หัวใจเถื่อน ตอนที่ 8
เหตุการณ์หนึ่งที่ยังตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาและเธอจนวันนี้ เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่บริเวณระเบียงสวยบ้านพิชิตพงษ์ เมื่อเกือบยี่สิบปีมาแล้ว
ตุ๊กตาสองตัวจับคู่เต้นรำกัน ท่ามกลางเพลงแต่งงาน มันเป็นตุ๊กตาเซรามิกสวยใส ในรูปลักษณ์ของเจ้าบ่าวเจ้าสาว
เด็กชายหญิงสองคน เกาะโต๊ะ จ้องมองตุ๊กตานี้อย่างหลงใหล เป็นเด็กชายภาคย์และเด็กหญิงอมาวสีนั่นเอง
“สวยจัง...นี่ชุดแต่งงานใช่มั้ย” เด็กหญิงถาม
“ใช่” เด็กชายบอก
“คนเราต้องแต่งงานกันด้วยเหรอ”
“ถ้าเขารักกัน เขาก็แต่งงานกันน่ะสิ”
“พี่ภาคย์ต้องแต่งงานมั้ย”
“วันนึงก็คงต้องแต่ง”
“แล้วอ้อล่ะ”
“อ้อก็เหมือนกัน”
“แล้วอ้อต้องแต่งกับใคร”
“กับคนที่อ้อรักน่ะสิ”
“ถ้าอ้อไม่รักล่ะ”
“ก็ไม่ต้องแต่ง...จำไว้นะอ้อ อย่ายอมให้ใครบังคับหัวใจเราเป็นอันขาด”
เด็กทั้งสองยังคงจับจ้องมองตุ๊กตาคู่นั้นอยู่
พระอาทิตย์ดวงเดิมโผล่พ้นขอบฟ้าอย่างซื่อสัตย์ บอกว่าเป็นเวลาในเช้าวันใหม่
กลางโถงกลางบ้านพิชิตพงษ์ตอนนี้ ภาพถ่ายคู่บ่าว สาวในอัลบั้ม ค่อยๆถูกพลิกเปลี่ยนหน้าไปทีละรูป พร้อมๆ กับที่เสียงครีเอทีฟบรรยายขายไอเดีย
“งานแต่งงานคืองานมงคลที่ทำให้ใครหลายคนมีความสุข หลายคนตั้งตารอคอยวันนี้...”
วงสนทนากลางห้องโถง มีครีเอทีฟจากบริษัทออร์กาไน้ซ์คนหนึ่งกำลังอธิบายคอนเซ็ปท์ของงานอยู่โดยมีคุณหญิงอำภา และท่านกวี นั่งฟังกลางวง
ภากรและอมาวสี นั่งคู่กันในฐานะว่าที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาว
“แต่ก็มีอีกหลายคนที่กังวลใจกับการจัดงานนี้ เพราะเกรงว่าจะทำไม่ทัน จะทำไม่ดี จะไม่เป็นที่น่าประทับใจ...
ครีเอทีฟคนนั้น บุคลิกของเขาไม่บ่งบอกเพศชัดเจนนักทว่า การพูดจานั้นฉะฉาน ชวนฟังยิ่ง
“ขอให้ยกความกังวลทั้งหมดนั้นมาไว้ที่เรา...เรายินดีทำให้ทุกอย่างของคุณเป็นเรื่องง่ายถึงง่ายมาก...เพียงแค่คุณเตรียมตัวทุกอย่างตามที่เราบอก เริ่มจากของชิ้นสำคัญ...แหวนแต่งงาน”
ภากรและอมาวสี ทั้งสองต่างมีรอยยิ้ม...ทว่าเป็นยิ้มคนละความหมาย
ห้องนั่งเล่น ในวันต่อๆมา
เสียงครีเอทีฟคนนั้นยังคงดังต่อเนื่อง
“อาจเป็นแหวนแต่งงานตั้งแต่สมัยคุณแม่ ที่ยังเก็บไว้และตกทอดมาถึงรุ่นลูก...คู่บ่าวสาวหลายคู่เลือกแหวนแต่งงานแบบนี้ เพราะมันมีเรื่องราว และมีคุณค่าน่าประทับใจยิ่งนัก”
คุณหญิงอำภาหยิบแหวนแต่งงานในกล่องเก่าให้อมาวสีดู
ช่างทำเรือนแหวนนั่งอยู่ไม่ห่าง ภากรยืนดู ยิ้มชอบใจ
“ต่อไปก็เป็นเรื่องการ์ดแต่งงาน...หลายคนกังวลว่าจะพิมพ์ไม่ทัน จะแจกแขกไม่ทั่ว และการ์ดจะสวยหรือเปล่า...ขอบอกว่า ใจเย็นๆ...เราทำได้ค่ะ”
ที่สำนักงาน บ.กลอนกวี เวลานี้ ท่านกวีดูแบบการ์ดแต่งงาน หลายๆแบบ ทีมงานจากบ.ออร์กาไน้ซ์ ยืนดูแลอยู่ใกล้ๆ ครีเอทีฟคนเดิมขายงานไว้ว่า
“ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เราสามารถออกแบบการ์ดแต่งงานได้นับร้อยแบบ ไม่ว่าจะแบบหรูหราอลังการ แบบวัยรุ่นทันสมัย แบบมีความเป็นไทย หรือแบบกราฟฟิค คลาสสิก โรแมนติก...ให้คุณเลือกจนกว่าจะได้แบบที่คุณพอใจ...ซึ่งสุดท้ายแล้วมันจะเป็นการ์ดแต่งงานที่เป็นแบบของคุณโดยเฉพาะ”
การ์ดแต่งงานที่ท่านกวีชื่นชอบ มีตัวอักษรภาษาอังกฤษ ตวัดซ้อนกันสวยงามว่า A&P
“เรื่องใหญ่ที่สุดที่ใช้เวลานานที่สุด ก็น่าจะเป็นเรื่องเรื่องเสื้อผ้า ทั้งชุดของเจ้าบ่าวชุดของเจ้าสาว รวมทั้งชุดของคุณพ่อคุณแม่ด้วยเช่นกัน”
ภากรและอมาวสี พากันมาลองชุด เลือกชุด มากมาย ในร้านเว้ดดิ้งหรู ตามคำแนะนำของครีเอทีฟ คนนั้น
“เรื่องนี้ต้องอยู่ที่รสนิยมและความพอใจของคู่บ่าวสาว ซึ่งเดี๋ยวนี้เรามีตัวอย่างชุดให้เลือกให้ลองมากมาย เพียงแค่คุณหาเวลาไปเลือกชุดที่คุณชอบ จากนั้นช่างฝีมือดีของเราจะเนรมิตชุดสวยที่สุดในสไตล์ของคุณได้ภายในชั่วพริบตา”
ที่เรือนนมพริ้ง คุณหญิงอำภาและนมพริ้ง กำลังวางแผนเลือกรายการอาหาร โดยมีทีมงาน ออร์กาไน้ซ์ยืนจดรายการอยู่ใกล้ๆ
“เรื่องอาหารก็ถือว่าสำคัญ...รายการอาหารที่เหมาะสมควรจะสัมพันธ์กับรูปแบบการของการจัดงาน แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าภาพสามารถมีเมนูพิเศษที่คิดขึ้นมาเฉพาะงานนี้ได้ ก็จะนับว่าเก๋ไก๋ไม่น้อย”
เสียงครีเอทีฟสาธยายยังคงดังอยู่
ต่อมา ในห้องโถงบ้านพิชิตพงษ์ ครีเอทีฟคนเดิม ยังคงอธิบายลำดับการจัดงานแต่งงานอยู่
“และเนื่องจากท่านกวีและคุณหญิงอำภา เป็นที่รู้จักกันดีในสังคมชั้นสูง ดังนั้นเพื่อความเหมาะสม สวยงาม และควรค่าแก่การจดจำ ดิฉันขอเสนอให้ถ่ายรูปสวยๆไม่เฉพาะเพียงคู่บ่าวสาว แต่จะรวมทั้งครอบครัว ทั้งคุณพ่อคุณแม่ไปด้วยเลย...ดีมั้ยคะ”
“โอเคตกลงตามนั้น” ประมุขพิชิตพงษ์บอก
“งั้น เราขอนัดถ่ายรูปวันมะรืนนี้เลยนะคะ...จะได้มีเวลาตกแต่งรูปได้ทัน”
“โอเค”
“ไม่มีอะไรสงสัยแล้วใช่มั้ยคะ” ครีเอทีฟถาม
“ฝากไว้เรื่องเดียวครับ...คุณต้องทำให้งานแต่งงานของผม เป็นที่กล่าวขานกันไปอีกนานแสนนานนะครับ” ภากรกำชับ
“แน่นอนค่ะ...จนกว่าจะคุณมีงานแต่งงานครั้งใหม่...อุ๊บ...ซึ่งไม่น่าจะมี...ขอตัวกลับก่อนล่ะค่ะ”
ทีมงานออร์กาไน้ซ์ทั้งหมดพากันเดินออกไป ท่านกวีกระเถิบเข้าไปพูดใกล้ๆ ภากรและอมาวสี
“แต่งงานแล้ว พ่อจะต่อเติมบ้านใหม่ ให้เป็นเรือนหอของเราโดยเฉพาะ...แต่ระหว่างนี้ อ้อก็ย้ายมานอนห้องเจ้าภากรก่อนนะ”
“ค่ะ”
“แล้วคิดเอาไว้ด้วยว่า เราสองคนอยากจะไปฮันนีมูนกันที่ไหน” ท่านกวีถาม
การัณย์อ้าปากพูด อย่างมีความสุข
“ปักกิ่ง เมืองในฝัน...”
ทั้ง อนุ และ การัณย์ สนทนากันสบายๆ กลางโถงรับแขกในบ้านพักของราช การัณย์ดูจะฟุ้งกับความฝันของตน
“ตื่นเต้นตระการตากับพระราชวังต้องห้าม เดินข้ามจัตุรัสเทียนอันเหมิน เพลิดเพลินกับทะเลสาบคุนหมิง ยืนพิงกำแพงเมืองจีน...โอ้ว มีความสุขที่สุด”
“ถ้าน้องพึงใจเขาไปเรียนที่อื่น แกยังจะอยากไปเมืองจีนอีกมั้ย”
“พึงใจเรียนที่ไหน ฉันก็อยากไปที่นั่นแหละ...เหมือนแกไอ้อนุ อยู่ๆเกิดอยากไปเรียนภาษาที่ประเทศอังกฤษ...ได้วีซ่ารึยังล่ะ”
“ได้แล้วโว้ย พร้อมใบขับขี่สากล”
“แกจะไปเป็นคนขับรถ”
“ให้น้องนิลรัตน์คนเดียวโดยเฉพาะ” อนุบอก สีหน้าเบิกบานมาก !
ราช เดินถืออาหารว่างมาวางให้เพื่อนทั้งสอง
“แกล่ะไอ้ยักษ์...จะปักหลักอยู่ที่นี่กับคุณชิดชไมหรือจะแว่บไปเรียนต่อเมืองนอกกับน้องวัชรี”
“ฉันมีเรื่องอื่นต้องคิดมากกว่านั้นว่ะ”
อนุซักต่อ “เรื่องอะไร”
“ฉันอาจจะต้องลงใต้ เพื่อดูแลธุรกิจของคุณลุง”
อนุเดาส่ง “คุณชิดชไมตามไปอยู่ด้วย ชัวร์”
ราชส่ายหน้า “เขาก็มีงานของเขาอยู่ที่นี่ จะไปด้วยได้ยังไง”
“เอ้อ แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นหน้าเธอเลยว่ะเพื่อน” การัณย์พูดเป็นเชิงถาม
ราชกดโทรศัพท์เปิดไฟล์เสียงใน line ให้เพื่อนฟัง เสียงชิดชไมดังออกมาจากโทรศัพท์เครื่องนั้น
“แคลร์จำเป็นต้องหายหน้าไปซักพัก น่าจะห้าเดือนกว่าๆ...จะเรียกโกรธก็ไม่ใช่งอนก็ไม่เชิง...เอาเป็นว่าราชดูแลตัวเองดีๆแล้วกัน อีกครึ่งปีค่อยเจอกันใหม่แล้วดูซิว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ระหว่างเราสองคน...อ้อ ที่หายไปน่ะ แคลร์ไปทำงานเมืองนอกนะจ๊ะ อย่าคิดมาก เดี๋ยวผมร่วง...บ๊ายบาย”
เพื่อนๆ ฟังแล้วตาพองโต
การัณย์เย้า “แหม...อยากมีแฟนแบบนี้บ้างจังเลย สปอร์ตมาก แมนมากๆ ให้อิสระเราได้ทุกอย่าง...เยี่ยม”
“แต่ฉันว่า เลิกกันชัวร์...มาทรงนี้พนันกันได้เลยว่า เลิกแน่ๆ...แกบอกเลิกคุณชิดชไมไปรึยัง บอกมาซะดีๆ ไอ้ยักษ์” อนุซัก
“จะบอกเลิกได้ยังไง ในเมื่อยังไม่เคยบอกรักกัน”
“อ้าว...ซะงั้น...แกน่าจะบอกฉันก่อนนะ...ก่อนที่ฉันจะปักใจให้นิลรัตน์...แหมเสียดายจัง”
ราชเขียนเช็คเงินสดส่งให้การัณย์
“เอ้า นี่ ทั้งต้นและดอกที่กู้จากไฟแน้นซ์แก”
“ที่กู้ไปซื้อบ้านแก้วเนี่ยนะ”
“อือม”
“เฮ้ย...ไม่ต้องรีบจ่ายก็ได้นี่”
“ฉันอยากเคลียร์ให้จบๆ ว่ะ...เผื่อว่า จะไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว”
เพื่อนๆ พากันแปลกใจในคำพูดและท่าทีของราช
ท่านกวีและทนายชอบ หารือกันอยู่กลางสำนักงาน พร้อมด้วยเลขาสาวอีกหนึ่งคน คอยจดบันทึกตามคำสั่งท่านกวี
“นี่คือรายชื่อผู้ใหญ่ที่ท่านควรจะส่งการ์ดเชิญให้ครบ ถ้าท่านไม่เพิ่มเติมใคร ผมจะได้ให้คุณพัชรีพิมพ์รายชื่อเลย”
ท่านกวีพลิกดูตามรายการเร็วๆ
“เอาตามที่คุณชอบลิสต์มานั่นแหละ พอแล้ว”
“ส่วนนี่เป็นแผนบริหารจัดการเรื่องทรัพย์สินของท่าน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับการดำรงตำแหน่งทางการเมือง”
ทนายชอบส่งเอกสารชุดใหม่ให้ผู้เป็นนายดู
“หลักๆก็คือ บ้านจะเป็นของคุณภากรซึ่งกำลังจะแต่งงาน...ส่วนอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ เป็นของคุณหญิง...เงินสดในบัญชีท่านก็คงไว้เท่าที่สมเหตุผล...นอกนั้นก็มีการโอนเข้ามูลนิธิต่างๆ ที่ท่านดูแลอยู่”
“ทำยังไงก็ได้ อย่าให้มายึดทรัพย์ของผมไป เท่านั้นแหละ”
“ครับ”
“ยึดไปแต่ละที กว่าจะได้คืน...มันยุ่งมาก...เข้าใจนะ”
อมาวสีค่อยๆ เก็บข้าวของเครื่องใช้สำคัญของตัวเองลงกระเป๋า นมพริ้งเดินเข้ามาในห้อง เฝ้าสังเกตท่าทีของว่าที่เจ้าสาว
“มีอะไรให้ป้าช่วยมั้ยคะ”
อมาวสีส่ายหน้า “อ้อค่อยๆเก็บเองได้ค่ะ...มีเวลาอีกตั้งสองอาทิตย์”
“ป้าไม่เคยแต่งงาน ก็เลยไม่รู้ว่า คนที่กำลังจะแต่งงานเขารู้สึกอย่างไรบ้าง...แต่ป้าได้มีโอกาสใกล้ชิด ว่าที่เจ้าสาวมาแล้วถึงสองคนนะ”
อมาวสีรู้ทันที “คุณหญิงอำภากับคุณชาลินี”
“ใช่...ไม่น่าเชื่อว่าอาการทั้งสองคนไม่ต่างจากคุณอ้อเลยค่ะ”
“งั้นอ้อก็ไม่ได้แปลกแยกอะไร”
“แปลกทั้งสามคนเลยต่างหาก...คนกำลังจะเป็นเจ้าสาว ก็น่าจะมีความสุขที่สุด...แต่มันตรงข้ามกับท่าทางของเจ้าสาวทั้งสามคนโดยสิ้นเชิง” แม่นมสูงวัยว่า
“ต่างคน ต่างจิต ต่างใจ ความสุขของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้”
นมพริ้งยิ้มให้กำลังใจอมาวสี
“ขอให้เป็นความสุขจริงๆเถิด”
ภากรเดินเข้ามาในห้องอมาวสี เขาถือรูปถ่ายในวันที่ไปลองชุด ติดมือมาด้วย
“น้องอ้อ เห็นรูปพวกนี้หรือยัง...สวยทุกชุดเลยนะ...แต่เราต้องเลือกแล้วละว่าจะเอาชุดไหน เขาจะได้ตัดได้ทัน”
“สวยจริงๆด้วยค่ะคุณอ้อ เอาทุกชุดเลยสิคะ” นมพริ้งยิ้มบอก
“ก็ได้นะ ชุดทำบุญเช้าชุดนึง ชุดหมั้นชุดนึง ชุดรดน้ำ ชุดงานเลี้ยง สี่ชุดเข้าไปแล้ว” ภากรว่า
“เดี๋ยวอ้อค่อยดูอีกทีนะคะ”
“แต่พี่ขอเป็นคนเลือกชุดให้อ้อ ชุดนึงได้มั้ย”
อมาวสีและนมพริ้งมองหน้าภากร
“ชุดนอน...พี่ขอเลือกชุดนอนของอ้อแบบที่ถูกใจพี่นะจ๊ะ..พี่เพิ่งสั่งเตียงนอนใหม่สำหรับเราแล้วด้วย”
อมาวสีลอบถอนใจเบาๆ มันเบาจนไม่มีใครได้ยิน เธอได้แต่รับคำไปงั้นๆ
“ค่ะ”
“พี่แทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้วนะ รู้มั้ย”
ภากรหอมแก้มอมาวสีแล้วจึงเดินออกไป
นมพริ้งลอบมองดูท่าทีของหนุ่มสาวทั้งสองคน
“คุณภากรนี่ บางทีก็ดูเหมือนเด็กๆนะคะ”
“ใช่จ้ะ เหมือนเด็กดีใจที่ได้ของเล่น...และ อ้อก็คงเป็นของเล่นของเขาชิ้นนึงเท่านั้นเอง”
นมพริ้งเข้าใจ จนพูดอะไรไม่ออก
“ป้าก็เคยเห็นตอนที่เขาได้ของเล่นชิ้นก่อนหน้านี้แล้วนี่...ก็เป็นแบบนี้แหละ ใช่ไหมจ๊ะ”
คืนเดียวกันนั้นราชนั่งดูไฟล์ภาพในจอคอมพิวเตอร์ของเขานิ่งๆ มีทั้งภาพอมาวสี ภาพภากร ภาพคุณหญิงอำภา และอื่นๆ
กระเป๋าเดินทางสี่ห้าใบวางข้างๆตัวราช เทินเดินเข้ามามองราชนิ่งๆ
“น้าเทินเอากระเป๋าใส่รถให้ผมเลยก็ได้...น่าจะใส่หมดนะ” ราชถาม
“คุณราชจะเอาอย่างนี้จริงๆเหรอครับ”
“อือม...” ราชบอกตายังจ้องจอคอมพ์อยู่
“แน่ใจนะครับ” เทินถามย้ำ
“ฉันเคยทำอะไรด้วยความไม่มั่นใจรึเปล่า”
เทินนิ่งไป พูดไม่ออก
“ถ้าไม่เห็นด้วยกับฉันก็บอกมา ฉันจะได้ใช้คนอื่นแทนน้า...”
