คุณผีที่รัก ตอนที่ 5
อาจารย์เทพส่องกระจกดูรอยแผลเป็นที่ใบหน้า ที่เกิดจากการกระทำของพีระอย่างหงุดหงิดมากถึงกับจะชกกระจกแตก แต่เกี๊ยงมาคว้าหมัดเอาไว้
“อย่าครับ กระจกแพง”
อาจารย์เทพกวักมือเรียก
“งั้นแกมานี่”
“ทำไมครับ” เกี๊ยงเสนอหน้าเข้าไปใกล้
อาจารย์เทพคว้าใบหน้าเกี๊ยงมาขยำขยี้
“แกดู...ใบหน้าที่ฉันทะนุถนอมมาตลอด ต้องมีตำหนิก็เพราะไอ้พีระ ไอ้ผีเกรียน มันต้องชดใช้”
เกี๊ยงโอดโอย ดิ้น จนต้องรีบผละถอยออกมา เจ็บใบหน้าที่ถูกอาจารย์เทพขยำขยี้
“อย่าคิดมากเลยจารย์ แผลแค่นี้ บินไปเกาหลีทีเดียวก็เหมือนเดิม...เผลอๆหล่อใสกว่าเดิมด้วย”
“มันไม่มีวันเหมือนเดิม...” อาจารย์เทพแค้น ประกาศกร้าว “ไอ้พีระ ฉันจะเอาวิญญาณแกมาเป็นทาสรับใช้ฉันให้ได้”
“ถ้าจารย์เทพไม่รังเกียจ...ให้ลูกศิษย์คนนี้ จัดการให้นะครับ”
“มีปัญญาเหรอ อยู่เฉยๆไปเลย”
“แต่...ผมทำได้แน่ครับ”
“ได้แน่ใช่มั้ย”
อาจารย์เทพหยิบโถบรรจุวิญญาณอันหนึ่งมา แล้วบริกรรมคาถา เกิดเป็นกลุ่มควันของวิญญาณพวยพุ่งออกมา ปรากฏผีชายหนุ่ม หน้าตาโรคจิต ในมือกำมีดพร้าเอาไว้ จ้องตาขวาง พร้อมจะไล่ฆ่าทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า มันจ้องเกี๊ยงด้วยสายตาของผู้ล่าจ้องเหยื่อ เกี๊ยงผงะ สยอง
“นายชัย นักโทษโรคจิตคดีข่มขื่นแล้วฆ่าโหด” อาจารย์เทพบอก
“จารย์จะให้มันมาข่มขื่นเกี๊ยงเหรอ” เกี๊ยงสยอง จับก้น
ผีนายชัยโกรธที่เกี๊ยงลบหลู่
“แฮ่”
“อันนี้ก็แล้วแต่มัน...แต่ขอบอกว่า มันเป็นผีที่โหด เลือดเย็น ไร้หัวใจมาก และมันจะไม่หยุด จนกว่ามันจะฟิน” อาจารย์เทพโยนโถวิญญาณให้ “จัดการไอ้ตัวนี้ให้ได้ก่อน แล้วฉันจะให้แกลุยเดี่ยว”
อาจารย์เทพเดินออกไป ทิ้งเกี๊ยงเอาไว้
“จารย์...เดี๋ยว...”
เกี๊ยงจะขยับ แต่ผีนายชัยขยับตาม ยกมีดขึ้นมาเงื้อ เกี๊ยงผงะ ถอย
เกี๊ยงกระเด็นพรวดออกมานอกตัวสำนัก คว่ำชนข้าวของระเนระนาดไป ผีนายชัยโรคจิตกระโดดตามมา คำรามน่ากลัว พร้อมกับเงื้อมีดมาฟัน
“ฮื่อ”
เกี๊ยงพลิกตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด แต่ผีนายชัยก็ไล่ตามฟันไม่หยุด ทุกอย่างที่อยู่แถวนั้นพังทลาย แตกหักไม่มีชิ้นดี เกี๊ยงพยายามตั้งหลัก ถอยลนลาน
“อย่า...อย่านะเว้ย...” เกี๊ยงพนมมือ คิดจะท่องคาถา “คาถากำราบผี...คาถา...อะไรวะ”
ผีนายชัยยังเข้ามาไล่ฟัน เกี๊ยงโดดหลบ
“หยุดก่อนสิเว้ย...แว้ก”
ในที่สุด เกี๊ยงถอยจนสะดุดล้มลงไปหงายหลัง ผีนายชัยตามมายืนคร่อม เงื้อมีดขึ้นสะท้อนกับแสงแดด กำลังจะฟันลงไปแต่เกี๊ยงยื่นโถบรรจุวิญญาณออกไป ท่องบริกรรมคาถา เกิดพลังบางอย่างดูดผีนายชัย แต่ผีนายชัยยื้อแรง ต่อต้านกับพลังนั้น ไม่ยอมเข้าไป
“เข้าไปซะดีๆ”
แล้วในที่สุด ผีนายชัยก็ระเบิดพลัง เหนือกว่า โถบรรจุวิญญาณในมือเกี๊ยงแตกกระจาย...ตู้ม เกี๊ยงกระเด็นไป ผงะ ช็อก จนตรอก ผีนายชัยเงื้อมีดพร้าขึ้นอีกครั้ง
“อย่า...”
แต่แล้วในจังหวะที่ผีนายชัยลงดาบ ก็ชะงัก ถูกตรึงด้วยพลังอาคมบางอย่าง เกี๊ยงมองไปอีกด้าน พบว่าอาจารย์เทพยืนถือธงประจำตัวโบกอยู่ มืออีกข้างถือโถบรรจุวิญญาณอีกใบ อาจารย์เทพโบกธงไปมา
“จงกลับเข้าไป”
ทันใด ผีนายชัยก็ถูกดูดเข้าไปอย่างรวดเร็วและหายลงไปในที่สุด อาจารย์เทพมองเกี๊ยงหยันๆ
“หึ...นี่เหรอที่แกว่าจัดการได้”
“มัน...ไม่เหมือนกันซะหน่อยนะจารย์ ผีพีระมันไม่โหดเท่าตัวเมื่อกี้”
“มันไม่ใช่เรื่องโหดไม่โหด แต่เป็นเพราะแกอ่อนหัด...อ่อนหัดที่สุดในปฐพี” อาจารย์เทพส่ายหน้า ยิ้มเยาะ “ถ้าไม่เห็นว่าแกเป็นหลาน ฉันไล่แกไปไหนต่อไหนแล้ว อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์”
อาจารย์เทพพูดจบ ยิ้มเยาะ เดินกลับเข้าไป
“จารย์...เกี๊ยงไม่ใช่กระจอก ให้โอกาสเกี๊ยงพิสูจน์สักครั้งสิ”
เกี๊ยงเดินเข้ามาด้านในสำนักอาจารย์เทพด้วยความแค้น และน้อยใจที่อาจารย์เทพไม่ยอมให้ตนเองได้ลองวิชาอาคมใดๆ มองไปที่แท่นวางของขลังเห็นโถบรรจุวิญญาณวางอยู่ เกี๊ยงมองอย่างดื้อด้าน อยากลบคำสบประมาท คว้าโถบรรจุวิญญาณนั้นขึ้นมา แล้วมองไปที่ธงของอาจารย์เทพที่วางอยู่
“ถ้าเกี๊ยงมีธงของจารย์...เกี๊ยงก็จะสามารถควบคุมผีพวกนี้ได้เหมือนจารย์นั่นแหละ”
เกี๊ยงหยิบธงขึ้นมาถือ ใจมุ่งมั่น
น้ำมนต์รีบเดินเข้ามาในมหาวิทยาลัย เดินฝ่ากลางแดด ยกหนังสือบังแดด พีระรีบวิ่งมาดักหน้า
“ผมชื่อพีทงั้นเหรอ”
น้ำมนต์เดินผ่านพีระไป พูดไปด้วย
“ใช่ พีระคือชื่อเก่าที่พ่อนายตั้งให้ แต่พอไปอยู่นอก เลยเปลี่ยนเป็นพีท...แหวะ”
“แหวะอะไร พีระก็เพราะ พีทก็เท่”
น้ำมนต์ชะงัก หันมา
“นี่ ถึงฉันจะไม่ได้บอกอะไรให้คุณเมสินีรู้ แต่เรื่องที่คุณเมสินีเล่าเกี่ยวกับนาย...ฉันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง...เพราะจากสิ่งที่เจอ ฉันว่านายก็มีแนวโน้มจะเป็นเด็กเอาแต่ใจและโรคจิตได้”
พีระทำหน้าอ้อน ซื่อใสเว่อร์ๆ
“หน้าใสๆซื่อๆอย่างผมเนี่ยนะจะเป็นโรคจิต”
“หน้าอย่านี้แหละ ชัวร์”
“อยากให้ผมโรคจิตกับคุณป่ะล่ะ เหอๆ”
น้ำมนต์เซ็ง
“เอาเวลากวนประสาทฉัน ไปคิดทบทวนดีกว่าว่าตัวเองไปทำอะไรไว้ คุณเมสินีถึงได้อยากเจอนายมากจนต้องสร้างเรื่องมาอย่างนี้”
“คุณว่าเขาใส่ร้ายผมทำไม”
“ฉันจะไปรู้เหรอ”
“เป็นไปได้มั้ยว่า...คุณเมสินีจะเป็นคนทำให้ผมตาย”
น้ำมนต์อึ้ง ไม่อยากเชื่อ เดินหนี พีระรีบวิ่งตาม
พีระวิ่งตามมาดักหน้าน้ำมนต์
“น้ำมนต์ๆ...คุณลองคิดสิ ผู้หญิงคนนั้นอาจจะอยากได้มรดกพ่อผม หรือไม่ก็อาจจะแค้นอะไรส่วนตัวพ่อผมอยู่แล้ว เลยเข้ามาหลอกให้รักและแต่งงานด้วย ก่อนจะวางแผนฆาตกรรมอำพรางพ่อผม”
“นายอย่าคิดอะไรเป็นละครให้มากได้มั้ย”
“แต่ทุกอย่าง มันก็มีโอกาสจะเป็นไปได้ไม่ใช่เหรอ”
“ใช่...หรือคุณเมสินีอาจจะถูกลูกชายเจ้าของสถานีขู่กรรโชก ใช้กำลัง และทำทุกวิถีทางให้เลิกกับพ่อเขา จนคุณเมสินีต้องทำอะไรรุนแรงอย่างนั้นก็ได้”
“อ้าว นี่คุณไม่เข้าข้างผมเลย” พีระหน้าเหวอ
“ก็ทุกอย่างมันเป็นไปได้ทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ แต่ไม่ใช่สิ่งที่คุณคิด เพราะผมไม่ใช่พวกเก็บกด นิยมความรุนแรง”
“รู้ได้ยังไงว่าไม่ใช่”
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าใช่” พีระไม่อยากจะเถียง “พอ...เอาเป็นว่า คุณต้องอยู่ให้ห่างผู้หญิงคนนั้น เข้าใจมั้ย”
“ฉันมีวิจารณญาณ คิดเองได้ ไม่ต้องมาสั่ง”
พีระคว้าน้ำมนต์ พูดจริงใจ
“จะคิดว่าผมสั่งก็ได้ แต่คุณต้องทำตาม เพราะผมเป็นห่วงคุณ”
น้ำมนต์อึ้งที่พีระห่วงใย รู้สึกแปลกๆ อึกอัก
“ผมไม่อยากให้คุณต้องมาลำบากเพราะผม เข้าใจมั้ย”
“รู้แล้วน่ะ” น้ำมนต์เปลี่ยนเรื่อง “เลิกเซ้าซี้ได้มั้ย นี่มันกลางแดด ฉันร้อน”
น้ำมนต์รีบเดินหนีไป พีระตาม
เกี๊ยงเดินเข้ามาภายในมหาวิทยาลัยอย่างแน่วแน่ อยากจะมาจัดการพีระ
“ผมจะจับไอ้ผีพีระให้จารย์ดู”
เกี๊ยงมองไปอีกด้าน เห็นน้ำมนต์เดินผ่านไป โดยมีพีระไล่ตาม เกี๊ยงแววตาวาว ร้าย เปิดโถวิญญาณออกมา ปรากฏร่างวิญญาณผีนายชัยถือมีดพร้ายืนอยู่ เกี๊ยงโบกธง
“ไปเอาตัวผีพีระมาให้ฉัน ไป”
น้ำมนต์เดินหนีมา พีระตาม
“คุณจะช่วยผมสืบเรื่องของผมยังไงต่อไป...เริ่มสืบที่คุณเมสินีดีมั้ย อาจจะได้เรื่องอะไรก็ได้”
พิมพ์ดาววิ่งเข้ามาหาน้ำมนต์ ส่งเสียงเรียกแตกตื่น
“น้ำมนต์...” พิมพ์ดาวคว้ามือ “อัฐชัย...เกิดเรื่องใหญ่แล้วไปเร็ว”
“อะไร มีอะไร” น้ำมนต์ตกใจ
“ไปดูเองเถอะ”
พิมพ์ดาวลากน้ำมนต์ออกไปทันที
“อ้าว แล้วเรื่องของผมล่ะ”
พีระจะตามไป แต่แล้วก็ชะงัก เพราะหางตาเหลือบไปเห็นว่ามีใครบางคนแอบจ้องอยู่ พีระรีบหันไปมอง เห็นว่าผีนายชัยนั้นผลุบหายไปหลังต้นไม้ทันที พีระเอะใจ เห็นไม่ถนัดนัก จ้องมองไป แต่มันไม่โผล่กลับมา พีระแปลกใจ กำลังจะเดินเข้าไปที่จุดนั้น แต่อยู่ๆแมนสรวงก็โผล่แว่บมาตรงหน้า
“พีระ”
พีระสะดุ้งโหยง
“เฮ้ย...ไอ้ยมทูต”
“อะไร ตกใจไรนักหนา”
“ปะ...เปล่า...นายมาทำไม”
“อ้าว ฉันมีหน้าที่ดูแลนาย ไม่มาช่วยนายจะให้ไปช่วยแมวที่ไหน ได้เรื่องอะไรบ้า...ง...”
ทันใดนั้น แมนสรวงมองผ่านพีระไป เห็นเอมี่กำลังเดินเข้ามา ชะงักไปเลย
“คุณเอมี่”
แมนสรวงไม่สนใจพีระ เดินผ่านไปหาเอมี่เลยพีระอึ้งไป
“อ้าว เฮ้ย...ไหนบอกจะมาช่วยฉัน”
ศาลาริมบึง...พิมพ์ดาวรีบวิ่งนำน้ำมนต์เข้ามา พบว่าอัฐชัยปีนอยู่ริมระเบียงของศาลาท่าน้ำ ทำท่าว่าจะโดด พิมพ์ดาวชี้ไป
“นั่นไงๆ อัฐชัยเสียใจที่เธอไม่รับรักเขา แต่ไปรักกับผี เขาก็เลย คิดทำอะไรบ้าๆ รีบไปห้ามเร็ว”
น้ำมนต์รีบวิ่งเข้าไปห้ามทันที
“อัฐ...ลงมาเดี๋ยวนี้ อย่าทำอะไรโง่ๆนะ”
อัฐชัยชะงัก
“ไปตามน้ำมนต์มาทำไม ฉันไม่อยากเห็นหน้าคนที่ไม่รักกัน ฉันจะตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”
ลูกโป่งตามมา พอเห็นเหตุการณ์ก็วิ่งแหกปาก ตกใจเข้ามาทันที
“ว้าย อัฐชัย จะทำอะไรน่ะ”
“ไม่ต้องมาห้าม ไม่มีใครรักอัฐ อัฐก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม”
“อกหัก แล้วมาทำร้ายตัวเองมันไม่ถูกนะ...ไปทำร้ายคนที่หักอกเราสิ” ลูกโปรงยุ
“อ้าว...” น้ำมนต์สะดุ้งโหยง
ลูกโป่งเพิ่งนึกได้
“อุ๊ย ลืมไปๆ...” ลูกโปร่งหันมาปลอบอัฐชัยต่อ “ใครไม่รักเรา เราก็อย่าไปแคร์ สวยๆเหวี่ยงๆไปเหมือนฉัน”
“น้ำมนต์ แกไม่คิดจะทำอะไรสักอย่างเลยเหรอ” พิมพ์ดาวถาม
“อัฐ...ถ้าอยากตาย ควรขึ้นไปโดดบนดาดฟ้าตึกนะ” น้ำมนต์ตะโกน
อัฐชัย พิมพ์ดาว ลูกโป่งงง พิมพ์ดาวมองหน้าน้ำมนต์
“พูดอะไร”
“หรือไม่จริง ใครๆก็รู้ว่าบึงน้ำนี้ ตื้นแค่เข่า มันจะตายมั้ยล่ะ...ไปดาดฟ้าโน่น หรือว่าไม่กล้า เพราะไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายจริง”
“ทะ...ทำไมจะไม่จริง” อัฐชัยยังเถียง
น้ำมนต์เหนื่อยใจ ดูออกว่าเป็นแผนของอัฐชัย
“คิดว่าฉันไม่รู้จักนิสัยเหรอ แกไม่ใช่คนโง่ที่จะฆ่าตัวตายเพราะอกหัก...คิดจะลองใจอะไรฉันอีก” น้ำมนต์หันมาหาพิมพ์ดาว “แกร่วมมือด้วยใช่มั้ย”
อัฐชัยกับพิมพ์ดาวจ๋อยโดนจับได้ ลูกโป่งมองหน้าพิมพ์ดาว
“อ้าว เป็นแผนแกสองคนเหรอ”
“เราเรียนนิเทศน์ศาสตร์ เรียนการแสดง มันคือวิชาชีพของเราในอนาคต แต่พวกแกเอาวิชาชีพมาทำเรื่องเหลวไหลอย่างนี้น่ะเหรอ” น้ำมนต์ฉุน เซ็ง เดินหนีไป
“ก็ฉันไม่เชื่อว่าน้ำมนต์จะรักกับผีจริงๆ”
ลูกโป่งเพิ่งรู้ งง
“แกรักกับผี...ผีไหน”
“ฉันไม่จำเป็นต้องอธิบาย” น้ำมนต์เดินหนีไป
เอมี่เดินเข้ามาที่โต๊ะกลุ่ม กำลังกดโทรมือถือ จะโทรหาน้ำมนต์ แต่ระหว่างรอสาย หันมาอีกด้าน ก็ต้องตกใจ เพราะแมนสรวงยืนยิ้มรออยู่
“ว้าย คุณ...มาตอนไหนเนี่ย”
“จำผมได้ด้วยเหรอครับคุณเอมี่”
เอมี่ยังรอสาย เขินแต่ไว้ฟอร์ม
“อย่ามาตีสนิทเรียกคุณเรียกผม ฉันเป็นรุ่นพี่เธอ”
“รุ่นพี่...ถ้างั้นตอนนี้คุณก็น่าจะอายุสัก...แปดสิบเก้าปี”
เอมี่ถลึงตาใส่
“อย่ามา...”
