หากพูดถึงสัตว์เลี้ยงแสนน่ารักที่หลายคนนิยมเลี้ยงกัน สัตว์เลี้ยงยอดฮิตอันดับต้นๆคงหนีไม่พ้น เจ้าตูบสี่ขา กับ เจ้าเหมียวน้อย อย่างแน่นอน ก็เพราะความน่ารักแสนซน ขี้อ้อน และซื่อสัตย์ จึงทำให้หลายคนตกหลุมรักได้อย่างไร้เงื่อนไข โดยเฉพาะบรรดาเซเลบฯเมืองไทย ที่มีเจ้าตูบสี่ขา และแมวเหมียว เป็นสัตว์เลี้ยงคู่ใจ ไปไหนไปกัน รักและดูแลประคมประหงมประหนึ่งสมาชิกในครอบครัวก็ไม่ปาน
ฉะนั้นวันนี้ Celeb Online Daily จะไปส่องสัตว์เลี้ยงแสนรักของบรรดาเซเลบฯตัวแม่ตัวพ่อของเมืองไทยว่าแต่ละตนมีความรักความผูกพันกับสัตว์เลี้ยงคู่ใจกันอย่างไร
“ซูซี” รักเจ้าตูบแบบไร้เงื่อนไข
ได้ชื่อว่าเป็น "เซเลบริตี้รักหมา" น้ำใจงามอีกคนหนึ่ง สำหรับเจ้าแม่ห่มเพชรอย่าง ซูซี่-หทัยเทพ ธีระธาดา ที่ตอนนี้เธอเลี้ยงเจ้าตูบแสนซนวัยน่ารักไว้ในบ้านถึง 29 ตัว วึ่งถ้าใครรู้ว่าเธอเลี้ยงดูน้องหมาเลอเริดขนาดที่หลาย ๆ คนยังต้องอิจฉาน้องหมากันเลย
มาดามซูซี่ เล่าให้ฟังว่า เธอหลงรักน้องหมาตั้งแต่ตอนที่ทำงานอยู่ธนาคารโลก ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา แต่ก็ยังไม่ได้เลี้ยงเป็นเรื่องเป็นราวเนื่องจากจัดสรรเวลาไม่ลงตัว อีกทั้งสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย แถมที่สหรัฐอเมริกายังมีข้อจำกัดมากมายในการเลี้ยงสุนัข แต่พอเธอกลับมาเมืองไทย เธอก็ตระเวนเสาะหาน้องหมาพันธุ์โปรดที่เธอถูกชะตามาเลี้ยง
ส่วนน้องหมาของเจ้าแม่ห่มเพชร ล้วนแต่เป็นสายพันธุ์ที่มีสกุลรุนชาติแบบเพดดรีกรีทั้งนั้น อาทิ ปอมเมอเรเนียน, พุดเดิ้ล ทอย, ฮังกาเรี่ยน พูลิ, มอลทิส, ยอร์คเชียร์, ชิวาวา เป็นต้น ส่วนชื่อของน้องหมาทั้ง 29 ตัวนั้น ด้วยความที่ตัวเองชอบชอปของแบรนด์เนม ดังนั้นจึงตั้งชื่อบรรดาลูกๆ4 ขาของเธอตามยี่ห้อแบรนด์โปรดแทบทั้งสิ้น เช่น กุชชี่ หลุยส์ แอร์เมส เฟนดิ บุลการี ดิออร์ ชาเนล แอนนา ซุย
“สุนัขตัวแรกที่ซื้อมาเลี้ยงตัวแรกคือ กุชชี่ เป็นสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ล และจากนั้นก็ซื้อมาเรื่อยๆ จนตอนนี้มี 29 ตัวแล้ว ชื่อแบรนด์ที่พี่ตั้งให้ตอนนี้ก็มีไม่พอกับสุนัขที่ซื้อมาเลี้ยงแล้ว”
ถ้าถามว่าเธอมีลูกรักตัวไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า เธอบอกว่าไม่มีเพราะเธอรักน้องหมาของเธออย่างเท่าเทียม เวลาซื้อเสื้อผ้าของเล่น หรือเครื่องประดับก็จะซื้อมาให้เท่า ๆ กัน ไม่มีการทำให้น้องหมาน้อยใจอย่างแน่นอน
