หัวใจเถื่อน ตอนที่ 11
กลางสวนหลังบ้าน เป็นอีกมุมของบ้านพิชิตพงษ์ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและความหลังมากมีของ ภาคย์ พิชิตพงษ์
15 ปี ก่อนหน้านี้ เด็กชายภาคย์กำลังอยู่ในกิจกรรมการออกกำลัง เริ่มจากชกลมคล้ายซ้อมมวย
ตามด้วยกระโดดเชือก จากนั้นเขาหันมาเตะต้นกล้วย และจบด้วยการวิดพื้น เสียงความคิดของเด็กชายภาคย์ดังก้องขึ้นในใจของเขา
“ลูกผู้ชาย ต้องรู้จักการต่อสู้...ต้องเอาตัวรอดให้ได้ในทุกสถานการณ์”
เด็กชายภาคย์อยู่ในชุดนักเรียน เดินอยู่ริมฟุธบาท เขาล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบสตางค์หย่อนลงในถ้วยของขอทาน
“ลูกผู้ชาย ต้องเสียสละ...ต้องรู้จักแบ่งปัน”
บ่อยครั้งที่ไม้เรียวฟาดลงไปบนก้นเด็กชายภาคย์ เด็กชายเม้มปาก กัดฟันอย่างอดทนไม่ปริปากบอกใคร มีเพียงเสียงร่ำร้อยในใจออกมาให้เขาคนเดียวได้ยิน
“ลูกผู้ชาย ต้องอดทน เข้มแข็ง”
เด็กชายภาคย์นั่งแกะสลักไม้แผ่นขนาดย่อมๆ อยู่ในสวนหลังบ้านพิชิตพงษ์ เขาอ้าปากพูดประโยคต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้ว่า
“ลูกผู้ชาย ต้องไม่ใจอ่อน ต้องรักเดียวใจเดียว”
เด็กหญิงอมาวสียืนอยู่เบื้องหน้าเขา เธอเอ่ยปากถาม
“ทำอะไรอยู่น่ะ”
“ไม่บอก”
ที่บ้านพิชิตพงษ์ บัดนี้เป็นเวลาค่ำมากแล้ว ท่านกวีเดินเข้ามาในโถงกลางบ้านเงียบๆ ท่าทางของเขาดูอ่อนเพลียไปมาก ท่านกวีเดินมาจนเห็นคุณหญิงอำภานั่งอยู่เงียบๆ มุมหนึ่งในบ้าน เธอเปิดปากทักทายสามีจากสภาพที่เห็น
“ถ้าให้คุณแกล้งป่วยแทนฉันตอนนี้ ฉันว่าจะดูเหมือนจริง แนบเนียนกว่าฉันเยอะเลยนะคะ”
“ผมกำลังป่วยจริงๆน่ะสิ”
“ให้เรียกหมอมั้ยคะ”
ท่านกวีส่ายหน้า “สภาพจิตใจผมมันแย่ลง...อยู่ๆก็เกิดท้อแท้ขึ้นมา”
คุณหญิงอำภาสังเกตท่าทีของผู้เป็นสามีแล้วจึงเอ่ยปาก
“อยากเล่าอะไรให้ฉันฟังรึเปล่า”
ท่านกวีขยับตัวลงนั่ง ผ่อนลมหายใจยาวๆ
“เลขาพรรคเรียกผมไปพบ เขาพูดอะไรกับผม คุณรู้มั้ย”
คุณหญิงนิ่งเงียบ เธอทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี
“เขาบอกว่าพรรคการเมืองของเราเป็นพรรคใหญ่ และก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จำนวนสมาชิกพรรคเพิ่มขึ้นทุกปี มีนักธุรกิจใหญ่โตให้การสนับสนุนพรรคมากขึ้น”
“ในทางการเมือง ถือเป็นเรื่องที่ดีนี่คะ”
“ใช่...เพราะพรรคจะมีตัวเลือกมากขึ้น สำหรับเฟ้นหาผู้สมัครในทุกๆ สนามการเลือกตั้ง”
ท่านกวีเว้นจังหวะ เงียบงันไปเฉยๆ คุณหญิงอำภารอฟังต่ออย่างสงบ
“เขาบอกผมว่า ประวัติ และภูมิหลังของนักการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ..และตอนนี้ทางพรรคกำลังเพ่งเล็งผมอยู่”
“เรื่องเก่าที่คุณโดนตัดสิทธิ์น่ะเหรอคะ”
“เรื่องนั้นมันจบไปแล้ว ทุกคนรู้ว่าเป็นความผิดพลาดของหัวคะแนนที่แอบไปแจกเงินชาวบ้าน...แต่ครั้งนี้ มันเป็นพฤติกรรมของลูกชายเรา และเรื่องธุรกิจบริษัทยา เขาบอกว่า ถ้ามีปัญหาแม้เพียงนิด พรรคอาจจะต้องถอนชื่อผมออกจากการเป็นกรรมการบริหาร”
“ที่จริง ไม่ต้องเป็นกรรมการพรรคก็ไม่แปลกนี่คะ ดีซะอีก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพรรค มันจะได้ไม่ต้องกระทบมาถึงคุณ”
