คุณผีที่รัก ตอนที่ 10
น้ำมนต์ในชุดนักศึกษาเดินลงมาจากชั้นบน มองหาข้าวต้ม
“ข้าวต้ม อยู่ไหนแล้ว ข้าวต้ม” น้ำมนต์ชะงัก ฟุดฟิดจมูก ได้กลิ่น “กลิ่นอาหาร”
มีเสียงข้าวต้มดังมา
“เย้ๆ น่ากินที่สุดเลยครับ”
“ข้าวต้มคุยกับใคร...พีระ...”
น้ำมนต์แอบดีใจ รีบตามเข้าไปในครัวทันที แล้วก็พบว่าข้าวต้มกำลังตื่นเต้นกับอาหารตรงหน้า มีพวกข้าวกล่องเบนโตะเซ็ท 3 เซ็ท ปลาดิบ สลัด
“ข้าวต้ม..อาหารพวกนี้มาจากไหน ใครทำ”
ข้าวต้มตื่นเต้นกับการกินจนไม่สนใจสิ่งอื่น ชี้นิ้วไปอีกด้าน
“โน่นๆ”
น้ำมนต์จะเดินไปดู คิดว่าคือพีระ รีบเดินไปพร้อมเรียก
“นายพี...”
น้ำมนต์ยังไม่ทันเรียกชื่อพีระออกมา ก็ต้องผงะ หน้าเหวอไป เพราะคนที่เดินออกมาคืออัฐชัย ถือจานใส่พิซซ่าญี่ปุ่นอยู่ อัฐชัยยิ้มให้
“ตื่นแล้วเหรอน้ำมนต์ มาๆกินกันๆ”
“อัฐ..อัฐชัย...” น้ำมนต์ผิดหวัง
อัฐชัยถือไปเสิร์ฟข้าวต้ม
“พิซซ่าญี่ปุ่นมาแล้ว อุ่นใหม่ๆ กลิ่นหอมมาก หอมมั้ย”
“หื้ม หอม”
“น้ำมนต์ มาๆ”
อัฐชัยลุกมาคว้ามือพามานั่ง
“มาทานด้วยกัน..ลองชิมนี่ เขาว่าของร้านนี้อร่อยมากๆ ได้รสชาติแบบญี่ปุ่นแท้ๆเลย”
อัฐชัยพยายามเอาใจข้าวต้มกับน้ำมนต์ ตักนั่นนี่ให้ หัวเราะยิ้มแย้ม น้ำมนต์มองอัฐชัย ฝืนยิ้มตามมารยาท แต่แอบเซ็ง เศร้า ผิดหวัง
พีระยืนแอบมองพวกน้ำมนต์อยู่ เห็นอัฐชัยพยายามเอาใจน้ำมนต์ พีระมองไปที่น้ำมนต์ด้วยสายตาอาวรณ์ แมนสรวงปรากฏตัวข้างๆพีระแล้วเอาศอกสะกิด
“นายอัฐชัยเป็นคนที่ดีมากนะ ทำได้ทุกอย่างก็เพื่อน้ำมนต์ เห็นแล้วก็มั่นใจได้เลยว่าเขาจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้น้ำมนต์มีความสุขแน่”
แมนสรวงเห็นพีระนิ่ง เลยพยายามพูดให้ยอมตัดใจ
“ถ้าเกิดมีใครจะมาทำร้ายน้ำมนต์ เขาก็ต้องปกป้องด้วยชีวิต หรือถ้าเกิดสงคราม คนๆนี้ก็คือโกโบริ ที่จะปกป้องอังศุมาลิน จะยอมตายเพื่อความรัก ต่อให้ตายแล้ว นายอัฐชัยก็จะไปรอน้ำมนต์ที่ทางช้างเผือก ความรักที่เขามีให้น้ำมนต์จะไม่หายไปไหน จะคงอยู่ชั่วนิจนิรั..น...”
พีระรำคาญ หันมาเบรก
“จะมาบิ้วท์เพื่อ”
“ไม่ได้บิ้วท์ พูดธรรมดาๆเลย..เอ่อ..แล้ว นายจะยืนมองอีกนานมั้ย จะไปตามหาร่างของนายหรือยัง”
พีระไม่ตอบ ยังคงมองไปที่พวกน้ำมนต์ แมนสรวงเซ็ง
เมสินีนั่งอยู่ในห้องทำงาน ลุกยืน โวยเสียงดัง
“อาจารย์อย่ามาเหลวไหล หน้ายังงี้ มีวุฒิการศึกษาปริญญานะ อย่ามาหลอกกันดีกว่า นายพีทจะกลับไปที่บ้านของฉันได้ยังไง ในเมื่อเขาอยู่ในหม้อนี้แล้ว”
อาจารย์เทพนั่งที่เก้าอี้แขก เหล่มอง ด้วยสีหน้าหนักใจปนรำคาญ แล้วเหลือบไปมองยุทธ
“คุณว่าไง”
“คุณเมครับ ที่อาจารย์เทพพูด เป็นความจริงครับ คุณพีระไม่ได้ถูกจับอยู่ในหม้อนี้ ผมเห็นกับตาว่าคุณพีระอยู่ที่บ้านเรา”
“ที่ผมรู้ ตอนนี้ไอ้พีระมันคงกำลังหาทางกลับเข้าร่าง..มันถึงต้องไปตามหาเบาะแสที่บ้านของมันเอง”
“บ้านของฉัน ตอนนี้มันคือบ้านของฉันแล้ว” เมสินีสวนทันที
“แต่ร่างของคุณพีระอยู่ที่ไหนไม่มีใครรู้ พวกเราตามหามาตลอดตั้งแต่เกิดเรื่อง ยังหาไม่เจอเลย”
เมสินีหันมาดุใส่ยุทธโทษฐานที่พูดมาก เอาเรื่องลับๆมาพูดให้คนนอกฟัง
“ยุทธ”
ยุทธสลด จ๋อย รู้ว่าทำผิด
“ถ้างั้นอาจารย์ต้องจัดการมัน กำจัดวิญญาณมันให้แตกสลายหรือทำอะไรก็ได้ แต่อย่าให้มันฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก”
“ได้ครับ เดี๋ยวผมดูคิวให้นะครับ” เกี๊ยงหยิบไอแพดขึ้นมา กดเปิด แล้วสไลด์หน้าจอเพื่อหน้าคิวสุดท้าย แต่สไลด์นิ้วขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยจนนาน จนทุกคนรู้สึกว่านานมาก “ช่วงนี้อาจารย์ฮอตมาก..คิวสุดท้ายไกลมาก”
“พอ จะเอาเท่าไหร่ พูดมา”
อาจารย์เทพมองเมสินียิ้มๆ กระหยิ่ม
“ท่าทางคุณจะได้คิวแรกนะครับ หึๆ”
น้ำมนต์ทานอาหารไม่นาน รวบช้อน ไม่มีอารมณ์กิน
“อิ่มแล้วเหรอ” อัฐชัยถามอย่างเอาใจ
“อื้อ”
“งั้นเค้าขอ”
ข้าวต้มเอาข้าวของน้ำมนต์มากินเอง อัฐชัยมองอย่างเป็นห่วง
“ไมกินน้อย ไม่อร่อยเหรอ หรือไม่ชอบอาหารญี่ปุ่น งั้นพรุ่งนี้เช้าเปลี่ยนเป็นอาหารอิตาเลี่ยนมั้ย”
“อาหารอิตาเลียน เย้” น้ำมนต์ร้องอย่างดีใจ
“ข้าวต้ม” น้ำมนต์เอ็ดๆ
“แต่ไม่ต้องครับ อาหารเช้าฝีมือพี่พีระอร่อยที่สุด” ข้าวต้มจ๋อย
“แต่พีระเขาไม่อยู่แล้วนี่”
“จริงเหรอครับ ไปไหน” ข้าวต้มหันจ้องน้ำมนต์
“กินเร็วๆ รถโรงเรียนมารอแล้วมั้ง” น้ำมนต์ตัดบท
“พี่ยังงอนกับพี่พีระอีกเหรอ ยังไม่ไปง้อกันอีกเหรอ ทำไมพี่เป็นคนอย่างนี้อะ หรือง้อแล้วแต่พี่พีระไม่ให้อภัย” ข้าวต้มสงสัย
“กินไป ไม่ต้องถาม”
“พี่ไปทำอะไรพี่พีระเอาไว้”
“เงียบได้มั้ย”
“ยังงี้พี่พีระจะกลับมาอยู่กับเราอีกหรือเปล่า ถ้าไม่มา เค้าไม่ยอมด้วย ไม่ยอมๆ”
“เงียบ”
น้ำมนต์เผลอดุเสียงดังใส่ข้าวต้ม จนข้าวต้มชะงัก เหวอ อัฐชัยมองอยู่ตลอด อึ้งไปเหมือนกันที่น้ำมนต์ดุข้าวต้มเสียงดัง แต่ไม่อยากให้เสียบรรยากาศ ทำยิ้มแย้ม
“มาๆข้าวต้ม อ่ะนี่” อัฐชัยคีบไข่หวานมาล่อ “ของโปรดใช่มั้ย พี่ยกให้ เอาหรือเปล่าๆ”
ข้าวต้มหน้าบึ้ง วางช้อน เลิกกิน
“เค้าไปเรียนแล้ว”
ข้าวต้มลุกเดินออกไป น้ำมนต์นั่งเครียด พยายามกินข้าวไปอย่างฝืนๆ อัฐชัยมองตามไม่สบายใจ
พีระนั่งซึมเซ็งอยู่ที่ม้านั่งในสวนสาธารณะ ถอนหายใจไปมา
“นายกำลังคิดว่าจะหาทางกลับเข้าร่างยังไงใช่มั้ย”
“เฮ้อ” พีระเปลี่ยนท่านั่ง มาเป็นนอน
“นายกำลังคิดว่าร่างของนายอยู่ที่ไหนใช่มั้ย”
“เฮ้อ” พีระเปลี่ยนท่านอนมาเป็นตะแคง
“นายกำลังคิด...”
“ฉันคิดเรื่องน้ำมนต์ อย่าเพิ่งยุ่งกับฉันได้ป่ะ เฮ้อ” พีระตัดบท
แมนสรวงเซ็ง ชักรำคาญที่ไม่ตัดใจอะไรสักที
“เออ ก็ได้ อยากจะนั่งเล่นมิวสิควีดีโออกหักใช่มั้ย เชิญตามสบาย”
แมนสรวงดีดนิ้ว ฉับพลัน เพลงรักอกหักเพลงหนึ่งดังขึ้นมา ภาพบริเวณนั้นก็กลายเป็นภาพเหมือนใน MV KARAOKE ดอกไม้บาน ภาพตัวอักษรวิ่งแบบคาราโอเกะก็ขึ้นมา มีฝรั่งสาวสวยมาเดินชมธรรมชาติไปรอบๆตัว ชมดอกไม้นั้นดอกไม้นี้ ยิ้มแย้มมีความสุข สะบัดสยายผม วิ่งเล่นไล่จับหลบหลังเก้าอี้หลังต้นไม้ หัวเราะมีความสุข ในที่สุด พีระทนรำคาญผู้หญิงที่มาป้วนเปี้ยนรอบตัวไมได้
“พอ พอๆ”
ทุกอย่างใน MV สะดุดกึก แล้วก็หายไป
“ฉันขอเวลาสงบๆคนเดียวสักพักได้มั้ย”
แมนสรวงโผล่แว่บมาข้างๆพีระทันที ตะโกน
“ไม่ได้ ฉันจะไม่ให้นายผลาญเวลาที่เหลือแค่ 13 วันอย่างเปล่าประโยชน์ วินาทีเดียวก็ไม่ยอม นายเข้าใจมั้ย”
“ฉันรู้โว้ย” พีระตะโกนสู้
“รู้ก็ทำสิวะ” แมนสรวงตะโกน
“เออ ฉันรู้แล้วว่าจะใช้เวลาที่เหลือยังไง ฉันจะใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าที่สุด ฉันจะใช้มันเพื่อสืบหาตัวคนที่ทำให้แม่ของน้ำมนต์ตาย” พีระตะโกน
“ดี....เฮ้ย...” แมนสรวงถอนใจเฮือกด้วยความเซ็ง
พีระเดินแยกมา ท่าทางมุ่งมั่น แมนสรวงเดินจ้ำตาม
“นายจะไปยุ่งอะไรกับแม่น้ำมนต์ ยุ่งเรื่องตัวเองดีกว่ามั้ย”
“ฉันตัดสินใจแล้ว อีกแค่ 13 วัน ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหาร่างตัวเองเจอหรือเปล่า ถึงมี ฉันก็ไม่รู้จะฟื้นไปเพื่ออะไร ฟื้นไปก็ต้องไปสู้รบกับยัยเมสินีอีก มันอาจจะวางแผนฆ่าฉันอีกก็ได้ ฉันไม่อยากฟื้นไปเพื่อมีชีวิตอย่างนั้น..ชีวิตที่มีแต่ปัญหา ไม่มีน้ำมนต์”
“ชีวิตมันก็อย่างนี้ ต้องมีปัญหา แต่มันก็คือชีวิตของนาย”
“ใช่ มันคือชีวิตของฉัน ฉันถึงตัดสินใจแล้ว ว่าฉันจะเอาเวลาที่เหลือมาช่วยน้ำมนต์ มันจะเป็นการใช้เวลาที่คุ้มค่าที่สุด”
“แต่นายต้องตายนะ ตายจริงๆ”
“ตอนนี้ก็เหมือนตายอยู่แล้ว ก็ถือว่าจะได้ตายอย่างมีคุณประโยชน์ครบถ้วน”
“คิดว่าตัวเองเป็นนมหรือไง จะมีคุณประโยชน์อะไร”
แมนสรวงโผเข้าไปดึงเสื้อพีระ เขย่าตัวอย่างโกรธๆ
“ฉันไม่ยอม ๆ”
พีระกระชากตัวเองออกมาจนได้
“ฉันตัดสินใจแล้ว ขอโทษด้วย”
พีระหายไป แมนสรวงยืนหงุดหงิด หัวเสีย แมนสรวงตะโกน
“ฉันไม่ยอมให้นายตัดใจ”
แมนสรวงยืนเศร้า ผิดหวัง อยู่ๆเสียงเพลงดังขึ้น มีตัวอักษรวิ่ง มีฝรั่งสาวผมทองเดินเข้ามาทำ MV รอบๆตัวแมนสรวง แต่ยังไม่ทันทำอะไร แมนสรวงก็โวย
“ฉันไม่ต้องการมิวสิควีดีโอ”
ในห้องทำงาน สถานีพราวด์ เมสินียืนจ้องรูปของธีระศิลป์อยู่ในห้องทำงาน สีหน้าแค้น โมโห
“ลูกชายคุณมันเป็นตัวปัญหาจริงๆ มีปัญหาตั้งแต่เด็ก ตายไปแล้วก็ยังมีปัญหาอีก ฉันจะไม่ยอมเสียทุกอย่างที่ฉันมี สถานีพราวด์ดิจิตัลและบ้านภาคภูมิใจบรรหารเป็นของฉัน”
มีเสียงคนเปิดประตูเข้ามา เมสินีได้ยินรีบเปลี่ยนท่าทีกับรูปธีระศิลป์ เป็นบอบบางรักใคร่มากมาย อย่างเกินจริง
“ฉันคิดถึงคุณที่สุดเลยค่ะที่รัก ฉันจะต้องตามหาพีทลูกของคุณให้มาสืบทอดเจตนารมณ์ของคุณให้ได้ค่ะ ยากแค่ไหนฉันก็จะทำ”
“ผมเองครับคุณเม”
เมสินีชะงักทันที หันมาแหว
“ทีหลังก็รีบๆบอกฉันสิ”
“ผมมีข่าวมารายงานครับ คนของเราเจอตัวลุงสนคนขับรถของคุณธีแล้วครับ”
“จริงเหรอ”
น้ำมนต์เดินมาที่มหาวิทยาลัย โดยมีอัฐชัยเดินมาด้วยกัน กำลังจะเดินไปตึกเรียน
“อัฐให้บริษัทที่ทำละครเวทีมืออาชีพช่วยคิดเทคนิคผีมาเสนอแล้วนะ บริษัทนี้เคยทำเทคนิคผีมาเยอะ รับรองว่าต้องทดแทนผีจริงๆได้แน่ รับรองพี่ไตปลาต้องใจอ่อนยอมกลับมากำกับให้พวกเรา”
อัฐชัยชวนคุยไปเรื่อย แต่น้ำมนต์มีสีหน้าครุ่นคิดตลอด ไม่ได้สนใจฟัง เพราะคิดถึงคำพูดของพีระอยู่ แล้วน้ำมนต์ชะงัก มองไปด้านหนึ่ง เป็นจุดที่เธอเคยวาดรูปพีระเธอนึกถึงคำพูดของเขา
“ผมมาคิดๆดูแล้ว ความรักมันเป็นตัวถ่วงชีวิตผม ถ้าผมไม่เสียเวลาไปกับคุณ แล้วไปตามหาร่างด้วยตัวเอง ป่านนี้ผมอาจเข้าร่างได้แล้วก็ได้”
“นี่เป็นครั้งสุดท้าย...ต่อไปไม่ว่าคุณจะเศร้าเสียใจเรื่องใหญ่แค่ไหน ผมก็จะไม่มาปลอบคุณอีก มันเสียเวลาผม”
อัฐชัยเรียกน้ำมนต์
“น้ำมนต์...คิดอะไรอยู่”
“เอ่อ เปล่า”
น้ำมนต์เห็นใครบางคนที่ด้านหลังดูคล้ายพีระเดินผ่านมุมทางด้านหนึ่งไป เธอตาลุก คิดว่าพีระแน่ๆ รีบวิ่งไปทันที อัฐชัยงง รีบตาม
“น้ำมนต์”
น้ำมนต์วิ่งไปถึงจุดๆนั้น แต่ไม่เจอใคร ไม่มีพีระ มีแต่นักศึกษาอื่นๆทั่วไป อัฐชัยตามมา
“มองหาอะไรเหรอ”
น้ำมนต์มองหาไม่เลิก ไม่สนใจอัฐชัย
“น้ำมนต์...”