แมนสรวงพูดดัก
“อย่ามาปีนเกลียว...จะพูดอย่างนี้ใช่มั้ยครับ”
เอมี่อึ้งที่แมนสรวงรู้ว่าเธอจะพูดอะไร ฮึดฮัด วางสายเพราะไม่มีคนรับ
“น้ำมนต์ไม่รับสายใช่มั้ยครับ”
“รู้ได้ไงว่าฉันโทรหาน้ำมนต์” เอมี่งง
แมนสรวงมองตา อ่านใจ
“จะคิดรูปแบบรายการคืนผจญผีใหม่เหรอครับ”
“นายรู้ได้ยังไง”
แมนสรวงยิ้ม แซว
“เพราะผมนั่งอยู่กลางใจคุณมั้งครับ”
เอมี่วางท่า ทั้งชอบทั้งหมั่นไส้ ค้อนหน้าหนี น้ำมนต์เข้ามา
“พี่เอมี่ มาทำอะไรตรงนี้ค่ะ”
“ปะ...เปล่าๆ” เอมี่รีบแยกไปหาน้ำมนต์ “เธอเรียกพี่มาทำไม มีเรื่องอะไรจะถามงั้นเหรอ ไปคุยตรงโน้นเถอะ”
เอมี่แยกน้ำมนต์ออกไป แมนสรวงจะตามไป แต่พีระโผล่มาขวางหน้า ล้อเลียน
“ไหนบอกว่ามาช่วยฉัน แล้วมาขายขนมจีบอะไรให้พี่เอมี่...ชอบพี่เอมี่เหรอ”
แมนสรวงหลบตา
“อะไร ชอบอะไร ก็แค่...ถูกชะตา”
อยู่ๆพีระรู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างจ้อง รีบหันขวับไปมองทางด้านหนึ่ง เห็นหลังอะไรบางอย่างหายแว่บไปอย่างรวดเร็ว พีระชักฉงนสงสัย รีบวิ่งเข้าไปที่จุดๆนั้น แต่กลับไม่พบอะไรแล้ว พีระแปลกใจ แมนสรวงสงสัย
“มีอะไรเหรอ”
“ตะกี้ฉันเห็นว่ามี...ใครหรืออะไรบางอย่างจ้องมองฉันอยู่ แล้วก็หายไป”
“ใครจะจ้องนาย นายเป็นผีนะ”
พีระงงๆ
“นั่นสิ...คนที่เห็นฉันได้ มันก็ต้องไม่ใช่คนใช่มั้ยล่ะ”
อัฐชัยเดินจ้ำๆ ด้วยความเครียด พิมพ์ดาวรีบวิ่งตามมา อัฐชัยคร่ำครวญ
“น้ำมนต์ไม่ใส่ใจฉันเลย รู้ทั้งรู้ว่าฉันเล่นละคร จะช่วยรับมุก ทำเป็นตกใจหน่อยก็ไม่ได้...น้ำมนต์ปล่อยให้ฉันมุกแป้กอย่างเลือดเย็นที่สุด เหมือนโยนไข่ไก่ขึ้นฟ้า แล้วก็ปล่อยให้ตกลงมา แพละ”
“ก็น้ำมนต์ฉลาด มีไหวพริบ ไม่ได้ซื่อๆโง่ๆจะได้เชื่ออะไรง่ายๆ”
ลูกโป่งสะดุ้ง
“อ้าว นี่ว่าฉันเหรอ...นี่ ถอดใจเถอะ คนไม่รักก็คือไม่รัก เอาเวลาไปรักคนอื่นดีกว่า”
“ไม่ ถ้ายอมแพ้ง่ายๆก็ไม่ใช่รักแท้สิ ฉันจะสู้จนกว่าน้ำมนต์จะเห็นความดีของฉัน”
พิมพ์ดาวหงอยๆไป แต่พอเห็นลูกโป่งมองมาก็รีบกลบเกลื่อนตบบ่าอัฐชัย
“มันต้องอย่างนี้สิถึงจะน่าเชียร์หน่อย”
ขณะเดียวกันนั้น อาจารย์อิ๋วเดินสวยเริ่ดเข้ามา
“เอ้า มาอยู่กันตรงนี้เอง จะได้เวลานัดของเราแล้วนะ”
“เวลานัด...” พิมพ์ดาวงงๆ
“เมื่อวานพวกเธอเบี้ยวนัดพี่ไตปลา วันนี้เลยนัดใหม่ สิบเอ็ดโมง อย่าบอกนะว่าลืม”
ทุกคนอึ้ง เพิ่งจะจำได้ ตาเบิกโตเพราะลืมไปสนิท ลูกโป่งยิ้มแหยๆ
“ลืม...ไม่...ไม่ลืมค่ะ จำได้สนิทเลยค่ะ”
ลูกโป่งกับพิมพ์ดาว ซีด ตายแน่
โต๊ะกลุ่มใน มหาวิทยาลัย...เอมี่ยื่นภาพในหน้าจอไอแพดให้น้ำมนต์ดู เป็นภาพธีระศิลป์ในบทบาทผู้บริการสถานี ที่เซิร์จจากกูเกิ้ล
“นี่ รูปคุณธีระศิลป์ ภาคภูมิใจบรรหาร ผู้ก่อตั้งและเจ้าของสถานีโทรทัศน์พราวด์ดิจิตัล”
“ว่าแล้วพี่เอมี่ต้องรู้ สมกับที่พี่ทำงานในวงการทีวีมาจนเป็นตัวแม่”
“ใครตัวแม่ พี่ยังเด็กน้อยจ้ะ”
น้ำมนต์ดูรูปของธีระศิลป์ พีระเสนอหน้ามาดูด้วย แมนสรวงมองๆ
“นี่เหรอพ่อนาย ดูเป็นผู้เป็นคนกว่านายเยอะเลย”
พีระจ้องรูปอย่างตกในภวังค์ พยายามทบทวน ระลึก แต่คิดอะไรไม่ออก
“พ่อเหรอ”
“แล้วเธอจะอยากรู้เรื่องคุณธีระศิลป์ไปทำไม มีเรื่องอะไร”
“ก็...”
พีระรีบห้าม
“อย่าบอก...อย่าให้ใครรู้เรื่องที่ผมเป็นลูกชายเจ้าของสถานีพราวด์ดีกว่า เดี๋ยวความลับจะไม่เป็นความลับ”
“ก็...แค่อยากทราบค่ะ เผื่อคุณเมสินีถาม จะได้ตอบให้เขาภูมิใจได้ไงคะ พี่เอมี่เล่าให้ฟังทีนะคะ”
แมนสรวงหันไปอีกด้าน เห็นวิญญาณผีนายชัยยืนอยู่ มองหน้ากันเต็มๆ แมนสรวงอึ้ง สัมผัสได้ว่าไม่มาดี
“เดี๋ยวฉันมา”
แมนสรวงรีบแยกตัวออกไป
“พี่เล่าให้ฟังก็ได้ แต่ต้องช่วยพี่คิดรูปแบบใหม่ของรายการคืนผจญผีไปเสนอคุณเมสินีก่อน” เอมี่ต่อรอง
“เอ่อ เพื่อนๆน้ำมนต์หายไปไหนก็ไม่รู้...ระหว่างรอก็เล่าไปก่อนนะคะ”
“ก็ได้...พี่ก็ไม่ค่อยรู้อะไรหรอก แต่ก็รู้...”
ในอดีต 20 ปีก่อน ธีระศิลป์ในวัยกลางคนกำลังสรุปงานกับทีมกล้อง จากนั้นมาสรุปกับพิธีกรรายการบันเทิงอยู่ที่สตูดิโอรายการ ธีระศิลป์นั้นเป็นคนหนุ่มที่กระฉับกระเฉง ไฟแรง มุ่งมั่น เอาการเอางาน ยิ้มแย้ม เป็นมิตรกับทุกฝ่าย
"คุณธีระศิลป์ก็เริ่มจากการทำบริษัทรับจ้างผลิตรายการทีวี เหมือนที่พี่ทำนี่แหละ...แล้วมันไปได้ดี ก็ขยับขยายรายการ มีบริษัทลูกแตกแยกออกไปเรื่อยๆ จนในที่สุดท่านก็ใหญ่โตพอที่จะประมูลช่องทีวีดิจิตัล และก่อตั้งสถานีพราวด์มาจนทุกวันนี้...คุณธีระศิลป์แต่งงานกับภรรยา มีลูกชายด้วยกันคนนึง แต่ภรรยาท่านมีโรคประจำตัว ลูกยังไม่ทันโต ก็มาจากไปเสียก่อน...แต่อีตาลูกชายน่าจะเป็นเด็กมีปัญหา เกเร เอาแต่ใจ ฤทธิ์มากคุณธีก็เลยส่งไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็ก แล้วก็ไม่เห็นมีข่าวว่ากลับมาเมืองไทยนะ น่าจะทำงานที่โน่นไปเลย"
ส่วนคุณเมสินี...คุณธีระศิลป์เจอคุณเมสินีที่งานสัมมนาเกี่ยวกับสื่ออะไรสักอย่าง แล้วก็ไม่รู้ว่าไปสนิทกันอะไรยังไงตอนไหน รู้อีกที คุณเมสินีก็มาช่วยวางระบบตอนก่อตั้งสถานีพราวด์ แล้วก็ไม่รู้ไปวางระบบอะไรยังไงตอนไหน รู้อีกที ก็เป็นข่าวฮือฮาว่า นักธุรกิจไฟแรงประกาศแต่งงานสายฟ้าแลบ...