“แต่ผมก็จะไม่ใช่ตัวเลือกของพรรคอีกต่อไป อย่างดีก็อยู่ไปเรื่อยๆ จนเป็นที่ปรึกษาเก่าๆแก่ๆของพรรค...ผมควรจะพอใจแค่นั้นเหรอ”
ท่านกวีถอนใจอีกครั้ง
คุณหญิงถามขึ้นในจังหวะหนึ่ง “เรื่องหนูอ้อมีผลมั้ยคะ”
“ถ้าในสื่อออนไลน์ยังมีคนตั้งกระทู้ ยังมีคนเม้นท์ กดไล้ค์กันไม่หยุด ก็มีผลแน่”
ค่ำวันเดียวกันนี้ บริเวณโต๊ะเตรียมอาหารในโรงครัวบ้านไร่ มีส่วนประกอบของอาหารมากมายวางเรียงรายเต็มครัว ป้าเอิบ น้าป่วน และแอ้มกำลังเตรียมสิ่งเหล่านั้น ป๊อดเดินส่งเสียงนำตัวเองเข้ามา
“เจ้าประคุณเอ๋ย นี่มันอาหารชาติไหนวะเนี่ย”
“ชาติไหนไม่รู้ว่ะ นายเขียนสั่งมาอย่างนี้ ข้าก็ทำตาม” ป้าเอิบบอก
“แล้วก็สั่งซะดึกเชียว ไหนดูหน่อยซิ”
ไอ้ป๊อดหยิบรายการอาหารมาอ่าน เสียงดัง
“กระเทียมปอกเปลือก มายองเนส ปลาแอนโชวี่ ซอสเปรี้ยว น้ำมะนาว เกลือ พริกไทยดำบดหยาบ น้ำมันมะกอก ขนมปังกรอบ เบคอนทอดกรอบ เนย แข็ง หอมใหญ่หั่นบางๆ ฟักทอง แครอท ลูกจันปั่น ขาแกะ อกเป็ด ซี่โครงวัว...แล้วมันจะออกมาหน้าตาเป็นยังไงวะ”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน” แอ้มบอก
“อ้าว...แล้วมันจะกินได้เหรอ...ตกลงทำเป็นรึเปล่าเนี่ยป้าเอิบ” ป๊อดบ่น
“ข้าแค่เตรียมเว้ย ถึงตอนปรุง นายจะทำเอง”
ป๊อดประหลาดใจสุดๆ
“ห๊า...นายจะเป็นกุ๊กเองเลยเหรอนี่”
ราชเดินเข้ามาพอดี พร้อมกับถามขึ้น “ได้ของครบตามที่สั่งมั้ย”
ป้าเอิบกับแอ้ม บอก “ค่ะ” พร้อมกัน
“น้าป่วน เอานี่ไปให้นายหญิงหน่อย...ส่งให้ถึงมือเลยนะ”
ราชหยิบกระดาษลักษณะคล้ายการ์ดเชิญส่งให้น้าป่วน
การ์ดแผ่นนั้นถูกยื่นออกไปเบื้องหน้าอมาวสีที่อยู่ในห้องพัก มันคือการ์ดเชิญ ร่วมโต๊ะดินเนอร์ คืนนี้ เสียงป่วนดังขึ้น
“นายให้เอามาให้ครับ”
อมาวสีหยิบการ์ดแผ่นนั้นขึ้นมาดู
“การ์ดเชิญดินเนอร์ ?...วันนี้มีงานอะไรเหรอ”
ป่วนยืนอยู่เบื้องหน้าอมาวสี
“ยังไงไม่ทราบครับ...แต่นายสั่งให้ตั้งโต๊ะพิเศษ แล้วก็รายการอาหารมากมาย”
“นายของน้าป่วนกลับมาแล้วเหรอ”
“ครับ เมื่อกี้นี้เอง แต่นายสั่งงานมาทางโทรศัพท์ ตั้งแต่บ่ายๆ”
อมาวสีประเมินเวลา “ระยะทางจากกรุงเทพฯ มาที่นี่ใช้เวลาเท่าไหร่”
“สี่ชั่วโมง มั้งครับ”
“นายของน้าป่วน ไม่เหนื่อยบ้างรึไง”
“อยู่ที่ใจครับ ถ้ามีความตั้งใจจริง ทำอะไรๆก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย...อ้อ นายบอกให้แต่งชุดสวยๆด้วยครับ”
น้าป่วนเดินออกจากฉากไป อมาวสีเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า
เธอหยิบชุดราตรียาว ออกมาดู มันสวยงาม และส่อว่าใส่แล้วน่าจะโป๊ อมาวสียิ้ม หมั่นไส้อยู่ลึกๆ
ราช ยืนนิ่งอยู่กลางห้องโถง เขาอยู่ในชุดหล่อตามสไตล์ของตัวเอง อมาวสีก้าวมายืนบริเวณด้านบนบันได ราชหันไปมองทันที อมาวสีอยู่ในเสื้อผ้าชุดทะมัดทะแมง ประเภทกางเกงยีนส์ เสื้อเชิ้ต
“ผิดหวังละสิ ที่เห็นฉันใส่ชุดนี้”
“ถ้ามันคือชุดที่สวยที่สุดในสายตาของคุณ ผมก็โอเค ไม่มีปัญหา แต่มันดูเหมือนชุดเดินทางมากกว่า”
“ชุดของฉัน มันเกี่ยวกับอาหารมื้อดึกนี้ตรงไหน”
“ผมแค่รู้สึกว่าคุณยังใส่เสื้อผ้าที่ผมจัดไว้ให้ ไม่ครบทุกชุดเท่านั้นเอง”
“ฉันเลือกเฉพาะที่พอใจจะใส่...ซึ่งคงไม่ใช่ชุดแบบนี้”
อมาวสีวางชุดราตรีชุดนั้นเบื้องหน้าราช
“อือม...”