ในห้องทำงานเมสินี สถานีพราวด์...
ยุทธกางกระดาษแผ่นใหญ่ ที่มีการมาร์คจุดที่พบลุงสนเอาไว้เป็นกระดาษสีขาวใหญ่ จำลองแผนที่ของย่านๆหนึ่ง มีถนนใหญ่พาดผ่าน 2-3 เส้น มีสัญลักษณ์ของสถานที่ต่างๆในย่านนั้นมีการมาร์คจุดที่มีคนพบลุงสนปรากฏตัว เป็นรัศมีรอบๆ5-6 จุด
“ตำแหน่งพวกนี้คือ จุดที่มีชาวบ้านพบลุงสนปรากฏตัว ตำแหน่งที่มีคนเห็นลุงสนปรากฏตัว สามารถสรุปได้ว่าลุงสนจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในรัศมีของแผนที่นี้แน่ๆครับ”
“งั้นก็ให้คนไปหามาให้เจอ ฉันมีเรื่องจะต้องเคลียร์กับมันให้จบ”
“เรื่องการตายของคุณพีระใช่มั้ยครับ”
“ทุกเรื่อง...แล้วเรื่องนายพีทเมื่อไหร่จะหาเจอ”
“อ้าว ก็ให้อาจารย์เทพจัดการแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“ฉันให้อาจารย์เทพจัดการวิญญาณนายพีท แต่เราก็ยังต้องหาร่างของมันให้เจออยู่ดี เจออะไรก่อนก็ทำลายอันนั้นก่อน สะกดคำว่ารอบคอบเป็นมั้ย”
“รอ ออ บอ รอบ คอ ออ บอ คอบ รอบคอบ สะกดเป็นครับ”
“ไม่ตลก” เมสินีจ้องหน้า
ยุทธเดินไปโอบหลัง อ้อน
“ผมแค่ไม่อยากให้คนดีของผมเครียดครับ”
ยุทธจะนวดให้ เมสินีผละออก
“ฉันให้เวลาเธอหนึ่งอาทิตย์ ฉันต้องได้ตัวลุงสนและร่างของนายพีท...ไม่อย่างนั้น ฉันจะหาคนมาทำหน้าที่แทนเธอ ทุกเรื่อง”
“ทุกเรื่อง” ยุทธชะงัก
“ใช่ ทั้งเรื่องงาน และเรื่อง...ส่วนตัว”
“ม่าย...ไม่นะครับ ผมจะรีบทำให้ได้เดี๋ยวนี้เลยครับ”
ยุทธรีบออกไป เมสินียิ้มอย่างนางพญา
น้ำมนต์ยืนชะโงกมองอยู่ที่ระเบียงบนตึกเรียน มองสำรวจภาพกว้างของบริเวณมหาวิทยาลัย เห็นว่ามีมุมด้านหนึ่งเป็นแถวที่จอดจักรยานและมุมนั้นไม่มีคน อัฐชัยมาตามเข้าห้องเรียน
“น้ำมนต์ อาจารย์มาแล้ว เข้าห้องเรียนเถอะ”
“เข้าไปก่อนเถอะ”
“มองหาอะไร”
“เปล่า”
พิมพ์ดาวเดินตามออกมา แต่หยุดมองทั้งสองคนอยู่ ไม่ได้เข้าไป อัฐชัยลังเล แต่แล้วก็ตัดสินใจพูดสิ่งที่คิดอยู่ออกมาตรงๆ
“มองหาพีระใช่มั้ย”
น้ำมนต์อึ้ง นิ่งไป ไม่ตอบคำถามอะไร
“ใช่มั้ย” อัฐชัยถามย้ำ
“อัฐเข้าห้องเรียนไปก่อนเถอะ”
ทันใด มีเสียงโครมๆดังมา น้ำมนต์รีบผวาไปมองออกไป เห็นจักรยานที่จอดเรียงเป็นแถว 3-4 คันล้มทับๆกันไป ทั้งๆที่จุดนั้นไม่มีใครเลย น้ำมนต์แปลกใจ
“ทำไมจักรยานล้มเองได้”
น้ำมนต์ตาลุก คิดว่าอาจเป็นพีระ รีบวิ่งไป
“น้ำมนต์”
อัฐชัยชักหงุดหงิดยิ่งขึ้น
น้ำมนต์วิ่งมาที่แถวรถจักรยานที่ล้มทับกันอยู่ แล้วรีบมองหาไปรอบๆ
“พีระ..นายอยู่แถวนี้ใช่มั้ย...พีระ”
น้ำมนต์จะวิ่งไปดูทางด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นมุมตึกหรือหลังต้นไม้ แต่ยังไม่ทันวิ่งไป อัฐชัยตามเข้ามาขวาง ดึงแขนเอาไว้ ไม่ยอมให้ไป
“พอได้แล้วน้ำมนต์ พีระไม่ได้อยู่ที่นี่”
“เขาอยู่ รถจักรยานถึงได้ล้ม”
“ก็แค่ลมพัด หรือไม่อาจจะมีคันไหนสักคันตั้งขาตั้งไม่ดี มันก็เลยล้มทับกันไปหมดอย่างนี้”
“ไม่จริง พีระต้องอยู่แถวนี้แน่”
อัฐชัยเดินตามมาดึงตัวน้ำมนต์ไว้อย่างโกรธๆ น้ำมนต์พยายามดิ้น พิมพ์ดาวตามมาดูเหตุการณ์
“พีระไม่ได้อยู่แถวนี้ หรือถึงอยู่ก็ไม่ต้องไปสนใจ เขาเป็นผีนะ เข้าใจมั้ยว่าผี ยอมรับความจริงหน่อยสิน้ำมนต์”
“ยอมรับความจริงงั้นเหรอ...อัฐอยากได้ความจริงใช่มั้ย ก็ได้ ฉันไม่เชื่อที่อัฐบอกว่าพีระทำร้ายฉัน”
“พูดยังงี้หาว่าอัฐโกหกเหรอ”
“แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะ”
อัฐชัยนิ่ง น้ำมนต์คาดคั้น
“ตอบความจริงมาสิ ตอบมา”
อัฐชัยนิ่ง
“ทำไมไม่ตอบ ตอบสิ ตอบ”
“น้ำมนต์รักพีระเหรอ”
น้ำมนต์กลับกลายเป็นฝ่ายอึ้ง
“น้ำมนต์รัก ผี พีระใช่มั้ย”
น้ำมนต์ไม่ตอบ พาลโมโห ฉุน ผลักอกอัฐชัยเต็มแรง แล้วเดินพุ่งหนีไป
น้ำมนต์เดินหนี อัฐชัยตามถามความจริง
“ใช่ อัฐโกหกว่าพีระทำร้ายน้ำมนต์ แต่จริงๆคือเขาไปช่วยน้ำมนต์ต่างหาก ไปก่อนอัฐซะอีก พอใจยัง”
พิมพ์ดาวตามมามองเหตุการณ์ น้ำมนต์โกรธ
“ทำไมเป็นคนอย่างนี้ ทำไมต้องใส่ร้ายคนอื่นด้วย”
“เพราะอัฐรักน้ำมนต์ไง อัฐทนไม่ได้ที่เห็นน้ำมนต์เป็นห่วงเป็นใยผีพีระอย่างกับแฟน...แล้วอัฐก็ไม่เข้าใจว่าอัฐมีอะไรดีสู้มันไม่ได้ อัฐมีชีวิต มีเลือดเนื้อ อัฐสามารถดูแลน้ำมนต์ได้ตลอดทั้งชีวิต” อัฐชัยยื่นมือออกไป “จับมือสิ”
“ฉันจะไปตามหาพีระ ไม่ต้องตามมา”
น้ำมนต์จะไป แต่อัฐชัยผวาเข้าไปคว้ามือน้ำมนต์มาจับ
“จับมือผม มือคนจริงๆ มีความอบอุ่น มีความรู้สึก น้ำมนต์ไม่อยากจับมือนี้ แต่อยากจะจับมือผีงั้นเหรอ”
น้ำมนต์พยายามจะผลักอัฐชัยออก
“ปล่อย”
แต่อัฐชัยไม่ปล่อย ดึงมากอดแน่น ไม่ให้น้ำมนต์ไปตามพีระได้
“ไม่ ผมจะไม่ให้คุณไปตามหาพีระ”
“ปล่อย”
“ตอบผมมาสิ คุณรักพีระใช่มั้ย ตอบสิ”
“ฉันไม่รู้”
“คุณรู้”
น้ำมนต์โพล่ง ระเบิดออกมา
“สิ่งเดียวที่ฉันรู้คือฉันไม่รักนาย...ไม่เคยรักและก็ไม่มีวันรักด้วย”
อัฐชัยอึ้ง เหวอ น้ำมนต์ผลักออกจนได้
“ฉันขอโทษนะอัฐ ขอโทษจริงๆ”
น้ำมนต์เองก็เสียใจ น้ำตาคลอ แล้วตัดใจ หันเดินแยกหนีไป อัฐชัยยืนใบ้บ้า ทำอะไรไม่ถูก สมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ ทรุดลงไปนั่งคุกเข่า เสียงพูดของน้ำมนต์ดังก้องในหัวไปมา
“สิ่งเดียวที่ฉันรู้คือฉันไม่รักนาย ไม่เคยรักและก็ไม่มีวันรักด้วย”
พิมพ์ดาวเดินออกมา ยืนตรงหน้าอัฐชัย มองด้วยความสงสาร อัฐชัยเงยมองพิมพ์ดาวตอบ ทั้งสองคนมองกัน
น้ำมนต์เดินหนีแยกมาอีกด้าน มองไปรอบๆ ไม่เจอพีระ พูดลอยๆไปในอากาศ
“พีระ...ฉันรู้ว่านายยังไม่ไปไหน ฟังนะ คุณยมทูตแมนสรวง ถ้าคุณได้ยินก็ฝากไปบอกพีระด้วย ว่าฉันจะไม่หยุดช่วยเขาตามหาร่าง ฉันจะหาร่างของเขาต่อไปจนกว่าจะเจอ”
พิมพ์ดาวกับอัฐชัยมองหน้ากัน พิมพ์ดาวสงสารเดินเข้าไปใกล้ นั่งยองลงตรงหน้า มองหน้าอัฐชัยด้วยความสงสารเหลือเกิน เธอเอื้อมมือขึ้นมา จะไปเช็ดน้ำตาให้ แต่ก่อนที่มือจะสัมผัสใบหน้า อัฐชัยกลับคว้ามือเธอเอาไว้หมับ พิมพ์ดาวงง อัฐชัยปัดมือพิมพ์ดาวออก ไม่ยอมให้ช่วยเช็ดน้ำตาแล้วก็ลุกยืน หันหลังให้พิมพ์ดาว แล้วดินจากไป พิมพ์ดาวนั่งเหวออยู่อย่างนั้น
“ไม่ว่ายังไง ฉัน...ฉันก็ไม่เคยอยู่ในสายตานายเลยใช่มั้ย”
รถของเอมี่แล่นมาจอดในลานจอดสถานีพราวด์ เธอยังนั่งอยู่ในรถ พยายามตั้งสติยกมือไหว้ท่วมหัว
“ขอให้คุณเมสินีเข้าใจ ว่าการที่ผีหายตัวไปมันเป็นเหตุสุดวิสัย ห้ามกันไม่ได้ด้วยเถอะ”
เอมี่เปิดประตูรถ จะก้าวลงไป แต่แล้วต้องสะดุ้ง ชักเท้าขวากลับขึ้นมา
“ว้าย ลืมๆ ขวาร้าย ซ้ายดี...เกือบไปแล้วไหมล่ะ”
เอมี่หายใจหอบถี่ ตกใจมากๆ แล้วค่อยก้าวเท้าซ้ายออกไปแตะพื้นก่อน แล้วจึงลงจากรถ
“ฮ้า และเพื่อความเป็นสิริมงคล” เธอหยิบโพยขึ้นมาอ่าน “วันนี้ฉันจะต้องเจอสิ่งดีๆ วันนี้ฉันจะต้องเจอสิ่งดีๆ วันนี้ฉันจะต้องเจอสิ่งดีๆ”
เอมี่รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง แต่พอหันกลับมาก็ต้องตกใจอีก
“อุ้ย แหกๆ”
แมนสรวงยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น
“นายแมนสรวง ไอ้บ้...ไม่ๆ วันนี้ต้องไม่พูดหยาบคาย เดี๋ยวจะซวยไปทั้งวัน มาทำอะไรที่นี่”
“ผมมาทวงหนี้ที่คุณติดผมอยู่อย่างนึง”
“หนี้อะไร จำไม่ได้”
เอมี่เดินหนีไปเลย แมนสรวงรีบตาม
“ผมเป็นคนเสนอให้เอาพีระมาเป็นพิธีกรรายการใหม่ของคุณไง คุณเลยเป็นหนี้ผมอย่างนึง”
เอมี่ชะงัก หันมาจ้อง เสียงเลือดเย็น
“อ้อ ใช่ เพราะไอเดียของนายนี่เอง ฉันถึงต้องเดือดร้อนไม่รู้จะเอาผีที่ไหนมาแทนพีระ...นายมัน...”