“ผมอยู่กับคุณรักษ์มาค่อนชีวิต...อยู่กับคุณราชมากว่าสิบห้าปี...ผมไม่ไว้ใจให้ใครทำหน้าที่นี้แทนผมหรอกครับ”
“ขอบใจน้าเทินมาก”
เทินค่อยๆลากกระเป๋าออกไปใส่รถ
วัชรีเดินกดโทรศัพท์พล่านอยู่กลางบ้านในตอนเช้าตรู่ เธอตรงไปหาเด็กรับใช้ที่อยู่ใกล้ตัว
“พี่วารินอยู่ไหนน่ะ เห็นบ้างไหม”
“คุณวารินออกไปข้างนอกแล้วค่ะ ไปตั้งแต่เช้า”
“อะไรกัน ไปได้ยังไง”
เด็กรับใช้บอก “ขับรถไปค่ะ”
“รู้แล้ว...ไม่ได้ถาม...แค่อุทาน”
วัชรีก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ต่อ เด็กรับใช้ก้มหน้าก้มตา เดินออกไป พึงใจและนิลรัตน์เดินเข้ามาในนี้
นิลรัตน์ร้องทัก “ยายวัช”
วัชรีทักตอบ “ยายนุ่น ยายพึง”
“ตกลงยายอมาเอาการ์ดมาแจกพวกเราวันนี้แน่นะ” พึงใจถาม
“แน่ซี่ ใกล้จะถึงแล้ว...พี่วารินก็ไม่อยู่”
ปลายสายโทรศัพท์ของวัชรีมีเสียงผู้รับสายพอดี
“ฮัลโหล...” เป็นเสียงวารินนั่นเอง
“พี่วาริน...พี่อยู่ที่ไหนน่ะ...ออกจากบ้านไปก็ไม่บอก แทนที่จะอยู่รอรับการ์ดแต่งงานของยายอมา
วารินพูดโทรศัพท์ในร้านกาแฟแสนสวย เสริมส่งการดื่มด่ำรสเลิศล้ำของคอกาแฟ
“คุณน้องรับแทนพี่ก็แล้วกัน พี่ทำใจไม่ได้”
วัชรีพูดโทรศัพท์ไป นิลรัตน์และพึงใจเงี่ยหูฟังใกล้ๆ
“แล้วให้น้องทำใจแทนเหรอ...คุณพี่นี่ขี้ขลาดจังเลย”
“แรงอ้ะ” พึงใจสอด
“ตื๊อน่ะ คุณพี่รู้จักตื๊อมั้ย...ตราบใดที่ยังไม่ถึงวันแต่งงานจริงๆ คุณพี่ก็ยังมีสิทธิ์สู้มีสิทธิ์ตื๊อ เข้าใจรึเปล่า”
“พี่รู้น่า...นายราชจะเป็นคนตื๊อแทนพี่เอง...พี่เชื่อมือมัน”
“เฮ้อ...แล้วอย่ามาเสียใจทีหลังนะคุณพี่”
นิลรัตน์มองออกไปยังนอกบ้านแล้วรีบบอกเพื่อนๆ
“พวกเรา ยายอมามาแล้ว มากับว่าที่เจ้าบ่าวด้วยละ”
ทุกคนมองตามสายตานิลรัตน์
ยังเช้าอยู่มาก ขณะภากรก้าวลงจากรถพร้อมด้วยอมาวสี ทั้งสองเดินตรงเข้าบ้านวัชรี
วัชรีและเพื่อนๆ เดินออกมาต้อนรับอมาวสี หน้าตาพวกเธอดูปั้นปึ่ง ไม่มีใครชอบภากรซักคน
ภากรเอ่ยปาก วางมาดอย่างหล่อ
“สวัสดีน้องๆทุกคนครับ...แหม พร้อมหน้าพร้อมตาครบแก๊งเลยนะครับ”
“ยังไม่ครบค่ะ ถ้าให้ครบจริงๆต้องมีพี่วารินด้วย พี่วารินสนิทกับอมา มากๆ” วัชรีเหน็บ
“ค่ะ แล้วก็มีคุณการัณย์อีกคน” พึงใจบอก
นิลรัตน์ว่ารั้งท้าย “และคุณอนุด้วยค่ะ”
พึงใจนึกได้กระซิบกับนิลรัตน์ “คุณราชอีกคนด้วยมั้ย”
นิลรัตน์กระซิบตอบพึงใจ “ไม่ต้องก็ได้”
ภากรมองหน้าอมาวสี เพื่อให้เริ่มแจกการ์ด นั่นละอมาวสีหยิบการ์ดแต่งงานให้เพื่อนๆดู
“การ์ดแต่งงานของเรา อาทิตย์หน้า...เราเชิญทุกคนเลยนะ”
“จริงๆอยากจะเชิญให้เป็นเพื่อนเจ้าสาวทั้งสามคนเลย ไม่ทราบว่าจะขัดข้องมั้ยครับ”
พึงใจ นิลรัตน์มองหน้ากัน
“ก็ดีค่ะ แต่แหม เล่นบอกปุบปับแบบนี้ พวกเราก็คิวเยอะอยู่ด้วยสิ” พึงใจบอก
“ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ...ไม่มีเพื่อนเจ้าสาวเราก็แต่งงานได้ครับ” ภากรไม่แคร์
สาวๆทั้งสามชักสีหน้าทันที ภากรทำไม่รู้ไม่ชี้ เอ่ยปากขอตัว
“พี่ขอตัวไปหาเพื่อนพี่บ้างดีกว่า...ให้น้องอ้อได้อยู่กับเพื่อนๆให้พอ เดี๋ยวอีกหน่อยจะไม่มีเวลาแล้ว...พี่ไปนะ...สวัสดีทุกคน”
สามสาวเสียงดังลั่นตามไป “สวัสดีค่า...”
พอภากรเดินออกไป เพื่อนๆ รุมเข้ามารุมอมาวสี
“ถามจริง...เธอเต็มใจจะแต่งงานจริงๆเหรอ อมา” วัชรีถาม
อมาวสีนิ่งเงียบ
“แหม ฉันอยากให้พี่วารินอยู่ด้วยจัง”
“แล้วที่เธอโทร.ไปเมื่อกี้ พี่เขาว่ายังไง” นิลรัตน์คาใจ
“เขาบอกว่า นายราชจะจัดการทุกอย่างให้...อย่าห่วง”
เพื่อนๆ พากันแปลกใจ
คนรับใช้เดินเข้ามา “คุณวัชรีขา...มีคนมาหาค่ะ”
วัชรีแปลกใจ “มาหาใคร”
เด็กรับใช้บอก “มาหาทุกคนค่ะ”
ราชเดินหล่อเข้ามา
“สวัสดีทุกคนครับ...ผมมาในฐานะตัวแทนของนายวาริน รัตนพงษ์...ขออนุญาตคุยกับคุณอมาวสีหน่อยได้มั้ยครับ”
อมาวสีมองหน้าราชว่าเขาจะมามุกไหน?