“แต่ถ้าจะให้ใส่เสื้อผ้าของคุณได้ครบ คุณคงตัองขังฉันไว้ที่นี่อีกซักเดือนนึงมั้ง”
“จะเอางั้นมั้ยล่ะ”
“ไม่”
“ไม่ต้องห่วงหรอก...ผมรับปากอะไรไว้ ผมต้องทำตามนั้น”
“คุณจะส่งฉันกลับบ้าน”
“แน่นอน หลังดินเนอร์มื้อนี้...เชิญครับ”
ราชเดินนำอมาวสีออกไปยังดาดฟ้า ระเบียงสวย
ราชเดินนำอมาวสีขึ้นมาบนระเบียงตกแต่งสวย มีโต๊ะอาหารหรู โรแมนติก ตั้งอยู่กลางระเบียงนั้น
อมาวสีถึงกับอึ้งไม่น้อยกับภาพเบื้องหน้า
ราชขยับเก้าอี้ให้อมาวสีนั่งอย่างสุภาพ และเป็นทางการ
“คุณทานอาหารเย็นเวลาห้าทุ่มกว่าๆ เสมอเหรอคะ”
ราชส่ายหน้า “ผมไม่ทานมื้อเย็น...ยกเว้นกรณีพิเศษ เช่น งานเลี้ยงวันเกิด”
อมาวสีมองหน้าราช ฉงน
“แปลกใจ”
“คุณไม่ได้ทำให้ฉันประทับใจเท่าไหร่นักหรอก เพราะวันเกิดฉันพรุ่งนี้ ไม่ใช่วันนี้”
“ผมเคยอ่านพบในหนังสือ ว่า การจัดงานเลี้ยงวันเกิดในคืนก่อนวันเกิด...มันจะทำให้เวลาตอนเที่ยงคืนมีค่าขึ้นมาก...เพราะเป็นช่วงเวลาที่เราก้าวเข้าสู่วันคล้ายวันเกิดพร้อมๆกัน และก็จะคอยลุ้นว่า ใครหนอจะเป็นคนแรกที่อวยพรวันเกิดให้เรา...คุณเป็นอย่างนั้นรึเปล่าครับ”
“ฉันไม่มีเพื่อนฝูงมากมายจนต้องลุ้นว่าใครจะมาอวยพรให้เป็นคนแรก”
ราชส่งเมนูอาหารให้อมาวสี
“เมนูครับ คุณต้องเป็นคนเลือก เพราะผมเดาไม่ถูกว่าคุณชอบอะไร เรามีซีซ่าสลัด สลัดผักย่าง ซุปมะเขือเทศ ซุปฟักทอง และก็เมนคอร์ส”
อมาวสีอ่านเมนู แล้วมองหน้าราช แปลกๆ
“ถ้าคุณไม่เลือก ผมขอแนะนำให้เริ่มต้นที่ สลัดผักย่าง และซุปฟักทอง ผมชอบสีเหลืองครับ”
ราชเริ่มต้นปรุงซุปสดๆ ข้างโต๊ะนั้น
มุมบันได ไม่ไกลจากโต๊ะอาหารนัก ป๊อด และ แอ้ม ชะเง้อหน้า แอบมองผู้เป็นนาย ทั้งสองยิ้มกว้าง เคลิบเคลิ้ม โดยเฉพาะแอ้ม
“นายเท่ห์จัง...แบบนี้หละ ผู้ชายในฝันของฉันเลย”
“นายผู้หญิงก็ นางในฝันของฉันเหมือนกัน”
“จะมีผู้ชายคนไหน ทำให้ฉันแบบนี้บ้างมั้ยหนอ”
ป๊อดชี้ที่ตัวเอง “ลองกันดูซักตั้งมั้ย แต่ขอเป็นเมนูลาบ แกงอ่อม ซกเล็กนะ”
“บ้า” แอ้มด่าแถมค้อนอีกวง
อมาวสีตักซุปบนโต๊ะอาหารตกแต่งสวย ใส่ปาก ราชมองหน้า เหมือนรอฟังความเห็น อมาวสีนิ่ง ไม่เอ่ยปากใดๆ
“จะไม่พูดอะไรซักหน่อยเหรอครับ”
อมาวสีไปอีกเรื่อง “คุณจะพาฉันไปส่งพรุ่งนี้เช้าเลยหรือเปล่า”
“ผมหมายถึงรสชาติซุป”
“มีแบบสอบถามให้ฉันกรอกมั้ยล่ะ”
ราชยิ้มบางๆ ไม่ตอบ
อมาวสีเอ่ยขึ้น “ตกลงว่ายังไง...พรุ่งนี้รึเปล่า”
“รอให้อาหารย่อยอีกสักวันสองวันไม่ได้เหรอครับ”
“กระเพาะฉันไม่ได้อู้งานขนาดนั้นนะคะ”
“งั้นไปคืนนี้เลยมั้ยล่ะ...เครื่องแต่งกายก็เหมาะสมแล้วนี่”
“คุณจงใจจะเบี้ยวฉันก็บอกมาเถอะ”
“เปล่า แต่มันมีเรื่องที่ต้องทำความตกลงกันก่อน”
“เชิญเลยค่ะ”
“คุณยังไม่ได้เลือก เมนคอร์สเลย”
“ฉันว่า เรากินอาหารแบบง่ายๆไม่ได้เหรอ ทำไมต้องทำเป็นพิธีรีตองมากขนาดนี้”
“ก็ไม่ได้พิธีรีตองอะไรเกินไปนี่นา แค่บอกผมมาว่าจะกินอะไร ผมจะได้ทำให้ขาแกะ อกเป็ด หรือริปอาย...”