แมนสรวงรีบสวน
“ไหนว่าวันนี้จะไม่พูดคำหยาบไง”
เอมี่ยั้งปากเอาไว้
“ใช่ ฉันจะไม่พูดหยาบ...คุณคนไม่ดี”
แมนสรวงตกใจที่โดนด่า
“ไอ้คนชั่ว”
เอมี่ด่าต่อ
“คุณตรงข้ามสวรรค์ส่งมาเกิด”
“ไอ้นรกส่งมาเกิด”
“คุณชาติชิวาวา”
“ไอ้ชาติ...” แมนสรวงยั้งปากไว้ ไม่พูดต่อ “คุณด่าได้สุภาพแต่เจ็บมาก สะใจคุณหรือยัง”
“ยัง”
แมนสรวงผงะ เอมี่แววตาอำมหิต
แมนสรวงวิ่งหนีหน้าตั้ง เอมี่ถือกระเป๋าไล่ตี
“ฟังผมก่อนสิเจ๊ ฟังก่อนๆ”
“ไอเดียของนายทำให้ฉันวุ่นวายไปหมด ถ้าคุณเมสินีเลิกจ้างบริษัทฉัน ใครจะรับผิดชอบ”
“เจ๊ต้องคิดด้วยสิว่า ผมก็แค่เสนอ ถ้าเจ๊ไม่เชื่อตาม เรื่องมันก็ไม่เป็นยังงี้...เจ๊ก็มีส่วนผิดนะ”
“ยังมีหน้ามาโทษฉันอีก นายตายแน่”
เอมี่ไล่ตีแมนสรวงต่อไปอีก
น้ำมนต์กำลังเดินจ้ำไปพูดโทรศัพท์ไป
“ขอบคุณมากนะพี่เจี๊ยบที่ส่งรูปพีระมาให้...ไม่ต้องรู้หรอกค่ะว่าจะเอาไปทำอะไร ขอบคุณนะคะ”
น้ำมนต์รีบเดินจ้ำต่อไป
คุณผีที่รัก ตอนที่ 10 (ต่อ)
น้ำมนต์นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ในห้องคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย เธอตกแต่งภาพถ่ายพีระประกาศตามหาคนหาย น้ำมนต์อ่านสิ่งที่เธอเขียน
“พีระอยู่ไหน พ่อแม่ให้อภัยแล้ว กลับบ้านด่วน...พบเจอบุคคลในรูปกรุณาติดต่อ 084-7645xxx”
ภาพ ประกาศตามหาพีระ ปรากฏในหน้าจอไอแพด มือถือ โน้ตบุ๊คของกลุ่มคนต่างๆ
น้ำมนต์อัด คลิปผ่านโซเชี่ยลแคม ฉากหลังคือมหาวิทยาลัย
“สวัสดีชาวโซเชี่ยลแคม ไม่มีอะไรมาก...เพื่อนหาย รักเพื่อนคนนี้มาก อยากให้ช่วยกันตามหาหน่อย” น้ำมนตร์โชว์รูปพีระ “ใครรู้เบาะแส ติดต่อเรานะ คิสคิส มั๊วะมั๊วะ”
กลุ่มเด็กวัยรุ่นหัวเกรียนและผมเท่าติ่งหู เปิดเวปพันทิพย์อ่านกระทู้
“อยากให้เรื่องนี้เป็นข่าว ชายในภาพหายสติไม่สมประกอบ หายออกไปจากบ้านเกือบ 1 เดือนแล้ว ญาติพี่น้องหัวใจแตกสลายมาก ฝากเพื่อนๆนักสืบพันทิพย์ช่วยแชร์ด้วยค่ะ โลกสวยด้วยมือเรานะคะ”
“อย่างนี้ต้องแชร์” วัยรุ่นหญิงกดแชร์ “ฮ้า แค่แชร์ก็รู้สึกได้ว่าเป็นคนดีขึ้นมาทันทีเลย ฟิน” วัยรุ่นหญิงคนนั้นทำท่าฟิน ราวกับบรรลุอรหันต์
น้ำมนต์เปิดเฟซบุ๊คดูเช็คกระแส เห็นว่ามีคนแชร์ภาพประกาศตามหาพีระต่อๆเนื่องกัน5-6คนติดๆ ทั้งภาพประกาศ ทั้งกระทู้ในเฟซบุ๊ค น้ำมนต์ยิ้ม ดีใจ
“หึๆ ฉันต้องหาร่างนายให้เจอ พีระ”
น้ำมนต์มุ่งมั่นต่อไป มุมหนึ่ง พีระแอบมองอยู่
“ยัยน้ำเปล่าปลุกเสกเอ๊ย จะตามหาร่างฉันทำไม เสียเวลาเปล่า”
เมสินีเปิดดูภาพประกาศหาตัวพีระที่มีคนส่งมาให้ดู
“นี่มันอะไร”
ยุทธชะโงกมอง
“พีระอยู่ไหน พ่อแม่ให้อภัยแล้ว กลับบ้านด่วน... อ่อ ประกาศนี้ผมเห็นแล้วครับ มีหมดทั้งเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม ทลัมเบลอร์ โซเชี่ยลแคม ในเวปไซต์ดังๆก็มีนะครับ น้ำมนต์พยายามตามหาตัวคุณพีระแน่ๆ ฉลาดมากเลยนะครับที่ใช้สื่อโซเชี่ยลมาช่วย มันกระจายไปเร็วมาก”
“เร็วกว่าที่เธอตามหาอีกใช่มั้ย ยุทธ ถ้าเด็กพวกนี้ตามหาร่างนายพีทเจอก่อน ฉันไม่ให้อภัยเธอแน่”
“ผมจะรีบไปตามหาเดี๋ยวนี้ครับ”
ยุทธรีบออกไป เมสินีเครียด
แมนสรวงจนมุม เอมี่วิ่งเข้ามาจะฟาดต่อ แมนสรวงรีบยกมือร้องห้าม
“หยุดๆ หยู๊ด”
ทั้งสองคนหยุด หอบแฮ่กๆ
“นายก็หยุดยอมให้ฉันตีสิ”
“ได้ อยากตีกี่ที บอกมา”
“สาม”
“ผมให้สี่”
“งั้นเอาห้า”
“จัดมา”
แมนสรวงยืนกอดอกหันหลังให้
“ก้มลงไป”
“หา...คนผ่านไปผ่านมาเยอะนะ”
“ก้ม”
แมนสรวงก้ม โก่งก้น เอมี่เอากระเป๋าฟาดก้น...1-2-3-4 แต่แมนสรวงไม่สะทกสะท้าน ยังทำหน้าระรื่น เอมี่ฉุน หันไปเห็นผู้ชายเถื่อนๆคนหนึ่งผ่านมาพอดี
“พี่คะ รบกวนช่วยเตะให้ที”
แมนสรวงหน้าตื่น
“เฮ้ย ไม่...”
“อยู่เฉยๆ” เอมี่บอกกับผู้ชายเถื่อน “ลุยเลยค่ะพี่”
แมนสรวงจำยอม ผู้ชายเถื่อนทำท่าเหมือนจะเข้ามาเตะ แต่พอมาถึงกลับใช้สองมือตะปบก้นแมนสรวงอย่างแรงซะงั้น
“แฮ่”
“จ๊าก”
แมนสรวงร้องลั่น ทรุดลงไปกองกับพื้น ร้องคร่ำครวญ ราวกับเสียตัว เอมี่หัวเราะสะใจมาก
“ไม่...ไม่จริง...ทำไมต้องทำกันรุนแรงอย่างนี้”
“ฮ่าๆ อย่างนายสมแล้วที่เจอฝ่ามือตะปบบั้นท้าย ฮ่าๆ”
พีระยังคงแอบมองน้ำมนต์อยู่ กำลังจะหันกลับ แต่อยู่ๆน้ำมนต์เซ้นได้ว่ามีใครบางคนมองอยู่ หันขวับมา พีระตกใจ ไม่ทันตั้งตัว เผลอถือหนังสือขึ้นมาบังหน้าเอาไว้
น้ำมนต์มองหา แต่ไม่เห็นพีระ อยู่ๆมีนักศึกษาชายมาดแมนเดินผ่านมาแล้วชะงักที่เห็นหนังสือลอยได้
“หนังสือลอยได้...อ๊าย”
นักศึกษาตกใจถอยหนีไป น้ำมนต์หันมามองตามนักศึกษา เลยทำให้รู้ว่าคนที่ถือหนังสือหลบอยู่ตรงนั้นคือพีระ
“พีระ”
พีระตกใจ วางหนังสือลงที่ รีบเดินหนีไป น้ำมนต์ตาม
พีระวิ่งหนีมา แต่น้ำมนต์วิ่งไล่ตาม
“หยุดนะพีระ หยุด”
พีระจำต้องหยุด น้ำมนต์วิ่งไล่มาถึง พีระหันมาดุทันที
“เลิกยุ่งกับผมได้มั้ย ไม่ต้องสนใจว่าผมจะเป็นอะไรยังไง เลิกตามหาร่างของผมด้วย เอาเวลาไปตามเรื่องอุบัติเหตุแม่ของคุณดีกว่า”
“งั้นบอกมาสินายหลบหน้าฉันทำไม”
“ผมไม่ได้หลบ”
“แต่มาแอบดู แล้วก็วิ่งหนีมาเนี่ยนะ”
“ผมก็แค่ผ่านมา”
“พอเหอะ บอกฉันมาตามตรงเถอะ ทำไมต้องหลบหน้า ฉันทำอะไรผิด มีเหตุผลอะไรก็พูดมา”
“โอเค ก็ได้ ผมจะบอกก็ได้” พีระจริงจัง มองหน้า “ผมถูกสั่งห้ามพบหน้าคุณ เพราะการเจอคุณจะทำให้คุณอายุสั้นมากขึ้น คุณจะตายก่อนเวลาอันควร แล้วมันจะเป็นบาปติดตัวผม ทำให้ผมไม่เจริญ”
น้ำมนต์สวน
“โกหก”
“ไม่ได้โกหก”
“งั้นก็พูดความจริงไม่หมด”
พีระฮึดฮัดที่น้ำมนต์รู้ทัน ตัดบทหันเดินหนี น้ำมนต์เดินตามไล่จี้ ไล่ต้อนเอาคำตอบ
“ฉันเรียนการแสดง ฉันดูภาษาร่างกายของนายออก การที่นายไม่ตอบคำถามฉัน แต่ใช้วิธีเดินหนี แปลว่านายไม่อยากพูด ไม่อยากสู้หน้า ไม่กล้าตอบความจริง และฉันจะไม่หยุด”
พีระทนไม่ไหว หันกลับมา โพล่งความจริง
“ผมไม่อยากให้คุณมาเสี่ยงอันตรายเพราะผม ไม่เห็นเหรอว่าคุณเกือบตายฟรีเพราะผมแล้ว...ไอ้คามินมันจะเอาวิญญาณผม และมันจะพาลเอาชีวิตคุณมาเป็นเครื่องมือ ผมยอมไม่ได้ ผมยอมให้คุณมาเสี่ยงไม่ได้ เข้าใจมั้ย”
น้ำมนต์อึ้งไป พีระเดินหนี
พีระเดินหนีมา น้ำมนต์ตามมาขวาง
“ไม่ต้องมาพระเอกกับฉัน ชีวิตฉัน ฉันตัดสินใจเองได้ว่าจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร”
“ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ” พีระเซ็ง
“ฉันเข้าใจว่านายเป็นห่วงฉัน แต่ก็อยากให้นายเข้าใจด้วยว่าฉันก็ห่วงนายเหมือนกัน”
“คุณจะมาห่วงผมทำไม”
“เพราะ...เพราะฉัน...ฉันต้องให้นายช่วย ทั้งรายการทั้งละครเวที ถ้านายทิ้งไป ทุกคนก็ลำบาก ละครเวทีที่ฉันตั้งใจเขียนบทก็จะไม่สมบูรณ์ ฉันไม่ยอม นายต้องอยู่ช่วยฉันก่อน”
พีระตัดใจ จะเดินหนี น้ำมนต์รีบโพล่งต่อ
“ถ้ากลัวฉันมีอันตราย ฉันจะห้อยพระ จะสวดมนต์ พกของขลัง สักยันต์กันผีด้วยก็ได้ ถ้ายังไม่พอ นายก็ควรจะอยู่ปกป้องฉันอีก ถ้าทำขนาดนี้ ฉันปลอดภัยแน่”
“ผมขอโทษที่เข้ามาวุ่นวายในชีวิตคุณ ผมจะไม่กลับมาหาคุณอีก”
พีระวิ่งออกไปเลย แล้วก็หายไปในความมืด
“พีระ ไอ้ผีภาระ”
น้ำมนต์ยืนเศร้าอยู่อย่างนั้น...พีระยังไม่ไปไหน แอบมองจากมุมหนึ่ง สงสารน้ำมนต์
“ผมขอโทษนะน้ำมนต์ ขอโทษจริงๆ”
เอมี่นั่งตัวเกร็งอยู่ในห้อง เมสินีจ้องดุๆปนข้องใจ เอมี่อึกอัก เมสินีเน้นทีละคำ
“ผี พี ระ ไป แล้ว”
“เอ่อ...ค่ะ”
“แล้ว”
“เอ่อ...ค่ะ แล้วก็...ไปแล้วค่ะ”
“แล้วยังไง”
“คือ...เอมี่ก็พยายามจะแคสพิธีกรผีตนใหม่แล้ว แต่ยังหาผีที่มี เคมีตรงกันไม่ได้ค่ะ”
“ฉันไม่เอาผีตัวอื่น ฉันจะเอาพีระเท่านั้น”
“เอมี่ก็อยากค่ะ แต่...”
เมสินีไม่ฟังคำอธิบาย
“ฉันจะเอารายการนี้ออนแอร์ให้เร็วที่สุด และต้องการให้มันเป็นกระแสข่าว เพราะฉะนั้นต้องมีพีระมาร่วมงาน”
“เอมี่ก็อยากค่ะ แต่...”
“ไม่งั้นฉันจะถอดรายการทั้งหมดของบริษัทเอมี่ออก” เมสินีเด็ดขาด
เอมี่ช็อก เสียงอ่อย จำใจยอมรับ
“ได้ค่ะ”
“ฉันเตรียมจัดงานปาร์ตี้แถลงข่าวรายการผีผจญผีเอาไว้แล้ว เชิญนักข่าวมาหมดแล้ว...และในปาร์ตี้จะต้องมีน้ำมนต์และพีระ ถ้าไม่มี...”