วัชรีพูดโทรศัพท์กับพี่ชายที่ยังอยู่ในร้านกาแฟสวย
“คุณราชมาแล้วค่ะคุณพี่”
วารินนั่งพูดโทรศัพท์ที่เดิม หน้าตาเขาดูมีแววสดใสขึ้น
“พี่บอกคุณน้องแล้วไง...เพื่อนพี่คนนี้ไว้ใจได้ เขาทำทุกอย่างแทนพี่ได้หมด”
“แม้กระทั่งเรื่องจีบเพื่อนน้องเนี่ยนะ”
“นายราชจะยืนยันกับพี่ได้ ว่าอมาวสีถูกบังคับแต่งงานจริงหรือเปล่า และเธอมีใจให้พี่บ้างมั้ย...แล้ว ตอนนี้เขาอยู่ไหน”
“น้องจัดที่ให้เขาอยู่กันตามลำพังแล้วค่ะ...หวังว่าอมาวสีจะยอมเปิดใจทั้งหมดกับนายราชนะ”
วัชรีวางโทรศัพท์ เพื่อนๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้
นิลรัตน์ถาม “ถ้ายายอมาจะไม่ชอบพี่วารินของเธอ ฉันว่า ต้นเหตุต้องมาจากนายราชนี่แหละ”
เพื่อนๆ มองหน้ากัน
สองคนอยู่ตรงมุมสงบร่มรื่น ในบ้านวาริน ราชและอมาวสี ยืนคุยกันห่างๆ เป็นทางการนิดๆ
“ก่อนอื่น ผมต้องขอขอบคุณสำหรับการ์ดเชิญพิเศษที่กรุณาส่งมาให้อย่างเฉพาะเจาะจง...ได้อารมณ์จริงๆ ขอชมความคิดสร้างสรรค์ครับ”
“คุณต้องไปขอบคุณคุณภากร เขาเป็นเจ้าของความคิด”
“หมอนั่นน่ะเหรอ จะมีความคิดสร้างสรรค์” ราชหัวเราะเยาะ “ฝากคุณไปก็คงไม่ต่างกันหรอกมั้ง...ส่วนเรื่องที่ผมต้องมาหาคุณวันนี้ เพราะมันเป็นเรื่องที่มีความหมายมาก กับนายวาริน”
อมาวสีจ้องหน้าราช “ทำไมเขาไม่มาบอกเอง”
“เขากลัวว่าคำตอบของคุณจะไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง”
“ถ้าคำตอบของฉันเป็นอย่างนั้น...คุณจะทำยังไง”
“ผมก็จะเลือกบอกเขา เฉพาะที่ทำให้เขาพอใจ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่ต้องมาถามฉันหรอกค่ะ คุณอยากจะพูดยังไงก็บอกพี่เขาไปเลยแล้วกัน”
“ไม่ได้ครับ...ผมไม่ใช่คนมักง่ายขนาดนั้น...และผมต้องการรู้ความจริงจากใจของคุณ”
“ฉันไม่รับปากว่าคุณจะได้สิ่งที่คุณต้องการ”
ราชเปลี่ยนอิริยาบถก่อนเอ่ยปากพูดต่อ
“ในสถานการณ์เช่นนี้ ผมมีทางเลือกสำหรับคุณสามทาง...หนึ่ง แต่งงานกับพี่ชายวิปริตของคุณ แต่งไปเลย ตามกำหนดการอันแสนจะฉุกละหุก แล้วก็มีความสุขกับการเป็นเมีย เป็นแม่ เป็นคุณนายอมทุกข์ไม่ต่างจากคุณหญิงอำภา”
อมาวสีจ้องหน้าราช รอฟังต่อ
“ทางเลือกที่สอง บอกเลิกนายภากรซะ พูดความจริงต่อหน้าทุกคนว่าคุณไม่ได้รักไอ้หมอนั่น...แล้วก็เทใจให้นายวารินซะ คุณจะมีชีวิตครอบครัวที่เป็นสุขด้วยความอบอุ่นจากคนในตระกูลของวาริน ชีวิตคู่ของคุณอาจจะไม่โลดโผนเร้าใจ แต่คุณจะไม่มีเรื่องทุกข์ใจใดๆ...เพราะความเป็นคนดีของนายวาริน”
“ทางเลือกที่สาม”
“เป็นทางเลือกที่โลดโผนที่สุด คือบอกเลิกผู้ชายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตคุณทุกคน...ให้โอกาสตัวเองได้มีชีวิตอิสระ รอจนกว่าจะมีผู้ชายคนใหม่ที่คุณมั่นใจผ่านเข้ามาในชีวิต...น่าจะดีกว่ารีบร้อนแต่งงานแบบไม่มีสาเหตุ”
อมาวสีมองหน้าราชนิ่ง
“คุณตอบผมเดี๋ยวนี้เลยจะดีมาก...หรือยังต้องการเวลาใคร่ครวญมากกว่านี้อีก”
“คุณมีความสุขมากมั้ย”
ราชปั้นสีหน้า ทำเป็นงงๆ
“มีความสุขมากนักเหรอคะ กับการทำตัวเป็นคนที่เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต เข้าใจปัญหาของคนอื่น”
“ผมทำตามสัญชาติญาณที่ผมคิดว่าควรจะทำ”
“งั้นก็กรุณาฟังคำตอบ...ฉันมีให้คุณสามข้อ”
ราชยิ้มนิ่งๆ รอฟัง
“คำตอบที่หนึ่ง...คุณไปบอกพี่วารินว่า ทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันตัดสินใจดีแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง...คำตอบที่สอง...คราวหน้าคราวหลังถ้าอยากรู้อะไรให้มาหาฉันด้วยตัวเอง แล้วพูดกันต่อหน้า ไม่ใช่ใช้คนอื่นมาอย่างนี้”
“สามล่ะ” ราชซัก
“คำตอบที่สาม...คุณช่วยบอกเขาไปเลยว่า ฉันมีความสุขเมื่อได้ทำอะไรก็ตามที่เป็นการตอบแทนผู้มีพระคุณ ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรจะกระทำ มันคือกตัญญูกตเวที...ฉันเป็นคนที่สูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่เด็กๆแต่ฉันก็ยังรู้จักหาโอกาสทดแทนบุญคุณผู้ชุบเลี้ยง อุปการะ...ยังดีกว่าคนที่มีแม่...แม่แท้ๆ...แต่กลับปฏิเสธความเป็นแม่เป็นลูก...ฉันไม่รู้ว่าคนแบบนั้นจะมีความสุขในชีวิตได้ซักแค่ไหน”
ราชมองจ้องหน้าอมาวสีนิ่งไปพักหนึ่ง
“แปลว่าคุณเต็มใจที่จะแต่งงานกับนายภากร”
“คำตอบของฉัน ชัดเจนทุกข้อแล้วค่ะ”
“งั้นเราก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว”
“คงงั้นมั้งคะ”
“ผมจะเลือกคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับนายวาริน...ส่วนเรา คุณกับผม...เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกนาน...ผมขออวยพรล่วงหน้า ขอให้ลูกที่จะเกิดขึ้นระหว่างคุณกับสามี จงแข็งแรง สุขภาพดี ไม่โง่งี่เง่าเหมือนว่าที่พ่อของเขานะครับ”
ราชขยับตัวจะเดินออกไป
“เอ้อ แล้ววันใดที่คุณเป็นแม่...ผมหวังว่าคุณจะเป็นแม่ที่ นึกถึงลูกมากกว่าตัวเองนะครับ...เพราะเมื่อคุณเป็นแม่ นั่นหมายความว่า ชีวิตที่เหลือของคุณต้องอยู่เพื่ออนาคตของลูก ไม่ใช่อยู่เพื่อตักตวงความสุขใส่ตนเองก่อนตาย”
ราชเดินออกไปเลย อมาวสีมองตามนิ่ง อึ้งไปในที่สุด
อ่านต่อหน้า 2
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 8 (ต่อ)
ที่โต๊ะสวยกลางร้านอาหารหรู ภากรและสีไพรนั่งอยู่ที่นั่น ภากรเปิดปากอวดภูมิ
“เธอเคยฝันถึงอนาคตบ้างมั้ย...รู้มั้ยว่า คนเราจะมีความสุขได้จากสามเวลาเท่านั้น อดีต ปัจจุบัน อนาคต...ถ้าในอดีตเรามีความสุข...ทุกครั้งที่เรานึกถึงมัน เราก็จะมีความสุข มันทำให้ปัจจุบันของเรามีความสุข...นั่นคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา...บางคนมีอดีตที่เลวร้าย ปัจจุบันก็ยังไม่เข้าท่า...แต่เขาก็ยังเฝ้ารอเวลาแห่งความสุขในอนาคต...สีไพรรู้มั้ย ว่าฉันมีความสุขกับเวลาไหนมากที่สุด”
“ไพเชื่อว่าคุณภากรมีความสุขได้ทั้งสามเวลา”
“ไม่จริงหรอก...อดีตของฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่...อนาคตของฉันก็ยังเอาแน่ไม่ได้...แต่ฉันมีความสุขกับปัจจุบัน โดยเฉพาะวันที่มีสีไพรอยู่ข้างๆฉัน”
สีไพรยิ้ม ซาบซึ้งใจยิ่งนัก
“สีไพรล่ะ”
“สีไพรอยู่กับปัจจุบันค่ะ”
“เธอเคยวาดฝันในอนาคตบ้างมั้ย”
“ไม่กล้าค่ะ”
“ต้องกล้าสิ...ใครจะรู้ ทุกอย่างที่เราฝันมันอาจจะเป็นจริงได้ทั้งนั้น”
สีไพรค่อยๆเอ่ยปากถึงความฝันของตัวเองออกมา
“แม่ทำอาหารอร่อย...ไพยากทำอาหารให้คนที่ไพรักได้ทาน...พ่อบอกว่า ไพได้เชื้อมาจากแม่...ไพกับพ่อ เราเคยฝันว่า...วันนึงเราจะมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง...ซักวันนึงค่ะ”
ภากรมองสีไพรด้วยแววตาอ่อนโยนและอบอุ่น...มันเกิดขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว
“ฝันของไพต้องเป็นจริง...ฉันจะรอดูวันนั้น ฉันขอเป็นลูกค้าคนแรกที่เข้าไปกินในร้านของสีไพรได้มั้ย”
“ไพจะดีใจมากๆ ค่ะ”
ภากรจับมือสีไพรอย่างนุ่มนวล
“วันนี้ฉันกำลังจะสร้างอนาคตของฉันใหม่...ฉันอาจจะอยู่ใกล้สีไพรได้ไม่บ่อยเหมือนก่อน...แต่ฉันไม่มีวันลืมสีไพรนะจำไว้”
ภากรหยิบกล่องกำมะหยี่สวยออกมา
“ฉันมีของที่ระลึกให้สีไพร เพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของฉัน”
พลางภากรเปิดกล่องนั้นให้ดู ในนั้นมีสร้อยเส้นไม่ใหญ่นัก แต่ลวดลายสวยงาม ละเอียดลออ วางอยู่ในกล่อง น้ำตาของสีไพรพรั่งพรูออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ร้องไห้ทำไม...ฉันยังไม่ได้หายไปไหนซักหน่อย”
ไม่มีทีท่าว่าสีไพรจะหยุดร้องไห้ได้
“ขอบคุณค่ะ”
สีไพรยกมือกราบลงไปบนอกเขา ภากรดึงรั้งสีไพรเข้ามากอดไว้
“เก็บน้ำตาไว้ร้องไห้ วันที่ฉันตายดีกว่าน่า...”
“ไม่ค่ะ...ถึงวันนั้น สีไพรจะยอมตายแทนคุณภากรค่ะ”
“ฉันจะไม่เป็นอะไรหรอก...มีแต่จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปเรื่อยๆ เชื่อฉันสิ”
“คุณภากรยังเก็บสร้อยข้อมือไว้ใต้หมอนหรือเปล่าคะ”
ภากรพยักหน้ารับคำไปอย่างนั้นเอง
ท่ามกลางสายฝนยามค่ำคืน ราชนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขา สุดท้ายมือของราชกดลงบนคีย์บอร์ด เขากำลังพิมพ์ข้อความเพื่อส่งเมลไปยังรักษ์
เขาอ่านทวนข้อความดังกล่าว
“มีความจำเป็นทางธุรกิจการลงทุนบางอย่างที่ ทำให้ผมต้องหายหน้าไปสักพักใหญ่ๆ ผมอาจจะไม่มีโอกาสส่งข้อความแจ้งความคืบหน้ามาหาคุณลุงบ่อยนัก...แต่ผมสัญญาว่าเมื่อเสร็จภาระครั้งนี้ ผมจะรีบกลับไปหาคุณลุงโดยเร็วที่สุด...”
หน้าจอคอมพิวเตอร์ ปรากฏข้อความที่ราชพิมพ์
รักษ์ได้รับอีเมลนั้น และกำลังเปิดอ่านเมลกลางโต๊ะในออฟฟิศ บ. รักษ์เล
“เพื่อทำงานแทนคุณลุงทุกอย่าง เป็นการทดแทนช่วงเวลาที่ผมทิ้งคุณลุงมานาน...แต่คุณลุงไม่ต้องห่วงนะครับ ทุกคำสั่งสอนของลุงยังดังก้องอยู่ในใจผมเสมอ”
รถราชเคลื่อนฝ่าสายฝนออกจากบ้านพักของเขาแล้ว
“ผมจะไม่ทำอะไรที่เป็นสิ่งผิดบาป เป็นอันขาด...ผมสัญญา”
ฝ่ายอมาวสีนอนพลิกตัวไปมา ท่าทีกระสับกระส่าย เหมือนกำลังฝันร้าย...เธอสะดุ้งทุกครั้งที่มีเสียงฟ้าร้อง
ค่ำคืนหนึ่ง ภากรพลิกตัวตื่นขึ้นมาข้างๆ อมาวสี
“เป็นอะไรน่ะ นอนดิ้นไปดิ้นมาอยู่ได้”
“อ้อ นอนไม่หลับค่ะ”
“คิดถึงใครอยู่ล่ะ”
“เปล่าค่ะ”
“โกหก”
“จริงค่ะ...อ้อไม่ได้นึกถึงใคร”
“ฉันไม่เชื่อ...ฉันรู้นะ ตัวเธออยู่กับฉัน แต่ใจเธอคิดถึงคนอื่น...บอกมาว่าคิดถึงใครอยู่”
“เปล่าค่ะ”
ภากรคาดคั้น “ไอ้ภาคย์ใช่มั้ย หรือไอ้ราช...หรือว่าคิดถึงมันทั้งสองคนเลย บอกมา”
“เปล่าจริงๆ ค่ะคุณภากร”
“เธอเป็นเมียฉันนะ จำไว้ เธอจะคิดถึงใครไม่ได้ นอกจากฉัน...หรือว่าลูกในท้องของเธอ ไม่ใช่ลูกฉัน...มันเป็นลูกของใคร...บอกมาเดี๋ยวนี้”
อมาวสีลุกขึ้นจากเตียงวิ่งออกไปทันที
“เธอจะไปไหนอ้อ กลับมานะ กลับมาเดี๋ยวนี้”
อมาวสีวิ่งออกจากห้องนอน เธอวิ่งลงบันได ตรงออกไปยังหน้าบ้าน เธอกำลังตั้งท้องอยู่ในระยะครรภ์กำลังสวยงาม เสียงภากรยังดังลั่นตามหลังมา
“กลับมานะอมาวสี กลับมาเดี๋ยวนี้...เธอหนีไปไหนไม่พ้นหรอก...ฉันบอกให้กลับมา”
อมาวสีตะโกนเสียงดัง ทั้งๆ ที่เหนื่อยหอบ
“ไม่...ไม่...”
อมาวสีหมดแรงล้มฟุบลงไปกองกับพื้นนั่นเอง
อมาวสีสะดุ้งตื่นตอนเช้ามืด เหงื่อแตกพลั่ก มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น อมาวสีลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องนอน เห็นนมพริ้งยืนอยู่กลางประตู
“คุณอ้อคะ...ช่างแต่งหน้ามาแล้วค่ะ”
มิสเตอร์หว่องเดินเข้ามาในบ้านพิชิตพงษ์ ตรงไปยกมือไหว้ท่านกวีที่ยืนอยู่กลางโถงบ้าน
ด้านหลังของท่านกวี เห็นเป็นการทำงานของช่างแต่งหน้าและทำผม พวกหล่อนและหล่อน กำลังเสริมความงามให้กับ ภากร คุณหญิงอำภา และ อมาวสี
“สวัสดีครับท่าน...วันนี้บ้านท่านดูคึกคักดีจัง” มิสเตอร์หว่องทักทาย
“เรากำลังจะไปถ่ายรูปครอบครัว สำหรับโชว์ในงานแต่งงานลูกชายผม” ท่านกวีบอกหน้าบาน
“คุณภากร MD ของเฮ้ลท์ตี้ฟาร์ม่า”
“ใช่ อาทิตย์หน้านี้แล้ว ถ้าว่างขอเชิญด้วยนะ เดี๋ยวจะให้ทนายชอบส่งการ์ดเชิญไปให้”
“แหมปุบปับจัง ไม่เห็นมีวี่แววล่วงหน้าเลย”
“สมัยนี้ก็อย่างนี้แหละ...คุณหว่องมีอะไรกับผมรึเปล่า...เราคุยกันที่นี่เลย เดี๋ยวต้องออกไปถ่ายรูปข้างนอกแล้ว...มา เชิญทางนี้”
ท่านกวีเดินนำมิสเตอร์หว่องและผู้ติดตามออกไปยังบริเวณมุมนั่งเล่น
ที่โต๊ะแต่งตัว กลางโถงบ้าน ภากรแต่งหน้าทำผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้างๆ เขาเป็นคุณหญิงอำภา ที่ใกล้จะเสร็จเรียบร้อยเช่นกัน
ภากรลุกขึ้นเดินอ้อมไปโอบไหล่อมาวสีที่นั่งถัดออกไป เธอเพิ่งจะเริ่มแต่งหน้า ภากรวางมาดหล่อ พูดกับช่างแต่งหน้า
“แต่งภรรยาผมให้สวยๆนะครับ ไม่สวยผมไม่ยอม”
“น้องเธอสวยอยู่แล้วค่า...แต่งยังไงก็สวย รับรอง...หลับตาแต่งยังสวยเลย” ช่างหน้า เพศไม่ชัดแจ้งเอาใจ
“เกินไปแล้วคร้าบ...” ภากรบอกกับอมาวสี “พี่ไปนั่งคุยกับพ่อก่อนนะ...อ้อลืมไป คุณแม่ก็สวยไม่แพ้ใครเลยนะครับ”
ภากรหอมแก้มแม่ แล้วจึงเดินออกไป
คุณหญิงอำภาเปรยๆกับอมาวสี
“นายภากรเขาดูมีความสุขมากๆเลยนะ...ผิดกับอ้อ”
ช่างผมสเตตัสข้ามเพศท่าทางปากมาก ทะลึ่งพูดออกมาโดยไม่คิด
“ผู้หญิงก็อย่างนี้แหละฮ่ะ กังวลเยอะอย่าง ไม่เหมือนผู้ชาย ยิ่งคุณภากรเคยแต่งงานมาแล้ว เธอก็ยิ่งชิลล์ๆ สบายๆใหญ่เลย”
“ใครถามเธอ” คุณหญิงหน้าตึงใส่
ช่างจ๋อย ปิดปากเงียบ คาดว่าหล่อนคงไม่พูดกับใครไปอีกสามวัน
ฟากมิสเตอร์หว่องนั่งพูดกับกวี บนโซฟาสบาย มุมนั่งเล่น ภากรค่อยๆ เดินตามมาร่วมวงสนทนา
“ก่อนอื่น ผมต้องขอให้ท่านใช้สมาธิในการฟังผมให้ดีนะครับ”
“ทำไม...มันมีอะไรซับซ้อนมากนักเหรอ” ท่านกวีแปร่งๆ หู
“ก็ไม่เชิงครับ...คือตัวเรื่องน่ะเข้าใจไม่ยาก แต่ท่านต้องทำใจยอมรับมันด้วย”
“ชักฟังดูไม่ค่อยดีแล้วนะคุณหว่อง...ว่ามาเลยดีกว่า ไม่ต้องเกริ่นกันแล้ว”
“ตัวยาที่เราจะดำเนินการผลิตนั้น ไม่ผ่าน FDA ในบางประเทศเช่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สิคโปร์”
ท่านกวีตกใจอย่างเห็นได้ชัด “ฉิบหายละซี”
“ยังไม่หายทั้งหมดครับ เพราะประเทศเหล่านี้ ไม่ใช่ลูกค้าหลัก ทันทีที่เราผ่าน FDA ของอเมริกาได้..อีกหลายประเทศทั่วโลกก็จะอนุมัติทันที เพราะเขาเชื่อในมาตรฐานของอเมริกา”
“งั้นก็เร่งๆ ให้มันผ่านเร็วๆหน่อย ไม่งั้นนั่งจ่ายดอกเบี้ยกันตายพอดี”
สต๊าฟทีมถ่ายรูปเดินเข้ามาหาท่านกวี
“ท่านคะ คุณหญิงเสร็จแล้ว หนูขอเชิญท่านที่โลเกชั่นก่อนเลยนะคะ จะได้ไม่ช้าเดี๋ยวหนูให้รถตู้ย้อนมารับคุณอมาวสีอีกที”
“โอเค. ตกลงตามนี้นะคุณหว่อง”
ท่านกวีและภากรเดินตามสต๊าฟออกไป
อมาวสีก้าวออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เธออยู่ในชุดเจ้าสาวที่สวยสง่างามมาก ช่างหน้ายกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปทันที
“ตั้งแต่แต่งเจ้าสาวมา นับสิบๆปี ขอบอกเลยว่าคุณอมาวสีเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุด...แต่ก็หน้าบึ้งที่สุด...ต้องขอเอารูปขึ้นไอจีหน่อยนะคะ”
ช่างรีบอัพโหลดรูปทันที
“คุณลุงคุณป้าล่ะคะ”
“คนอื่นๆ ไปกันหมดแล้วค่ะ เดี๋ยวจะมีรถตู้มารับคุณอ้อค่ะ”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในตอนนี้ อมาวสีกดรับโทรศัพท์แล้วเดินพูดออกไปด้านนอก
“ฮัลโหล...พึงใจเหรอ...”