อมาวสีบอก “ปลา”
“ไม่มีในเมนูครับ...แต่ผมเผื่อแซลมอนไว้แล้ว”
ราชหยิบชิ้นปลาแซลมอนชูให้ดู เขาเริ่ม จัดการกริลล์ อมาวสีเอ่ยปากชัดถ้อยชัดคำ กึ่งประชด
“มีอะไรที่ฉันต้องเลือกในค่ำคืนนี้อีกมั้ยคะ”
“มีเท่านั้นละครับ...ของหวานผมเตรียมไว้แล้ว ห้ามเลือก...ส่วนของขวัญคุณมีหน้าที่รับอย่างเดียว ไม่มีสิทธิ์เลือก”
“มีของขวัญของฉันด้วยเหรอ”
“มีคนที่เขาจำวันเกิดคุณได้ฝากมาให้...เขาเป็นคนฝากให้ผมจัดงานคืนนี้ให้คุณ”
“อย่าบอกนะว่า...เป็น พี่วาริน”
“ทำไมจะบอกไม่ได้”
“นี่คุณไปพบพี่วารินเหรอ แล้วยายวัชล่ะ”
อมาวสีมีท่าทีกระตือรือร้น อยากรู้ ราชกลับทำเมินเฉย สนใจแต่การปิ้งปลา
“ซอสอะไรดีครับ”
“แล้วเจอพึงใจกับนิลรัตน์ด้วยรึเปล่า”
“เทอริยากิมั้ย”
อมาวสีชักฉุน “ฉันไม่กินแล้ว คุณบอกฉันมาก่อนว่าคุณไปเจอเขาเมื่อไหร่ แล้วคุณพูดกับพวกเขาว่ายังไง”
ราชวางมือจากการปิ้งปลา
“คุณแกะของขวัญจากเขาเลยแล้วกัน”
“ไหน?”
“นี่ไง”
ราชยื่นไอแพดให้อมาวสี เขาเปิดคลิปที่โหลดไว้ในไอแพดนั้นให้เธอดู
โดยเป็นคลิปที่บันทึกจากบ้านวาริน ตอนบ่ายที่ผ่านมา ขณะนั้นเพื่อนๆสามสาวนั่งเรียงแถวกันอยู่หน้ากล้อง ผลัดเวียนกันถามไถ่ ตัดพ้อ ทว่าทุกเสียง ทุกคำ เต็มไปด้วยความคิดถึง
เริ่มจากวัชรี "ยายอมา...เธอเห็นแก่ตัวที่สุด อยู่ๆก็ทิ้งเราไปโดยไม่บอกไม่กล่าว"
อมาวสีเงยหน้าจากจอ ไอ แพด จ้องหน้าราช
“พวกเขาเข้าใจว่าคุณจงใจหนีงานแต่งงานเอง”
อมาวสีก้มหน้า ลงพูดกับจอ ไอแพดว่า “ใครบอกเธอ”
นิลรัตน์บอก "ดีนะที่นายยักษ์ตามหาเบาะแสจนเจอเธอ"
พึงใจว่า "ไม่งั้นพวกเราเป็นบ้าตายแน่ๆ"
อมาวสีเงยหน้าพูดกับราช ตาขุ่นเสียงเขียว
“นายอวดเอาหน้ากับเพื่อนฉันชัดๆ”
“แต่มันฟังดูดีกว่าถูกลักพาตัวนะครับ”
“ดีสำหรับนายน่ะสิ สำหรับฉัน มันไม่ต่างเลย”
“ต่างสิครับ ไม่งั้นคุณจะถูกสังคมครหา นินทา ว่าอยู่ในป่ากับผู้ชายตามลำพังเรื่องแบบนี้ สังคมชอบแต่งเติมสีสรร และกระพือข่าวกันไปไกล...ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้หญิง มันจะหนักหนาสาหัสกว่าผู้ชายเยอะ”
หน้าจอ ไอแพดยังเป็นคิวนิลรัตน์
"ตอนแรกเราคิดว่าเธอถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่"
ตามด้วยพึงใจ "หรือไม่ป่านนี้ถูกฆ่าข่มขืนไปแล้วด้วยซ้ำ"
อมาวสีมองหน้าราช ราชยักไหล่ให้
ที่หน้าจอไอแพด วัชรีบอกมาว่า "กลับมาหาเราเถอะนะ มีปัญหาอะไรก็มาคุยกัน ช่วยกันหาทางออก"
ทุกคนประสานเสียง "พวกเราคิดถึงเธอมากๆ"
อมาวสีก้มหน้าจ้องจอไอแพด น้ำตาของเธอค่อยๆ เอ่อ เมื่อเห็นความคิดถึงและห่วงใยของเพื่อนๆ
ราชเอ่ยปากพูดอธิบายขยายความต่อไป
“ผมบอกพวกเขาว่า คุณอยู่กับหญิงชราชาวบ้านและผมได้เบาะแสจากพวกแรงงานต่างด้าว”
อมาวสีประชด “ฉันอยู่พม่างั้นเหรอ”
“แค่แม่สอดก็น่าจะพอ”
หน้าจอไอแพด เป็นหน้าแฉล้มของวัชรี
"อยากให้เธอรู้ว่า พวกเราทุกคน ไม่มีใครลืมวันเกิดเธอเลยและนี่คือของขวัญเล็กๆน้อยๆที่แสดงว่าเรารักและคิดถึงเธอเสมอ"
