พล นิกร กิมหงวน เดอะมิวสิคัล ตอนที่ 12 ตอน เขยใหม่ อวสาน
ภายในห้องรับแขก บ้านศิริสวัสดิ์ วันใหม่ ประภานั่งร้อยดอกไม้อยู่ เจ้าคุณกับดิเรกเดินเข้ามาจากนอกบ้าน ดิเรกเห็นประภาก็ยิ้มหวานไปมา ประภาหน้าบึ้งใส่
"ยายภา เดี๋ยวพ่อวานโทร.หาไอ้กรให้หน่อยนะ บอกว่าเย็นนี้ถ้าว่างให้ไปที่โรงถ่ายหนังเก่าด้วย ให้ชวนเจ้าพลกับเจ้าเสี่ยไปด้วยนะ"
"คุณพ่อกับคุณดิเรกจะทำอะไรแผลงๆกันอีกหรือเปล่าคะ เห็นไปขลุกอยู่ที่โรงถ่ายนั่นมาหลายวันแล้ว"
"เอาเถอะน่า เดี๋ยวก็รู้เอง ไป ไปโทร.ให้พ่อหน่อย มา ดิเรก ตามอามาที่ห้องทำงาน จะได้ตรวจดูอีกทีว่า จะต้องเอาอะไรเพิ่มบ้าง"
ปัจจนึกเดินไป ประภาเดินไปที่โทรศัพท์
"คุณภาครับ" ดิเรกเรียก
"อะไรหรือคะ"
"จำได้มั้ยครับที่วันก่อนผมเผลอพูดอะไรที่เป็นไม่เข้าท่าที่ทำให้คุณเป็นโกรธผมแล้วเดินหนีไป"
"จำได้ค่ะ"
ดิเรกไหว้อ่อนน้อมราวพระเอกลิเก
"ผมขออภัยด้วยครับ ผมไม่มีเจตนาจะพูดให้ระคายเคืองเลย แต่อยู่ต่อหน้าคุณแล้วมัน..เอ้อ..ผมพูดอะไรไม่ออกครับ ที่เสี่ยหงวนเคยสอนไว้ผมลืมหมดเลย"
ประภาทั้งขำ ทั้งสงสารและทุเรศ
"ดิชั้นไม่ได้โกรธอะไรหรอกค่ะ"
"จริงหรือครับ ถ้าอย่างนั้น ขอผมเกี้ยวคุณสักห้านาทีได้มั้ยครับ"
"อะไรกัน นี่คุณเห็นดิชั้นเป็นผู้หญิงสำหรับคุณเกี้ยวเล่นหรือไงคะ หา"
"ผมพูดผิดอีกแล้วเหรอครับ"
ดิเรกทรุดตัวลงกราบแทบเท้า ประภาสะดุ้งเฮือก
"ผม ผมกราบขอโทษครับ"
"โอ๊ย ตายแล้ว มากราบดิชั้นได้ยังไง ดิชั้นอายุอ่อนกว่าคุณนะ ลุกขึ้นเถอะค่ะ"
ดิเรกค่อยๆลุกขึ้น
"คุณ อ้า ให้อภัยผมเถอะนะครับ"
ยังไม่ทันที่ประภาจะตอบ เจ้าคุณปัจจนึกก็โผล่หน้ามาจากข้างบน
"เอ้า ขึ้นมาเร็วๆสิ ดิเรก อารออยู่ตั้งนานแล้ว"
"ออลไหรๆ"
ดิเรกรีบวิ่งไป
"ยัยภา โทร.นัดเจ้านิกรหรือยัง หา"
"ค่ะ ไปโทร.เดี๋ยวนี้ละคะ"
ประภาเดินไปที่โทรศัพท์
บริเวณโรงถ่ายภาพยนตร์ตราลิงสามหัว เวลากลางคืน สามเกลอเดินมาที่ประตู
"คุณอาจะโทรตามเรามาที่โรงถ่ายเก่าทำไม" พลว่า
"ก็นั่นน่ะสิ กันก็งงเหมือนกัน" นิกรบอก
"ที่สำคัญต้องหนีบเอาคุณลุงของแกมาด้วยน่ะซี"
ลุงเชยมาด้วยในขุดเสื้อนอกแสนโก้ ถุงเท้าสีสดข้างละสีวิ่งตามมา
"แหม ไอ้หมา ไม่รอกันบ้างเลยเว้ย บอกแล้วว่ากลัวหลงๆ นี่มันที่ไหนวะ"
"โรงถ่ายนี้เป็นโรงถ่ายหนังเก่าของเราเองละลุง" พลบอก
"โรงถ่ายหนัง แม่เวย มาดข้าคงจะเป็นชาวกรุงเต็มที่แล้วกระมัง เอ็งถึงพามาที่นี่
สงสัยจะส่งเสริมให้ข้าเป็นพระเอกหนังละซี" เชยถุยน้ำหมาก
ทุกคนกระโดดหนี
"โอ๊ยคุณลุง พระเอกอะไรกินหมากปากเป็นถ้ำขุนตาลเชียว บ้วนน้ำหมากปริ๊ดที นางเอกหน้าแดงเถือก" นิกรบอก
โรงถ่ายภาพยนตร์ตราลิงสามหัว เป็นโรงถ่ายขนาดใหญ่ คนงานก่อสร้างกำลังเดินกันขวักไขว่ มีนั่งร้านขนาดใหญ่อยู่ และมียางส่วนของจรวดยานที่ต่อเสร็จแล้ว
เจ้าคุณปัจจนึก ดิเรก และฝรั่งคนหนึ่งกำลังนั่งดูแปลนสร้างจรวดยานอยู่
พล นิกร กิมหงวนและลุงเชยเดินเข้ามาในโรงขนาดใหญ่ ทุกคน อ้าปากค้าง เมื่อเห็นจรวดยาน ขนาดสูงประมาณ 20 เมตรตั้งอยู่ มีคนงานทำอยู่หลายคน ในจำนวนนี้มีฝรั่งอยู่ด้วยคนหนึ่ง ท่าทางเป็นหัวหน้า
"น...นี่มันอะไรอ่ะครับ คุณอา" กิมหงวนถาม
"หา นี่มันบั้งไฟยักษ์นี่" เชยบอก
ปัจจนึกมองนายเชยแบบเคืองๆ
"ไม่ใช่ นี่คือ จรวดยาน"
สามคนโพล่ง
"จรวดยาน"
"ปลาจวดยาน โห ตัวเบ้อเร่อ"
"จรวดยานจ้ะลุง ไม่ใช่ปลาจวด เอ้อ คุณอาครับ นี่ลุงผมเองเป็นพี่ของคุณพ่อ ชื่อลุงเชยแกเพิ่งมาจากนครสวรรค์" พลบอก
ปัจจนึกกระซิบ
"พี่ของพ่อแกจริงหรือวะ อาไม่อยากจะเชื่อ"
"จริงครับ สาบานให้ดิ้นตาย"
เจ้าคุณปัจจนึกยกมือไหว้
"เป็นพี่ของเจ้าคุณประสิทธิ์ งั้นชั้นเรียกว่าพี่เชยแล้วกันนะ"
"เจริญพรเถอะ"
พลแนะนำ
"ลุงจ๊ะ นี่เจ้าคุณปัจจนึกพินาศ เพื่อนของคุณพ่อ"
เชยจ้องหัวเจ้าคุณ
"แม่เว้ย เป็นเพื่อนกัน มิน่าล่ะกบาลมีส่วนคล้ายกัน แต่ของเจ้าคุณนี่เหน่งกว่าเยอะเป็นมันแผล็บน่าเกลียดชิบหายเลย"
นิกรกับกิมหงวนหัวเราะก๊ากแล้วหยุดเมื่อเห็นตาถลนของเจ้าคุณมองมา
"ฮึ่ม"
"เป็นอะไรครับคุณพ่อ" นิกรถาม
"อยากเตะคนแก่"
"เอ้อ คุณอาอย่าถือสาเลยครับ เดี๋ยวแกก็กลับบ้านนอกแล้ว" พลบอก
"ว่าแต่ว่าไอ้จรวดยานนี้เอาไว้สำหรับทำอะไร หา"
"จรวดยานนี้คือพาหนะอากาศสำหรับพามนุษย์จากพื้นพิภพไปที่ ดาวอังคาร ครับ" ดิเรกบอก
"โอ้โห หนังเรื่องนี้เข้าท่าๆ ข้าขอเล่นด้วยได้มั้ยวะ ไอ้หมาแว่น"
ดิเรกสะดุ้ง
"นี่มันไม่ใช่หนังครับคุณลุง นี่มันของจริง" นิกรบอก
"แล้วผมก็คือดร.ดิเรก ณรงค์ฤทธิ์ครับคุณลุง ไม่ใช่ไอ้หมาแว่น"
"ส่วนฝรั่งที่พวกเห็นอยู่นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาวิศวกรรมศาสตร์ ชาวเยอรมัน ที่เป็นคนรับเหมาควบคุมการก่อสร้าง ชื่อ ศาสตราจารย์ ฟอน อิริคชูสกะนึ่ฟฟ์"
สามเกลอย้ำ
"ศาสตราจารย์ ฟอน อิริคชูสกะนึ่ฟฟ์"
"ตามอามาสิ จะแนะนำให้รู้จัก"
ปัจจจนึกเดินนำไป ทุกคนตาม
"ท่าทางไอ้ฝาหรั่งคนนั้นมันคงจะขี้เหนียวไม่ใช่น้อย ควักอะไรทีก็ถึงกะหนึบเชียวเรอะ ไอ้หมาพล"
"นั่นมันชื่อเค้าจ้ะลุง ควักดังหนึบน่ะ ลุง ไม่ใช่เค้า" พลบอก
ศาสตราจารย์ยื่นมือมาจับมือทุกคนแล้วมาถึงลุงเชย ศาสตราจารย์ฟอนจับมือเขย่า
"ฮาวดูยูดู"
เชยยิ้มทะม่องๆ
"แหะๆ จ้ะ ชั้นมาดูจรวดยานจ้ะ"
ฟอนขมวดคิ้ว
"แคนยูสปีคอิงลิช"
"หา นายห้างอยากเล่นจิ้งหรีดเหรอ"
"วอท?"