พึงใจพูดโทรศัพท์ มีนิลรัตน์นั่งข้างๆ เอาหูแนบฟังด้วย อนุและการัณย์ นั่งขนาบอยู่ข้างๆ กลางร้านไอติม
“แหมชุดเจ้าสาวสวยจริงนะอมา...อย่างนี้เพื่อนเจ้าสาวจะใส่ชุดอะไรล่ะ”
การัณย์ยิ้ม “ใส่ชุดอะไรก็น่ารักครับ”
“ไม่ใส่เลยยิ่งน่ารักใหญ่” อนุบอก
นิลรัตน์อายม้วน “บ้า”
อมาวสีเดินพูดโทรศัพท์ออกมาหน้าบ้าน
“ตกลงเธอจะมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้เรามั้ย”
“มาซี่ มาทุกคนเลย”
นิลรัตน์ดึงโทรศัพท์จากมือพึงใจมาพูด
“แม้จะไม่เต็มใจให้เธอแต่งงานก็ตาม”
“เพื่อนเจ้าบ่าวเป็นใครน่ะ...เขาว่าหลังงานแต่งงานเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวมักจะเป็นคู่จิ้นกันด้วยนะ” พึงใจว่า
“งั้นให้เราสองคนเป็นดีกว่า...เรื่องเพื่อนเจ้าบ่าวเราถนัด”
อมาวสี เดินพูดโทรศัพท์มาจนถึงหน้าประตูบ้าน มีรถตู้หนึ่งคันแล่นมาจอด อมาวสีเปิดประตูขึ้นไปนั่งในรถตู้คันนั้น
“ฉันยังไม่รู้เลย...คุณภากรเขาไม่ได้บอกอะไรเราด้วย”
เสียงนิลรัตน์ลอดออกมา “น้ำเสียงเธอดูห่างเหินนะ เปลี่ยนใจมั้ย”
“บ้า”
พึงใจดึงโทรศัพท์มาพูดบ้าง
“จริง...หนีเลย ถ้าไม่กล้าบอกคุณลุงก็หนีเลย เอาป่าว”
รถตู้คันนั้นแล่นออกจากบ้านพิชิตพงษ์
โดยในรถตู้คันนั้นที่กำลังแล่นออกมาตามทาง อมาวสีเพลินกับการนั่งพูดโทรศัพท์ จนไม่ทันได้สังเกตสภาพรอบๆ ตัว
“ทำอย่างนั้นได้ยังไง นี่ไม่ใช่ละครนะยายพึง...แค่นี้นะ เรากำลังจะไปถ่ายรูป คุณลุงคุณป้ารออยู่...แล้วเจอกันจ้ะ”
อมาวสีกดปุ่มเลิกการสนทนา เธอหันไปมองข้างๆ ตัวทางด้านหลัง แล้วต้องสะดุ้ง เมื่อเห็นนายเทินนั่งอยู่ในรถตู้คันนี้ สีหน้าของเทิน ดูเคร่งเครียดมาก
“น้าเทิน!”
“สวัสดีครับคุณอมาวสี”
“น้าทำงานที่บริษัทถ่ายรูปด้วยเหรอ”
“เปล่าครับ คุณอมาวสีขึ้นรถผิดคัน”
“อ้าว...”
“แต่ผมมีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับคุณพอดี...เกี่ยวกับคุณราช”
“เรื่องอะไร”
เทินปั้นสีหน้าเศร้า ราวกับจะร้องไห้
“เอ้อ...”
อมาวสีเริ่มมีความกังวลขึ้นมาทันที
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณราชเหรอ”
“ผมว่าคุณควรไปดูด้วยตาตัวเองจะดีกว่า”
“แต่ฉันต้องรีบไปถ่ายรูป คุณลุงคุณป้ารอฉันอยู่”
“ถ้าเป็นผมจะไม่ทำอย่างนั้น เชื่อผมเถอะครับ...คุณทำใจดีๆ แล้วอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับใครเป็นอันขาด” เทินกำชับราวกับเป็นภารกิจลับเพื่อชาติ
อมาวสีมีอาการพะวักพะวงอย่างเห็นได้ชัด
รถตู้คันนั้น มันแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านแก้ว ทินวิ่งมาเกาะประตูรั้ว พร้อมๆกับที่ประตูรถตู้เปิดออก
“สวัสดีครับ คุณผู้หญิงคนสวย”
เทินตัดบทฉับ “ไม่ต้องพูดมากไอ้ทิน เปิดประตูบ้านเร็ว”
“ฉันเดินเข้าไปเองก็ได้ค่ะ”
อมาวสีรีบลงจากรถ เดินก้าวยาวๆ ตรงเข้าไปในบ้าน
อมาวสีเข้ามากลางโถงบ้านแก้ว บ้านทั้งหลังเงียบสนิท ไม่มีร่างของราชอยู่ในนั้น อมาวสีกวาดสายตาไปรอบๆอย่างร้อนใจ
“คุณราช...คุณราชอยู่ไหนเหรอน้า...น้าเทิน”
อมาวสีก้าวขึ้นบันไดไปชั้นบน
“ไม่เห็นมีคุณราชเลย...ไม่มีใครซักคนเลยน้า”
ทันใดนั้นเอง ถุงสีดำใบใหญ่ก็ครอบลงไปบนหัวอมาวสี ตามด้วยผ้าที่ยื่นเข้าไปในถุง เพื่อโปะทับบริเวณจมูก
อมาวสีดิ้นสักพัก ก็นิ่งไป
ผู้ปฏิบัติการครั้งนี้มีสองคน ใส่แจ๊คเก็ตดำและสวมหน้ากากกันแก๊ซพิษ จนเมื่อทั้งสองถอดหน้ากากออก จึงเห็นว่าเป็นไอ้ประทินจอมกะล่อน กับ เทิน ผู้เป็นพ่อ
“นิ่งไปแล้ว พ่อ...จะตายมั้ยน่ะ”
“ไม่หรอกน่า ยานี้ขอมาจากอารย์หมอเลยนะเว้ย”
“ไม่เห็นมีกลิ่นอะไรเลย”
ทินกำลังจะยกผ้าขึ้นมาดม เทินรั้งมือมันไว้
“แล้วยังไงต่อ”
“เดินหน้า...ตามแผน”
“โอเค”
ทีมงานถ่ายภาพเลือกสวนสาธารณะสวยในย่านกลางเมือง ทีมงานทุกคนกระจายตัวกันรอบๆ set ที่อยู่ในสภาพพร้อมถ่าย ทุกคนรออมาวสี หลายคนงุ่นง่าน หลายคนก้มดูนาฬิกา โดยเฉพาะท่านกวี ที่ต้องรีบไปธุระต่อ
คุณหญิงอำภา ยกโทรศัพท์ออกจากหูแล้วหันมาบอกทุกคนที่อยู่ใกล้ตัว
“นังจันบอกว่าอ้อออกมานานแล้ว”
“ออกมากับใคร ออกมายังไงทำไมไม่ถึงซะที”
“โทรเข้ามือถือก็ไม่ติด เหมือนปิดเครื่อง” ภากรบอก
ทีมงานหนึ่งคนเดินพูดโทรศัพท์มือถือเข้ามาในบริเวณนั้น
“ว่าไงนะ จอดอยู่ตรงรั้วข้างบ้าน...นานรึยัง...”
ทีมงานลดโทรศัพท์มือถือลง หันไปรายงานท่านกวี
“เอ้อ...คนขับรถตู้บอกว่า ยังจอดรออยู่หน้าบ้านเลยค่ะ รถติดมาก เลยไปถึงช้า”
“โอ๊...ยังไงกัน” ท่านกวีบ่นอุบ
“แกอาจจะนั่งแท็กซี่ตามมาก็ได้” คุณหญิงว่า
“คุณช่วยถ่ายผมก่อนได้มั้ย แล้วค่อยเอาไปตัดต่อผสมกัน...นะ...ผมต้องรีบไปประชุมพรรค”
“ค่ะ ค่ะ งั้นถ่ายคุณพ่อคุณแม่ก่อนก็ได้ค่ะ...ช่างภาพ มาเลย เร็วเข้า”
ภากรเครียด เขาเดินงุ่นง่านชั่วครู่ แล้วกดโทรศัพท์หาวัชรี
วัชรียืนพูดโทรศัพท์กลางบ้าน
“คุณภากรเหรอคะ...มีธุระอะไรกับว่าที่เพื่อนเจ้าสาวคะ”
ภากรเดินพูดโทรศัพท์อยู่ในสวน
“เพื่อนคุณหายไป...ผมอยากรู้ว่าเขาอยู่ไหน”
วัชรี ตั้งใจพูดจากวนประสาท
“เพื่อนคนไหนคะ ดิฉันมีเพื่อนเยอะค่ะ”
เสียงภากรดังออกมา “อมาวสี เจ้าสาวของผม”
“ตายจริง” วัชรีตกใจขึ้นมาจริงๆ
“คุณรู้มั้ยว่าเขาอยู่ไหน...เขาโทรหาคุณบ้างรึเปล่า”
วัชรีเริ่มกระวนกระวายร้อนใจ
“เปล่าเลยค่ะ...ถ้าได้ข่าวคราวเมื่อไหร่ จะรีบแจ้งคุณภากรนะคะ”
“เอ้อ...อย่าเพิ่งบอกคนอื่นล่ะครับ...ขอเก็บเป็นเรื่องส่วนตัวในครอบครัวของผมก่อน”
ภากรวางโทรศัพท์หน้าเครียด
ทันทีทันใดนั้นเอง นิลรัตน์ พูดโทรศัพท์อยู่กลางบ้าน
“อะไรนะ พูดใหม่ซิ ยายอมาทำอะไรนะ”
วัชรี พูดสายบอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ไม่ได้ทำอะไร...หายไป”
พึงใจก็อยู่ในสาย พูดออกมาอย่างงวยง
“หายไปไหน...หายไปเมื่อไหร่..หายไปยังไง...หายไปกับใคร”
เพื่อนทั้งสามพูดโทรศัพท์จากคนละสถานที่พร้อมกันแบบประชุมสาย
“ฉันจะรู้มั้ยล่ะ คุณภากรเขาเพิ่งโทร.มาถามฉัน ฉันก็โทรมาถามพวกแกนี่แหละ...มีใครรู้เรื่องนี้บ้าง”
นิลรัตน์บอก “ม่รู้”
พึงใจว่า “สงสัยหนีงานแต่งงาน”
นิลรัตน์เสริม “ยายอมาเหรอจะกล้าหนี แกกลัวคุณลุงคุณป้าจะตาย”
พึงใจว่าอีก “งั้นก็ต้องมีคนช่วย”
“ช่วยพาหนีน่ะเหรอ” วัชรีติดใจ
“เออ” พึงใจบอก
“ตายักษ์หรือเปล่า” วัชรีเดา
“เออใช่” พึงใจเห็นด้วย
นิลรัตน์ท้วง “หรือพี่วารินของแก ยายวัช”
วัชรียิ้มออก “ใช่แล้ว...ตายักษ์ลักพาตัวยายอมา ไปให้พี่วารินแน่ๆ”
วัชรีกดโทรศัพท์ โทร.หาวารินทันที
“ฮัลโหล พี่วาริน...รู้รึเปล่า ว่ายายอมาหายตัวไป”
วารินนั่งพูดโทรศัพท์ในร้านอาหารริมทะเลพัทยา
“พูดจริงหรือพูดเล่นเนี่ย”
เสียงวัชรีดังออกมา “พูดจริงซี่...จะมาพูดเล่นให้เสียเวลาทำไม”
“แล้วน้องเขาหายยังไง...อยู่ๆก็หายไปเองหรือมีใครลักพาตัวไป”
“ไม่รู้...ถึงได้โทรมาถามนี่ไง...บอกมานะว่าคุณพี่อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวยายอมาไปใช่มั้ย”
“เฮ้ย...พี่ไม่กล้าทำอะไรอย่างนั้นหรอก”
“งั้นพี่ก็ใช้นายราชทำแทน”
“อย่างนั้น พี่ก็ยังไม่กล้าอยู่ดี”
“หรือว่านายราชฉุดอมาไปเอง...โดยไม่บอกพี่” วัชรีว่า
ราชนั่งดื่มเบียร์อยู่ด้านหลัง ไม่ไกลจากวารินนัก
“พูดกับมันเลยมั้ยล่ะ...มันนั่งอยู่กับพี่ที่นี่แหละ”
