xs
xsm
sm
md
lg

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 15

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หัวใจเถื่อน ตอนที่ 15

ตรงบริเวณมุมสงบร่มเย็นในบ้านแก้ว เมื่อยี่สิบปีที่ก่อน เด็กชายภาคย์ และเด็กหญิงอมาวสีนั่งคู่กันอยู่ในมุมสงบแสนสบายนั้น ทั้งสองทอดสายตามองออกไปไกลยังเบื้องหน้า เด็กชายเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาก่อน

“ถ้าเราไม่เจอหน้ากันเลย ซักยี่สิบปี อ้อว่า เราจะจำหน้ากันได้มั้ย”
เด็กหญิงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนตอบว่า
“ไม่รู้สิ แต่อ้อก็จะหาคนที่หน้าเหมือนพี่ภาคย์ แล้วเรียกเขาว่าพี่ภาคย์”
“แล้วอ้อจะรักคนคนนั้นเหมือนรักพี่ภาคย์มั้ย”
“ไม่รู้สิ ไม่เหมือนมั้ง”
“แน่ใจ”
“แล้วถ้าพี่ภาคย์ไม่เจออ้ออีกเลย พี่ภาคย์จะรักคนอื่นมากกว่าอ้อรึเปล่าล่ะ”
“อ้อเป็นน้องที่พี่รักมากที่สุด พี่ไม่มีทางลืมอ้อ นอกจากอ้อจะมีคนอื่นที่ดีกว่าพี่”

เหตุการณ์ที่ออฟฟิศราชในตอนนั้น จู่ๆ ราชก็ยื่นซองใส่เงินออกมาเบื้องหน้าเทิน ชายกลางคนมองฉงน ท่าทีแปลกใจ
“อะไรครับ”
“เงินเดือนน้าเทินไง”
“ทุกทีผมรับจากลุงรักษ์นะครับ”
ราชและเทินมองหน้ากันนิ่ง สุดท้ายเทินรับซองเงินนั้นมา ค่อยๆ เปิดดู
“ขอบคุณครับ...ทำไมคราวนี้มันมากจัง เยอะกว่าที่คุณรักษ์ให้ผมอีก”
“รวมโบนัส ที่อยู่กับผมมาเกือบยี่สิบปี”
เทินเย้า “ให้เงินกันขนาดนี้ เหมือนจะไล่ออกนะครับ”
“ก็ใช่น่ะสิ...ไล่ออกพร้อมๆกัน ทั้งน้า ทั้งผม”
“คุณราชจะปิดบริษัทนี้เหรอครับ”
“ใช่...ไม่มีประโยชน์ที่ผมจะทำบริษัทนี้อีกต่อไป น้าเทินช่วยจัดการให้ผมด้วยนะ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็พักผ่อนซักสองสามเดือน เราไปเริ่มงานใหม่ ที่รักษ์เลกัน เอาไอ้ทินไปด้วยนะ หรือน้าเทินเบื่อผม จะไม่อยู่กับผมแล้วก็ได้ ผมให้โอกาสน้าเทินเลือก
เทินมองหน้าราช ยิ้มนิดๆ
“ถ้าผมขี้งอน ขี้น้อยใจแบบคุณราชนะ ผมไปแล้วละ” ชายกลางคนผู้ภักดีบอก
ราชนิ่วหน้า “ผมน่ะเหรอ ขี้งอน”
“โอ๊ย...หลายขี้เลยครับ...ขี้งอน ขี้น้อยใจ ขี้โมโห ขี้ประชดประชัน บางทีก็มุทะลุดุดัน ใครห้ามอะไรก็ไม่เชื่อ”
“ผมถึงต้องการคนซื่อสัตย์ที่ไว้ใจได้อย่างน้าเทินไง”
“แล้วผมจะไปไหนได้ล่ะครับ คุณรักษ์ได้ลุกขึ้นมาบีบคอผมตายกันพอดี”
เทินเดินแยกออกไปพร้อมๆ กับเสียงโทรศัพท์มือถือของราชดังขึ้น เขาดูหมายเลข แล้วกดปุ่มรับ

“ว่าไงเพื่อน มีอะไรให้รับใช้”

วารินยืนพูดโทรศัพท์มือถือข้างรถของตัวเองที่จอดอยู่หน้าบ้านพิชิตพงษ์

“มีเรื่องใหญ่ว่ะ นายมาหาเราที่บ้านได้มั้ย”
ราชพูดโทรศัพท์มือถือ
“น้ำเสียงตกใจขนาดนี้ มีเรื่องอะไรเหรอวะ”
วารินพูดโทรศัพท์
“เราอยากให้นายช่วยเลือกชุดแต่งงานให้หน่อย...เดี๋ยวเจอกันนะ”
วารินวางโทรศัพท์ลง อมาวสียืนรออยู่ข้างๆ วารินหันไปพูดกับอมาวสี
“อีกชั่วโมงนึง มันจะไปถึงบ้านพี่”
“แน่ใจเหรอคะ”
“แน่ใจสิ...ถ้าพี่อ้างว่าเป็นเรื่องสำคัญระหว่างพี่กับน้องอ้อละก้อ มันจะรีบมาทันที...พี่รับรอง”

กลางโถงบ้านรัตนพงษ์ยามนี้ ราชยืนรออยู่มุมหนึ่งในโถงนั้น วารินเดินผ่านประตูบ้านตรงมายังราช
“ไหนบอกเราว่าเรื่องใหญ่ไง เราก็ร้อนใจรีบมาซะเร็ว แต่ไอ้คนเจ้าของเรื่องมัวไปโอ้เอ้ที่ไหนมาไม่ทราบ”
“ไม่ได้โอ้เอ้เว้ย แต่เราขับรถมาไกลกว่านาย”
“นายมาจากไหน”
“จากบ้านพิชิตพงษ์”
ราชอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง
“ไหนล่ะชุดแต่งงาน ที่จะให้ช่วยดู”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้มีเรื่องใหญ่กว่าว่ะเพื่อน”
“เรื่องอะไร”
“มีคนจากบ้านพิชิตพงษ์อยากคุยกับนาย”
อมาวสีแสดงตัว เดินเข้ามา
“ฉันอยากทราบเหตุผลที่คุณซื้อบ้านพิชิตพงษ์”
ราชและอมาวสียืนจ้องหน้ากันนิ่ง วารินเอ่ยปากออกตัว
“เดี๋ยวพี่จัดที่ให้คุยกันตามลำพังสองคนดีมั้ยน้องอ้อ”