"แหม่ๆ ไม่ถึงกับวอดวายหรอก จิ้งหรีดเมืองไทยเยอะแยะไป อ้ายชนิดหนวดยาวๆหัวล้านเป็นมันแผล็บ ละก็ กัดทนชิบหายเลย"
เจ้าคุณสะดุ้งได้ยินคำว่ามันแผล็บ พล นิกร กิมหงวนมองดูเจ้าคุณแล้วยกมือปิดปากหัวเราะ เจ้าคุณรู้สึกเคืองมาก
ดิเรกบอก
"คุณอาได้โทรเลขสั่งให้ศาสตราจารย์ฟอน อิริคชูสกะนึ่ฟฟ์ เดินทางมาโดยเครื่องบินเมล์ของบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะแอร์ไลน์ โดยเซ็นสัญญาจ้างเป็นเงิน 86365 บาท 94 สตางค์ กำหนดแล้วเสร็จ 49 วัน เฉพาะตัวจรวดยานนะ"
"แล้วเครื่องยนต์ละ" พลถาม
"เครื่องยนต์ คุณอาได้สั่งบริษัทเดนบูร์กกะฮอชช์ให้สร้างไว้สองปีแล้ว ก่อนที่กันจะกลับมาเมืองไทยเสียอีก"
"Chaokun is a great inventor, the world will be impressed with the vision of this bald scientist from Thailand." (เจ้าคุณเป็นนักประดิษฐ์ที่เก่งมาก โลกจะต้องทึ่งในความสามารถของนักวิทยาศาสตร์ หัวล้านจากประเทศไทย"
ปัจจนึกเคือง
"Hey professor, if you still want to be my friend, don’t say that word, BALD! Thai people mind, you know?" (นี่ท่านศาสตราจารย์ ถ้ารักจะคบกับฉันละก็ อย่าพูดถึงเรื่องหัวล้านอีกเลยน่า คนไทยเขาถือ)
"Thai people mind?" ฟอนหันมาถามพลนิกรกิมหงวนดิเรก "Really?" (คนไทยถือ... จริงหรือ?)
ทุกคน"YES!" (ใช่!)
" It’s a surprise! German people don’t mind at all. Sorry, my dear chaokhun." (มันเป็นแปลกมาก ชาวเยอรมันไม่ถือเลย ขอโทษเถอะเจ้าคุณที่รัก)
"In Thailand. hairless people are very sensitive, they will kick anyone who dares mentioning their bald head!"(คนไทยที่กบาลเหน่งอย่างชั้นนี้ใจน้อยทุกคน มักจะเตะคนที่บังอาจพาดพิงถึงศีรษะของเขา)
ปัจจนึกพูด ฟอนสะดุ้งเฮือก
" all right! all right!" (เข้าใจแล้วๆ)
ระหว่างการสนทนาสามเกลอหัวเราะกันกิ๊กกั๊ก ลุงเชยมองอย่างงงมาก
เจ้าคุณปัจจนึกบอก
"ไปดูด้านโน้นกัน"
ฟอนและเจ้าคุณเดินไป พล นิกร ดิเรกตามไป เชยและกิมหงวนตามหลังสุด
"โอ้โห เจ้าคุณหัวล้านพูดปะสาอังกิดจ้อเชียวเว้ย พวกเอ็งก็ฟังกันรู้เรื่องนิ"
"คุณลุงก็อย่าให้เขาดูถูกนะครับ ต้องพูดภาษาอังกฤษบ้าง" กิมหงวนว่า
"อ๊ะ ก็ข้าพูดเป็นซะเมื่อไรเล่าไอ้ทิด"
กิมหงวนดึงแขนลุงไว้ให้หยุดและเดินไปอีกทาง
"เถอะน่า ผมสอนให้ พูดสองสามคำก็พอ พอให้เค้ารู้ว่าเราพูดได้ แต่ไม่อยากพูดเพราะนี่เป็นเมืองไทย"
"เรอะ เอาซีวะ ช่วยสอนข้าหน่อยเถอะ ข้าจะพูดอะไรดี"
"พูดว่า ขอให้ท่านจงมีความสุขความเจริญยิ่งๆ"
"เออ เข้าทีเว้ย ข้าให้พรเขา เขาคงชอบใจ ภาษาฝาหรั่งว่ายังไงละไอ้ทิด"
"ไม่ยากหรอกครับ ยูอาร์เอะด็อก"
"หวาน อย่างนี้ใครก็พูดได้ ยู เอะ อะ ดอก"
"ยูอาร์เอะ ไม่ใช่ ยูเอะอะ"
"ขออีกทีสิวะ"
"โธ่เว้ย ไหนบอกหวาน ยู อาร์ เอะ ด็อก"
"หวานแน่ทีนี้ ยู อา เอะ ด็อก แปลว่าอะไรนะ"
"แปลว่าขอให้ท่านศาสตราจารย์อยู่เย็นเป็นสุขตลอดชาติ"
ลุงเชยหัวเราะชอบใจ
"แม่โวย คนอย่างข้าก็พูดภาษาฝาหรั่งได้เว้ย ไป ไอ้หงวน ข้าจะไปพูดกับเขาเดี๋ยวนี้"
บนโต๊ะทำงาน อีกมุมหนึ่งของจรวด มีแปลนวางอยู่ ทุกคนกำลังดูแปลนจรวดกันอยู่
ลุงเชยเดินตรงเข้ามาหาฟอนและยิ้มอยางภูมิใจ
"นายห้าง นายห้างเว้ย ยู อา เอะ ด็อก" เชยพูแล้วยักคิ้วแผล็บๆ
ทุกคนสะดุ้งเฮือก นายห้างทำปากยื่นนัยน์ตาถลน
"What? You call me a dog" (อะไรนะ คุณว่าฉันเป็นหมาเหรอ)
เชยยิ้มแย้ม
"ยูอาเอะด็อก"
ทุกคนสะดุ้งเฮือก เว้นเสี่ยหงวน
"You! You are a dog!" (แก! แกน่ะซีเป็นหมา)
"อ้อ จะอวยพรข้าเหมือนกันรึ นายห้าง งั้นข้าอวยพรกลับ ยูอาเอะด็อก"
"I am not a dog ! You are a dog!" (ฉันไม่ได้เป็นหมา แกน่ะซีเป็นหมา)
ศาสตราจารย์คำรามถลกแขนเสื้อสองข้าง เดินมาหาลุงเชย ทำท่าจะวางมวย
"อ้าว เฮ้ย อะไรวะ ทำไมมันจะมาวางมวยกับข้าล่ะ"
"แย่แล้วเว้ย" พลว่า
กิมหงวนรีบวิ่งหนีไปซ่อน
เชยกระโดดกอดเจ้าคุณ
"ช่วยด้วยๆ"
"เฮ่ย"
ทั้งสองล้มลงบนพื้น
พล นิกรรีบไปกันลุงเชย ดิเรกรีบไปกันฟอน
ดิเรกตกใจมาก รีบพาไปทางอื่น
"no, no. professor ฟอน อิริคชูสกะนึ่ฟฟ์, please don’t be angry. He doesn’t know English."