เสียงวัชรีลอดออกมาว่า “คุณพี่อยู่ไหน”
“ริมทะเลพัทยา มันอยู่กับพี่ตั้งแต่เมื่อคืนยันเช้า มันจะหายตัวไปจับตัวอมาวสีได้ยังไง”
ราชเงยหน้ามองวาริน เมื่อได้ยินชื่ออมาวสี
วัชรีตกอกตกใจมากขึ้น
“งั้นเรื่องใหญ่แล้วหละ คุณพี่...เราต้องช่วยกันตามหาตัวยายอมาให้ได้นะ”
“เดี๋ยวพี่จะปรึกษาไอ้เจ้าราชดู”
วัชรีกำชับ “อย่าเพิ่งกระโตกกระตากนะพี่ ปรึกษาแบบลับๆก่อน...เดี๋ยวมันจะเสื่อมเสียชื่อเสียงเพื่อนน้อง”
วารินวางสาย แล้วเดินไปนั่งข้างๆราช “อมาวสีหายตัวไป”
“ข่าวดีว่ะ”
“ดียังไง”
“การแต่งงานก็ต้องเลื่อนออกไป คนรักของนายก็ยังคงความบริสุทธิ์ไว้ได้”
“พูดเป็นเล่น”
“หรือคิดว่าเขาได้เสียกันไปแล้ว”
“บ้า”
“ช่วงนี้เราก็ช่วยกันภาวนาให้อมาวสีกลับมาหานายเร็วๆ”
วารินยังดูมีความกังวลใจอยู่ไม่น้อย
“กลัวจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับน้องอ้อน่ะสิ”
“มีใคร เรียกค่าไถ่ไปที่บ้านเขาหรือยังล่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน...เรารีบกลับกรุงเทพฯก่อนดีมั้ย”
“คิดว่าจะช่วยอะไรเขาได้มั้ยล่ะ”
วารินครุ่นคิดด้วยความเป็นห่วง
ตกตอนเย็นภากรเดินพล่านกลางโถง บ้านพิชิตพงษ์ นมพริ้งและหมู่บริวารนั่งก้มหน้านิ่งอยู่รอบๆ
คุณหญิงอำภา นั่งห่างออกไป ไม่ไกลจากภากรนัก ภากรตะโกนลั่นบ้าน
“อะไรวะ อยู่บ้านกันยังไง คนหายไปทั้งคน ไม่รู้เรื่องอะไรกันเลยเหรอ”
หมู่มวลบริวารโดยรวม ก้มหน้านิ่ง มีเพียงจัน คนเดียว ที่เงยหน้าตอบภากร
“รู้ค่ะ...รู้ว่าคุณอ้อรีบร้อน เดินพูดโทรศัพท์ไปขึ้นรถตู้”
ภากรหันมา “แล้วรถตู้ใคร มาจากไหน รู้บ้างมั้ย”
“ไม่ได้ถามค่ะ”
“โธ่เว้ย”
นมพริ้งเงยหน้าเสนอความเห็นบ้าง
“คุณอ้อ เธอคงขึ้นรถผิดคันน่ะค่ะ”
“รู้แล้วว่าผิดคัน ถ้าขึ้นถูกคันจะหายตัวไปได้ยังไง...พูดอะไรโง่ๆ”
ภากรอยู่ในอารมณ์โกรธ พาล จนคุณหญิงอำภาต้องเอ่ยปากตักเตือนลูกชาย
“เที่ยวตวาดด่าผู้คนที่เขาไม่รู้เรื่อง...ก็ไม่ได้ฉลาดนักหรอกนะลูก”
ภากรตะโกนลั่น “อะไรกันนักหนาเว้ย...ทำไมมันวุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้นอย่างนี้”
ภากรกดโทรศัพท์ เพื่อโทร.หาผู้เป็นพ่อ
ท่านกวีเดินพูดโทรศัพท์เข้าไปในสำนักงานบริษัทกลอนกวี
“ว่าไง เจอตัวรึยัง...มีโทรศัพท์ขู่เรียกเงินมั้ย...ใจเย็นๆก่อนแล้วกัน”
ภากรเดินพูดโทรศัพท์บริเวณระเบียงบ้าน
“เย็นยังไงล่ะพ่อ เจ้าสาวของผมหายไปทั้งคน เย็นไม่ไหวหรอก”
ท่านกวีขยับตัวลงนั่นหน้าโต๊ะทำงาน
“เออ มันก็หลานฉันเหมือนกัน...แต่ถ้าแกเอาแต่ใจร้อนแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา...วันนี้พ่อประชุมไม่รู้เรื่องเลย รู้มั้ย”
“พ่อจ้างคนออกตามหาไม่ได้เหรอ”
“พ่อให้สายสืบมือดีตามเรื่องนี้อยู่...แต่มันต้องทำกันเงียบๆ หรือแกอยากดังในเรื่องแบบนี้ ให้คนเขานินทาทั่วบ้านทั่วเมือง เอามั้ย”
เสียงภากรชักอ่อยๆลง “ไม่อยาก”
“ถ้างั้นก็คุมสติตัวเองให้ดีๆ ปล่อยให้พ่อจัดการเรื่องนี้เอง ส่วนแกจะไปผ่อนคลายสมองอะไรที่ไหนก็ไป แต่อย่าสร้างเรื่องอะไรขึ้นมาอีกล่ะ”
ภากรวางสาย สีหน้าเครียดหนัก
ส่วนนมพริ้ง นั่งปรับทุกข์กับคุณหญิงอำภาอยู่ตรงระเบียงบ้าน
“ถามจริงๆเถอะพริ้ง...พริ้งระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อนบ้างรึเปล่า”
“ไม่เลยค่ะ...คุณอ้อไม่เคยปริปากอะไรเลย ไม่เหมือนเมื่อครั้งคุณภาคย์ ที่พูดตลอดว่าอยากหนีออกจากบ้าน”
“ทำไมบ้านเราถึงได้มีแต่เรื่องแบบนี้นะ”
คุณหญิงอำภาถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม นมพริ้งตัดสินใจเอ่ยปาก
“พริ้งรู้แต่ว่า คุณอ้อ ไม่ได้อยากแต่งงานกับคุณภากรหรอกค่ะ”
“แน่ใจนะ”
“พริ้งเชื่ออย่างนั้นค่ะ”
“เป็นไปได้มั้ยว่า ยายอ้อจะหนีไปเองเพราะไม่อยากแต่งงาน”
“ไม่รู้สิคะ แต่ถ้าเป็นพริ้ง พริ้งก็คงจะหนี”
คุณหญิงอำภานิ่งงันไปนิดหนึ่งก่อนเอ่ยปากพูด
“คงมีแต่ฉันละมัง ที่ไม่กล้าตัดสินใจแบบนี้”
ดวงตาของอมาวสีที่ปิดสนิทอยู่ ค่อยๆ เปิดขึ้น เธอกระพริบตาปรับสภาพการมองเห็น ใบหน้าของอมาวสีสวยงามอยู่ท่ามกลางแสงสลัว มืดทึมของสถานที่แห่งนี้ในยามค่ำ แววตาดูอ่อนล้าโรยแรง อมาวสีพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงนอน ในชุดเจ้าสาวชุดนั้น
อมาวสีพยายามตั้งสติ ทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น
อ่านต่อหน้า 3
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 8 (ต่อ)
ภาพเหตุการณ์ตอนโดนโปะยาสลบผุดขึ้นมาในห้วงคิดของอมาวสี เธอรีบสำรวจสภาพเสื้อผ้าตัวเอง พบว่ามันยังอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยฉีกขาด
อมาวสีกวาดตามองรอบตัว พบว่าห้องทั้งห้องถูกปกคลุมด้วยผ้าม่านชั้นดี เนื้อหนา ทึบแสงอีกด้วย
จังหวะนี้อมาวสีนึกบางอย่างได้ควานหาโทรศัพท์มือถือ แต่ไม่พบ มีเพียงโทรศัพท์ภายในห้องที่ไม่มีปุ่มกดใดๆ ต่อมาอมาวสีลุกเดินไปที่ประตูห้อง ขยับลูกบิดประตู บิดไปมาอยู่หลายครั้ง แต่มันถูกล็อค ไม่สามารถเปิดออกไปได้
ตรงช่องว่างระหว่างพื้นกับประตู มีกระดาษปอนด์ขนาด A4 แผ่นที่หนึ่ง สอดเข้ามาในห้องนี้
อมาวสีหยิบกระดาษนั้นขึ้นมาดู มีตัวหนังสือฟ้อนต์ สุภาพ สวยงาม พิมพ์อยู่ที่กลางกระดาษว่า
"ส วั ส ดี ค รั บ"
มีกระดาษแผ่นที่สองสอดเข้ามาอีก มีตัวหนังสือพิมพ์ว่า
"ส วั ส ดี ค่ ะ"
กระดาษแผ่นที่สามสอดเข้ามาติดๆ กัน พร้อมข้อความว่า
"ตื่ น เ เ ล้ ว ใ ช่ ไ ห ม"
อมาวสีจับลูกบิดประตูกระแทกอย่างแรงอีกหลายครั้ง มีกระดาษแผ่นที่สี่ถูกสอดใต้ประตูเข้ามาอีก
พร้อมข้อความว่า
"ป ร ะ ตู ล็ อ ค เ เ น่ น ห น า เ ปิ ด ไ ม่ อ อ ก ห ร อ ก"
อมาวสีเริ่มหงุดหงิด เธอเอ่ยปากตะโกนลั่น พร้อมกับทุบประตูไปด้วย
“ใครน่ะ...ใครอยู่ข้างนอก...ใครเป็นคนสอดกระดาษเข้ามา...ฉันคุยกับใครอยู่”
สิ้นเสียงนั้น กระดาษแผ่นที่ห้าถูกสอดเข้ามา พร้อมข้อความว่า
"ต อ บ ไ ม่ ไ ด้"
อมาวสวีหยิบกระดาษขึ้นมาดู เธอตะโกนออกไปข้างนอก ดังขึ้นกว่าเดิม
“เป็นใบ้หรือไงถึงตอบไม่ได้...แล้วน้าเทินล่ะ...น้าเทินอยู่ไหน ข้างนอกนั่นใช่น้าเทินหรือเปล่า หรือนายทิน...ฉันอยากรู้ว่าฉันกำลังพูดกับใครอยู่...ทำไมทำกับฉันอย่างนี้...เปิดประตูนะ เปิดประตูเดี๋ยวนี้”
กระดาษแผ่นที่หก สอดเข้ามาพร้อมข้อความว่า
"ถ้ า หิ ว นํ้ า มี นํ้ า ส มุ น ไ พ ร อ ยู่ หั ว เตี ย ง ถ้ า อุ ด อู้ ใ ห้ เ ปิ ด ม่ า น ดู พ ร ะ อ า ทิ ต ย์ กํ า ลั ง ส ว ย"
อมาวสีหยุดทุบประตู ขณะที่เธอลังเลว่าจะเปิดม่านดีมั้ย กระดาษแผ่นที่เจ็ด ถูกสอดเข้ามาพร้อมข้อความว่า
"ถ้ า ป ว ด ฉี่ ห้ อ ง นํ้ า อ ยู่ ห ลั ง หั ว เตี ย ง จ้ า"
อมาวสีตัดสินใจเดินไปรูดม่านทั้งหมดในห้องให้เปิดออก พบว่า รอบๆ ห้อง หลังม่านนั้น เป็นกระจกขนาดใหญ่สูงจากพื้นถึงเพดาน และภาพที่มองเห็นผ่านกระจกออกไปคือ ทุ่งหญ้า นา ไร่ ทิวทัศน์อันสวยงาม และดวงอาทิตย์ดวงนั้นกำลังจะตกลับเหลี่ยมเขาทำให้ผืนฟ้าทั้งผืน ถูกย้อมเป็นสีส้มสบายตา
อมาวสี ถึงกับตะลึงในภาพที่เห็น สักพัก เธอจึงแหกปากตะโกนลั่นดังกึกก้องว่า
“ช่วยด้วย.....”
มองเข้ามาจากภายนอกอาคารหลังนี้ เห็นว่าอมาวสีเกาะกระจกตะโกนลั่นอยู่บนอาคารทรงโมเดิร์น
“ช่วยด้วย.....”