คนเม้ากันว่าลูกชายไม่พอใจที่พ่อแต่งงานใหม่มาก ไม่ยอมมาร่วมงานแต่ง แล้วก็ขาดการติดต่อไปเลย จนกระทั่งคุณธีระศิลป์รถคว่ำเสียชีวิต"
พีระชะงัก
“รถคว่ำ...รถคว่ำเหมือนผมน่ะเหรอ”
น้ำมนต์รีบบอกเอมี่
“พี่ช่วยเล่ารายละเอียดได้มั้ยคะ”
เอมี่กำลังจะเล่า แต่อยู่ๆพิมพ์ดาวกับลูกโป่งวิ่งเข้ามาก่อน
“น้ำมนต์ๆ แกต้องไปขายโครงเรื่องละครเวทีให้พี่ไตปลาฟังเดี๋ยวนี้” ลูกโปร่งบอกอย่างร้อนใจ
“ห๊า...” น้ำมนต์ตกใจ
“เมื่อวานแกเบี้ยวนัดพี่เขาไป วันนี้อาจารย์อิ๋วเลยนัดมาให้ใหม่ และ...” พิมพ์ดาวเน้น “พี่ไตปลาก็มาถึงแล้ว”
“ห๊า” น้ำมนต์ตะลึง
ลูกโป่งมองหน้า
“ไม่ต้องห๊าเห๊อ แกคิดโครงเรื่องเอาไว้แล้วใช่มั้ย”
“ไม่มี” น้ำมนต์ส่ายหน้า
“ห๊า” ลูกโป่งกับพิมพ์ดาวตาเหลือก
“จะห๊าเห๊ออะไรกันอยู่ได้ ผมอยากรู้เรื่องพ่อผมต่อ” พีระเซ็งๆ
“ไม่มีเวลาแล้ว...ไป” ลูกโปร่งคว้ามือน้ำมนต์
“เดี๋ยว...แล้วรายการใหม่พี่ ใครจะช่วยคิด” เอมี่ขัดขึ้น
พิมพ์ดาวหันมาบอก
“เดี๋ยวเรากลับมาช่วยนะคะพี่”
ลูกโป่งกับพิมพ์ดาวลากน้ำมนต์ไป เอมี่สะบัดหน้าเดินหนีไป พีระเซ็งเลย
“อะอ้าว แล้วเรื่องพ่อผมล่ะ...จบ” พีระนึกขึ้นได้ “ไอ้ยมทูตหายหัวไปไหน”
แมนสรวงเดินมาตามช่องระหว่างตึก ลัดเลาะไป เห็นหลังของวิญญาณผีนายชัยแว่บนำไปไวๆ เหมือนล่อให้แยกตามไป แมนสรวงรีบตามเดินมาด้านหลังตึก ที่เป็นมุมเก็บเศษวัสดุเหลือใช้ของทางมหาวิทยาลัย บรรยากาศสงัด ไม่มีผู้คน แมนสรวงรู้ได้ว่าวิญญาณตนนั้นตั้งใจนำทางตนมาที่นี่
“แกตั้งใจนำทางฉันมาที่นี่ มีอะไร...ออกมาคุยกันให้รู้เรื่อง อย่าทำให้ฉันมีน้ำโหจะดีกว่า”
แต่ทุกอย่างนิ่ง เงียบ ไม่มีอะไรไหวติง แมนสรวงแปลกใจ
อีกด้าน...พีระเดินตามหาแมนสรวงอยู่
“ไอ้ยมทูต หายไปไหนอีกแล้ว ออกมา”
แต่อยู่ๆวิญญาณผีโหดโผล่มายืนที่ด้านหลัง พีระหันกลับมาเพราะคิดว่าเป็นแมนสรวง แต่พอมองเต็มๆตาก็ต้องตกใจ เพราะคือวิญญาณผีนายชัย ถือมีดพร้าเงื้อรออยู่แล้ว และฟันลงมา พีระช็อก
พิมพ์ดาวกับลูกโป่งลากน้ำมนต์เข้ามาหา หน้าห้องรับรองแขก อาจารย์อิ๋วรออยู่ก่อนแล้ว รีบปรี่เข้ามา อัฐชัยตามมาด้วย
“ทำไมถึงมาสาย ให้พี่ไตปลามานั่งรอได้ยังไง...ไปเร็ว”
น้ำมนต์รีบบอก
“อาจารย์อิ๋วขา...คือ...สมมตินะคะ ถ้า พี่ไตปลาไม่กำกับละครเวทีให้ อาจารย์จะว่าอะไรมั้ยคะ”
“ไม่ว่าเลยสักคำ”
“จริงเหรอคะ” น้ำมนต์ดีใจ
“แต่จะสั่งระงับโปรเจคนี้ทันที”
ทุกคนตกชะงักอึ้ง
“หา”
“อาจารย์แจ้งคณบดีไปแล้วว่าโปรเจคนี้มีพี่ไตปลาเป็นผู้กำกับ คณะถึงเชื่อมั่นว่ามันจะประสบความสำเร็จ ถึงให้งบมาผลิต ถ้าไม่ได้พี่ไตปลาก็...จบ”
อาจารย์อิ๋วเดินนำไปทันที ทุกคนซีด จ๋อย อัฐชัยหันมาหาน้ำมนต์
“ถ้าไม่ได้ทำละครเวที ความฝันอยากเป็นนักเขียนบทของเธอก็จบด้วยแน่”
“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว แกต้องใช้วิชาเอาตัวรอด” ลูกโป่งแนะ
พีระคว้าข้อมือของผีนายชัยเอาไว้ได้ก่อนที่มีดพร้าจะถึงตัว ทั้งสองสู้แรงกัน
“อยู่ดีๆจะมาแอบฟันฉันเหรอ ไม่ง่ายหรอกเว้ย”
พีระฮึดสุดแรง ผลักมือผีนายชัยออก พร้อมกับพลิกตัวหลบ มีดพร้านั้นฟันวืดลงไปที่พื้น...ฉึก”
พื้นหินตรงนั้นแตกเป็นรอยมีด พีระตกใจ ผีนายชัยพุ่งเข้าฟันใส่อีก แต่พีระถอยตั้งหลัก และหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่ว ปัดป้องและในที่สุดก็เตะมีดพร้าในมือผีกระเด็นออกไปไกล อย่างสวยงาม พีระทึ่งในตัวเอง
“ว้าว...นี่มันคู่แข่ง จา พนมชัดๆ”
ผีนายชัยวิ่งเข้าไปหยิบมีดที่หล่นนั้นขึ้นมาใหม่ แล้วเงื้อมีด คำราม วิ่งไล่พีระอีก
“ไม่คิดจะหยุดบ้างเหรอ...นี่จะไม่ให้มีที่ยืนเลยใช่มั้ย”
พีระถอย แล้ววิ่งหนี ผีนายชัยไล่ตาม ส่งเสียงคำราม ดุดัน โหดเหี้ยม น่ากลัว
พีระวิ่งหนี สวนทางกับนักศึกษาที่เดินผ่านไป แต่ไม่มีใครสนใจ เพราะไม่มีใครมองเห็น ผีนายชัยเงื้อมีดพร้าไล่ล่าไม่ลดละ...พีระวิ่งขึ้นบันได ผีนายชัยไล่ตามมา แต่แล้วหายตัว โผล่มาดักหน้า เงื้อมีด จนพีระต้องวิ่งหนีย้อนลงมา
พีระวิ่งมาอีกด้าน เห็นอาจารย์ 2 คนกำลังเข้าไปในลิฟท์ เขารีบวิ่งตามหนีเข้าไปในลิฟท์ ผีนายชัยวิ่งมาพอดี พีระรีบกดปุ่มเพื่อปิดลิฟท์ ตัดหน้าอาจารย์หญิงที่กำลังเอื้อมมือจะไปกด อาจารย์หญิงเห็นปุ่มมีไฟติดเองก็งงๆ
“สงสัยเป็นระบบอัตโนมัติ”
ประตูลิฟท์กำลังจะปิด ผีนายชัยวิ่งเงื้อมีดพุ่งเข้ามา ประตูปิดพอดี แต่ผีนายชัยก็พุ่งทะลุประตูเข้าไปในลิฟท์ พีระจับมีดเอาไว้ ยื้อแรงกัน ในขณะที่อาจารย์สองคนก็กำลังคุยกันและหัวเราะต่อกระซิก ตรงกันข้ามกับพีระที่กำลังจะถูกฟันอยู่ พอประตูเปิดออก พวกอาจารย์เดินออกไป พีระถูกผีเหวี่ยงจนกระเด็นออกมา คว่ำไป
“จะมาไล่ฟันฉันทำไม ฉันไปทำอะไรให้แก”
ผีนายชัยถือมีดพร้าเดินตามออกมา
“แฮ่”
“มีใครส่งแกมาใช่มั้ย จะเงื้อมีดทำไม คุยกันก่อนเซ่ แกชื่ออะไร บ้านอยู่ไหน อยากได้อะไร บอกมาเดี๋ยวฉันทำบุญไปให้ ถึงฉันจะเป็นผี แต่ก็เป็นผีใจบุญนะ”
ผีนายชัย จะเข้ามาฟัน พีระสไลด์ตัวเตะตัดขาจนมันล้มคว่ำ พีระคว้ามีดมาถือเอาไว้
“ฮ่าๆ แกเสร็จฉันล่ะไอ้ผีไร้สมอง”
พูดไม่ทันขาดคำ ผีนายชัยยื่นมือออกมา มีดก็ถูกดูดเข้าไปหาจึงดึงเอาพีระที่จับมีดอยู่ไปด้วย จนพีระไปประชิดประจันหน้ากับผีนายชัยทันที หน้าแทบติดกัน พีระจ๋อย
“ตะกี้ ฉันพูดเล่นน้า”
“แฮ่”
คุณผีที่รัก ตอนที่ 5 (ต่อ)
ผีนายชัยเหวี่ยงมีด พีระกระเด็นไปตามแรงเหวี่ยง ผีนายชัยตามมาฟัน พีระหลบและเตะกระเด็นไป...
พีระจะวิ่งหนี แต่อยู่ๆก็ชะงัก ขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้ แปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น เกี๊ยงเดินเข้ามา หัวเราะสะใจ ที่ตัวเองอาคมไม่ธรรมดา
“หึๆฮะๆโฮะๆ ฉันท่องคาถาตรึงวิญญาณของจารย์เทพถูกเป๊ะด้วย ฮะๆ”
พีระมองเกี๊ยง
“แก...ไอ้หมอผี มันส่งแกมาจับฉันเหรอ”
ไม่ทันขาดคำ ผีนายชัยพุ่งเข้ามาฟันพีระที่กลางหลัง
“อ๊าก”
เกิดรอยแผลที่กลางหลัง เป็นทางยาว แล้วผีนายชัยก็เข้ามาใช้ท่อนแขนใหญ่ล็อกคอของพีระเอาไว้ แบบกะบีบให้ขาดอากาศ เกี๊ยงหัวเราะสะใจ
“ฮ่าๆ แกจะต้องไปเป็นผีในคอลเลคชั่นสะสมของอาจารย์เทพ”
เกี๊ยงหยิบโถบรรจุวิญญาณออกมา อีกมือถือธงอาจารย์เทพโบกสะบัด ปากก็บริกรรมคาถา เกิดมวลพลังงาน อากาศแปรปรวน ดึงดูดทั้งผีนายชัยและพีระให้เข้าไปโถ ผีนายชัยถูกดูดเข้าไปก่อน แต่คว้าคอพีระเอาไว้ พีระถูกดึงเข้าไปด้วย เกี๊ยงตื่นเต้นดีใจ
“ว้าว ฉันท่องคาถาไม่ผิดอีกแล้วเว้ย ฮะๆ”
พีระกำลังจะถูกดูดเข้าไป
ในห้องรับรองมหาวิทยาลัย...ไตปลาลุกยืน จ้องทุกคน
“ว่าไงนะ”
น้ำมนต์ พิมพ์ดาว ลูกโป่ง อัฐชัยที่นั่งจ๋อยอยู่ สะดุ้งเฮือก
“ละครผี และ ย้อนยุค...ที่จะบอกพี่มีแค่นี้เนี่ยนะ”
อาจารย์อิ๋วหันมาบอกน้ำมนต์กับเพื่อน
“พวกเธอมีไอเดียอะไรก็เสนอพี่เขามาให้หมด ไม่ต้องกั๊ก”
“อาจารย์อิ๋วครับ” ไตปลาแทรกขึ้น
อาจารย์อิ๋วสะดุ้ง บ้าจี้
“คะๆ”
“ที่ผมรับปากจะมาช่วย เพราะผมเห็นแก่อาจารย์และคณะนะครับ แต่ลูกศิษย์อาจารย์ทำอย่างนี้ ผมไม่ซื้อ”
ลูกโป่งรีบห้าม
“ฟังเหตุผลพวกเราก่อนนะคะ”
“มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ” อัฐชัยเสริม
อาจารย์อิ๋วร้อนใจ
“ทำไม มีอะไร รีบอธิบายมาสิ เร็ว”
พิมพ์ดาวหันไปหาน้ำมนต์
“น้ำมนต์...เล่าไปสิ...”
น้ำมนต์ทำท่าเศร้า ฝืนเล่าความเท็จ
“คือ...คือพ่อ...พ่อของน้ำมนต์” น้ำมนต์เสียงสั่น สะอื้น “ท่านหายตัวไปค่ะ” น้ำมนต์ปล่อยโฮ ห้ามน้ำตาไม่ได้
พิมพ์ดาวกับลูกโป่งรีบทำเป็นปลอบน้ำมนต์ บีบมือให้กำลังใจ
“พ่อหายไป 5 วันแล้ว...ไม่รู้ว่าท่านหายไปไหน เกิดอะไรขึ้น หนูห่วงพ่อมาก กลัวพ่อจะถูกอุ้มไปทำร้าย หนูไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรทั้งนั้น ที่ไม่มีอะไรมาเสนอพี่ไตปลาก็เป็นเพราะหนูห่วงพ่อค่ะ ฮือๆ”
ลูกโป่งกับพิมพ์ดาวตามน้ำ
“โถ...น่าสงสาร”
“พ่อ...หนูคิดถึง...ฮือๆ...พ่อจ๋า...” น้ำมนต์พูดพร่ำถึงพ่อแต่ร้องไห้ซะจนฟังไม่รู้เรื่อง
ลูกโป่งกับพิมพ์ดาวปลอบ
“โถๆ น่าเห็นใจ”
อาจารย์อิ๋วสงสาร
“ไตปลา...อาจารย์ว่ามันก็เป็นเหตุผลที่น่าให้อภัยนะคะ”
ทุกคนอ้อนวอนแต่ไตปลาจ้องน้ำมนต์นิ่งๆครุ่นคิด มีท่าทีเหมือนจะยอมให้
พีระกำลังถูกดูดจะเข้าไป
“ฉันไม่ยอมให้พวกแกจับแล้วจับอีกหรอก”
เกี๊ยงหัวเราะสะใจ
“ก๊ากๆ จารย์เทพจะต้องชื่นชมฉันแน่ๆ เข้าไปเร็วๆ”
แมนสรวงโผล่มาเห็นเหตุการณ์ ตกใจ
“พีระ...จะเอาตัวเด็กฉันไป ขออนุญาตหรือยัง”
แมนสรวงชี้นิ้วไปที่เกี๊ยง ทันใด กางเกงของเกี๊ยงก็หลุด ลงไปกองที่ตาตุ่ม มีนักศึกษาสาวๆกลุ่มหนึ่ง 3-4คนเดินผ่านมาเห็นร้องกรี๊ดลั่น
“อ๊าย...”
เกี๊ยงชะงัก งงๆ
“กรี๊ดอะไร”
นักศึกษาสาวช่วยกันตะโกน
“ไอ้โรคจิต...ช่วยด้วยค่ะ มีคนโรคจิตชอบโชว์อยู่ในมหาวิทยาลัย ช่วยด้วยค่ะๆ”
“โรคจิตอะไร”
เกี๊ยงก้มมองตัวเอง พบว่ากางเกงหลุดไปกองกับพื้นแล้ว เหลือแต่บ็อกเซอร์
“เฮ้ย”
เกี๊ยงลืมตัวทิ้งโถบรรจุวิญญาณ แล้วดึงกางเกงขึ้นมาสวม พีระกับผีนายชัยกระเด้งออกมาทันที หลุดจากการถูกสะกดวิญญาณ กลุ่มนึกศึกษาชาย ยาม วิ่งกรูกันเข้ามา นักศึกษาสาวชี้มือตะโกนบอก
“มันอยู่นี่ค่ะๆ”
เกี๊ยงยังใส่กางเกงไม่เสร็จ
“ผมไม่ได้โรคจิตนะครับ จริงนะครับ”
เกี๊ยงเผลอยกมือ กางเกงหลุดอีก นักศึกษาสาวร้องลั่น
“ว้าย”
“เอ๊ย” เกี๊ยงรีบดึงกางเกง แมนสรวงโผล่เข้ามาด้านหลังกลุ่มนักศึกษาชาย
“คนพวกนี้เป็นภัยสังคม ช่วยกันจับมันส่งตำรวจเลยดีกว่าครับ”
ทุกคนเห็นด้วย ช่วยกันต้อนจะจับแต่เกี๊ยงไม่ยอมให้จับ พยายามวิ่งหนี ทุกคนวิ่งไล่ต้อน
“อย่าๆ ฟังก่อน ผมไม่ได้โรคจิต”
ในที่สุด เกี๊ยงก็หนีไม่รอด ถูกรุมล็อกจับตัวไว้ พีระบาดเจ็บ ยังทรุดอยู่ที่พื้น ผีนายชัยลุกขึ้นมา พร้อมมีดพร้า จะทำร้ายพีระอีก
ในห้องรับรอง...ไตปลาลุกยืน เข้าไปหาน้ำมนต์ ท่าทีเห็นอกเห็นใจ
“พ่อหายตัวไปเหรอ น่าเห็นใจจริงๆ”
“ค่ะ ฮือๆ”
ไตปลามองจ้องจับผิดเข้าไปในตา น้ำมนต์ผงะ แค่เพียงแว่บเดียว ไตปลาก็สรุปได้ทันที
“โกหก”
ทุกคนชะงัก
“หือ...”
น้ำมนต์รีบเถียง
“เปล่านะคะ ไม่ได้โก...”
ไตปลาสวน
“พ่อเธอไม่ได้หายไป อย่ามาทำการแสดง...นี่ใคร...พี่ไตปลา ผู้กำกับหนังร้อยล้าน คิดว่าการแสดงของนักเรียนการแสดงอย่างพวกเธอจะตบตาพี่ได้เหรอ...การแสดงของเธอมันปลอม ไม่มีความจริงใจ เสียใจแต่เพียงข้างนอก แต่ข้างในว่างเปล่า แววตาเธอมันหลอกลวง มีแต่ความประหม่า ไม่ปลอดภัย เหมือนซุกซ่อนความผิดไว้ มันไม่ใช่สายตาของคนที่กำลังห่วงพ่อ”
น้ำมนต์ พิมพ์ดาว ลูกโป่ง อัฐชัยตะลึง ทึ่งในสายตาแหลมคมของพี่ไตปลา
“อ่านขาดมาก” อัฐชัยพึมพำ
ไตปลาหันไปหาอาจารย์อิ๋ว
“อาจารย์อิ๋วครับ ผมคงกำกับละครเวทีเรื่องนี้ไม่ได้...สวัสดีครับ”
ไตปลาไหว้อาจารย์อิ๋วแล้วออกไปเลย อาจารย์อิ๋วค้อนพวกน้ำมนต์
“โปรเจคนี้...จบ”
อาจารย์อิ๋วเดินแยกไป น้ำมนต์ไม่ยอมแพ้
“ไม่นะ พับโปรเจคไม่ได้”
น้ำมนต์รีบวิ่งตามไตปลาไป
ผีนายชัยจะฟันพีระ แต่อยู่ๆแมนสรวงเข้ามาคว้าข้อมือเอาไว้ แมนสรวงมาดนิ่ง สงบ เหนือชั้นกว่า
“หยุดสร้างกรรมได้แล้ว”
“แฮ่” ผีนายชัยแยกเขี้ยว
แมนสรวงเบือนหน้าหนี เหม็น
“ตายมานานแล้วสิ...นายเป็นอิสระจากหมอผีแล้ว กรรมก่อนหน้านี้ที่นายก่อ ถือเป็นกรรมของหมอผีที่ใช้อำนาจมืดบีบบังคับให้นายทำ แต่หลังจากนี้ สิ่งที่นายทำมันจะเป็นกรรมของตัวนายเอง จะทำกรรมต่อ หรือจะไปที่ชอบๆ เลือกเอา”
ผีนายชัยสงบลง อ่อนแรง ทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น แมนสรวงวาดมือ เป็นท่าส่งวิญญาณ
“จงไปรับกรรมของนาย...โก”
ผีนายชัยหายแว่บไป แมนสรวงหันมามองพีระที่ยังทรุดบาดเจ็บอยู่
“ไอ้แมนสรวง...ช่วย...ฉันที”
“นายรู้สึกปวดๆระบมๆวูบวาบๆ เหมือนแบตเตอรี่กำลังจะหมดยังงั้นใช่มั้ย”
“อื้อ...”