(ไม่ใช่ๆ ท่านศาสตราจารย์ฟอนอีริคชูสกะนึ่ฟฟ์กรุณาอย่าเป็นโมโหเลย เขาเป็นไม่รู้ภาษาอังกฤษ)
"ฮึ่มๆ I am not a dog. I am not a dog! แฮ่ๆ" (ฮึ่มๆ ผมไม่ได้เป็น หมาผมไม่ได้เป็นหมา แฮ่ๆ)
สองคนออกไป พล นิกรรีบฉุดเจ้าคุณและเชยให้ลุกขึ้น
"แล้วกันลุงไปว่าเค้าอย่างนั้นทำไมละ" พลถาม
"ไอ้เสี่ยหงวนๆ มันบอกให้ข้าพูด มันแปลว่าอะไรวะ"
"แปลว่า มึงเป็นหมา!" นิกรบอก
"หา จริงเหรอ ไอ้หงวน มันต้มข้าแล้ว มันบอกว่า แปลว่าขอให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปีตลอดชาติ"
ปัจจนึกตวาดลั่น
"ไอ้หงวน ! ไปแอบอยู่ไหน ออกมาให้ข้าเตะซะดีๆ"
กิมหงวนโผล่ออกมา
"จ๋า"
เชยเอ็ดตะโรลั่น
"มึงต้มข้า มึงหลอกให้ข้าด่าฝรั่ง ไอ้หมาวัด ยูอาร์เอะด็อก เตี่ยมึงก็ด็อก ก๋งมึงก็ด็อก ตัวกูก็ด็อก" เชยสะดุ้ง "เอ๊ย ไม่ใช่เว้ยพูดผิด มึงล่ะด็อกตัวเดียว ไอ้หมาหงวน"
อ่านต่อหน้า 2
พล นิกร กิมหงวน เดอะมิวสิคัล ตอนที่ 12 ตอน เขยใหม่ อวสาน (ต่อ)
บริเวณดาดฟ้าเป็นที่วางกล้องดูดาวขนาดใหญ่ มีโต๊ะวางอยู่ข้างๆบนนั้นมีแผนที่ดาวและกล่องใส่ของ เจ้าคุณและดิเรก เดินนำคนอื่นๆเข้ามา
"แกอธิบายให้ศาสตราจารย์ฟังดีแล้วใช่มั้ยดิเรก"
"ครับคุณอา แกเข้าใจแล้วว่าลุงเชยแกไม่ได้ตั้งใจ"
"มันเป็นฟามผิดของไอ้เสี่ยหงวนไม่ใช่ของข้า" เชยบอก
กิมหงวนสะดุ้งและเสเดินไปทางกล้อง
"ศาสตราจารย์กลับไปแล้วหรือดิเรก"
"กลับไปแล้ว"
ระหว่างนี้กิมหงวนกำลังหมุนกล้องให้แหงนดูท้องฟ้า
เจ้าคุณรีบวิ่งมาหา
"เอ้า เฮ่ย อย่าเล่น ประเดี๋ยวชิบหาย"
"ผมอยากดูดาวน่ะครับคุณอา"
"ได้ แต่ชั้นต้องหาระยะให้แกก่อน แกจะมาหมุนเองไม่ได้"
"พวกแกรู้มั้ยกล้องนี้ทันสมัยมาก บริษัทชวีเกอร์ด๊อยช์แห่งเยอรมันเป็นผู้สร้าง"
"มันมีชื่อว่า ฟุงเคล์บูร์กเทเลสโค้พกะฮึ้ดช์"
สามเกลอโพล่งชื่อตาม
"ฟุงเคล์บูร์กเทเลสโค้พกะฮึ้ดช์ !"
"นี่มันภาษาคนแน่เหรอ" เชยถาม
"ภาษาคนซีลุง ภาษาเยอรมันจ้ะ ราคาเท่าไรครับคุณอา" พลบอก
"คิดเป็นเงินไทยก็สามหมื่นบาทเศษ"
"ถ้าคิดเป็นเงินจีนละครับ" นิกรถาม
"แล้วจะมาคิดตะหวักตะบวยอะไรหา"
"เจ้าคุณ เจ้าคุณโว้ย ไอ้กล้องนี่มันมองชัดไหม" เชยว่า
"ชัดซีพี่เชย มันลดระยะทางให้ไกล้เข้ามาประมาณ สิบแสนเท่า"
"สิบแสน ก็ล้านสิวะ"
ปัจจนึกค้อนขวับ คนอื่นหัวเราะ
"พี่เชยอยากจะดูมั้ยละ"
"อยากสิ ข้าอยากดูโลกพระอังคาร"
ปัจจนึกเดินไปที่กล้อง หมุนให้ตรงตำแหน่งดาวอังคาร ระหว่างนี้เจ้าคุณเปิดกล่องที่วางบนโต๊ะ หยิบผ้าเช็ดเลนส์มา
"อะไรนะครับคุณพ่อ"นิกรถาม
"ผ้าเช็ดเลนส์เว้ย ดิเรก แกพาพี่เชยมาตรงนี้มา"
ลุงเชยเดินไปที่กล้อง
"คุณลุงจ้องดูช่องนี้นะครับ"
เจ้าคุณปีนขึ้นไปบนบันไดเพื่อเช็ดเลนส์กล้อง แล้วชะโงกหน้ามองกระจกเลนส์ เชยมองเข้าไปในกล้อง เห็นหัวเจ้าคุณในเลนส์
"แม่โว้ย ข้าเห็นโลกพระอังคารแล้ว แผ่นดินสีแดงแจ๋เชียว มีหญ้าขึ้นหรอมๆแหรมๆด้วยเว้ย"
ปัจจนึกตะโกน
"พี่เชย! นั่นน่ะกบาลชั้น ไม่ใช่โลกพระอังคาร"
เชยหัวเราะร่า
"นึกแล้วละว่าต้องเป็นกบาลเจ้าคุณ ผมแกล้งเอ็ดตะโรไปอย่างนั้นเอง"
เจ้าคุณรู้สึกคันแข้งอยากเตะชายผู้นี้เต็มแก่
กิมหงวนบอก
"พล ท่าทางคุณอาอยากจะแตะลุงแกเต็มทนแล้วว่ะ"
"บางทีกันก็อยากเตะลุงตัวเองเหมือนกัน" พลบอก
เสียงบันไดเอี๊ยดๆ เจ้าคุณก้มมอง เห็นบันไดที่ไม่ได้สับขอไว้กำลังแยกจากกัน
"กร กรเว้ย เฮ่ย จับบันไดให้พ่อที เร็วเว้ย ขอไม่ได้สับไว้ มันแยกออกจากกันแล้ว เร็วเข้า"
นิกรล้วงกระเป๋าหยิบบุหรี่และไม้ขีดออกมา
"เดี๋ยวครับ ขอผมจุดบุหรี่สูบก่อน"
บันไดถ่างขึ้น
เจ้าคุณร้องเสียงหลง
"เร็ว"
ช้าไปแล้วบันไดทรุด โครม! เจ้าคุณร้องลั่นร่วงลงมาดังตุ้บ มือเท้ากางฟาดบนพื้น
"คุณอา"
ทุกคนยกเว้นดิเรกหัวเราะลั่น
"โอย"
ดิเรกรีบไปพยุง
"ออกหัวออกก้อยละเจ้าคุณ ฮ่ะๆๆ" เชยหัวเราะจนน้ำหมากกระเด็น
กิมหงวน พล นิกร หน้าแดงเถือกเปรอะด้วยน้ำหมาก
"นี่เมื่อไรคุณลุงแกจะกลับเนี่ย" นิกรถาม
"พรุ่งนี้เช้าเลย"
"ถามทำไม คิดถึงข้าเรอะ ฮ่ะๆๆ"
น้ำหมากกระเด็นออกมาอีกราวกับน้ำพุ
สองวันต่อมา ในบ้านศิริสวัสดิ์ ประภานั่งอยู่ในกาเซโบ จัดพานพุ่มบูชาพระอยู่ ข้างบน... ห้องทำงานเจ้าคุณ ดิเรกกำลังมองลงมา ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เจ้าคุณปัจจนึกโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่าง