“จะถอดรายการทั้งหมดของบริษัทเอมี่ออก” เอมี่ยอมรับสภาพ “ค่ะ เข้าใจค่ะ”
“งานจะจัดคืนวันพรุ่งนี้”
“ค่ะ...” เอมี่ตกใจ “หา คืนวันพรุ่งนี้ เร็วไปมั้ยคะ”
“เร็วไปเหรอ”
เมสินีถามด้วยน้ำเสียงยอกย้อน ปนข่มขู่ จนเอมี่รู้สึกขนหัวลุก กลัวไปทันที
“แหม น่าจะจัดพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำค่ะ”
เอมี่ยิ้มแหะๆ เฝื่อนๆ
เอมี่เดินล่องลอยออกมา
“จบแล้ว จบจริงๆ จบแบบเจ็บๆ”
แมนสรวงมายืนขวาง
“ยังไม่จบ เจ๊ยังมีเวลาถึงคืนวันพรุ่งนี้”
เอมี่หันมามอง อึ้งๆ
“นายรู้ได้ยังไงว่าคุณเมสินีจะจัดปาร์ตี้พรุ่งนี้”
“เขาอยากให้พีระมาร่วมงานด้วยใช่มั้ย ผมจะช่วยคุณ”
“เฮ้ย นายรู้ได้ยังไงว่าฉันคุยอะไรกับคุณเมสินี”
“ผม...ผมอ่านใจเจ๊ได้”
“อ่านใจบ้าอะไร นายเป็นคนหรือผี”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก”
“นายเป็นโรคจิต เป็นพวกสต็อลเกอร์ แอบสะกดรอยตามฉันใช่มั้ย หรือว่า นายแอบติดกล้องไว้กับตัวฉัน ใช่มั้ย” เอมี่หาว่ากล้องอยู่ตรงไหนของตัวเอง “ไหน อยู่ไหนๆ” เธอเอากระเป๋ามาเปิดๆ รื้อๆ “ในกระเป๋าใช่มั้ย”
“ผมไม่ได้ติดกล้องอะไรทั้งนั้น แต่...ช่างมันเถอะ ผมจะรู้เพราะอะไร มันไม่สำคัญหรอก รู้แค่ว่าผมช่วยคุณได้ก็พอ”
“นายจะช่วยอะไรฉันไม่ทราบ”
“ผมช่วยลากตัวพีระมาให้คุณได้”
“เหรอ นายจะเอาอะไรไปจับผี อ้อ อย่าบอกนะว่าเป็นหมอผี เพราะฉันรู้ว่านายมันของปลอม”
“ผมมีวิธีที่จะทำให้พีระยอมกลับมาได้แล้วกัน”
“ไปหลอกเด็กเถอะไป”
“ไม่เชื่อผมเหรอ ได้ ถ้าผมทำไม่ได้ ผมจะยอมเป็นทาสรับใช้เจ๊ ทำทุกอย่างตามคำสั่งเจ๊ แต่ถ้าผมทำได้จริง เจ๊ต้องมาเป็นแฟนผม”
“หา...” เอมี่หน้าตื่น
“กล้ามั้ยล่ะ” แมนสรวงยักคิ้ว ท้าทาย
เอมี่หมั่นไส้ ไม่ยอมแพ้
“เอาสิ คิดว่ากลัว”
“ดี”
แมนสรวงยื่นมือมารอให้จับ เอมี่ตัดสินใจ ท้าทาย ไม่ยอมแพ้ จับมือกับแมนสรวง ทั้งสองคนจ้องกันอย่างดุเดือด
ประตูรั้วใหญ่บ้านเมสินีเปิดออก คนรถขับรถออกไปจากบ้าน พอรถแล่นออกพ้นรั้วไปแล้ว ก็ปรากฏร่างของพีระยืนอยู่ที่หน้าบ้าน
“เราต้องหาหลักฐานว่าเมสินีคือคนทำให้แม่ของน้ำมนต์ตายให้ได้...เริ่มจาก รถสปอร์ตหรูคันนั้น”
พีระเดินผ่านรั้วเข้ามาตามถนนในบ้านเข้ามาที่โรงรถมองสำรวจโรงรถ เห็นว่ามีจำนวนรถเท่าเดิมที่เคยเจอ และรถทุกคันยังถูกคลุมผ้าเอาไว้เหมือนเดิม พีระจะเดินเข้าไปหารถคันสุดท้าย แต่ต้องชะงัก เพราะบนหิ้งทางด้านหนึ่ง อยู่ๆก็มีตุ๊กตาแบบตุ๊กตาจ๋าวางนั่งอยู่ ราวกับมันนั่งมองคนที่ผ่านเข้าออกโรงรถแห่งนี้อยู่ พีระเอะใจเล็กน้อย
“มีตุ๊กตาในโรงรถด้วยเหรอ วันนั้นไม่ยักกะเห็น...ช่างเถอะ”
พีระไม่สนใจ เดินเข้าไปที่รถคันสุดท้าย ตุ๊กตาตัวนั้นกระพริบตา แล้วมันก็ค่อยๆหันหน้ามามองตามพีระ พีระไปที่รถคันสุดท้าย แล้วเปิดผ้าคลุมรถออก แต่ปรากฏว่ากลายเป็นรถอีกคันหนึ่ง ไม่ใช่รถสปอร์ตคันเดิมที่เคยเจอ
“อ้าว ไม่ใช่คันเดิม”
พีระรีบไปเปิดรถดูทีละคันอย่างร้อนรนทีละคันจนครบทุกคัน
“ไม่ใช่...ไม่ใช่รถสปอร์ตคันนั้น พวกมันย้ายรถออกไปแล้ว”
พีระเจ็บใจ
มุมอับตรงบันไดที่ไม่มีคนเดินผ่าน อัฐชัยนั่งเศร้าๆมองเหม่อนิ่งๆไปอย่างไร้จุดหมาย พิมพ์ดาวเดินเข้ามา หยุดยืนมองสักพัก อยากให้อัฐชัยหายเศร้า แล้วพิมพ์ดาวก็ปั้นสีหน้าให้ร่าเริงสดใสมากๆ แล้วเข้าไปหา
“อัฐ มาอยู่นี่เอง ฉันตามหาอยู่ตั้งนาน ไม่มีเรียนแล้วใช่มั้ย งั้นไปซ้อมละครได้แล้ว”
อัฐชัยยังนั่งนิ่ง เหมือนไม่ได้ยิน พิมพ์ดาวเลยคิดแกล้ง เข้ามาด้านหลังแล้วดีดติ่งหู
“โอ๊ย แกมาดีดหูฉันทำไม”
“ฮะๆ อ้าว รู้สึกตัวด้วยเหรอ นึกว่าจะเจ็บชนชินชาตายด้านไปซะแล้ว”
“แกจะมาเยาะเย้ยฉันใช่มั้ย ไปไกลๆเลย”
“ฉันจะไปเยาะเย้ยแกเพื่ออะไร ฉันอยากจะให้แกกับน้ำมนต์ลงเอยกันจะตาย ฉันจะได้หมดเวรหมดกรรมซะที ไม่งั้นเดี๋ยวก็ต้องมาง้อขอให้ฉันช่วยอีก”
“แต่ครั้งนี้ ฉันคงไม่ขอให้แกช่วยแล้ว”
“เฮ้ย จริงดิ ทำไม”
“น้ำมนต์ไม่เคยรักและไม่มีวันรักฉัน เขาพูดชัดเจนยิ่งกว่าสัญญาณ4จีอีก”
“เฮ้ย อย่าคิดมากดิวะ”
“วันนี้ฉันขอลาซ้อมละครวันนึงนะ ฉันป่วย ฝากขอโทษทุกคนด้วย”
พิมพ์ดาวเอามือแตะๆหน้าผากอัฐชัย
“ป่วยตรงไหนแก ตัวก็ไม่ร้อน”
“มันป่วยที่ใจ”
“ไม่ต้องมาดราม่าเลย...ลุกๆ”
พิมพ์ดาวคว้าแขนอัฐชัยขึ้นมา ดึงให้ลุกขึ้นมาแล้วจะลากไป
พิมพ์ดาวหนีบแขนอัฐชัยลากมาตามทางเดิน หน้าศาลาริมสระน้ำ
“แกลากฉันไปได้ แต่ฉันก็จำบทไม่ได้หรอก ปล่อยฉันเถอะ”
“แกไม่เคยดิ้นคำว่าดราม่าเธอราปี่เหรอ ใช้ละครเพื่อบำบัด เวลาเครียดๆมีเรื่องทุกใจ พอเราได้สวมบทบาทเป็นตัวละคร มันช่วยให้แกปลดปล่อยความรู้สึกออกมาได้”
“ฉันไม่มีอารมณ์”
“โอเคๆ งั้นแกไม่ต้องพูดบท แต่ช่วยฉันซ้อมจังหวะหน่อย นะๆ นิดเดียวๆ
พิมพ์ดาวลากอัฐชัยเข้าไปในศาลา
“แกไม่ต้องพูดบทอะไรเลย แค่ช่วยส่งคิวให้ฉัน ฉันจะซ้อมจังหวะ...อะเจ้ย ฉันจะหันหลังนะ แกพร้อม ก็แค่ตบมือ”
พิมพ์ดาวหันหลัง อัฐชัยตบมือ พิมพ์ดาวหันมาเห็นอัฐชัย แล้วทำท่าตกใจแบบตลก
“อะเจ้ย”
อัฐชัยมองพิมพ์ดาวนิ่ง ไม่ยิ้ม ไม่ขำ
“เอาอีกๆ”
อัฐชัยตบอีก พิมพ์ดาวทำท่าอะเจ้ยอีก แต่เริ่มทำท่าให้ตลกมากขึ้น บ้าขึ้น เพราะอยากจะให้อัฐชัยคลายเครียด
“ไม่ขำเลยเหรอ”
อัฐชัยส่ายหัว
“เอาใหม่ๆ”
อัฐชัยตบมืออีก พิมพ์ดาวทำท่าอะเจ้ยอีก ทำให้ตลกมากขึ้น แต่อัฐชัยก็ยังนิ่ง พิมพ์ดาวทำซ้ำๆหลายที แต่อัฐชัยก็ไม่ขำ อัฐชัยตัดบท ไม่อยากทำแล้ว
“พอเถอะ”
“ไม่ๆ เอาอีกๆ อีกทีๆ”
พิมพ์ดาวตื๊อ แต่อยู่ๆอัฐชัยก็โผเข้ากอดพิมพ์ดาว กอดแบบนิ่งๆ ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย แต่อารมณ์เศร้า เสียใจ พิมพ์ดาวเหวอไป
“อย่าให้ฉันต้องฝืนทำอะไรที่ไม่อยากทำเลย”
“ฉันแค่อยากให้แกหายเครียด แล้วแก...กอดฉันทำไม นี่มหาวิทยาลัยนะ”
“ฉันไม่รู้เหมือนกัน ฉันรู้สึกเสียใจ มันโหวงๆ มันเหมือนว่าตัวฉันไม่เป็นที่ต้องการ ฉันก็แค่อยากให้ใครสักคนกอดฉันไว้ก็แค่นั้น แกช่วยกอดฉันหน่อยนะ”
“อื้อ ก็ได้”
พิมพ์ดาวค่อยๆยกมือไปกอดตอบอัฐชัยเอาไว้
“ขอบใจนะดาว แกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน”
“เออ ฉันรู้อยู่แล้วว่าเป็นได้แค่เพื่อน”
สองคนนิ่งอยู่อย่างนั้น
เอมี่เดินจ้ำผ่านมา จะมาแจ้งเด็กๆเรื่องงานปาร์ตี้ แต่ต้องชะงัก เพราะเห็นอัฐชัยยืนกอดกับพิมพ์ดาว โดยที่เอมี่อยู่ในมุมที่เห็นหน้าของพิมพ์ดาวอย่างชัดเจน รับรู้อารมณ์ความรู้สึกของพิมพ์ดาวตอนกอดอัฐชัยเอาไว้ เอมี่อึ้งๆ
พีระเดินเข้ามาภายในตัวบ้าน เดินก้าวเข้ามาในบ้าน
“เมสินีรู้ว่าเรามา เลยเอารถคันนั้นไปเก็บ ไม่ให้ใครตามเจอ ฉันจะต้องหาเบาะแสอื่นๆที่จะเป็นหลักฐานมัดตัวเมสินีให้ได้ เริ่มจาก สำรวจมันทุกซอกทุกมุมของบ้านแล้วกัน"
พีระเข้ามาสำรวจด้านในห้องครัว มองไปรอบๆ อย่างตั้งสติ ค่อยๆพิจารณาห้องช้าๆ เผื่อว่าจะเห็นภาพอะไรขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย เขาจะหันกลับ แล้วสะดุดตาเข้ากับที่โต๊ะเตรียมอาหาร เพราะบนโต๊ะมีเขียงและมีดทำครัววางอยู่ และมีตุ๊กตาจ๋าอีกตัว แต่ตัวเล็กกว่าในโรงรถ ยืนอยู่ข้างเขียง เหมือนๆจะจับมีดนั้นอยู่
“ตุ๊กตา มีทั้งในโรงรถทั้งในครัว ท่าทางคนใช้บ้านนี้จะชอบ”
พีระเดินออกไป ตุ๊กตาผีกระพริบตาปริบๆ
พีระเดินออกมาอีกด้าน ทันทีที่เดินผ่านตู้หนังสือ ก็ปรากฏตุ๊กตาจ๋าตัวเล็กตัวที่ 3 นั่งอยู่ตรงเครื่องเล่นแผ่นเสียง พีระเดินไปไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งอยู่ๆเพลงก็ดังขึ้นมาเอง เขาหันไปมอง ไม่พบว่าใครเป็นคนเปิด ไม่พบตุ๊กตา พีระแปลกใจ ตุ๊กตาตัวนั้นมายืนอยู่ข้างๆเท้าพีระอยู่แล้ว แต่พีระไม่เห็น เดินผ่านไป
ตุ๊กตาผีตัวเล็กอีกตัวที่หน้าเหมือนกับตัวที่บ้านเมสินี นอนแช่อยู่ในอ่างน้ำมนต์ มันส่งเสียงหัวเราะแบบเด็กๆคิกๆ แล้วทันใด ดวงตาของมันก็กระพริบถี่ๆ แล้วมันก็เปล่งแสง ฉายภาพออกจากตาไปที่ผนัง เกิดภาพพีระเดินสำรวจอยู่ในบ้าน อาจารย์เทพกับเกี๊ยงนั่งมองภาพนั้นอยู่
“คิดไว้แล้วว่ามันต้องกลับมา”
อาจารย์เทพยิ้มร้ายกาจ มีแผนการ เกี๊ยงมอง
“ยิ้มได้องศาปากเป๊ะมาก ไม่ชั่วจริงยิ้มไม่ได้อย่างนี้นะเนี่ย”
น้ำมนต์นั่งอยู่อยู่ตามลำพังบริเวณสระน้ำ มหาวิทยาลัย ยังคงคิดถึงคำพูดพีระ พยายามตั้งสติ ยอมรับมันให้ได้ พิมพ์ดาวเดินตามหา พอหันมาเห็นก็รีบพุ่งเข้ามา
“อัฐเล่าเรื่องที่แกพูดให้ฉันฟังหมดแล้ว ไม่รัก ไม่เคยรัก และไม่มีวันรัก แกพูดไปได้ยังไง คิดมั้ยว่ามันทำให้อัฐเสียใจมาก”
น้ำมนต์ยังนิ่ง พิมพ์ดาวโวยต่อ
“คำพูดมีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมแกไม่พูดให้มันถนอมความรู้สึกกันกว่านี้”
“ต้องพูดยังไงเหรอ”
“แกเป็นคนเขียนบท แกน่าจะรู้วิธีการพูดอยู่แล้ว”
“คิดว่าฉันไม่อยากถนอมความรู้สึกอัฐเหรอ ฉันถนอมจนไม่รู้จะถนอมยังไงแล้ว แต่อัฐไม่เคยเข้าใจ ฉันถึงต้องพูดตรงๆแรงๆเพราะไม่อยากให้เขามาเสียเวลากับฉันอีก แล้วถ้าอัฐจะโกรธ จะเลิกคบฉัน ฉันก็บอกได้แค่ว่า...ฉันเสียใจ”
“อัฐรักแกมาก เขาอยากดูแล อยากอยู่ข้างๆแก เข้าใจมั้ย”
“ฉันรู้ แล้วแกถามฉันบ้างมั้ยว่าฉันอยากอยู่ข้างๆใคร”
“ใคร”
น้ำมนต์น้ำตาไหลออกมา พิมพ์ดาวงง
“แกเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”
พิมพ์ดาวรีบเข้าไปนั่งข้าง ปลอบ ห่วงใยเพื่อน น้ำมนต์น้ำตาไหล ไม่ฟูมฟาย
อัฐชัยนั่งเซ็งอยู่ เอมี่เดินมาหา
“ถ้าทำเต็มที่แล้วแต่น้ำมนต์ก็ยังไม่รัก งั้นก็อย่าฝืนเลย พี่ห่วงพวกเราทุกคนนะ ไม่อยากให้หมางใจกันเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“พี่กลัวรายการของพี่จะมีปัญหามากกว่า” อัฐชัยบอกเซ็งๆ
“เพราะฉลาดอย่างนี้ไงพี่ถึงเลือกจ้างพวกเธอแทนที่จะจ้ามืออาชีพ”
“พี่จ้างพวกผมเพราะประหยัดงบ”
“แหม ชนะเลิศคณิตศาสตร์โอลิมปิกมาหรือไง รู้ดีไปหมด อัฐชัย พี่ขอแนะนำนิดนึงนะ ใครไม่รักเราก็อย่าฝืน หันมามองรอบๆตัว แล้วรักคนที่เขารักเราดีกว่า”
อัฐชัยมองหน้าเอมี่ ตะลึง
“นี่พี่รักผมเหรอ ไม่นะ ผมไม่ชอบคนแก่”
“ไม่ใช่พี่” เอมี่เสียงแหว
“ค่อยยังชั่ว” อัฐชัยถอนหายใจโล่งอก
“ต้องโล่งใจขนาดนั้นเชียวเหรอ”
“แล้วพี่หมายถึงใครครับ ใครที่รักผม”
เอมี่ยิ้มๆ อัฐชัยงง
คุณผีที่รัก ตอนที่ 10 (ต่อ)
น้ำมนต์เล่าเรื่องพีระให้พิมพ์ดาวฟัง
“พีระไม่อยากให้ฉันเป็นอันตราย ก็เลยพยายามจะอยู่ให้ห่างจากฉัน และเขาจะไม่กลับมาให้ฉันเห็นอีก”
“อืม แล้วแกจะเสียใจทำไม ผีไปแล้ว มันก็ดีแล้วหรือเปล่า แกก็แค่กลับไปใช้ชีวิตเหมือนตอนที่ยังไม่เจอพีระ แค่นี้เอง”
แต่น้ำมนต์กลับมองหน้าพิมพ์ดาว สีหน้าน้ำมนต์ไม่ได้รู้สึกดีเลย พิมพ์ดาวเดาความรู้สึกได้
“แก...รักพีระเหรอ”
“ฉัน...ฉันก็ไม่รู้”
พิมพ์ดาวข้องใจ
“นี่มันอะไรกัน คนที่หล่อ รวย นิสัยดีอย่างอัฐ แกไม่รัก แต่กลับไปรักผีที่ไม่มีที่มาที่ไป นิสัยใจคอจริงๆเป็นยังไงแกก็ไม่รู้ แกปล่อยใจไปขนาดนั้นได้ยังไง”
น้ำมนต์สับสน
“ฉันก็ไม่รู้...รู้อีกทีฉันก็รู้สึกดีที่มีเขาอยู่ใกล้ๆแล้ว คงเหมือนที่แกปล่อยใจให้รักอัฐทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าอัฐไม่รักแกนั่นแหละ”
พิมพ์ดาวผงะ ราวกับโดนต่อยหน้า
“ทีหลังถ้าจะพูดตรงขนาดนี้กับฉัน แกช่วยด่าแม่ฉันแทนดีกว่า”
น้ำมนต์เป็นฝ่ายหันมาถามจี้พิมพ์ดาวแทน
“ดาว ทำไมแกไม่บอกอัฐไปตรงๆว่าแกคิดยังไงกับเขา”
“ฉันไม่ได้มาคุยกับแกเรื่องนี้”
พิมพ์ดาวเดินหนี น้ำมนต์ไล่ตามมา
“แกมาหาฉันเพราะห่วงอัฐไม่ใช่เหรอ ถ้าแกไม่อยากให้อัฐเสียใจ แกก็รักกับเขาสิ..ก่อนหน้านี้อัฐคิดว่ามีโอกาสที่ฉันจะเปลี่ยนใจ แต่ฉันพูดไปขนาดนั้นแล้ว ยังไงอัฐก็ต้องตัดใจแน่”
“แกหยุดพูดเถอะ อัฐไม่ได้รักฉัน ฉันไม่อยากเสียเพื่อน”
“ไม่เสียหรอก”
พิมพ์ดาวหันมาตัดบท
“พอเลย ไม่ต้องยุ่งเรื่องของฉัน ฉันโอเคกับสิ่งที่เป็นอยู่ และฉันจัดการความรู้สึกตัวเองได้”
ระหว่างนี้ อัฐชัยกับเอมี่เดินเข้ามา ได้ยินประโยคที่น้ำมนต์กำลังพูดพอดี
“เลิกหลอกตัวเองเถอะ รักก็ยอมรับว่ารัก”
“ฉันไม่ได้รักนายอั...”