“ตอนนี้ที่บ้านเรากั้นห้องให้สุนัขอยู่3ห้องด้วยกัน โดยแยกเป็นห้องสุนัขตัวใหญ่ ตัวขนาดกลาง และตัวเล็ก และก็มีอีกบางส่วนที่นอนห้องเดียวกันกับพี่ ทุกวันนี้ต้องมีพี่เลี้ยง 5 คนสำหรับเลี้ยงน้องหมาโดยเฉพาะ พี่เลี้ยงจะต้องดูแลน้องหมาตั้งแต่ตื่น แปรงฟัน อาบน้ำ พาออกไปเดินเล่น กินข้าว ดูแลเรื่องเสื้อผ้า และส่งเข้านอน”
นอกจากจะดูแลเจ้าตูบ 4 ขาเป็นอย่างดีมดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมแล้ว มาดามซูซี่ยังบอกอีกว่า ชุดน้องหมาทุกตัวล้วนเป็นชุดที่สั่งตัดพิเศษจากร้านดัง มีของเล่นหลากหลายแบบมากมาย แต่ที่ขาดไม่ได้เลย คือ เครื่องประดับแท้ ๆ โดยเฉพาะปลอกคอที่ต้องสวยหรูสะดุดตาทำจากคริสตัลสวารอฟสกี้แท้ ราคาตกอยู่ชิ้นละ 30,000 บาท แถมยังมีสร้อยคอสุดอลังการ ที่ทำด้วยทับทิมสีชมพูล้อมเพชรหลายกะรัต ราคา 500,000 บาท อีกด้วย แล้วถ้ามีน้องหมาตัวใหม่มา เธอก็จะรับขวัญด้วยสร้อยทอง50 สตางค์
ที่สำคัญเวลาออกงานต่าง ๆ เธอก็จะตัดชุดให้เข้ากัน แม้จะถูกเม้าท์ว่า “เว่อร์” เธอก็ไม่สนใจ และมีความสุขที่ได้เลี้ยงน้องหมา และมอบสิ่งต่าง ๆ ให้กับเจ้าสี่ขาพวกนี้ เพราะน้องหมาของเธอเป็นทั้งเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข และเป็นสัตว์ที่มีความซื่อสัตย์ต่อเจ้าของอย่างไร้เงื่อนไข ความรักความห่วงใยที่เกิดขึ้นจึงเป็นไปอย่างจริงใจ
นอกจากนี้มาดามซูซี่ ยังฝากคนที่อยากเลี้ยงสุนัขด้วยว่า การที่จะเลี้ยงสุนัขสักตัวนั้นก็เหมือนกับการวางแผนที่จะมีลูก เพราะสุนัขทุกตัวย่อมต้องการความรักจากเจ้าของ ความพร้อมเรื่องอาหารการกิน แต่ถ้าคิดว่าไม่มีความพร้อมที่จะดูแลเขาให้ตลอดรอดฝั่งก็ไม่ควรเลี้ยง ถ้าเราต้องการให้ใครมาดูแลเราแบบไหนเราก็ควรดูแลสุนัขที่เรานำมาเลี้ยงแบบนั้น
“กิสโม่” รักครั้งแรกของ “หนึ่ง-สุริยน”
ถึงแม้ว่าตอนนี้ใครหลายคนอาจไม่เคยเห็นเสี่ยใหญ่แห่งบิวตี้เจมส์ หนึ่ง-สุริยน ศรีอรทัยกุล เลี้ยงสุนัขไว้ในบ้านก็ตาม แต่ใครเลยจะรู้ว่าเมื่อ 20 กว่าปีก่อนเมื่อครั้งที่ยังเป็นวัยหนุ่มกระเตาะอยู่นั้น เสี่ยหนึ่งเคยมีสุนัขคู่ใจนาม “กิสโม่” สายพันธุ์มอลทีส เป็นเพื่อนรัก4 ขาไปไหนไปกันเมื่อครั้งที่ศึกษาอยู่ต่างประเทศ
“ตอนนั้นผมอายุ 16 เรียนอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเพียงคนเดียวไม่มีเพื่อน คุณแม่ก็คงกลัวว่าผมจะเหงาเลยส่งกิสโม่ ไปอยู่เป็นเพื่อน ตอนนั้นมันเพิ่งมีอายุได้แค่ 3 เดือนเอง วันหยุดเสาร์อาทิตย์ผมจะพากิสโม่ไปเที่ยวทะเล ไปเดินเล่นห้างสรรพสินค้า มีกิจกรรมทำร่วมกันตลอด ที่สำคัญกิสโม่ทำให้ผมไม่กล้าเถลไถลไปไหน เพราะต้องรีบกลับมาหาอาหารให้มันกิน พาไปเดินเล่นเพื่อไม่ให้กิสโม่เหงา และพอเรียนจบจากที่อเมริกา ผมก็พากิสโม่กลับมาอยู่เมืองไทยด้วยกัน”
