยืนอยู่ตรงนั้นแทน
“เฮ้ย” ข้าวต้ม รีบโผไปกอดพีระตรงนั้น “ไม่ให้ไป”
“ไป”
แมนสรวงบอกพีระ ทั้งคู่หายตัวไปทันที
งอแงมองข้าวต้มที่กอดกระสอบทรายอยู่
“พี่พีระกลายเป็นกระสอบทรายเหรอ” งอแงเกาหัวงงๆ
อาจารย์เทพพูดกับเมสินีอย่างมั่นใจ
“น้ำมนต์มาแล้ว”
“ใช่ แล้วผีนายพีทล่ะ อยู่ไหน”
เกี๊ยงมองเมสินีไม่พอใจ
“ทำไมใช้น้ำเสียงลบหลู่ความสามารถจารย์เทพของผมอย่างนี้ล่ะครับ..ตอบคุณเมเขาไปสิจารย์”“หึหึหึ” อาจารย์เทพหัวเราะ
“ได้คำตอบชัดแล้วใช่มั้ยครับ เฮ้ย หึ หึ หึ มันคือคำตอบเหรอครับ” เกี๊ยงงง
“หึหึหึ ก็แปลว่าฉันมั่นใจว่าผีพีระมาแน่ๆ..ถึงได้กล้าหึหึหึ”
“อ๋อ..เข้าใจตรงกันนะครับ หึหึหึ”
“ถ้านายพีทโผล่มา จับมันไปเงียบๆ อย่าให้แขกของฉันแตกตื่นเข้าใจมั้ย” เมสินีสั่ง
“หึหึหึ” อาจารย์เทพ เกี๊ยง หัวเราะพร้อมกัน
“หวังว่าคุณเมจะหึ หึ หึในตัวอาจารย์ได้นะครับ” ยุทธเหล่มอง
“พวกคุณหึหึหึในตัวผมได้เลย” อาจารย์เทพบอกมั่นใจ
ทุกคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“หึหึหึ หึหึหึ หึหึหึ”
เอมี่รีบดึงน้ำมนต์ให้รีบมาที่ห้องแต่งตัว ภายในบริเวณผับร้าง น้ำมนต์ไหว้
“พี่เอมี่ หนูขอโทษนะคะที่เหวี่ยงใส่พี่ ทั้งๆที่พี่เป็นคนที่ให้โอกาสหนูได้มีงานทำ หนูคิดถึงแต่ตัวเองมากไปหน่อย อย่าโกรธหนูเลยนะคะ”
“โถ พี่ไม่โกร..ธ..” เอมี่ชะงัก คิดว่าฟอร์มว่าโกรธไว้น่าจะมีประโยชน์กับตัวเองมากกว่า “ก็โกรธนิดหน่อย อย่าทำอีกแล้วกัน..ไป เข้าไปเปลี่ยนชุดก่อน พี่เตรียมชุดไว้ให้แล้ว..เปลี่ยนชุดเสร็จ รอในห้อง ห้ามไปไหน เข้าใจ๋”
“ค่ะ”
“งั้นรีบเลย เดี๋ยวพี่จะไปตามอัฐชัยกับยัยดาวก่อน ไปไหนเนี่ย”
เอมี่แยกไป น้ำมนต์สูดลมหายใจให้สู้
อัฐชัยนั่งซึมเซ็งอยู่คนเดียวในโซฟามุมมืด พิมพ์ดาวถือแก้วน้ำหวานเข้ามานั่งด้วย พยายามจะช่วยให้อัฐชัยเลิกเครียด
“เอ้า ดื่มน้ำแดงหน่อย สีเหมือนเลือด เผื่อจะรู้สึกสดชื่นขึ้น”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“เหรอ”
เอมี่เดินตามหาเข้ามาเจอพอดี
“แกกินไปคนเดียวเถอะ เพราะฉันกำลังเป็นห่วงเพื่อนจนกินอะไรไม่ลง แกมีความสุขกับการกินจนลืมเพื่อนก็ตามสบายเถอะ”
พิมพ์ดาวโดนแขวะ จากอารมณ์ดีๆก็โมโหขึ้นมาทันที
“นี่แกหาว่าฉันไม่ห่วงเพื่อนเหรอ คนเป็นห่วงเพื่อนต้องอดข้าวอดน้ำตรอมใจอย่างแกทุกคนหรือไง แล้วแน่ใจเหรอว่าที่นั่งหน้าหงอยเป็นหอยเชอร์รี่อยู่เนี่ย เพราะห่วงเพื่อน อย่าอ้างเลย แกกำลังหมกมุ่นคิดถึงแต่ตัวเองว่าทำไมน้ำมนต์ไม่รักมากกว่า”
“เออ แล้วไง ฉันอกหักและเป็นห่วงน้ำมนต์ ชัดเจนมั้ย แกไม่ต้องมาด่าฉัน คนอย่างแกไม่เคยรักใคร แกไม่เข้าใจความรู้สึกฉันหรอก”
“ทำไมฉันจะไม่เคยรักใคร”
“แล้วแกรักใคร”
พิมพ์ดาวอึ้ง อยากจะพูด แต่ยั้งปากไว้
“ไมใช่แกแล้วกัน”
“โหย โคตรดีใจ นึกว่าต้องไปทำบุญล้างซวยแล้ว”
อัฐชัยยียวน พิมพ์ดาวเจ็บปวดหัวใจ เอมี่รับเข้ามาแทรก
“เอ้า ถ้าห่วงน้ำมนต์ก็รีบไปหาไป อยู่ในห้องแต่งตัว”
“น้ำมนต์มาแล้วเหรอครับ”
อัฐชัยรีบวิ่งไป เอมี่หันมามองพิมพ์ดาวอย่างเข้าใจ และเห็นใจ
ข้างเวที พิมพ์ดาวเดินแยกมา เอมี่ตามมา
“เธอจะเก็บความรู้สึกเอาไว้ทำไม”
พิมพ์ดาวหันมา ทำหน้าใสซื่อ
“พี่เอมี่พูดเรื่องอะไรคะ”
“ถ้าแอ๊บแล้วไม่ได้มีความสุข ก็เลิกแอ๊บเถอะ ชีวิตมันจะมีความสุขต้องไม่ซับซ้อน รู้สึกอะไร พูดออกไป จริงใจกับความคิดความรู้สึก”
“พี่เอมี่ดูอวบขึ้นนะคะ”
“เรื่องบางเรื่องถ้าจริงใจแล้วเสี่ยงโดนตบ ก็ควรแอ๊บนะ”
“ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง แต่ดาวโอเคค่ะ” พิมพ์ดาวยิ้ม
“เธอไม่โอเคหรอกจนกว่าเธอจะได้พูดและทำในสิ่งที่เธออยากทำจริงๆ”
เอมี่หันไปอีกด้าน เห็นแมนสรวงมายืนในสายตา แมนสรวงแต่งตัวมาอย่างหล่อ
“นายหัวเกาลัด”
เอมี่เดินไป พิมพ์ดาวถอนหายใจ เซ็งตัวเอง
มุมด้านที่ตกแต่งเป็นเวที ฉายภาพตัวอย่างรายการผีผจญผี ภาพและเสียงตัดต่อมาอย่างน่ากลัวหลอนๆ เน้นความเหนือธรรมชาติ จนกระทั่ง ตัวอย่างจบ ภาพค้างที่โลโก้รายการผีผจญผี
บนเวที ยุทธทำหน้าที่เป็นพิธีกรของงาน
“นี่คือตัวอย่างรายการใหม่ของเรา ผีผจญผี และขอเชิญพบกับผู้บริหารสุดครีเอทีฟว์ของสถานีพราวด์ดิจิตัล ผู้เลือกที่นี่เป็นสถานที่จัดงานในวันนี้..คุณเมสินี ภาคภูมิใจบรรหาร”
เมสินีในชุดใหม่ต่างจากตอนแรก เป็นชุดสวย สง่า เซ็กซี่ สีดำหรือแดง โดดเด่นสุดๆ
เอมี่เดินออกมาด้านนอก แต่หาแมนสรวงไม่เจอแล้ว มองหาไปรอบๆ แล้วอยู่ๆแมนสรวงโผล่มาด้านหลัง เอมี่หันมาชนพอดี แมนสรวงโอบกอดเอมี่ไว้
“มองหาผมเหรอจ้ะที่รัก”
“หา...”
เอมี่รีบผลักแมนสรวงออกมา
“ที่รักบ้าอะไร”
“อ้าว ก็ใครรับปากผมล่ะว่าจะยอมเป็นแฟนผม”
“ฉันรับปาก แต่นายต้องพาพี...” เอมี่ชะงัก นึกได้ “เฮ้ย หรือว่านาย...”
แมนสรวงเสกกุหลาบมาจากหลังศีรษะเอมี่
“ใช่แล้วจ้ะที่รัก”
เอมี่ตะลึง
คุณผีที่รัก ตอนที่ 11 (ต่อ)
น้ำมนต์เปลี่ยนชุดอยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนชุดมาเป็นชุดเดรสยาวสวยสีฟ้าอ่อน สวย สดใส เธอมองกระจกสำรวจความเรียบร้อย พร้อมกับพยายามเตือนตัวเองให้อดทนสู้ๆ น้ำมนต์พยายามยิ้ม
“เราทำได้..ยิ้ม..สู้ๆ”
น้ำมนต์เดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วต้องผงะ ตะลึง เห็นพีระยืนอยู่ในชุดทักซิโด้สีสวยๆเก๋ๆผูกหูกระต่าย ยืนยิ้มหล่อ เนี้ยบ เท่ เสน่ห์กระจายรออยู่
“นายภาระ”
“ยัยน้ำเปล่าปลุกเสก”
“มา..ทำไม”
“มาดูว่า..คนอย่างคุณก็สวยเป็นกะเขาเหมือนกันนะ”
“ค่า หล่อ” น้ำมนต์ประชด
“สวย”
สองคนยิ้มและหัวเราะให้กัน แต่แล้วพีระก็สลดลงไปเล็กน้อย เพราะยิ่งเห็นน้ำมนต์สดใสเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อน้ำมนต์ขึ้นมา พีระแววตาหมอง แต่ยังฝืนยิ้มและแนะนำกรองแก้วเพื่อตลกกลบเกลื่อนไม่ให้น้ำมนต์จับได้
พีระมองตุ๊กตาที่เงียบไปแล้ว
“เอ้า เงียบแล้วเหรอ นี่ คุณรู้จักกรองแก้วยัง”
อาจารย์เทพเดินเข้ามาที่มุมมืดลับตาคนด้านหนึ่ง
“ไอ้พีระ มาแล้ว”
ในความมืด ปรากฏร่างของคามินเดินออกมา
“จับพีระมาให้ฉัน ห้ามแกทำร้ายมันเด็ดขาด เข้าใจมั้ย”
คามินนิ่ง ไม่ตอบ อาจารย์เทพเพ่งตา พึมพำคาถา ทันใด ลายอักขระอาคมที่คอคามินเปล่งแสง คามินหน้าเหยขึ้นมา แต่ไม่ร้อง อดทนด้วยความเจ็บปวด
“ฉันถามว่า เข้าใจมั้ย”
คามินจ้องอย่างแค้น
“เข้าใจ”
เมสินีเล่าประวัติสถานที่ให้แขกที่มาร่วมงานและนักข่าวฟัง
“โศกนาฏกรรมหมู่ครั้งนั้น ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่สุดสยองอันดับต้นๆของประเทศ ว่ากันว่า ในเวลาห้าทุ่มของทุกคืน ซึ่งเป็นเวลาที่เกิดโศกนาฏกรรม ผู้คนแถวนี้จะได้ยินเสียงดนตรี เสียงแห่งความสนุกสนานของพวกเขาอยู่เสมอ”
มีการแกล้งปล่อยหุ่นคนตกลงมาในหมู่แขกที่ร่วมงาน..ตุ้บ แขกเหรื่อตรงนั้นกรี๊ดกันสนั่น
“อร๊าย”
เมสินีหันไปมองเห็นว่าอาจารย์เทพกับเกี๊ยงเข้ามาอยู่ด้านหนึ่งของผับแล้ว
“อยากเห็นผี ต้องใช้ผีล่อ นี่คือคอนเซ็ปต์ของรายการเรา และก็ถึงเวลาที่ทุกท่านรอคอย” อยู่ๆไฟกระพริบ “ขอเชิญพบกับพิธีกรของเรา น้องน้ำมนต์และคุณผี”
ไฟดับพรึ่บ แขกฮือฮา แต่แล้วไฟก็สว่างขึ้นมาอีกที เน้นเฉพาะที่บริเวณเวที เห็นน้ำมนต์ยืนรออยู่แล้ว พร้อมกับพีระ แขกเหรื่อทุกคนทึ่งๆว่านี่คือการเปิดตัวพิธีกรของรายการ
“ว้าว เปิดตัวพิธีกรได้เก๋มากๆ” เกี๊ยงตบมือ
อาจารย์เทพหันจ้องเกี๊ยง ว่าออกนอกหน้าไปนะ เกี๊ยงจ๋อยๆลง เอมี่ เห็นว่าน้ำมนต์ยืนอยู่ โดยที่ข้างๆตัวมีตุ๊กตาผีลอยอยู่ด้วย
“นั่น..คุณผีพีระเป็นตุ๊กตางั้นเหรอ”
“จริงด้วย ตลกเนอะ ฮ่าๆ” แมนสรวงโอบเอมี่
เอมี่ตีมือแมนสรวงเพี๊ยะ
“ทะลึ่งแระ”
แขกในงานเห็นภาพว่าน้ำมนต์ยืนอยู่กับตุ๊กตาไบลดธ์ลอยได้ พากันงงๆขำๆ ถ่ายรูป อัฐชัยมองอยู่ หน้าเครียด
“คบกับผีก็แย่แล้ว ยังเป็นผีเล่นตุ๊กตาไบลดธ์อีก..ไม่รู้จะพูดยังไง”
พิมพ์ดาวพูดลอยๆแดกดัน
“เห็นแล้วอยากมีแฟนเป็นผีบ้าง เบื่อคน”
บนเวทีพีระถามงงๆ
“แขกขำอะไรอะ”
“พวกเขามองไม่เห็นนาย เห็นแต่..กรองแก้ว”
“เขาก็เลยคิดว่าผมคือกรองแก้ว อืม สมใจเธอแล้วสิ”
พีระมองผ่านตุ๊กตาผี แล้วมองไปด้านหลัง เห็นร่างคามินยืนดูอยู่ในความมืดไวๆ แล้วคามินก็หายไป
“เฮ้ย”
“อะไร”
“น้ำมนต์ ที่นี่ไม่ปลอดภัย หมอผีเทพมันอยู่ที่นี่ มันคิดจะทำร้ายคุณ และผม มันถึงทำทุกอย่างเพื่อให้เรามางานนี้ให้ได้ คุณต้องออกไปจากที่นี่”
น้ำมนต์หันมามองพีระ รู้สึกดีที่พีระเป็นห่วงตน
“นายมาเพื่อมาเตือนฉันเรื่องนี้”
“ใช่ เรื่องนี้ด้วย เรื่องอื่นด้วย”
“เป็นห่วงฉันเหรอ”
“ก็ใช่...” พีระชะงัก เพราะรู้ว่าน้ำมนต์หลอกถาม แต่ก็ยอมรับ “เออ ห่วง”
เมสินีเข้ามาประกาศ...