ตรงมุมสงบหลังบ้านวาริน ราชและอมาวสี นั่งคุยกันอยู่ที่บริเวณนั้น
“ถ้าคุณต้องการรู้เหตุผลเพียงแค่นี้ ไม่เห็นต้องให้นายวารินหลอกผมว่าจะให้ช่วยเลือกชุดแต่งงานเลย”
“เขาอาจจะไม่ได้หลอกก็ได้”
ราชมองหน้าอมาวสี นิ่ง ใบหน้าหล่อของเขามีแววยิ้มเยาะนิดๆ
“ความสัมพันธ์ของคุณกับเขาพัฒนาไปเร็วมากเลยนะ”
“กรุณาอย่านอกเรื่องได้มั้ยคะ”
“คุณเองนั่นแหละที่นอกเรื่อง นอกเรื่องตั้งแต่แรกแล้ว...เรื่องบ้านพิชิตพงษ์ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
“แต่มันกระทบกับ...”
ราชพูดสวนคำทันที “คนในบ้านที่มีบุญคุณกับคุณ”
“ก็รู้นี่”
“แล้วไง”
“รู้แล้ว ทำ ทำไม”
ราชนึกฉุนกับน้ำเสียงของเธอ “ผมทำอะไรผิด”
“ฉันยังไม่ได้ว่าคุณทำอะไรผิด แต่ฉันต้องการรู้เหตุผล ในการซื้อบ้านพิชิตพงษ์ของคุณ”
“คุณคิดว่า...คนที่เขาลงทุนซื้อบ้านซักหลังนึง เขาต้องการอะไร”
“ไม่รู้”
“ไม่รู้ก็คิดซิ ใช้สมองคิดบ้าง ก่อนจะมาโวยวายใส่ผม”
“ฉันใช้สมองคิดดีแล้ว แต่คุณนั่นละที่ทำอะไรไม่รู้จักคิด ไม่คิดถึงความรู้สึกคนอื่นแม้แต่น้อย”
“รู้ได้ไง”
“ก็คุณคิดบ้างมั้ยล่ะ ว่าคุณอาจะรู้สึกยังไง ที่อยู่ๆคุณก็โผล่มาซื้อทุกอย่างของพิชิตพงษ์”
“ทุกอย่าง? แค่บ้านแก้ว กับบ้านพิชิตพงษ์”
“ก็บ้านสองหลังเข้าไปแล้ว...คุณจงใจจะทำอะไรกันแน่”
ราชเปลี่ยนอิริยาบถตัวเองก่อนพูดต่อ
“ผมว่าคุณรู้อยู่แล้วว่าผมซื้อบ้านแก้วทำไม”
“แล้วบ้านพิชิตพงษ์ล่ะ”
“ผมไม่ได้เป็นคนอยากซื้อ”
อมาวสีจ้องหน้า รอฟังต่อ
“มีคนซื้อให้ผม”
“น่าเชื่อจัง” อมาวสีเยาะ
“คุณไม่เชื่อ ก็ได้ ไม่มีปัญหา”
ราชวางท่านิ่ง ไม่พูดต่อ ทำไม่รู้ไม่ชี้ อมาวสีเอ่ยปากต่อ
“ใคร”
“อะไร”
“ใครซื้อให้คุณ”
“อยากรู้จริงๆ เหรอ”
อมาวสีขุ่นเคือง ได้รวบรวมสติ กำลัง และความอดทน เอ่ยปากต่อไป
“คุณคิดว่าฉันมาที่นี่ทำไม”
“มาให้ผมเลือกชุดแต่งงาน”
“ฉันเบื่อที่จะต่อปากต่อคำกับคุณแล้วนะ...คุณรู้มั้ยว่าคุณอากวีหนีออกจากบ้านไปแล้ว...เพราะท่านไม่ยอมอยู่ในบ้านที่มีชื่อคุณเป็นเจ้าของ”
“เหมือนที่พี่ภาคย์ของคุณออกจากบ้านไป เพราะไม่อยากอยู่ในบ้านที่มีท่านกวีเป็นเจ้าของ”
“นี่คือการแก้แค้นใช่มั้ย”
“อาจจะใช่...แต่มันไม่ใช่ความคิดของผม คนที่เขายังคงผูกใจเจ็บกับตระกูลพิชิตพงษ์ ไม่ได้มีแค่คนเดียว ถ้าอยากรู้ว่ามีใครบ้างคุณต้องไปสืบค้นเอาเอง แล้วก็ไม่ต้องมาใส่ความโทษผมในเรื่องนี้อีกแล้ว...แต่ถ้าลองพิจารณาไห้ดี นี่อาจจะเป็นเวรเป็นกรรมที่คุณอาทั้งสองท่านไม่อาจเลี่ยงได้”

ขณะเดียวกันนี้ วัชรีเดินตรงเข้ามาหาวารินที่มุมหนึ่งในบ้าน ทั้งสองชะเง้อมองไปยังหลังบ้าน ในบริเวณที่ราชยืนคุยอยู่กับอมาวสี
“ตายักษ์มาบ้านเราอีกแล้วเหรอ...มาทำไม”
“พี่ชวนมันมาเอง”
วัชรีค้อนควักพี่ชาย “ชวนเขามาทำไม ไม่คิดถึงใจน้องบ้าง”
“ไม่เกี่ยวกับคุณน้องนี่...นี่เป็นเรื่องของน้องอ้อ”
“ก็น้องยังทำใจกับเขาไม่ได้ แล้วดู...ปล่อยให้ยายอมาคุยตามลำพังแบบนี้ เดี๋ยวก็เสร็จตายักษ์อีกคนหรอก”
วารินเถียงว่า “เสร็จอะไร นั่นเขาคุยกันเรื่องคอขาดบาดตาย เรื่องใหญ่ของบ้านพิชิตพงษ์ ไม่ได้ยืนจีบกัน ซักหน่อย”

สองพี่น้องมองหน้ากัน สีหน้าวัชรียังคงเคลือบแคลงในใจลึกๆ

ส่วนที่มุมสงบหลังบ้านวาริน อมาวสี เอ่ยปากพูดกับราช ตรงๆ

“คุณคืนบ้านพิชิตพงษ์ให้คุณอาได้มั้ย”
“โอ...ไม่ใช่ของชิ้นละบาทสองบาทนะครับ ซื้อมาแล้วจะให้คืนกันให้ง่ายๆ”
“งั้นคุณขายคืนก็ได้นี่”
“ไปถามคุณอาของคุณก่อนดีกว่า ว่ามีเงินซื้อมั้ย...สถานการณ์การเงินในบ้านพิชิตพงษ์ กำลังไม่ค่อยดีนะ คุณรู้บ้างรึเปล่า...เรื่องทุจริตเล็กๆน้อยๆของคุณอาของคุณกำลังจะถูกเปิดโปง สถานะทางการเมืองก็ตกต่ำ...ไม่งั้นไม่วิ่งโร่มาขายสมบัติแทบจะหมดเกลี้ยงอย่างนี้หรอก...ที่จริงคุณต้องขอบคุณผมมากกว่าที่ยอมให้พวกคุณอยู่ในบ้านหลังนี้ฟรีๆอีกตั้งห้าปี”
อมาวสีนั่งนิ่งอึ้ง พูดไม่ออก สักพัก ราชยังคงวางท่วงท่า เมินเฉย ปน ยิ้มหยัน
“ถ้าคุณอาหาเงินมาได้คุณจะขายคืนมั้ย”
“ผมยังไม่ตอบตอนนี้”
อมาวสีโกรธขึ้นมาอีก “ไหนบอกว่าไม่ใช่ความคิดของคุณ ไม่ใช่ความแค้นของคุณไง ที่แท้ก็จงใจกลั่นแกล้ง เพื่อให้คุณอากลายเป็นคนไม่มีบ้านอยู่ ใช่มั้ย คุณจงใจทำอย่างนี้ใช่มั้ย”
“เปล่า ผมอาจจะคืนบ้านพิชิตพงษ์ให้ก็ได้ แต่ต้องด้วยเงื่อนไขของผม”
“เงื่อนไขอะไร”
“แต่งงานกับผม”
ราชและอมาวสี จ้องหน้ากันสักพัก ต่างค้นหาความจริงที่อยู่เบื้องหลังคำสนทนา
สักพักอมาวสีจึงหลุดปากออกมาว่า
“บ้า...”
“เราแต่งงานกันมาแล้วครั้งหนึ่ง บนดาดฟ้า คุณจำไม่ได้เหรอ...ผมยังเก็บรูปคู่ที่ผมหอมแก้มคุณเอาไว้เลย”
อมาวสีรู้สึกอาย หน้าชาเล็กๆ
“รวมทั้งรูปที่คุณกัดจมูกผมด้วย”
“ฉันไม่ทำอะไรบ้าๆ ซ้ำเหมือนเดิม สองครั้งหรอก”
“งั้นครั้งนี้อาจจะไม่เหมือนเดิม ผมอาจจะทำอะไรมากกว่าเก่าก็ได้ ลองมั้ยล่ะ ไหนๆนายภากรมันก็มีลูกมีเมียไปแล้วนี่”
“นี่ก็คืออีกหนึ่งวิธีที่จงใจทำลายตระกูลพิชิตพงษ์ใช่มั้ย...เพราะคุณไม่ใช่พิชิตพงษ์...เพราะคุณคือทวยไท...นั่นคือเหตุผลทั้งหมดของคุณใช่มั้ย”
“ไม่คิดเหรอว่าผมจะรักคุณจริงๆ ไม่คิดเหรอว่าเหตุการณ์ที่บ้านไร่ จะทำให้ผมหลงรักคุณอย่างหัวปักหัวปำ”
ราชยื่นหน้าลงไปจูบอมาวสี โดยเธอไม่ทันปัดป้อง เป็นการจูบที่นุ่มนวลกว่าทุกครั้ง เมื่อราชละหน้าออกมาจากอมาวสี เธอจึงเอ่ยปากว่า
“นี่คืออีกหนึ่งบททดสอบสำหรับเพื่อนคุณใช่มั้ย”
“เปล่า มันคือบททดสอบว่า คุณต้องการให้ผมคืนบ้านให้คุณอาของคุณจริงหรือไม่”
อมาวสีเงื้อมือตบหน้าราชอย่างแรง
“นึกแล้ว ว่าผมคงไม่ได้จูบคุณฟรีๆ”
อมาวสีโกรธสุดขีด “อยากจูบฟรีๆ ก็ไปจูบน้องอรัญญา โน่น”
อมาวสีขยับตัวจะเดินออกไป ราชเอ่ยปากพูด จนอมาวสีต้องหยุดเดิน
“ผมจะคืนบ้านพิชิตพงษ์ให้ก็ได้...ถ้าคุณตกลงแต่งงานกับวาริน”
อมาวสีชะงัก “ว่าไงนะ”
“ถ้าคุณประกาศต่อหน้านายวาริน ต่อหน้าผม ว่าคุณจะแต่งงานกับเขา ผมยินดีคืนบ้านพิชิตพงษ์ให้ อย่างไม่มีเงื่อนไข”
อมาวสีจ้องหน้าราชนิ่ง ทั้งโกรธทั้งคับแค้นใจ ราชจ้องหน้าอมาวสีเช่นกัน
“นึกว่าฉันไม่กล้าเหรอ”