"เมื่อไรแกถึงจะเกี้ยวยายภาสำเร็จสักที หา"
พล นิกร กิมหงวนโผล่เข้ามาซ้อนหลัง
"นั่นน่ะซี น่ารำคาญจริงๆ"
ปัจจนึกเดินกลับมาจากหน้าต่าง นอกจากเจ้าคุณ ดิเรก ยังมีสามเกลอด้วยที่เดินกลับมา
ดิเรกถอนใจบอก
"ผมก็เป็นพยายามแล้วครับ แต่พูดอะไรออกไป เป็นไม่เข้าท่าเลยสักครั้ง"
"นี่แน่ะ ไอ้ฝรั่งข้างรั้ว ชั้นหมั่นไส้แกจริงๆ ขืนพูดเป็นโง้นเป็นงี้อีกบ่อยๆละก็ ชั้นไม่ยอมยกประภาให้แกเป็นอันขาด"
ดิเรกยิ้มแหยๆ
"แล้วแต่คุณอาเถอะครับ ถ้าคุณพ่อผมรู้คงจะดีใจ ท่านบอกว่า"
ภายใน บ้านเจ้าคุณนพรัตน์ เจ้าคุณท่าทางร่ำรวยมาก กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขกคู่กับคุณหญิงที่ท่าทางเจ้ายศเจ้าอย่าง พูดกับดิเรก
"เงินสินสอดสองหมื่นห้าพันบาทน่ะมันน้อยอยู่เมื่อไร เจ้าน่ะไปหาเมียที่ถูกกว่านี้ เมียสมัยนี้น่ะพันบาทก็หาได้ถมไป"
เจ้าคุณสะดุ้ง
"เจ้าคุณนพรัตน์พูดอย่างนี้เชียวเรอะ"
"ครับ"
"นี่แกไปบอกคุณพ่อแกไปว่าอาน่ะไม่เปลี่ยนใจหรอก พูดคำไหนคำนั้น บอกว่ายกให้ก็ยกให้ซีวะค่าสินสอดลดให้นิดหน่อยได้"
"อย่างนั้นคุณพ่อก็คงดีใจอีกละครับ เพราะท่านบอกว่า"
"จะว่าไปเจ้าคุณปัจจนึกก็มีฐานะพอฟัดพอเหวี่ยงกับเรา สังขารก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ถ้าปีนี้ไม่เป็นอหิวาต์ตาย ปีหน้าก็อาจจะเป็นลมตาย หรือปีโน้นก็อาจเป็นกาฬโรคตายก็ได้ ตายเมื่อไรละก็ ดิเรกลูกชายเราก็เท่ากับถูก ลอตตารี่เมืองนอกทีเดียวนะ"
ปัจจนึกบอก
"ชะชะ พ่อแกนี่สำคัญนัก อาจะบอกจริงๆก็ได้ว่า อาน่ะระแคะระคายมานานแล้วว่า พ่อแกน่ะป่วยเป็นโรคเส้นประสาท วันก่อนเจอกันอาแกล้งร้องโฮกปี๊บทีเดียวถึงกับตกใจจนเป็นลม"
"คุณอาหมายความว่า หากพ่อของดิเรกตายซะเมือไร ทรัพย์สมบัติของท่านก็จะเป็นของคุณภาใช่มั้ยครับ" พลบอก
"ก็ใช่น่ะซี เนี่ยถ้าอาแกล้งเชิญมากินเลี้ยงสักนิดแล้วเอาปะทัดใหญ่ๆจุดโยนไปใต้โต๊ะให้ระเบิดปังๆขี้คร้านจะม่องเท่ง"
สามเกลอหัวเราะตบมือ
"แหม หัวล้านหัวแหลมจริงๆคุณอา" กิมหงวนบอก
เจ้าคุณตบฉาด
"ไม่ต้องพูดเรื่องหัวข้า"
"เอาเลยมั้ยครับ ผมจะได้เตรียมไปซื้อปะทัด" นิกรบอก
"ตกลงตามนี้นะ ดิเรก" กิมหงวนว่า
"ออลไร้ๆ เอ๊ย ไม่ได้เว้ย นี่คุณอากับไอ้สามคนนี่จะวางแผนฆาตกรรมคุณพ่อผมหรือไง"
"ปุดโธ่ อาพูดเล่น ก็เหมือนกับพ่อแกนั่นละ เราสองคนเป็นเพื่อนรักกันนะ จะทำอย่างนั้นได้ยังไง"
"แต่ถ้าเป็นจริงมันก็ดี" นิกรว่า
"พอแล้วไอ้กร ว่าไงดิเรก เมื่อไรจะเกี้ยวลูกสาวอาสำเร็จสักที"
"ผม ผมไม่รู้จะพูดยังไงดีครับ" ดิเรกหันไปทางสามเกลอ
"โธ่เว้ย สอนตั้งหลายหนไม่รู้จักจำ พูดถึงดินฟ้าอากาศชมธรรมชาติสิแล้วก็วนเวียนมา จะเปรียบคุณภาเป็นดอกไม้แกเป็นแมลงภู่ก็ได้"
"หรือคุณภาเป็นพระจันทร์ แกเป็นกระต่าย"
"กระต่าย?" ดิเรกทำท่าขูดมะพร้าว
"เฮ่ย ไม่ใช่กระต่ายขูดมะพร้าวนะเว้ย"
"อ้อ เข้าใจแล้ว แร็บบิท"
"ไปเลย เร็วเข้า จัดการเกี้ยวให้สำเร็จวันนี้ละ"
ประภายังนั่งอยู่ที่เดิม ดิเรกเดินเข้ามา พร้อมกับท่องอย่างขึ้นใจ
"พูดถึงธรรรมชาติ ดอกไม้ แมลง กระต่าย พระจันทร์"
ดิเรกกวาดสายตามองไปรอบๆ ชมธรรมชาติ
"แหม ธรรมชาติช่างสวยงาม พระจันทร์หงายแจ๋น่าชมเหลือเกินนะครับ"
ประภาหัวเราะก๊าก
"อะไรคะ เค้ามีแต่แดดแจ๋ พระจันทร์น่ะต้องใช้คำว่าสุกปลั่งหรือสว่างนวล ไม่ใช้ว่าหงายแจ๋หรอกค่ะ"
ดิเรกยิ้มแห้งๆ
"ครับ ถูกแล้วครับ เอ้อ พระจันทร์สว่างนวลอย่างนี้น่าสบายนะครับ"
ประภายิ้ม เขยิบที่ให้นั่ง
"พระจันทร์ที่ไหนคะ คืนนี้มีแต่ดาวเต็มท้องฟ้า"
เจ้าคุณและสามเกลอค่อยๆคลานเข้ามาแอบฟังอยู่แถวๆนั้น
"เอ้อ มันควรจะมีพระจันทร์นี่ครับ แต่ความจริงดวงดาวที่ดารดาษระยิบระยับเต็มท้องฟ้า น่าดูน่าชมกว่าพระจันทร์นะครับ"
"ยังไงก็ไม่ทราบ"
ดิเรกกลืนน้ำลายเอื๊อก
"ที่นี่ลมพัดเย็นสบายนะครับ"
"อะไรคะ ร้อนออกจะตายไป"
"แล้วกัน ทำไมผมพูดอะไรๆคุณก็ไม่โอเคกับผมเลย คุณ...คุณภาครับ"
"ว่าไงคะ"
"เอ้อ... ขอคิดนึดนึงนะครับ มันลืมไปหมด อย่างนี้ครับ คุณภาครับ ดิเรกคนนี้แสนจะหลงรักคุณ รักจริงๆยิ่งกว่าแม่บังเกิดเกล้าซะอีก"
ประภาสะดุ้ง
"เวลาตื่นก็ฝันถึงคุณหลับก็ฝันถึงคุณฝันเห็นเท้าคุณมาลอยอยู่ตรงหน้า"
"คุณดิเรก!"