บ้านไร่หลังนี้ ตั้งตระหง่าน โดดเดี่ยวเพียงหลังเดียว บนยอดเขาสูงและสวย เสียงโหยหวนของอมาวสีดังกึกก้องสะท้อนไปมา
ตกตอนกลางคืน นมพริ้ง กำลังพนมมือไหว้ศาลพระภูมิประจำบ้านพิชิตพงษ์ เสียงในใจนมพริ้ง ดังออกมาว่า
“เจ้าประคู้น ขอบุญบารมี พระภูมิเจ้าที่ เทพยดาฟ้าดิน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดคุ้มครองคุณหนูอ้อ ให้ปลอดภัย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขออย่าให้มีอุบัติเหตุ เภทภัย หรืออันตรายใดๆ เลย”
จังหวะนี้ รถเก๋งคันใหม่แล่นเข้ามาในบ้าน นายตำรวจนอกเครื่องแบบ ลงจากรถ เดินเข้าบ้านพิชิตพงษ์ไป
จอโทรทัศน์ในห้องโถงแสดงภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่หน้าบ้านพิชิตพงษ์ ภาพในจอเป็นภาพรถตู้แล่นเข้ามาจอด ในเวลาใกล้กัน อมาวสีเดินพูดโทรศัพท์ตรงไปขึ้นรถคันนั้น โดยไม่มีอะไรผิดปกติ
เสียงนายตำรวจดังเข้ามาพร้อมกับภาพในจอโทรทัศน์
“คุณอมาวสีเดินไปขึ้นรถ โดยไม่มีการฉุดหรือลักพาตัวแต่อย่างใด...จากนั้นอีกสี่สิบนาที รถตู้กองถ่ายจึงแล่นเข้ามาจอดริมรั้วบ้าน”
ภาพในจอโทรทัศน์ถูกเร่งให้เร็วขึ้น เพื่อไปหยุดตรงตำแหน่งเวลาที่รถตู้กองถ่ายเคลื่อนเข้ามา
ท่านกวี อำภา และภากร ล้อมวงกันดูภาพจากกล้องวงจรปิด โดยมีนายตำรวจอธิบายเหตุการณ์ที่กล้องได้บันทึกไว้ นายตำรวจหันมาสรุปกับท่านกวี
“ก็เป็นอันชัดเจนว่าไม่ใช่การลักพาตัวแต่อย่างใด เป็นการขึ้นรถคันนั้นโดยเจตนา เพียงแต่ว่า หลังจากรถเคลื่อนออกไปแล้วเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง เป็นเรื่องที่ต้องสืบหาข้อมูลต่อไป”
ภากรร้อนใจ “ช่วยสืบเร็วๆ หน่อยได้มั้ยครับอีกห้าวันก็จะถึงงานแต่งงานของผมแล้ว”
“ผมพยายามอยู่ครับ...แต่ตอนนี้ต้องขอข้อมูลทุกอย่างที่อาจเกี่ยวเนื่องกับคุณอมาวสี และทุกๆ คนในบ้านนี้”
นายตำรวจพยักหน้าให้ตำรวจหนุ่มที่มาด้วยเป็นผู้ซักถาม
“ไม่ทราบว่ามีของมีค่าในบ้านหายไปบ้างมั้ยครับ”
“ยายอ้อคงไม่ขโมยอะไรไปหรอกค่ะ” คุณหญิงอำภาบอก
ตำรวจหนุ่มย้ำ “มีของหายมั้ยครับ”
“ไม่มีครับ” ภากรตอบ
“จดหมายขู่ยังไม่มีมานะครับ”
“ไม่มีค่ะ”
“น้องเขามีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าครับ”
ภากรหงุดหงิด “คนกำลังจะแต่งงาน คุณคิดว่าจะมีอะไรไม่สบายใจเหรอครับ”
“ก็เช่น...ไม่อยากแต่งงาน”
ภากรเริ่มโมโห เดินหนีออกจากฉากไปเฉยๆ
ท่านกวีตัดบท “เอาละ พอเถอะ ผมว่าคุณเริ่มตามหาร่องรอยรถตู้คันนี้ก่อนก็แล้วกัน”
“ครับ...ได้ความอย่างไร ผมจะรีบแจ้งท่านนะครับ”
นายตำรวจและลูกน้องเดินออกจากบ้านไป คุณหญิงอำภาหันไปถามท่านกวี
“เรื่องงานแต่งงาน คุณว่าไงคะ...จะเลื่อนมั้ย”
“ขอดูอีกสองวัน แล้วผมจะตัดสินใจเอง”
ขณะเดียวกันที่บ้านไร่ อมาวสีล้างหน้า ด้วยอุปกรณ์ที่วางพร้อมไว้ในห้องน้ำ เธอจัดการเช็ดเครื่องสำอางออกจนหมดเกลี้ยง
กระดาษแผ่นใหม่ถูกสอดผ่านช่องใต้ประตูเข้ามาอีก พร้อมข้อความสั้นๆ ปรากฏว่า
"หิ ว มั้ ย"
อมาวสีเดินไปใกล้ประตู พร้อมกับตะโกนลั่น
“ฉันไม่หิว...ไม่หิว ไม่กิน ไม่ต้องสอดกระดาษอะไรเข้ามาอีกแล้ว...ฉันต้องการพูดกับคน กับมนุษย์ ไม่ใช่กับตัวหนังสือในกระดาษอย่างนี้...ถ้าแน่จริงก็โผล่หน้าออกมาให้เห็นตัวซี่”
กระดาษแผ่นที่สอง สอดเข้ามาพร้อมข้อความสั้นๆ
"เ เ น่ ใ จ น ะ"
อมาวสีกระแทกเสียงออกไปว่า “เออ”
เสียงลูกบิดประตูถูกปลดล็อคดัง กริ๊ก! อมาวสีเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู เมื่อเธอหมุนมันดู ประตูก็ค่อยๆ เปิดออกช้าๆ
อมาวสีผลักประตูให้กว้างขึ้น ค่อยๆ ก้าวออกมาอย่างระวัง เธอกวาดสายตาสำรวจไปรอบๆ...มันเป็นสถานที่ ที่เธอไม่รู้จัก สภาพบ้านถูกตกแต่งอย่างสวยงาม แต่เงียบเชียบ ไร้ผู้คน
อมาวสีพยายามมองหา ผู้ที่สื่อสารด้วยกระดาษกับเธอ แต่ก็ไม่ปรากฏร่างของผู้ใดในนั้น
“น้าเทิน...นายทิน...ใครก็ตามที่จับตัวฉันมา แกอยู่ไหนน่ะ...คนที่ส่งกระดาษมาให้ฉันอ่าน อยู่ไหนล่ะ...หายหัวไปไหนกันหมด...ไม่กล้าสู้หน้าฉันเหรอ”
อมาวสีเอื้อมมือคว้าเชิงเทียนโลหะอันใหญ่ที่วางอยู่แถวนั้น กำมันไว้แน่นหมายใช้แทนอาวุธ
“ขี้ขลาดนี่หว่า...หน้าไม่อาย...ขี้กลัวอย่างนี้แล้วจับตัวฉันมาทำไม...อย่าให้ฉันเจอตัวนะ...ฉันจะเล่นงานแกให้หมอบไปเลย”
อมาวสี เดินไปถึงหลืบมุมมืด เธอค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปในหลืบนั้น...แต่ไม่ปรากฏร่างของผู้ใด จนเมื่ออมาวสีหันหน้ากลับมา เธอจึงพบกับร่างสูงใหญ่ของชายหน้าตาดุดัน ในมือถือปืนลูกซองกระบอกใหญ่ มีลายสักเต็มร่างยักษ์ เขาเผยอปากแยกเขี้ยวให้อมาวสี อมาวสีร้องกรี๊ดลั่น
“อ๊าก....”
ชายคนนั้นแหกปากร้องตาม “อ๊าก....”
อมาวสีตกใจสุดขีด เธอล้มลง เป็นลมแน่นิ่งไปตรงนั้น
มีชาวบ้านชายหญิงสองคนก้าวออกมาจากที่ซ่อน ฝ่ายชายสูงวัย ชื่อน้าป่วน ส่วนหญิงวัยละอ่อนชื่อว่า นังแอ้ม
“เป็นลมไปซะแล้ว...แกทำอะไรนายหญิงห๊ะ ไอ้แปลก” แอ้มดูจะโมโหนิดๆ
“เอ็งไปยิ้มให้เขาละสิ” ป่วนด่า
ชายร่างใหญ่ชื่อ ไอ้แปลก ได้แต่เกาหัวแกร็กๆ ยิ้มแหยๆ เขาเป็นใบ้...พูดไม่ได้นั่นเอง
“ข้าว่า ท่าจะหิวว่ะ...นังแอ้ม เอ็งไปบอกป้าเอิบให้ทำกับข้าวให้นายหญิงเลยดีกว่า”
“น้าป่วนรู้ได้ไงว่าหิว...นายหญิงตะโกนลั่นว่า ไม่กินๆ ไม่ได้ยินเหรอ”
“ทำมาเหอะน่า...คนเป็นโรคประสาท จำตัวเองยังไม่ได้ จะรู้ได้ไงว่าหิวหรือไม่หิว ไปเร็วๆเข้า...ไอ้แปลก เอ็งมาช่วยอุ้มนายหญิงเข้าห้องก่อน…”
แปลกเดินแยกเขี้ยวยิ้มแฉ่งเข้าหาป่วน
“ไม่ต้องยิ้มแล้ว...เดี๋ยวข้าก็เป็นลมให้บ้างหรอก”
แปลกอุ้มอมาวสีกลับเข้าไปในห้องนอน
กระดาษแผ่นยาว มีตัวหนังสือเขียนลิสต์รายการอาหารถูกยื่นใส่หน้าป้าเอิบแม่ครัวของบ้านไร่ แอ้มเป็นผู้ยื่นกระดาษแผ่นนี้ พร้อมกับพูดเสียงดังใส่หน้าป้าเอิบ
“รายการอาหารที่นายจดไว้ให้...ทำมาหมดนี่แหละป้าเอิบ...เร็วๆนะป้า”
“นายหญิงตื่นแล้วเหรอ”
“ตื่นแล้ว และก็หลับอีกแล้ว”
“อะไรของแกวะ”
“เป็นลมน่ะ...ตื่นมาแป๊ปนึงก็เป็นลม...คาดว่าน่าจะหิวจัด”
ป้าเอิบมีท่าทีห่วงใยขึ้นมาให้เห็น
“แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า...มียามั้ย”
“นายบอกแล้วว่าไม่ต้องใช้ยา โรคนี้ ต้องใช้เวลา และก็ให้กินให้อิ่มๆ พออารมณ์ดีๆ เดี๋ยวนายหญิงแกก็หายเอง”
“โรคอะไรวะ เกิดมาไม่เคยเจอ”
“โรคกลัวการแต่งงาน...ป้าจะเจอได้ไง สวยขนาดป้านี่ ไม่มีทางเป็นโรคนี้หรอก”
“ต้องสวยอย่างเอ็งสินะ...ข้าว่าเอ็งเป็นโรคกลัวจะไม่ได้แต่งงานมากกว่า”
“ไม่เห็นจะกลัว...ฉันน่ะสวยเลือกได้จ้ะ” แอ้มคุยเขื่อง
“เลือกอยู่นานแล้ว ไม่เห็นได้เลย” ป้าเอิบแดกดัน
“รอให้เจอหล่อๆแบบนายก่อน”
เอิบ “ถุ๊ย” ใส่
“นายหญิงนี่พิลึกจริงๆ...ถ้าเป็นแอ้ม มีเจ้าบ่าวหล่อๆแบบนายนะ ไม่มีทางหนีเด็ดขาด”
“ไม่มีทาง” ป้าเอิบว่า
“ไม่มีทางอะไร”
“แกไม่มีทางมีผัวหล่อๆแบบนายหรอก อีแอ้ม”
เสียงป่วนดังเข้ามาทางวิทยุสื่อสาร “กับข้าวเสร็จรึยัง”
แอ้มหยิบวิทยุที่เหน็บข้างตัวขึ้นมากดตอบ
“ยัง...ป้าเอิบน่ะสิ มัวแต่คุย โอ้เอ้ที่สุด”
ป้าเอิบหยิบของใกล้ตัวเขกกะโหลกแอ้ม
เสียงป่วนดังผ่านวิทยุเข้ามาอีก
“เร่งๆหน่อย เดี๋ยวนายผู้หญิงโมโหหิวจะยุ่งกันใหญ่...ทุกคน เช็ค ว.ด้วย...ได้ยินชัดเจนมั้ย
ทุกคนกดวิทยุพูดพร้อมกัน”
สองคนบอกพร้อมกันว่า “ชัดเจน”
“เฮ้ย ทีละคน...อย่ากด ว. ซ้อนกัน...สอนไม่จำเลยนะ”
น้ำเสียงป่วนฟังออกว่าเซ็ง
อมาวสีขยับตัวตื่น ลุกขึ้นนั่งตรงปลายเตียงนอน เมื่อมองออกไปยังระเบียงด้านนอก เห็นโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ มีอาหารเต็มโต๊ะ วางอยู่บนระเบียงห้องนอน อมาวสีจึงค่อยๆ เปิดประตูระเบียง ก้าวออกไป อาหารเหล่านั้นวางเรียงราย น่ากินมาก
อมาวสีมองไปรอบๆ ตัว พอไม่เห็นผู้ใด เธอจึงหยิบอาหารเหล่านั้นกินทันทีด้วยความหิว
พลันสายตาอมาวสีเหลือบแลลงไปยังด้านล่าง เห็นไอ้แปลกยืนถือปืนกระบอกเดิม มันหันมายิ้มให้
อมาวสีสะดุ้งตกใจ เธอรีบถอยกรูดกลับเข้าไปในห้อง แล้วอมาวสีต้องสะดุ้งอีกครั้ง เมื่อพบว่า ในห้องมีร่างของคนงานสี่คนยืนเรียงแถวกันอยู่สลอน อันมี เอิบ แอ้ม ป่วน และป๊อด ซึ่งเธอไม่รู้จักมักคุ้นแม้แต่คนเดียว
“อร่อยมั้ยนายหญิง” ป่วนถาม
“พวกแกเป็นใคร ทำไมต้องเรียกฉันว่านายหญิง”
ป๊อดบอก “นายเป็นผู้หญิงนี่ครับ ก็ต้องเรียกนายหญิง...หรือว่านายเป็นกะเทย”
“บ้า...”
อมาวสีหันไปคว้ามีดที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร เธอกำมันไว้แน่น
“พวกแกใช่มั้ยที่จับตัวฉันมา...อย่านะ...อย่าเข้ามานะ”
ป่วนบอกทันที “ไม่เข้าหรอกครับนายหญิง...นายสั่งไว้ว่าเข้าได้แค่นี้”
อมาวสีฉงนหนัก “ใครคือนายของแก”
แอ้มว่า “โธ่...แค่นี้ก็จำไม่ได้ซะแล้ว”
“ผมว่า นายหญิงทานให้อิ่ม นอนหลับให้สบาย พรุ่งนี้ค่อยๆคุยกันใหม่ดีกว่านะครับ” ป่วนบอก
“ถ้าอึดอัดอยากเปลี่ยนชุด ก็เอาเสื้อผ้าของแอ้ม เปลี่ยนแก้ขัดไปก่อนก็ได้...วางไว้ตรงนี้นะ”
ป้าเอิบมองมา “แต่ชุดนี้ก็ดูสวยดีแล้วนะคะ”
“ตอนเช้าพระอาทิตย์ขึ้นทางนี้ สวยมากครับผม...ถ้าตื่นทัน อย่าพลาดเชียว” ป๊อดทิ้งท้าย
จากนั้นทุกคนก็เดินเรียงแถวออกจากห้องไป อมาวสีมองตามคนงานเหล่านั้นไป เธอเริ่มสับสน และนึกไม่ออกว่าจะออกไปจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร
น้ำตาของเธอค่อยๆ ไหลออกมาทีละนิดด้วยความอัดอั้นตันอุรา
คืนเดียวกัน ภากรนั่งกินเหล้าอยู่ ณ อโคจรสถาน ดงขี้เมาของเมืองฟ้าอมร ดูออกว่าเขาเป็นคนเดียวในบาร์นี้ที่ตกอยู่ในความเครียด ท่ามกลางผู้คนที่ร่าเริงด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ภากรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาในจังหวะหนึ่ง กดหมายเลขของอมาวสีอย่างไร้ความหมาย เขากระแทกโทรศัพท์กับโต๊ะอย่างแรง แล้วจึงยกเหล้าดื่มจนหมดแก้ว
กลางห้องนั่งเล่นบ้านวัชรีคืนนี้ วัชรี พึงใจ และนิลรัตน์ นั่งล้อมวงกันอยู่ กลางวงนั้นเป็นกระดาษแผ่นใหญ่ มีพยัญชนะไทย เรียงรายเป็นตารางเต็มกระดาษ ควันธูปลอยอบอวลมาจากกระถางธูปใกล้ๆ วง
มีแก้วใสๆ ใบย่อมๆ หนึ่งใบวางบนกระดาษแผ่นนั้น ทั้งสามสาวใช้นิ้วจิ้มที่แก้ว
แก้วใบนั้นเคลื่อนไปรอบๆ กระดาษ แล้วหยุดตรงพยัญชนะตัวที่มันต้องการ
ทั้งสามสาวค่อยๆผสมพยัญชนะเหล่านั้นให้เป็นคำ พวกเธอเกิร์ลแก๊ง 3 ใน 4 เล่นผีถ้วยแก้วกัน นั่นเอง
“โดน...จั...บ...จับ...โดนจับ” สามสาวร้องขึ้น
นิลรัตน์ถาม “จับไปที่ไหนคะ”
แก้วเริ่มวิ่งไปที่พยัญชนะตัวใหม่ ทุกคนค่อยๆออกเสียงผสมคำ
“ใน...ป...ป่า...ในป่า”
วัชรีถาม “ป่าที่ไหน”
พึงใจซักผี “ใครจับไป”
แก้วเริ่มวิ่งใหม่ มันไปหยุดที่ ว.แหวน...สระอา...รอเรือ...สระอิ
สามคนผสมคำได้ว่า “ว...า...วาริน......พี่วาริน”
ทันใดนั้นไฟในห้องก็สว่างไสวขึ้น วารินก้าวเข้ามากลางห้องด้วยความงุนงง
“ทำอะไรกันน่ะ”
วัชรีฉุน “พี่วาริน...ตกใจหมดเลย”
“เล่นผีถ้วยแก้วเหรอ” วารินมองมายังวงผีถ้วยแก้ว
“กำลังถามพี่ผีพอดีเลยค่ะ ว่าอมาอยู่ที่ไหน” นิลรัตน์บอก
“พี่ผีบอกว่า อยู่ในป่า และพี่วารินเป็นคนจับตัวไป” วัชรีว่า
วารินเซ็ง “โธ่ เชื่ออะไรกับผีถ้วยแก้ว”
“เชื่อสิคะ...นี่ไง วิ่งใหญ่เลย...เห็นมั้ย พี่ผีเขาโกรธแล้วนะ” พึงใจว่า
ถ้วยแก้ววิ่งไปทั่วกระดาษโดยมีนิ้วเดียวของพึงใจแตะแก้วอยู่
นิลรัตน์บอก “พอเหอะ เลิกดันได้แล้วยายพึง”
“พวกเราทุกคนเป็นห่วงอมาค่ะ...แต่ไม่รู้จะทำยังไง” พึงใจหน้าม่อย
“ไม่เป็นไร ไอ้นายราชมันรับปากกับพี่แล้วว่าจะตามหาให้เอง...หลังจากเสร็จงานที่พม่า”
วารินเดินเลี่ยงออกไป นิลรัตน์พูดเบาๆ กับวัชรี
“เอ้อ พูดถึงคุณราชนี่ก็ลับๆล่อๆชอบกล...ป้าฉันลงไปภูเก็ตไปสืบประวัติเขาอยู่ เห็นป้าบอกว่าข้อมูลนายคนนี้กระจัดกระจาย จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นใครมาจากไหนกันแน่”
วัชรีตัดบท “ช่างเถอะ...ตอนนี้ขอให้อมาปลอดภัยก่อนเถอะนะ”
เพื่อนๆ ทั้งสามคนยกมือไหว้ท่วมหัวพร้อมกัน
กลางดึกคืนเดียวกัน อมาวสีนอนกระสับกระส่าย กลางเตียงใหญ่ในห้องนอนที่กักขังตัวเธอไว้ เธอยังอยู่ในชุดเจ้าสาวชุดเดิม ไม่ได้แตะต้องชุดของแอ้มแต่อย่างใด ใบหน้าอมาวสีขมวดคิ้วเครียด คล้ายกับว่ากำลังฝันร้ายอยู่
มันเป็นภาพเหตุการณ์ตอนที่ถูกโปะยาสลบ และตื่นตกใจอยู่ภายในถุงดำที่ครอบเธออยู่ ผ้ายังโปะอยู่ที่จมูก อมาวสีพยายามดิ้น และส่งเสียงร้อง แต่ไม่เป็นผล แล้วสักพักเธอก็หมดสติไปอีก
พระอาทิตย์โผล่ขึ้นกลางไร่ข้าวโพด สวยสดงดงามกว่าวันไหนๆ
แหละเช้าตรู่วันนี้ กิจกรรมเดิมๆ ของบรรดาคนงาน ดำเนินไปกลางไร่ข้าวโพดตามงานถนัด ขณะพินัยขับรถเข้ามาในไร่แห่งนี้ พินัยหันมาคุยกับคนงานที่อยู่ใกล้ตัว เป็น ไอ้ป๊อดนั่นเอง
“เฮ้...นายของพวกเรามารึยัง”
“ยังคร้าบผม”
“แล้วนายผู้หญิงล่ะ...เป็นไงบ้าง”
“สวยมากๆครับผม”
“เหรอ...งั้นเย็นๆ ฉันอาจจะแวะเข้าไปเยี่ยมซะหน่อย”
พินัยขับรถออกไป
โปรดอ่านต่อหน้า 4
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 8 (ต่อ)
อมาวสีตื่น ลุกขึ้นจากเตียง เธอค่อยๆเดินไปเข้าห้องน้ำ มีเสียงแอ้มดังออกมาจากวิทยุ
“ตื่นแล้วเหรอคะ...”