สามสาวขยับตัว เผยให้เห็นวารินนั่งอยู่หน้าแกรนด์เปียโนเขาเล่นและร้องเพลง แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู ในสไตล์อาร์แอนด์บี
อมาวสีเงยหน้าจากจอไอแพด น้ำตาเอ่อท่วมท้น
“คุณทำให้เรื่องมันยุ่งยากมากขึ้นจริงๆ” อมาวสีต่อว่า
“ผมทำให้มันจบแบบไม่มีใครเสียหายต่างหาก”
“คุณกลัวข้อหาลักพาตัวมากกว่า”
“ผมไม่เคยกลัว ในสิ่งที่ผมทำ”
อมาวสีย้อนเอา “แต่ก็ไม่กล้า...ไม่กล้ายอมรับความจริง...หน้าไม่อาย”
“แล้วคุณกล้ามั้ยล่ะ”
ราชจ้องหน้าอมาวสีนิ่ง
“กล้าบอกมั้ยว่าคุณรังเกียจนายภากร และไม่ต้องการแต่งงานกับเขา กล้าพูดต่อหน้าพ่อหน้าแม่เขามั้ยว่าพวกเขาเป็นต้นเหตุให้พี่ภาคย์ของคุณต้องหนีออกจากบ้านคุณก็ไม่กล้า คุณไม่กล้าต่อสู้เพื่อพี่ภาคย์ของคุณด้วยซ้ำ ไม่เคยกล้าเลย”
อมาวสีได้แต่มองหน้าราชนิ่ง
“ผมซะอีกที่กล้าดึงคุณออกมาจากงานแต่งงานบ้าๆ นั่น ผมกล้าเสี่ยงเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า และถูกต้องกว่า”
“ลักพาตัวเนี่ยนะ” อมาวสีค่อนขอด
“ถ้าคุณไม่เชื่อว่าเรื่องของหัวใจเป็นเรื่องใหญ่ คุณก็คงไม่มีวันเข้าใจสิ่งที่ผมพูด”
“คุณไม่มีวันรู้จักหัวใจคนอื่นดีกว่าเจ้าของหัวใจหรอกค่ะ”
“งั้นเหรอ...แต่เอาเถอะ เมื่อสิ่งที่ผมทำมันไปกระทบผู้คนเป็นวงกว้างขึ้น ผมก็ยินดีจะจบเรื่องนี้เอง”
ราชเปลี่ยนอิริยาบถ เขาวางจานแซลม่อนลงบนโต๊ะเบื้องหน้าที่นั่งของอมาวสี
“คุณไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่คุณทำ มีผลต่อหัวใจของผู้ใหญ่อีกสองคนที่เขามีบุญคุณต่อคุณไม่น้อยเลย”
ราชนิ่งไม่มีท่าทีตอบโต้ใดๆ
มุมหนึ่งใกล้ๆ โต๊ะอาหาร น้าป่วนกับป้าเอิบเดินถือถาดของหวานเข้าเฟรม ป๊อดกับแอ้มยังยืนแอบดูผู้เป็นนายอยู่ตรงนั้น
“ได้เวลาของหวานรึยัง” ป้าเอิบถามขึ้น
“นายยังไม่เรียกเลย” ป๊อดบอก
ป่วนว่า “ทะเลาะกันอีกรึเปล่า”
แอ้มว่า “ไม่หรอก แค่พูดเสียงดังเท่านั้นเอง”
ป้าเอิบบอก “ดูหน้านายสิ”
“หน้านาย ดุอย่างนี้เอง แกชอบเก๊กหน้าดุ ดูสิ กรามปูดเป็นสัน ตัวเกร็ง แข็งโป๊กเลยนั่น” ป๊อดพยักพเยิดให้หมู่มวลดู
ราชขยับตัวลงนั่งเบื้องหน้าอมาวสี
“เอาละ เรามาทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ตรงกันก่อนนะครับ คุณเป็นโรคกลัวการแต่งงาน ก็เลยหนีออกจากบ้าน นั่งรถทัวร์ขึ้นเหนือจนถึงแม่สอด”
อมาวสีแย้ง “ฉันไม่เคยไปแม่สอด”
ราช “พรุ่งนี้ผมจะปริ้นท์ภาพและข้อมูลของแม่สอดมาให้คุณท่องจำก็แล้วกัน”
อมาวสีพยักหน้านิดๆ
“ต่อนะ...มีป้าแก่ๆ ชื่อป้าเอิบ ให้ที่พักอาศัยกับคุณ ผมรู้ข่าวของคุณจากแรงงานต่างด้าวที่เข้าๆออกๆ แถวนั้น เมื่อคุณพร้อมจะกลับบ้าน คุณจึงให้เด็กพวกนั้นพามาพบผม หลังจากนั้นผมก็พาคุณไปส่งที่บ้านวาริน นายวารินก็จะส่งคุณกลับบ้านพิชิตพงษ์เอง”
“ทำไมคุณไม่...”
ราชพูดแทรกทันที “คุณอยากให้ผมไปที่นั่น แล้วมีปากมีเสียงกับคุณหญิง เพื่อให้เธอล้มป่วยอีกงั้นเหรอ”
“ก็เพียงแค่คุณยอมรับกับคุณป้าว่า...”