พิมพ์ดาวหันมาเห็นอัฐชัยยืนอยู่พอดี ถึงกับผงะอ้าปากค้างไปทันที
“รักใคร”
“รัก...”
น้ำมนต์พูดกับพิมพ์ดาวเบาๆ
“พูดออกไปเลย หรือจะให้ฉันพูดให้”
“รัก...” พิมพ์ดาวโพล่งมาอย่างชัดเจน “รักใครก็ได้แต่ไม่ใช่แก”
“เฮ้ย” น้ำมนต์เซ็ง
อัฐชัยดีใจ
“เยี่ยม..เพราะพี่เอมี่เพิ่งจะบอกว่ามีคนใกล้ตัวแอบรักฉันอยู่ ให้ลองมองหาเอาเอง โชคดีจริงๆที่ไม่ใช่แก แสดงว่าฉันยังไม่หมดบุญ ไม่ต้องไปทำบุญใหญ่”
“ว่าไงนะ แล้วถ้าฉันรักแกจะซวยมากเลยใช่มั้ย”
“มาก”
“ปากอย่างนี้ไงน้ำมนต์ถึงไม่รัก”
พิมพ์ดาวกระฟัดกระเฟียดฮึดฮัด จะเดินหนีไป แต่เอมี่คว้าแขนเอาไว้ก่อน
“หยุด...” เอมี่พัดมือไล่ลมที่กำลังขึ้นให้ตัวเอง “บอกเลยว่าปวดหัวกับเรื่องพวกเธอมาก เก็บฮอร์โมนส์หนุ่มสาวพวกเธอไว้พลุ่งพล่านทีหลัง ตอนนี้พี่ขอคุยงานก่อน..โอเค๊?..โอเค”
พีระเดินขึ้นบันได จะสำรวจชั้นบน แล้วชะงัก เพราะที่ขั้นบนสุดของบันได มีตุ๊กตาผีนั่งรออยู่ พีระเสียววาบ
“รู้สึกว่าตุ๊กตาในบ้านหลังนี้ อาจจะมีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่ก็เป็นได้”
พีระถอยหลัง หันกลับมา ต้องผงะ เพราะมีตุ๊กตาผีอีก 2 ตัวมายืนรอที่ขั้นบันได
“นั่นไง มีพลังงานจริงๆด้วย”
พวกตุ๊กตาส่งหัวเราะ เป็นหัวเราะแบบเด็กๆ แล้วกระโดดเด้งดึ๋งดั๋งแบบอาการของเด็กๆเวลาดีใจ ที่ได้เจอเพื่อนเล่น ตื่นเต้น
“หึ่ย โดดเป็นจิ้งโจ้เลย จะดีใจอะไรกันนักกันหนา”
ทันใด ตุ๊กตาตัวที่อยู่ขั้นบนสุดของบันไดพุ่งตัวเข้าใส่พีระ..ฟึ่บ
“เฮ้ย”
พีระผวาหลบได้ทัน ตุ๊กตาตัวนั้นไปเกาะกับขอบราวบันได ส่งผลให้ราวบันไดละลาย มีควันไหม้ลอยออกมา พีระยิ่งสยอง รีบวิ่งหนีไป พวกตุ๊กตากระโดดบ้าง พุ่งตัวไถลมากับพื้นบ้าง หายแว่บมาโผล่เป็นจุดๆบ้าง ไล่ตามพีระมาตลอด
พีระเกือบถูกมันจับตัวได้ แต่เขาผวาตัวทะลุประตูห้องเข้าไปในห้องๆหนึ่งก่อน พวกตุ๊กตาพุ่งชนประตูห้องปึงปังๆ
ภายในห้อง พีระถอยมาให้ห่างประตู ยังคงมีเสียงพวกตุ๊กตาพุ่งชนประตูและพยายามจะบิดลูกบิด
“พวกแกเป็นวัตถุพวกแกทะลุประตูไม่ได้อย่างฉัน หึๆ ไอ้หมอผีเทพต้องส่งพวกมันมาแน่ๆ เฮ้ย งั้นมันก็ต้องรู้แล้วสิว่าเราอยู่ที่นี่”
ทันใด ตุ๊กตาอีกตัวมาโผล่ที่หน้าต่าง พยายามจะเปิดแต่เปิดไม่ออก มันเลยเอาหัวกระแทกหน้าต่างตลอดเวลา..ปัง..ปัง..ปัง
“เฮ้ย..นี่..ไป ไปเล่นที่อื่น”
พีระสยอง ไม่รู้จะออกไปทางไหน
น้ำมนต์ปฏิเสธเสียงแข็ง
“หนูไม่ไปค่ะ”
เอมี่อึ้ง ตะลึงและตกใจมาก
“ไม่ไป แปลว่าอะไร นี่มันคืองานปาร์ตี้แถลงข่าวเปิดตัวรายการผีผจญผีของพวกเรานะ แล้วเธอเป็นพิธีกร จะไม่ไปได้ยังไง”
น้ำมนต์ไหว้
“หนูขอโทษจริงๆค่ะ ให้อัฐกับดาวไปแทนแล้วกันนะคะ หนูไปไม่ได้จริงๆ”
“คุณเมเชิญพวกเราทุกคน โดยเฉพาะเธอ”
“ใจเย็นสิครับพี่ อย่าเพิ่งกดดันสิ” อัฐชัยปรามเอมี่
พิมพ์ดาวหันมาบอกน้ำมนต์
“แก ถ้าแกไม่ไป คุณเมอาจหาว่าไม่ให้เกียรติ จะกระทบต่องานในอนาคตนะ”
“ใช่ เธออาจถูกไล่ออกก็ได้นะ” เอมี่เสริม
“หนูขออนุญาตแจ้งกับพี่เลยแล้วกันค่ะ ว่าหนูขอถอนตัวจากการเป็นพิธีกรรายการ และงานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสถานีพราวด์ดิจิตัลหรือคุณเมสินีตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปค่ะ”
“เฮ้ย”
ทุกคนร้องอย่างตกใจ น้ำมนต์เดินแยกออกไปเลย ทิ้งทุกคนยังงงกับเหตุผลอยู่
“บอกแล้วว่าอย่ากดดันๆ”
“พี่ไปกดดันอะไรเขาอะ” เอมี่งงมาก
พีระเดินกระวนกระวายอยู่ในห้อง ไม่รู้จะออกไปทางไหนดี พวกตุ๊กตาผียังรุมเคาะประตู หน้าต่างอยู่ไม่เลิก
“ตีกันเป็นจังหวะขนาดนี้ ไม่รวมตัวไปเปิดวงร็อกเลยล่ะ เอาไงดี จะออกไปยังไงดี”
แต่แล้วพีระสะดุดตากับโมเดลรถ ชะงักไปแว่บหนึ่ง คิดขึ้นมาได้ รีบหันไปมองที่มุมซอกข้างเตียงมุมนั้น ที่เคยรู้สึกว่ามันมีความทรงจำอะไรบางอย่าง
“มุมนั้น...”
พีระราวกับถูกดึงดูดให้เดินเข้าไปที่มุมนั้น
น้ำมนต์เดินแยกออกมา พวกเอมี่ พิมพ์ดาว อัฐชัยวิ่งตามมา
“แกเป็นอะไรของแก เราลุยมาด้วยกันตั้งนาน อยู่ๆจะมาระเบิดตัวเองขอเลิกกลางคันได้ยังไง” พิมพ์ดาวถาม
“บอกเหตุผลหน่อยสิ เพราะอะไร พี่เอมี่กดขี่กดดันมากไปใช่มั้ย” อัฐชัยสงสัย
“พี่กดขี่อะไร ไม่ได้กดขี่ซะหน่อย” เอมี่โวย
“ไม่เกี่ยวกับพี่เอมี่หรือพวกเราหรอก แต่..หนูร่วมงานกับ...” น้ำมนต์ไม่อยากจะเอ่ยชื่อเมสินี “เขา..ไม่ได้แล้วจริงๆ”
“ทำไม”
น้ำมนต์ลังเล ชั่งใจ
“เพราะ..เขา..เมสินี..เขาทำให้แม่หนู..ตาย”
“หา” ทุกคนอ้าปากค้าง
พีระค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งในมุมนั้น ซุกตัวเข้าไป ชันเข่าขึ้นมากอด แล้วหลับตาลง พยายามรื้อฟื้นความรู้สึกความทรงจำที่หลงเหลืออยู่
“เคยเกิดอะไรที่ตรงนี้..เคยมีเรื่องอะไร...เรื่องร้าย หรือดี ร้ายหรือดี ร้ายหรือดี”
แล้วอยู่ๆพีระก็มีอาการสั่นๆแบบคนตื่นกลัว สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ความรู้สึกในอดีตค่อยๆย้อนกลับเข้ามาและแสดงออกทางร่างกายก่อน จนในที่สุดพีระก็เงยหน้าขึ้นมาลืมตาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
ในอดีต...หลังจากพีระไปขับรถชนแม่น้ำมนต์มา พีระในวัยหนุ่มนั่งสั่นกลัวอยู่ในซอกนั้น ก่อนหน้านี้พีระวิ่งเข้ามาในห้อง ปิดประตูกระแทก แล้วไปซุกตัวซ่อนในซอกข้างเตียงราวกับจะซ่อนให้ตัวเองหายไปจากโลก ไม่ให้ใครหาเจอ ..