อมาวสีมองหาที่มาของเสียง จนเจอ มันคือวิทยุสื่อสารอันใหม่ที่ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง
“หิวไหมคะ...ถ้าหิวจะได้เอาอาหารขึ้นไปให้” เสียงแอ้มถาม
อมาวสีตะโกนออกมาลอยๆ โดยไม่สนใจวิทยุสื่อสารอันนั้น
“แอบดูฉันตลอดเวลาเลยรึไง ถึงได้รู้หมดว่าฉันทำอะไรอยู่”
อมาวสีมองไปรอบๆ จนเจอกล้องวงจรปิด ติดอยู่ที่มุมห้อง อมาวสีตะโกนใส่กล้องนั้น
“นิสัยไม่ดี แอบดูคนในห้องนอน”
เสียงแอ้มดังออกมาทางวิทยุอีกครั้ง
“นายต้องกด วอ พูดค่ะ ไม้งั้นฉันไม่ได้ยินเสียงนายหญิง”
อมาวสีคว้า วิทยุ มากดพูด โดยที่เธอไม่ได้ลดความโกรธ หงุดหงิด ลงแต่อย่างใด
“ฉันออกไปไหนไม่ได้เลยใช่มั้ย ฉันต้องอยู่ในห้องนี้ตลอดเวลาใช่มั้ย”
“ระยะนี้ต้องเป็นอย่างนี้ก่อนค่ะ...จนกว่า...เอ้อ...”
“จนกว่าอะไร”
“จนกว่านายหญิงจะสติดีขึ้น” เสียงแอ้มว่า
“บ้า ฉันไม่ได้เป็นอะไร พวกเธอนั่นแหละบ้ากันหมดแล้ว”
อมาวสีนึกโมโหหยิบฉวยผ้าที่หาได้ในห้อง คลุมกล้องวงจรปิดซะ เธอโยนวิทยุทิ้งบนเตียงอย่างแรง
เสียงป่วนดังมาแทน “อย่าทำอย่างนั้นครับ ข้าวของพังหมด เดี๋ยวนายจะโกรธ”
“ฉันไม่ต้องการพูดกับพวกนายอีกแล้ว”
เงียบกริบ ไม่มีเสียงใดๆตอบมาทางวิทยุ
อมาวสีจึงเอื้อมไปหยิบวิทยุสื่อสารมากดปุ่มพูดใกล้ๆปากตน
“ฉันไม่ต้องการพูดกับใครอีกแล้วเข้าใจมั้ย“
เสียงป่วนดังมา “เช้านี้ กินอะไรดีครับ...ป้าเอิบทำได้ทุกอย่าง อร่อยทั้งนั้น”
“ไม่กิน...ไม่อยากกิน...ที่กินเมื่อวานก็ไม่ใช่ว่าจะอร่อยหรอก แค่หิวเท่านั้น”
“งั้นหิวเมื่อไหร่นายหญิงค่อย กด วอ. บอกมานะครับ”
สองฝ่ายเงียบกันไปพักหนึ่ง
อมาวสีตัดสินใจหยิบวิทยุมากดพูดอีกครั้ง “ฮัลโหล”
เสียงแอ้มถามมาว่า “ข้าวต้มมั้ยคะ”
“ฉันอยากรู้ว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน”
เสียงป๊อดแหลมเข้ามา “บ้านกลางไร่”
อมาวสีงง “ไร่อะไร”
เสียงป่วนบอกว่า “ไร่ข้าวโพด”
“แล้วจับฉันมาทำไม ฉันทำอะไรผิด...ทำไมไม่มีใครพูดดีๆ กับฉันซักคน”
“พวกเราพูดดี และทำดีที่สุดตามที่นายผู้ชายสั่งแล้วครับ” ป่วนบอก
“ทั้งหมดนี่เขาเป็นคนสั่งใช่มั้ย รวมทั้งที่ให้คนตัวใหญ่ๆถือปืนขู่ฉันด้วยใช่มั้ย”
“ปืนเป็นอุปกรณ์พื้นฐานของพวกเราที่นี่ครับ”
“พวกนายคงฆ่าคนเป็นว่าเล่น ทุกวันเลยละซี...อย่าบอกนะว่า นายฆ่า น้าเทินและนายทินตายไปหมดแล้ว”
“พวกเราไม่เคยฆ่าใครครับ พวกเราจิตใจดีทุกคน ไม่เชื่อนายโผล่หน้ามามองที่ระเบียงสิครับ”
อมาวสีค่อยๆ เดินออกไปที่ระเบียงตามคำบอกของป่วน
อมาวสีเดินมาเกาะที่ระเบียง มองลงไปข้างล่าง เห็นหมู่มวลคนงานจำนวนเจ็ดคนยืนเรียงแถวอยู่หน้าบ้าน อันมีน้าป่วน นังแอ้มและป้าเอิบอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย ทุกคนยิ้มหวานให้อมาวสี พร้อมกับชูป้ายผ้าขนาดใหญ่ มีตัวหนังสือเขียนด้วยสีสวย อ่านได้ชัดเจนว่า
"ข อ ต้ อ น รั บ สู่ บ้ า น ไ ร่ เ เ ส น สุ ข"
ป่วนกด วอ พูดกับอมาวสี
“พวกเราจะออกไปไถดิน ด้านหลังไร่ กลับเอาตอนเย็นเลย จะไม่มีใครอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นถ้านายหญิงต้องการอะไรก็กดวิทยุบอกนะครับ พวกเราจะได้ยินเสียงนายทุกคน ขอให้มีความสุขในบ้านไร่หลังนี้นะครับ”
ทุดคนเดินเรียงแถวร้องเพลงออกไป อมาวสีกดวิทยุพูดกับป่วนอย่างมีน้ำโห
“พวกนายทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นเหมือนสโนไว้ท์กับคนแคระทั้งเจ็ด”
อีกฟาก ที่บ้านพิชิตพงษ์ทั้งหลัง ในเวลาตอนกลางวัน เสียงโทรศัพท์บ้านแผดดังลั่นโถงกลางบ้าน ภากรเดินลงบันไดมายกโทรศัพท์ขึ้นพูด
“ฮัลโหล...เจอตัวแล้วเหรอครับ”
เป็นสายจากนายตำรวจคนเดิมนั่งพูดโทรศัพท์ในรถที่กำลังวิ่งไปบนถนน
“เจอรถตู้ครับ ไม่ได้เจอคุณอมาวสี...รถตู้คันนั้นพอออกจากหน้าบ้านพิชิตพงษ์ก็ตรงไปที่บ้านในซอยสุขุมวิท 11”
ภากรรู้ทันที “บ้านแก้ว...บ้านเก่าของเรา ที่เพิ่งขายไป”
“คุณอมาวสีลงจากรถตู้ที่นั่น...โชเฟอร์รถตู้รับเงินแล้วก็ขับกลับไปเลย...เรายังไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงไปที่ไหนอีก”
“ต้องเป็นไอ้ราชแน่...ไอ้ราชแน่ๆ” ภากรคำรามบอกไป
เสียงนายตำรวจถามมาว่า “ใครครับ”
“มันเป็นคนที่ซื้อบ้านหลังนั้นจากเรา...ผมเชื่อว่าต้องเป็นมันแน่ๆ”
“งั้นเรามาเจอกันที่บ้านแก้วเลยแล้วกันนะครับ”
หลังจากนั้นไม่นานนัก รถตำรวจและรถภากรแล่นเข้าไปในบ้านแก้วหลังนี้
ไอ้ทินจอมกวนเดินอาดๆ เข้ามาหยุดหน้าประตูบ้านแก้ว ตาของมันเบิกโพลงโตเป็นไข่ห่าน
“สวัสดีครับคุณตำรวจ และคุณคนธรรมดา มีอะไรให้ไอ้ทินรับใช้เหรอครับ”
“เรากำลังตามหาคนหาย” นายตำรวจบอก
“ใครหายครับ เด็กหรือผู้ใหญ่ หญิงหรือชาย”
“เด็กหญิง ตัวเล็กๆ นั่งรถตู้มา รถตู้บอกว่ามาส่งเด็กลงที่บ้านหลังนี้”
ทินเล่นลิ้น “อุ้ย...น่าจะมั่วนะครับ ที่นี่ไม่มีเด็ก”
ภากรโมโหแล้ว “ค้นเลยครับ...ค้นเลยดีกว่า”
ทินจ้องหน้าภากร “ท่าทางพี่คนนี้เอาแต่ใจตัวจังเลยนะครับ”
“ทำไม ซ่อนอะไรไว้เหรอถึงไม่ยอมให้ค้น”
“ผมยังไม่ได้พูดอย่างนั้นเลยนะครับ...คุณตำรวจอยากค้น ก็ค้นได้ครับ...แต่ผมสงสัยว่า ถ้าใช้วิธีคิดอย่างคุณคนนี้ เราคงจะค้นบ้านทุกหลังในประเทศนี้ได้อย่างหน้าตาเฉย...เชิญครับ”
“ไม่เป็นไร...ไปละ”
นายตำรวจขยับตัวเดินออก ไอ้ทินพูดไล่หลังตำรวจไป
“แถวนี้รถตู้วิ่งไปวิ่งมาวันละเกือบร้อยคัน บางทีก็จอดนอนแถวนี้ จะมีรถคันไหนแบบที่ว่าหรือเปล่าผมก็ไม่รู้นะ”
“โอเค ขอบใจมาก”
ภากรพูดเบาๆกับนายตำรวจ
“ทำไมไม่ค้นเลยล่ะครับ ผมว่าต้องเราต้องได้ หลักฐานสาวไปถึงตัวไอ้ราชแน่ๆ”
“ใจเย็นๆครับ...ผมจะส่งทีมมาเฝ้าดูไว้ รับรองว่าหลักฐานไม่หนีเราไปไหนแน่ๆ ถ้ามันมีอยู่จริง”
เสียงโทรศัพท์มือถือของภากรดังขึ้น ภากรกดปุ่มรับสาย
เป็นสายจากทนายชอบที่พูดโทรศัพท์ อยู่ในบริษัทเฮลท์ตี้ ฟาร์ม่า
“คุณภากรนะครับ...มีคนมาหาคุณภากรที่นี่ครับ”
ภากรพูดโทรศัพท์มือถือของเขา ด้านหลังเห็นนายตำรวจคนนั้นยืนอยู่ข้างๆ รถ
“ใคร ฉันไม่ได้นัดใคร น้าให้เขากลับไปก่อนเหอะ”
“ไม่ได้ครับ คนนี้เขาบอกว่าเขาสำคัญมาก เขามีของมาให้ด้วยนะครับ”
เสียงภากรถามมาว่า “ใคร”
“คุณราช รัชภูมิครับ”
ภากรอึ้งหันไปกระซิบกับตำรวจว่า “ไอ้ราชครับ” ชี้ไปในโทรศัพท์
นายตำรวจพูดกับภากรเบาๆ “คุยปกติไปก่อน อย่าเพิ่งบอกอะไรมัน”
ภากรหันไปพูดโทรศัพท์ต่อ “เขามีเรื่องอะไรจะคุยกับผม”
ทนายชอบส่งโทรศัพท์มือถือให้ราช ราชรับมาพูด
“คุณภากรเหรอครับ...บังเอิญผมผ่านมาแถวบริษัทคุณ ผมเลยแวะเอาของขวัญแต่งงานมาให้ เผื่อว่าวันงานผมติดธุระ อาจจะไปไม่ทัน”
“แค่นั้นเหรอ”
“ครับ ถ้าคุณจะมาถึงบริษัทภายในยี่สิบนาที ผมจะยืนรอ...แต่ถ้านานกว่านั้นผมขออนุญาตฝากของขวัญไว้ที่น้าคนนี้แล้วกันนะครับ”
ภากรลดโทรศัพท์ลงเพื่อพูดกับตำรวจ เบาๆ
“เขาจะอยู่รอผม ไม่เกินยี่สิบนาที”
“บอกเขาว่าจะไปหาเร็วที่สุด ให้เขาอยู่รอให้ได้” นายตำรวจบอก
ภากรยกโทรศัพท์ขึ้นมาพูดต่อ “โอเค เดี๋ยวเจอกัน ผมจะพยายามไปให้ทัน”
“ผมจะรอเท่าที่รอได้ แต่ขออวยพรทางนี้ก่อนก็แล้วกัน กันพลาด...ขอให้คุณมีความสุขตลอดชีวิตการแต่งงานนะครับ หวังว่าวันงานแขกเหรื่อคงจะล้นหลาม และไม่มีความผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นนะครับ”
ภากรสะดุดหู “จะมีอะไรผิดพลาดได้ยังไง”
“ผมคงไม่อาจทราบล่วงหน้าได้ครับ”
ราชกดปุ่มยกเลิกการสนทนาทันที
ภากรลดโทรศัพท์ในมือลง...หน้าตาโกรธจัด
“มันแน่ๆ ครับ มันเป็นคนเอาตัวน้องอ้อไปแน่ๆ”
“เราต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ตามเกมมันไปก่อน...อย่าให้มันรู้ว่าเรารู้ทันมัน”
ฝ่ายอมาวสีนั่งนิ่งๆ กลางห้อง เธอครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สักพักจึงหยิบวิทยุมากดปุ่มแล้วส่งเสียงตะโกนลงไป
“ฮัลโหล...มีใครได้ยินเสียงฉันบ้าง”
สักพักหนึ่ง มีเสียงอื้ออึงดังออกมาจากวิทยุ
“ได้ยินคร้าบ...ค่ะ...ได้ยิน...ทุกคนครับ”
สุดท้ายเป็นเสียงป่วนถามว่า “มีอะไรเหรอครับ”
“ฉันไม่สบาย...บ้านมันหมุนไปหมดเลย...ฉันเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ต้องมีใครมาเปิดประตูพาฉันลงไปยืนเหยียบพื้นดินข้างล่างหน่อย...ฉันจะอาเจียน จะอ้วกอยู่แล้ว”
ทันทีทันใดนั้นเอง ประตูห้องเปิดออก เห็นเป็นไอ้ป๊อดถือวิทยุเดินเข้ามาหน้าตาตื่น
“เป็นอะไรมากมั้ยครับนายหญิง”
“นายอยู่หน้าประตูนี่เองเหรอ”
“ครับ เป็นเวรผมเฝ้านายหญิงครับ”
อมาวสีรีบเล่นบทบาทจะเป็นลมทันที
“โอ๊ย...ฉันคลื่นใส้ จะอาเจียน”
ไอ้ป๊อดเปิดประตู หน้าต่างให้กว้างขึ้น
“นายสั่งว่าถ้ามีอาการแบบนี้ให้ผมเปิดประตูให้มีอากาศระบายเข้ามา นายผู้หญิงก็จะหายเอง”
“เปิดเลยสิ...”