ราชตัดบท “เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันครับ จบครับ”
ราชก้มหน้ามองนาฬิกาที่ข้อมือ
“อีกไม่ถึงห้านาทีจะเที่ยงคืนแล้ว คุณอยากได้คำอวยพรจากใครเป็นคนแรก”
“ไม่รู้”
“งั้นคุณใช้เวลาซักสามนาทีกับของหวานก่อนดีมั้ย”
ราชพยักหน้าลุกออกไปนอกโต๊ะ เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น ราชกดรับ แล้วเดินเลี่ยงออกไปพูดสายด้านนอก
“ฮัลโหล...ว่าไงนะ”
ป้าเอิบและแอ้มยกถาดของหวานเข้ามา มันเป็นถาดแบบที่มีฝาสแตนเลสครอบอย่างดี ทั้งสองยิ้มหวานให้อมาวสี
“ฝีมือนาย...อร่อยมั้ยคะ” ป้าเอิบถาม
อมาวสียิ้มแทนคำตอบ
“ดูเหมือนจะหวานนำนะคะ แต่ของหวานที่สุดอยู่ในนี้ค่ะ” แอ้มบอก
ป้าเอิบและแอ้มวางถาดของหวานลงบนโต๊ะ
ราชเดินกลับเข้ามาในนี้ ด้วยหน้าตาเคร่งเครียดเห็นถนัด
“ป้าเอิบ แอ้ม พานายผู้หญิงกลับเข้าห้องเดี๋ยวนี้เลย แล้วอย่าออกมาข้างนอกเด็ดขาด จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากฉัน...โทษทีนะ ผมมีเรื่องด่วน...เรื่องสำคัญที่ต้องทำ เดี๋ยวนี้”
ราชรีบก้าวยาวๆ ออกไป ทิ้งให้อมาวสีมองตาม สีหน้างุนงง พอสมควร
กลางโถงบ้านวารินยามนี้ มีวารินและสาวๆ ทั้งสามล้อมวงกันนิ่ง
“เที่ยงคืนแล้ว” วัชรีเอ่ยขึ้น
ทุกคนวางโทรศัพท์มือถือของตัวเองไว้เบื้องหน้า แต่ละคนจ้องมองที่โทรศัพท์ของตน
โทรศัพท์ทุกเครื่องของทุกคนวางเรียงกันกลางวง ต่างคนต่างรอ อย่างมีความหวัง ท่ามกลางความเงียบ สงัด
อ่านต่อหน้า 2
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 11(ต่อ)
ป้าเอิบเดินนำอมาวสีเข้ามาในห้องพัก หญิงสาวถามขึ้นอย่างฉงนฉงายไม่คลาย
“เกิดอะไรขึ้นเหรอป้า”
“ไม่รู้ค่ะ ยังไม่มีใครรู้รายละเอียดอะไรทั้งนั้น”
“แล้วทำไมฉันต้องรีบกลับเข้าห้องด้วยล่ะ”
“เป็นคำสั่งนาย”
อมาวสีนึกหมั่นไส้ “นายของป้าใช้อำนาจบาดใหญ่จริงๆ”
ป้าเอิบบอก “ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ นายไม่ทำอย่างนี้แน่...เพราะฉะนั้น นายให้ทำอะไร เราจึงต้องเชื่อนายไว้ก่อน”
อมาวสีหงุดหงิด “ไม่เข้าท่าเลย”
แอ้มเดินถือถาดของหวานเข้ามาในห้อง
“นายหญิงยังไม่อิ่มใช่มั้ยคะ”
อมาวสีส่ายหน้านิดๆ
“ยังไม่ได้รับของหวานเลยนี่นา...นี่ค่ะ นายสั่งให้เอาเสิร์ฟถึงที่เลยค่ะ”
แอ้มวางถาดของหวานเบื้องหน้าอมาวสี อมาวสีแง้มฝาครอบสแตนเลสออก เธอเห็นเป็นกล่องของขวัญเล็กๆ วางอยู่กลางถาดนั้น อมาวสีถึงกับอึ้ง นิ่งงันไป
ป้าเอิบถาม “หวานมั้ยคะ”
“มันคืออะไร”
“พวกเราไม่รู้หรอกค่ะ นายทำของนายเองคนเดียว แล้วปิดฝาไว้ ห้ามใครยุ่งเป็นอันขาด”
“รู้แต่ว่า นายตั้งใจทำให้นายหญิงโดยเฉพาะเลย...น่าทานมั้ยคะ”
อมาวสีไม่ตอบ แอ้มและป้าเอิบยื่นหน้าเข้ามาดู ต่างพากันยิ้มหน้าบาน โดยเฉพาะนังแอ้ม
“โอ...หวานอะไรอย่างนี้”
ฟากวารินและสามสาวนั่งล้อมวงกันที่เดิม ท่ามกลางความเงียบ
พึงใจเอ่ยขึ้น “เลยเที่ยงคืนมานานแล้วนะ ไม่เห็นมีโทรศัพท์จากนายยักษ์เลย”
นิลรัตน์บ่นบ้า “เชื่อถือได้รึเปล่าเนี่ย ตาคนนี้”
“พี่เชื่อเขามาตลอด เขาไม่เคยทำให้พี่ผิดหวัง” วารินบอก
วัชรีเสริม “ยกเว้นครั้งนี้”
นิลรัตน์บอก “เขาอาจจะหลอกเรา เพื่อให้เราสบายใจ”
“เขาอาจจะไม่มีเบาะแสอะไรเลยก็ได้” พึงใจว่า
