ครั้งแรกในไทย “เทศกาลหนังเงียบ” ?!!
"หนังเงียบ" เป็นหนังในอดีตที่สร้างขึ้นจากสิ่งที่มี โดยมีข้อจำกัดมากมาย เขาทำได้อย่างไร โดยเฉพาะหนังคลาสสิค ที่หลายคนชื่นชอบและกล่าวถึง ยุคนี้การแข่งขันสร้างละครสร้างภาพยนตร์กำลังดุเดือด การศึกษาเพิ่มเติมสิ่งที่ยังไม่รู้มาก่อน เพื่อมาต่อยอดเสริมเติมความรู้จึงเป็นส่ิงจำเป็น
โอกาสที่“หอภาพยนตร์แห่งชาติ”ครบรอบ 30 ปี จัดให้มี”เทศกาลภาพยนตร์เงียบ”ครั้งแรกขึ้นในประเทศไทย (7-12 สิงหา 57) คัดสรร 7 เรื่องผู้กำกับชั้นครู Alfred Hitchcock ได้แก่ The Pleasure Garden (2468), The Ring (2470), The Lodger (2470) และเรื่อง Prix de Beaute (2473) ผลงานนักแสดงชื่อดัง Louise Brooks ของเอเชียก็มี The Little Toys (2476) ถูกยกย่องว่าหนึ่งในร้อยภาพยนตร์จีนที่ดีที่สุด มาฉายให้ชม
ที่สำคัญ มีแสดงดนตรีสดๆ ประกอบการฉาย ด้วยนักเปียโนชาวเนเธอร์แลนด์ Maud Nelissen และ Mie Yanashita นักเปียโนชาวญี่ปุ่นระดับโลก เคยแสดงฝีมือมาแล้วทั่วโลก ส่วนในวันที่ 13 “ทฤษฎี ณ พัทลุง” จะมาเล่นดนตรีประกอบเรื่อง The Lodger ปิดเทศกาล ลองมาฟังความคิดเห็น ผู้กำกับ นักแสดง นักร้อง นักดนตรี กันบ้างว่า เขารู้จักภาพยนตร์เงียบแค่ไหน อย่างไร
"ซ้ง ธรธร สิริพันธ์วราภรณ์" ผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้กำกับละคร
“ถ้าพูดถึงหนังเงียบ เราจะนึกถึง”ชาลีแชปปลิ้น” เป็นหลัก ในยุคนั้น แล้วมีซาวนด์ประกอบ แต่จริงๆ มีหนังสงคราม ยุคแรกๆ ของพวกยุโรป จะมีกลุ่มนิวเวฟ สมัยก่อนเราดูก็ไม่เข้าใจเพราะว่าต้องอ่านต้องแปล แต่ดูเพราะว่าสนใจเรื่องภาพ
ตอนหลังก็มาดูเรื่องคอมโพสท์ซิชั่น ในแง่ความประทับใจอาจจะไม่มากเพราะว่าเราไม่ได้เกิดมาในยุคนั้น ตามมาดูทีหลัง เขาเอามาฉายบ้าง ได้เห็นบ้าง แต่ไม่ได้ผูกพันอะไร เพราะว่าเรามาในยุคที่มี 35 ม.ม.