“เปิดแล้วนี่ไงครับ”
“เอ้อ...ไหนๆ ก็เปิดแล้ว ขอฉันโผล่หน้าดูข้างนอกหน่อยได้มั้ย”
“เชิญครับ”
อมาวสีชวนคุย “ฉันอยู่ชั้นอะไรเนี่ย”
“ชั้นสามครับ...บ้านหลังนี้มีสามชั้น”
อมาวสีถามหยั่งเชิง “ถ้าฉันกระโดดลงไป...”
“ไม่ตาย ก็ ขาหักครับ รับรอง” ป๊อดดักคอ
“ฉันคงไม่โง่ทำอย่างนั้นหรอก...”
“แต่นายบอกว่า อย่าไว้ใจนายผู้หญิง...เพราะคนสติไม่ดีอาจทำอะไรโง่ๆได้”
อมาวสีปรี๊ด “ฉันชักอยากเจอหน้านายของเธอเร็วๆ จัง”
ป๊อดยิ้ม “คิดถึงนายแล้วละซี...ห้องนี้เป็นห้องฮันนีมูนสวีท ที่นายเตรียมไว้ฮันนีมูนกุ๊กกิ๊กกับนายผู้หญิงสองต่อสอง เชียวนะ”
อมาวสีเหนื่อยใจ “ตกลงนายของเธอ คือใคร”
“ก็สามีของนายผู้หญิงไง”
อมาวสีสะดุ้งสุดตัว
“สามี...สามีฉัน?...เขาเป็นสามีฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เอ...จะมีอะไรกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่ทราบครับ...แต่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการอยู่แล้ว นายผู้หญิงก็มาประสาทเสียหนีออกมาจากงานซะก่อน”
อมาวสีงง “ฉันเนี่ย เหรอ”
“ครับ...นายผู้ชายตามหานายหญิงแทบพลิกแผ่นดิน กว่าจะเจอตัว...แล้วก็พามาไว้ที่บ้านไร่นี่”
“นี่มันเป็นการเข้าใจผิดครั้งใหญ่แล้วนะ...พวกนายเข้าใจผิดหมดเลย รู้รึเปล่า”
“ครับ...นายบอกไว้แล้วว่านายผู้หญิงต้องพูดอย่างนี้แน่ๆ...เอ้อ ถ้าหายอึดอัดแล้วเชิญกลับเข้าข้างในเถอะครับ”
อมาวสีขยับเดินกลับเข้าไปข้างในห้อง เธอหยุดตรงประตู แล้วหันมาหาป๊อด
“ถามอีกนิดนึง คนตัวใหญ่ๆข้างล่าง ทำไมไม่พูดอะไรเลย”
“มันชื่อแปลก มันไม่พูด มันยิงอย่างเดียว”
อมาวสีตกใจนิดๆ “ยิง? ยิงอะไรบ้าง”
“ยิงทุกอย่างที่นายสั่งให้ยิง และยิงแม่นมาก”
จังหวะนี้มืออมาวสีจับเอาบางส่วนบริเวณชายกระโปรงที่ยาวแสนยาว สอดไว้ตรงช่องล็อคประตู
ก่อนที่ประตูจะปิดสนิท
ฝ่ายราชและวาริน สองหนุ่มเดินคุยกันในบ้านของวาริน
“นายเอาของขวัญไปให้เขาจริงๆเหรอ”
“อื่อฮื้อ...พวกเขารับของขวัญหน้าตาเฉย ไม่มีใครพูดเรื่องนี้เลยซักคน”
“แสดงว่าไม่อยากให้เป็นข่าว”
“ใช่...ตอนนี้กำลังตามหากันให้ควั่ก ดูเหมือนจะสงสัยมาที่เราด้วยว่ะ” ราชว่า
“เหรอ....ถ้าเป็นนายลักพาไปจริงๆก็ดีน่ะสิ”
“ถ้าเป็นการลักตัวเรียกค่าไถ่ เดี๋ยวก็จะมีคำขู่ขอเงินมาเอง แต่ถ้าน้องอ้อหนีงานแต่งงานเพราะไปตกหลุมรักคนอื่น อันนี้ ช่วยไม่ได้ว่ะ”
“โธ่ ให้กำลังใจกันหน่อยสิวะ”
“เอาละ กลับจากงานที่พม่า จะตามเรื่องให้”
“ไปเมื่อไหร่วะ”
“คืนนี้...เดี๋ยวไม่ทัน”
“ไม่ทันอะไร”
“ไม่ทันใจนายไง” ราชยิ้มเย้า
ที่บริษัทเฮ้ลท์ตี้ ฟาร์ม่า กล่องชองขวัญของราชถูกเปิดออก เผยให้เห็นเป็นเป็นตุ๊กตาเซรามิคเจ้าบ่าว เจ้าสาว ภากรเป็นผู้แกะของขวัญกล่องนี้ เขาเขวี้ยงทิ้งลงพื้นด้วยความโกรธ ตุ๊กตาแตกกระจาย ไม่มีชิ้นดี
“มันหยามชัดๆ...มันจงใจหยามผม”
“อาจจะไม่ได้คิดอะไรก็ได้ เพราะเขาไม่น่าจะรู้เรื่องนี้” ทนายชอบประเมิน
“โธ่ มันสนิทกับก๊วนเพื่อนๆอ้อ ทำไมมันจะไม่รู้...เป็นไปไม่ได้”
“แต่เราก็ไม่มีควรไปโกรธอะไรเขานะครับ เขาอุตส่าห์เอาของขวัญมาให้”
“ทำไมผมจะโกรธมันไม่ได้...ผมรู้ว่ามันคิดอะไรอยู่...ผมจะเอาคืนกับมันด้วยซ้ำคอยดูสิ”
ภากรมั่นใจมากว่า ราช รัชภูมิ อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เจ้าสาวหายครั้งนี้
เย็นแล้ว คุณหญิงอำภา กับ ท่านกวี ทั้งสองนั่งเหนื่อยหน่ายอยู่กลางบ้าน
“คุณคิดว่าเราจะตามหาตัวยายอ้อเจอมั้ยคะ”
“สายสืบกำลังเร่งตามสืบอยู่ แต่เรายังหาร่องรอยอะไรที่เชื่อมโยงกันไม่ได้ตำรวจให้รอดูว่าจะมีคำขู่ส่งมาถึงเราเมื่อไหร่”
“ถ้าไม่มีล่ะคะ”
“เป็นไปได้ที่ยายอ้อสมยอม สมรู้ร่วมคิด หรือเป็นคนวางแผนหนีเสียเอง”
“โธ่...เราออกข่าวเลยไม่ดีเหรอคะ จะได้มีคนช่วยตามหา”
“คุณว่าดีมั้ยล่ะ นักการเมืองอย่างผมมีข่าวแบบนี้ในครอบครัว มันน่าอายมั้ย”
“งั้นเราจะทำยังไงกับงานแต่งงาน คุณแถลงข่าวไปซะใหญ่โต แจกการ์ดไปแล้วด้วย”
“คุณป่วยอีกทีได้มั้ยล่ะอำภา ผมจะได้มีข้ออ้างในการเลื่อนงานแต่งงาน”
คุณหญิงอำภานิ่งไป คล้ายจะยินยอมตามนั้น
ดึกสงัด นาฬิกาในห้องกระจกกักขังอมาวสี บอกเวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าแล้ว เธอยังไม่หลับ และกำลังเดินไปรอบๆ ห้อง เอาหูแนบผนังทุกด้าน เพื่อฟังเสียงจากภายนอกห้อง มันเงียบสนิท ไม่มีร่องรอยความเคลื่อนไหวใดๆให้ได้ยิน
อมาวสีค่อยๆ หยิบวิทยุขึ้นมา ลองกดปุ่มเรียก ไม่มีเสียงใดๆ ตอบมา เธอลองกดอีกทีพร้อมเอ่ยปากพูดเบาๆลงไปในวิทยุ
“ฮัลโหล...ฮัลโหล...มีใครได้ยินฉันมั้ย”
เมื่อไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา อมาวสีตัดสินใจเปิดประตูห้องช้าๆ เธอค่อยๆก้าวเดินออกจากห้อง
มีประตูอีกหนึ่งบานขวางอยู่ด้านหน้า ทำให้เธอไม่สามารถก้าวลงบันไดไปยังชั้นล่างได้ อมาวสีชะโงกหน้ามองผ่านระเบียงกระจกลงไป ในระดับความสูงสามชั้นนี้ มันมืดสนิท ไม่มีร่างของผู้ใดสักคน แม้กระทั่งไอ้แปลกชายร่างใหญ่ที่ชอบสะพายปืนก็ไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น อมาวสีกวาดตามองรอบๆ มีช่องว่างข้างระเบียงที่สามารถปีนออกไปได้
อมาวสีรวบชุดที่รุ่มร่ามของตัวเองให้กระชับ เธอค่อยๆ ก้าวปีนข้ามลูกกรงระเบียงนั้น อมาวสีไต่ไปตามขอบคานของตัวอาคาร จนไปถึงบันไดด้านหลังของอาคารนี้ มีประตูอีกหนึ่งบานกั้นขวางทางลงสู่เบื้องล่าง
อมาวสีตัดสินใจไต่ขึ้นไปทางดาดฟ้าด้านบน ด้วยหวังว่าจะมีทางลงอีกด้านหนึ่งของอาคาร
อมาวสีระมัดระวัง ค่อยๆ ก้าวขึ้นไปทีละนิดๆ อย่างช้าๆ
ครั้นเมื่อเธอขึ้นไปถึงด้านบนของดาดฟ้า จู่ๆ แสงไฟก็สว่างไสวขึ้นโดยที่อมาวสีไม่ทันตั้งตัว
อมาวสีถึงกับต้องหรี่ตาหลบแสงไฟ เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาเต็มๆ จึงพบว่า เบื้องหน้าคือหมู่มวลคนงานทั้งหมด แต่งตัวสวยงาม พวกเขารอต้อนรับเธออยู่บนดาดฟ้าที่ระยิบระยับไปด้วยไฟประดับประดา ตรงกลางดาดฟ้ามีซุ้มดอกไม้สวยงาม ข้างๆ กันมีเค้กก่อนใหญ่ คล้ายเป็นเค้กสำหรับคู่บ่าวสาว
ป่วนยิ้มแฉ่ง เอ่ยปากเป็นคนแรก
“นายผู้หญิงท่าจะดูหนังบ่อยนะครับ พวกหนังผจญภัยน่ะ”
แอ้มยิ้มเย้า “ใช่...ปีนตึกเก่งจังจ้ะ”
ป๊อดเสริม “จอมวางแผนซะด้วย แหม...เอาชายกระโปรงยัดอุดรูล็อคประตู...เก่งจริงๆ แต่ไอ้ป๊อดเก่งกว่า เพราะมองเห็นทุกอย่างเลย”
“ถึงว่าสิ นายถึงสั่งว่า ไว้ใจนายผู้หญิงไม่ได้” เอิบว่า
อมาวสีรู้สึก หน้าชา ทั้ง เสียหน้า และอับอาย
“แล้วพวกเธอขึ้นมาทำอะไรกันบนนี้”
ป่วนบอก “จัดงานให้นายผู้หญิงไงครับ”
“งานอะไร”
ป่วนเสียงดังกว่าเก่า “งานแต่งงาน”
อมาวสีร้อง “ห๊า...”
ป๊อดเสริมแทรก “ก็นายผู้หญิง หนีงานแต่งงานมาจากกรุงเทพฯ...พวกเราก็เลยจัดงานแต่งงานให้ซะที่นี่...จะได้ไม่เสียฤกษ์ไงครับ”
อมาวสีงงหนัก “แล้วจะให้ฉันแต่งงานกับใคร”
“ก็แต่งกับนายผู้ชายสิคะ” แอ้มว่า
“ไหนล่ะ นายของพวกเธอ”
“โน่นไงครับ ยืนหล่ออยู่โน่น”
ป่วนชี้นิ้วลงไปข้างล่าง อมาวสีเหลียวมองตามมือป่วนไป แล้วต้องสะดุ้ง เมื่อเห็นเป็น ราช รัชภูมิ อยู่ในชุดสูทขาว นั่งอยู่บนหลังม้าสีหมอก มาดอย่างหล่อ ราวกับพระเอกช่อง 7 สี
ราชส่งยิ้มหวานมาให้อมาวสี เสียงเพลงแต่งงานดังขึ้นจากเครื่องเสียงที่ป่วนเตรียมไว้
วินาทีนี้ อมาวสีบอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไร จึงได้แต่เบะหน้าใส่ราช แถมด้วยค้อนเล็กๆ อีกวง...ทว่า เธอก็ยังดูสวยงาม น่ารักอยู่ดี
โปรดอ่านต่อตอนที่ 9