“และในวันนี้ น้ำมนต์และผีคู่หูของเธอ จะเปิดประสบการณ์ผีผจญผีให้ทุกๆท่านได้สัมผัสพร้อมๆกัน ณ ผับร้างแห่งนี้” เมทินีชี้ไปที่นาฬิกาใหญ่ที่ติดอยู่ “ อีก10 นาที จะห้าทุ่ม ดิฉันอยากจะชวนทุกท่าน มาสนุกให้สุดเหวี่ยง เพื่อเป็นการเดินตามรอยสถานที่สุดสยองแห่งนี้ ขอให้ทุกท่านหยิบหน้ากากที่ได้รับแจกขึ้นมาสวมค่ะ”
แขกทุกคนเริ่มสนุก หยิบหน้ากากขึ้นมาสวม เป็นหน้ากากเรียบๆสีขาวๆแบบคล้ายๆกันเกือบทั้งหมด มีทั้งแบบเต็มหน้า ครึ่งหน้า เสี้ยวหน้า เมสินีกับยุทธยิ้มให้กัน แล้วหยิบหน้ากากขึ้นมาสวมเช่นกัน อาจารย์เทพและเกี๊ยงก็สวมหน้ากาก
“เฮ้ย ใส่หน้ากากเหมือนกันหมด แล้วจะแยกคนกับผีจากกันยังไง” พีระบ่น
แมนสรวงรู้ทันแผนของพวกเมสินี
“มันคิดจะอาศัยช่วงชุลมุน ตอนที่แยกแยะกันและกันไม่ออก จัดการพีระ”
“อะไรนะ” เอมี่ตกใจ
แขกบางส่วนเริ่มทยอยออกมาที่ฟลอร์เพื่อรอการเต้นแล้ว ทุกคนสวมหน้ากาก พีระคว้ามือจะพาน้ำมนต์ไป แต่น้ำมนต์ขืนไว้
“เราต้องไปเดี๋ยวนี้”
“เดี๋ยว..นายต้องรับปากมาก่อนเรื่องนึง”
“อะไร”
“นายจะพูดความจริงกับฉันและจะไม่หนีฉันไปไหนอีก ว่าไง ตกลงมั้ย”
“นี่ไม่ใช่เวลามาต่อรองนะคุณ ไป”
“ถ้าไม่ตอบ ฉันไม่ไป”
น้ำมนต์เดินเข้าไปร่วมในฟลอร์กับเขาด้วย
“เฮ้ย ยัยน้ำเปล่าปลุกเสก”
เมสินีดูบรรยากาศยิ้มพอใจ
“ความหลอนรอเราอยู่แล้ว เรามาเดินตามรอยหลอน นับถอยหลังสู่เวลาผีออกกันเถอะค่ะ..มิวสิค”
ดนตรีเพลงเต้นในผับดังขึ้น มีกลุ่มแดนเซอร์ในชุดผีๆออกมาเต้นบนเวที พวกแขกเริ่มสนุกไปด้วย ออกมาเต้นที่ฟลอร์
พิมพ์ดาวพูดกระแซะอัฐชัย
“ไปสิ ออกไปเต้นกับน้ำมนต์สิ”
“แกไปหัดมีความรักก่อนไป แล้วค่อยเสร่อมาแนะนำคนอื่น”
อัฐชัยเดินหนี พิมพ์ดาวหมั่นไส้ ชักทนไม่ไหว เดินตามไป
น้ำมนต์ออกมาที่ฟลอร์ พีระตามมา
“อย่าหาเรื่องให้ตัวเองเป็นอันตรายได้มั้ย”
แขกเหรื่อที่สวมหน้ากากทุกคน เริ่มเต้นตีวงล้อมเบียดเข้ามา พีระ คนที่สวมหน้ากากทุกคนดูไม่น่าไว้ใจหมด เหมือนจะเป็นผีหรือมีเจตนาร้ายหมด หลอนๆ พีระระแวง ปกป้องน้ำมนต์ไว้ ไม่ให้ใครเข้าใกล้
“ถ้าเป็นห่วงฉันจริง ก็รับปากมาสิ บอกมาว่าจะไม่ไปไหน จะอยู่ดูแลฉัน แล้วฉันจะไปกับนาย”
ระหว่างนั้น คามินที่สวมหน้ากากแบบเต็มกำลังเดินฝ่ากลุ่มคนที่เต้นอยู่เข้ามา พีระคว้ามือน้ำมนต์
“เราต้องออกไปเดี๋ยวนี้”
“ฉันจะเต้น”
น้ำมนต์รั้งมือไว้ ไม่ยอมไปกับพีระ
“มาเต้นกัน”
น้ำมนต์ชวนพีระเต้นด้วยกัน แต่พีระคอยระแวงรอบๆ
แมนสรวงมองไปเห็นอาจารย์เทพกับเกี๊ยงที่สวมหน้ากากเช่นกัน เดินฝ่ากลุ่มคนที่เต็ม ปะปนเข้ามา เป้าหมายคือพีระ
“แย่แล้ว”
“อะไรแย่”
เอมี่มองไม่เห็นแมนสรวงทั้งๆที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“อ้าว หายไปไหนแล้ว ตะกี้ยังพูดอยู่เลย”
“คุณจะมองเห็นผมอีกทีวันพรุ่งนี้นะครับ..ขอโทษที่ให้คุณรับรู้ภารกิจลับของผมไม่ได้”
แมนสรวงตามเข้าไปด้วย เอมี่ยังมองหาแมนสรวง
พีระไม่มีทางเลือก จำต้องรับปากน้ำมนต์
“โอเค ตกลง ไปกับผมได้ยัง”
“ไป”
พีระคว้ามือน้ำมนต์จะหันหลังพากันไป แต่อยู่ๆคามินมายืนตรงหน้า
“จะไปไหน”
“คามิน”
คามินจะบีบคอพีระ แต่อยู่ๆแมนสรวงโผล่เข้ามาก่อน ใช้มือแตะอกคามิน คามินกระเด็นถอยและหายไป
“ไป”
แต่อาจารย์เทพกับเกี๊ยงมายืนประจันหน้าอีก แล้วทันใด มีหุ่นผีหล่นลงมาจากเพดาน แขกที่กำลังเต้นๆอยู่บริเวณนั้นแตกฮือ กลายเป็นวงกลมโดยปริยาย เหลือน้ำมนต์ พีระ แมนสรวง อาจารย์เทพ เท่านั้น เกี๊ยงก็พลอยถอยไปด้วย
“แกหนีไม่รอดหรอก”
เมสินีคว้าไมค์ประกาศต่อ
“และนี่คือโชว์พิเศษจากเราค่ะ โชว์จับผีโดยอาจารย์เทพ”
แขกตื่นเต้นตบมือ ตื่นเต้น
ยุทธเข้าไปด้านหลังดึงตัวน้ำมนต์ออกมา
“ออกมา”
น้ำมนต์ไม่ทันตั้งตัวถูกดึงตัวออกไปได้ง่ายดาย
“น้ำมนต์”
พีระร้องเรียก น้ำมนต์ขัดขืน แต่ยุทธแรงมากกว่ากระชากตัวออกไปได้
พีระจะตาม แต่อาจารย์เทพสวดคาถาทันที พีระถูกดึงดูดไว้ด้วยพลังอาคม เพื่อให้เข้าไปในหม้อดิน แต่พีระพยายามต้านไว้ ไม่ยอมให้ถูกดูด ทันใด กรองแก้วถูกดูดเข้าไปในหม้อ
“กรองแก้ว”
ทันใด แมนสรวงชี้มือไปที่เพดาน หลอดไฟที่ประดับอยู่ตรงนั้นตกลงมาใส่จุดที่อาจารย์เทพยืนอยู่
อาจารย์เทพต้องกระโดดหลบก่อน..เพล้ง หม้อดินแตกกระจาย
“หนีไปก่อน”
แมนสรวงผลักมือใส่ พีระกระเด็นทะลุกำแพงออกไปด้านนอกผับ
“น้ำมนต์ ต้องไปช่วยน้ำมนต์”
พีระจะกลับเข้าไป แต่ต้องผงะ เพราะคามินยืนขวางหน้าอยู่ คามินถอดหน้ากากเขวี้ยงทิ้ง
ยุทธลากน้ำมนต์ออกมาอีกทาง น้ำมนต์โวยวาย
“ปล่อยฉัน”
เมสินีเดินตามมา
“ฉันแค่อยากจะคุยกับเธอส่วนตัวหน่อย”
“ฉันไม่คุยกับคุณ”
น้ำมนต์จ้องตอบอย่างดุ แต่เมสินีก็ไม่อ่อนให้
แมนสรวงใช้อำนาจคอยบงการต่างๆ อาจารย์เทพจะออกไปตามพีระ แต่แมนสรวงก็ใช้มือตวัด บังคับให้เก้าอี้ลอยมากระแทกหลัง..พลั่ก
“โอ๊ย” อาจารย์เทพร้องลั่น
แมนสรวงตวัดมือไปที่บาร์เทนเนอร์ที่กำลังโยนขวดเครื่องดื่มอยู่ ทำให้ขวดนั้นลอยละลิ่วมาที่อาจารย์เทพ แต่เกี๊ยงซึ่งวิ่งเข้ามาดูแลอาจารย์เทพพอดี เลยโดนขวดนั้นกระแทกหัวเข้าเต็มๆ
“โอ๊ย” เกี๊ยงมึน
แมนสรวงตวัดให้ขวดของบาร์เทนเนอร์ลอยมาอีกเพียบๆ เกี๊ยงกับอาจารย์เทพกอดกันก้มหัวเอาไว้ เพราะขวดลอยมากระแทกไม่หยุด บ้างก็ตกแตกข้างๆตัว เพล้งๆ แขกเหรื่อเริ่มตกใจ ทยอยกันถอยหนีออกจากผับ
ด้านหน้าผับ คามินเดินไล่ต้อน พีระถอย
“ไอ้วิญญาณบริสุทธิ์ วิญญาณของแก จะทำให้ฉันกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหน ฉันก็ต้องได้พลังจากแก”
คามินพุ่งเข้าไปจะบีบคอ แต่พีระสู้ ปัดมือคามินออก แล้วเตะ คามินผงะถอยไป พีระวิ่งหนี แต่อยู่ๆคามินโผล่มาดักหน้า พีระกระโดดเทคกับกำแพงแล้วเตะคามิน แต่คามินกันเอาไว้ได้ คามินคว้าพีระขึ้นมา จับทุ่มไปกระแทกผนัง แล้วคามินจะเผด็จศึก
“เอาวิญญาณของแกมา”
คามินพุ่งเข้าไปหาพีระ แต่อยู่ๆแมนสรวงมาโผล่ขวางและถูกบีบคอแทน
“ไอ้ยมทูต”
“แก..แกจะดูดพลังฉันแทนเหรอ พีระหนีไป ไม่ต้องห่วงฉัน ไป”
คามินดูดพลังยมทูตอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
“ไม่ได้พลังวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันจะเอาพลังยมทูตของแกแทน”
คามินดูดพลังแมนสรวง กลุ่มพลังของแมนสรวงที่แตกต่างจากวิญญาณอื่นๆและแตกต่างจากพีระ เป็นสีแดงไฟนรก ลอยเข้าไปสู่ร่างของคามิน
“อ๊าก” แมนสรวงร้องลั่น
“แมนสรวง” พีระห่วง
“หนีไปสิ” แมนสรวงอ่อนแรง
“แกจะต้องสลายไป”
แต่อยู่ๆคามินมีอาการผงะ อยู่ๆพลังที่ไหลเข้าไปก็ชะงัก สะดุดกึก ร่างกายของคามินเปล่งแสงสีแดงขึ้นมา ทั้งดวงตา จมูก ปาด ตามเนื้อตัว ขับสีแดงออกมา มีควันจากความร้อนพุ่งขึ้นมา
“อ๊าก”
คามินผลักแมนสรวงออก ร้อนรุ่มดั่งไฟนรกเข้าไปในร่างกาย แมนสรวงไม่ได้เป็นอะไรเลย ยืนสบายๆ ให้รู้ว่าเมื่อกี้ที่ตะโกนมากมายเป็นแค่การแสดง
“เป็นไง แอคติ้งระดับออสการ์นะเนี่ย”
“แก...แกทำอะไรฉัน”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรแกเลย แต่ผีเร่ร่อนอย่างแก คิดเหรอว่าจะเอาพลังยมทูตเข้าไปในร่างกายตัวเองได้ ไม่เจียมเลยน้องเอ๊ย...แกจะร้อนรุ่มดั่งไฟนรกแผดเผา ทางเดียวที่จะช่วยได้คืออะไรรู้มั้ย...ไม่บอก....”