“โอเค เคสอย่างนี้รักษาไม่ยาก โอม...” แมนสรวงเป่าแผลแบบเป่าให้เด็กเล็ก “เพี๊ยงหาย”
พีระงงๆ
“หือ...”
“เดี๋ยวก็หายนะ”
“นี่นายช่วยฉันไม่ได้ใช่มั้ย ไอ้...อูย” พีระชะงัก เพราะเจ็บ
แมนสรวงล้อเลียน
“อูย...นายจะระบมอย่างนี้สักวันสองวัน มันถึงจะกลับเป็นปกติ ดีแล้ว จะได้หัดสงบเสงี่ยมมีสมาธิซะบ้าง”
แมนสรวงยืนขำ พีระระบม บ่นๆ
บริเวณลานจอดจักรยานของมหาวิทยาลัย...ไตปลาเดินกลับมาที่รถจักรยานที่จอดอยู่ กำลังใส่อุปกรณ์เซฟตี้อย่างครบสูตรเพื่อขี่จักรยานกลับบ้าน น้ำมนต์และเพื่อนวิ่งตามมาขวาง
“พี่ไตปลาๆ...สองวันที่ผ่านมาหนูติดภารกิจที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ขอโอกาสอีกครั้งนะคะ ขอแค่วันเดียว หนูสัญญาว่าพรุ่งนี้หนูจะคิดพล็อตเรื่องละครเวทีมาขายพี่ได้แน่ๆ”
“วันเดียว คิดว่าจะทำได้เหรอ”
“ได้ค่ะ”
“แล้วถ้าไม่ได้ล่ะ” ไตปลาจ้องคาดคั้น
น้ำมนต์จริงจัง
“ไม่มีคำว่าไม่ได้ค่ะ”
ไตปลามองน้ำมนต์อย่างทึ่ง ปลื้ม ประทับใจ พิมพ์ดาวกับลูกโป่งช่วยรับมุก
“ถ้าพี่ไม่ให้โอกาส เราจะคุกเข่าอย่างนี้ไม่ลุกไปไหน” ลูกโป่งคุกเข่า
“ใช่ค่ะ...” พิมพ์ดาวดึงแขนอัฐชัย “คุกสิ”
ไตปลาตำหนิพิมพ์ดาวกับลูกโป่ง
“หยุดแอคติ้งปลอมๆซะที มันต้องอย่างนี้” ไตปลาชมน้ำมนต์ “จริงจัง จริงใจ ไม่เสแสร้ง แสดงออกมาจากความรู้สึกข้างใน...ได้ พี่จะให้โอกาสเธอถึงพรุ่งนี้ หกโมงเย็น”
น้ำมนต์ดีใจ
“จริงนะคะพี่ ขอบคุณมากค่ะ”
ไตปลาคว้ามือน้ำมนต์มากุม แบบแต๊ะอั๋ง
“จ้ะ พี่ชอบผู้หญิงที่มุ่งมั่น เอาจริงเอาจังอย่างน้ำมนต์มากที่สุด”
“เฮ้ย พี่ไตปลา ทำไร” อัฐชัยหึง
น้ำมนต์ดึงมือออก ยิ้มแบบรักษามารยาท ไตปลายิ้มหวานให้แล้วขี่จักรยานออกไป อัฐชัยรีบถาม
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไร ขอบใจนะที่เป็นห่วง”
อัฐชัยอึกอัก
“ไม่ได้ห่วง ก็แค่ ทำตามสัญชาตญาณคนดี...ไปๆ เขาให้โอกาสแล้วก็แยกย้ายไปทำงาน”
อาจารย์เทพเดินกลับเข้ามาในสำนัก หงุดหงิดหัวเสีย เกี๊ยงเดินจ๋อยตามหลังมา
“เอ็งขัดคำสั่งข้า ขโมยวิญญาณที่ข้าเลี้ยงไว้ ขโมยธงอาคม แล้วยังไปถูกจับข้อหากระทำอนาจาร จนข้าก็ต้องบากหน้าไปจ่ายค่าปรับเอาตัวเอ็งออกมา ข้าจะทำยังไงกับเอ็งดีไอ้เกี๊ยง”
“ถ้าคิดไม่ออก ก็ไม่ต้องทำอะไรครับ”
“ยังมากวนประสาทอีก”
อาจารย์เทพไล่เตะ เกี๊ยงกระโจนหลบ
“จารย์ๆ เกี๊ยงก็ทำเพื่อจารย์นะครับ...จารย์ก็เหมือนพ่อแท้ๆ พวกมันบังอาจมาทำจารย์เจ็บ แต่เกี๊ยงเจ็บยิ่งกว่า ทุกครั้งที่เห็นแผลเป็นบนหน้าจารย์ เกี๊ยงโกรธ โกรธจนเกี๊ยงทนไม่ได้”
“ไม่ต้องมาพูดจาเยินยอข้าเลย ถ้าเอ็งกล้าขัดคำสั่งข้าอีกครั้ง ข้าจะตัดหางปล่อยวัด ไม่เลี้ยงดูเอ็งอีก เข้าใจมั้ย”
เกี๊ยงจ๋อย
“ครับ...แล้วจารย์ จะปล่อยไอ้ผีพีระไปงั้นเหรอครับ”
“ไม่มีทาง มันจะต้องชดใช้ที่ทำกับข้าไว้แน่...ไอ้พีระ”
พีระนั่งพักอยู่ที่บริเวณบ้านน้ำมนต์ ยังระบมจากบาดแผล แมนสรวงเปิดเสื้อดูรอยแผลที่หลัง
“เห็นมั้ย...แผลนายหายไปแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่อาการระบม ที่เดี๋ยวก็หาย”
“ช่วยไม่ได้ก็ไม่ต้องมาพูด อูย”
“ท่าทางนายจะมีศัตรูเยอะกว่าที่ฉันคิด...มีคนคิดฆาตกรรมให้ตาย กลายเป็นผี ยังไปขวางหูขวางตาหมอผีอีก นี่แหละ โทษฐานที่ชอบกวนประสาทชาวบ้าน ชีวิตอยู่ไม่สุขแน่”
“ฉันทำอะไรไอ้หมอผี ก็แค่ป้องกันตัวผิดตรงไหน”
อยู่ๆมีเสื้อผ้าหล่นลงมาจากอากาศตกใส่หัวพีระเต็มไปหมด
“เอ้ยๆ อะไรเนี่ย”
ข้าวต้มวิ่งออกมาจากอีกด้าน
“เย้ๆ พี่พีได้เสื้อผ้าใหม่แล้ว ข้าวต้มไปขอให้เพื่อนที่โรงเรียนช่วยเอาเสื้อผ้าของพ่อเขามาบริจาค ยังดีๆทั้งนั้นเลย พี่พีจะได้มีชุดใหม่ๆหล่อๆใส่ แต่ตอนนี้ พี่พีต้องใส่ชุดนี้” ข้าวต้มส่งชุดสูทหล่อเนี้ยบให้
“ทำไม”
“เปลี่ยนเถอะน่า ไปๆ”
โต๊ะกลุ่มในมหาวิทยาลัย...เอมี่กำลังขอความคิดเรื่องรายการจากทุกคน
“ไอเดียที่แต่ละคนเสนอมา พี่ยังไม่ชอบ คืนผจญผีน่าจะมีอะไรแปลกๆใหม่ๆกว่านี้ ใครมีไอเดียอะไรเสนออีกบ้างมั้ย”
อัฐชัยส่ายหน้า
“ตอนนี้คิดออกแค่นี้แหละพี่เอมี่ ใจมันห่วงละครเวทีอ่ะ”
“จริงๆน่าจะให้น้ำมนต์อยู่ช่วยคิดด้วย” เอมี่นึกได้
ลูกโป่งรีบขัด
“ให้มันกลับไปคิดบทละครเวทีดีแล้วค่ะพี่ เพราะถ้าพรุ่งนี้ไม่มีโครงเรื่องไปเสนอพี่ไตปลา พวกเราตายแน่”
“แล้วถ้าคุณเมสินีโทรมานัดพี่ พี่ไม่ตายเหรอ” เอมี่หนักใจ
อยู่ๆมือถือเอมี่ดังขึ้น เธอหยิบมาดูเบอร์ แล้วก็ตกใจมาก
“คุณเมสินี”
เอมี่ผงะ กลัวๆกล้าๆ จะรับหรือไม่รับดี แล้วตัดสินใจจะรับ ตั้งสติ สูดลมหายใจ ค่อยๆกดรับ แล้วทำเสียงร่าเริงกลบพิรุธ
“สวัสดีค่าคุณเมสินี...ค่ะ...คะ...จะให้ไปหาตอนนี้”
เอมี่ช็อก ล้มทั้งยืน พวกพิมพ์ดาว ลูกโป่ง อัฐชัยต้องผวารีบมารับด้านหลัง พัดให้
สนามหน้าบ้าน...พีระอยู่ในชุดสูทดูดี ตรวจเช็กชุดว่าพอดีกับตัวเองมาก
“แหม่ คนมันดูดีใส่อะไรก็ขึ้น ว่ามั้ย”
แมนสรวงนั่งทำหน้าหมั่นไส้อยู่ตรงนั้น แต่แล้วอยู่ๆมีใบไม้ร่วงลงมาตรงหน้า
“ฮ้า มีคนตายกะทันหัน ฉันต้องไปนำส่งวิญญาณพวกเขา...เดี๋ยวฉันมา”
พีระแปลกใจ
“เฮ้ย อะไรของนาย รู้ได้ไงมีคนตาย”
“ใบไม้นี่ไง...มันคือการสื่อสารของชาวยมทูต ว่ามีคนตายเกิดขึ้นอีกแล้ว และฉันต้องไปนำส่งวิญญาณนั้นทันที มันคือหน้าที่ คิดว่าฉันเกิดมาเพื่อดูแลนายคนเดียวหรือไง ฮึ่ย”
แมนสรวงเดินและหายตัวไปเลย ข้าวต้มเข็นรถเข็นที่มีอุปกรณ์ต่างๆออกมา จากนั้นก็ตรงไปที่โต๊ะกินข้าวที่ตั้งอยู่กลางสนาม
“ข้าวต้ม จะทำอะไร” พีระถามอย่างสงสัย
ข้าวต้มหยิบผ้าปูโต๊ะมาคลุม แล้วก็วางแจกันดอกไม้กลางโต๊ะ วางเชิงเทียน
“คืนนี้ เค้าจะให้พี่พีกับพี่น้ำมนต์สวีทกันน่ะสิ”
“หา...เดี๋ยวนะ สวีทอะไร” พีระหน้าตื่น
ข้าวต้มหันมาจ้องกวักนิ้วเรียกให้ก้มลงมา แล้วกระชากคอเสื้อแบบนักเลง
“ฟังให้ดีนะน้องชาย...น้องต้องทำให้พี่น้ำมนต์รักน้องจริงๆให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ เค้าจะไม่ปล่อยน้องชายไว้แน่”
ข้าวต้มขู่ยังกะมาเฟียทั้งๆที่ตัวกะเปี๊ยก พีระอึ้ง งง น้ำมนต์กลับเข้ามาพอดี
“ข้าวต้ม พี่กลับมาแล้ว” น้ำมนต์ชะงัก เอะใจ “ทำอะไรกัน”
พีระอึกอัก ได้แต่ยิ้มแห้งๆให้น้ำมนต์ พูดไม่ออก
“พี่พีมีเรื่องอยากจะคุยกับพี่น่ะครับ นั่งก่อนสิครับ”
น้ำมนต์หันมาถามพีระ
“มีเรื่องอะไร”
แจ๊ววิ่งออกมา
“คุณน้ำมนต์ น้องข้าวต้ม มาทำอะไรตรงนี้ค่ะ แล้วตะกี้พูดกับใครค่ะ...พูดคนเดียวอีกแล้วเหรอ ไม่ดีค่ะๆ มีอะไรพูดกับแจ๊วสิคะ”
“พี่แจ๊ว มานี่”
ข้าวต้มคว้ามือแจ๊ว ลากออกไป น้ำมนต์หันมาจ้องพีระว่ามีเรื่องอะไร
“ไม่ใช่ความคิดผมนะ”
น้ำมนต์ระอา เซ็ง กำลังเครียด
“วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะมาต่อล้อต่อเถียงอะไรด้วย ถ้าไม่อยากตายซ้ำสอง อย่ากวนประสาท อย่าเซ้าซี้ เข้าใจนะ”
น้ำมนต์เดินแยกไป
ในห้องทำงานเมสินีที่สถานีพราวด์...เอมี่นั่งก้มหน้าเครียด
“ไม่ต้องเครียดค่ะคุณเอมี่ เมไม่ได้เรียกมาเรื่องรูปแบบใหม่ของรายการคืนผจญผี แต่เมมีเรื่องอยากถามคุณเอมี่นิดหน่อยค่ะ”
“ไม่เกี่ยวกับคืนผจญผี” เอมี่แอบดีใจ “งั้นถามมาได้เลยค่ะ ยินดีตอบทุกอย่าง”
“พี่เอมี่รู้เรื่องเกี่ยวกับน้ำมนต์ทุกเรื่องใช่มั้ยคะ”
เอมี่แปลกใจ
“รู้จักคนๆนี้มั้ยคะ”
เมสินีวางรูปถ่ายของพีระตรงหน้าเอมี่ เป็นรูปพีระตอนอยู่เมืองนอก
ข้าวต้มลากแจ๊วเข้ามาด้านในบ้าน
“น้องข้าวต้มจะลากพี่เข้ามาทำไมคะ พี่มีหน้าที่ต้องดูแลคุณน้ำมนต์นะคะ”
ข้าวต้มขวางไว้
“ห้ามออกไป เค้าจะให้พี่น้ำมนต์อยู่กับพี่พีสองต่อสอง”
“พี่พีไหนคะ ตะกี้พี่ไม่เห็นจะมีใคร” แจ๊วมองไปรอบๆ
“มีสิ แต่พี่มองไม่เห็นเอง”
“เพื่อนในจินตนาการใช่มั้ยคะ งั้นพี่ต้องไปขวาง รู้มั้ยคะว่ายิ่งคุยคนเดียวมาก อีกหน่อยจะบ้าได้นะคะ”
ข้าวต้มเกาะแจ๊วไว้
“ไม่ให้ไปๆ”
พีระสวนเข้ามา เห็นแจ๊วพยายามจะไปให้ได้
“หลบไปค่ะข้าวต้ม ปล่อยพี่”
พีระเลยยกหนังสือที่อยู่ตรงนั้นให้ลอยขึ้นมา แจ๊วเห็นของลอยขึ้นมาเองได้ ผงะ ช็อก
“ทำไม...หนังสือลอยได้”
พีระรีบบอกข้าวต้ม
“ข้าวต้ม พูดตามพี่...เพราะพี่ทำให้เขาโกรธ เขาก็จะไม่ปิดบังอะไรพี่อีกแล้ว”
ข้าวต้มพูดตาม
“เพราะพี่ทำให้เขาโกรธ...เขาก็จะไม่ปิดบังอะไรพี่อีกแล้ว”
“เค้าเป็นเด็กมีพลังจิต”
“เค้าเป็นเด็กมีพลังจิต”
“ห๊า” แจ๊วหน้าตื่น
พีระเข้าไปด้านหลังอุ้มข้าวต้มให้ลอยขึ้นมา แจ๊วตาเหลือก
“ห๊า...ข้าวต้มลอยได้”
“ฮ่าๆ” พีระหัวเราะ
“ฮ่าๆ” ข้าวต้มหัวเราะตามพีระ
“ถ้าพี่ยังขัดใจเค้า ไม่เชื่อฟังคำสั่งเค้า เค้าจะไม่อดทนกับพี่อีกแล้ว”
“ถ้าพี่ยังขัดใจเค้า ไม่เชื่อฟังคำสั่งเค้า เค้าจะไม่อดทนกับพี่อีกแล้ว”
“ว้าก” พีระร้องลั่น
“ว้าก...” ข้าวต้มร้องตาม
พีระวิ่งไปหยิบสั่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมาโยนบ้าง จับลอยบ้าง ข้าวต้มชี้มือไปที่ไหน พีระไปหยิบสิ่งนั้น ชุลมุน แจ๊วได้แต่ตื่นตกใจ ตาโตสุดขีด สยอง และถึงกับลงไปทรุดคุกเข่า
“พี่กลัวแล้วค่า อย่าทำอะไรพี่เลย ต่อไปพี่จะไม่ขัดใจข้าวต้มแล้ว”
“ดีมาก หึๆ”
แจ๊วคุกเข่า ยอมศิโรราบ พีระกับข้าวต้มยิ้มให้กัน แท็กมือกัน
“จะได้หมดปัญหา”
ในห้องทำงานเมสินี...เอมี่มองที่รูปพีระ แล้ววางลง
“ไม่รู้จักค่ะ”
เมสินีกับยุทธแปลกใจ
“แน่ใจเหรอ”
“หน้าคุ้นๆ แต่จำไม่ได้ค่ะ...เกี่ยวอะไรกับน้ำมนต์เหรอคะ”
เมสินีเก็บรูป เปลี่ยนเรื่อง
“ช่วงนี้...น้ำมนต์มีแฟนหรือเปล่า”