“โทร.หาเขาเลย พี่วาริน...โทร.หาตายักษ์เดี๋ยวนี้เลย” วัชรีสั่ง
“พี่โทรตั้งนานแล้วครับคุณน้อง...แต่มันไม่มีคนรับ”
“โธ่...อดคุยกับยายอมาเลย” วัชรีครวญ
ทุกคนถอนใจพร้อมกัน เซ็งเป็นแถบ
ป่วนวิ่งเข้ามาในห้องพักอมาวสีหน้าตาของชายกลางคน ดูตื่นเต้น ไม่น้อย
“นายสั่งให้ย้ายห้องไปอยู่ตึกหลัง ป้าเอิบพานายหญิงขึ้นไปบนดาดฟ้านะ แอ้มแกไปกับฉัน...ว.17 ตีนเขา”
ทุกคนขยับตัวตามคำสั่งป่วน อมาวสียังงุนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น อะไรคือ วอ สิบเจ็ด”
แอ้มบอก “เหตุอันตราย ที่ตีนเขาค่ะ”
“แล้วมันอันตรายยังไงล่ะ” อมาวสีคาใจ
ป่วนบอก “ไฟป่าครับ”
อมาวสีตกใจ “ไฟป่า”
“มันเกิดขึ้นฉับพลัน ถ้าเราไม่หยุดมัน มันจะลามมาถึงไร่เราทั้งไร่” ป่วนอธิบาย
“งั้น ทำไมเราไม่ไปช่วยด้วยกันทั้งหมด”
“นายสั่งให้นายหญิงอยู่กับที่ครับ” ป่วนส่งกล้องให้ “ถ้าอยากเห็นว่าอะไรเป็นอะไร ก็ใช้กล้องนี่ครับ”
ป่วนส่งกล้องมองตาเดียวให้อมาวสี แล้วรีบออกจากห้องไปพร้อมกับแอ้ม
อมาวสีเดินไปที่ระเบียงยกกล้องขึ้นมาประทับแนบตา เธอเล็งแลออกไปไกลยังแนวตีนเขา
มองผ่านกล้องส่องทางไกล เห็นเป็นแนวไฟสีแดงฉาน ลามไปตามทุ่งหญ้าตีนเขา
ป้าเอิบ หอบผ้าห่ม ผ้าคลุมไหล่ เดินตรงมาที่อมาวสี
“ไปกันเถอะค่ะ นายหญิง”
อมาวสีมีหน้าตาตื่นกลัวไม่น้อย
กลางป่าทึบ กำนันแม้น ไอ้มาก และหมู่ลูกน้องซุกตัว ซุ่มอยู่กลางป่ารก กำนันถือกล้องส่องทางไกลแนบตา พอใจผลงานสมุน
“เยี่ยมมาก...สุดยอด”
กำนันค่อยๆ ลดกล้องลง
“เรื่องเผา ต้องยกให้ไอ้กี้...ไม่มีใครเผาได้รวดเร็วและราบเรียบ เท่าไอ้กี้อีกแล้ว”
ไอ้มากกระเถิบเข้าใกล้พ่อ
“แล้วแผนต่อไปล่ะพ่อ”
“รอเวลาอีกนิด ให้มันสาละวนกับไฟป่าอีกซักหน่อย พอพวกมันเพลียกันได้ที่ เราค่อยบุกเข้าไปปล้น และเผาบ้านมัน ทำลายมันให้พินาศ...ก่อนสว่าง”
“อย่าลืมฉุดเมียมันมาด้วยนะพ่อ” มากระรื่น
“เออ น่า...เรื่องเมียชาวบ้าน กำนันอย่างข้าไม่พลาดหรอก ฮ่ะฮ่ะฮ่า”
กำนันระเบิดหัวเราะสะใจ หมู่ลูกน้องพากันหัวเราะตามนาย ชั่วช้าพอกัน
ราช พินัย และหมู่คนงานยืนมองแนวไฟป่าอยู่ตรงปลายเขตไร่ รอบๆ บริเวณพบว่ามีรถน้ำ รถดับเพลิงจอดอยู่ สองสามคัน สายฉีดถูกลากโยงออกไปไกลยังด้านนอก
พินัยยกกล้องส่องทางไกลขึ้นแนบตาแล้วจึงพูด
“ดูเหมือนว่าจะไม่ลามมาทางเราแล้วว่ะ ถือเป็นโชคดีที่เราชะลอไฟไว้ได้ทัน”
“แต่มันไม่น่ามีไฟป่าเกิดขึ้นช่วงนี้เลยนะนาย” ป่วนตั้งข้อสังเกต
“ช่วงไหนๆก็เกิดได้ ถ้ามีคนจุด” ราชว่า
“มันจะจุดทำไมของมัน ไอ้สันขวานเอ๊ย” ป๊อดโมโห
“ก็จุดเผาน่ะสิวะ” พินัยว่า
“ไม่ว่ามันจะเผาเพื่ออะไรก็ตาม...มันจะไม่มีวันได้สิ่งที่มันต้องการเป็นอันขาด”
อมาวสียืนอยู่กลางดาดฟ้าเรือนคนงาน เธอยังคงส่องกล้องมองดูแนวไฟในป่า
“เวลามีไฟป่า เราต้องทำยังไงเหรอป้า”
“เราก็ต้องคอยระวังรักษาแนวไฟ ไม่ให้ลามเข้ามาถึงไร่ของเรา เพราะแค่สะเก็ดไฟกระเด็นมาเพียงนิดเดียว มันก็อาจจะเผาไร่ได้เป็นร้อยๆไร่”
“งั้นเราก็ต้องเฝ้าดูจนกว่ามันจะดับสนิท”
“ใช่ค่ะ บางทีต้องเฝ้าเป็นอาทิตย์ๆเลย ถ้าใครคิดจะปล้นไร่เราก็ต้องอาศัยตอนมีไฟป่านี่แหละค่ะ”
อมาส่องกล้องไปอีกทางหนึ่ง เห็นเป็นความเงาวาว เป็นแนว คล้ายรถมอเตอร์ไซค์วิ่งเข้ามาในไร่