เสน่ห์ของหนังเงียบมันมีอยู่แล้ว เราไปดูหนังของ”เอ็ดวูด” หนังโบราณที่ผู้กำกับห่วยที่สุดของโลกโดนตั้งฉายาว่าอย่างนั้น เราก็ยังว่ามันมีเสน่ห์ ไม่มีเสียง มันมีความคลาสสิคจริงๆ มีความสวยในแง่ของการจัดแสง หนังสมัยก่อนจะไม่มีสี การจัดแสงเขาต้องมีความคอนทราส์ที่สวยงาม เป็นเรื่องของอารมณ์ตรงนั้น
แต่ถ้าดูเอาสนุกจริงๆ มันก็ไม่สนุกหรอก เราไม่ชินกับการที่ต้องดูไปอ่านอะไรไป เป็นเรื่องของการมีเสน่ห์มากกว่า รวมถึงหนัง”ฮิทช์ค็อก”ที่เป็นหนังเงียบยุคแรกๆ เราก็ดูไม่ค่อยเข้าใจ แต่กลับมาดูเพราะว่าเราชินกับหนังเรื่อง”ไซโค”แล้ว
กับเทศกาลหนังเงียบครั้งแรกในประเทศไทยที่จัดให้มี เป็นเรื่องดีที่มีการฉายหนังอย่างนี้ อยากจะไปดูด้วย เพราะว่าเป็นเรื่องของศิลปะมากกว่าเรื่องของพาณิชย์ โดยส่วนตัวไม่เคยคิดจะทำหนังเงียบเลย พอมีเรื่อง”The Artist “มา ก็คิดว่าน่าจะทำนะ แต่น่าจะยาก ประเทศไทยการที่จะเชื่ออย่างนั้น
แม้แต่หนังเรื่องดิอาร์ติสท์เอง ได้รางวัลออสการ์มาแล้วมาฉายในเมืองไทยยังไม่ค่อยมีคนดู ไม่ได้ฉายทั่วไป เราต้องไปตามดูเอาทีหลัง แต่ถ้าทำเป็นดีไซน์ เป็นหนังสั้นๆ น่าจะได้ น่าจะลองทำ หรือว่าเป็นส่วนหนึ่งของพาร์ทในหนัง แต่ถ้าทำทั้งเรื่องให้คนดูผมว่าน่าจะยาก แต่ถ้าเป็นในแง่ศิลปะ หนังเงียบเป็นอะไรที่สื่อได้อาร์ตกว่า มีสิ่งให้เราได้คิด มีดนตรีเล่าเรื่อง มีภาพมีอะไรยังไง
“ชาลี แชปปลิ้น” เป็นหนังคอมาดี้ของต่างประเทศ ปัจจุบันเราเอามาดูมันลึกกว่ามาก มากกว่าคอมาดี้ บางอย่างเป็นศิลปะที่เขาคิดได้ยังไง แล้วในยุคนั้นด้วยนะ ถ้าตอนนี้มาทำอาจจะไม่ได้ฟิลอย่างนั้น แล้วเนื้อหาจริงๆ เป็นเรื่องของสังคมหมดเลย เอาเรื่องสังคมมาทำเป็นคอมาดี้ มีสเต็ป
ถ้ามองในแง่ความเป็นอมตะ ทำไมเขามีความเป็นบรมครูได้ เพราะว่ามันมีสิ่งที่มากกว่าความเป็นหนังอยู่ในนั้น หนังของ”อัลเฟรด ฮิทช์ค็อก”ทำไมถึงสร้างคาแรคเตอร์ออกมาได้ชัดเจนอย่างนั้น ดูสิบครั้งได้อะไรไม่เหมือนกันสักครั้ง”
"พิง ลำพระเพลิง" นักสร้างหนัง ผู้กำกับภาพยนตร์
"ถ้าพูดถึงหนังเงียบจะนึกถึง“ชาลี แชปปลิ้น, มิสเตอร์บีน ถ้าเป็นของไทยจะนึกถึงหนังยุคแรกๆ อย่างหนังเรื่อง “ช้าง” ของไทยไม่ได้ดีไซน์เพื่อเป็นหนังเงียบหรอกแต่ในยุคนั้นมันไม่มีระบบการบันทึกเสียง ไม่มีระบบการพากย์ แต่ของฝรั่งเขาดีไซน์
สมัยนี้ไม่ค่อยมีแล้วนะหนังเงียบ จะมีก็หนังฮอลลีวูดที่เพิ่งสร้างไปแล้วได้รางวัลเรื่อง”ดิอาร์ติสท์” ฝรั่งเขาก็ไม่ทำกันแล้ว มันเสี่ยงมาก โปรเจคนั้นหลุดมาได้ก็มหัศจรรย์มากแล้ว ผมว่าหนังเงียบส่วนหนึ่งนาทีมันทำยากด้วย