อมาวสีสะบัดตัวเดินหนีกลับเข้าบ้านไปอย่างฉุนเฉียว

อมาวสีเดินตรงมายังวาริน มีวัชรียืนอยู่ข้างๆ ไม่ห่างนัก ราชค่อยๆ เดินตามอมาวสีเข้ามาในนี้

วารินเอ่ยปากยิ้มแย้ม
“คุยธุระกันจนเรียบร้อยดีแล้วใช่มั้ยจ๊ะ”
“อ้อมีอะไรจะบอกพี่วารินค่ะ”
“ว่าไงครับ”
อมาวสีรอจนราชเดินมาใกล้ เธอหันมาจดสายตาจ้องมองหน้าเขา ราช จ้องมองตอบ อมาวสีเอ่ยปากเสียงดัง ฟังชัดเจน
“อ้อจะแต่งงานกับพี่วารินค่ะ”
วารินถึงกับสะดุ้ง “ห๊ะ...ว่าไงนะ”
“อ้อยินดีจะแต่งงานกับพี่วาริน...ถ้าพี่วารินขออ้อแต่งงานเมื่อไหร่ อ้อจะตอบตกลงทันทีค่ะ”
"เอ้อ...งั้นพี่ขออ้อตอนนี้เลยนะ...แต่งงานกับพี่นะ"
"ค่ะ...ตกลงค่ะ"
อมาวสีจ้องหน้าราชแบบท้าทาย ราชยิ้มหยัน แล้วจึงเดินเข้าไปหาวาริน
“ยินดีด้วยว่ะเพื่อน...ในที่สุดความรักของนายก็สมหวังซะที”
“ขอบใจเพื่อน”
“เราขอมอบของขวัญให้นายเป็นคนแรกเลยนะ”
วารินฉงน “ของขวัญ”
ราชมองหน้าอมาวสี
“บ้านพิชิตพงษ์จะเป็นของขวัญวันแต่งงานของคุณครับ คุณอมาวสี”
วารินอึ้ง งง จึงรีบถามราช
“แล้วฉันต้องให้อะไรเป็นของขวัญ วันแต่งงานของนายกับน้องอรัญญาวะ”
“ไม่ต้อง เพราะมันจะไม่มีงานแต่งงานนั้น”
อมาวสี อึ้ง แปลกใจ
“อรัญญาจะแต่งงานกับคนรักชาวญี่ปุ่นเดือนหน้า เป็นคนรักที่คบกันมากว่า สี่ปี”
อมาวสีมองหน้าราชนิ่ง วัชรี ยิ้มร่าดีใจเป็นที่สุด
“จริงเหรอคะ”
“ครับ...”
“ดีจัง”
“ขอให้มีความสุขกับชีวิตแต่งงานนะ” ราชบอกอมาวสีที่ยืนนิ่งค้างอยู่ แล้วหันบอกกับวาริน “ส่วนชุดเจ้าบ่าว นายก็ให้อมาวสีเป็นคนเลือกให้แล้วกัน น้องเขาแต่งตัวเก่ง รสนิยมดีอยู่แล้ว”
ราชเดินออกจากบ้านวารินไปเฉยๆ ทุกคนมองตาม งงไปทั้งแถบ

ราชขับรถไปบนท้องถนน หน้าตาของเขาเศร้าหมอง เพลงอกหักรักคุด ผิดหวัง เสียใจ ดังกระหึ่มขึ้นในใจเขายามนี้

ทางฝ่ายวารินขับรถมาตามถนน โดยมีอมาวสีนั่งอยู่ข้างๆ หน้าตาเธอเศร้าหมองไม่แพ้ราช

อ่านต่อหน้า 2

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 15 (ต่อ)

ด้านราช รัชภูมิ เดินเข้าไปในออฟฟิศอย่างเซื่องซึม ทรุดตัวนั่งลงนิ่งๆ ท่าทางของเขาเหมือนผู้ที่กำลังสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป เขาค่อยๆ หยิบแหวนเพชรวงเก่าของท่านชายคฑาเทพขึ้นมาดู ในใจสับสน ครุ่นคิดหลายเรื่อง

รถวารินแล่นมาจอดหน้าบ้านพิชิตพงษ์ วารินกุลีกุจอลงจากรถตรงมาเปิดประตูให้ อมาวสีก้าวลงรถ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“น้องอ้อครับ”
“คะ”
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ที่น้องอ้อยอมแต่งงานกับพี่”
“ค่ะ”
“พรุ่งนี้คุณป๋าของพี่จะมาหาคุณหญิงอำภา อาของอ้อนะ”
“เอ้อ...อย่าเพิ่งดีกว่าค่ะ มันดูปุบปับ กะทันหันไป”
“ไม่เป็นไรจ้ะ คุณป๋าพี่โทรมานัดกับคุณหญิงแล้ว...พรุ่งนี้เจอกันนะ ที่รัก”
วารินขึ้นรถขับออกไปหน้าตาเบิกบานเป็นที่สุด
อมาวสีมองตาม อึ้งๆ กับการตัดสินใจของตัวเอง

เพลงรักยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอยู่จวบจนตอนกลางคืน อมาวสีนั่งซึมนิ่งคนเดียวกลางห้อง เธอครุ่นคิดถึงการตัดสินใจเมื่อเย็นที่ผ่านมา

กลางโถงบ้านพัก ราชยังคงซึมเศร้าอยู่เพียงลำพัง ชิดชไมเดินเข้ามาหาพร้อมกับเปล่งเสียงเซ็กซี่อันคุ้นหูออกมา
“ราช รัชภูมิ”
ราชหันไปมอง เขามีท่าทีแปลกใจไม่น้อย
“คุณกลับมาเร็วกว่ากำหนดนะ...นี่เพิ่งจะสามเดือนเอง”
“ดีใจหรือเสียใจล่ะคะ...หรือว่าเป็นคนไม่มีกะจิตกะใจไปแล้ว”
ชิดชไมขยับตัวลงนั่งข้างๆราช
“มีใครรู้บ้างมั้ยว่าคุณกลับมาแล้ว”
“ทุกคนยกเว้นราช แต่ไม่มีใครรู้ว่าแคลร์มาที่นี่”
“อย่าถ่ายรูปผมขึ้นไอจีก็แล้วกัน”
ชิดชไมหยิบไวน์ออกมาจากกระเป๋า
“แคลร์ยังดื่มไวน์กับคุณได้รึเปล่า”
ราชยักไหล่ให้แทนคำตอบ
“แต่แคลร์คงจะไม่นอนที่นี่หรอกนะ เดี๋ยวดึกๆ พ่อจะมารับ”
ชิดชไม เปิดไวน์ รินใส่แก้วอย่างทะมัดทะแมง
“แคลร์...”
ชิดชไมเหลียวมา “หืม...”
“ถ้าผมไปอยู่ภูเก็ต คุณจะไปกับผมมั้ย”
“พูดจริงๆ หรือถามไปงั้นๆ”
“ดูหน้าผมสิ”
“ดูหน้า ไม่รู้ใจค่ะ”
“ผมพูดจริงๆ...อย่างน้อยก็ ตอนนี้”
“งั้นแคลร์ขอดูความประพฤติ ตอนต่อไป ก่อนแล้วกันค่ะ”

ชิดชไมรินไวน์ให้ราช

ค่ำคืนนี้คุณหญิงอำภานั่งนิ่งๆ เดียวดายกลางห้องนอนอันใหญ่โตโอ่อ่า ภากรเดินเข้ามาหา