พีระในปัจจุบันที่สั่นกลัวอยู่ สีหน้าแววตาผงะ ความทรงจำช่วงนั้นไหลกลับเข้ามา พีระผงะ ตาเบิกโพลง
ในอดีต....พีระเดินออกมาที่โถงบ้าน มองออกไปด้านนอกบ้าน เห็นรถสปอร์ตคันดังกล่าวจอดอยู่ด้านนอกบ้าน ผูกโบว์สวยงาม พีระตาโต ตื่นเต้น รีบวิ่งออกมาดูรถ
“เฮ้ย นี่มัน..โหว โคตรเจ๋ง..ไหนพ่อบอกว่าจะไม่ซื้อให้”
แต่อยู่ๆมีคนกดรีโมท รถกระพริบไฟเป็นสัญญาณ พีระเงยหน้าขึ้นมามอง พบว่าเมสินียืนถือรีโมทรถอยู่ เมสินียิ้มเย้ยๆให้พีระ ชูกุญแจรถแกว่งไปมา
“โทษทีนะจ๊ะพีท รถคันนี้ พ่อของเธอซื้อให้ฉันเป็นของขวัญวันเกิด”
เมสินีเดินขึ้นไปนั่งในรถสปอร์ตคันนั้นแล้ว สตาร์ทรถ หันมายิ้มให้พีระ และกำลังขับออกไปโดยที่พีระยืนมองอยู่ ด้วยความน้อยใจ แต่แล้วก่อนเมสินีออกรถไป อยู่ๆพีระก็เข้าไปยืนขวางไม่ให้เมสินีออกรถไปได้
“ไม่จริง พ่อซื้อรถคันนี้ให้ผม ลงมา”
อยู่ๆธีระศิลป์เดินออกมา มียุทธ ซึ่งเป็นบอดี้การ์ดคนสนิทของธีระศิลป์เดินตามหลังมา
“ฉันซื้อให้เมสินี”
“พ่อ..ผมขอรถคันนี้เป็นของขวัญจากพ่อ ขอทุกปี แต่พ่อไม่เคยให้ แล้วไปซื้อให้มันเนี่ยนะ”
“เลิกเรียกเมสินีว่ามัน เขาคือแม่ใหม่ของแก แกต้องให้เกียรติเขา”
“ทำไมผมต้องให้เกียรติคนที่มาเกาะพ่อผมกินด้วย ผมจะเอารถคันนี้”
“แกไม่รู้ตัวอีกเหรอ ว่าทำไมฉันถึงไม่ซื้อให้แก เพราะนิสัยอันธพาล ก้าวร้าว ขวางโลกของแกนี่แหละ ฉันถึงต้องส่งแกไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่เด็ก แล้วถ้าแกยังไม่เลิกนิสัยเสียๆพวกนี้ ก็อย่าหวังว่าฉันจะซื้อของขวัญอะไรให้แกเลย”
พีระย้อน กวน
“อ้อ แล้วผมต้องทำยังไงครับถึงจะได้รถ ต้องออดอ้อนออเซาะและหลับนอนกับพ่อเหมือนมันหรือเปล่า”
“พีท”
ธีระศิลป์เหลืออดเผลอตบหน้าพีระเต็มแรง เปรี้ยง พีระเจ็บและแค้น เมสินีสะใจ แต่พอธีระศิลป์หันมามองก็แอบตีหน้าแสนดี
“อย่าทะเลาะกันเลยค่ะ ถ้าพีทอยากได้ เมยกให้ก็ได้ค่ะ”
เมสินีลงจากรถมายืน ทำทีเปิดประตูรถให้พีระ
“เออ เอามา”
พีระจะเอาจริง พุ่งไปดึงแขนเมสินีเหวี่ยงออก จะขึ้นรถ แต่ธีระศิลป์มาขวาง ดึงตัวเอาไว้
“ไม่ ไม่ต้องให้มัน”
“มันยกให้ผมแล้ว พ่อจะมายุ่งอะไรด้วย”
พีระผลักธีระศิลป์ออก แล้วพุ่งเข้าไปที่รถ ที่มีเมสินียืนขวางอยู่ เพราะไม่ได้ตั้งใจจะยกให้พีระจริงๆ
“ถ้าพ่อเธอไม่อนุญาต เธอเอารถไปไมได้”
“เกิดเสียดายขึ้นมาเหรอ ออกไป”
พีระผลักเมสินีออกอย่างแรง จนเซถลาไป แทบล้ม แล้วพีระก็รีบขึ้นรถ ออกรถไปอย่างเร็วทันที
“รถฉัน รถฉัน”
ยุทธรีบวิ่งไปที่มอเตอร์ไซค์ของตัวเองทันที
พีระขับรถมาอย่างเร็วรีบ แหกปากส่งเสียงร้องอย่างสะใจที่ได้รถมาครอง และสนุกที่ได้ขับรถ สักพัก โทรศัพท์มือถือดังขึ้น โชว์ว่าเป็นสายจาก “พ่อ” พีระเหลือบมอง แต่ไม่แยแส ไม่คิดจะรับ
“จะโทรมาทำไมคร้าบ ผมไม่คืนรถให้โง่หรอก”
สักพัก มีมอเตอร์ไซค์แล่นตามมา พีระเหลือบมองผ่านกระจกหลัง เห็นว่าคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ตาม คือ ยุทธ
“ถ้าคิดว่าแรงก็ตามให้ได้แล้วกัน”
พีระจะไม่ยอมให้ยุทธตามทัน เปลี่ยนเกียร์ เหยียบมิด รถพีระเร่งเครื่อง ทิ้งระยะห่าง มอเตอร์ไซค์บิดเครื่อง เร่งตาม พีระมองผ่านกระจกมองหลัง เห็นมอเตอร์ไซค์ยังตามมาติดๆ และกำลังขึ้นมาตีคู่ พีระมองอย่างชักหมั่นไส้ อยากจัดให้แบบเจ็บๆ มองผ่านกระจกหลัง
“อยากลองดีใช่มั้ย เดี๋ยวรู้”
พีระจงใจขับรถส่าย เพื่อเบียดมอเตอร์ไซค์กะจะให้คว่ำไป แต่มอเตอร์ไซค์ปาดหลบได้ พีระเลื้อยรถไปมาอย่างกวนประสาท มอเตอร์ไซค์ทำได้แค่รักษาระยะ พีระหัวเราะสะใจ มีความสุขที่ได้เล่นงานมอเตอร์ไซค์ โทรศัพท์มือถือยังดังอยู่ จาก “พ่อ”
“ผมไม่รับก็ยังจะโทรมาอยู่ได้”
แต่แล้วพีระก็ต้องชะงัก เพราะข้างหน้าเป็นสี่แยกที่สัญญาณไฟจราจรกำลังเปลี่ยนจากเขียวเป็นเหลือง และจะกลายเป็นแดง พีระรู้ว่าไม่พ้นสัญญาณไฟแน่ๆ แต่จะยอมติดไฟแดงไม่ได้ พีระตัดสินใจ เหยียบคันเร่ง ตัดสินใจฝ่าไฟแดง
“อยากเอารถคืนก็ตามมาสิโว้ย”
รถพีระฝ่าไฟแดงมา มอเตอร์ไซค์แล่นตาม รถพีระพ้นรถคันอื่นที่วิ่งตัดมาอย่างหวุดหวิด แต่มอเตอร์ไซค์ไม่พ้น ถูกรถกระบะที่วิ่งตัดมาขวางหน้า มอเตอร์ไซค์หักหลบ ทำให้เสียหลักล้ม ถลาไปกับพื้นถนน ส่งเสียงโครม พีระหันกลับมามองผลงาน หัวเราะอย่างสะใจ
“เล่นกับใครไม่เล่น ฮะๆ”
แต่พอพีระหันกลับมามองด้านหน้า ก็ต้องผงะ ช็อกสุดขีด เพราะเห็นว่ามีรถเก๋งอีกคันแล่นตัดออกมาขวางหน้า
“เฮ้ย”
พีระหักรถหลบทันที เสียงล้อบดพื้นถนน..เอี๊ยด รถของพีระไถล เป๋ ส่าย และหมุนติ้ว ก่อนจะหยุดลง..ตึ่ง
เหตุการณ์สงบลง พีระหน้าคว่ำไปกับพวงมาลัย ไม่ได้เป็นอะไรมาก พอตั้งสติได้ ค่อยๆโงหัวขึ้นมา แล้วหันกลับไปมองที่ด้านหลัง มองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็มองอย่างและช็อกๆ เสียงคนเริ่มร้องว่ารถคว่ำๆ ร้องเรียกให้มาช่วยกัน ชาวบ้านบางคนวิ่งไปช่วยเหลือ โทรศัพท์พีระยังดังอยู่ จาก“พ่อ” พีระช็อกมาก ค่อยๆหยิบมือถือมากดรับและแนบหู สั่น กลัว ตื่นตระหนกสุดขีด
“พ่อ..ช่วย..ช่วยผมด้วย”
รถของธีระศิลป์แล่นกลับเข้ามาในบ้าน มีคนของพ่ออีกคนขับรถสปอร์ตตามเข้ามาด้วย รถยังจอดไม่สนิทดี พีระก็รีบเปิดประตู วิ่งลงจากรถเข้าไปในบ้านทันที แทบจะชนเข้ากับเมสินีที่เดินสวนออกมาพอดี เมสินีต้องรีบผวาหลบ
“ว้าย”
ธีระศิลป์รีบลงจากรถตามมา สั่งกำชับพ่อบ้านและคนใช้บ้านทุกคนทันที
“ไปปิดประตู ล้างรถทำความสะอาดให้เกลี้ยง ห้ามใครเข้ามาเด็ดขาด ห้ามรับโทรศัพท์ หรือติดต่อกับใครทั้งนั้นจนกว่าฉันจะอนุญาต”
ธีระศิลป์รีบเข้าบ้านตามพีระไป
“มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
ธีระศิลป์ไม่สนใจ เดินผ่านไปเลย เมสินีงง
“แล้วยุทธล่ะ”
พีระวิ่งเข้ามาในห้อง ปิดประตูกระแทก แล้วไปซุกตัวซ่อนในซอกข้างเตียงราวกับจะซ่อนให้ตัวเองหายไปจากโลก ไม่ให้ใครหาเจอ พีระกอดเข่าตัวสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ปากสั่น มือไม้สั่นไปหมด ธีระศิลป์วิ่งตามเข้ามา
“พีท”
พีระเงยหน้าขึ้นมาอย่างสั่นกลัวไปหมด
“พ่อ..ผม..ผมไม่ได้..ตั้งใจ..ผมไม่ได้ตั้งใจ รถคันนั้นมาได้ยังไงก็ไม่รู้”
ธีระศิลป์เข้าไปกอดพีระเอาไว้ ปลอบใจ
“ไม่ต้องกลัว พ่อจะไม่ให้ใครทำอะไรแก ไม่ต้องกลัว”
เมสินีมายืนมองอยู่ที่หน้าประตู สะใจ สมน้ำหน้า พีระช็อกไม่เลิก
ปัจจุบัน พีระผวาหลุดจากห้วงความทรงจำออกมา หายใจหอบถี่ ตกใจ ช็อกกับสิ่งที่ได้รู้
“เรา..เราเป็นคนขับรถคันนั้น..ถ้าอย่างนั้น..เราก็เป็นคนที่ทำให้แม่ของน้ำมนต์ประสบอุบัติเหตุ..คือเรา..เราทำให้แม่น้ำมนต์ตาย”
“นายจำได้แล้ว”
อยู่ๆแมนสรวงก็โผล่มานอนกับเตียง ยื่นหน้ามาใกล้พีระ
“เฮ้ย”
“ฉันบอกนายแล้วว่าหาเรื่องให้ตัวเอง ความทรงจำจะทำให้นายเจ็บ แต่นายไม่เคยฟัง”
พีระช็อก ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“มันคือความจริงจริงๆเหรอ”
แล้วอยู่ๆก็มีเสียงเคาะกระจกดังขึ้น ก๊อกๆ พีระกับแมนสรวงหันไปมอง เห็นตุ๊กตาผียืนเรียงกันครบทีม
“ไอ้พวกนี้ยังไม่ไปอีก”
ทันใด ตุ๊กตาผีตัวหนึ่งก็โชว์สวิตช์ไฟ พีระมองตามเห็นว่าพวกตุ๊กตาผีมีการต่อสายไฟเอามาเสียบตรงกลอนของประตู เชื่อมต่อกับแบตเตอร์รี่ พอพวกมันกดสวิตช์ กลอนตรงประตูระเบิดปุ้ง ควันกรุ่น ประตูคลายตัว และเปิดประตูออกได้
“นี่ต่อวงจรระเบิดเลยเหรอ”
พวกตุ๊กตาเปิดประตูเข้ามา หัวเราะเสียงแหลม
“หนี” แมนสรวงร้องบอกพีระ
พวกตุ๊กตาผีโดดพุ่งเข้าใส่พีระกับแมนสรวง แต่แมนสรวงคว้าพีระโดดทะลุกำแพงออกไปได้ก่อนหวุดหวิด
พีระกับแมนสรวงตกลงมาในสนามหญ้าด้านนอกตัวบ้าน..ตุ้บ พีระนอนแผ่หมดแรง
“ฉันเป็นคนขับรถคันนั้น ฉันทำให้แม่น้ำมนต์ตาย”
“อย่าเพิ่งคร่ำครวญได้มั้ย หนีก่อน”
“ฉันเป็นฆาตกร”
พวกตุ๊กตาผีโดดตามออกมาที่สนาม
“มันมาแล้ว..ไป”
แมนสรวงกระชากพีระพาหนี พวกผีตุ๊กตาโดดไล่ตามเหยงๆ
สำนักอาจารย์เทพ จอดับไฟ ตุ๊กตาผีตัวที่แช่อ่างน้ำมนต์อยู่หลับตา เกี๊ยงงง ข้องใจ
“อ้าว นี่แปลว่าอะไร..พีระมันหนีไปได้เหรอจารย์ โหย อะไรอ่า จารย์ฝีมือตกนะเนี่ย” เกี๊ยงบ่น
“แกด่าฉันกระจอกเหรอ”
“ไม่ได้ด่ากระจอก แต่บอกว่าฝีมือตก แปลว่า อ่อน ไม่ได้เรื่อง ไม่พัฒนา ใช้ไม่ได้ เหมือนคอมโดนไวรัส ทำอะไรก็ช้า หน่วง อืด”
“ไอ้เกี๊ยง” อาจารย์เทพตบเกี๊ยงคว่ำ
“ไม่รู้อะไรก็หุบปาก ฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้หนูๆของฉันจัดการพีระแต่แรกแล้วเว้ย”
“อ้าว แล้วจารย์จะทำอะไร”
“แค่จะติดเครื่องมือติดตามตัว หึๆ”
เกี๊ยงงง อาจารย์เทพยิ้มร้ายๆ
น้ำมนต์นั่งซึม พวกเอมี่ล้อมรอบ รอฟัง
“คุณเมสินีเป็นเจ้าของรถสปอร์ตคันที่เฉี่ยวรถแม่ของน้ำมนต์ แล้วเขาก็ไม่หยุดช่วย ถ้าเขาหยุด แม่อาจไม่เป็นอะไรก็ได้”
“ทั้งหมดนี้ มันก็แค่การปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเองของน้ำมนต์คนเดียว ยังไม่แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์เหรอ” อัฐชัยแย้ง
“จริงด้วย..เราได้รูปรถคันนั้น แล้วคุณเมก็มีรถคันนั้น” เอมี่บอก
“แล้วพีระก็เห็นภาพว่าเมสินีเป็นเจ้าของและขับออกไปในวันที่แม่เธอประสบอุบัติเหตุ” พิมพ์ดาวเล่า
“ฟังดูมันก็เหมือนจะเป็นเรื่องราวเดียวกันนะ แต่มันก็มีจุดหลวมๆอยู่หลายจุดนะ คุณเมมีรถแบบเดียวกัน แต่ไม่ใช่คันที่ก่อเหตุก็ได้” อัฐชัยประมวลเรื่องราว
“จริง” เอมี่ พิมพ์ดาวพูดพร้อมกัน
“ความเป็นไปได้มีเยอะแยะ น้ำมนต์จะแน่ใจได้ยังไงว่าพีระไม่ได้โกหก” อัฐชัยหันมาถามน้ำมนต์
“พีระไม่โกหกฉัน” น้ำมนต์บอกทันที
“ทำไมถึงมั่นใจ”
“ฉันมั่นใจก็แล้วกัน พี่เอมี่คงเข้าใจแล้วนะคะว่าทำไมหนูถึงจะไม่ไปร่วมงานปาร์ตี้แถลงข่าวด้วย หนูทำงานให้กับคนที่เป็นต้นเหตุให้แม่ของหนูเสียไม่ได้จริงๆค่ะ..หนูกราบขอโทษพี่อีกครั้งค่ะ”
น้ำมนต์ไหว้แล้วเดินแยกไปเลย ไม่หันกลับมา ทุกคนอึ้งเซ็ง เอมี่คร่ำครวญ
“น้ำมนต์ ถ้าเธอไป มันก็เหมือนเธอกำลังฆ่าพี่ทั้งเป็นนะ เธอคนเดียวที่จะช่วยต่ออายุของพี่ได้ กลับมาก่อน พลีส”
พีระนั่งสับสนอยู่ที่สวนสาธารณะ แมนสรวงเดินเข้ามาหา
“เข้าใจแล้วใช่มั้ยว่าทำไมฉันถึงบอกให้นายสนใจแค่เรื่องตามหาร่าง ทำไมฉันถึงบอกกับนายว่าอย่ามีความรัก อย่าสร้างความทรงจำกับใคร นี่ไงล่ะ เพราะสุดท้ายความรู้สึกพวกนั้นจะทำให้นายเจ็บปวด”
“นายรู้แต่แรกแล้วว่าฉันเป็นคนขับรถคันนั้น”
“รู้สิ ฉันเป็นยมทูตประจำตัวนายนะ”
“แล้วทำไมนายไม่บอกฉัน”
“อ้าว เฮ้ย ตะกี้บอกไปแล้วไม่ได้ฟังเหรอ”
“ทำไมไม่บอกฉัน”
พีระกระชากคอเสื้อแมนสรวงขึ้นมา
“โกรธฉันเหรอ หรือโกรธตัวเอง”
“โกรธตัวเอง แต่ฉันจะชกนาย ชกให้มือฉันเจ็บ จะได้หลาบจำ”
พีระโถมเข้าใส่แมนสรวง ทั้งคู่ล้มลงไปกอดกันนัวเนียกันมา
“โกรธตัวเองก็ชกตัวเองสิวะ เกี่ยวอะไรกับฉัน”
“ฉันจะชกนาย”
“ปล่อยฉัน”
คุณผีที่รัก ตอนที่ 10 (ต่อ)
ทั้งสองคนนัวเนียกันไปกับพื้น ผลัดกันพลิกมาอยู่บน พลิกไปอยู่ล่าง เหมือนเด็กตีกัน แล้วทั้งสองก็ผละออกจากกัน นอนแผ่ไปกับพื้น หอบแฮ่ก พีระสงบสติอารมณ์ลงไป
“ฉันเป็นฆาตกร”
“อย่าดราม่า มันคืออุบัติเหตุ นายไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิด”
“เพราะอย่างนี้ใช่มั้ย น้ำมนต์กับข้าวต้มถึงเป็นคนสองคนที่มองเห็นและสัมผัสฉันได้”
“เพราะนายมีกรรมร่วมกันกับสองคนนั้น กรรมที่ร้อยรัดให้นายกับน้ำมนต์ต้องชดใช้ซึ่งกันและกัน”
“งั้นบอกฉันที ฉันต้องชดใช้ให้น้ำมนต์ยังไง”
“หาร่างของนายให้เจอ แล้วไสหัวเข้าร่างไปซะ”
“นายจะให้ฉันหนี”
“ไม่ใช่หนี แต่มันไม่มีประโยชน์ที่นายจะขุดคุ้ยปมในอดีตของน้ำมนต์ขึ้นมา มันจบไปแล้ว ปล่อยให้มันจบไป..กลับเข้าร่าง แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ เชื่อฉันเถอะ”
พีระอึ้ง เครียด สับสน แมนสรวงนึกขึ้นได้
“อ้อ แต่ก่อนไปเข้าร่าง นายควรไปงานปาร์ตี้เปิดตัวรายการใหม่ก่อนนะ งานของเจ๊เอมี่จะได้ไม่เสีย”
“หือ...สรุปนายจะเอาไงกับฉัน เดี๋ยวอยากให้หาร่างให้เจอ เดี๋ยวจะให้ไปงานปาร์ตี้..อะไรของนาย”
“ก็อยากให้หาร่างให้เจอ แต่ไปงานปาร์ตี้ก่อนนะ”
“ดูปากพีระนะครับ..ไม่”
พีระลุกเดินหนีไป แมนสรวงห่อเหี่ยวมองตามหลังไป แล้วเอะใจ เพ่งตามองอีกที ด้านหลังของพีระ เห็นว่ามีตุ๊กตาผีตัวเล็กเกาะหลังอยู่ ซ่อนอยู่ในคอเสื้อ โผล่มาแต่ช่วงหัว ดวงตาของมันแดงวาบ น่ากลัว แมนสรวงงง
เอมี่เดินคร่ำครวญมาตามทาง
“ชีวิตพี่สิ้นแล้ว ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว”
“อย่าเพิ่งคิดไปไกลสิครับ ตอนนี้สถานะพี่ก็แค่โคม่าเฝ้าติดตามอาการวันต่อวันแค่นั้นเอง” อัฐชัยปลอบ
“อัฐชัยคำพูดเธอช่างมีพลัง”
“ทำให้พี่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ”
“ทำให้พี่อยากหักคอเธอซะตอนนี้ โคม่ากับตายมันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก”
“จริงด้วย โคม่ายังต้องทรมาน ก็สู้ตายไปเลยดีกว่า เนอะพี่” พิมพ์ดาวเห็นด้วย
“ยัยดาว พวกเธอจะใจร้ายกับผู้หญิงตัวเล็กๆมากไปแล้วนะ เชอะ”
เอมี่สะบัดหน้า กำลังจะขึ้นรถ แต่มองไปเห็นแมนสรวงยืนอยู่อีกด้าน ตาลุก มีความหวังขึ้นมา รีบวิ่งไป
“ข่าวดี ต้องเป็นข่าวดีแน่ๆ”
อัฐชัยกับพิมพ์ดาวยืนมอง งง ว่าเอมี่ไปไหน
“พี่เอมี่ไปไหน”
เอมี่รีบพุ่งเข้ามาหาแมนสรวง
“มีข่าวดีมาบอกฉันใช่มั้ย”
แมนสรวงยิ้มแย้ม
“ข่าวดีแน่นอนสิครับ เจ๊พร้อมจะตั้งใจฟังหรือยัง”
“พีระจะกลับมาเป็นพิธีกรให้ฉันใช่มั้ย ไชโย” เอมี่ดีใจสุดตัว โผกอดแมนสรวงเลย แล้วจับหน้าด้วยสองมือมาชื่นชม “เธอเก่งที่สุด สุดยอดไปเลย ทำให้ผีพีระยอมกลับมาเป็นพิธีกรได้..แล้วเธอทำได้ไง”
“ผมทำไม่ได้ครับ”
“หา...”