ปกติผมชอบละครใบ้อยู่แล้ว แต่ไม่เหมือนกันนะ ละครใบ้ใช้จินตนาการมากกว่า เล่นคนเดียว แต่หนังเงียบจะมีต่างๆนานามา มีฉาก มีพร็อบ มีอุปกรณ์ หนังเงียบของไทยจะมีโอกาสไหม ถ้าเป็นเทศกาลเลยผมว่ามันไม่มีคนทำนะ แต่ของที่เอามาฉายมันเป็นฟุตเทจเก่า
แล้วหนังเงียบ กับ หนังพูด อย่างไหนดีกว่า
การพูดกับการไม่พูด การพูดก็ดี แต่ไม่พูดก็ใช้จินตนาการ เสพความงาม เสพรสชาติที่แตกต่างกัน อาหารเผ็ดกับอาหารไม่เผ็ดมันอยู่ที่ว่านาทีนั้นเราต้องการอะไร ถ้าพูดแล้วดี มันก็ดีกว่าไม่พูดก็ได้ ถ้าไม่พูดแล้วไม่ดี ก็ดูหนังพูดที่ดีดีกว่าไหม หรือถ้าพูดแล้วไม่ดีก็ดูหนังไม่พูดแล้วดีดีกว่าไหม
ส่วนตัวชอบหนังเงียบเรื่อง”ชาลี แชปปลิ้น”เพราะมันตลก มันเศร้า มันได้อารมณ์ มันตอบโจทย์ทุกอย่าง มันอิ่มจริงๆ อย่างเรื่อง “เดอะคิด” เด็กที่มาตามพ่อ ไปเขวี้ยงกระจกชาวบ้านเพื่อให้พ่อได้มีงานตัดกระจก มันเศร้า มันงดงาม หรืออย่าง “มิสเตอร์บีน” แม้จะเป็นหนังตลกเลอะเทอะ แต่ก็งดงามอย่างที่เขาเล่า"
“น้ำฝน พัชรินทร์ จัดกระบวนพล”
“รู้จักค่ะ หนังเงียบ เพราะว่าฝนเรียนการแสดงที่ มศว. แล้วมีเพื่อนแสดงละครใบ้ เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่สนุกสนาน การจัดให้มีเทศกาลหนังเงียบในไทยเป็นกิจกรรมที่ดีนะ สำหรับคนที่ไม่เคยดูจะได้ลองอะไรที่ไม่เคยสัมผัส การแสดงในรูปแบบที่คุณไม่เคยเห็นก็น่าจะไปลองชมดู ฝนว่าเป็นอีกรูปแบบที่สื่ออะไรออกมาได้ไม่เหมือนที่เราเคยดู ที่มีภาพมีเสียง แต่อันนี้จะให้เราจินตนาการเอง แล้วมาลองดูว่าเราจะเข้าใจกับที่เขาสื่อออกมาไหม แบบไม่ต้องใช้เสียง ไม่ต้องพูด
โดยส่วนตัวชอบอยู่แล้ว ไม่ว่าละครเวที หรืออะไรที่มันแปลกใหม่ เพราะว่าดูแล้วฝนจะได้เอามาใช้กับงานฝนด้วย ทำให้เรามีมุมมองใหม่ๆ แต่ถ้าให้ฝนทำหนังเงียบ ฝนว่ายากกว่าหนังธรรมดานะ ฝนยังไม่เคยมีประสบการณ์ แต่ถ้าเราชอบสิ่งนั้นจริงๆ เราไปอยู่กับสิ่งนั้น ฝนว่าก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
“บีม กวี ตันจรารักษ์” นักร้อง นักแสดง
“หนังเงียบ เมื่อปีที่แล้ว มีหนังได้รางวัลออสการ์เรื่องหนึ่ง “ดิอาร์ติสท์” เขาทำขึ้นเพื่อเชิดชู เป็นหนังเงียบ หนังสไตล์ขาวดำ ก่อนหน้านั้นไม่เคยดูมาก่อน ตอนเด็กๆ จะมีหนังการ์ตูนที่ไม่มีเสียง
วันหนึ่งผมเด็กมาก แล้วมีเพื่อนแม่มาเยี่ยมที่บ้าน เขาเอาเครื่องเล่นหนังมาด้วย น่าจะเป็น 8 มิล แล้วก็มาฉายเข้ากับตู้ เพราะที่บ้านเราไม่มีฉาก แล้วก็ไม่มีกำแพงอะไรขาวๆ เขาก็ฉายไปที่ตู้ ก็สนุกดี เป็นตัวการ์ตูนวิ่งไปวิ่งมา หมุนไปหมุนมา เหมือนเรามีโรงภาพยนตร์ส่วนตัว สนุกมาก ตอนนั้นเด็กมากจริงๆ ตอนนี้หาไม่ได้แล้วครับ