“กิสโม่ เป็นสุนัขที่น่ารัก ขี้อ้อน เขาจะรู้ว่าเวลาที่เราไปทำงานหรือกลับจากเลิกเรียน ว่าเราจะเหนื่อยและเพลียมาก กิสโม่ก็จะรีบวิ่งเข้ามาเคล้าแข้งเคล้าขา ทำทุกวิธีให้เราหายเหนื่อยและหันไปเล่นกับมัน มีบางคืนผมทำงานดึก กิสโม่รอไม่ไหว เขาก็จะขึ้นไปนอนบนเตียงก่อนผมเสมอ แบบนี้ทุกวัน”
กระทั่งวันหนึ่งอุบัติเหตุก็พรากกิสโม่ในวัย 16 ขวบไปจากเสี่ยหนึ่งอย่างไม่มีวันหวนกลับมาเหลือทิ้งไว้เพียงความทรงจำให้คิดถึงเท่านั้นและการสูญเสียสุนัขตัวโปรดในครั้งนั้นไปทำให้เขาไม่คิดอยากจะเลี้ยงสุนัขตัวไหนอีกเลย
“ตอนที่กิสโม่เสียตอนนั้นผมอายุประมาณ 32 จำได้ว่าพอรู้ว่ากิสโม่จากไปแล้วจริงๆ ผมร้องไห้อยู่หลายวันกว่าจะทำใจได้ และคุณพ่อก็พยายามจะหาสุนัขตัวใหม่มาให้เลี้ยงแทนกแต่ผมไม่อยากเลี้ยงแล้วเพราะไม่อยากเสียใจเวลาที่มันจากเราไป ผมยอมรับว่าตลอดระยะเวลาที่เลี้ยงกิสโม่มาสิ่งแรกที่เปลี่ยนชีวิตผมได้ชัดเจนที่สุดคือ ทำให้เรามีความรับผิดชอบมากขึ้น เพราะเราจะไปไหนนานๆไม่ได้ต้องรีบกลับมาดูแลมันให้ดีที่สุด กิสโม่เหมือนนาฬิกาชีวิตที่คอยปลุกให้เราตื่นขึ้นมาทำสิ่งต่างๆให้เรียบร้อยเพื่อที่จะได้มีเวลาเล่นกับเขามากๆ”
“ติ่มซำ” เพื่อนซี้ของ ปลาทู-ดิฐวัฒน์
ถึงแม้จะเป็นชายหนุ่มมาดกวนๆ แต่ใครเลยจะรู้ว่า ม่ายเนื้อหอมป้ายแดงอย่างปลาทู-ดิฐวัฒน์ อิสสระ ยังมีอีกหนึ่งหนุ่มที่รักสัตว์แบบสุดๆ โดยเฉพาะเจ้าตูบ 4 ขาสายพันธุ์บลูด๊อก ที่มีชื่อน่ากินว่า “ติ่มซำ” ซึ่งหนุ่มปลาทูหลงรักหมดหัวใจจนสาวๆต้องอิจฉากันเลยทีเดียว
ปลาทู เปิดใจถึงที่มาที่ตกหลุมรักสุนัขว่า ตั้งแต่เด็กก็เห็นคุณพ่อเลี้ยงสุนัขจนกลายเป็นความเคยชิน ได้ เห็นนิสัยอารมณ์ขี้เล่นแสนซนของสุนัขแต่ละตัวทุกวัน จนทำให้ตกหลุมรักและอยากเลี้ยงสุนัขเองจริงๆสักครั้ง
“สุนัขตัวแรกของผมคือเจ้าก๊อง เป็นสุนัขไทยพันธุ์ผสม มันก็จะกวนๆแต่เจ้าก๊องผมไม่ค่อยได้เลี้ยงเอง เพราะต้องไปเรียนหนังสือ กระทั่งเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ผมไปเดินเล่นที่ฟาร์มสุนัขมาและเห็นสุนัขพันธุ์บลูด๊อก ตัวสีขาว แต่ตาเป็นสีดำดูหน้ามันกวนๆมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวดี ผมเลยซื้อมาเลี้ยงไว้ที่บ้านและตั้งชื่อให้ว่าติ่มซำ”