แมนสรวงจะไปกับพีระ
“บอกมา”
คามินพุ่งเข้ามายืนขวางหน้าแมนสรวง
“บอกก็ด้ะ...อยากหาย แกต้องนั่งสมาธิและสวดมนต์เท่ากับจำนวนปีที่แกเร่ร่อนอยู่”
แมนสรวงผลักคามินออก แล้วทรุดไป แต่อยู่ๆอาจารย์เทพกับเกี๊ยงวิ่งตามออกมา
“อย่าคิดว่าแกจะหนีพ้น”
“อะไรอีกเนี่ย...ไป”
แมนสรวงกับพีระรีบวิ่งหนี แมนสรวงกระชากดึงตัวพีระ
“เดี๋ยว...พวกมันจับน้ำมนต์ไป”
“หนีก่อน” แมนสรวงรีบบอก
อาจารย์เทพพนมมือท่องคาถาเรียกผี ลมพัดแรง ท้องฟ้าปั่นป่วนในฉับพลัน
ขณะที่ลมพัดแรง อัฐชัยเดินแยกออกมาด้านนอก พิมพ์ดาวจ้ำตามมา
“แกคิดว่าฉันไม่มีความรักงั้นเหรอ”
“ใช่ แกมันดีแต่จุ้นเรื่องคนอื่น โอเค ฉันยอมรับว่าเป็นคนไปขอร้องให้แกช่วยเอง แต่แกไม่ใช่แค่ช่วย แกเข้ามาจุ้นจ้านวุ่นวายในชีวิตของฉันมาก มากยังกับฉันเป็นแฟนแก ต่อไปนี้ แกไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉันอีก”
“นี่คือสิ่งที่ฉันได้จากการช่วยแกใช่มั้ย”
“ฉันขอบคุณที่แกช่วย แต่เรื่องที่แกจุ้นจ้านกับชีวิตฉัน ฉันไม่ขอบคุณ และไม่ต้องการคำขอโทษ ขอแค่แกไปหาคนอื่นที่เขาจะช่วยให้แกรู้จักความรักก็พอแล้ว”
อัฐชัยไล่เสร็จ จะเดินไป พิมพ์ดาวอึดอัดคับข้องใจมาก พูดโพล่งออกมา
“ฉันรู้จักความรัก”
อัฐชัยชะงัก หันกลับมาอย่างสนใจ
“เหรอ แกรู้จักยังไง กับใคร ไหนเล่าให้ฟังทีสิ”
“ฉัน...”
“ฉัน ฉันอะไรครับ ตอบมาสิครับ”
“ฉันรักแก”
อัฐชัยอึ้ง พิมพ์ดาวพอพูดออกมาแล้วก็เหมือนก๊อกน้ำแตก คำพูดไหลพรั่งพรู
“ฉันรักแกตั้งแต่วันแก รักแบบเดียวกับที่แกรักน้ำมนต์ แต่ฉันพูดออกมาไม่ได้เพราะแกอยากให้ฉันช่วยจีบน้ำมนต์ ฉันไม่อยากเสียเพื่อน ฉันถึงต้องอดทนมาตลอด ฉันไม่เคยมองใครอีกเลย เพราะฉันรักแกคนเดียว..อย่างนี้แกยังกล้าหาว่าฉันไม่รู้จักความรักอีกเหรอ”
“แก..แกล้อเล่น ใช่มั้ย”
“จะลองจูบกันดูมั้ยล่ะ ถ้าแกตัดใจจากน้ำมนต์ได้แล้ว ฉันขอโอกาสได้มั้ย”
อัฐชัยผงะ ตั้งตัวไม่ทัน ยกมือทำท่าเบรก แล้วถอยๆ เดินหนี พิมพ์ดาวอึ้ง
น้ำมนต์จะออกจากห้อง แต่ยุทธผลักให้ถอยกลับเข้าไป
“อยู่เฉยๆ”
“พวกคุณวางแผนทุกอย่างเอาไว้เพื่อทำร้ายฉันกับพีระใช่มั้ย ฉันรู้ คุณอยากให้พีระตายใช่มั้ย”
“นี่เธอรู้เหรอ” ยุทธตกใจ
เมสินีตัดสินใจพูดทันที
“งั้นฉันไม่อ้อมค้อมนะ ถ้าอยากให้บริษัทเอมี่อยู่รอด ละครเวทีพวกเธอมีสปอนเซอร์ เธอต้องอยู่ข้างฉัน ทำตามคำสั่งของฉัน ไม่อย่างนั้นฉันไม่ปรานีพวกเธออีกแม้แต่นิดเดียว”
“ทำเลยค่ะ ฉันไม่กลัว เพราะฉันจะไม่ขออยู่ข้างเดียวกับคนชั่วเด็ดขาด..คุณเมสินี ถึงคุณจะพยายามกลบเกลื่อนความผิดยังไง แต่ฉันรู้ทุกอย่างที่คุณทำ ทั้งเรื่องปัจจุบันและเรื่องในอดีต”
เมสินีผวาเข้าจับต้นแขน เขย่า อย่างคุมอาการไม่ได้
“เรื่องอะไร แกรู้อะไร..พูดออกมาสิ..น้ำมนต์ เธอรู้มั้ยว่าเธอกำลังเล่นอยู่กับใคร..แกรู้อะไรพูดออกมา”
“ฆาตกร”
คำสั้นๆทำเอาเมสินีผงะ ช็อก ยืนทื่อไปเลย ยุทธพลอยช็อกไปด้วย
“แค่นี้คุณคงจะรู้แล้วนะคะว่าฉันหมายถึงเรื่องอะไร”
“แก..แกรู้แล้ว..แกรู้เรื่องของฉัน..ฉันไม่ยอม”
เมสินีไปคว้ากระเป๋า กำลังจะหยิบปืนออกมา แต่อยู่ๆเอมี่วิ่งเข้ามาตามก่อน”
“น้ำมนต์..คุณเมสินี คุยอะไรกันอยู่คะ” เอมี่พูดโทรศัพท์ไปด้วย “ใช่ค่ะคุณตำรวจ ตอนนี้ที่มีเหตุวุ่นวาย มีคนบาดเจ็บนิดหน่อย ช่วยประสานทีนะคะ”
น้ำมนต์เดินออกไปจากห้อง เอมี่ตามไป เมสินีแค้นมาก
อัฐชัยเดินหนีออกมาทางด้านหน้าผับ พิมพ์ดาววิ่งตามมา
“ทำไม..ทำไมแกถึงไม่รักฉัน ฉันต้องทำยังไง แกถึงจะรักฉันได้บ้าง แกบอกมาสิ” พิมพ์ดาวเข้ากระชากอัฐชัยไว้
“บอกมา”
“เพราะฉันรักน้ำมนต์ และแกถูกจัดอยู่ในโหมดเพื่อนไปแล้ว แกก็ต้องอยู่ในโหมดเพื่อนไปจนตาย..แกเลิกหวังได้เลย ต่อให้โลกนี้เหลือแกเป็นผู้หญิงคนสุดท้าย ฉันก็ไม่รัก ฉันขอเป็นเก้งเป็นกวางยังดีกว่ารักแก”
พิมพ์ดาวยืนช็อก สะเทือนใจ เจ็บปวดใจจนพูดไม่ออก ราวกับวิญญาณหลุดจากร่างไปเลย
อัฐชัยเดินหนีไป พิมพ์ดาวน้ำตาไหล
“ฉันมันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอ”
แมนสรวงจับมือดึงพีระหนีมาอีกด้าน เป็นถนนเปลี่ยว สองข้างทางเป็นที่รกร้าง มีแสงสว่างจากไฟถนนที่สลัวมาก ให้ความรู้สึกวังเวง หลอน เป็นถนนที่คนสัญจรน้อย
“ฉันต้องกลับไปช่วยน้ำมนต์”
“น้ำมนต์ไม่เป็นอะไรหรอก แต่แกน่ะสิ ไอ้หมอผีมันจะมาฆ่าแกอยู่แล้ว รู้ตัวมั้ย”
“ถ้าฉันต้องตายเพราะช่วยน้ำมนต์ ก็ถือว่าฉันได้ชดเชยความผิดที่เคยทำในไว้ในอดีต”
มีบางสิ่งบางอย่างสีขาวๆแว่บผ่านไปด้านนั้นทีด้านนี้ที พีระกับแมนสรวงหันขวับมองไป แต่มองไม่ทัน พวกมันแว่บผ่านไปเร็วมาก จนพีระกับแมนสรวงสยอง
“เชื่อฉัน..ห่วงตัวเองก่อนเถอะ”
อยู่ๆมีเสียงคำรามดังมาจากอีกด้าน เสียงมันราวกับเสียงซอมบี้กระฉากเนื้อที่เหนียวๆ แคว๊ก ฟังดูหลอนๆ พีระกับแมนสรวงรีบหันไปทิศทางของเสียงทันที บางสิ่งบางอย่างกำลังจะออกมาจากความมืด
พีระกับแมนสรวงสยอง ลุ้น แล้วมันก็ค่อยๆออกมา เป็นร่างของผีชายที่ผอมกะหร่องจนเห็นกระดูกโปน ตัวของมันสีขาวโพลนทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า มันคลานออกมาในท่วงท่าเหมือนกบเดิน
“ตัว..อะไร” พีระตะลึง
“ผี..ที่ไอ้หมอผี..เลี้ยงเอาไว้ด้วยอาคม จนร่างกายของมัน..เผือก”
“ผีเผือก”
ทันใด มีผีลักษณะเดียวกัน คลานตามกันออกมาจากความมืดอีก3-4ตัว
“อืม เผือกจริงๆ (เสือกจริงๆ) เผือกมากันเต็มเลย”
พวกผีทุกตัวเงยหน้ามา พวกมันค่อยๆแยกเขี้ยวยิงฟันพร้อมๆกัน เห็นว่าปากของพวกมันเป็นหลุมดำมืด ไม่มีฟัน มีแต่ความดำมืด แล้วพวกมันก็กระโจนเข้าใส่ทันที
“เฮ้ย”
พีระกับแมนสรวงรีบปัดหลบ ก่อนที่พวกมันจะตะครุบตัวได้ ทั้งสองคนรีบวิ่งหนีสุดชีวิต พวกผีเผือกแยกเขี้ยวอีกครั้ง คำรามดัง แล้วไล่กวดตาม
พีระกับแมนสรวงวิ่งหนีเร็วสุดชีวิตมาตามทางรกร้างนอกเมือง พวกผีเผือกวิ่งไล่กวดอย่างรวดเร็วไม่แพ้ พวกมันทั้งวิ่งกวด ทั้งกระโดด เร็วและดุดันจนน่ากลัวมาก จนในที่สุด ผีเผือกตัวหนึ่งสามารถกระโจนกระแทกพีระได้..พลั่ก
พีระกระเด็นและกลิ้งไปกับพื้น แล้วผีเผือกตัวหนึ่งก็กระโจนขึ้นคร่อมกดพีระติดกับพื้น มันยื่นหน้าคำราม แยกเขี้ยวที่มีแต่ความดำมืดมาตรงหน้าพีระ
“แคว๊ก”
แมนสรวงชะงัก จะวกกลับมาช่วย
“พีระ”
แต่พวกผีเผือกที่เหลือเข้ามายืนขวางแมนสรวง ไม่ให้ผ่านไปช่วยพีระได้ พวกมันรวมกลุ่มกันราวกับประกอบร่าง แล้วพวกมันก็แยกเขี้ยวพร้อมกัน แมนสรวงผงะ จะถอยหนี แต่พวกผีเผือกพุ่งเข้าหาแมนสรวงพร้อมๆกัน แมนสรวงถูกกดเอาไว้กับพื้น ล็อกมือ ล็อกเท้า กระดุกกระดิกไม่ได้ พวกผีเผือกคำราม อ้าปากกว้าง แล้วงับพีระและแมนสรวงพร้อมๆกัน มันงับพีระที่ช่วงบ่า พวกผีเผือกงับแมนสรวงตามจุดต่างๆ
“อ๊าก” พีระ แมนสรวงร้องลั่น
แล้วอยู่ๆ มีเสียงสวดมนต์ดังมาจากที่ไกลๆ พวกผีเผือกชะงัก มองหาที่มาของเสียง ปรากฏว่า หลวงพ่อเทียน เดินเข้ามา ทุกท่วงท่าสงบ มีสมาธิ และศักดิ์สิทธิ์ ท่านสวดมนต์ไปด้วย
“จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย”
พวกผีเผือกผละออก แล้วค่อยๆกระจายตัว ถอยออกห่างพีระไปอยู่รอบๆ พีระกับแมนสรวงรอดหวุดหวิด หลวงพ่อเทียนยืนมองพวกผีเผือกที่จอจ่อรอจังหวะอยู่รอบๆอย่างสงบนิ่ง แล้วมองไปที่พีระและแมนสรวง เหมือนจะชวนให้ตามมา แล้วหลวงพ่อก็หันกลับเดินนำไป พีระกับแมนสรวงรีบตามๆหลวงพ่อไป เพราะเชื่อว่าหลวงพ่อปกป้องได้
พวกผีเผือกยังตามรอจังหวะ แต่เกรงบารมีหลวงพ่อ พีระกับแมนสรวงรีบตามติดหลวงพ่อไปเรื่อยๆ
คุณผีที่รัก ตอนที่ 11 (ต่อ)
พิมพ์ดาวเดินเศร้า หมดแรง กลับมาที่บ้าน มีเสียงของอัฐชัยดังหลอกหลอนมาในความคิด
“เพราะฉันรักน้ำมนต์ และแกถูกจัดอยู่ในโหมดเพื่อนไปแล้ว แกก็ต้องอยู่ในโหมดเพื่อนไปจนตาย..แกเลิกหวังได้เลย ต่อให้โลกนี้เหลือแกเป็นผู้หญิงคนสุดท้าย ฉันก็ไม่รัก ฉันขอเป็นเก้งเป็นกวางยังดีกว่ารักแก”
พิมพ์ดาวนั่งลงที่โต๊ะของร้าน ไม่ฟูมฟาย แต่น้ำตาไหล เจ๊แมวเดินถือไม้กวาดออกมาพอดี
“ยัยดาว..แม่ก็นึกว่าขโมยที่ไหน กลับมาแล้วทำไมไม่เข้าบ้าน”
“เดี๋ยวเข้าค่ะ”
“แกร้องไห้เหรอ..เป็นอะไร..ใครรังแก บอกแม่มา เดี๋ยวแม่จะไปด่ามันให้เอง..บอกมา”
“แม่”
พิมพ์ดาวซึ้งใจของแม่ โผกอดแม่เอาไว้ ร้องไห้ เจ๊แมวลูบหัวปลอบๆ
เอมี่มาส่งน้ำมนต์ที่บ้าน น้ำมนต์เครียด
“เชื่อพี่เถอะ พีระต้องดูแลตัวเองได้ เธอไม่ต้องห่วงเขาหรอก คนที่เธอควรห่วงคือน้องชายตัวแสบของเธอมากกว่า จะทำอะไร คิดถึงน้องชายเธอด้วย ถ้าไม่มีเธอ ข้าวต้มก็ไม่มีใครแล้วนะ”
“ค่ะ หนูจะรอถึงพรุ่งนี้เช้า ถ้าพีระยังไม่กลับมา ค่อยไปตามหา”
“พี่จะไปกับเธอด้วย..งั้นก็เลิกทำหน้าชิวาว่าท้องผูกได้แล้ว เธอทำหน้างี้มาตลอดทางเลยนะ”
น้ำมนต์นิ่ง ยังคงทำหน้าเครียด
“หรือยังมีเรื่องกลุ้มใจอะไรอีก”
“เอ่อ พี่เอมี่คะ ขอกอดทีได้มั้ยคะ”
“มีเรื่องอะไร”
“หนูเรียกคุณเมสินีว่าฆาตกร”
“หา..เธอเรียกไปอย่างนั้นจริงๆเหรอ”
“หนูไม่ได้ตั้งใจจะพูด แต่มันหยุดไม่ได้ แล้วเขาก็..ก็ตกใจมาก..นี่ก็แสดงว่าเขารู้ตัวว่าเขาทำอะไรเอาไว้..เขาทำให้แม่หนูตายจริงๆ”
น้ำมนต์เข้ากอดเอมี่ แล้วน้ำมนต์ก็ค่อยๆกอดแน่นขึ้น เพราะรู้สึกเหมือนได้กอดแม่ เอมี่ก็กอดตอบ ปลอบ
“ใจเย็นๆก่อนนะ ใจเย็นๆ”
พิมพ์ดาวกอดเจ๊แมวอยู่ อยู่ๆเจ๊แมวก็พูดออกมา
“อัฐชัยเป็นคนทำให้แกเสียใจใช่มั้ย”
พิมพ์ดาวอึ้ง
“แม่...แม่รู้”
“คนเป็นแม่ไม่มีใครดูไม่ออกหรอกว่าลูกเราแอบชอบใครอยู่ ยิ่งแกน่ะ ดูง่ายมากๆ..แม่กับน้องถึงได้เชียร์แกกับเขาไง”
“แต่เขาเกลียดหนู ต่อให้ไม่เหลือใคร เขาก็ไม่คบหนู”
“แล้วแกอยากคบเขามั้ยล่ะ”
“เอ่อ..” พิมพ์ดาวอึกอัก
“เขาไม่ได้มีสิทธิเลือกที่จะเลิกคบหรือไม่คบแกฝ่ายเดียว..แกก็มีสิทธิเลือกสิ่งที่แกต้องการได้”
“หนูมีสิทธิ..”