" เอ่อ ยังไงดีหว่า เฮ้อ คุณภาครับ กรุณารักผมสักนิดบ้างเถอะครับ"
อ่านต่อหน้า 3
พล นิกร กิมหงวน เดอะมิวสิคัล ตอนที่ 12 ตอน เขยใหม่ อวสาน (ต่อ)
เพลง "รักสักครึ่งหัวใจ" (คำร้อง ศรีสวัสดิ์ พิจิตรวรการ ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน)
ดิเรก "รักฉันเพียงสักนิดหนึ่ง รักฉันสักครึ่งหัวใจ แม้เธอยังไม่รักใคร ขอหัวใจเธอไว้อาศัยสักที
รักฉันเพียงสักนิดเดียว รักฉันเพียงเสี้ยวธุลี รักเธอเออถ้าฉันมี ถามฉันซิเดือนโน้นดาวนี้ของใคร อ๋อฟ้าหล้าโลกของฉัน สรวงสรรค์อันลอยรอคอยก็ใช่ มีเธอเกร่อกรีดกรายไป จิตใจสว่างไสววาบหวาม
รักฉันเพียงสักฤดู รักฉันสักครู่หรือยาม ฉันคงมองโลกสวยงาม ฝันเคลิ้มตามอะร้าอร่ามอารมณ์"
สามเกลอและเจ้าคุณผิวปาก ระหว่างการผิวปาก
"ผมขอพูดแบบนักวิทยาศาสตร์ก็แล้วกันครับ...คือ คุณพ่อของคุณซื้อกล้องดูดาวมา" ดิเรกบอก
ประภางง "คะ"
เจ้าคุณและสามเกลอทำหน้างงเหมือนกัน
"จากกล้องนี้ เราจะมองเห็น จักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล โลกเป็นเพียงเสมือนธุลีบนจักรวาล มนุษย์บนโลกก็เป็นแค่เศษของธุลี แล้วหัวใจของมนุษย์ที่ยิ่งเล็กกว่านั้นก็เป็นแค่เศษของเศษธุลี แต่ถ้าคุณรักผมสักครึ่งหนึ่งของหัวใจ คือแค่เศษหนึ่งส่วนสองของเศษของเศษของเศษธุลีในจักรวาล เแค่นี้ผมก็จะพอใจแล้วครับ"
บริเวณพุ่มไม้ ทั้งสี่คนทำตาปริบๆกับการขอความรักแบบนักวิทยาศาสตร์ของดิเรก
ดิเรก "รักฉันเพียงสักนิดหนึ่ง รักฉันสักครึ่งหัวใจ แม้เธอยังไม่รักใคร ขอหัวใจเธอไว้อาศัยสักที
รักฉันเพียงสักนิดเดียว รักฉันเพียงเสี้ยวธุลี รักเธอเออถ้าฉันมี ถามฉันซิเดือนโน้นดาวนี้ของใคร อ๋อฟ้าหล้าโลกของฉัน สรวงสรรค์อันลอยรอคอยก็ใช่ มีเธอเกร่อกรีดกรายไป จิตใจสว่างไสววาบหวาม
รักฉันเพียงสักฤดู รักฉันสักครู่หรือยาม ฉันคงมองโลกสวยงาม ฝันเคลิ้มตามอะร้าอร่ามอารมณ์"
ดิเรกเขยิบเข้ามาใกล้และเอาจมูกมาชนแก้มประภา เจ้าคุณผุดลุกขึ้น
"ฮะฮ้า เสร็จข้าละเว้ย เอาจมูกมาชนลูกสาวข้าแล้วเว้ย ยังไงก็ต้องแต่ง"
"คุณพ่อ!"
สามเกลอโผล่ขึ้นมา
"คุณพล คุณกร คุณหงวน บ้า บ้า บ้า"
ประภาวิ่งออกไปด้วยความอาย
"แกไปบอกคุณพ่อแกคืนนี้เลยว่า ให้เอาเงินสองหมื่นห้าพันบาทมาเป็นสินสอดซะโดยดี"
"อ้าว ไหนบอกจะลดให้นิดหน่อยไงครับคุณอา" ดิเรกว่า
"เรื่องอะไร หมูในอวยแล้วเว้ย ชดโช้ว" ปัจจนึกรำป้อ ส่ายเอวไปมา "เอาวะ ใครมีมะกรูดมาแลกมะนาว"
นิกร พล กิมหงวน "ใครมีมะกรูดมาแลกมะนาว"
"ใครมีลูกสาวมาแลกลูกเขย" ปัจจนึกบอก
"ใครมีลูกสาวมาแลกลูกเขย" สามเกลอว่า
ทุกคน"เอาวะเอาเหวยลูกเขยกลองยาว ตาละล้า"
วันแต่งงานของประภากับดิเรก ตอนห้าโมงเย็น สนามหน้าตึกจัดไว้ให้แขกผู้ใหญ่นั่งรอจะไปรดน้ำบ่าวสาวที่ห้องรับแขกบนตึก ภายในกาเซโบ มีดนตรีไทยบรรเลง
คุณหญิงวาด เจ้าคุณประสิทธิ์ เจ้าคุณวิจิตร นั่งอยู่กับแขกท่านอื่นๆ เจ้าคุณนพรัตน์ พ่อของดิเรกและคุณหญิงนั่งคุยอยู่กับแขกสองสามคน
สาวใช้จากทุกบ้านมาคอยรับใช้
เจ้าคุณปัจจนึกหน้าตาเป็นกังวลเดินไปมา เจ้าคุณนพรัตน์กับคุณหญิงมองตาม
"ท่าทางเจ้าคุณปัจจนึกก็ยังแข็งแรงดีนะคะท่านเจ้าคุณ"
"โอ๊ย ไม่หรอกคุณหญิง อ้วนๆลงพุงอย่างนี้อยู่อีกไม่นานหรอก ไม่เป็นโรคตายก็ไขมันจุกอกแน่นตายเดี๋ยวทรัพย์สมบัติก็เป็นของลูกเราหมดละ"
คุณหญิงหัวเราะคิกคัก
"หวานคอแร้งเลยละค่ะ ท่าน ฮิๆๆ"
เจ้าคุณปัจจนึกเดินมาหากลุ่มเจ้าคุณประสิทธิ์
ปัจจนึกพูดกับวิจิตร
"ยังไงกันครับ ป่านนี้ไอ้สามตัวนั่นยังไม่มาเลย จะได้ฤกษ์ห้าโมงแล้ว"
"ก็นั่นน่ะซีครับ เจ้าคุณรู้มั้ยมันไปไหนกัน"
ปัจจนึกสะดุ้ง
"เจ้าคุณเป็นพ่อมัน เจ้าคุณยังไม่รู้แล้วผมจะรู้หรือครับ" ปัจจนึกหันไปหาเจ้าคุณประสิทธิ์ที่นั่งมองไปทางอื่นอยู่ "แล้วเจ้าคุณละครับรู้มั้ยว่า เจ้าพลพาเจ้ากรกับเจ้าหงวนไปเที่ยวไหน"
ประสิทธิ์เงยหน้ามองปัจจนึก ยิ้มอายๆ
"เอ้อ ง่า ผมก็ไม่ได้คิดหาหยูกยาใส่หรอกครับ ของพรรค์นี้มันรูปธรรมนามธรรม มันอยากล้านก็ปล่อยมันล้านไปตามเรื่อง แหะๆ"
ปัจจนึกคอย่นหลับตาปี๋
"เจ้าคุณประสิทธิ์ครับ ผมไม่ได้ถามเรื่องยาปลูกผมนะครับ"
"เอ๊ะ ผม ง่า เอ้อ เมื่อกี้เจ้าคุณพูดเรื่องอะไรนะครับ"
"ถามว่าเจ้าคุณรู้มั้ยว่าเจ้าพลมันหายไปไหน"
ประสิทธิ์หัวเราะงอหายแล้วชะงักทันที "อ๋อ ว่าไงนะครับ"
"นี่แน่ะแม่วาด หล่อนไม่ควักหูให้ผัวบ้างเรอะ" เจ้าคุณวิจิตรว่า
คุณหญิงวาดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
"ควักค่ะ คุณพี่ เมื่อวานก็ควัก ดึงออกมาแต่ละก้อนยังกะหัวเรือสำปั้น"
ทุกคนสะดุ้ง
"ตกลงเจ้าสามตัวนั่นมันหายไปไหน"
"เดี๋ยวมันก็มาเจ้าคุณ นี่ยังไม่ถึงเวลารดน้ำเลย" วิจิตรบอก
ปัจจนึกดูนาฬิกา
"อีกแปดนาทีเท่านั้นครับ เฮ้อเหลวไหลมาก เดี๋ยวผมจะขึ้นไปดูเจ้าบ่าวเจ้าสาวก่อน ยายภายิ่งงุ่มง่ามอยู่"
เจ้าคุณปัจจนึกจะเดินไปที่ตึก แต่เห็นเจ้าคุณนพรัตน์จึงเปลี่ยนใจ อ้อมไปข้างหลังแทนและชะโงกไปใกล้หู
"โฮกปี๊บ"
เจ้าคุณนพรัตน์สะดุ้งสุดตัว เอามือจับหน้าอก
"โฮกปี๊บๆ โอย เฮ่อ"
"ว้าย เจ้าคุณเล่นอะไรแผลงๆ"
"คุณหญิงขอยาดมหน่อย เอิ้กๆ"
"ฮิๆๆ เจ้าคุณอย่าตายก่อนผมนา ฮิๆๆ"
เจ้าคุณเดินลอยชายออกไป
แห้วยืนรออยู่ในชุดสูทสากลที่เอามาจากกิมหงวนจึงยาวผิดปรกติ เมื่อเห็นเจ้าคุณก็ยืนตัวตรงเอามือซ้ายไพล่หลัง มือขวาทาบอกและก้มหัวอย่างสง่างาม
"นี่แกไปเอาสูทใครมาใส่ถึงรุ่มร่ามอย่างนี้"
"รับประทานขออาเสี่ยมาครับ"
"นี่แกลงไปคอยดูพวกแขกด้วยนะ เป็นหูเป็นตาให้ด้วย พานเงินพานทองใบหนึ่งไม่ใช่ถูกๆ"
แห้วสะดุ้ง
"รับประทาน ใต้เท้าท่าจะลืมไปว่าแขกที่เชิญมาล้านเป็นคุณหลวงคุณพระและพระยาทั้งนั้น"
"เออ นั่นละวะ เดี๋ยวนี้พระยาถังแตกมีเยอะ พ่อเจ้าดิเรกก็วางใจไม่ได้ คนกันเองละกินสนิทนัก
ดูแต่ข้าสิวะ ข้าไม่เคยซื้อรองเท้าใหม่เลย ไปงานศพงานขึ้นบ้านใหม่ข้าสวมรองเท้าเก่าไปได้รองเท้าใหม่มาเสมอ"
"รับประทานไม่กลัวเค้าจับได้หรือครับ"
"ใครจับได้ข้าก็บอกว่านึกว่าของตัวเองเพราะมันเหมือนกัน เจ้าคุณพานทองน่ะไม่มีใครสงสัยหรอกเว้ย"
"จริงขอรับ"
ปัจจนึกเดินเข้าไปด้านใน
ในห้องโถงด้านหน้า ประไพ นันทา นวลลออในชุดหรูหราสีม่วงยืนคุยกันอยู่ ปัจจนึกเดินมา
"ไง ผัวแกหายไปไหนกัน"
"เดี๋ยวก็มาค่ะ เฮียโทร.มาบอกแล้วว่าจะมาถึงช้าหน่อย" นวลลออกบอก
"พี่สาวแกแต่งตัวเสร็จหรือยัง"
"เสร็จแล้วค่ะ" ประไพบอก
"แล้วเจ้าด็อกดิเรกละ"
"อยู่ในห้องรดน้ำกับคุณภาแล้วค่ะ" นันทาบอก
"อ้าว ไอ้นี่รู้ดีอีกแล้ว"
เจ้าคุณรีบเดินไป
ในห้องรับแขกที่ใช้เป็นห้องรดน้ำประตูหน้าห้องมีม่านแพรกั้นงดงาม ดิเรกและประภานั่งเคียงคู่อยู่บนตั่ง ทั้งสองก้มตัวลง วางมือบนหมอนแพรเตรียมรับน้ำสังข์ ประภาใส่ชุดสีขาวล้วน มีดอกกุหลาบแพรสีชมพูดอกใหญ่บนปกเสื้อ เจ้าบ่าวนุ่งโจงสีม่วงอ่อน เสื้อสีไข่ไก่ ปากคาบกล้อง
"เฮ้"
"ว้อท เฮ้"
"ใครบอกให้แกมาขึ้นเตียงนี้เว้ย"
"ผมบอกเองครับ เห็นว่าจวนถึงเวลาแล้ว"
"เค้าต้องให้ผู้ใหญ่นำมาก่อน แต่ก็เอาเหอะ ช่างมัน เอากล้องที่คาบออกซะด้วย แล้วมงคลแฝดไปไหนละ"
"อยู่ครับ ผมสวมไว้แล้ว"
ดิเรกชี้มือไปที่ข้อเท้าของตัวเองกับประภามีมงคลแฝดผูกไว้
ปัจจนึกกระโดดตัวลอย
"โอย ไม่ได้เว้ยไม่ได้ แกะออกเดี๋ยวนี้ ไอ้เปรตเอ๊ย มงคลเค้าใช้สวมหัวไม่ใช่ผูกตีน"
"ไหนน้องภาบอกพี่ว่าเค้าใช้ผูกเท้ากันยังไงละ"
"ก็ภาเห็นว่าสวมหัวน่ะนิดเดียวก็หลุด แต่ถ้าผูกเท้ายังไงก็ไม่หลุด เป็นศุภนิมิตอันดีงามของเราไงคะ"
"โธ่ อ้ายควายที่ว่าโง่ยังฉลาดกว่าแกสองคน รู้จักมั้ยควายอ่ะ"
ประภายิ้มอายๆ
"ไม่รู้จักค่ะ"
"ตายโหง ควายก็ไม่รู้จัก"
"ผมก็ไม่รู้จักครับ"
"ควายที่เค้าใช้ไถนาน่ะ เคยเห็นมั้ยรูปร่างอ้วนๆมีสี่ขามีหูมีตามีหางแล้วก็มีเขาบนหัว" ปัจจนึกทำท่าประกอบ
ประภาหัวเราะ
"อุ๊ย ดิเรกคะ ภารู้จักแล้วค่ะ เวลานั่งรถไฟไปไหนจะเห็นควายเกลื่อนกลาด ดิเรกคงเคยเห็นไม่ใช่หรือคะ"
ดิเรกยิ้มแห้งๆ
"อ๋อ ที่เค้าเรียกว่าวัวใช่มั้ยน้องภา"
"แกเลิกพูดเถอะวะดิเรก อาฟังแล้วอยากเตะ เอามงคลมานี่"
ดิเรกส่งมงคลให้ เจ้าคุณเอาสวมหัว
"ได้เวลาแล้ว เดี๋ยวอาจะออกไปเชิญแขกมารดน้ำแล้ว"
"แล้วเจ้าสามคนละครับ"
สามคนวิ่งตึงๆมา
"มาแล้วเว้ย" พลบอก
สามเกลอไหว้ปัจจนึก
"มาทันเวลารดน้ำพอดีหรือครับ" กิมหงวนบอก
"ใช่"
กิมหงวนเดินไปเอาสังข์จ้วงน้ำพระพุทธมนต์ในขันทอง ทำท่าจะรดให้บ่าวสาว
ปัจจนึกรีบไปคว้าข้อมือไว้
"ผิดธรรมเนียมเว้ย เค้าต้องให้ผู้ใหญ่รดก่อน"
"ไม่ ผมจะรดก่อน"
ปัจจนึกเอาสังข์กลับมา
"ไม่ได้ แกต้องรดทีหลัง"
กิมหงวน - ปัจจนึกแย่งสังข์กันไปมา
"ต้องรดก่อน"
"ต้องรดทีหลัง"
"ต้องรดก่อน"
กิมหงวนแย่งสังข์มาจากมือเจ้าคุณ จนหอยสังข์หล่นบนพื้น แตกกระจาย
ประภาร้อง "ว้าย"
"เฮ่ย ชิบหายแล้ว" นิกรโพล่ง
ทุกคนอึ้ง มองสังข์บนพื้น
ดิเรกคราง
"ตายจริง หอยแตก"
"หมดหมดกัน แล้วจะเอาอะไรรดน้ำวะนี่"