“ผมทำให้พีระยอมกลับมาเป็นพิธีกรให้เจ๊ไม่ได้ครับ”
“แล้วนายบอกว่าข่าวดีทำไม”
“ผมอยากให้เจ๊รู้สึกดี”
“แล้วนายยิ้มทำไม”
“ผมคิดว่าถ้ายิ้มเอาไว้มากๆตอนที่บอกพี่ว่าทำไม่สำเร็จ พี่จะโกรธน้อยลง”
เอมี่ของขึ้น
“ นาย..นาย..นายดู ฉันดูโกรธน้อยลงมั้ย..ไอ้...”
แมนสรวงรีบห้าม
“อย่าพูดหยาบครับ เดี๋ยวซวย”
“ซวยก็ให้มันซวยไป ไอ้นรกส่งมาเกิด วันนี้แกต้องตาย”
เอมี่โผเข้าบีบคอแมนสรวง พิมพ์ดาวกับอัฐชัยมายืนมองห่างๆ เห็นเอมี่คลั่งอยู่คนเดียว
“พี่เอมี่สติไปซะแล้ว น่าสงสาร”
“ปล่อยให้พี่เขาคลั่งออกมาให้สุดก่อนแล้วกัน เผื่อจะช่วยให้หายเครียดได้บ้าง”
สองคนยืนดูเอมี่คลั่ง เอมี่ขึ้นคร่อมจิกหัวแมนสรวงไม่เลิก
ค่ำคืนนั้น พีระมายืนมองหน้าบ้านน้ำมนต์ รู้สึกผิด
“ฉันจะบอกเรื่องนี้กับเธอยังไงดี”
อยู่ๆข้าวต้มเดินออกมาพูดโทรศัพท์กับน้ำมนต์
“เมื่อไหร่พี่จะซ้อมละครเสร็จ วันนี้พี่แจ๊วไม่อยู่ เค้าอยู่บ้านคนเดียวเหง๊าเหงา..อ้อ ชุดนักเรียนเค้าหมดแล้ว ถ้าไม่รีบกลับมาซัก พรุ่งนี้ไม่มีใส่ เค้าไม่ไปเรียนนะ”
พีระฟังอยู่
พีระแอบมาด้านหลังบ้าน เห็นตะกร้าเสื้อผ้าวางอยู่จึงไปหยิบมาซัก
ข้าวต้มนอนกินขนม ดูทีวี พีระแอบเข้ามาด้านหลัง กวาดเศษถุงขนมที่ข้าวต้มทิ้งเรี่ยราด ทำความสะอาดให้ ล้างจาน ขัดส้วม เอาไดร์เป่าชุดนักเรียน แล้วรีดให้ ข้าวต้มหลับ พีระแอบถูพื้นบ้านบริเวณนั้นแบบไม่ทำให้ข้าวต้มตื่น เบาสุดๆ พีระเปิดเตาไฟในครัว จะทำกับข้าว ข้าวต้มสะดุ้งตื่น
“กลิ่นข้าวผัด”
ข้าวต้มวิ่งเข้ามาในครัว พบอาหารวางอยู่ แต่ไม่มีพีระ ไม่มีใคร ข้าวต้มงง แต่ก็รีบไปนั่งกินเอร็ดอร่อย
พีระแอบมองอยู่ด้านหนึ่ง ปาดเหงื่อ แต่ยิ้ม
น้ำมนต์เดินห่อเหี่ยวกลับมาที่บ้าน พบว่าข้าวต้มยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“มายืนรอพี่เหรอ”
“ใช่แล้ว พี่เป็นคนมาแอบทำใช่มั้ย”
“ทำอะไร”
“ทุกอย่าง..ซักผ้า รีดผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน ขัดส้วม ทำกับข้าว”
“พี่เพิ่งกลับจากซ้อมละครที่มหาลัย จะมาทำอะไรพวกนี้ได้ไง”
“แล้วใครทำ”
น้ำมนต์คิดว่าเป็นพีระแน่ๆ รีบวิ่งเข้าไป
น้ำมนต์วิ่งเข้ามาในบ้าน มองสำรวจสภาพบ้านที่สะอาด มีชุดนักเรียนข้าวต้มและเสื้อผ้าบางส่วนที่รีดแล้ว แขวนไว้เป็นระเบียบ น้ำมนต์มองหาว่าพีระอยู่ไหน
“นั่นไง เห็นปะ”
น้ำมนต์วิ่งไปดูราวตากผ้า มีผ้าตากอยู่ น้ำมนต์วิ่งไปดูในครัว มีข้าวผัดวางอยู่ ไปตักขึ้นมาชิม จำรสชาติได้
“ฝีมือนายแน่ๆ..พีระ นายทำใช่มั้ย”
พีระแอบมองอยู่มุมหนึ่ง น้ำมนต์หันขวับ เห็นอะไรแว่บๆไป รีบวิ่งตาม
น้ำมนต์วิ่งออกมานอกบ้าน แต่ไม่เจอพีระ
“ฉันรู้ว่านายอยู่แถวนี้..ทำอย่างนี้ทำไม”
พีระแอบอยู่หลังต้นไม้ ไม่ยอมออกไป ข้าวต้มเดินตามออกมา
“พี่พี..ถ้าไม่ออกมาตอนนี้ งั้นมาตอนเช้าก็ได้ เค้าอยากกินมักกะโรนี มาทำให้ด้วยนะ กุ๊ดไนท์” ข้าวต้มเข้าบ้านไป
“จะไม่ออกมาใช่มั้ย”
น้ำมนต์ชักหงุดหงิดที่พีระไม่ยอมออกมา พีระหลบอยู่ ลำบากใจ แต่ๆน้ำมนต์จะเดินเข้าบ้าน แต่มีอาการวูบ แทบจะเซไป แต่ตั้งหลักเอาไว้ได้ พีระอึ้ง อยากจะออกไป แต่ห้ามใจไว้ น้ำมนต์ประคองอาการเข้าบ้านไป
ข้าวต้มหลับสนิทอ้าซ่า ใกล้ๆกัน น้ำมนต์นอนขดตัวด้วยความหนาว มีไข้ ไอค่อกแค่ก พีระแอบมองอยู่ที่หน้าต่าง ห่วงใย
“นั่นไง ทำแต่งาน ป่วยจนได้ ข้าวต้ม ตื่นมาดูแลพี่สาวนายสิ”
ข้าวต้มหลับสนิท น้ำมนต์ไอหนักขึ้น
“เอาไงดีวะ...”
พีระออกมารื้อค้นหายาที่ตู้
“ยาแก้ไข้ ยาแก้ไอ”
พีระกำลังจะไปหยิบน้ำ แต่อยู่ๆมีเสียงไปของน้ำมนต์ที่พยายามเดินออกมาเอง พีระรีบหลบ น้ำมนต์เดินเซๆเข้ามา จะไปหยิบยา แต่อาการรุนแรงมาก ต้องแวะเกาะขอบโต๊ะเพื่อไอโขลกขลาก ไออย่างหนัก พีระได้แต่มอง ห่วงใยมาก น้ำมนต์ไอเสร็จ ฮึดเดินไปเปิดตู้ยา แต่ยังไม่ทันเปิดดี น้ำมนต์ก็หมดสติ ร่วงผล็อยลงไปกองกับพื้น..ตุ้บ
“น้ำมนต์”
พีระตกใจ รีบออกมา เข้าไปประคองน้ำมนต์ขึ้นมา
“ไหวมั้ย เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่มาพาไปโรงพยาบาลนะ”
“พีระ..ออกมาได้แล้วเหรอ”
“ตัวคุณไม่ได้ร้อนเลยนี่”
พีระเริ่มรู้ตัวว่าถูกน้ำมนต์หลอกเอาซะแล้ว
“ทำอย่างนี้ทำไม”
“คุณใช้วิชาการแสดงหลอกผม”
พีระจะผละลุกหนี แต่น้ำมนต์จับตัวเอาไว้ จับแน่น ไม่ให้หนี
“ถ้าไม่ทำอย่างนี้นายจะยอมโผล่ออกมามั้ย..ทำไม..เกิดอะไรขึ้นทำไมนายถึงไม่ยอมพูดตรงๆกับฉัน”
“ผม..ผมขอโทษ..”
“ขอโทษเรื่องอะไร”
“เรื่อง..เรื่องอะไรช่างมันเถอะ ผมขอโทษ แล้วคุณก็ไม่ต้องใส่ใจผมอีก ดูแลตัวเองและน้องชายคุณให้ดีก็พอ”
พีระผละออกมาจนได้ เดินหนี น้ำมนต์รีบตามมาขวางไว้
“เรื่องนี้ใช่มั้ยที่ทำให้นายต้องหลบหน้าฉัน..เรื่องอะไร บอกฉันมา..อะไรที่ทำให้นายรู้สึกผิดอยู่ ฉันจะไม่โกรธ จะให้อภัย นายก็รู้ว่าฉันไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรอยู่แล้ว”
“คุณให้อภัยผมไม่ได้หรอก”
“ได้สิ ต้องได้ จะมีเรื่องอะไรที่ฉันจะให้อภัยนายไม่ได้”
“มีสิ มีแน่ๆ”
พีระไม่บอก จะไป น้ำมนต์ตามมาขวาง
“ถ้าไม่บอก งั้นก็อย่าไปไหน”
“ไม่ได้”
“ได้สิ ต้องได้บ้าง นายต้องยอมฉันบ้าง ถ้าจะไปก็ต้องบอกมาว่าเพราอะไร ถ้าไม่บอกก็ไม่ต้องไปไหน..เพราะฉันอยากให้นายอยู่ด้วย เข้าใจมั้ย ฉันอยากให้นายอยู่ที่นี่”
“ผม..ขอโทษ”
พีระหันหลังจะไป แต่น้ำมนต์เหลือบไปเห็นตุ๊กตาผีที่เกาะหลังพีระอยู่ มันโผล่หน้ามามอง
“นั่นอะไร”
“หือ” พีระงง
“ตัวอะไรเกาะอยู่หลังนาย” น้ำมนต์อ้อมไปดู เห็นว่าคือตุ๊กตา “ตุ๊กตา..มีตุ๊กตาเกาะหลังนาย”
“ตุ๊กตา..เฮ้ย ตุ๊กตาอาจารย์เทพ..เอามันออกมา”
“มันมุดเข้าไปแล้ว”
น้ำมนต์พยายามจะล้วงมือเข้าไปในเสื้อของพีระ แต่พีระสะดุ้ง จั๊กจี้
“เบาๆ ผมจั๊กจี้ เอามือออกมาๆ” พีระรีบถอดเสื้อออก เอามาสะบัดๆ “มันไม่อยู่ หายไปไหน”
น้ำมนต์วนดูรอบตัว
“ไม่มีนะ ไม่เห็น”
อยู่ๆพีระสะดุ้งเฮือก ยืนตัวแข็งทื่อไป ข่มอาการจั๊กจี้
“มัน..มันลงไปที่กางเกงแล้ว และ..และ อูว เบาๆ อยู่นิ่งๆได้มั้ย...ผม..ผมต้องไปแล้ว ฮะๆ ไม่อย่างนั้น พวกมันอาจทำอะ..อะไรคุณได้ ฮะๆ”
“ไม่ ฉันไม่ให้นายไป”
อยู่ๆมีเสียงข้าวต้มร้องมา
“ผีๆ”
น้ำมนต์ที่จะตามไป เลยชะงัก ห่วงข้าวต้ม
“ข้าวต้ม”
“ไปดูน้องคุณ ไม่ต้องห่วงผม ไป”
พีระรีบวิ่งออกไป
แมนสรวงกำลังกุมศีรษะข้าวต้มเอาไว้
“ขอโทษที่ต้องทำให้ฝันร้ายนะ แต่ช่วยนายพีระหน่อยเถอะนะ..ช่วยร้องดังอีกได้มั้ย”
“ผี..ผีเต็มไปหมดเลย พี่น้ำมนต์ช่วยเค้าด้วย..ช่วยด้วย”
เสียงน้ำมนต์วิ่งเข้ามา ตึงๆ แมนสรวงรีบหายไป
น้ำมนต์เข้าไปประคองกอด
“ไม่เป็นไรๆ พี่อยู่นี่แล้ว แค่ฝัน”
น้ำมนต์กอดปลอบข้าวต้มเอาไว้ แต่สีหน้าแววตายังกังวลเรื่องพีระอยู่
พีระวิ่งมาที่สวน พยายามจะจับเอาตุ๊กตาออก แต่จับไม่ถึง
“เฮ้ย อยู่ไหน ออกมาสิวะ ออกมา”
แมนสรวงโผล่ตามมา
“นายไปหาน้ำมนต์ทำไม..คงไม่ได้คิดจะไปบอกเรื่องที่นายเป็นต้นเหตุให้แม่เขาตายหรอกนะ เพราะนั่นเท่ากับนายใจร้ายมาก..นายไม่มีสิทธิไปรื้อฟื้นเรื่องราวที่น้ำมนต์ลืมไปแล้วขึ้นมา และทำให้เขาเจ็บปวดกับมันอีกครั้ง เข้าใจมั้ย”
“เออ รู้ ช่วยฉันก่อน”
“อะไร”
“ตุ๊กตาผี มันตามฉันมา..เอามันออกให้ฉันที”
“หา”
แมนสรวงพยายามช่วยพีระไล่จับ แต่มันมุดลงไปในกางเกงอีกแล้ว
“มันลงไปในกางเกงอีกแล้ว”
“เดี๋ยวฉันจะต้อนมันขึ้นมา นายรอจับมันแล้วกัน”
“โอเค”
แมนสรวงตะปบไล่ไปตามต้นขา ตบๆ ไล่ขึ้นมาๆ
“เอ้ยๆ ตบเบาๆ”
“ขึ้นมาแล้วๆ มัน..เข้าไปซ่อนตัวในจุดจี้กงแล้ว”
“อย่า ฉันไม่ยอมให้นายตบจุดอรหันต์ของฉัน”
แมนสรวงผละออก
“โอเค ฉันก็ไม่อยากตบเหมือนกัน”
“ดี”
ไม่ทันขาดคำ แมนสรวงเตะป๊าบเข้าหว่างขาพีระ
“โอ๊ย”
ตุ๊กตาผีโผล่ออกมาทันที มาเกาะที่มือพีระทันที พีระล้มไปกองกับพื้น
“มันออกมาแล้ว”
แมนสรวงพยายามจะดึงมันออก แต่มันเกาะแน่นไม่ยอมปล่อย
“ออกมาสิๆ”
พีระอยากด่าแมนสรวง
“ไอ้ยม..ทูต..เลว..ไอ้..”