หนุ่มทูเผยความผูกพันที่มีต่อติ่มซำว่า ตลอด2 ปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะไปเที่ยวทะเล ปีนภูเขา หรือแม้แต่กระทั่งตอนนอนก็จะมีติ่มซำอยู่ด้วยตลอด และด้วยความน่ารักแสนซนของติ่มซำประกอบกับความขี้เล่นของหนุ่มทูเอง ก็ทำให้ทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนซี้คู่ทุกข์คู่ยากกันมาตลอด
ด้วยความที่หนุ่มทูรักเจ้าติ่มซำมากมายขนาดถึงขั้นกินนอนด้วยกันนี่เอง เมื่อวันเกิดที่ผ่านมา บรรดาเพื่อนๆจึงลงขันกันจ้างคนปั้นเจ้าติ่มซำขนาดจำลองที่ใหญ่กว่าตัวจริงมาให้หนุ่มทูเป็นของขวัญวันเกิดอีกด้วย ซึ่งถูกใจเจ่าของวันเกิดจนถึงขั้นก็เอาไปโชว์ไว้กลางบ้านกันเลยทีเดียว
หนุ่มทูเผยวิธีดูแลเจ้าติ่มซำให้ฟังว่า ไม่ได้ดูแลเป็นพิเศษอะไร เพียงแค่ใน 1 สัปดาห์มีเวลาพาไปเดินเล่น ทำกิจกรรมร่วมกัน ก็เพียงพอแล้ว เพราะสัตว์ทุกตัวจะสามารถรับรู้ได้ว่าใครรักหรือไม่รักมัน “ซึ่งผมเชื่อว่าติ่มซำรู้ว่าผมรักเขาแค่ไหน”
“ตู่-ปิยวดี” หัวใจนี้ให้เจ้าเหมียว
ใครจะรักสุนัขก็รักไป แต่สำหรับคุณหนูตู่- ปิยวดี มาลีนนท์ ลูกสาวคนสวยของ ประชา มาลีนนท์ บิ๊กบอสช่อง 3 เธอกลับตกหลุมรักน้องแมวเหมียวเข้าอย่างจัง จนตอนนี้เลี้ยงแมวไว้ที่บ้านแล้วถึง 12 ตัว
ตู่-ปิยวดี มาลีนนท์ บอกเล่าถึงประสบการณ์ในการเลี้ยงสัตว์ของเธอว่า สมัยเด็กเคยเลี้ยงสุนัขหลายตัว แต่เมื่อสุนัขตายก็รู้สึกเสียใจ อีกทั้งเมื่อพอโตมาทำงาน เวลาว่างก็แทบไม่มี เลยไม่อยากเลี้ยงอะไรอีกเลย
“ด้วยความที่ตู่เป็นคนไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก ก็ตั้งใจไว้ว่าจะไม่เลี้ยงสัตว์อะไรเลย เพราะหากเลี้ยงแล้วไม่มีเวลาเล่นกับเค้าก็สงสาร แต่ที่เริ่มมาเลี้ยงแมวเพราะเพื่อนชวนไปฟาร์มแมว ได้เห็นแมวเปอร์เซียตัวหนึ่งก็ชอบเพราะเค้าสวย ขนสีขาว บุคลลิกนิ่งเงียบ จึงนำมาเลี้ยง พอเลี้ยงแล้วก็เริ่มหลง ตอนนี้ที่บ้านมี 12 ตัวเป็นสายพันธุ์เปอร์เซียทั้งหมด ตู่สร้างห้องให้พวกเค้าค่ะ ในนั้นจะมีของเล่นวางให้เค้าได้เล่นกันอย่าอิสระ ”
เสน่ห์ของน้องแมวเหมียวที่ทำให้เธอหลงรัก คงเป็นเพราะแมวเป็นสัตว์ขี้อ้อนที่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ทำให้เธอรู้สึกสบายใจไม่ต้องวิตกกังวลมากนัก แมวทุกตัวนั้นเธอจะเป็นคนตั้งชื่อเองทั้งหมด “ตู่จะตั้งชื่อแมวเป็นชื่อในเทพนิยาย อาทิ ไตตัน, โฮป และอีเลียด 3 ตัวนี้จะขี้อ้อนและไม่ตื่นคน โดยเฉพาะเจ้าไตตัน นี่เคยได้ไปแสดงละครเรื่อง “รักสุดฤทธิ์” รับบทแมวอารมณ์เหงาและเศร้าเสียใจ ประกบคู่ เจมส์ จิรายุ มาแล้ว เดี๋ยวนี้เริ่มมีแฟนคลับแล้วด้วย”