“พ่อยังไม่กลับเหรอครับ”
“ยัง...แล้วก็คงจะไม่กลับมาแล้ว”
“เพิ่งจะสองวันเอง...ช่วงหาเสียง พ่อเคยไม่กลับบ้านเป็นเดือน”
“มันไม่เหมือนกันภากร เวลาที่พ่อออกไปหาเสียง เขาจะคอยโทร.มาถามไถ่แม่ตลอด ถามถึงแม่ ถามถึงลูก ถามถึงทุกอย่างในบ้าน แม่จะรู้ตลอดว่าเขาอยู่ที่ไหน...แต่ครั้งนี้ ไม่ใช่...ทั้งคุณชอบ ทั้งคนที่พรรค ไม่มีใครรู้เลยซักคนว่าพ่อไปไหน”
“แม่ให้ใครตามหารึยังครับ”
“แม่บอกแค่นายตำรวจคนสนิทของพ่อ...นอกนั้นก็ยังไม่ได้บอกใคร...แม่ไม่รู้จะบอกยังไง...คนเขาคงว่ากันว่า บ้านนี้มันมีแต่คนหาย นับตั้งแต่ ภาคย์ ยายอ้อ แล้วก็มาคุณกวี”
ภากรก้มหน้านิ่ง แล้วจึงค่อยๆ เอ่ยปากออกมา
“ทุกครั้ง เป็นเพราะผมทั้งนั้น ผมทำไม่ดีต่อภาคย์ ผมทำไม่ดีต่ออ้อ ผมขายบ้านพิชิตพงษ์จนพ่อต้องช้ำใจ”
“พ่อไม่ได้ช้ำใจที่ลูกขายบ้าน แต่ช้ำใจที่รู้ว่าใครเป็นคนซื้อบ้านไปมากกว่า”
ภากรยังไม่ค่อยเข้าใจนัก เขาเอ่ยปากออกมาตรงๆ
“ชื่อทิพย์สุดา”
“เขาซื้อให้ นายราช” ผู้เป็นมารดาบอก
ภากรแปลกใจขึ้นมาทันที
“ราช...ไอ้นี่อีกแล้ว?...มันจะซื้อบ้านเราไปทำไม”
“เพราะเขาคือภาคย์...ราช คือ ภาคย์ พิชิตพงษ์ เขาคือคนเดียวกัน”
ภากรอึ้งไป ตกใจไม่น้อย แต่กลับไม่มีท่าโกรธให้เห็นแล้ว

“มิน่า ยายอ้อถึงได้แอบมีใจให้นายราชอยู่บ่อยๆ”

อมาวสี ยังคงนั่งนิ่งอยู่กลางห้องนอน สักครู่หนึ่งนมพริ้ง เปิดประตูห้อง ร้องถามเข้ามา

“หนูอ้อคะ ป้าเข้าไปได้มั้ย”
“ได้ค่ะป้า”
นมพริ้งค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งใกล้อมาวสี
“ตกลงได้เรื่องยังไงบ้างคะ เราจะได้บ้านของเรากลับคืนมามั้ยคะ”
“ได้ค่ะ...เขาตกลงยกบ้านพิชิตพงษ์คืนให้เรา เพื่อเป็นของขวัญวันแต่งงาน”
นมพริ้งชักสีหน้า งวยงง
“ของขวัญวันแต่งงาน?...ใครแต่งกับใครคะ”
“อ้อ กับ พี่วารินค่ะ”
“ห๊ะ...ตกลงแต่งงานกันแล้วเหรอคะ”
อมาวสีพยักหน้า ทว่าสีหน้าไม่สู้ดีนัก นมพริ้งเอ่ยปากถาม
“เมื่อไหร่คะ”
“ก็คง...เร็วที่สุด เท่าที่เป็นไปได้มั้งค่ะ”
“งั้นที่นายห้างวิรัตน์นัดคุณหญิงพรุ่งนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องนี้ละซีคะ”

รถตู้คันใหญ่หรูหรา โอ่อ่าแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพิชิตพงษ์ตอนเช้า เจ้าสัววิรัตน์ก้าวลงจากรถ ตามมาด้วยวาริน และวัชรี นมพริ้งก้าวเข้าไปหาต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ”
เจ้าสัววิรัตน์ยิ้มทัก “สวัสดีครับ ผมวิรัตน์ รัตนพงษ์ พ่อของวาริน และวัชรี ผมนัดคุณหญิงอำภาไว้”
“เชิญค่ะ...เชิญข้างใน คุณหญิงรออยู่แล้วค่ะ”
“แหมบ้านหลังนี้มันดีแท้...เย็นตั้งแต่ก้าวเข้ามาเลย แสดงว่าเป็นมงคล อยู่แล้วเป็นสุข”

คุณหญิงอำภาขยับตัวลงนั่งข้างเจ้าสัววิรัตน์ มีวาริน และวัชรีนั่งประกบอยู่ข้างๆ นมพริ้งนั่งห่างออกมาเล็กน้อย
“คุณหญิงอำภายังสวยไม่สร่างเลยนะครับ” เจ้าสัวยิ้มแย้ม
“ขอบคุณค่ะ”
“ทราบว่าท่านกวีไม่อยู่...ไม่อยู่มาสามวันแล้ว”
“เอ้อ...”
คุณหญิงอำภา อึกอัก ด้วยเธอไม่ได้เตรียมคำตอบไว้ก่อน
“คนเป็นนักการเมืองก็อย่างนี้แหละครับ อยู่กับการเมืองมากกว่าการบ้าน...แต่อย่าคิดว่าผมรีบมาวันนี้เพราะจะฉวยโอกาสตอนท่านกวีไม่อยู่นะ...แค่มาทำความรู้จักกันไว้เท่านั้นแหละ”
คุณหญิงหันไปทางแม่นม “พริ้ง ยายอ้อล่ะ ไปตามยายอ้อมาสิ”
“หนูอ้อ มานู่นแล้วค่ะ”
นมพริ้งมองไปยังทางเข้า อมาวสีเดินตรงมายังวงสนทนา เธอยกมือไหว้เจ้าสัววิรัตน์
“เอ วันนี้หนูอ้อดูสวยขึ้นนะ ปกติเจอกันที่บ้านป๋า ไม่เห็นสวยเท่านี้เลย ว่ามั้ยวาริน” เจ้าสัวสัพยอกลูกชาย
“น้องเขาสวยทุกที่ ทุกวัน อยู่แล้วครับป๋า”
“จริงเหรอ...ว่าไงยายวัชรี”
“คุณป๋าไม่ค่อยได้เจอยายอมาต่างหาก...นานๆ เจอทีก็อย่างนี้แหละ” วัชรีบอก
เจ้าสัววิรัตน์เหน็บลูกสาวอย่างอารมณ์ดี “มิน่าแกถึงได้ขี้เหร่ลงเรื่อยๆ เพราะป๋าเจอหน้าแกทุกวันนี่เอง”
วัชรีกระเง้ากระงอด “ป๋าอ้ะ”
เจ้าสัววิรัตน์หันไปพูดกับคุณหญิงอำภา
“คนกำลังมีความรักก็อย่างนี้หละครับ ผ่องผุดไปทั้งกายทั้งใจ...ใช่มั้ยหนู”
“เอ้อ...ค่ะ”
“แหม ที่จริงมันน่าจะสู่ขอซะวันนี้ ให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลยเนอะ ว่าไงวาริน”
วารินปราม “ป๋าครับ...”
“เอาไว้รอท่านกวีอยู่ด้วยดีกว่ามั้งคะ” คุณหญิงออกตัวท้วงอย่างสุภาพ
“ครับ...ผมมันใจร้อนอย่างนี้เอง ประสาคนทำธุรกิจ...เอาเป็นว่า ที่มาพบคุณหญิงวันนี้ ก็เพื่อเป็นการแสดงตน ยืนยัน และรับรองการคบหากันก็หนุ่มสาวทั้งสอง...คุณหญิงจะได้สบายใจ เวลาที่นายวารินมารับน้องอ้อไปไหนมาไหน...ไอ้ผมเองก็จะได้สบายใจว่า นายวารินมันได้คนดีมีชาติตระกูลมาเป็นว่าที่คู่ครองของมัน...เอาตามนี้นะครับ”
“ค่ะ”
“คุณหญิงไม่ได้มีอะไรรังเกียจรังงอนเจ้าวาริน หรือตระกูลรัตนพงษ์ของผมใช่มั้ยครับ”
“ไม่หรอกค่ะ ดิฉันยินดีค่ะ...ขอเพียงให้เด็กทั้งสองรักกันจริงๆ ดิฉันไม่มีอะไรขัดข้องค่ะ”
“งั้นเราถ่ายรูปหมู่กันหน่อยดีมั้ยครับ ถ่ายรูปไว้เป็นสักขีพยาน...เหมือนกับว่าวันนี้เรามาลงนามในสนธิสัญญาเกี่ยวดองกัน...เข้าท่าเนอะ...เอ้าเจ้าบ่าว เจ้าสาว มานั่งคู่กันเร็ว”
นายห้างวิรัตน์จัดแจงที่ให้วารินนั่งคู่กับอมาวสี
“หอมแก้มกันด้วย ดีมั้ย วาริน”
เจ้าสัววิรัตน์ดูมีความสุขล้น อมาวสีวางท่าทีเรียบเฉยจนวารินเกรงใจ
“ไม่เป็นไรก็ได้ป๋า เอาไว้วันแต่งงานจริงๆ ดีกว่าครับ”
เจ้าสัวผู้อารมณ์ดีนึกหมั่นไส้ลูกชาย