“ใช่ เขาจะไม่รักแกมันก็สิทธิของเขา แต่แกจะรักต่อหรือยอมแพ้ มันก็สิทธิของแก ชีวิตแกแกกำหนด แค่อย่าไปก้าวก่ายสิทธิคนอื่น ทำคนอื่นเดือดร้อนก็พอ”
“แล้วหนูควรทำยังไงต่อ..ถ้าแม่เป็นหนู แม่จะทำยังไง”
“เลิกแอ๊บ...แกช่วยให้เขากับน้ำมนต์ได้รักกัน แต่เขากลับด่าแกซะเสียชื่อลูกเจ๊แมวขนาดนี้ จะแอ๊บทำไมอีก..ทำอย่างที่แกอยากทำ..มันถึงคราวที่แกต้องสู้แล้ว”
“ต้องสู้”
พิมพ์ดาวแววตามุ่งมั่นฮึกเหิมขึ้น คิดจัดการเอาชนะอัฐชัยให้ได้
เอมี่นั่งปลอบน้ำมนต์
“ช่างมัน เผลอพูดไปแล้วจะให้ทำยังไงได้ เธอไม่ต้องกังวล”
“หนูกลัวจะทำให้พี่และทุกๆคนเดือดร้อน”
“เดือดร้อนก็ต้องเดือดสิ ถ้าคุณเมสินีเป็นคนที่ทำให้แม่เธอเสีย แล้วเขายังลอยนวลมีหน้ามีตาในสังคมได้ พี่ก็ไม่ทำงานกับคนเลวๆเหมือนกัน คนที่เห็นชีวิตเพื่อนมนุษย์ไม่มีค่า เขานั่นแหละไม่มีค่ายิ่งกว่า”
“ขอบคุณนะคะพี่เอมี่”
“แต่เธอแน่ใจเหรอว่าคือคุณเมสินีจริงๆ”
“รถคันนั้นเป็นของเขา และภาพที่พีระเห็นก็คือเขาเป็นคนขับรถคันนั้นในวันที่แม่หนูรถคว่ำ”
“แต่พีระก็ไม่ได้เห็นตอนชนใช่มั้ยล่ะ..พี่ไม่ได้ไม่เชื่อนะ แต่พี่ถามเผื่อไว้ กลัวว่าด่าคุณเมสินีไปตั้งเยอะแล้วมันดันหักมุมเป็นคนอื่นขับ..เราจะหงายเงิบ”
“ถ้าพี่เห็นสีหน้าตอนที่เขาได้ยินหนูพูดว่าฆาตกร เขาตกใจ และช็อกมากที่หนูรู้ ถ้าพี่เห็นสายตาเขาพี่จะรู้เลยว่าเขาฆ่าคนได้..แล้วเขายังทำท่าเหมือนจะฆ่าหนูด้วยซ้ำ..เขาคือคนที่ทำให้แม่หนูตายแน่ๆ”
“จ้ะ พี่เชื่อเธอ เราทีมเดียวกันอยู่แล้ว”
น้ำมนต์หันมายิ้ม
“พี่เอมี่อบอุ่นเหมือนแม่หนูเลยนะคะ กอดพี่เหมือนกอดแม่เลย”
“แม่เลยเหรอ ปล่อยๆ ไม่เป็นทีมเดียวกับเธอแล้ว”
เอมี่ตัดพ้อเล่นๆขำๆ น้ำมนต์กอดไว้ต่อ หัวเราะๆกัน
สำนักอาจารย์เทพ...คามินนั่งซุกตัวด้วยความเจ็บปวด เนื้อตัวแดงผุพองจากการรับพลังยมทูต ส่งเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดตลอดเวลา อาจารย์เทพกับเกี๊ยงเดินเข้ามายืนมอง อาจารย์เทพเจ็บแค้นพีระ
“ไอ้พีระ..นี่มันเป็นผีธรรมดาหรือเป็นอะไรกันแน่ ทำไมมันถึงเอาตัวรอดได้มันทุกครั้งเลย”
“มันอาจจะโชคดีมาก มีบุญมาก หรือไม่ก็ฉลาดมาก หรือไม่ก็..เราโง่มาก” เกี๊ยงออกความเห็น
“ไอ้เกี๊ยง” อาจารย์เทพหันมาหาคามิน “ฉันรู้ว่าเพราะใคร..เพราะไอ้ผีกุ๊ยกระจอกอย่างมันนี่แหละ..ฉันจัดฉาก เปิดโอกาสให้แกจัดการพีระแล้ว แต่แกก็ยังทำพลาด แล้วยังถูกพวกมันเล่นงานกลับมาอีก”
“ไอ้ยมทูต เพราะมันเข้ามาช่วย”
อาจารย์เทพหยิบธงอาคมประจำตัวขึ้นมา
“ถ้าไอ้ยมทูตมีมันเก่งนัก งั้นฉันจะเพิ่มพลังให้แกเอง”
“จารย์จะเพิ่มพลังให้มันอีกเหรอ”
“ฉันจะช่วยทำให้แกรู้ว่า..ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่ฉันจะไม่ยอมรับอีกต่อไป”
-อาจารย์เทพฟาดธงใส่คามินไม่ยั้ง พลังอาคมกระแทกจนคามินเจ็บปวด เนื้อตัวแตกเป็นชิ้นๆ
“อ๊าก”
“แกจะต้องจดจำความเจ็บปวดนี้ตลอดไป”
อาจารย์เทพฟาดไม่ยั้ง คามินเนื้อตัวแตกเป็นชิ้นๆ แต่แววตาที่มองอาจารย์เทพนั้นโกรธแค้นอาฆาตมาดร้ายอย่างถึงที่สุด
วันใหม่ อัฐชัยขับรถมาจอดหน้าบ้านน้ำมนต์ อัฐชัยเดินเข้ามายืนด้อมๆมองๆหน้าบ้าน พูดโทรกับเอมี่ไปด้วย
“ผมมาถึงแล้วครับพี่เอมี่ แต่ทำไมพี่ต้องบังคับผมด้วย”
เอมี่ขับรถอยู่ พูดบลูทูธอยู่ในรถ
“พวกเธอเป็นเพื่อนกันนะ มีอะไรก็ต้องรีบเคลียร์กัน ทิ้งไว้นานมันจะยิ่งคุยกันลำบาก หรือว่าอยากเสียเพื่อน”
“แต่..ผมยังไม่พร้อม เอาไว้...ให้ผมทำใจได้ก่อนได้มั้ย”
น้ำมนต์เดินออกมาเจออัฐชัยก่อน
“อัฐ...”