กิมหงวนตบไหล่ดิเรก
"การที่หอยแตกเช่นนี้ย่อมเป็นศุภนิมิตอันดีงาม หอยแตกไปแล้วแต่ชีวิตคู่แกจะยั่งยืน"
"ศุภนิมิตพ่อมึงสิ ทีนี้ข้าจะทำยังไง เลยเวลารดน้ำไปแล้วด้วย หา จะเอาหอยที่ไหนมาให้แขกรดน้ำ"
ประภาร้องไห้สะอื้นเบาๆ
"อ้าว คุณภาร้องไห้ทำไม" นิกรถาม
"คุณหงวน..ทำ หอยแตกนี่คะ"
"นั่นสิ หอยแตกซะแล้ว ทำยังไงดีละครับ จะไปซื้อตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว"
"เอาถ้วยแก้วรดแทนไปก่อนไม่ได้หรือครับคุณอา" พลบอก
ปัจจนึกถอนใจ
"ฮึ่ม ก็ต้องเป็นอย่างนั้นนั่นละ ไป แกไปหาถ้วยแก้วมา เดี๋ยวอาจะไปเชิญแขกแล้ว"
ประภายังสะอื้น
"คุณภาอย่าร้องสิครับ คนจีนเค้าถือนะ เจ้าสาวที่ร้องไห้วันแต่งงานน่ะ แปลว่า เจ้าบ่าวจะต้องตายในไม่ช้า ตายโหงซะด้วย"
ดิเรกสะดุ้ง เจ้าคุณเตะกิมหงวนดังป้าบ
"พอได้แล้ว ไอ้เปรต"
อ่านต่อหน้า 4
พล นิกร กิมหงวน เดอะมิวสิคัล ตอนที่ 12 ตอน เขยใหม่ อวสาน (ต่อ)
เวลาต่อมา เพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวยืนอยู่ข้างหลัง พลนั่งข้างหน้า คอยดูแลขันและถ้วยแก้วรดน้ำ กิมหงวนกับนิกรถือถาดแจกของชำร่วย คือ กล่องบุหรี่ อยู่ที่หน้าประตูห้อง
หมู่ผู้ใหญ่เข้าแถวเรียงมา เริ่มจากเจ้าคุณวิจิตร พลส่งถ้วยแก้วให้
วิจิตรสะดุ้ง
"ไหนพระมหาสังข์ละ ตาพล"
"เอ้อ งานนี้ใช้นี่แทนครับ" พลว่า
"หา ถ้วยแก้วเนี่ยนะ"
"ไม่ใช่ถ้วยแก้วธรรมดาครับคุณลุง นี่คือพระมหาถ้วยแก้วมีศักดิ์และสิทธิ์เท่าพระมหาสังข์ครับ"
"พระมหาถ้วยแก้ว! ข้าจะบ้า เกิดมาเพิ่งเคยเห็น"
เจ้าคุณวิจิตรเริ่มรดน้ำ ตามด้วยเจ้าคุณนพรัตน์ เจ้าคุณปัจจนึก และ คนอื่นๆ
เพลง "รำวงวันสมรส" (คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน)
หมู่ผู้ใหญ่ "วันสมรส สมรัก สมรัก สลักจิต ร่วมคู่ ร่วมคิด ร่วมชีวิตจิตใจ"
นพรัตน์ "เจ้าบ่าวก็ยิ้ม"
ปัจจนึก "เจ้าสาวก็แย้ม"
นพรัตน์ "เจ้าบ่าวก็ยิ้ม"
ปัจจนึก "เจ้าสาวก็แย้ม"
หมู่ผู้ใหญ่ "แช่มชื่น เราพลอยระรื่นชื่นฤทัย"
ปัจจนึก นพรัตน์ "ขอให้สวัสดี"
วาด วิจิตร ประสิทธิ์ "ขอให้สวัสดี"
ปัจจนึก นพรัตน์ "จงมีความสุข"
วาด วิจิตร ประสิทธิ์ "จงมีความสุข"
ปัจจนึก นพรัตน์ "อย่ามีทุกข์มีโศกมีโรคภัย"
วาด วิจิตร ประสิทธิ์ "อย่ามีทุกข์มีโศกมีโรคภัย"
ปัจจนึก นพรัตน์ "หัวปีท้ายปีสามปีสองคน"
วาด วิจิตร ประสิทธิ์ "หัวฝนท้ายฝนช่วยดลดวงใจ"
ปัจจนึก นพรัตน์ "ให้ลูกเต็มบ้าน"
วาด วิจิตร ประสิทธิ์ "ให้หลานเต็มเมือง"
ปัจจนึก นพรัตน์ "ให้ลูกเต็มบ้าน"
วาด วิจิตร ประสิทธิ์ "ให้หลานเต็มเมือง"
ปัจจนึก นพรัตน์ "ขอให้รุ่งเรืองวัฒนชัย"
ผู้ใหญ่ทั้งหมด "สมรสกันแล้วแก้วอรทัย คือสร้างชาติไทยให้ถาวรเอย"
บริเวณสนาม แขกกำลังยืนดูเจ้าบ่าวเจ้าสาว ตัดเค้ก
สามนางและแขกหญิง "วันเอยวันนี้มีศรีฤกษ์ ทุกคนบานเบิกในใจ"
สามเกลอและแขกชาย "ทุกคนบานเบิกในใจ ทุกคนบานเบิกในใจ"
สามนางและแขกหญิง "วันนี้ได้ฤกษ์มาเบิกรัก เราเป็นประจักษ์พยานให้"
สามเกลอและแขกชาย "เราเป็นประจักษ์พยานให้ เราเป็นประจักษ์พยานให้"
สามนาง "เจ้าสาวเฉิดโฉม"
สามเกลอ "เจ้าบ่าวเฉิดฉัน"
สามนาง "เจ้าสาวเฉิดโฉม"
สามเกลอ "เจ้าบ่าวเฉิดฉัน"
สามนาง "ศรศิลป์กินกันมันก็ใช้ได้"
สามเกลอ "ศรศิลป์กินกันมันก็ใช้ได้"
พร้อมสามคู่และแขก "กามเทพแผลงศรปักอก บ่าวสาวก็ตกลงใจ ร่วมหอลงโรงเชื่อมโยงสายใจ
เป็นคู่อาลัยนานไปเอย เป็นคู่อาลัยนานไปเอย"
เจ้าสาวอยู่ในห้อง เจ้าบ่าวกำลังผ่านประตูสามชั้นที่เพื่อนๆกั้นไว้
สามเกลอ "ถึงฤกษ์ส่งตัวอย่ามัวรอ"
สามนาง "ถึงฤกษ์ส่งตัวอย่ามัวรอ"
สามเกลอ "รีบเข้าห้องหออย่าร่ำไร"
สามนาง "รีบเข้าห้องหออย่าร่ำไร"
สามเกลอ "ประตูเงินประตูทองก็ได้ผ่านมาแล้ว"
สามนาง "เชิญผ่านประตูแก้วเข้าไปไวไว"
เจ้าบ่าวเปิดประตูเห็นเจ้าสาวนั่งอยู่ เจ้าบ่าวเข้าไปในห้องปิดประตู
สามเกลอ " โอ้โลมปฏิโลมให้สมใจรัก ไม่ต้องพะวักพะวงใคร"
สามนาง "บ่าวสาวเข้าห้องหอ พวกเรารีรออยู่ทำไม"
สามเกลอ "พวกเรารีรออยู่ทำไม"
ภายในห้องรับแขก ทุกคนจับวงรำ
สามคู่พร้อมแขก "ชวนกันเลือกคู่มาสู่วงรำ มาเริงระบำกันก่อนปะไร รำวงดีกว่าชื่นใจ (ซ้ำ)
ไม่ต้องห่วงใยสบายเอย"
หลายวันผ่านไป ภายในห้องทำงาน ห้างพัชราภรณ์ พลกำลังนั่งทำงานอยู่ คลอเดินเข้ามา ในมือถือจดหมาย
"จดหมายค่ะ"
พลหยิบจดหมายมาและหยิบกรรไกรขึ้นมา เปิดซองออก คลอเดินไปที่โต๊ะรับแขก หยิบแจกันดอกไม้มาจะไปเปลี่ยน พลอ่านจดหมายแล้วหน้าเปลี่ยนไป