“ตามใจ กำไรนิดๆหน่อยๆ ไม่รู้จักคว้าเอาไว้ ไอ้ลูกคนนี้”

ส่วนที่วัดอันสวยงามร่มรื่นตอนเช้าวันเดียวกันนี้ ราชพาตัวเองมาที่นี่ และเดินเข้าไปยืนหน้ากำแพงวัด อันเป็นที่เก็บกระดูกชาลินี เขายืนจ้องมองรูปชาลินี เสียงความในใจของราชดังขึ้นในความคิดที่เขาส่งไปยังวิญญาณชาลินี

“ผมไม่ได้มาหาคุณนานมากแล้ว และคงอีกนานกว่าผมจะได้มาที่นี่อีก หรืออาจจะไม่มีโอกาสได้มาอีกเลยก็เป็นได้ เพราะผมจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว คุณรู้มั้ยทำไมผมถึงเลือกมาหาคุณ เพราะคุณเป็นคนเดียวที่ฟังเสียงของหัวใจผมได้...ชาลินี...ฟังหัวใจผมชัดๆอีกซักทีได้มั้ย ผมไม่ได้ยินเสียงมันนานมากแล้ ผมแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า สิ่งที่ผมทำทุกวันนี้ มันเป็นการทำตามหัวใจ หรือหลอกหัวใจตัวเองกันแน่ แต่สุดท้ายแล้ว คำตอบก็คงอยู่ที่ตัวผมเอง ผมคงต้องค้นหามันด้วยตัวของผมเอง ลาก่อนนะ ชาลินี ผมดีใจที่ได้มีโอกาสเจอคุณ แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ก็ตาม”
ราชหันตัวกลับ เขาค่อยๆ เดินจากไปเงียบๆ

อมาวสีนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงระเบียงบ้าน คุณหญิงอำภาเดินเข้ามานั่งข้างๆ
“วันนี้ไม่ออกไปไหนเหรอ อ้อ”
“ไม่ละค่ะ”
“เดี๋ยวพี่วารินเขาจะแวะมาหาเราอีกรึเปล่า”
“วันนี้คงไม่แล้วค่ะ...พี่เขาต้องไปงานกับคุณป๋าของเขา”
“คุณวารินเขาสุภาพนะ...ดูเป็นคนใจเย็น เป็นผู้ชายเรียบร้อยมากๆ”
“ค่ะ”
“ช่างต่างกันเหลือเกิน...กับผู้ชายในสมุดบันทึกเล่มนั้น” คุณหญิงพูดเปรยขึ้นมาลอยๆ
อมาวสีนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก
“ผู้ชายปากแข็งคนนั้น อาจจะดูไม่สุภาพ ไม่นุ่มนวลเท่าคุณวาริน แต่ดูมีเสน่ห์ชวนให้คิดถึงไม่น้อย”
“มันเป็นแค่ความฝัน แค่ภาพลวงตาชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นค่ะ คุณอา”
“ระหว่างภาพลวงตากับภาพจริง อ้อ รู้มั้ยว่าเราต้องใช้อะไรเป็นเครื่องวัด”
อมาวสีนิ่งงันไป
“ใจไง...เปิดใจเถอะอ้อ เปิดใจให้หมด อย่าเอาเงื่อนไขใดๆ มาครอบงำหัวใจ แล้วเราจะเลือก เราจะตัดสินใจอะไรได้แม่นยำขึ้น เชื่ออาเถอะ”
จันเดินเอาโทรศัพท์มาส่งให้
“โทรศัพท์ถึงคุณหญิงค่ะ”
“จากไหน”
“จากตำรวจค่ะ”
คุณหญิงอำภายกโทรศัพท์ขึ้นพูด สีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ฮัลโหล...ค่ะ...ที่ไหนคะ...ขอบคุณค่ะ”
พอคุณหญิงอำภาลดโทรศัพท์ลง น้ำตาไหลพรากออกมาทันที
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณอา”
“ตำรวจพบเสื้อผ้าของคุณกวี”
“ที่ไหนคะ”
“ลอยน้ำมาติดอยู่ที่ท่าน้ำจังหวัดปทุม”
อมาวสีหน้าซีดเผือดตามไปด้วย
“เขาต้องการให้เราพิสูจน์ว่า ใช่เสื้อผ้าคุณกวีจริงรึเปล่า...โธ่”

คุณหญิงอำภาร้องไห้โฮออกมาเสียงดังลั่นบ้านพิชิตพงษ์

อ่านต่อหน้า 3

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 15 (ต่อ)

ที่ล็อบบี้โรงแรมแห่งนั้น นายตำรวจคนสนิทของครอบครัวพิชิตพงษ์ เดินตรงไปหาคุณหญิงอำภา ที่เพิ่งก้าวเข้ามาพร้อมกับอมาวสีและนมพริ้ง ก่อนจะเดินนำสามคนไปนั่งยังมุมที่ดูเป็นส่วนตัว

“เชิญนั่งครับ ที่ผมต้องเชิญคุณหญิงมาที่นี่ก็เพื่อไม่ให้เป็นข่าว ตอนนี้ยังไม่มีนักข่าวคนใดทราบเรื่องนี้ครับ”
คุณหญิงพยักหน้ารับรู้ “ค่ะ”
“ผมอยากให้เก็บเรื่องเงียบไว้ก่อน จนกว่าเราจะทราบข้อเท็จจริง”
“เข้าใจค่ะ”
ตำรวจส่งรูปถ่ายหลายใบให้คุณหญิงดู รูปเหล่านั้น มันคือรูปเสื้อผ้าของท่านกวีลอยติดกอสวะในแม่น้ำและยังมีรูปเฉพาะเสื้อผ้าเหล่านั้นชัดๆ ที่ทางตำรวจนำขึ้นมาถ่ายโดยวางราบกับพื้นและมีหมายเลขกำกับ เพื่อใช้เป็นวัตถุพยาน
คุณหญิงอำภาน้ำตาไหลพราก เช่นเดียวกับนมพริ้งและอมาวสี
“ใช่แล้ว ใช่แล้วค่ะ...เสื้อผ้าของท่านกวีจริงๆ”
อมาวสีงงทำอะไรไม่ถูก “นี่แปลว่า...”
“เราตั้งข้อสันนิษฐานทุกประเด็นที่เป็นไปได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะต้องตามสืบต่อไปอาจจะเป็นฆาตกรรมชิงทรัพย์ หรือแม้แต่ เจตนาฆ่าตัวตายก็เป็นได้”
นมพริ้งครวญ “โธ่ คุณท่าน...ไม่น่าเลย”
ทันใดนั้น คุณหญิงอำภาก็เป็นลมล้มลงทันที
อมาวสีตกใจมาก “คุณอา”
นายตำรวจตะลึง “คุณหญิง”
นมพริ้งร้องอุทานลั่น “คุณท่าน”
นายตำรวจรีบพูดวิทยุเรียกรถพยาบาลทันที

ฟากภากรกดรับโทรศัพท์ระหว่างขับรถมาตามทาง
“ว่าไงนะอ้อ คุณแม่เป็นอะไร”
อมาวสีนั่งในรถตู้บ้านพิชิตพงษ์ นมพริ้งนั่งอยู่ด้วยข้างๆ กัน ทั้งสองมีสีหน้าไม่สู้ดี
“คุณอาเป็นลมค่ะ อยู่ๆก็หมดสติล้มไป ที่น่าเป็นห่วงก็เพราะคุณอาเป็นโรคหัวใจอยู่ด้วย ตอนนี้เรากำลังรีบพาท่านไปโรงพยาบาล”
ภากรพูดโทรศัพท์เสียงเครียด
“โรงพยาบาลอะไร ฉันจะไปเยี่ยมเดี๋ยวนี้ ขอบใจมากอ้อ”