สาวสวยหน้าใสยังขยายความเพิ่มว่า หลังจากแมวที่เลี้ยงไว้เริ่มมีแฟนคลับ เธอเลยทำอินสตาแกรมขึ้นมาใช้ชื่อว่า mawin_homer เพื่อลงรูป ลงคลิปน่ารักๆ ของน้องแมวที่เลี้ยงไว้ ซึ่งกระแสการตอบรับดีเกินคาด มีคนมาฟอลโล่เป็นแสนคน ทั้งคนไทย คนต่างชาติ ถึงขนาดขอรูปแมวไปเป็นแบบในการวาดภาพ บางทีเอาเป็นลายเพ้นต์เล็บ ตอนหลังเธอเลยทำสินค้าเกี่ยวกับแมวออกมา อาทิ ผ้าพันคอ เคสมือถือ หมวก กระเป๋า กระโปรง กางเกง เสื้อต่างหู ที่คาดผม ออกมาขายให้แฟนคลับน้องเหมียว โดยสินค้าทั้งหมดคุณตู่ล้วนเป็นผู้ออกแบบเองทั้งหมด
สุนัขแสนรักของครอบครัว “โลหิตนาวี”
สำหรับหนุ่มใหญ่อย่าง วิสุทธิ์ โลหิตนาวี เจ้าของไร่ไวน์”กราน มอนเต้” เขาใหญ่แล้ว สีห้องหัวใจที่มอบให้กับไวน์และความแรงของรถแข่งแล้ว เขายังเก็บที่เล็ก ๆ ไว้ให้กับเจ้าตูบสี่ขาที่เลี้ยงไว้ในไร่ตอนนี้ถึง 8 ตัว
“นอกจากผมแล้ว ภรรยาคือคุณสกุณาและนิกกี้ลูกสาวก็รักสุนัขมากพอ ๆ กับผม” วิสุทธิ์เริ่มการสนทนา ก่อนจะเล่าถึงเส้นทางของความรักเจ้าตูบสี่ขาว่าเป็นคนรักสุนัขมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว และเลี้ยงมาหลายรุ่น จนปัจจุบันนี้มีสุนัขทั้งหมด 8 ตัว ซึ่งมีทั้งสายพันธุ์ฝรั่งและสุนัขพเนจรที่เดินหลงมาที่ไร่ก็เก็บมาเลี้ยง แต่ทุกตัวจะกลายเป็นสุนัขที่วิ่งเล่นและคอยดูแลไร่ไปด้วย
“ คือที่ไร่ผมเลี้ยงสุนัขไว้เยอะมาก บางทีมีลูกสุนัขจากไหนไม่รู้มาร้องอยู่หน้าห้องนอน ผมสงสารก็รับมาเลี้ยง เลยทำให้มีสุนัขเต็มบ้านไปหมด ออกลูกมาเยอะแยะจนตอนหลังต้องทำหมัน แล้วลูกสุนัขบางตัวก็เลี้ยงบ้าง เอาไปให้บ้านเศรษฐีแถวเขาใหญ่เลี้ยงบ้าง”
แต่สุนัขที่ผูกพันธ์จริง ๆ มี”มะลิ”และ”ต้อยติ่ง” สุนัขสายพันธุ์บีเกิลแสนรู้ที่เขาซื้อมาตัวละ 5 พันบาท ทุก ๆ เช้าวิสุทธิ์และนิกกี้จะออกเดินดูไร่องุ่นก็จะมีมะลิและต้อยติ่งวิ่งไล่ไปมาอยู่ใกล้ ๆ จนวันหนึ่งต้อยติ่งผู้กล้าหาญไปกัดกับงูตัวใหญ่ที่เข้ามาในไร่ สู้กันอยู่สักพักปรากฏว่าต้อยติ่งกัดงูตายแต่ก็โดนงูกัดและพิษเข้าไปในร่างกาย วิสุทธิ์ต้องขับรถไปถึงโรงพยาบาลเพื่อนำเซรุ่มาฉีดให้ ต้อยติ่งนอนซมอยู่ 3 วันก็เสียชีวิต
“ สกุณาและนิกกี้ที่เฝ้าพยาบาลต้อยติ่งอยู่ตลอด 3 วัน พอมันตาย 2 คนก็เสียใจร้องไห้เป็นเดือน ส่วนผมก็เสียใจเหมือนกันเพราะผูกพันธ์มาก”
โดยสุนัขทุกตัวที่เลี้ยงไว้ในไร่กราน มอนเต้ เมื่อเสียชีวิตนั้น วิสุทธิ์จะจัดพื้นที่ส่วนหนึ่งของไร่ไว้เป็นสุสานและมีป้ายชื่อบนหลุมฝังศพเอาไว้เพื่อให้รำลึกถึง
เห็นสัตว์เลี้ยงไฮโซแต่ละตัวแล้ว ก็ทำให้รู้สึกว่ามีความอิจฉาหมาแมวขึ้นมาในทันที