อัฐชัยรีบออกตัว
“ไม่ได้อยากมา ผ่านมา ไม่ได้อกหักด้วย ไม่เป็นอะไรเลย แต่..ไหนๆผ่านมาแล้ว อยากจะไปไหนหรือเปล่า”
“พี่เอมี่โทรมาบอกว่าอัฐจะพาเราไปสำนักอาจารย์เทพตามหาพีระ..แต่ถ้าไม่สะดวก ก็ไม่เป็นไร”
“ก็ไม่เชิงไม่สะดวก ก็แค่ว่างๆขำๆ ไปได้ ฆ่าเวลา”
น้ำมนต์จ้องเซ็งๆที่อัฐชัยฟอร์มจัด อัฐชัยทำเต๊ะท่ามีมาดมีฟอร์ม แต่ก็แอบห่วงๆกลัวน้ำมนต์เหวี่ยง
น้ำมนต์นั่งรถมากับอัฐชัย
“ในงานเมื่อคืน คุณเมสินีเอาหมอผีมาจับพีระ แต่ก็ไม่รู้ว่าพีระจะถูกจับไปหรือเปล่า และตอนนี้เป็นไงบ้าง”
“ถ้าถูกจับไป ป่านนี้คงถูกกำจัดไปแล้ว”
น้ำมนต์อึ้ง ช็อกไป พยายามปลอบตัวเอง
“ไม่จริง”
อัฐชัยเห็นน้ำมนต์ช็อกไป รู้สึกผิด
“เอ่อ ฉันไม่ได้ตั้งใจพูดให้เครียดนะ ฉันก็แค่พูดตามความน่าจะเป็น ก็น้ำมนต์เล่าว่า คุณเมสินีก็อยากให้พีระตาย อาจารย์เทพกับไอ้ผีบ้าพลังที่หลุดมาจากสุสานรถก็อยากจะเอาวิญญาณเขา..แล้วพอจับไปได้ จะเก็บเอาไว้ทำไม..ไม่ใช่มะม่วงอกร่องนะจะได้บ่มไว้รอให้หวาน”
น้ำมนต์นิ่งไป เครียด น้ำตาคลอ อัฐชัยอึ้งๆ
“น้ำมนต์ห่วงพีระมากขนาดนี้เลยเหรอ”
น้ำมนต์นิ่ง มองตรงไป อัฐชัยหันกลับมาขับรถต่อ ภาพผ่านไปเห็นข้างหน้า ที่กลางถนนมีชายคนหนึ่งยืนหันหลังอยู่ และรถกำลังพุ่งชน แต่น้ำมนต์กับอัฐชัยไม่มีท่าทีตกใจอะไร เพราะมองไม่เห็น
รถพุ่งชนชายคนนั้น ทะลุผ่านไป ชายคนนั้นคือแมนสรวงนั่นเอง แมนสรวงยิ้ม หยิบมือถือขึ้นมาแนบหู
ภายในรถ อยู่ๆวิทยุในรถทำงานขึ้นมาเอง เป็นเสียงนำแบบโอเปอเรเตอร์ห้าง ตุ่งตุงตุงตุ้ง น้ำมนต์กับอัฐชัยแปลกใจ แล้วจากนั้นก็เป็นเสียงแมนสรวง
“สวัสดีครับพี่ดีเจ..ผมอยากขอร้องพี่ดีเจไปบอกผู้หญิงที่ชื่อว่าน้ำมนต์หน่อยครับ..ไม่ต้องงง เธอนั่นแหละน้ำมนต์..นายไม่เกี่ยวนะอัฐชัย”
“เฮ้ย” น้ำมนต์ กับอัฐชัยร้องขึ้นมาอย่างตกใจ
แมนสรวงพูดโทรศัพท์อยู่ข้างถนน
“เพื่อนของผมชื่อพีระครับ ฝากข้อความถึงยัยน้ำเปล่าปลุกเสกว่า...ผมปลอดภัยดี ตอนนี้อยู่ในที่ไม่มีอันตราย ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย จะติดต่อกลับมา”
“เดี๋ยว..นี่คุณยมทูตใช่มั้ย ตอนนี้พีระอยู่ที่ไหน”
“นี่ไม่ใช่ยมทูต นี่เป็นคนธรรมดาที่มีพี่ดีเจเป็นไอด้อล..เพื่อนผมฝากมาบอกแค่นี้ครับ..สุดท้ายนี้ผมขอเพลงด้วยนะครับพี่ดีเจ เพลง ไม่สั้นเสมอหูอย่าเรียกหนูว่าใบเตย ขอบคุณครับ”
แมนสรวงวางสายไป น้ำมนต์ฮึดฮัดอะไรเนี่ย
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวๆ โธ่”
วัดนอกเมือง บรรยากาศร่มรื่น สงบ พีระกราบพระประธานในโบสถ์
“อีกแค่ 10 วัน ผมควรจะใช้เวลา 10 วันที่เหลือนี้ยังไงดีครับ ควรจะดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดต่อไปจนวินาทีสุดท้าย หรือใช้ 10 วันนี้ทำประโยชน์เพื่อคนอื่น ช่วยแนะนำผมด้วยครับ”
หลวงพ่อเทียนเดินเข้ามา
“ไม่มีใครตัดสินชะตาใครได้ เท่าตัวเราเอง มองเห็นปลายทางของชีวิตเป็นเช่นไร จงทำตัวเพื่อไปให้ถึงสิ่งนั้นด้วยความวิริยะอุตสาหะไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ถ้าตอนนี้ยังสับสน ก็อยู่ที่นี่ไปก่อน จนกว่าจะพบคำตอบ แล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย”
“หลวงพ่อ...พูดกับผมเหรอครับ”
“เข้าใจมั้ยเณร”
ปรากฏว่ามีเณรน้อยหน้าตาน่ารักหลบอยู่หลังหลวงพ่ออีกที เณรน้อยโผล่มายิ้ม แล้วเณรก็เดินไปนั่งขัดสมาธิข้างๆพีระ หลวงพ่อยืนมองเณรน้อย พีระชักไม่แน่ใจ
“เอ่อ...หลวงพ่อ...เห็นผมมั้ยครับ”
พีระเหล่มอง ชะเง้อคอมองว่าหลวงพ่อมองเห็นมั้ย แต่หลวงพ่อเทียนนิ่ง
“มีสติ มีสมาธิ แล้วจะเห็นคำตอบนะเณร”
หลวงพ่อเทียนเดินออกไป พีระงง มองหลวงพ่อ แล้วหันกลับมามองเณรที่นั่งสมาธิยุกยิกๆประสาเด็ก
ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง...อัฐชัยยกก๋วยเตี๋ยวมาวางเสิร์ฟให้ น้ำมนต์บ่น ฮึดฮัดๆ
“แทนที่จะบอกด้วยว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ไม่รู้จะปิดไว้ทำไม อย่าให้เจอหน้านะ ทั้งผีทั้งยมทูตเลย ฮึ่ย”
“เอาน่า อย่างน้อยก็สบายใจได้แล้วว่าพีระปลอดภัย จริงมั้ยล่ะ...มาๆ กินให้อารมณ์ดีดีกว่า”
“ฉันกินไม่ลง”
“น่าอิจฉาพีระจริงๆ น้ำมนต์คงจะรักพีระมาก ไม่ต้องปฏิเสธ สิ่งที่น้ำมนต์เป็นอยู่มันแทนคำตอบทุกอย่างหมดแล้ว”
อัฐชัยเครียด น้ำมนต์กลับกลายเป็นฝ่ายต้องชวนกิน”
“เหย ไม่เอา ไม่เครียด มาๆกินให้อารมณ์ดีดีกว่า”
“อัฐไม่มีอารมณ์กิน”
“อย่าเลียนแบบได้เปล่า ฉันไม่มีอารมณ์คนเดียวได้ อัฐห้ามทำตาม กินๆ”
“น้ำมนต์...เรายังเป็นเพื่อนกันใช่มั้ย”
“ถามทำไม ก็ต้องเป็นสิ”
“อัฐแค่ไม่อยากเสียเพื่อน ถึงจะเป็นมากกว่าเพื่อนไม่ได้ แต่อัฐก็ยังรักและห่วงน้ำมนต์มากอยู่ดี ถ้าการช่วยให้พีระกลับมามีชีวิตได้ทำให้น้ำมนต์มีความสุข อัฐก็จะช่วย”
น้ำมนต์ยิ้ม ซึ้งใจ
“ฉันโชคดีที่สุดที่มีเพื่อนที่น่ารักมากกกอย่างนาย...อ่ะ ฉันยกลูกชิ้นให้สองลูกเลย”
สองคนยิ้มๆให้กัน เข้าใจกัน
ในสำนักอาจารย์เทพ...คามินนั่งบาดเจ็บอ่อนแรงอยู่ที่เดิม เคียดแค้น เกี๊ยงเดินเข้ามา เตรียมอุปกรณ์สำหรับทำพิธีต่างๆให้พร้อม แต่แล้วชะงัก เพราะหันไปเห็นว่าคามินจ้องอยู่
“มองอะไร”
คามินยังมอง
“ฉันถามว่ามองอะไร” เกี๊ยงตะคอก
“ทำไม แกจะทำอะไรฉัน ไอ้ลูกหมา”
“เฮ้ย พูดงี้อยากมีเรื่องใช่มั้ย” เกี๊ยงโกรธ
“หึ อย่างแกไม่มีปัญญาทำอะไรฉันได้หรอก ท่องอาคมผิดๆถูกๆ จะจับฉันก็กลายเป็นปล่อย จะทำร้ายฉัน ก็คงจะทำร้ายตัวเอง ชาตินี้ทั้งชาติแกก็เป็นได้แค่ลูกศิษย์ตามเช็ดก้นอาจารย์แกนั่นแหละ”
คามินตวัดกระโถนพุ่งเข้าไปกระแทกใส่เกี๊ยง
“แก”
เกี๊ยงเผลอตัวขยับเข้าใกล้คามิน หารู้ไม่ว่าคามินรอจังหวะนี้อยู่ ผวากางกรงเล็บจะขยำคอของเกี๊ยง ทันใดนั้นเสียงอาจารย์เทพดังขึ้น
“หยุด”
คามินชะงักก่อนที่กรงเล็บจะถึงคอเกี๊ยง แล้วกระเด็นกลับไป
“แกคิดจะลองดีกับฉันเหรอไอ้คามิน”
อาจารย์เทพคว้าเอาธงอาคมประจำตัวมา แล้วฟาดใส่อีก คามินร้องคำรามลั่น แต่แววตายังเคียดแค้น
ในมหาวิทยาลัย...เอมี่เดินมาเจอพิมพ์ดาว
“เธอพูดจริงเหรอดาว”
“ค่ะ”
“ถ้าเธอเอาจริง พี่สนับสนุนสุดติ่งเลย เธอควรจะทำอย่างนี้มาตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ มา จะให้พี่ช่วยอะไรว่ามา”
อัฐชัยกับน้ำมนต์เดินเข้ามาในมหาวิทยาลัยด้วยกัน
“พีระมียมทูตเป็นเทรนเนอร์งั้นเหรอ”
“ใช่ เขามีหน้าที่ช่วยทำให้พีระกลับไปเข้าร่างของตัวเองให้ได้” น้ำมนต์บ่นต่อ “แล้วจะบอกว่าอยู่ที่ไหนด้วยก็ไม่ได้ ทั้งผีทั้งยมทูต กวนประสาทพอกัน”
“เอาน่า เขามาบอกก็ดีแล้วจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวถ้ามีอะไรคืบหน้าเขาก็คงจะมาบอกข่าวอีก...สบายใจเถอะนะ”
น้ำมนต์ซึ้งใจที่อัฐชัยเข้าใจดี
“ขอบใจนะอัฐ ขอบใจที่เข้าใจฉัน แล้วก็ขอบใจแทนพีระที่นายคิดจะช่วยเขาด้วย”
“ใครว่าช่วยพีระ อัฐช่วยน้ำมนต์ต่างหาก”
สองคนยิ้มๆให้กัน ทันใด มีเสียงประกาศตามสายดังมา เป็นเสียงพิมพ์ดาว
“ประกาศ...ประกาศ นายอัฐชัย เอื้ออำนวยกิจ...นายอัฐชัย เอื้ออำนวยกิจ ขอให้มาที่สนามหน้าตึกกิจกรรมด่วน”
อัฐชัยกับน้ำมนต์มองหน้ากัน งงๆ
บริเวณลานหน้าตึก อัฐชัยกับน้ำมนต์เดินเข้ามา แล้วก็พบว่า ที่บริเวณลานนั้น มีพิมพ์ดาวรออยู่แล้ว เธอแต่งตัวสวยจัดเต็ม ยืนอยู่บนแท่น โดดเด่น โดยมีเอมี่คอยเป็นลูกคู่ยุยง เอมี่เทสไมค์ลอย อัฐชัยแปลกใจ
“ดาว เล่นอะไรของแก”
“โหลๆ ขอบคุณที่ให้ยืมไมค์นะคะ” เอมี่ส่งไมค์ให้พิมพ์ดาว “สู้เพื่อศักดิ์ศรีค่ะ”
พิมพ์ดาวจ้องหน้าอัฐชัย แค้น แล้วตัดสินใจประกาศออกไมค์
“ทุกคนคะ ฉัน นางสาวพิมพ์ดาว ถนอมดี สาวสวยดีกรีลีดส์ ดรัม และดาวมหาลัย ทุกคนว่าฉันสวยมั้ยคะ ใครว่าสวยขอเสียงหน่อย”
“เฮ...”