ในรถตู้ของบ้านพิชิตพงษ์ อมาวสีกดปุ่มวางสายโทรศัพท์ นมพริ้งเอ่ยปากพูด
“แล้วจะไม่บอกพี่ภาคย์หน่อยเหรอคะ คุณอ้อ”
อมาวสีชะงัก “พี่ภาคย์”
นมพริ้งบอกว่า “คุณราชน่ะค่ะ”
“เขาคงไม่อยากจะโผล่หน้ามาหรอกป้า”
“แกจะมาหรือไม่มา ก็ต้องบอกแกหน่อยเถอะนะคะ คุณอ้อ”

ทางด้านราชนั่งเหม่อลอยริมทะเล ชายหาดส่วนตัวของสำนักงานรักษ์เล เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
ราชกดปุ่มรับนิ่งฟัง
“ฮัลโหล...ที่ไหน เมื่อไหร่”
วารินยืนพูดโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่งในโรงพยาบาล
“ซักสองชั่วโมงที่แล้ว ที่ล็อบบี้โรงแรม ตำรวจเอารูปเสื้อผ้าท่านกวีให้ดู ก็เป็นลมเลย”
“เสื้อผ้าท่านกวี”
“ใช่ ตำรวจพบลอยน้ำมาติดฝั่งแถวจังหวัดปทุม”
“ท่านกวีโดดน้ำตายเหรอ”
วารินยังพูดโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่งในโรงพยาบาล
“ไม่รู้ว่ะ ตำรวจยังไม่สรุป จนกว่าจะได้หลักฐานชัดเจนขึ้น...นายจะแวะไปเยี่ยมคุณหญิงหน่อยมั้ย ตอนนี้อยู่ไอซียู ไม่พูดไม่จากับใคร”
น้ำเสียงราชแปลกใจ “ไอซียูเลยเหรอ”
“เออ...หมอต้องติดเครื่องมอนิเตอร์คลื่นหัวใจ มีพยาบาลเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด นายแวะมาหน่อยมั้ย”
“ไปทำไม ฉันไม่ใช่พยาบาล ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักนิด ทีหลังนายไม่ต้องโทร.มาบอกเรื่องพวกนี้กับฉันนะ”
“ก็ไม่รู้...น้องอ้อใช้ให้โทร. ฉันก็โทร.นายไม่มาก็อย่ามา ไม่เห็นต้องทำเสียงหงุดหงิดเลย”
วารินวางโทรศัพท์ลงงงๆ

ส่วนที่ชายหาด ราชวางโทรศัพท์ลง เขานั่งนิ่ง ซึม ลึก

ฝ่ายคุณหญิงอำภานอนนิ่งอยู่บนเตียงในห้องไอซียู มีหมอและพยาบาลกำลังตรวจอะไรบางอย่างอยู่มีผนังกระจกแผ่นใหญ่ กั้นระหว่างบริเวณเตียงกับส่วนที่เป็นห้องด้านนอกซึ่งเป็นพื้นที่ของพยาบาล

อมาวสี นมพริ้ง และวาริน ยืนเฝ้ารอดูอยู่บริเวณนอกห้อง ภากรเดินเข้ามา นมพริ้งหันไปเห็นก็ร้องทัก
“คุณภากร”
“แม่เป็นยังไงบ้าง”
“ไม่พูดจา ไม่สื่อสารกับใครเลย”
หมอเดินออกมาจากห้องคนไข้
“ผมขอเข้าไปข้างในได้มั้ยครับ”
“หมออนุญาตให้ทีละคนก็แล้วกันนะครับ...พูดคุยกับท่านได้ ท่านรับรู้ แต่ไม่ตอบรับเราเท่านั้น...อย่าเอาเรื่องเครียดมาพูดให้ท่านฟังก็แล้วกัน”
“ครับ”
ภากรเดินเข้าไปในบริเวณเตียงคนไข้
นมพริ้งเอ่ยถาม “ต้องอยู่อย่างนี้อีกนานแค่ไหนคะหมอ”
“จนกว่าหัวใจจะเต้นเป็นปกติน่ะครับ...เราจับตาดูเรื่องการเต้นของหัวใจเป็นสำคัญ ก็เลยต้องอยู่ไอซียู เท่านั้นเองครับ คุณหญิงคงมีเรื่องอะไรกระทบใจอย่างหนัก เพราะฉะนั้นถ้าท่านได้รับรู้มีเรื่องราวดีๆที่เป็นบวกกับสภาพจิตใจบ้าง ก็อาจจะทำให้อาการดีขึ้น ญาติๆยังไม่ต้องตกใจอะไรมากนะครับ หมอและพยาบาลจะเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดครับ แต่ถ้าจะเล่าอะไรให้คนไข้ฟังค่อยๆ เล่าทีละนิดนะครับ อย่าพรวดพราด เพราะการดีใจมากๆคนไข้ก็อาจจะช็อกได้เหมือนกัน”
หมอพูดจบ ก็เดินออกไปจากห้อง

ภากรเดินเข้าไปยืนชิดปลายเตียงคนไข้ในห้องไอซียู น้ำตาของเขาเอ่อขึ้นมาเต็มเบ้าเมื่อเห็นสภาพของผู้เป็นแม่ ค่อยๆ เอ่ยปากพูดออกมาว่า
“แม่ครับ...แม่ได้ยินผมใช่มั้ย...หมอบอกว่าแม่รับรู้ได้ แต่ไม่อยากตอบ...ไม่เป็นไรครับ...หมอบอกว่าให้หาเรื่องดีๆมาคุยกับแม่...เรื่องดีที่สุดของผมก็คือเรื่องเมียและลูก ผมพาสีไพรมาด้วยนะครับ แต่ยังรออยู่ในรถ ท้องเธอโตขึ้นมาแล้ว ลูกผมกำลังดิ้นเลย แม่คงนึกออกว่าเวลาเด็กในท้องดิ้นเป็นยังไง ผมว่าลูกผมคงดิ้นไม่แพ้ผมหรอก”
คล้ายกับว่า คุณหญิงอำภาเธอรับรู้ แต่ยังคงสงบนิ่ง
“ผมรู้ว่าแม่รักพ่อมาก พ่ออาจจะยังไม่เป็นอะไรก็ได้ครับแม่ ถ้าพ่อรู้ว่าแม่นอนอยู่ที่นี่ เขาต้องมาเยี่ยมแม่เอง ผมรับรอง...รวมทั้งนายภาคย์ด้วยอีกคน...แม่ได้ยินใช่มั้ยครับ”

พระอาทิตย์โผล่ขึ้นเหนือชายชายหาดรักษ์เล ราชนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในออฟฟิศ นักข่าวรายงานว่า
“เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีเสื้อผ้าผู้ชายลอยน้ำมาติดกอสวะริมตลิ่งดูสภาพแล้วน่าจะเป็นเสื้อผ้าของคนระดับเศรษฐี เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบจึงพบลักษณะระบุว่าเป็นเสื้อผ้าของท่านอดีตรัฐมนตรีกวี พิชิตพงษ์ ซึ่งไม่มีข่าวแพร่งพรายมาก่อนเลยว่า ท่านหายสาบสูญไป”

อมาวสี และนมพริ้งดูข่าวทีวีอยู่ในห้องโถงกลางบ้านพิชิตพงษ์ เสียงนักข่าวในจอทีวีรายงานข่าวชิ้นเดียวกับที่ราชอ่าน
“เมื่อผู้สื่อข่าวติดต่อไปยังคนในบ้านพิชิตพงษ์ ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆทั้งสิ้น...เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องน่าสงสัย ที่เจ้าหน้าที่ต้องตามสืบกันต่อไป”
นมพริ้งเอ่ยปากอย่างขัดใจ

“ใครเป็นคนปล่อยข่าวนี้ออกไปนะ”

ราชวางหนังสือพิมพ์ลง เขาเงยหน้า มองจอทีวีข้างๆตัว

“เป็นที่น่าสังเกตว่าคนในตระกูลนี้มักจะมีอันเป็นไป มีเหตุให้หายสาบสูญกันอยู่บ่อยๆ...ไม่ทราบว่าเพราะอะไร...ตอนนี้นักข่าวกำลังติดตามดูท่าทีของคุณหญิงอำภา ซึ่งยังตามตัวเธอไม่เจออยู่เช่นกัน”