“อืม...ไม่มีนะคะ มีนายอัฐชัยตามจีบ แต่ก็ไม่เห็นลงเอยกันซะที”
“น้ำมนต์อาจมีแฟนคนอื่นข้างนอกมหาลัยก็ได้...เคยเห็นน้ำมนต์แอบโทรศัพท์หาใคร หรือแอบไปพบใคร เป็นพิเศษหรือเปล่า”
“เท่าที่เห็น ไม่มีนะคะ ไม่เคยมีใครพูดให้ฟังด้วยเรื่องแฟนน้ำมนต์”
“เป็นไปได้ยังไง” ยุทธไม่อยากจะเชื่อ
“น้ำมนต์แกตั้งใจจะทำงานสร้างเนื้อตัวค่ะ แกต้องเลี้ยงน้องชาย ก็เลยไม่คิดเรื่องแฟน...” เอมี่ทำเป็นรู้ทัน แซว “คุณยุทธแอบปิ๊งน้ำมนต์ล่ะสิท่า”
“หา...” ยุทธงง
“ถึงได้ถามแต่เรื่องแฟนของน้ำมนต์ ใช่มั้ยคะ”
เมสินีรับสมอ้าง
“ใช่เลยค่ะ...เก็บอาการไม่อยู่สินะยุทธฮะๆ”
คุณผีที่รัก ตอนที่ 5 (ต่อ)
เมสินีกับยุทธ เดินออกมาส่งเอมี่ที่โถงหน้าสถานี
“ขอบคุณมากนะคะคุณเอมี่...แต่...ถ้ายังไง รบกวนอย่าบอกน้ำมนต์ว่าดิฉันเรียกคุณมาถามเรื่องของเขานะคะ เดี๋ยวนายยุทธจะเขินมากไปกว่านี้”
“ค่ะ”
เมสินีมองหน้าเอมี่
“ดิฉันขอถามอีกครั้ง คุณแน่ใจเหรอคะว่าน้ำมนต์ไม่ได้มีแอบคบกับใครที่ไหนอยู่”
“แน่ค่ะ” เอมี่ยิ้ม
“ขอบคุณมากนะคะที่มา”
เอมี่ล่ำลาแล้วแยกออกไป เมสินีกับยุทธเปลี่ยนสีหน้ามาเครียดทันที
“ทำไมคุณไม่ถามให้ชัดๆไปเลยเรื่องคุณพีท”
“จะถามให้ชัดเจนแล้วถูกสงสัยหรือไงล่ะ...” เมสินีครุ่นคิด “เอมี่กับพรรคพวกไม่มีใครรู้เรื่องนายพีทเลย คงจะมีแค่น้ำมนต์คนเดียวเท่านั้นที่รู้”
“แล้วจะเอาไงต่อดีครับ”
“ฉันต้องการข้อมูลทุกอย่างของน้ำมนต์ รวมถึงของพวกเพื่อนๆในแก็งของน้ำมนต์ทุกคนด้วย...มันจะต้องมีจุดอ่อนที่ฉันจะใช้ประโยชน์จากมันได้”
เมสินีเครียด กำลังจะเดินไป แต่อยู่ๆเอมี่วิ่งกลับเข้ามาตะโกนเรียก
“คุณเมคะๆ”
“มีอะไร”
“ดิฉันเพิ่งนึกได้ แต่ไม่ทราบจะมีประโยชน์หรือเปล่า เรื่องคน...ไม่สิ...เอ่อ...ผู้ชายที่น้ำมนต์คบๆอยู่...เมื่อกี้โทรไปถามลูกโป่งเพื่อนของน้ำมนต์มาค่ะ เขาบอกว่าตอนนี้น้ำมนต์กำลังคบอยู่กับ...ผี”
“ผี...” เมสินีกับยุทธอึ้ง
“ฟังดูแปลกนะคะ...เห็นว่าผีตนนี้ตามตื๊อน้ำมนต์มาสักพักแล้ว รู้สึกเขาจะชื่อ...พีระ”
“ว่าไงนะ” เมสินีกับยุทธชะงัก
“ชื่อพีระค่ะ”
เมสินีอึ้ง ช็อก
น้ำมนต์เดินกลับไปกลับมา คิดไม่ออก แล้วก็หันมาเตะกระสอบทราย ปัง พีระมานั่งดูอยู่
“เป็นไรคุณ มีไรให้ผมช่วยมั้ย”
น้ำมนต์ไม่พูดไม่จาเตะกระสอบทรายไปเรื่อย
“เห็นผมบ้าๆบอๆอย่างนี้ แต่ผมมีดีข้างในนะครับ อย่าดูถูกมันสมองผม”
น้ำมนต์หันกลับมาจ้อง
“ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าวันนี้อย่ายุ่งกับฉัน”
“ก็...เห็นคุณเครียด ผมเครียดแทน”
“อย่ายุ่งกับฉัน”
น้ำมนต์เข้ามาไล่เตะ พีระกระโจนถอยหลบ
“คิดบทละครไม่ออกใช่มั้ย ผมช่วยได้นะ”
“ไม่ต้องยุ่ง” น้ำมนต์ไล่ชก
“ผมว่าสมองคุณตันแล้ว คิดอะไรไม่ออกหรอก ไปนอนพักเอาแรงสักงีบไป”
“ไม่ ฉันจะไม่นอนจนกว่าจะคิดได้ ละครเวทีเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่กิจกรรมนักศึกษา แต่นี่คือโอกาสแสดงความสามารถ...ฉันจะได้ปล่อยของในเขียนบทละครที่จะเขียน มันจะเป็นใบเบิกทางให้พวกรุ่นพี่ที่ทำงานในวงการเห็นความสามารถของฉัน เขาอาจชวนฉันไปเขียนบทละครโทรทัศน์หรือบทหนัง ฉันจะได้มีงานทำทันทีที่เรียนจบ”
“คุณนี่ หายใจเข้าออกเป็นงาน เป็นเงิน แล้วก็น้องชาย แค่นี้จริงๆ”
“ก็ชีวิตฉันมีแค่ข้าวต้มคนเดียวนี่”
“โอเค งั้นผมจะช่วยคุณ”
พีระคว้ามือน้ำมนต์ แล้วลากออกไป
“เจตนาคุณดี แต่วิธีการไม่ใช่ ความเครียดไม่ช่วยให้เราสร้างสรรค์อะไรได้หรอก คุณจะต้องไปพักผ่อนสมอง เปลี่ยนบรรยากาศและหาแรงบันดาลใจเพิ่ม...ไป”
พีระลากน้ำมนต์ออกมาด้านนอก
“นายจะทำอะไร”
“คุณจมปลักอยู่กับความคิดเดิมๆไป ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา เดินเล่นสักหน่อย เปิดหูเปิดตา ให้สมองได้สูดออกซิเจน เดี๋ยวความคิดจะมาเอง”
“ฉันไม่เห็นคิดอะไรได้เลย”
“ใจเย็นๆสิ”
“ก็...”
“เงียบ...หลับตา”
“หลับทำไม”
“หลับ”
พีระจับให้หลับ น้ำมนต์หลับตาลง
“หลับแล้วๆ”
“นิ่งๆ เงียบๆ”
พีระอ้อมไปด้านหลัง บีบขมับนวดให้เบาๆ
“อย่าหงุดหงิด อย่าขมวดคิ้ว อย่าชักสีหน้า ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ปล่อยสมองโล่งๆ”
น้ำมนต์ผ่อนคลายมากขึ้น ไม่ตึงเครียด
“เอาล่ะ ถ้ารู้สึกผ่อนคลายแล้ว ลืมตา”
น้ำมนต์ลืมตา พีระยิ้หวานรออยู่ น้ำมนต์รู้สึกแปลกๆ วาบหวาม พีระเห็นรถตู้โดยสารแล่นมาจอด เขาคิดอะไรได้ ลากน้ำมนต์ไปที่ขึ้นรถ
“อะไร จะพาฉันไปไหน”
“ไปนั่งรถเล่น หาแรงบันดาลใจใหม่ๆ...ขึ้นไป”
“แต่...”
“เชื่อผมสิ”
พีระกับน้ำมนต์ขึ้นรถไป
“ถ้าฉันคิดไม่ออก ฉันจะโทษนายคนเดียว”
ประตูปิด รถตู้แล่นออกไป ไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
โถงด้านหน้า สถานีพราวด์...เมสินีลงนั่งข้างๆเอมี่
“น้ำมนต์คบกับผีที่ชื่อพีระงั้นเหรอคะ”
“ค่ะ เพื่อนๆน้ำมนต์บอกมาอย่างนั้น มันแปลกๆนะไม่รู้ว่าเป็นแค่มุกอำกันเล่นระหว่างเพื่อนๆหรือเปล่า ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ”
ยุทธชี้ที่รูป
“แต่ผีตัวนั้นชื่อพีระและหน้าตาอย่างนี้ใช่มั้ยครับ”
“ดิฉันไม่เคยเห็นเขาค่ะ รู้แต่ชื่อพีระ”
“โธ่...” ยุทธฮึดฮัด
เมสินีกลัวเอมี่สงสัย รีบแกล้งปลอบใจยุทธ
“โถ ไม่เป็นไรน่ะยุทธ ถ้าเธอชอบน้ำมนต์จริง เธอต้องสู้นะ”
ยุทธงง รับมุกไป
“เอ่อ ครับ ผมจะสู้”
“ดิฉันจะเอาใจช่วยนะคะ”
เอมี่ยิ้มแย้ม ไม่รู้ตัวว่าถูกหลอกถามข้อมูล
เมสินีเดินฉับๆออกมาที่ด้านนอก มีพนักงานเอารถมารอไว้อยู่แล้ว ยุทธรีบตาม
“คุณเมจะไปไหนครับ ไม่ได้ยินที่คุณเอมี่บอกเหรอครับ คุณพีทตายแล้ว”
“เอาอะไรมายืนยันว่าเป็นนายพีท”
“ก็เขาบอกว่าชื่อพีระ”
“คนชื่อพีระในประเทศนี้มีกี่คน...แล้วยัยเอมี่ก็ไม่ได้เห็นหน้านายพีทกับตา จะให้ฉันปักใจเชื่อว่าเป็นคนๆเดียวกันเหรอ”
“ก็...มีผีชื่อพีระตามน้ำมนต์ แล้วน้ำมนต์ก็เป็นคนเอารูปนายพีทมาเดินตามหา มันก็ชัดเจนแล้วนะครับ”
“ยังไม่ชัด ถ้าจะให้ชัดก็ไปหาศพนายพีทมา หรือไม่ ก็ไปเอาวิญญาณมันมาให้ฉันดู ฉันถึงจะเชื่อ”
“มันต้องขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“ใช่ มันต้องขนาดนั้น”
“ได้ครับ งั้นผมจะเอาวิญญาณคุณพีทมาให้คุณดู”
เมสินีแปลกใจ ยุทธเปิดประตูรถให้
“เชิญครับ”
บริเวณวัดเก่าของจังหวัดอยุธยา...น้ำมนต์กับพีระเดินเข้ามาอยู่ที่บริเวณนั้น
“ฉันมาถึงอยุธยาเพื่ออะไรเนี่ย”
“อ้าว คิดในแง่ดีสิคุณ...คุณกำลังคิดโครงเรื่องละครเวทีย้อนยุคไม่ใช่เหรอ นี่ไง” พีระชี้ตัวเอง “ธรรมะเลยจัดสรรให้คุณได้มาที่นี่”
“ธรรมะเหรอ ฉันว่ากรรมมากกว่า”
“อ้าว”
“นายไม่รู้หรอกว่าสถานที่อย่างนี้ อุดมไปด้วยอะไรบ้าง ฉันไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยิน”
“โธ่ คุณ นี่กลางวันแสกๆ ผีที่ไหนจะออกมา”
“แล้วตัวที่ยืนอยู่นี่คืออะไร”
“ก็ผมไม่ใช่ผี เป็นวิญญาณบริสุทธิ์ รอวันกลับเข้าร่างอีกครั้ง”
“มันก็ผีเหมือนกันนั่นแหละ...ไป กลับ”
“เดี๋ยวๆ ไหนๆก็มาแล้ว เชื่อผมสิว่าบรรยากาศที่นี่ จะช่วยให้คุณคิดโครงเรื่องละครออกแน่ๆ”
“แต่ฉันไม่อยากเจอผ...”
น้ำมนต์พูดไม่ทันขาดคำ ลุงขายลอตเตอรี่หน้าตาถมึงทึงโผล่มาจากด้านหลังพีระ น้ำมนต์ไม่ทันตั้งตัว พอเห็นหน้าลุงก็ร้องลั่น
“ผี...”
น้ำมนต์วิ่งหนีไป ลุงงงๆ
“แค่จะขายลอตเตอรี่ ทำไมต้องด่าด้วย”
“ยัยเพี้ยนเอ๊ย” พีระขำๆ
น้ำมนต์วิ่งหนีมาอีกด้าน แต่พีระโผล่มาดักหน้าเอาไว้ แกล้งแหกปากหลอกให้ตกใจ
“แฮ่”
“ว้าก”
น้ำมนต์ตกใจ เหวี่ยงหมัดเข้าหน้าพีระเต็มๆ
“โอ๊ย”
น้ำมนต์ตั้งสติ มอง
“อ้าว นี่นายเองเหรอ”
“โอย ผู้หญิงอะไรหมัดหนักชะมัด”
“สมน้ำหน้า อยากแกล้งฉันดีนัก แหม่ ฉันนี่เก่งจริงๆ จัดการผีร้ายได้ในหมัดเดียว เอ้า ลุกขึ้นมาสิ จะสำออยอีกนานมั้ย”
พีระจะลุก แต่เจ็บแผลเก่าที่หลัง ลุกไม่ไหว
“ผม...ลุกไม่ไหว”
“เอาอีกหมัดมั้ย จะได้ลุกขึ้น”
“ผมลุกไม่ขึ้นจริงๆ”
น้ำมนต์ไม่เชื่อ
“เหรอ งั้นเชิญนั่งไปเถอะ”
น้ำมนต์เชิด เดินแยกไป ทิ้งพีระนั่งอยู่อย่างนั้น พีระมองตามด้วยสายตาว่าจะทิ้งไปจริงๆเหรอ
“คุณ เดี๋ยว”
ข้างทางละแวกบ้านน้ำมนต์...อัฐชัยยืนพิงรถรอใครสักคนอยู่ สักพัก แจ๊วรีบเข้ามาหา
“น้ำมนต์เป็นไงบ้าง รายงานมาให้ละเอียด”
“คุณอัฐหลอกแจ๊ว...จริงๆแล้วคุณน้ำมนต์กับข้าวต้ม ไม่ได้มีเพื่อนในจินตนาการอะไรเลย”
“เธอรู้แล้วเหรอ...ก็แค่ผี ไม่ต้องกลัวหรอกน่า”
“ผี...ผีอะไรคะ” แจ๊วชะงัก
“อ้าว แล้วเธอเจออะไรมาล่ะ”
“เจอน้องข้าวต้มค่ะ จริงๆแล้วน้องข้าวต้มเป็นเด็กมีพลังจิต...ใช้พลังจิตทำให้ตัวเองลอยได้ หรือข้าวของอะไรก็บังคับได้หมดทุกอย่างเลยค่ะ”
“หา...ข้าวต้มมีพลังจิต”
“มันน่ากลัวมาก ถ้าเกิดแจ๊วไปทำอะไรไม่ถูกใจ จนน้องข้าวต้มโมโห ขาดสติ มีหวังแจ๊วตายแน่ๆ...แจ๊วขอถอนตัวจากงานนี้นะคะ”
“ไม่ได้...จะถอนไม่ได้ เธอต้องอยู่คอยรายงานความเป็นไปของน้ำมนต์ให้ฉัน”
“แต่มันไม่คุ้มกันเลยที่จะเอาชีวิตมาเสี่ยง”
“วันละห้าร้อยบาทถ้วน”
แจ๊วเปลี่ยนทันที
“ด้วยความยินดีค่ะ...แจ๊วรักคุณอัฐมากกว่า ต่อให้บุกน้ำลุยไฟแจ๊วก็ทำเพื่อคุณอัฐได้”
อัฐชัยเซ็ง ระอา
“แล้วตอนนี้น้ำมนต์อยู่บ้านคิดบทละครอยู่ใช่มั้ย”
“ไม่อยู่ค่ะ”
อัฐชัยอึ้ง ที่น้ำมนต์ไม่อยู่บ้าน
ร้านกาแฟเจ๊แมว...อัฐชัยเข้ามาหาพิมพ์ดาวที่นั่งเล่นมือถืออยู่
“โทรหาน้ำมนต์ให้ฉันหน่อย”
“อะไร” พิมพ์ดาวงง
“ฉันอยากรู้ว่าน้ำมนต์อยู่ที่ไหน...”