เอมี่นำทีมเฮ พวกนักศึกษาที่มุงตบมือ เฮตามไปด้วย พิมพ์ดาวประกาศต่อ
“แต่เมื่อวานนี้...ฉันถูกผู้ชายคนนี้กล่าวหาว่า ต่อให้โลกเหลือฉันเป็นชะนีตัวสุดท้าย เขาก็ขอเป็นเก้งกวางยังดีซะกว่า”
“โห่...” เอมี่นำ
พวกนักศึกษาโห่ตาม เพราะส่วนใหญ่ก็ชื่นชมพิมพ์ดาวว่าสวยเก่ง แต่อัฐชัยก็ไม่ได้แคร์อะไร
“แล้วไง ก็ฉันรู้สึกอย่างนี้จริงๆ”
กระเทยสองคนที่มุงอยู่ด้านหนึ่ง รีบหยิบแป้งพัฟขึ้นมาโบ๊ะหน้า สลับขยิบตาให้อัฐชัย แล้วหันไปหาเพื่อนกระเทย
“ชีวิตเรามีหวังแล้วอัครเดช”
พิมพ์ดาวหยิบปากกาเลเซอร์ขึ้นมา แล้วประกาศต่อ อย่างห้าวหาญ
“เขาใช้คำพูดเหยียบย่ำและดูถูกศักดิ์ศรีของฉันมาก เพราะฉะนั้น เพื่อลบคำสบประมาทที่เขาพูดเอาไว้ วันนี้ ฉันขอประกาศให้ทุกคนทราบโดยทั่วกันว่า...” พิมพ์ดาวเอาเลเซอร์ส่องตนเอง “ชะนีตัวนี้...จะ...เอา...ผู้ชายคนนี้”
เลเซอร์ส่องไปที่กลางกบาลของอัฐชัย ราวกับถูกหมายหัว อัฐชัยเหวอแดก อึ้ง ตะลึง...เอมี่และพวกนักศึกษาอื่นๆที่มุงดูอยู่รอบๆต่างตบมือเฮ เชียร์พิมพ์ดาวอย่างสะใจ พิมพ์ดาวจ้องอัฐชัย อย่างหมายหัว
“ฉันจะจีบแก จะทำให้แกรักฉันให้ได้...ทุกคนเอาใจด้วยฉันด้วยนะคะ”
เอมี่เชียร์เต็มที่
“สุดยอดไปเลย เอ้า เฮ”
พวกนักศึกษาเฮลั่น ต่างปรบมือเชียร์ พิมพ์ดาวเดินลงจากแท่น ตรงไปหาอัฐชัย
“มาเป็นของพี่ซะดีๆไอ้น้องเอ๊ย ปี๊บๆ”
พิมพ์ดาวบีบก้น อัฐชัยสะดุ้งโหยง
“เฮ้ย ยัยดาว แกมันบ้า บ้าไปแล้ว”
พวกนักศึกษาเฮ เชียร์พิมพ์ดาว อัฐชัยหงุดหงิด อาย วิ่งหนีออกไป
“ยัยดาว...แก...สุดยอดเลย แกคือไอด้อลของยุคนี้”
“อัฐชัยทำเหมือนฉันไม่มีศักดิ์ศรี ฉันก็ไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกแล้ว งานนี้ด้านได้อายอด”
พิมพ์ดาวเดินพุ่งไปหาอัฐชัยต่อ เอมี่เชียร์
“มันต้องอย่างนั้นถึงจะสมเป็นน้องพี่ ลุย”
เอมี่กับน้ำมนต์เฮ
อีกด้านของมหาวิทยาลัย...อัฐชัยเดินหนีมา พิมพ์ดาววิ่งไล่ตามมา อัฐชัยรีบเดินจ้ำหนี แต่พิมพ์ดาววิ่งไล่กวด แล้วพอถึงตัว เธอก็กระโดดขี่หลังเขาเลย
“เฮ้ย ทำบ้าอะไร ลงไป”
พิมพ์ดาวเอาหน้าเกยบนไหล่อัฐชัยเหมือนหนังเกาหลี
“อปป้า”
“เฮ้ย อปป้าเป้ออะไร ลงไปจากหลังฉัน”
“หลังอปป้าอุ่นจังเบย”
“ยัยเพี้ยนเอ๊ย ไปเมาอายส์แชร์โดว์ที่ไหนมา...บอกให้ลงไปยังไงเล่า”
อัฐชัยเหวี่ยงไปมา กะจะสะบัดให้พิมพ์ดาวหล่น แต่เธอกอดแน่นแล้วหัวเราะเหมือนเล่นสนุก
“ฮะๆ สนุกจังเลยอปป้า อปป้าขี้เล่น อปป้ากุ๊กกิ๊ก”
เอมี่วิ่งตามเข้ามา เอามือถือมาถ่ายคลิปไว้ด้วย
“ว้าย คู่นี้หวานอ่ะ ถ่ายคลิปหน่อยๆ...อ้าย จิ้นอ่ะ ฟินเลย...โอย มือเกร็ง จิกหมอน...แต่ไม่มีหมอน จิกแขนตัวเองก็ได้ อร๊าย”
อัฐชัยหันมาดุ
“พี่เอมี่ นี่พี่ก็เอาด้วยกับยัยดาวเพี้ยนเหรอ”
พิมพ์ดาวเอื้อมมือมาปิดปากอัฐชัย
“ชู่ๆ แกหนีไม่รอดแน่ ยอมเป็นของฉันซะดีๆ ว้าย พูดผิด ต้องพูดว่า ยอมมาเป็นแฟนฉันซะดีๆ”
“ลงไปจากหลังฉัน” อัฐชัยร้องลั่น
คุณผีที่รัก ตอนที่ 11 (ต่อ)
อัฐชัยเดินหนีมาโดยมีพิมพ์ดาวขี่หลังอยู่
“เออ เกาะได้เกาะไป แน่จริงอย่าลงนะ”
“ฉันแน่จริงอยู่แล้ว” พิมพ์ดาวบอกนักศึกษาที่มองมา “ทุกคนคะ ผู้ชายคนนี้แฟนฉันค่ะ ฉันจองแล้ว เขาเป็นแฟนฉัน แฟนฉัน”
“มันจะมากไปแล้ว”
อัฐชัยหมุนตัวไปมา พยายามเหวี่ยง แต่พิมพ์ดาวเกาะแน่น ไม่หล่น
“ฮ้า การแอ๊วผู้ชายมันฟินอย่างนี้นี่เอง มีความสุขที่สุดเลย”
อัฐชัยรำคาญแบกพิมพ์ดาวเข้าตึกไป เอมี่วิ่งตามหลังมา
“มันต้องอย่างนี้ ผู้ชายที่ชอบดูถูกผู้หญิงมันต้องเจอหนักๆ ฮะๆ”
เอมี่หันกลับมา แต่แล้วต้องตกใจ เพราะแมนสรวงยืนอยู่ตรงหน้า
“ว้าย”
เอมี่เสียหลักจะล้ม แมนสรวงคว้ารับไว้ได้
“ทีหลังถ้าจะล้ม ให้ล้มมาที่ใจผมนะครับ”
เอมี่เขิน ขนลุก ตะลึง
อัฐชัยแบกพิมพ์ดาวที่ขี่หลังมา พิมพ์ดาวท่าทางร่าเริงเหมือนนางเอกหนังเกาหลี อัฐชัยหงุดหงิด กำลังจะเดินผ่านไปทางด้านหนึ่ง แต่แล้วต้องชะงัก หันกลับไปมอง เห็นป้ายทางเข้าห้องน้ำชาย
“ไม่ลงใช่มั้ย ได้”
อัฐชัยเดินพุ่งเข้าไปในห้องน้ำชายทันที
อัฐชัยแบกพิมพ์ดาวเข้ามาในห้องน้ำ ซึ่งมีนักศึกษาชายหลายคนยืนฉี่เรียงกันอยู่ก่อนแล้ว พิมพ์ดาวตกใจ
“ว้าย”
ทันทีที่ได้ยินเสียงผู้หญิง นักศึกษาชายที่ยืนฉี่อยู่ก็ถึงกับต้องแอ่นสะโพกเข้าไปให้ชิดโถมากขึ้น ป้องกันไม่ให้ใครเห็นของดี ทุกคนแอ่นเข้าไปพร้อมเพรียง
“เฮ้ยๆ จะทำอะไร” พิมพ์ดาวร้องลั่น
“อ้าว ไหนว่าแน่จริง ถ้าแน่จริงก็เกาะแน่นๆ อย่าปล่อยมือจากอปป้านะ”
อัฐชัยทำท่าจะฉี่ พิมพ์ดาวฮึด ไม่ยอมแพ้
“เอาสิ ฉันไม่ถอยหรอก” พิมพ์ดาวเกาะหลัง หลับตา
อัฐชัยไปยืนที่โถ จงใจแกล้ง
“แน่ใจนะ ผมปลดเข็มขัดแล้วนะ รูดซิปแล้วนะ”
พิมพ์ดาวหลับตา
“เอาเลย ฉี่เลย ฉันไม่กลัว...พวกผู้ชายในห้องนี้ด้วย แน่จริงก็ควักเลย เกิดมาหนเดียวตายหนเดียว”
พวกนักศึกษาชายที่ฉี่อยู่รีบเก็บ ถอยหนีไปทีละคน จนหมด เหลือแต่อัฐชัยกับพิมพ์ดาวที่โวยวายไม่เลิก
“เอาเล้ย เอาสิ ฉี่เลย”
“เฮ้ย ขนาดนี้ยังไม่ปล่อยอีกเหรอ เธอมันบ้า” อัฐชัยอึ้ง
แมนสรวงยืนรออยู่ที่ศาลาริมสระน้ำ เอมี่เดินเข้ามาหา
“มีธุระอะไรจะคุยกับฉัน”
แมนสรวงหันมาหา ยิ้มหวาน
“ผมมาทวงสัญญา”
“สัญญาอะไร”
“ผมทำให้พีระไปร่วมงานปาร์ตี้เปิดตัวรายการใหม่ได้ ใครบางคนตกลงกับผมไว้ว่าจะยอมมาเป็น...แฟนผม”
“เอ่อ...นายหมายถึง...”
เอมี่จะทำไม่รู้ไม่ชี้และพูดว่า หมายถึงใครเหรอ แมนสรวงรีบดักคอ
“ใครผิดคำพูดขอให้เป็นมะเร็งเต้านม”
เอมี่สะดุ้ง
“เฮ้ย”
แมนสรวงยิ้ม แล้วคุกเข่าลง
“ตามธรรมเนียม ต้องท่ามาตรฐาน”
แมนสรวงเอื้อมมือไปด้านหลัง หยิบช่อดอกคาเนชั่นออกมา
“เป็นแฟนกับผมนะครับคนสวย”
“ดอกคาเนชั่น”
เอมี่อึ้ง แปลกใจ เพราะแฟนเก่าเคยให้ดอกไม้นี้สีนี้
“นาย...รู้ได้ยังไงว่าฉันชอบ”
“เหรอครับ ไม่รู้สิครับ”
“แล้วนายเอาช่อดอกไม้ซ่อนไว้ไหน ทำไมไม่เห็น”
เอมี่มองหาด้านหลังของเขา แต่แมนสรวงจับตัวเอาไว้
“ไม่ต้องหาหรอกครับ ตอบคำถามผมก่อน...เวลานี้ เจ๊เป็นแฟนของคราย”
แมนสรวงยิ้มกรุ้มกริ่ม เอมี่เขิน
โต๊ะกลุ่ม...เอมี่แนะนำแมนสรวงให้กับพิมพ์ดาวกับอัฐชัยรู้จัก โดยพิมพ์ดาวยังขี่หลังอัฐชัยอยู่ พิมพ์ดาวแปลกใจ
“แฟนพี่เอมี่”
“พี่เอมี่กินเด็กจริงๆ” อัฐชัยอึ้ง
แมนสรวงแย้ง
“อันที่จริงผมไม่เด็กนะครับ แต่ถ้ามันทำให้เจ๊เกิดความภาคภูมิใจ เอาไปคุยโม้ได้ ผมยอมเป็นเด็กก็ได้”
เอมี่รีบแก้
“ได้เด็กอย่างนายมันน่าภูมิใจมากตรงไหนไม่ทราบ...นี่ๆ พี่ก็คบตานี่ไปงั้นๆแหละ ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้ง คืองี้ อีตานี่เป็นเด็กมีปัญหา มีปมด้อย ขาดความอบอุ่น พี่ไม่อยากให้เขาคิดสั้น ก็เลยเออออยอมๆไป สงสาร เวทนา ไม่ได้คิดจริงจังอะไรเลย”
พิมพ์ดาวกับอัฐชัยไม่เชื่อสุดฤทธิ์
“เหรอคะ/ครับ”
น้ำมนต์วิ่งเข้ามา ท่าทางตื่นเต้น อยากเห็นอยากเจอ
“พี่เอมี่...ไหนๆ ยัยดาวส่งข้อความมาบอกว่าพี่จะเปิดตัวแฟน”
แมนสรวงรีบหันหลังไม่อยากให้น้ำมนต์เห็นหน้า
“คนนี้เหรอคะ...หูย เด็กน้า...คุณคะ คุณโชคดีมากเลยนะที่ชนะใจพี่เอมี่ได้”
น้ำมนต์เดินมาดูหน้า แล้วตกใจ
“...เฮ้ย”
แมนสรวงยิ้มเจื่อนๆ
“แหะๆ ฉันเอง”
“คุณ”
“ใช่ ฉันเอง”
“รู้จักกันเหรอ” เอมี่แปลกใจ
“พี่เอมี่ คุณคนนี้เขาเป็น...”
แมนสรวงรีบดีดนิ้ว...เป๊าะ
“เทพบุตร”
น้ำมนต์พูดพร้อมๆกันกับที่แมนสรวงพูด
“เทพบุตร...เฮ้ย ไม่ใช่ๆ น้ำมนต์ไม่ได้จะพูดว่าเป็นเทพบุตร แต่น้ำมนต์จะบอกว่าเขาไม่ใช่คน แต่เป็น...เทพบุตร”
แมนสรวงยิ้ม น้ำมนต์หันมาจ้อง รู้ว่าต้องเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของแมนสรวงแน่ๆที่ทำให้ตนพูดคำว่ายมทูตออกมาไม่ได้
“ฝีมือคุณใช่มั้ย...ฉันขอคุยกับคุณหน่อย คุณเทพบุตร”
น้ำมนต์เดินนำไป แมนสรวงตามไป เอมี่มองตาม แปลกๆ พิมพ์ดาวหันมาถามอัฐชัย
“พี่เอมี่เปิดตัวแฟนแล้ว...เมื่อไหร่เราจะเปิดบ้างล่ะอปป้า”
“ลงจากหลังฉันก่อน” อัฐชัยหน่ายๆ
“อ้าย...อปป้ามองด้วยสายตาเย็นชา เลือดเย็น ไร้หัวใจที่สุด” พิมพ์ดาวอารมณ์ติ่งเกาหลี รีบหยิบมือถือมาถ่าย “ขอถ่ายเก็บไว้หน่อย เอ้า อย่าหันหนีสิ”
น้ำมนต์แยกมาคุยกับแมนสรวงที่มุมหนึ่ง
“คุณคบกับพี่เอมี่เนี่ยนะ”
แมนสรวงพยักหน้าหงึกๆ
“พี่เอมี่รู้หรือเปล่าว่าคุณเป็นเทพบุตร...เป็นอะไร”
แมนสรวงส่ายหน้าๆ
“แล้วคิดบ้างหรือเปล่าว่าถ้าวันนึงพี่เอมี่รู้ว่าคุณคือเทพบุตรมันจะเป็นยังไง”
แมนสรวงพยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า สับสนๆ
“คืออะไร คิดหรือไม่คิด”
“ก็...ก็ล้อเล่นสนุกๆ เจ๊เอมี่ก็ไม่ได้จริงจังกับผมอยู่แล้ว คุณอย่าคิดมากเลย”
“คุณเทพบุตร...หึ๋ย ช่วยทำให้ฉันหยุดเลิกคุณว่าเทพบุตรได้มั้ย”
“ยมทูต” แมนสรวงดีดนิ้ว
“ขอบคุณ...ฟังฉันนะ เรื่องความรักล้อเล่นไม่ได้ โดยเฉพาะกับพี่เอมี่ ฉันรู้จักพี่เอมี่ดี ฉันไม่อยากให้เขาต้องเสียใจเพราะยมทูตมักง่ายอย่างคุณ”
“ด่าแรงอ่ะ”
“คุณต้องไปบอกความจริงกับพี่เอมี่เดี๋ยวนี้”
แมนสรวงอึ้ง
“เดี๋ยวนี้เลยเหรอ เอาไว้...”
“ถ้าคุณไม่พูด ฉันพูดเอง”
น้ำมนต์จะไป แมนสรวงรีบมาขวาง
“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งบอกเขาตอนนี้เลย เอาไว้ฉันจะหาโอกาสเหมาะๆพูดเอง...นะ...ฉันเรียนผูกก็ต้องให้ฉันเรียนแก้เอง นะๆ...”