ส่วนที่ห้องไอซียูตอนนี้ พบว่าเครื่องตรวจสัญญาณชีพจรคุณหญิงอำภา แสดงผลว่าหัวใจเต้นรุนแรงมาก ในนั้นหมอและพยาบาล รีบวิ่งเข้าไปปฏิบัติการช่วยเหลือทันที ในห้องพยาบาลมีจอทีวีที่กำลังเสนอข่าวเดียวกันอยู่

มุมหนึ่งในบริเวณห้องไอซียู หมอกำลังอธิบายอาการคุณหญิงอำภาให้อมาวสีและนมพริ้งฟัง
“ไม่มีอะไรน่าตกใจครับ”
“หมอชอบพูดปลอบใจอย่างนี้เรื่อยเลย” แม่นมชราทัก
“หมอพูดความจริงครับ ตอนนี้เราควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจได้แล้ว แต่ต้องระวังอย่าให้มีอะไรมากระทบจิตใจแรงๆโดยไม่ทันตั้งตัวอีก ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือร้ายก็ตาม เพราะถ้าหัวใจเต้นผิดจังหวะอีก คราวต่อไป เราอาจจะโชคไม่ดีเหมือนคราวนี้ก็ได้”
“เนี่ยเหรอหมอ ที่ว่าไม่มีอะไรน่าตกใจ” นมพริ้งค่อนขอด
อมาวสีเอ่ยขึ้น “หมอคะ ถ้ามีคนที่คุณอาอยากเจอมากๆ เขามาหาคุณอาที่นี่ จะมีผลดีต่อการเต้นของหัวใจคุณอามั้ยคะ”
“ก็อาจจะดี แต่ต้องเกริ่นให้คนไข้ค่อยๆรู้ตัวก่อน ปุบปับโผล่มาเลย ก็แย่ได้เหมือนกันครับ”
“ค่ะ”
หมอสงสัย “หมายถึงท่านกวีรึเปล่าครับ”
อมาวสีส่ายหน้า “เรายังหาตัวท่านกวีไม่เจอค่ะ แต่มีผู้ชายอีกคนนึง ที่เราน่าจะหาตัวได้ง่ายกว่า”
“ใครครับ”

อมาวสีบอกทันทีโดยไม่ต้องคิดว่า “ราช รัชภูมิ”

รุ่งเช้า วารินวางโทรศัพท์มือถือลง เขานั่งอยู่เบื้องหน้าอมาวสีและนมพริ้งในล็อบบี้โรงพยาบาล

“โทรเท่าไหร่ ก็ไม่มีสัญญาณ อาการเหมือนปิดเครื่อง...เจ้าราชทำอย่างนี้บ่อยเหมือนกัน เวลาไม่อยากเจอใคร...อ้างว่าไปตกช้างอยู่แถวพม่า ก็ยังเคย”
“เราลองเดาดูมั้ยคะ ว่าแกน่าจะอยู่ที่ไหน” นมพริ้งว่า
“อาจจะเป็นภูเก็ต ไอ้หมอนี่มันไปบ่อย”
อมาวสีคิด คล้อยตาม “ลุงเขาอยู่ที่นั่น”
วารินบอก “ชื่อรีสอร์ทรักษ์เล”
“ลองโทร.ไปสิคะ” นมพริ้งบอก
“ไม่มีคนรับเหมือนกันครับ”
“อ้ออาจจะต้องไปที่นั่นเองค่ะป้า” อมาวสีบอกออกมา

เย็นแล้วขณะที่ราชขับรถไปบนถนนเลียบหาดในภูเก็ต อารมณ์ของราชดูเหงา เศร้า ซึมลึก

เวลาเดียวกันนี้ อมาวสียืนชิดหน้าเตียงคุณหญิงอำภา เธอนิ่งอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยปากพูดออกมาว่า
“คุณอาคะ อ้อจะไม่อยู่สักวันสองวันนะคะ อ้อจะไปหาเขาค่ะ...อ้อจะไปพาพี่ภาคย์มาหาคุณอา...เขาควรจะมาเยี่ยมคุณอาบ้าง...มันเป็นสิ่งที่ลูกควรทำต่อผู้เป็นแม่...คุณอาทำใจให้สบายๆนะคะ ไม่เกินสองวัน พี่ภาคย์จะมายืนตรงที่อ้อยืนอยู่นี้...อ้อมาบอกคุณอาไว้ก่อน คุณอาจะได้ไม่ต้องตื่นเต้นมากไงคะ... คุณอารอเจอพี่ภาคย์นะคะ อีกอึดใจเดียวค่ะ”

ทางด้านราช ขับรถโฉบเข้ามาจอดบนไหล่ทางริมทะเลภูเก็ต ตรงนั้นมีสาวสวยเปรี้ยวคนหนึ่งยืนรออยู่ตรงนั้น เธอคือ ชิดชไม...เธอกลับมาแล้ว ชิดชไมก้าวเข้าไปเกาะรถ ข้างๆ ราช ท่วงท่าเซ็กซี่เหลือล้น
“ยินดีต้อนรับสู่เกาะรักษ์เลครับ”
“แหม...เจ้าของเกาะขับรถมารับเองซะด้วย”
“ลุงรักษ์กำชับไว้ว่า ความสะดวกสบายของลูกค้า คือหน้าที่สำคัญ ที่เราต้องให้บริการครับ”
“เสียใจเรื่องลุงรักษ์ด้วยนะคะ”
“ครับ...ผมเปิดห้องสูทไว้ให้คุณนะครับ...เรานอนกันคนละห้องก่อน...ดีมั้ย”
“ดีค่ะ...ถือเป็นระยะวัดใจ ระหว่างเรา”
“ไปครับ”

ชิดชไมก้าวขึ้นรถ ราชขับรถออกไปทันที

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 15 (ต่อ)

พระอาทิตย์ดวงกลมโต โผล่พ้นขอบฟ้า กลางทะเลอันดามัน ที่รีสอร์ทรักษ์เลเช้านี้ อากาศแสนสดใสดังเช่นทุกวัน

มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ประตูห้องนอนนั้นเปิดออก ราชเดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารเช้า ส่วนชิดชไมยังคงนอนอยู่อยู่บนเตียง
“มอร์นิ่ง...เบรคฟาสต์ครับ”
“โอ้โห เอาใจลูกค้าน่าดู...เจ้าของรีสอร์ทบริการเองเลยเหรอนี่”
“แน่นอนครับ เพราะตอนนี้เราไม่มีพนักงานเลยแม้แต่คนเดียว”
“แปลว่าที่ชวนแคลร์มานี่ เพื่อให้แคลร์มาช่วยงานรีสอร์ทรึเปล่า”
“อันนี้ก็อยู่ที่ว่า คุณชิดชไม จะปักหลักปักใจอยู่กับผมที่นี่เลยหรือไม่”
ชิดชไมขยับตัวลุกขึ้นนั่ง จ้องหน้าราช
“พูดจริงหรือพูดเล่นคะนี่”
“ในระยะวัดใจระหว่างเรา...ไม่ควรโกหกกันครับ”
ทั้งสองจ้องหน้า ค้นหาความจริงระหว่างกัน สักพัก
“ยังไม่ตอบผมก็ได้ จนกว่าจะพร้อม”
“คืนนี้ หลังจากเราดื่มไวน์กันซักสี่ขวด แคลร์จะตอบคุณค่ะ”
“งั้นขอเชิญทานอาหารเช้าก่อน ผมจะไปรอข้างล่าง คุณจัดแจงธุระให้เสร็จแล้วเราจะไปเล่นเรือกัน”
ชิดชไมบอก “โอเค”
ราชเดินออกไปจากห้อง ชิดชไมลุกเดินไปยืนสูดอากาศบนระเบียง มองออกไปยังท้องทะเล เธอยิ้มเต็มยิ้ม ดูมีความสุขยิ่งนัก
พลันนั้นเองสายตาเธอสะดุดกับอะไรบางอย่างที่อยู่ชายหาด ริมทะเล