อัฐชัยดึงมือถือพิมพ์ดาวมาแล้วยื่นให้
“โทร”
“จะใช้มือถือฉัน ยังจะให้ฉันโทรอีก แกก็โทรเองดิ”
“ฉันงอนน้ำมนต์อยู่ โทรไม่ได้”
“งอนแล้วจะโทรไปเพื่อ”
“แจ๊วบอกว่าน้ำมนต์กลับมาแล้วออกไปไหนก็ไม่รู้คนเดียว ฉันกลัวว่าน้ำมนต์จะถูกผีพีระหลอกไป..โทรเร็วๆ”
อัฐชัยกดเบอร์โทรให้ แล้วกดสปีกเกอร์
“เอ้า ฉันกดเบอร์ให้แล้ว”
“แกอยากรู้ แกก็พูดเองสิ” พิมพ์ดาวงอนๆ
“แกนั่นแหละ”
ขณะเดียวกันนั้นมีเสียงรอสายจากมือถือดังมา
“เร็วๆ โทรติดแล้ว”
“ไม่ ฉันไม่รู้จะพูดอะไร”
“ก็แค่ถามว่า น้ำมนต์ เธออยู่ไหน แค่นี้ มันจะยากตรงไหน”
เสียงน้ำมนต์จากในโทรศัพท์ดังออกมา
“แล้วทำไมอัฐไม่พูดเอง”
“ก็ฉัน...”
อัฐชัยผงะ ชะงัก อึ้ง พิมพ์ดาวลอยหน้าลอยตา สะใจ อัฐชัยอึกอัก หาทางแถ แต่ยังฟอร์มๆ
“ก็...เอ่อ...ก็ฉันไม่ได้เป็นคนอยากโทร ยัยดาวต่างหากที่อยากโทร มันจะถามว่าเธอ ถามว่า ว่าคิดบทอะไรไปถึงไหนแล้ว ถ้าไม่คิดจะแจ้งความคืบหน้าให้รู้ ก็ควรบอกมาว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน”
“โกหกไม่เนียนก็ยังจะฟอร์มเยอะอีก”
“ว่าไง ตอนนี้อยู่ที่ไหน” อัฐชัยตะคอก
น้ำมนต์เดินอยู่อีกด้าน เซ็งๆ
“ฉันอยู่อยุธยา มาหาแรงบันดาลใจคิดบทละคร แค่นี้นะ”
น้ำมนต์วางสาย แล้วหันกลับไปมองทางที่เดินมา ไม่เห็นพีระ ชักห่วงใย...อัฐชัยวางสาย
“อยุธยา...ไอ้ผีพีระพาน้ำมนต์ไปทำอะไรที่นั่น”
พีระนั่งอยู่ที่เดิม น้ำมนต์เดินเข้ามายืนจ้อง
“ฉันทำนายเจ็บจริงๆเหรอ”
“ไม่ใช่คุณ ผมเจ็บมาก่อนจะเจอคุณแล้ว...”
พีระเปิดชายเสื้อให้ดูร่องรอยแผล
“บาดแผลสมานแล้ว แต่ยังระบมอยู่...วันนี้ที่มหาวิทยาลัย ลูกศิษย์หมอผีชูธง เอาผีมาเล่นงานผม”
น้ำมนต์ประคองพีระให้ลุกขึ้นมา
“ทำไมเขาต้องตามทำร้ายนายอีก”
“ผมก็ไม่รู้”
“หรือจะเป็นฝีมืออัฐชัย”
“ไม่ใช่หรอก ผมว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เขาคงจะไม่พอใจที่ผม...เก่งและหล่อมาก”
“ปากยังงี้ไง ถึงมีศัตรูเต็มไปหมด ทั้งตอนมีชีวิตและตอนไม่มีชีวิต”
“อ้าว”
พีระทำหน้าเครียด จริงจัง โอเว่อร์
“คุณจะให้ผมพูดจาเคร่งเครียด ทำหน้าเหมือนฉันกำลังจะตายอยู่ทุกวินาที แบบนี้ใช่มั้ย ชอบเหรอ มีความสุขใช่มั้ยที่เจอหน้าเครียดๆยังงี้”
“นายก็อย่าทำให้มันโอเว่อร์นักสิ”
พีระยังทำหน้าเครียดสุดๆมากๆ
“โอเว่อร์ยังไง เวลาเครียดก็หน้าตาบึ้งตึงยังงี้ทั้งนั้น”
“หน้านายไม่เรียกบึ้ง ต้องเรียกว่า บ้า มากกว่า”
พีระฉีกยิ้มเผล่ ทำตัวบ้า
“บ้าเหยอ”
น้ำมนต์หัวเราะขำ ตลกในความเป็นพีระ
“ปัญญาอ่อนที่สุด”
พีระยิ้มที่เห็นน้ำมนต์ยิ้มออกมาได้
“ไป...ไปเดินเล่นกัน เดินไปคิดไป บรรยากาศเป็นใจ เราสองคนจะได้...”
น้ำมนต์จ้องหน้า
“อย่ามาทะลึ่งนะ”
“จะได้คิดบทละครเวทีของคุณออกน่ะสิ...ไป”
พีระคว้ามือน้ำมนต์แล้วลากไปเลย
อัฐชัยคว้ามือพิมพ์ดาวลากเข้ามาที่รถซึ่งจอดอยู่
“อัฐชัย...แกจะไปหาน้ำมนต์เจอได้ยังไง อยุธยาไม่ใช่ตลาดนัดหน้าวัดนะจะได้หาเจอง่ายๆ ฉันว่าแกเสียเวลาเปล่าแน่นอน”
“ฉันรู้ ฉันถึงให้แกมาด้วยไง”
“หือ” พิมพ์ดาวชะงัก
“ให้แกไปด้วย พอไปถึงแถวนั้น แกก็ต้องโทรถามน้ำมนต์ว่าอยู่ไหน เราจะได้ไปช่วยน้ำมนต์ได้ถูกไง...เข้าใจหรือยัง”
“เออ ใช่สิ ฉันก็มีหน้าที่แค่นี้แหละ”
“อย่าเยอะ ขึ้นรถ”
อัฐชัยผลักพิมพ์ดาวขึ้นรถไป
บริเวณอุทยาน เขตโบราณสถาน...พีระกับน้ำมนต์เดินอยู่ด้วยกันในบริเวณโบราณสถาน น้ำมนต์เดินก้มๆหน้า เพราะกลัวจะมองไปเห็นวิญญาณ ท่าทางสยองๆ
“เดินดีๆสิคุณ เดี๋ยวก็ชนอะไรเข้าหรอก”
“ก็ฉันกลัว...ที่นี่...รู้ๆกันอยู่ แล้วฉันก็มีเซ้นซ์ ฉันไม่อยากเห็น นายไม่เป็นฉัน ไม่เข้าใจหรอก”
“ถ้าคุณกลัวผี ทำไมไม่กลัวผม”
“ก็นาย...”
พีระดักคอ กะล่อน
“น่ารักใช่มั้ยล่ะ”
“แหวะ นายมันกวนประสาท มันเกินคำว่ากลัวไปเป็นเกลียดแล้ว”
“หรา...เอาน่า ดีแล้วที่คุณรู้สึกกลัว เพราะมันจะทำให้คุณเขียนบทละครผีได้เข้าถึงอารมณ์มากขึ้น”
“ฉันไม่ได้อยากเข้าถึงมากขนาดหัวโกร๋น”
“อ้าว ไหนว่าละครเวทีครั้งนี้จะเป็นใบเบิกทางไปสู่อาชีพในอนาคตไม่ใช่เหรอ ทุ่มเทแค่นี้ไม่ได้เหรอ”
“ฉันทุ่มเทได้ แต่นี่ฉันอยู่คนเดียว ถ้าสมมติมีคนหรืออะไรที่ไม่ใช่คนจะมาทำร้าย ฉันจะทำยังไง”
“จะกลัวอะไร ยังไงผมก็ต้องปกป้องคุณอยู่แล้ว”
น้ำมนต์มองหน้า ซึ้งใจ พูดจริงๆเหรอ แต่แล้วอยู่ๆพีระแกล้งทำเป็นเห็นอะไรบางอย่าง ร้องเสียงดัง แล้ววิ่งหนี
“เฮ้ย...”
น้ำมนต์ตกใจ เลิ่กลั่ก มองไปรอบๆ
“อะไรๆ นายเห็นตัวอะไร”
แต่แล้วพีระชะงัก หันกลับมาหัวเราะน้ำมนต์ที่ตกใจกลัว
“ผมล้อเล่น ฮ่าๆ”
“ไอ้ผีบ้า...นายมัน มันสมควรตายจริงๆ”
น้ำมนต์วิ่งไล่เตะ
“ฉันจะฆ่านายอีกรอบเอง”
พีระวิ่งหนีมาที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ร่มรื่น วิ่งวนรอบๆ น้ำมนต์ไล่ตาม ท่าทางของเธอเหนื่อยมาก ในขณะที่พีระชิลๆสบายๆ สักพัก เขาก็หยุดวิ่ง น้ำมนต์หอบจนตัวโยน
“หมดแรงแล้วใช่มั้ย หน้าซีดเชียว...มา...ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้เตะนาย ฉันยอมเจอผีหลอกเลย”
น้ำมนต์จะเตะ แต่เซแซ่ดถอยไปเอง ทรุดลงไปนั่ง พีระขำๆแล้วทิ้งตัวลงนั่งสบายๆ
“หึๆ แหม เวลาไล่เตะผม ไม่เห็นกลัวผีเลยนะ”
“ก็...”
“ถ้าเราไม่ไปคิดถึง เอาใจไปจดจ่อกับสิ่งอื่น มันก็ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก”
น้ำมนต์หมั่นไส้ แต่ก็ผ่อนคลายขึ้น ทิ้งตัวนอนพัก
“นายมันผีเจ้าเล่ห์ กวนประสาทที่สุด”
“เอ้า ผมอุตส่าห์ช่วยคิดงานให้คุณนะ...ผมมีไอเดียบทละครจะมาเสนอ รับรองเจ๋งสุดๆ”
“เจ๋ง...เจ๊งกะบ๊งน่ะสิไม่ว่า”
“ฟังก่อนสิ ต้องเป็นละครผีย้อนยุคใช่มั้ย ผมว่าให้เป็นเรื่องที่เกิดในสมัยกรุงศรีอยุธยา”
คุณผีที่รัก ตอนที่ 5 (ต่อ)
ภาพในจินตนาการเป็นภาพเรือนเจ้าคุณบ้านเรือนไทย ทาสสาวคนหนึ่งถูกมัดมือห้อยอยู่
ทันใด ก็มีหวายฟาดลงที่กลางหลัง ทาสสาวร้องลั่น ทาสสาวคนนั้นคือน้ำมนต์นั่นเอง
“โอ๊ย...ท่านเจ้าคุณขา บ่าวผิดไปแล้ว ให้อภัยบ่าวด้วยเถอะค่า”
ท่านเจ้าคุณติดหนวดหน้าเข็ม คือ พีระ นั่งเอนหลังดูการเฆี่ยนอยู่
“นังทาสไม่รักดี เลี้ยงเสียข้าวสุก ความในเรือนข้า เอ็งกล้านำไปเผยแพร่ได้เช่นไร...เฆี่ยนมันอีก”
“โอ๊ย...เพราะบ่าวไม่อยากให้ท่านเจ้าคุณทำผิด สิ่งที่ท่านเจ้าคุณทำมันจะเป็นบาปติดตัวไปจนตาย บ่าวรักท่านเจ้าคุณนะคะ”
“เอ็งกล้าดียังไงมาสารภาพรักข้า นังไม่เจียมกะลาหัว...เฆี่ยนมัน”
สาวๆของท่านเจ้าคุณหลายคน สวยๆทั้งนั้นวิ่งเข้ามารายล้อม
“คนอย่างข้าไม่ต้องให้ทาสอย่างเอ็งมาสั่งสอน เพราะข้ามีคนของข้าอยู่แล้ว”
น้ำมนต์ฟังเรื่องที่พีระจินตนาการขึ้นมาแล้วสงสัย
“เดี๋ยวนะๆ”
น้ำมนต์ข้องใจ พลิกตัวมาเท้าคางนอนคุยกับพีระ
“เดี๋ยวนะๆ ทำไมท่านเจ้าคุณต้องมีผู้หญิงเยอะแยะอย่างนั้นด้วย แล้วคำพูดคำจาของท่านเจ้าคุณ ทำไมต้องเสร่อเหมือนนายด้วย”
“อ้าว เป็นพระเอกเจ้าเสน่ห์ก็อย่างนี้ทั้งนั้น ต้องมีสาวเยอะ ต้องพูดจาให้มันเคลิ้มๆชวนฝัน”
“ไม่เอา แหวะ พระเอกอย่างนี้ใครจะไปอยากดู”
“แล้วต้องพระเอกแบบไหนไม่ทราบ”
“ก็ต้องแบบ...”