"ฮึ่ม แฮ่ ไอ้บ้า ไอ้พวกบ้า"
คลอตกใจ
"อะไรหรือคะ คุณพล"
"จดหมายนี่มาจากพวกเพื่อนที่สโมสรรวมมิตร มันเขียนมาด่าชั้น ดูดูสิ คลอ... ถึงนายพลที่กลัวแม่ยิ่งกว่าแม่ พวกเราเสียใจอย่างยิ่งที่แกกลัวเมียจนขาดการติดต่อสมาคมกับเพื่อนฝูง หากภายในสามวันนี้แกไม่ไปสโมสร พวกเราจะเข้าใจว่าแกกลัวเมียมากเสียจนลืมเพื่อน"
คลอยิ้มอ่อนโยน
"ช่างเขาเถอะค่ะ ความจริงย่อมเป็นความจริงเสมอ"
พลสะดุ้ง
"เธอหมายความว่าอะไรจ๊ะ คลอ"
คลอหัวเราะ
"แล้วคุณคิดเรื่องนี้ยังไงละคะ"
"ชั้นน่ะเหรอ เมียน่ะไม่กลัวหรอก ที่ยอมก็เพราะตัดความรำคาญ นันทาน่ะเหรอ ลองชั้นฮึดขึ้นมาสิ"
คลอหัวเราะ
"แน่ละคะ ดิชั้นเชื่อเชียว"
"เชื่อว่าอะไร"
"เชื่อว่าคุณกลัวเมียน่ะซีคะ ฮิๆ"
ประตูห้องเปิดออก กิมหงวนและนิกรเข้ามา ในมือถือจดหมายแบบเดียวกัน
"แกได้รับจดหมายนี่หรือเปล่า" นิกรถาม
"ได้ แกด้วยเหรอ ไอ้เสี่ย" พลถาม
"เออ สิวะ อย่างนี้มันดูถูกกันมาก"
เสียงโทรศัพท์ดัง
"ฮัลโหล ว่าไงไอ้ด็อก ... แกได้รับจดหมายแบบเดียวกันเหรอ ฮึ่ม" พลว่า
"คืนนี้ เราต้องพิสูจน์ให้พวกมันเห็นว่าเราไม่กลัวเมีย เราต้องไปกินเหล้าที่สโมสร"
"แล้วถ้าเมียมาตามละ" กิมหงวนถาม
"เอาซี่โครงเหน็บข้างฝา" พลบอก
สองคนบอก "ใช่ๆ"
คลอหัวเราะกิ๊ก
"หัวเราะอะไรหรือจ๊ะ คลอ" นิกรถาม
"ประทับใจในความกล้าหาญของพวกคุณค่ะ ฮิๆๆ"
คลอเดินหัวเราะออกไป สามคนมองหน้ากัน
เวลากลางคืน ภายในสโมสรตกแต่งแบบบาร์เหล้า มีบาร์วางอยู่ข้างหนึ่ง นอกนั้นเป็นโต๊ะสูง มีสมาชิกหนุ่มๆและสาวๆสวยๆนั่งอยู่หลายโต๊ะ
ชาย1มองไป
"เอ้า เฮ่ยพวกเรา สมาชิกสมาคมกลัวเมียมาแล้วเว้ย"
สี่สหายเดินเข้ามา
"ไชโย"
ทุกคนเข้ามารุม
"ที่พวกเรามาที่นี่ เพื่อจะยืนยันว่าพวกเราสี่คนนี้ ไม่มีเสียละที่จะกลัวเมีย" พลบอก
"เมียไม่ใช่แม่จะได้ต้องกลัว จริงมั้ย พูดมากเมื่อไรก็ซัดซักผัวะสองผัวะ เงียบทันที" นิกรว่า
ทุกคนเฮ
ญ.1 ถาม
"แล้วอาเสี่ยหงวนล่ะคะ ได้ข่าวว่าเป็นนักกลัวเมียตัวยง"
"คนอย่างผมน่ะเหรอครับ เฮอะ ยัยนวลนี่แขนขาหักมาหลายหนแล้ว เพราะผมรำคาญ พูดมาก"
ทุกคนเฮ
ช.2 บอก
"ยูก็เหมือนกันนะ ดิเรกก็เหมือนกัน ไอได้ข่าวว่าก่อนนอนยูต้องกราบเมียเลยเหรอ"
ดิเรกสะดุ้ง
"โนๆๆๆ ไอไม่เคยกราบเมีย มีแต่เมียละจะกราบไอ ยูโน๋"
ทุกคนเฮ
"ต่อไปนี้ใครมาด่าว่าพวกอั๊วกลัวเมียอีกเป็นโดนเตะ เอาอย่างนี้ไม่เชื่อแกโทรศัพท์ไปตามเมียเรามาที่นี่เลย" พลบอก
ช.1หัวเราะถาม
"จริงเหรอพล"
"อุวะ บอกว่าไม่กลัวๆ ยังไม่เชื่ออีก ถ้านันทาลองมาข่มขู่กันดูสิ พ่อไม่เตะพับสองท่อนค่อยว่า"
"ใช่ๆ โทรไปเลย บอกเลยพวกเราอยู่ที่นี่ ผมจะแสดงการเตะเมียให้ดูเป็นขวัญตา พัวะเดียวให้ฟันหักหมดปากเป็นยายแก่เลย" นิกรบอก
ทุกคนฮา
เสียงประไพดังขึ้น
"อ๋อ เหรอ"
เสียงสี่นางหัวเราะเยือกเย็น สี่สหายสะดุ้งเฮือก
"เสียง...เสียง" นิกรกุกกัก
สี่เกลอหันไป เห็นสี่นางยืนถมึงทึงอยู่ในร้าน
ทุกคนตบมือฮา สี่นางเดินเข้ามา กิมหงวนวิ่งจู๊ดไปหลบหลังพล
"น..นัน มาได้ไงเนี่ย"
"มีคนจากที่นี่โทร.ไปบอกให้มาดูคนไม่กลัวเมียมาแสดงฤทธิ์เดชแถวนี้"
"ใคร..ใครวะ" กิมหงวนถาม
"จะใครก็ไม่สำคัญ เมื่อกี้บอกใช่มั้ยว่า นวลแขนขาหักไปหลายหนแล้ว เอาสิ มาหักอีกสิ มา"
นวลลออปราดเข้าไปชก คนอื่นฮาเหมือนดูมวย
"โอย กลัวแล้วๆ เฮียจะไม่ทำแบบนี้แล้วจ้ะ"
ประไพกำลังดึงหูนิกร
"จะเตะเมียให้ฟันหักเป็นยายแก่เหรอ นี่แน่ะ"
ประไพตบฉาดๆๆ
"โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย"
พลถอยหนี
"นัน อย่านะ อย่า"
"นันไม่ทำอะไรพลหรอกค่ะ นันไม่ชอบใช้กำลัง"
นันทาเดินไปหา ชูหลาวทองเหลืองทีซ่อนไว้ข้างหลังออกมา
"หา หลาวทองเหลือง นัน! จะฆ่าผัวเหรอ"
พลวิ่งหนี นันทาตาม
"ก็ผัวมันไม่รักดี อย่าหนีสิ อย่าหนี"
ดิเรกยืนตัวสั่นอยู่
"อ้อ ง่า เอ้อ น้องภามายดาร์ลิ้งของพี่คงไม่มีอาวุธร้ายใช่มั้ยจ๊ะ"
"ไม่มีค่ะ ไม่มีจริงๆ"
เสียงวัตถุหล่นจากชายพกไปกระทบพื้น
ทุกคนมอง เห็นปืนบราวนิ่งขนาดกะทัดรัดตกอยู่
"มายก็อด มันเป็นปืน"
ประภายิ้มหวาน หยิบขึ้นมา
"กลับบ้านกันมั้ยคะ ดิเรก"
"กลับจ้ะ"
ภายนอก หน้าสโมสร สี่นางนำหน้าสี่สหายตามมา
สี่สหาย "ลูกผู้ชายเต็มตัวเขากลัวอะไร ต่อให้ช้างตัวใหญ่ๆเขายังไม่กลัว เจอะเสือ สิงห์ กระทิงป่า คว้าปืนยิงหัว แต่ผู้ชายเขากลัว (หึ) กลัวเมีย"
จบบริบูรณ์...