ชิดชไมเขม้นมอง จนประจักษ์ในสายตาว่า เป็นอมาวสีที่เดินดุ่มๆ มาตามชายหาดเพียงลำพัง

อมาวสีก้าวเข้ามาบริเวณหน้าหาด ราชยืนอยู่ในออฟฟิศ หันไปมองเห็นการมาของเธอที่เขาคิดถึงราชเดินไปยืนเบื้องหน้าอมาวสี ริมหาด เบื้องหลังของคนทั้งสอง เป็นระลอกคลื่นทะเลที่โหมกระหน่ำเข้าใส่ชายหาดอย่างรุนแรง

ทั้งสองจ้องหน้ากันนิ่ง อยู่สักพัก อมาวสีเอ่ยปากทักออกมาว่า
“คุณภาคย์ ทวยไท”
ราชยิ้มหยัน “เรียกชื่อผมซะเต็มยศเลยนะ”
“คุณจะไม่ค้านอีกเหรอว่าไม่ใช่”
“ผมเบื่อแล้ว”
“เพิ่งเบื่อเหรอคะ คุณควรจะเบื่อตั้งนานแล้วกับการหลอกผู้คนว่าเป็นคนโน้นเป็นคนนี้”
“ผมเบื่อที่คุณบังคับให้ผมเป็นคนโน้นเป็นคนนี้ต่างหาก ที่จริงแล้ว ผมจะเป็นใคร มันไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับพวกคุณเลย แล้วตอนนี้ คุณจะหันมาทำดีกับคนที่ชื่อภาคย์ เพื่ออะไร เพื่อให้เขาให้อภัยให้พวกคุณ...เพื่อให้เขาสงสารคุณ ในวันที่พวกคุณไม่มีอะไรเหลือ และวันนี้ก็คงเพื่อให้ผมกลับไปให้กำลังใจผู้หญิงคนนึงที่ช็อกไปเพราะบาปกรรมที่ตัวเองทำ...ผมเบื่อเรื่องเหล่านี้ที่สุด”
“คุณฟังฉันก่อนได้มั้ย ฉันเป็นคนมาตามคุณ คุณต้องฟังฉันบ้าง ฉันไม่ได้ดั้นด้นเพื่อมายืนให้คุณด่าฉันนะ”
“ช่วยไม่ได้ คุณพูดไม่ทันผมเอง”
“งั้นกรุณาตั้งใจฟังฉันนะ”
“ว่ามา”
อมาวสีสูดลมหายใจเต็มปอด เธอรวบรวมความคับแค้นในใจทั้งหมดและพรั่งพรูมันออกมาด้วยอารมณ์และความรู้สึกทั้งหมดที่เธอมีต่อชายผู้นี้
“ฉันตั้งใจมาเพื่อจะบอกให้คุณรู้จากปากฉันว่า ตอนนี้สถานการณ์ที่บ้านพิชิตพงษ์วิกฤติถึงที่สุดแล้ว...คุณอากวีหายตัวไป ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร คุณหญิงอำภาทรุดลงไปด้วยโรคหัวใจ...พูดให้ถูกคือหัวใจขาดเลือดจนเต้นผิดจังหวะ ซึ่งมันไม่ใช่อาการปกติ อาจถึงตายได้ หมอบอกว่าถ้ามีเรื่องดีๆ มากระทบจิตใจของท่านทีละนิดท่านก็อาจจะหายได้...เพราะฉะนั้นการที่ฉันดั้นด้นมาถึงนี้ ก็เป็นเพราะนี่คือโอกาสสุดท้ายที่คุณจะได้ไปกราบแม่ผู้ให้กำเนิดคุณ...ตอนนี้คุณหญิงอำภา หมดสติ และเธอไม่คิดว่าจะได้พบลูกชายของเธออีกแล้ว แต่ฉันกลัวว่าถ้าคุณอาเป็นอะไรไป ตัวลูกชายนั่นแหละที่จะต้องเสียใจที่ไม่อาจทดแทน หรือไม่แม้แต่จะกราบเท้าผู้เป็นแม่ซักครั้ง...ฉันเคยศรัทธา บูชา และภูมิใจในตัวพี่ภาคย์อย่างไร ฉันก็ยังคิดอย่างนั้นเสมอ แม้ว่าเขาจะแปรเจตนาฉันผิดไปอย่างไร แม้เขาจะคิดว่าการผิดสัญญาในวัยเด็กเป็นเรื่องใหญ่โตเกินกว่าจะให้อภัย ก็ช่างใจขาเถอะ ฉันเพียงแต่ทำหน้าที่ เด็กหญิงอ้อที่ห่วงใยพี่ภาคย์เสมอ ถ้าเขาไม่สนใจในสิ่งที่ฉันพูด ฉันก็จะกลับเดี๋ยวนี้ และเราคงตัดขาดกันนับจากนี้เป็นต้นไป”

ราชยืนฟังนิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้น

และเมื่ออมาวสีพูดจบเขาตรงเข้าไปประคองใบหน้าของเธอไว้มั่นพร้อมกับก้มลงไปจุมพิตริมฝีปากนั้นอย่างอบอุ่นและนิ่มนวล

อมาวสีไม่มีท่าทีปฏิเสธแต่อย่างใด ความรักของคนทั้งสองส่งผ่านริมฝีปากของเขาและเธอ สู่เบื้องลึกของหัวใจของกันและกัน
คลื่นทะเลโหมกระหน่ำ รุนแรงขึ้น ก่อนจะค่อยๆ สงบลง กลายเป็นท้องทะเลที่เรียบ สวยงาม

ชิดชไมยืนอยู่บนระเบียงห้องนอน เธอจ้องมองความเป็นไปของราชและอมาวสีตาเขม็ง ความรู้สึกเข้าใจ และยอมรับความเป็นจริงบางอย่างเกิดขึ้นในใจของเธอ
จังหวะนี้ราชถอนปากออกจากปากจากอมาวสี
“แล้วคุณจะรู้เองว่า ผมจะไปหรือไม่ไป”
ราชเดินกลับเข้าออฟฟิศทันทีที่พูดจบ ทิ้งให้อมาวสียืนนิ่งอยู่เพียงลำพัง

เวลานี้ สามคนอยู่ในอาการเซื่องซึมตามวิถีใครมัน อมาวสีเดินซึมน้ำตาไหลรินอยู่เพียงลำพังริมหาด ด้านราชนั่งซึมอยู่ริมหาดอีกมุม

ส่วนชิดชไมยืนซึมอยู่บนระเบียงห้องอย่างเดียวดาย

ขณะที่ราชนั่งนิ่งๆ ริมหาด ชิดชไมเดินเข้ามายืนเบื้องหน้าราช ในชุดทะมัดทะแมงสภาพพร้อมเดินทาง ราชมองครีเอทีฟโฆษณาสาวมั่นอย่างแปลกใจ

“คุณจะใส่ชุดนี้ไปเล่นเรือเหรอครับ”
“ไม่ละ ฉันไม่ไปเล่นเรือ ฉันจะกลับกรุงเทพฯ”
“ทำไมล่ะ”
“ฉันพอแล้ว”
ราชยิ่งงง “พอแล้ว”
“ฉันรู้จักคุณดีพอแล้วค่ะ เกือบสามปีแล้วนะที่เราคบกันมา คุณเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มากสำหรับแคลร์ แต่คุณไม่ใช่คนที่แคลร์จะฝากชีวิตไว้ด้วย ถ้าจะถามว่าทำไม แคลร์แนะนำให้คุณถามใจตัวเองดีกว่า”
ชิดชไมกระเถิบเข้าใกล้ราช
“แคลร์มีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ๆคุณนะคะ”
ราชมองหน้าชิดชไมนิ่ง
“แต่มันไม่ใช่สุขที่มั่นคง ยั่งยืน ตราบใดที่คุณยังมี ใครอีกคนในใจคุณเสมอ”
ราชพูดอะไรไม่ออก
“เราเลิกกันแค่นี้ดีกว่าค่ะ”
“แคลร์...”
ชิดชไมขยับตัวเดินออกไป เธอนึกอะไรบางอย่างได้ จึงหันมาหาราชอีกครั้ง
“อ้อ ที่คุณถามแคลร์ ว่าจะปักหลักปักใจอยู่กับคุณที่นี่มั้ย คำตอบคือ ไม่ค่ะ... ไม่เด็ดขาด...โชคดีนะราช”

ชิดชไมเดินจากไป และไม่หันหน้ากลับมามองราชอีกเลย

ราชนั่งซึมอยู่เพียงลำพังอย่างเดียวดาย

อ่านต่อตอนที่ 16 อวสาน
กำลังโหลดความคิดเห็น