ภาพในจินตนาการ...ค่ำคืนนั้น ฟ้าผ่าเปรี้ยงๆท้องฟ้าที่ดำสนิทถูกผ่าแยกเป็นรอยแตก ลมพัดแรง ใบไม้ปลิว บรรยากาศวังเวง เท้าของหญิงสาวคนนึ่งก้าวเข้ามา คือน้ำมนต์ในคราบสาวสวย ดวงตาคม ในชุดโอเวอร์โค้ตสีดำ เดินมาหยุดยืนมาดสง่า ห้าวหาญ เข้มแข็ง แล้วทันใดนั้นเธอหันขวับไป เพราะได้ยินเสียงผู้ชายร้องขอความช่วยเหลือดังมาแต่ไกล
“ช่วยด้วย”
พีระในบทบาทชาวบ้านผู้อ่อนแอ กำลังวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ล้มลุกคลุกคลาน แล้วต้องผงะ เพราะมีผีดิบร้ายชายยืนขวางหน้า พีระจะถอยหนี ก็มีผีดิบชายมาล้อมทุกด้าน มันทุกตัวแยกเขี้ยวคมกริบ
“อย่าเข้ามานะ...อย่า”
แต่แล้ว พวกผีดิบร้ายก็แยกเขี้ยว พุ่งเข้าจะกัดกินเลือดของพีระ แต่อยู่ๆมีเสียงฉึ่บ ผีดิบชายตัวหนึ่งถูกหน้าไม้สีชมพูปักเข้าที่กลางหน้าอก มันผวาเฮือก ลมหายใจสุดท้าย แล้วล้มตึงไป ทุกคนผงะ หันไปมองตามทิศทางที่มาของลูกดอก น้ำมนต์ยืนมาดเท่ ชายโอเวอร์โค้ตปลิวสวยงาม อยู่บนก้อนหินสูง แล้วเธอก็กระโดดตีลังกาลงมายืนที่พื้นได้อย่างสวยงาม มาดเท่ ทุกอย่างเป๊ะเว่อร์ พวกผีดิบเปลี่ยนเป้าหมายมาที่น้ำมนต์ แยกเขี้ยวใส่..แฮ่ น้ำมนต์ถือหน้าไม้เดินยิงผีดิบ ทุกดอกที่ยิงแม่นยำราวจับวาง ผีดิบล้ม สิ้นใจไปหมด ผีดิบตัวหนึ่งถูกยิงกระเด็นไปชนพีระล้มหงายไป แต่น้ำมนต์ลูกดอกหมด ผีดิบตัวสุดท้ายแยกเขี้ยวพุ่งเข้ามา น้ำมนต์พลิกตัวหลบ พร้อมกับก้มหยิบมีดสีชมพูที่ซ่อนเอาไว้ที่รองเท้าขึ้นมา ปาไปที่ผีดิบ แม่นราวจับวางเช่นเดิม ผีดิบสิ้นใจไป
พีระที่ล้มอยู่ ทึ่งในตัวน้ำมนต์ รีบคลานสี่เข่าเข้าไปหากอดขาน้ำมนต์
“โอ้ว คุณ...ขอบคุณที่ช่วยผมครับ”
พีระน้ำตาไหลพราก
“ถ้าไม่ได้คุณ ผมคงต้องตาย จะมีอะไรที่ผมตอบแทนคุณได้บ้างครับ”
“นายต้องรับใช้ เป็นทาสของฉัน”
พีระดีใจ
“ฮ้า ทาสรับใช้ ไม่มีอะไรเหมาะกับกำพืดผมเท่านั้นอีกแล้วครับ...ผมจะทำตามคำสั่งเจ้านายทุกอย่างครับ”
น้ำมนต์สั่ง พีระทำตาม
“หันซ้าย...หันขวา...ขอมือ”
พีระทำตามคำสั่งทุกอย่าง และยื่นมือให้
“เดี๋ยวๆ” พีระข้องใจลุกนั่ง ข้องใจ “ทำไมบทนางเอกเท่มาก แต่พระเอกกระจอกง่อกง่อยขนาดนั้น ไม่สมกันเลย”
น้ำมนต์ลุกตาม
“ทำไม...นางเอกจะเก่งบ้างไม่ได้เหรอ”
“โอ้โห ที่คุณเล่ามานี่ไม่เรียกบ้างแล้ว แต่มัน...เก่งเว่อร์”
“เรื่องที่นายคิดดีตายล่ะ เอะอะก็เฆี่ยน ทำร้ายร่างกาย แล้วสุดท้ายก็มารัก แหวะ ไม่เห็นจะสนุกตรงไหน”
“ถ้าพระเอกนางเอกไม่ทะเลาะกันก่อน แล้วจะรักกันได้ไง”
“พระเอกเป็นขี้ข้ากับนางเอกสูงศักดิ์ ก็กลายเป็นความรักได้ ความรักมันเกิดได้หมดแหละไม่ว่าจะแตกต่างกันแค่ไหน”
“ผมรู้...ความแตกต่างไม่ใช่อุปสรรคของความรัก คิดว่าผมไม่รู้เหรอ”
“งั้นก็อย่ามาชวนฉันทะเลาะได้มั้ย”
“ทำไม...กลัวจะรักผมเหมือนนางเอกละครหรือไง”
พีระโพล่งออกไปไม่ทันคิด น้ำมนต์ชะงัก เหวอ พีระเลยเหวอตามที่หลุดปากไป แต่แล้วน้ำมนต์ก็กลบเกลื่อนด้วยการเบ้หน้า พูดประชดไป
“โอ๊ย ใครจะรักนาย...หล่อตาย”
พีระประชดเช่นกัน
“สวย”
“หล่อ”
“สวย”
ต่างคนต่างเชิ่ดใส่กัน เชอะ แต่ในใจทั้งรู้รู้สึกวาบหวิวแปลกประหลาด
สำนักอาจารย์เทพ ยามค่ำคืน...ชาวบ้านชายที่ถูกผีเข้าแหกปากกรีดร้อง โดยที่เสียงร้องเป็นเสียงผู้หญิงแหลมสูง
อาจารย์เทพยืนจ้องหน้าชายที่ถูกผีเข้า พนมมือ บริกรรมคาถา แล้วยกเท้ากระทืบฝากระดาน...ปัง ปัง ปัง พวกชาวบ้านที่มาดูการทำพิธี ตื่นเต้น ตื่นตา ชายที่ถูกผีเข้าเงยหน้าจ้องตาอาจารย์เทพ แววตามันแข็งกร้าว ดุดัน ต่อต้าน ดื้อดึง มันไม่มีท่าทีหวั่นกลัวเลย แล้วมันก็ระเบิดหัวเราะเสียงแหลม
“ฮะๆ ไอ้กระจอก มึงทำอะไรกูไม่ได้หรอก...ไม่ได้...ไม่ได้”
“งั้นเหรอ”
อาจารย์เทพหยิบธงขึ้นมา โบกสะบัด ท่องคาถา แล้วทันใดก็จิ้มปลายยอดธงพุ่งเข้าไปที่หน้าของชายที่ถูกผีเข้า แต่ปรากฏว่า ชายที่ถูกผีเข้าเอาปากงับปลายยอดธงอาจารย์เทพเอาไว้
“ฮ่าๆ กูจะหักธงมึงให้ดู”
อาจารย์เทพยิ้มอย่างมั่นใจ บริกรรมคาถาอีกบท แล้วกระแทกแรงที่ธง
“ออกไป”
วิญญาณผีหญิงกระเด็นหลุดออกจากร่างชาวบ้านชายหงายไปในหมู่พวกชาวบ้านที่มาชมพิธี กลุ่มพวกชาวบ้านแตกตื่น ลุกฮือ แหวกออก ชายที่ถูกผีเข้าหมดสติไป เมียเข้าดูแล ผีหญิงสาวหมอบอยู่ตรงนั้น มันเงยหน้าขึ้นมา ผมยาวปรกหน้า แต่ดวงตาจ้องอำมหิต ยุทธเดินนำเมสินีเข้ามา ทั้งสองมองเหตุการณ์ เมสินีหวาดๆ
“พามาที่นี่ทำไม”
“ชู่ว์...”
ยุทธ ทำท่าบอกให้เงียบ ดูเหตุการณ์ไปก่อน เมสินีส่ายหน้าไม่เชื่อ หันจะเดินกลับออกไป
อาจารย์เทพโบกธงไปมาอีกรอบ
“ไอ้วิญญาณเร่ร่อน อวดดีนักใช่มั้ย”
อาจารย์เทพท่าทางเอาจริง ท่องคาถาพึมพำ ผีหญิงสาวชักหวั่นๆ เริ่มคลานถอยหลัง แล้วมันก็ผวาจะกระโจนหนีไป แต่เมสินีเดินมาพอดี ผีหญิงสาวพุ่งเข้าไปล็อกตัวเมสินีเอาไว้ เมสินีมองไม่เห็นผี แต่ผงะ ร่างกายหนัก หายใจไม่ออก
“อะ...อะไร...เนี่ย”
“เอาร่างมึงมาให้กู”
ผีหญิงสาวกำลังจะกลืนเข้าไปในร่างของเมสินี แต่อาจารย์เทพโบกธง ยื่นโถบรรจุวิญญาณมา
“ที่ของแกอยู่นี่...มา”
เกิดพลังดูด ผีสาวส่งเสียงครวญครางดังลั่น พยายามยื้อ เกิดลมแรง พัดจนพวกชาวบ้านแตกตื่น แต่สุดท้ายผีหญิงสาวก็ถูกดูดให้พุ่งไหลเข้าไปในโถบรรจุวิญญาณ...ทุกอย่างสงบทันที เมสินีผวาเฮือก หายใจหอบหนัก รีบสูดอากาศเข้าปอด ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เกี๊ยงส่งเสียงขึ้น
“เอ้าๆ อย่าลืมค่าครูด้วยนะครับ ส่วนใครที่ไม่อยากตกเป็นเหยื่อพวกผีเร่ร่อน บูชาตะกรุดอาจารย์เทพไปคุ้มครองได้นะครับ”
ยุทธกระซิบบอกกับเมสินี
“ผมบอกคุณแล้วไงครับว่าที่นี่ ของจริง”
อาจารย์เทพมองหน้ายุทธอย่างจำได้ แล้วหันไปสบตากับเมสินี
ยุทธกับเมสินีนั่งตรงหน้าอาจารย์เทพ ชาวบ้านคนอื่นกลับไปหมดแล้ว
“อาจารย์เทพครับ นี่ คุณเมสินี เจ้าของสถานีพราวด์ดิจิตัล เจ้านายของผมเองครับ”
อาจารย์เทพยกน้ำชาดื่ม เหล่ตามอง
“ว่ามาเลย”
“คือคุณเม มีเรื่องอยากจะปรึกษาอาจารย์สักหน่อยน่ะครับ”
เกี๊ยงยกตู้รับบริจาคค่าบำรุงสำนักมาวาง
“เชิญปรึกษาเลยครับ”
เมสินีกับยุทธดูท่าทางของเกี๊ยงก็รู้ได้ว่าจะต้องบริจาคเงินก่อน เมสินีล้วงกระเป๋า หยิบแบงก์พันใส่ตู้
“ดิฉันอยากให้อาจารย์ช่วยตามหาคนในรูปนี้”
เมสินีหยิบรูปออกมา เกี๊ยงยกกล่องบริจาคค่าน้ำไฟอีกอันมาวาง
“วางรูปบนนี้เลยครับ”
เมสินีหันมอง ยุทธทำหน้ากลืนไม่เข้า เมสินีรู้ว่าต้องบริจาคอีก เปิดกระเป๋าเงิน เอาแบงก์พันใส่ตู้ แล้ววางรูปถ่ายของพีระลงไป อาจารย์เทพมองปราดเดียวก็จำได้ เกี๊ยงโพล่งออกมาเพราะจำได้เหมือนกัน
“เฮ้ย นี่มัน...ไอ้ผีตัวนั้น”
ยุทธกับเมสินีตาโต
“อาจารย์รู้จักเหรอครับ”
“ไอ้เกี๊ยง...เอ็งอย่าซี้ซั้ว ผีตัวไหนของเอ็ง ข้าไม่เห็นจะรู้จัก”
“เอ่อ แต่นั่น...”
อาจารย์เทพถลึงตาดุ
“เอ็งจำผิดแล้ว ดูให้มันดีๆ”
เกี๊ยงเอะใจ รู้ว่าอาจารย์เทพต้องการให้โกหก
“เอ่อ...สงสัย ผมจะจำผิดจริงๆ”
เกี๊ยงยอมถอยออกไปห่างๆ เมสินีถอนใจ
“ดิฉันอยากให้คุณช่วยตามหาคนในรูปนี้...มีคนบอกว่าเขาตายแล้ว เป็นผีเร่ร่อนอยู่ ถ้าเขาเป็นผีจริง ฉันก็อยากจะเห็นวิญญาณของเขา”
“ทำไมถึงอยากเห็นวิญญาณ”
ยุทธจ้องหน้า
“คุณทำได้หรือเปล่า”
“ตอบผมก่อน” อาจารย์เทพมองเมสินี
“ดิฉันมีเหตุผลที่ไม่จำเป็นต้องบอก ทำได้หรือไม่ได้”
“ผมอาจจะไม่อยากทำก็ได้”
“ดิฉันมีเงินจ้างคุณนะ”
เมสินีเชิด ไม่ยอมลงให้หมอผีกระจอก อาจารย์เทพชักรู้สึกถูกชะตา
“ได้ ผมจะช่วยคุณ”
เมสินีเดินฉับๆออกมาที่รถ ที่จอดหน้าสำนัก
“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเธอยืนยันว่าหมอผีคนนี้เก่งจริงนะ ให้ตายฉันก็ไม่มาที่นี่แน่ แต่ถ้าไม่เก่งจริงล่ะก็น่าดู”
ยุทธอ้อน กะล่อน
“เก่งสิครับ เก่งเหมือนผมนั่นแหละ”
เมสินีสะบัดหน้าขึ้นรถไป
อาจารย์เทพกับเกี๊ยงออกมายืนมองเมสินี
“ทำไมจารย์ไม่บอกความจริงไปว่ารู้จักผีพีระล่ะครับ”
“บอกให้โง่ดิ ยัยนั่นเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์เชียวนะ เงินถุงเงินถังเดินมาหา จะปล่อยไปง่ายๆได้ไง”
“อ๋อ จารย์คิดจะสูบเงินสูบทองจากยัยเจ๊ถังทองคนนั้นนั่นเอง”
“ใช่...ได้เงิน แล้วยังได้ล้างแค้นไอ้ผีพีระด้วย มันคุ้มค่าสองต่อเลยเว้ย ฮ่าๆ”
“ถ้าไม่ใช่พระเอกคิดอย่างนี้ไม่ได้นะเนี่ย ฮ่าๆ”
อาจารย์เทพชะงัก งง
“นี่เอ็งชมหรือด่าข้าห๊ะ”
“ชมสิจารย์ เราพวกเดียวกัน จารย์เป็นพระเอก เกี๊ยงเป็นพระรอง ส่วนไอ้พีระก็เป็นผีชั่วตัวร้าย ฮ่าๆ”
“เราสองคนจะต้องกำราบตัวร้าย เพื่อปกป้องความสงบสุขของผู้คน ใช่มั้ย”
“ใช่เลยจารย์”
อาจารย์เทพกับเกี๊ยงหัวเราะสะใจ
“ไอ้พีระ เอ็งได้เจอของจริงแน่”
น้ำมนต์กำลังเดินจ้ำๆ พีระตามมา
“รอด้วยดิคุณ”
“หยุดพูดเลย...ลากฉันมาตั้งไกล แล้วไง ไหนแรงบันดาลใจ คิดอะไรได้มั้ย เสียเวลาที่สุด”
“อ้าว ผมก็ช่วยคุณเต็มที่แล้วนะ”
“แล้วนี่จะกลับยังไง คิวรถตู้ไปทางไหนล่ะเนี่ย”
น้ำมนต์เดินแยกจากพีระไปอีกด้าน แต่แล้วก็ชะงัก เพราะมองไปทางด้านหนึ่ง มีหญิงวัยป้าคนหนึ่ง ยืนมองอยู่ น้ำมนต์สบตา เพ่ง รู้สึกได้ว่าไม่ใช่คน เริ่มผงะ แววตาสั่น หันหน้าหนี แต่อยู่ๆหญิงวัยป้าคนนั้นโผล่มายืนขวางหน้าแบบประจันหน้า
“เธอมองเห็นฉัน”
น้ำมนต์ผงะ ปากสั่น ไม่กล้าตอบ
“อ๊าย...”
น้ำมนต์กรี๊ด ถอยหนี พีระเข้ามาคว้าตัวน้ำมนต์ เอาตัวเองปกป้องไว้
“อย่าเข้ามา”
“เธอ...เธอเป็นวิญญาณ เหมือนพวกเรา แต่ผู้หญิงคนนั้น ไม่ใช่”
“แล้วไง...ถ้าคุณคิดจะทำร้ายน้ำมนต์ เลิกคิดได้เลย ผมไม่ปล่อยให้คุณทำน้ำมนต์เด็ดขาด”
พีระจะพาน้ำมนต์ถอยหนีไป แต่พอหันมาอีกด้าน ทั้งคู่ก็ผงะ เพราะมีผีชาย-หญิงชาวบ้านวัยลุงวัยป้าโผล่มาจากด้านต่างๆทุกด้าน น้ำมนต์กับพีระผงะ ก้าวเท้าไม่ออก
“พีระ...”
พีระโวยวาย
“ไอ้พวกผีหมู่...นี่คิดจะรุมกันเหรอ ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าพวกแกไม่ถอยไป อย่าหาว่าไม่เตือน หนึ่ง”
พวกผียังนิ่ง ขยับเข้ามา
“สอง...”
พวกผียังนิ่ง ขยับเข้ามา
“สาม...”
พวกผีนิ่ง รอ พีระนิ่ง น้ำมนต์รีบบอก
“สามแล้ว ไปลุยสิ”
“ลุยบ้าอะไร สามแล้วก็ต้องหนีสิคร้าบ”
พีระคว้ามือน้ำมนต์พาวิ่งหนี ฝ่าวงล้อมออกไป พวกผีตาม
“เดี๋ยว...”