“แน่ใจนะ”
“จริงๆ”
“ได้ แต่คุณต้องมีอะไรแลกเปลี่ยน”
“อะไร”
“ตอนนี้พีระอยู่ที่ไหน”
แมนสรวงอึ้งที่น้ำมนต์เจ้าเล่ห์
“หรือจะให้ฉันไปบอกความจริงกับพี่เอมี่”
เณรน้อยนั่งสมาธิอยู่หน้าพระประธานในโบสถ์แต่ยุกยิกๆเพราะปวดเมื่อย พีระนั่งสมาธิอยู่ด้วยข้างๆ ยุกยิกไม่ต่างกัน พีระท่อง
“มีสติ มีสมาธิ แล้วจะเห็นคำตอบ...ไหนอ่ะคำตอบ” พีระหันมาถาม “เณร เณรเจอคำตอบมั่งป่ะ”
“ฮึ่ย”
พีระหุบปาก นึกว่าเณรหงุดหงิดตน แต่เณรโบกมือไล่ยุงที่มายินแถวหู
“เณรก็ไม่เจอคำตอบเหมือนกันสินะ”
อยู่ๆเณรก็ลืมตา ร้องเสียงดัง
“ฮ้า คิดออกแล้วๆ” เณรลุกยืน แต่เซเพราะเหน็บกิน “สิ่งที่หลวงพ่อพยายามจะสอน มันต้องใช่แน่”
เณรจะรีบไปหาหลวงพ่อ วิ่งเขยกๆ
“หลวงพ่อครับ”
“อ้าว คิดอะไรออก บอกพี่มั่ง เดี๋ยวๆ” พีระงงๆ
พีระจะลุกตามแต่ทรุดเพราะเหน็บกิน เณรน้อยวิ่งออกไป พีระงง หันมองหน้าพระประธานต่อ
“คำตอบของแต่ละคนต้องใช้เวลาต่างกัน ผมจะอดทนครับ”
พีระจะหลับตานั่งสมาธิต่อ อยู่ๆมีคนมานั่งลงข้างๆ พีระรู้ว่ามีคนมา เลยหันไปมอง เป็นน้ำมนต์นั่งอยู่
“จ๊ะเอ๋”
“เฮ้ย”
พีระผงะ ช็อก น้ำมนต์ยิ้ม
พีระคุยกับน้ำมนต์ที่ลานวัด พีระเซ็งเลยเมื่อรู้จากน้ำมนต์
“ไอ้ยมทูตปากเปราะ อุตส่าห์ย้ำแล้วว่าอย่าเพิ่งบอกให้คุณรู้ว่าผมอยู่ที่นี่”
“แล้วทำไมถึงบอกฉันไม่ได้”
พีระอึกอัก
“ก็...”
“นายรับปากฉันแล้วนะว่าจะพูดความจริงและไม่หนีไปไหนอีก...หรือนายจะเป็นผีไม่มีสัจจะ ผีไร้ศักดิ์ศรี หน้าไม่อาย ไม่รักษาคำพูด”
“โห เล่นด่าขนาดนี้ ใครจะไปกล้า”
“จะบอกฉันได้หรือยังว่า นายมีเรื่องอะไรปิดบังฉันอยู่ เรื่องที่นายปิดบังฉันไว้”
“ผม...ผม...”
น้ำมนต์จับมือ
“ฉันรับปากว่าไม่ว่าเรื่องอะไร ฉันจะไม่โกรธ จะให้อภัยนาย...พูดมาเถอะ”
พีระอึกอักลังเล ยิ่งเห็นสายตาที่จริงจังว่าจะไม่โกรธของน้ำมนต์ ยิ่งอยากจะพูดออกมา
“เกี่ยวกับฉันหรือคุณเมสินีหรือเปล่า...ถ้านายกลัวว่าฉันจะมีอันตรายเพราะอยู่ใกล้นาย ไม่ต้องกลัวแล้วนะ เพราะต่อให้อยู่ไกล ฉันก็มีอันตราย...ปาร์ตี้เมื่อคืนฉันเผลอเรียกคุณเมสินีว่าฆาตกรไปแล้ว”
“หา...” พีระตะลึง
“เขาเป็นต้นเหตุทำให้แม่ฉันรถคว่ำ แต่ยังกล้าบอกให้ฉันอยู่ข้างเข้า ทำเพื่อเขาอีก ยิ่งฟังยิ่งขยะแขยง”
“คุณเลยพูดออกไปว่าเขาคือฆาตกร แต่จริงๆแล้วเมสินีไม่ใช่...”
อยู่ๆเณรน้อยวิ่งเข้ามา ขัดจังหวะ
“โยมพี่สาว หลวงตาเรียกให้ไปหาเดี๋ยวนี้...ไปเร็วๆ”
น้ำมนต์แปลกใจ เดินตามเณรน้อยไป พีระยืนอึ้ง
“เมสินีไม่ใช่คนที่ทำให้แม่คุณตาย ผมต่างหาก ผมทำ”
น้ำมนต์เดินตามเณรน้อยมาที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มุมสงบ พีระตามมาห่างๆ หลวงพ่อเทียนนั่งรออยู่
“มาแล้วครับหลวงตา”
น้ำมนต์นั่งลง ไหว้
“นมัสการค่ะหลวงพ่อ”
“อ่ะ รับสิ่งนี้ไว้”
หลวงพ่อชี้ให้น้ำมนต์รับสร้อยตะกรุดที่วางอยู่บนโต๊ะ น้ำมนต์แปลกใจ
“ให้หนูเหรอคะ หนูไม่เคยมาที่นี่ ไม่เคยรู้จักหลวงพ่อเลย แล้วอยู่ๆหลวงพ่อก็เรียกหนูมาพบเพื่อให้สิ่งนี้”
“ทุกอย่างล้วนมีเหตุผลของมัน...รับไว้ มันจะมีประโยชน์ต่อโยมวันใดวันหนึ่ง”
“แต่...”
น้ำมนต์เหลือบมองพีระ ลังเล กลัวตะกรุดจะทำอันตรายเขา
“ไม่ต้องกังวล พระย่อมคุ้มครองคนดี”
น้ำมนต์แปลกใจว่าหลวงพ่อเห็นพีระเหรอแต่ก็รับมา
“ขอบคุณค่ะ”
“หลวงพ่อต้องมองเห็นผมแน่ๆ คุณว่าปะ” พีระมั่นใจ
หลวงพ่อเทียนหมายรวมพีระด้วย
“พวกโยมฟังให้ดีนะ...อย่าจมอยู่กับอดีต และอย่ากังวลถึงแต่อนาคต ปัจจุบันเท่านั้นคือเวลาที่เราจะสร้างสิ่งดีงามและความสุขได้ จำคำหลวงพ่อไว้นะ เปิดใจให้กับปัจจุบันขณะเท่านั้น แล้วสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆจะปรากฏแก่โยม”
“อยู่กับปัจจุบัน” น้ำมนต์คิดตาม
“แปลว่า อย่าเพ้อให้มากนะ” พีระอธิบาย
หลวงพ่อเทียนเตือนสติ
“เมื่อวันที่ความจริงปรากฏ อาตมาก็หวังว่าพวกโยมจะรับมือกับมันได้อย่างมีสตินะ”
หลวงพ่อเทียนลุกเดินแยกออกไป พีระพอจะเข้าใจความหมายของหลวงพ่อ ส่วนน้ำมนต์แปลกใจ งง
น้ำมนต์กับพีระเดินแยกมาอีกด้าน
“ไม่เห็นเข้าใจที่หลวงพ่อพูดเลย ให้ตะกรุดฉัน มันจะมีประโยชน์สักวันหนึ่ง แล้วก็บอกให้อยู่กับปัจจุบัน แปลว่าอะไร”
“หลวงพ่อท่านคงรู้ว่าความจริงมักมาพร้อมความเจ็บปวด เพราะมันอาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิด...ท่านเลยอยากให้เรามีสติ”
“แล้วความจริงอะไร เรื่องที่นายปิดบังฉันหรือเปล่า”
“มา ผมสวมให้”
พีระเอาตะกรุดมา เข้าซ้อนด้านหลัง สวมสร้อยให้น้ำมนต์เหมือนสวมสร้อยคอ
“ให้ตะกรุดคุ้มครองคุณจากความเจ็บปวดนะ”
แต่แล้วน้ำมนต์ก็หันไปเห็นใครบางคนรีบวิ่งมา พีระเช่นกัน ทั้งสองจำหน้าได้ ลุงสน พูดโทรศัพท์และเดินกึ่งวิ่งออกมาจากโบสถ์เพราะมีคนโทรมาบอกว่าร่างกายพีระที่ดูแลอยู่มีอาการผิดปกติ
“เออๆ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
ลุงสนไม่ได้สนใจน้ำมนต์เลย จะเดินผ่านไป น้ำมนต์กับพีระเรียก
“ลุงสน”
ลุงสนหันกลับมามอง แปลกใจว่าทำไมน้ำมนต์เรียกชื่อตนถูก มองอย่างไม่ไว้วางใจ ระแวง ไม่เป็นมิตร แล้วก็รีบเดินต่อไปทันที
“ลุงสน พ่อบ้านคนสนิทของพ่อผม และผู้ต้องสงสัยว่าอาจเป็นฆาตกรที่วางแผนฆ่าพ่อและผมด้วย”
พีระกับน้ำมนต์รีบตามไป
ลุงสนเดินจ้ำออกมาด้านนอกวัด น้ำมนต์วิ่งตามมา
“ลุงคะ เดี๋ยวก่อนค่ะ”
ลุงสนหันมามอง ไม่เป็นมิตร พีระเตือนน้ำมนต์
“ท่าทางเขาจะระวังตัวเองมาก จะถามอะไรระวังคำพูดด้วย อย่าให้เขารู้ว่าคุณรู้จักผม”
น้ำมนต์เลยงัดวิชาแอคติ้งมาใช้ เปลี่ยนท่าที ฉีกยิ้มสดใสเข้าถึงง่าย
“สวัสดีค่ะลุงสน...ไม่ต้องแปลกใจนะคะที่หนูรู้จักชื่อคุณลุง หนูมาฝึกงานอยู่ที่สาธารณสุขของที่นี่ค่ะ ก็เลยจำชื่อคนแถวนี้ได้ หนูชื่อพัชราภานะคะ เรียกว่าอั้มก็ได้ค่ะ หนูขอถงขอถามเรื่องสุขภาพซ้ากคำนะคะ”
“ถามอะไร” ลุงสนมองหน้า
“คุณลุงทำงานอะไรคะ”
“เกี่ยวอะไรกับสุขภาพ”
“เกี่ยวค่ะ เพราะงานที่ทำอาจส่งผลให้มีสุขภาพที่ดีหรือไม่ดีได้...ทำงานอะไรคะ”
“ไม่ได้ทำ แล้วก็ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
ลุงสนตัดบท เดินหนีไป แต่น้ำมนต์ตามตื๊อ
ลุงสนเดินหนี น้ำมนต์ตามไม่เลิก
“ตอนนี้ไม่ได้ทำงาน แต่ก่อนหน้านี้ต้องเคยทำใช่มั้ยคะ...ทำงานอะไรคะ”
“เธอต้องการอะไร ฉันถามว่าเธอต้องการอะไร”
น้ำมนต์งงๆ สยองๆ แถไป
“อั้มต้องการให้คุณลุงมีสุขภาพดี แข็งแรง ปึ๋งปั๋งค่ะ บอกมาเถอะนะคะว่าก่อนหน้านี้เคยทำงานอะไรมา”
“ใครส่งเธอมา”
“ไม่มีค่ะ”
ลุงสนตวาด หน้าตาถมึงทึงเอาจริงเอาจังมาก
“ไม่ต้องมาโกหก ฉันรู้ว่ามีคนส่งเธอมา...ไป ไปให้พ้น ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน...ไป”
พีระมองอาการดุดันของลุงสนอย่างตะลึง คลับคล้ายคลับคลา น้ำมนต์ผงะ ลุงสนจะกลับไป แต่น้ำมนต์เหลืออด โพล่งออกมา
“คุณลุงรู้จักคนชื่อพีระมั้ยคะ”
ลุงสนชะงัก หันกลับมา โมโหยิ่งกว่าเดิม คว้าท่อนไม้แถวนั้นขึ้นมาถือ เสมือนอาวุธ
“ฉันคิดไว้ไม่ผิด พวกมันส่งแกมาใช่มั้ย เอาสิ เข้ามาเลย ฉันจะได้ฟาดหัวแกให้แบะเดี๋ยวนี้ มา”
น้ำมนต์ถอยๆด้วยความกลัว แต่พีระเห็นภาพลุงสนตวาด แล้วตะลึง เพราะภาพนี้คุ้นตามาก ยืนมองตะลึงงัน
ในอดีต...ลุงสนถือเสียมอยู่ในมือแล้วทำท่าตวาดเช่นเดียวกัน
“ไอ้คนเลว วันนี้ฉันจะเอาเลือดหัวแกออกเอง”
พีระที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านเพิ่งวิ่งออกมาจากตัวตึก ผงะที่เจอลุงสน ได้แต่ยืนมองลุงสนตะลึง ทันใด ลุงสนเงื้อเสียมพุ่งเข้าใส่
“แกต้องตาย”
พีระช็อก
ปัจจุบัน พีระผวาเฮือก จำเรื่องราวได้แค่นี้
พีระกับน้ำมนต์กลับเข้ามาอยู่ที่บริเวณวัด
“ลุงสนจะทำร้ายผม เขาจะฆ่าผม ผมนึกออกแค่นี้”
“งั้น...คนที่ทำกับนายและพ่อนายก็คือลุงสนจริงๆ”
พีระกับน้ำมนต์ตกใจที่ได้เจอลุงสน อยู่ๆเสียงเณรน้อยดังเข้ามา
“ลุงสนทำไมเหรอครับ”
น้ำมนต์หันไปถาม
“เณรรู้จักลุงสนด้วยเหรอ งั้นเณรช่วยเล่าเรื่องลุงสนให้ฟังหน่อยมั้ย”
เณรพาน้ำมนต์เดินเข้ามาตรงบริเวณที่มีเครื่องสังฆภัณฑ์ที่ญาติโยมนำมาถวายวางเรียงๆกัน
“โยมลุงสนมาถวายสังฆทานทุกวันให้ญาติของแกที่ตายไปแล้ว...”