หนังเงียบ มันไม่ได้มีเสียงคนพูดนะ แต่มีเสียงออกมานิดหนึ่ง อ๊ะ เอ๊อะ อะไรแบบนี้ เมืองไทยจะมีหนังเงียบไหม ผมว่าถ้าทำสตรอรี่บอร์ดดีๆ ก็น่าจะมีได้นะ ผมว่าก็น่าสนใจ เทศกาลหนังเงียบ น่าไปดูนะ ยิ่งถ้าคุณทำงานอยู่ในวงการหรือเอนเตอร์เทนเมนท์”
"ต้า พาราด็อกซ์" (อิทธิพงศ์ กฤดากร ณ อยุธยา) นักร้อง นักดนตรี
“หนังเงียบ เคยดูอยู่เรื่องหนึ่ง ตอนนั้นมีโอกาสได้ทำเพลงประกอบ เรื่องควานชอมกิ้น เป็นหนังเรือรบ หนังโบราณ น่าจะเป็นของเยอรมัน ฝรั่งเศส เป็นงานของพี่เต็ด ยุทธนา บุญอ้อม เขาจัดงาน Fat แล้วมีโปรเจคท์เปิดหนังกลางแปลง มีหนังเงียบมาฉาย เขาให้ไปทำเพลง ตอนนั้นได้ดู ก็สนุกดีฮะ
หนังเงียบที่ชอบคงจะเป็น “ชาลี แชปปลิ้น” ตลกดีครับ ดูแล้วเข้าใจง่าย ขำ มีภาพหลายมุมมอง ถ้ามาดูยุคนี้จะรู้เลยว่าโปรดักชั่นเขาอลังการ ไม่รู้เล่นกันได้ยังไงในความเร็วที่ภาพโบราณหนังขาวดำ รู้สึกว่ามีการเล่นที่เร็วขึ้น เรานึกว่าฟีล์ม แต่บางครั้งถึงจะเป็นฟีล์มที่เร็วยังไง นักแสดงก็ต้องเล่นกันคมมาก โดยเฉพาะบท บทบู๊ บทผาดโผน
ผมเป็นแฟนหนัง”อัลเฟรด ฮิทช์ค๊อก”อยู่แล้ว เทศกาลหนังเงียบครั้งแรกนี้ น่าสนใจน่าติดตาม ผมจะชอบเรื่องแลวินโดว์ ไซโค แล้วหลังๆ เรื่องที่เป็นชีวิตของเขาที่เอามาทำใหม่ก็ชอบ แต่ถ้าเป็นหนังเงียบในเมืองไทย นึกไม่ออก เคยดูตอนเด็กๆ แต่จำชื่อไม่ได้
คิดว่าเพลงสำคัญกับหนังเงียบอย่างไรบ้าง
"เพลงจะปูอารมณ์ สร้างอารมณ์ให้กับหนังเงียบ แล้วก็ช่วยสื่อไปถึงว่าตอนนี้ควรจะเป็นอารมณ์ความรู้สึกแบบไหน ตอนนั้นที่ได้ทำเพลงประกอบให้หนังเงียบมาก็รู้สึกว่ายาก คือเราต้องดูก่อน แล้วมานั่งออกแบบ ความยากอยู่ที่ระยะเวลาในการเล่น ระยะเวลายาวนาน แล้วก็เล่นให้ตรงกับจังหวะ กับช่วงนั้น ให้ตรงกับท่อน แล้วก็มีการวางท่อนต่างๆ ค่อนข้างจะยากในการทำเพลงประกอบ
ยิ่งยาว ยิ่งหนังที่มีจังหวะในการดำเนินเรื่องที่ไม่ตรงกับทำนองเพลง การเล่นดนตรีจะล๊อคให้ตรงกับจังหวะไม่ได้ นั่นคือความยาก มันเหมือนต้องเล่นสด ปูไปหมดเลย ต้องคอยปรับตาม แก้ก็แก้ยาก เพราะว่า ไม่สามารถก๊อปปี้มาแปะแทรคต่างๆ ได้ ต้องเล่นกันสดเลย
กับงานตอนนี้ กำลังเตรียมตัวทำเพลงของวงพาราด๊อกซ์ครับ น่าจะปลายปีนี้ได้ฟังกัน แล้วก็มีคัฟเวอร์เพลงอ่อนซ้อมของคุณสามารถ พยัคฆ์อรุณ เร็วๆ นี้คงได้ฟังกันครับ"
ไปดูชม "เทศกาลหนังเงียบครั้งที่ 1" ได้ตั้งแต่วันที่ 7-12 สิงหาคม 2557 โรงภาพยนตร์ลิโด (บัตร 100 บาท) ส่วนวันที่ 13 สิงหาคม โรงภาพยนตร์สกาล่า (บัตร 500 บาท) รอบปิดเทศกาล