พีระกับน้ำมนต์วิ่งหนีมา วิ่งขึ้นไปบนสะพานข้ามแม่น้ำ แต่แล้วต้องชะงัก เพราะมีผีลุง 3 ตนมาขวางหน้าอีกฟากของสะพาน น้ำมนต์หน้าตื่น
“ว้าย”
“ถอยไปนะลุง ผมจะนับหนึ่งถึงสาม ไม่งั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน” พีระขู่
“ถ้าจะนับแล้ววิ่งหนีอีกไม่ต้องนับเลย” น้ำมนต์โวย
“ก็อย่าไปบอกเขาสิ”
พีระกับน้ำมนต์จะถอยกลับ แต่ก็มีผีป้าอีก 4-5 ตนตามมาปิดล้อมเอาไว้อีกด้าน
“ฟังพวกเราก่อน”
“ถอยออกไป” พีระตวาด
ผีลุงมองน้ำมนต์
“เรามีเรื่องอยากให้พวกเธอช่วย โดยเฉพาะเธอ”
พีระรีบปกป้องน้ำมนต์ไว้
“อย่ายุ่งกับน้ำมนต์”
“เธอยังมีลมหายใจ แต่เห็นพวกเราได้...เราอยากให้เธอช่วย” ผีลุงขอร้อง
ผีป้าหันมาขอร้องน้ำมนต์อีกคน
“ช่วยไปบอกเมียของตาคำที...ว่าตาคำรู้ทุกอย่างที่พวกเขาทำหมดแล้ว ถ้าไม่อยากถูกตาคำฆ่าตาย ให้พวกเขากลับใจซะ”
“ตาคำ...ใคร...แล้วเขาจะฆ่าใคร” พีระงงๆ
น้ำมนต์ได้ยินที่พีระพูด
“ใครจะฆ่าใคร ฉันได้ยินพวกวิญญาณอื่นไม่ถนัด...หรือว่า พวกเขาจะฆ่าเรา”
“ไม่ใช่ แต่หมายถึงคนอื่น...ใช่มั้ยครับ”
อยู่ๆมีผีลุงอีกตนวิ่งกระหืดกระหอบมา
“พวกเอ็ง แย่แล้ว...ตาคำ...ตาคำมันกำลังจะฆ่าเมียมันแล้ว”
พวกผีลุงป้าตกใจกันหมด เรื่องใหญ่มาก รีบแยกย้ายกันไปช่วยเหลือ พีระกับน้ำมนต์งง
“นี่มันเรื่องอะไร” พีระพึมพำ
บนถนนทางหลวงยามค่ำคืน แสงไฟจากเสาส่องเป็นระยะ มีรถคันหนึ่งแล่นมา คนขับคือเด็กหนุ่มลูกเลี้ยงและแม่วัยกลางคน ทั้งสองคนเป็นเมียและลูกเลี้ยงของผีตาคำกำลังหัวเราะมีความสุข
“ผมขอรถสปอร์ตคัน คอนโดในกรุงเทพอีกห้อง ผู้หญิงที่กล้าทิ้งผมไปมันจะต้องเสียดาย ฮ่าๆๆ”
“แม่จะไปทัวร์ต่างประเทศ อเมริกา ฝรั่งเศส แม่จะไปช็อปปิ้ง ใช้เงินให้อีนังพวกที่ชอบนินทาหุบปากให้หมด ฮ่าๆ”
แต่แล้วปรากฏร่าง ผีตาคำ ยืนขวางถนนอยู่ในแสงไฟสีส้มส่องถนน ลูกเลี้ยงเพ่งตามอง พอเห็นแน่ว่ามีคนยืน ก็เหยียบเบรกรถ
“เอ้ย”
รถเบรคเอี๊ยด เมียตาคำหน้าคะมำ
“แกจะเบรกทำไม”
“ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้มายืนขวางถนน”
“ไหน”
ลูกเลี้ยงกับเมียตาคำมองไปด้านหน้ารถ ด้านข้างรถ ก็ไม่พบว่ามีใครอยู่
“อ้าว ก็เมื่อกี้...”
เมียตาคำดุ ตี
“แกนี่ท่าจะเพี้ยน ตาฝาด ไปๆ”
ลูกเลี้ยงงงๆออกรถไปต่อ ผีตาคำนั่งอยู่เบาะด้านหลังในรถเรียบร้อยแล้ว ผีตาคำเสียใจ ทั้งรักทั้งแค้น
“พวกเอ็งทำอย่างนี้กับข้าได้ยังไง...ทำไม...ทำไม”
เมียตาคำกำชับลูกเลี้ยง
“แล้วแกก็หุบปากให้เงียบ อย่าพูดเรื่องนี้ไปกับใคร เข้าใจมั้ย”
“แม่เตือนตัวเองเถอะ ยิ่งขี้เม้าท์อยู่ ระวังจะไปหลุดปากเม้าท์ว่าวางแผนฆ่าผัวตัวเองเพื่อเอาเงินมรดก...ลูกเลี้ยงอย่างผมจะซวยไปด้วย”
“ฉันไมโง่อย่างนั้นหรอก”
“ผมก็ไม่โง่เหมือนกัน”
“คนโง่มีคนเดียว คือ พ่อเลี้ยงเอ็งนั่นแหละ ฮ่าๆ ตายๆไปได้ก็ดี”
ผีตาคำหน้าสลด
“พวกเอ็งวางแผนฆ่าข้า ทำได้ยังไง ทำได้ยังไง”
ผีตาคำจากเศร้าเสียใจ กลายเป็นโกรธแค้น
“พวกเอ็งต้องชดใช้”
พวกผีลุงผีป้ามาออกันอยู่ที่ริมถนนอีกด้านหนึ่ง ทุกคนตื่นเต้น กระวนกระวาย จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะช่วยยับยั้งผีตาคำยังไง เกี่ยงกันไปมา เสียงดังอื้ออึง วุ่นวายๆ
“เอ็งไม่ห้ามมันล่ะ / เอ็งก็ห้ามสิ / ข้าแก่กว่าเอ็งนะเว้ย ไม่สงสารคนแก่เหรอวะ...”
พีระกับน้ำมนต์ตามมาดูเหตุการณ์ห่างๆ แปลกใจ เกิดอะไรขึ้น
“พวกเขาเป็นอะไร เขาพูดอะไรกัน นายอธิบายฉันหน่อยสิ”
อยู่ๆผีป้าตนหนึ่งหันมาเห็นพีระ ชี้และตะโกนพรรคพวก
“นั่น ตานั่นหนุ่มที่สุด”
พวกผีลุงผีป้าเลยแว่บมาโผล่รุมล้อมพีระ ตื้อให้พีระไปยับยั้งผีตาคำ ผีลุง-ผีป้าพูดพร้อมกัน เสียงดังอื้ออึง
“เธอต้องไปห้ามตาคำ อย่าให้มันฆ่าคน / ช่วยเพื่อนเราด้วย อย่าให้เขาทำบาปมากไปกว่านี้ / ถึงเมียมันจะทำไม่ถูก แต่มันก็ไม่ควรตายอย่างนี้ / ไปห้ามตาคำเร็วๆ...”
พีระยังงงไม่หาย
“เดี๋ยวๆ นี่มันเรื่องอะไรครับ ผมงง”
ผีป้ากำลังจะอธิบาย แต่อยู่ๆผีลุงอีกตนก็ร้องขึ้นมา
“รถมาแล้ว”
ลูกเลี้ยงยังขับรถท่าทางสบายใจ ผีตาคำแค้นมาก เอื้อมมือมาจากด้านหลัง บีบคอลูกเลี้ยง ดึงให้แน่นไปกับเบาะ ลูกเลี้ยงหายใจไม่ออก
“โอ๊ย อ๊อก...”
เมียตาคำตกใจ
“เป็นไร”
“อยู่ๆก็...หายใจไม่ออก...โอ๊ย”
“เป็นอะไรของแก”
ลูกเลี้ยงมองกระจกมองหลัง แล้วเห็นว่าผีตาคำนั่งบีบคอตัวเองอยู่ ยิ่งตกใจ
“พ่อ”
ลูกเลี้ยงขวัญผวา รถถึงกับแฉลบโฉบเป๋ไป
“พ่ออะไร...แกอย่ามาเหลวไหลนะ”
เมียตาคำเริ่มขวัญเสียไปด้วย ลูกเลี้ยงยังหายใจไม่ออก ขับรถส่ายไปมา
ริมถนนอีกด้าน พวกผีป้าพยายามคะยั้นคะยอพีระให้ออกไปห้าม แต่พีระไม่ยอมไป ยื้อเอาไว้
“ผมไม่ไป จะให้ผมทำอะไร ผมไม่เข้าใจ”
“ตาคำมันระลึกได้ว่าก่อนตายตัวมันเป็นใครมาจากไหน มันก็เลยเป็นเรื่องใหญ่น่ะสิ” ผีป้าบอก
“แล้วตอนนี้มันก็กำลังจะฆ่าเมียกับลูกเลี้ยงของมันแล้ว ไปห้ามมันเร็ว” ผีลุงเสริม
“เขาจะฆ่าลูกเมียตัวเอง” พีระชะงัก
น้ำมนต์ได้ยินพีระก็ตกใจไปด้วย
“ใครจะฆ่าลูกเมียตัวเอง”
“เขาจะทำทำไม”
“โว้ย...อย่าถามมากได้มั้ย ออกไป”
ผีลุงอีกตนวิ่งพุ่งเข้ามา ผลักพีระจากด้านหลัง จนพุ่งเซออกไปยืนกลางถนน ขวางหน้ารถที่กำลังแล่นมาพอดี แล้วรถนั้นก็พุ่งเข้าใส่พีระ
พีระเข้ามานั่งอยู่ในรถที่ข้างผีตาคำ
“ปล่อยเขานะครับลุง” พีระคว้าแขน
“เอ็งไม่ต้องยุ่ง” ผีตาคำสะบัดออก
รถแฉลบ เมียตาคำส่งเสียงร้องวี้ดว้าย
“เพื่อนๆผีของลุงทุกตนเป็นห่วง ให้ผมมาห้าม ลุงต้องปล่อยพวกเขาไป”
“มันหลอกข้า มันวางแผนฆ่าข้า”
“ผมไม่สนใจว่าเพราะอะไร แต่ลุงต้องหยุด”
“ข้าไม่หยุด”
“ต้องหยุด”
พีระคว้าตัวตาคำ กอดแน่น แล้วกระชากออกสุดแรง
“อ๊าก”
รถแล่นพุ่งไป พีระกับผีตาคำพุ่งกลิ้งออกมาจากรถ กลิ้งเกลือกไปกับพื้นถนน ขลุกขลักๆ...ลูกเลี้ยงที่สติกำลังจะหมด งัวเงีย เมียตาคำเรียก
“ไอ้ดอน...ขับดีๆสิ...เฮ้ย เอ็งอย่าหลับนะไอ้ดอน ตื่น”
ปรากฏว่าลูกเลี้ยงคอพับหลับไป เมียตาคำตกใจ รถพุ่งไถลออกข้างทาง เมียตาคำร้องลั่น
“อ๊าย”
รถพุ่งไถลเลยไปตกข้างทาง ไปชนกับต้นไม้ใหญ่เสียงดังโครม น้ำมนต์มองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ตกใจ รีบวิ่งเข้าไปที่รถคันนั้นทันที แล้วรีบวิ่งไปดูที่คนขับ ทุบเศษกระจกที่แตกออก เมียตาคำกำลังงัวเงียเกือบสิ้นสติ ในขณะที่ลูกเลี้ยงน็อกคาพวงมาลัยรถไปแล้ว
“คุณคะ...คุณ...แข็งใจไว้ก่อน อย่าเพิ่งหลับนะคะ” น้ำมนต์หันไปตะโกนสั่ง “ใครก็ได้โทรตามรถพยาบาลที”
น้ำมนต์หันไปมอง เห็นพวกผีลุงผีป้ายืนหน้าเหวอๆ จะช่วยยังไง
“ตายๆ มีแต่คนตาย ฉันโทรเอง”
หยิบมือถือออกมากด ผีตาคำเข้ามายืนดูเหตุการณ์ ทั้งรักทั้งแค้น
“ไม่ต้องช่วยมัน ปล่อยให้พวกมันตาย ให้สาสมกับที่พวกมันฆ่าฉัน”
“คนกำลังจะตาย พูดงี้ได้ไง ยังเป็นคนหรือเปล่า”
“ก็ไม่ใช่คนไง”
“เออ กายไม่ใช่คนแล้ว หัวใจยังจะไม่ใช่คนตามไปด้วยใช่มั้ย”
“แล้วพวกมันล่ะ...วางแผนฆ่าสามีกับพ่อตัวเองได้ลงคอ ตัวเป็นคน แต่ใจอำมหิตยิ่งกว่าผี พวกมันเคยละอายแก่ใจบ้างมั้ย”
ผีตาคำสะเทือนใจร้องไห้ออกมา จนต้องทรุดลงไปนั่ง ทั้งแค้นทั้งรัก ทำร้ายเขาแต่เจ็บเอง
เพื่อนๆผีลุงผีป้ามารุมปลอบใจ พีระมองอย่างข้องใจปนสงสาร
อัฐชัยจอดรถที่ข้างถนนในบริเวณเขตอยุธยา
“โทรหาน้ำมนต์สิว่าอยู่ไหน”
“ฉันโทรไม่ได้” พิมพ์ดาวส่ายหน้า
“ทำไม แกไม่ห่วงเพื่อนแกหรือไง”
“ห่วง แต่มือถือแบตหมด...มันจะหมดตั้งแต่ก่อนแกจะมาแล้ว”
“อ้าว แล้วทำไมแกไม่บอก...เอ้า เอาของฉันไปโทร”
อัฐชัยส่งมือถือตัวเองให้ พิมพ์ดาวรับมาเซ็งๆ กดๆดูก็ไม่ติด
“เปิดไม่ติด”
“อะไรอีก”
“ของแกก็แบตหมด”
“เฮ้ย อะไรเนี่ย”
อัฐชัยคว้ามือถือคืนมาดูให้แน่ใจ
“โธ่เอ๊ย...ไปๆ งั้นเดี๋ยวหาโทรศัพท์สาธารณะ”
“เบอร์มือถือน้ำมนต์เบอร์ไร ปกติเม็มเอาไว้ในมือถือ ไม่ได้จำ”
“ห๊ะ...แกจำเบอร์น้ำมนต์ไม่ได้”
“แล้วแกจำได้”
“แต่แกเป็นเพื่อนรักของมันนะ”
“แต่แกรักมันไม่ใช่เหรอ”
พิมพ์ดาวย้อน อัฐชัยหงุดหงิดยิ่งขึ้น
“โอ๊ยๆ”
ผีตาคำนั่งเศร้า ร้องไห้เสียใจอยู่คนเดียวที่ริมแม่น้ำ พีระยืนมองตาคำอยู่อีกด้าน มีพวกผีป้ายืนประกบ
“พ่อหนุ่มรู้ใช่มั้ย...ว่าวิญญาณทุกดวง พอหลุดออกจากร่างแล้ว เราจะจำอะไรตอนที่มีชีวิตอยู่ไม่ได้ ไม่ว่าจะคนรัก สถานที่ที่เคยผูกพัน ความรู้สึกโกรธ เกลียด ทุกอย่างมันจะหายไปกลายเป็นความว่างเปล่า” ผีป้าบอก
“อ๋อ ใช่ ผมก็จำอะไรไม่ได้เหมือนกัน”
“ยมทูตหรือเบื้องบนเขาคงรู้ ว่าถ้าวิญญาณอย่างเราจดจำเรื่องตอนมีชีวิตอยู่ได้ มันจะวุ่นวายมากแค่ไหน” ผีลุงออกความเห็น
“อย่างตาคำนี่ไง มันจำทุกอย่างตอนมีชีวิตได้ว่าเมียและลูกเลี้ยงรักมันมาก มันเสียใจที่มาด่วนจากไปโดยที่ยังไม่ได้บอกลา มันเลยกลับไปหา แล้วมันก็ได้รู้ความจริงว่าเมียกับลูกเลี้ยงไม่เคยรักมันเลย เสแสร้งแกล้งทำทุกอย่าง และที่แย่สุดคือ ตาคำมันไปรู้ความจริงว่า สองคนนั้นวางแผนฆ่ามันเพื่อหวังมรดก” ผีป้าอธิบาย
“มันก็เลยโกรธแค้นเมียกับลูกเลี้ยงมันอย่างที่เห็น”
“เฮ้อ น่าสงสาร จำอะไรไม่ได้ก็ใช่ว่าจะไม่ดี ไม่รู้จะอยากรู้ความจริงไปทำไม ความจริงมันก็เจ็บปวดอย่างนี้แหละ” ผีป้าถอนใจ
พีระได้ฟังเรื่องของผีตาคำ สะเทือนใจ เพราะมันสะท้อนให้เห็นชีวิตของพีระเช่นกัน
บนสะพานข้ามแม่น้ำ...พีระลงนั่งข้างๆกับผีตาคำที่กำลังร้องไห้เสียใจอยู่
“เลิกร้องเถอะลุง มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา”
“ถ้าเอ็งเป็นข้า เอ็งจะทำใจได้เหรอวะ...คนที่เอ็งรักและคิดว่าเขาดีมาตลอด แต่จริงๆแล้ว มันอยากให้เอ็งตายไปจากชีวิตมัน มันวางแผนฆ่าเอ็ง แล้วมันก็กำลังสุขสบายอยู่บนกองเงินกองทองของเอ็ง”
ตาคำเศร้า น้ำตาไหลด้วยความชอกช้ำเจ็บปวดหัวใจ
“ความจริงมันไม่ได้สวยงามอย่างที่ข้าคิดเอาไว้เลย มันเจ็บปวดจนแทบขาดใจ ข้าน่าจะลืมมันไปซะ ข้าต้องทำยังไงถึงจะลืมเรื่องของพวกมันได้ ข้าไม่อยากจำ”
พีระเศร้า ยิ่งตาคำสะเทือนใจมากแค่ไหน เขาก็สะเทือนใจตามมากแค่นั้น
จบตอนที่ 5