“มิน่าลุงสนถึงได้ดูเศร้าและอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา”
“ช่าย คนอย่างนี้ หลวงตาเรียกว่า คนที่ไม่รู้จักมีความสุขกับปัจจุบัน เอาแต่จมอยู่กับอดีต ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้ว”
เณรไปมองๆหา จนกระทั่งเจอถุงสังฆทานอันหนึ่ง
“ทำบุญให้ญาติเหรอ...ใคร” พีระถาม
“นี่ไง สังฆทานที่โยมลุงสนมาถวายทุกวัน โยมลุงสนเขียนชื่อญาติคนที่แกอุทิศส่วนกุศลไปให้ไว้ด้วยนะ”
น้ำมนต์ไปหยิบมาดู มีกระดาษแผ่นเล็กๆเขียนว่า...อุทิศส่วนกุศลให้ นายธีระศิลป์ ภาคภูมิใจบรรหาร น้ำมนต์อ่าน
“นายธีระศิลป์ ภาคภูมิใจบรรหาร”
“พ่อ”
น้ำมนต์กับพีระตะลึง
เมสินีผลักเอกสารตรงหน้าออก ไม่มีอารมณ์จะดูอะไรทั้งสิ้น
“คุณเมครับ พร็อพเพอซั่ลรายการใหม่ คุณเมต้องพิจารณาอนุมัติวันนี้นะครับ”
“ฉันไม่มีอารมณ์จะดู เธอจะให้ฉันมานั่งพิจารณารายการตลก เกมโชว์ ในขณะที่นังเด็กน้ำมนต์มันเพิ่งจะเรียกฉันว่า...ฆาต...”
ยุทธรีบขัด
“ชู่ว์...อย่าพูดครับ คำมันฟังดูแรงเกินใบหน้าสวยๆของคุณเม”
“เธอต้องช่วยฉันนะยุทธ จัดการนังเด็กน้ำมนต์ให้ฉัน”
“คุณเมไม่สั่ง ผมก็ช่วยอยู่แล้วครับ ผมให้คนสืบประวัติเด็กคนนี้ทุกเรื่อง ตั้งแต่เกิด จนตอนนี้ ทุกแง่มุม ทุกเรื่องราว แล้วเดี๋ยวเรามาดูกันว่า เราจะเล่นสนุกกับชีวิตเด็กน้ำมนต์ยังไงได้บ้าง”
“เธอนี่รู้ใจฉันจริงๆนะยุทธ...หึ นังเด็กเมื่อวานซืน เล่นกับใครไม่เล่น”
เมสินียิ้มร้ายกาจ
มหาวิทยาลัย วันใหม่...น้ำมนต์กับพีระเดินกลับไปกลับมาครุ่นคิดกันอยู่
“ฉันแค่ถามถึงนายแค่นี้ ทำไมลุงสนต้องตวาด คนเราถ้าไม่มีอะไรปิดบังก็ไม่เห็นต้องทำตัวมีพิรุธขนาดนี้”
“แสดงว่าลุงสนมีเรื่องปิดบังเราอยู่”
“ท่าทางเขามีพิรุธขนาดนั้น แล้วยังชอบทำบุญมาก เหมือนกับพยายามจะให้บุญไปล้างบาป”
“ลุงสนกับเมสินีอาจจะวางแผนร่วมกันฆ่าพ่อผมและตัวผมด้วย”
“มีสิทธิ์ แต่เรายังฟันธงไม่ได้ จนกว่าจะได้อะไรที่ชัดเจนกว่านี้...แต่นายไม่ต้องห่วง เราต้องช่วยกันเค้นความจริงจากลุงสนให้ได้ก่อนที่เวลาของนายจะหมด”
“อีก 9 วัน”
“9 วัน...อ้าว ก็วันเดียวกับวันที่ต้องแสดงละครเวทีรอบแรกน่ะสิ”
“ใช่ และผมจะอยู่ช่วยคุณแสดงละครรอบแรก”
“ว่าไงนะ”
ในห้องซ้อมละคร...พิมพ์ดาว อัฐชัย และนักแสดงละครเวทีอื่นๆตกใจ
“พีระจะกลับมาซ้อม”
น้ำมนต์ยืนอยู่กับพีระ
“ใช่ และตอนนี้เขาก็อยู่ตรงนี้แล้ว”
พีระยกเท้าเหยียบเก้าอี้โพสท่าเก๊กหล่อ
“พระเอกขี่ม้าขาวม้าแล้วคร้าบ”
พีระเห็นว่าทุกคนยังมองหา ยังไม่ดีใจ เลยไปคว้าน้ำมนต์มาอุ้ม
“อยู่ตรงนี้แล้ว”
“พี่น้ำมนต์ลอยได้ กรี๊ด” ถังทองหน้าตื่น
“พีระกลับมาแล้วจริงๆ” ซูชิดีใจ
ทุกคนไชโยๆ พิมพ์ดาวฉวยโอกาสกระโดดขี่หลังอัฐชัยอีก
“ฉันดีใจที่สุดเลย”
“ดีใจแล้วจะมาขี่หลังฉันทำไม ลงไป ไปๆ”
พีระกับน้ำมนต์หัวเราะกัน พีระยังอุ้มค้างอยู่ มองตากันเขินไปมา
น้ำมนต์แยกมากดส่งแมสเสจที่มุมหนึ่งหน้าห้องซ้อม พีระตามออกมา
“ทำอะไร”
“ส่งแมสเสจหาพี่ไตปลา พี่เขาจะได้ยอมกลับมากำกับละครให้เราต่อ...พีระ ขอบใจนายมากนะที่ยอมมาช่วย ทั้งๆที่นายเหลือเวลาอีกแค่ 9 วัน แต่ฉันจะช่วยนายสืบหาร่างเต็มที่เหมือนกันนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าให้ผมได้ทำอะไรชดใช้ให้กับคุณบ้าง”
“ชดใช้อะไร” น้ำมนต์ชะงัก
“อืม เปล่าหรอก ไม่มีอะไร”
“นายพูดจาแปลกๆ เหมือนทำอะไรผิดมากๆเอาไว้ หลายทีแล้วนะ...มีเรื่องอะไรก็บอกมาเถอะ”
พีระลังเล พูดไม่ออก เปลี่ยนเรื่อง
“เรากลับไปซ้อมต่อเถอะ”
“พีระ ฉันเป็นห่วงนายนะ...บอกฉันมาเถอะ”
พีระหันกลับมา ลังเล อยากจะพูด แต่หันเดินกลับไป น้ำมนต์แปลกใจ
พีระเดินเข้ามาในห้องซ้อมก่อน น้ำมนต์ตามหลังมา
“ฉันจะไม่บังคับให้นายพูด อยากบอกเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน...แต่ไม่ว่านายจะทำอะไรไว้ ฉันให้อภัยนายได้”
พีระนิ่ง ยิ้มเนือยๆเพราะรู้ดีว่าน้ำมนต์จะไม่ให้อภัยตนในเรื่องที่ตนก่อแน่...พิมพ์ดาวกับอัฐชัยกำลังซ้อมบทกันอยู่
“ท่านเจ้าคุณคะ บ่าวรักท่านเจ้าคุณ บ่าวรักท่านเจ้าคุณได้ยินมั้ย” พิมพ์ดาวโผกอดอับชัยแนบแน่น
“เฮ้ยๆ ในบทเขียนว่าให้ทรุดไปกราบกับพื้น ไม่ได้ให้กอด” อัฐชัยดิ้น
“ก็บ่าวรักของบ่าวมาก โอเคป่ะคะ”
“ไม่ซ้อมแล้ว”
อัฐชัยผลักพิมพ์ดาวออก
“ท่านเจ้าคุณของบ่าว”
พิมพ์ดาววิ่งไปกระโดดขี่หลังอีก อัฐชัยร้องลั่น
“ขี่หลังอีกแล้ว...โอ๊ยๆ”
ทุกคนในห้องซ้อมหัวเราะขำขันมากมาย พีระมองพิมพ์ดาวอย่างตะลึงๆทึ่งๆ
“ว้าว เพื่อนคุณ...นิสัยเปลี่ยนไปเยอะมาก”
“จริงๆดาวอาจจะอยากทำอย่างนี้มาตั้งนานแล้วก็ได้ แต่ต้องหักห้ามใจตัวเองไว้...ตอนนี้ก็แค่ เป็นตัวของตัวเอง”
อยู่ๆเอมี่วิ่งพรวดเข้ามาในห้องซ้อม
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
ทุกคนชะงัก ใจคอไม่ดี
เอมี่พยายามบอกกับทุกคนให้ตั้งสติแต่ตัวเองท่าจะสติหลุดสุดสูดยาดม
“สูดหายใจเข้า...หายใจออก...มีสติ สมาธิกันแล้วนะ...งั้นก็ตั้งใจฟัง...” เอมี่รวบรวมความกล้าพูดออกมา “คุณเมสินีขอถอนสปอนเซอร์ละครเวที”
ทุกคนตะลึง
“หา”
“และ...ไม่ใช่แค่ละครเวที รายการพี่ก็ถูกถอดด้วย”
เอมี่ปากเตือนคนอื่น แต่หยิบยาดมมาสูด อาการหนักกว่าใครเพื่อน
“อย่าเพิ่งสติแตกๆ ทุกปัญหามีทางออก เราต้องผ่าทางตันนี้ให้ได้”
พีระหยิบเก้าอี้มาเสิร์ฟถึงก้นเอมี่
“นั่งก่อนเถอะครับ”
พีระกดให้นั่งลง
“ขอบใจ”
เอมี่นึกได้
“แว้ก ใครเอาเก้าอี้มาให้พี่”
เอมี่เด้งไปหลบ ยังกลัวๆผี พิมพ์ดาวกังวล
“เราจะเอาไงกันดี”
น้ำมนต์มองหน้ากับพีระ เครียด น้ำมนต์รู้ตัวว่าตนคือต้นเหตุ เดินแยกไป
น้ำมนต์เดินแยกออกมา พิมพ์ดาว อัฐชัย เอมี่ตามออกมา พีระตามมาด้วย พิมพ์ดาวเข้ามาถาม
“แกเป็นอะไร”
“คุณเมสินี เขาทำอย่างที่พูดจริงๆ เขาเคยบอกกับฉันแล้ว ว่าเขาจะถอดรายการและถอนสปอนเซอร์ละคร ถ้าฉัน...ถ้าฉันไม่ร่วมมือกับเขาทำลายพีระ”
“หมายความว่ายังไง” อัฐชัยงงๆ
“คุณเมสินีรู้ว่า ถ้าพีระหาร่างของเขาพบ เขาจะฟื้นขึ้นมาได้”
อัฐชัยแปลกใจ
“เขาก็เลยไม่อยากให้พีระกลับเข้าร่าง...เพราะ”
น้ำมนต์หน้าเครียด
“เพราะอะไรฉันก็ไม่รู้ แต่ถ้าให้เดา...ก็เป็นเพราะพีระคือทายาทตัวจริงของสถานีพราวด์ดิจิตัล เขามีสิทธิ์ในทุกอย่าง และพีระก็จะเปิดโปงความชั่วของเมสินีด้วย”
“เขาก็เลยเอารายการของพี่ กับละครของพวกเธอ มาเป็นตัวประกัน” เอมี่เข้าใจ
“แล้วเราจะเอาไง” พิมพ์ดาวถามเสียงเครียด
ทุกคนนิ่งไป พีระที่ฟังอยู่โพล่งออกมา
“ผมจะไปหาเมสินี”
พีระเดินแยกไป น้ำมนต์เห็น รีบตาม
“พีระ”
พีระเดินจ้ำมาตามทาง น้ำมนต์วิ่งมาขวาง
“ฉันไม่ให้นายไป”
“ผมไม่อยากให้พวกคุณต้องมาเดือดร้อนเพราะผม”
“นายคือตัวแปรที่จะเล่นงานเมสินีได้ เราไม่ใช่ฝ่ายที่ต้องกลัวเขา เขาต่างหากต้องกลัวเรา เชื่อฉันสิ”
พวกเอมี่ตามมาสมทบ เอมี่เห็นด้วยกับน้ำมนต์
“จริง...คุณต้องอยู่ที่นี่ ส่วนบริษัทของพี่ไม่ต้องห่วง ปล่อยให้มันเจ๊งไป พี่ยอมให้เจ๊ง ดีกว่าร่ำรวยเพราะทำงานรับใช้คนชั่ว”
ทุกคนทึ่ง เอมี่เชิด
“สวยป่ะ สวยขนาดนี้ไม่รู้โสดได้ไง”
“พี่เอมี่พูดถูก เราต้องช่วยกันนะคะ ส่วนเรื่องสปอนเซอร์ละคร เราค่อยมาหาทางแก้ไขกัน” พิมพ์ดาวเสริม
“ฉันจะคุยกับพ่อฉันให้...ถ้าพ่อรู้เรื่อง พ่อต้องยินดีช่วยสนับสนุนละครเวทีแน่” อัฐชัยคิดได้
“ฮ้า จริงด้วย พ่อของเธอเป็นเจ้าพ่อตลาดหุ้น” เอมี่ดีใจ
“เยี่ยมเลยอัฐ ขอบใจมากๆ” น้ำมนต์ยิ้ม
“ฮีโร่ตัวจริง”
ขาดคำพิมพ์ดาวจะโผกอด อัฐชัยผวาหลบหลังเอมี่ พีระซึ้งใจ
“ขอบใจทุกคนมากนะที่ทำเพื่อฉันขนาดนี้ ผมซึ้งใจน้ำใจพวกคุณทุกคนมาก”
น้ำมนต์บอกทุกคน
“พีระบอกว่าซึ้งใจทุกคนๆมาก ขอบใจมาก”
อัฐชัยยังงอนๆ
“ฉันไม่ได้ทำเพื่อนาย ฉันทำเพราะอยากให้น้ำมนต์มีความสุขต่างหาก รู้ไว้ด้วย”
เอมี่กอดแขนข้างนึง
“อัฐชัย แล้วเธอไม่คิดจะช่วยคุยกับพ่อให้โอบอุ้มบริษัทเอมี่ทำให้พี่มีความสุขบ้างหรา”
พิมพ์ดาวกอดแขนอีกข้าง
“แล้วไม่อยากเห็นเค้ามีความสุขบ้างหรา”
“ไม่...ไม่...ผมทำเพื่อน้ำมนต์คนเดียว”
อัฐชัยโวยวาย น้ำมนต์กับพีระขำ
จบตอนที่ 11