แมนสรวงพยายามจะดึงให้แต่ดึงไม่หลุด ขึ้นไปยืนคร่อมพีระในท่าต่างๆเพื่อจะดึงก็ดึงไม่หลุด
แต่แล้วทันใด ปรากฏร่างของอาจารย์เทพขึ้นมายืนอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน
“แก..อาจารย์เทพ”
อาจารย์เทพนั่งพูดอยู่ที่เดิม กำลังสื่อสารด้วยจิตกับพีระ
“แกหนีฉันไม่รอดหรอกพีระ ฉันจะไม่หยุดจนกว่าจับแกไปให้แม่เลี้ยงของแกทำลายได้ และถ้าแกยังดื้อด้าน บอกเลยว่าคนที่แกห่วงใยมากๆ มีอันตรายแน่ น้ำมนต์มีอันตรายแน่”
เกี๊ยงเข้ามาพูดเสริม
“จารย์เทพหมายถึงน้ำมนต์ จะมีอันตรายเพราะจารย์จะส่งเกี๊ยงไปปล้ำ”
“ฝันไปเถอะ ฉันจะปล้ำเองเว้ย”
“เฮ้ย จารย์ งานง่ายๆอย่างนี้จารย์ไม่ต้องทำเองหรอก เกี๊ยงไม่อยากให้จารย์เหนื่อย เกี๊ยงปล้ำเอง”
“ฉันปล้ำเอง”
พีระกับแมนสรวงฟังอยู่ถึงกับอึ้งไป ยังคงมีเสียงอาจารย์เทพกับเกี๊ยงเถียงกันดังมาตลอด
“งานเข้าแล้วไหมล่ะ”
“น้ำมนต์”
พีระเครียด ห่วงน้ำมนต์มาก
เช้าวันใหม่ พิมพ์ดาวต่อบทกับอัฐชัย
“ท่านเจ้าคุณช่วยเยื้อนเอาไว้เหรอคะ ทำไมไม่ปล่อยให้เยื้อนตาย”
แต่อัฐชัยใจลอย มองออกมาด้านนอกตลอด พิมพ์ดาวมองตามว่ามองอะไร เห็นว่าอัฐชัยมองน้ำมนต์ที่นั่งเหม่ออยู่ด้านนอก พิมพ์ดาวพยายามไม่โมโห เอาบทตีท้องอัฐชัยเพื่อเรียกสติให้
“นี่ ตั้งใจซ้อมหน่อย”
“เออๆ เอาใหม่”
“ท่านเจ้าคุณช่วยเยื้อนเอาไว้เหรอคะ ทำไมไม่ปล่อยให้เยื้อนตาย”
แต่แล้วอัฐชัยก็เหม่อมองน้ำมนต์อีก พิมพ์ดาวเซ็ง เตะหน้าแข้งอัฐชัย
“จะซ้อมมั้ย”
นอกห้อง...น้ำมนต์นั่งเหม่อ คิดถึงพีระ
“นายขอโทษฉันทำไม ไปทำเรื่องอะไรไว้”
พีระนั่งมองตุ๊กตาผีที่เกาะมืออยู่อย่างหงุดหงิด
“ต้องทำยังไงถึงจะยอมปล่อย จะเอาเงินเท่าไหร่ หรืออยากได้ขนมมั้ย หรือจะให้พาไปสวนสนุก บอกมา”
ตุ๊กตากระพริบตาปริบๆ หัวเราะคิกๆ
“ถ้าเจรจาไม่เป็นผล งั้นต้องใช้ไม้แข็ง” แมนสรวงจุดไฟแช็กเผา
พีระร้องลั่นดึงมือหนี
“ร้อนๆ มันมือฉันๆ ไม่เอาแล้ว”
“เกาะแน่นนักใช่มั้ย”
แมนสรวงมองตุ๊กตาผีแค้นมาก
ยุทธเดินนำเมสินีเข้ามาที่บริเวณหน้าผับร้างแห่งหนึ่ง
“ที่นี่แหละครับสถานที่จัดงานปาร์ตี้คืนนี้”
บรรยากาศโดยรวมของสถานที่ เป็นอาคารร้าง เต็มไปด้วยซากระเกะระกะ กองไม้ กองหิน และพวกวัชพืชขึ้นปกคลุมตามมุต่างๆเต็มไปหมด ทีมงานบางส่วนทยอยเตรียมสถานที่
“ผับร้าง..ที่เคยมีโศกนาฎกรรมตายหมู่..สถานที่ๆล่ำลือกันว่าเฮี้ยนอันดับต้นๆของประเทศ”
ยุทธหันมา เมสินีพยมมือสวดมนต์พึมพำอยู่ เมสินีเงยมา เห็นยุทธมองอยู่ เลยรีบแก้ตัว
“ฉันก็แค่ให้เกียรติผีเจ้าภาพ เค้าอุตส่าห์ให้เรายืมสถานที่..แล้วเป้าหมายที่ฉันต้องการ..มาใช่มั้ย”
เอมี่เปิดกระโปรงรถ เห็นข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัววางอยู่ท้ายรถเต็มไปหมด ติดป้าย SALE ประมาณเปิดท้ายขายของ
“เลือกเลยค่ะ ของดีราคาถูก ขายเพราะไม่อยากอดตายค่ะ”
น้ำมนต์ พิมพ์ดาว อัฐชัยยืนมองอยู่ น้ำมนต์รู้ว่าเอมี่พยายามกดดันตน
“พี่ไม่ได้โทษน้ำมนต์นะ ถ้าคุณเมจะเลิกจ้างบริษัทเอมี่ทุกอย่างเพราะน้ำมนต์กับพีระไม่ไปร่วมงานปาร์ตี้เปิดตัวรายการ พี่ก็เข้าใจ เข้าใจดีมากๆ เข้าใจจนไม่รู้จะอธิบายยังไงว่าเข้าใจ๊เข้าใจ”
“หนูขอโทษนะคะ”
น้ำมนต์เดินหนี เอมี่ช็อก แทบคลั่ง
“พี่เข้าใจ เข้าใจมากๆ”
พีระเอาเก้าอี้ทับตุ๊กตาผี แล้วพยายามจะดึงออก แต่ทำยังไงก็ไม่หลุดจนเหนื่อย หมดแรง
“เป็นผีหรือเป็นตุ๊กแกหา หนึบหนับจริงๆ”
เสียงแมนสรวงดังมา
“มันต้องเจอฉัน”
พีระหันไป พบว่าแมนสรวงถือขวานหรือมีดอีโต้อันเบ่อเริ่ม เงื้อสุดแขน
“ย้าก”
“เฮ้ย อย่าๆ”
พีระวิ่งหนี แมนสรวงวิ่งไล่
เอมี่โวยใส่พิมพ์ดาวกับอัฐชัย
“พวกเธอต้องไปทำให้น้ำมนต์ยอมไปงานปาร์ตี้”
“ผมขอบาย ไม่สะดวกใจจะใกล้ชิดน้ำมนต์ตอนนี้” อัฐชัยปฏิเสธทันที
“พวกเธอต้องทำ เพราะถ้าคุณเมยกเลิกงานพี่ ละครเวทีพวกเธอก็ต้องถูกยกเลิกสปอนเซอร์เหมือนกัน”
“หา” พิมพ์ดาวร้องลั่น
แต่อยู่ๆน้ำมนต์เข้ามา
“ไม่ต้องหว่านล้อมหนูหรอกค่ะ” น้ำมนต์โชว์โทรศัพท์ “หนูส่งข้อความไปขอลาออกกับคุณเมเรียบร้อยแล้ว”
“หา” ทุกคนร้องออกมาพร้อมกีอีกรอบ
เมสินีอ่านข้อความในมือถือแล้วโกรธมาก
“ขอลาออกจากทุกงาน ส่งข้อความอย่างนี้มา หมายความว่ายังไง”
“แปลว่า จะไม่มางานนี้ ไม่ร่วมงานกับคุณเมอีก..แล้วที่สำคัญ ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน เข้าใจมั้ย” ยุทธพูดใส่อารมณ์ตามข้อความ
“ไม่เข้าใจ” เมสินีหงุดหงิด
พีระวางดอกไม้ดอกหนึ่งเอาไว้แทนแขนของตัวเอง แล้วเอาดอกไม้อีกดอกวางซ้อนแทนตัวตุ๊กตาผี
“ดอกนี้คือแขนฉัน อันนี้ตุ๊กตา..นายซ้อมก่อน”
“ย้าก”
แมนสรวงฟันพลาดเป้า โดนดอกที่เป็นแขนพีระ
“นายอาจตื่นเต้น ฉันให้โอกาสอีกที”
พีระวางดอกไม้ดอกใหม่ แมนสรวงฟันพลาดเป้าอีก
“บอกให้ฟันตุ๊กตา ไม่ใช่ฟันแขนฉัน”
“งั้นเดี๋ยวฉันจะคิดฟันแขนนาย มันจะได้พลาดไปโดนตุ๊กตาแล้วกัน...มา...”
“เดี๋ยวๆ ฉันเพิ่งคิดวิธีที่ง่ายกว่านั้นได้”
พีระเอาปากกาเมจิสีดำทาลูกตาของตุ๊กตาผีให้เป็นดำสนิท ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้
“ถ้ามันส่งข่าวไปหาไอ้หมอผีเทพ เราก็ปิดเนตรมันซะ..ช่วยเอาผ้ามามัดที..กันเอาไว้สองชั้น”
แมนสรวงพันผ้าให้ แต่ปากบ่น
“ให้ฉันฟันมันทิ้งก็จบเรื่อง”
พีระสยองๆ
เอมี่ พิมพ์ดาว อัฐชัยเข้ามายืนหน้างาน สีหน้าจ๋อยหน้าผับร้าง เปลี่ยนการแต่งตัวเป็นชุดสำหรับงานปาร์ตี้แล้ว
“น้องน้ำมนต์ไม่สบายมากเลยค่ะ ท้องเสียกะทันหัน เลยมาไม่ได้ น่าสงสารมากเลย นี่คงจะต้องส่งเข้าแอทมิทในโรงพยาบาล..พวกเธอว่าคุณเมจะเชื่อมั้ย” เอมี่ซ้อมพูด
“ไม่เชื่อ”
เสียงเมสินีดังมา แต่เอมี่ยังไม่รู้ตัว
“ทำไมไม่เชื่อ”
“ยังไม่ได้ตอบเลยค่ะ” พิมพ์ดาวบอก
“แล้วใครตอบ”
เอมี่ พิมพ์ดาว อัฐชัยหันกลับไป พบว่าเมสินียืนจ้องเขม็งอยู่
“ทำไมน้ำมนต์ไม่มา”
ทั้งสามยิ้มแหะๆ
น้ำมนต์เดินกลับมาที่บ้าน ข้าวต้มกับงอแงกำลังนั่งเล่นไอแพดอยู่ด้วยกัน
“อ้าว วันนี้พี่ไม่ไปงานเปิดตัวรายการผีผจญผีเหรอครับ”
“รู้ได้ไง”
งอแงอวดๆ
“นี่ไงคะ แม่เพิ่งซื้อไอแพดมาให้งอแงใช้เพื่อการศึกษาค่ะ งอแงก็เลยเอามาดูถ่ายทอดสดการเดินแฟชั่นที่ปารีส แล้วพอดี มันมีข่าวว่าวันนี้จะมีการเปิดตัวรายการใหม่ของพราวด์ดิจิตัลดั้วะ”
“รายการที่พี่เป็นพิธีกร แล้วทำไมมานั่งอยู่นี่อะ” ข่าวต้มสงสัย
น้ำมนต์ถอนหายใจ เดินเข้าบ้านไป ไม่มีอารมณ์จะพูดถึง
“เป็นไรอะ”
“อารมณ์ไม่ดีอย่างนี้ เดี๋ยวขอหาในกูเกิ้ลก่อน” งอแงก้มหน้าก้มตากดๆ
เมสินีปรี๊ดใส่พวกเอมี่
“ฉันไม่รับฟังเหตุผลอะไรทั้งนั้น ไปเอาตัวน้ำมนต์กับพีระมาให้ได้ ไม่อย่างนั้น ฉันจะเอาเรื่องพวกเธอให้ถึงที่สุด”
เมสินีเดินสะบัดหน้าไปทันที พิมพ์ดาวแปลกใจ
“ทำไมเขาต้องอยากให้น้ำมนต์มาขนาดนั้นด้วย”
“อ้ะๆ ถ้าอยากให้มาขนาดนี้ เดี๋ยวโทรไปตามให้ก็ได้” อัฐชัยบอก
“แหม อยากโทรอยู่แล้วแต่หาข้ออ้างมากกว่า” พิมพ์ดาวค้อน
“ไม่ได้อยาก..เออๆ งั้นไม่โทรก็ได้”
“โทรเถอะ ไม่มีใครว่าอะไรเธอหรอกนะ..เงียบไปเลยนะพิมพ์ดาว..เอ้า โทรสิๆ” เอมี่สั่ง
อัฐชัยกดเบอร์ เอามาแนบหู
“น้ำมนต์ปิดเครื่อง”
เอมี่คร่ำครวญ
“อ๊าย ใครก็ได้ช่วยฆ่าพี่ที พี่อยากตาย”
เมสินีเดินแยกมาอีกด้าน ยุทธรีบตามเข้ามารายงาน
“แขกรับเชิญของเรามาแล้วครับ”
“ไหน”
เมสินีเดินไปรออีกด้านหนึ่งของทางเข้า อาจารย์เทพกับเกี๊ยงในลุคหมอผีเต็มยศเดินเข้ามาในงาน ยิ้มให้กัน
“ไอ้พีทไม่ยอมมา” เมสินีถาม
“ไม่ใช่ปัญหา เดี๋ยวผมทำให้มันมาเอง”
อาจารย์เทพยิ้มร้ายอย่างมั่นใจ
จบตอนที่ 10