“จริงเหรอป้า”
“จริง”
“แล้วถ้ามีผู้ร้ายบุกมาปล้นเราตอนนี้ล่ะ จะทำยังไง”
“ก็ต้องรีบบอกนาย”
“เราช่วยอะไรไม่ได้เลยเหรอ”
“จนกว่านายจะสั่งค่ะ”
“อือม...ฉันขอไปฉี่ก่อนนะป้า”
อมาวสีเดินออกไป ตรงไปยังห้องน้ำด้านล่าง
กำนันแม้นและหมู่ลูกน้องเคลื่อนตัวเข้ามา กระจายกันเต็มลานบ้านไร่ กำนันตะโกนสั่งลูกน้อง
“แบ่งกำลังเป็นสามทัพ...เราจะโจมตีอย่างรวดเร็ว เผา ทำลายทุกอย่าง”
“แต่ถ้าเจอเมียมัน จับเป็นนะเว้ย” มากกำชับ
กำนันหันไปสั่งลูกน้องที่อยู่ข้างตัว
“ไอ้เก่ง ไอ้กี้ ล่วงหน้าไปดูลาดเลาก่อน ทางสะดวกแล้วส่งสัญญาณมา ข้าจะตั้งขบวนรออยู่ตรงนี้”
“โธ่...ช้าเปล่าๆน่า จะดูลาดเลาทำไมให้เสียเวลาอีก ยกพวกตะลุยมันพร้อมกันทีเดียวเลยดีกว่าน่าพ่อ”
กำนันยั๊วหันไปดุลูกชาย
“ไอ้โง่ นี่ไม่ใช่หนังบู๊นะเว้ย เอะอะ จะยกพวก ตะโกนลั่น แล้วมันได้อะไรขึ้นมาพวกมันก็รู้ตัวกันก่อน เห็นหน้าเห็นตาหมดว่าพวกเราเป็นใคร หัดทำอะไรใจเย็นๆหน่อย รู้จักรอเวลาบ้าง อย่ากระสันนักไอ้มาก”
ฝ่าย ไอ้เก่ง ไอ้กี้ ขี่มอเตอร์ไซค์วนรอบๆ บ้านกลางไร่ ไอ้กี้ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าบ้าน ส่วนไอ้เก่งขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปอีกทางหนึ่ง
ไอ้กี้ หยิบวิทยุขึ้นมากดพูด
“ทางสะดวก โล่งสบาย ไม่มีใครเลยครับ กำนัน...พร้อมเผา”
ไอ้กี้หยิบคบไฟจากท้ายรถ มันจุดไฟที่คบทันที
อมาวสีโผล่เข้ามาเห็น ก่อนที่คบไฟจะลุกโชนเต็มที่
“ทำอะไรน่ะ”
ไอ้กี้ว่า “เผาไง”
“ใครอนุญาต”
ไอ้กี้บอก “กำนัน”
“แต่ฉันไม่อนุญาต”
อมาวสียกไม้ท่อนใหญ่ฟาดใส่หน้าไอ้กี้ มันหงายหลังล้มลง สลบเหมือด เธอรีบดับไฟทันที
ไอ้เก่งเข้ามาทางด้านหลังอมาวสี “ทำอะไรน่ะ”
อมาวสีค่อยๆหันหน้าไปตอบมันว่า “ดับไฟ”
“ใครอนุญาต” ไอ้เก่งเล่นลิ้น
อมาวสีจ้องมองมัน ใจระทึก มือของเธอ กำไม้ท่อนนั้นไว้แน่น
ส่วนกำนันแม้น ยืนตระหง่านอยู่บริเวณลานดินหน้าแถวมวลหมู่ลูกน้อง มันเปล่งเสียงสบายๆ ราวกับพูดเรื่องลมฟ้าอากาศ
“จุดไฟ”
หมู่ลูกน้องจุดไฟใส่คบในมืออย่างพร้อมเพรียง
กำนันสั่งต่อเสียงดังก้อง “ลุย”
หมู่ลูกน้องทั้งหมด ขยับพาหนะของตนเคลื่อนไปเบื้องหน้า ทันใดนั้น ไฟสนามสว่างขึ้นจากเสาสี่ต้น สี่มุม
แสงแผดจ้าสาดใส่ร่างกำนันและหมู่ลูกน้อง จนพวกมันสะดุ้ง ตกใจ
กำนันรีบตะโกนลั่น
“ปิดหน้าให้หมด อย่าให้มันเห็นหน้าเรา”
หมู่ลูกน้องดึงผ้าพันคอขึ้นมาปิด คลุมหน้า ตามคำสั่งของกำนัน
แต่เสียงราชดังออกมาจากลำโพงใหญ่
“บอกให้ลูกน้องดับไฟให้หมด...ได้ยินมั้ย กำนันแม้น”
“โธ่เว้ย” กำนันสบถ
ลูกน้องบอก “มันจำหน้ากำนันได้”
“กูรู้แล้ว”
“อย่าไปฟังมันพ่อ...ลุยมันเลยดีกว่า” มากว่า
ทันใดนั้น น้ำจากทั่วทิศถูกฉีดใส่กลุ่มกำนันจนล้มกลิ้ง ไม่เป็นท่า
บนที่สูงใกล้ลานดินนั้น พินัย และราช ยืนมองลงมายังลานดินเบื้องล่าง
“พวกมันมากันเยอะว่ะ” พินัยว่า
“เยอะ แต่โง่...ทำอะไรใครไม่ได้หรอก”
ราชหยิบไมโครโฟนข้างตัวขึ้นมาพูด
“ถ้ากำนันดับไฟ และพาลูกน้องออกไปดีๆ ฉันจะยอมให้กำนันอีกครั้งนึง ฉันจะถือซะว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้ากำนันไม่ทำตามที่ฉันบอก...ระหว่างเราคงจบไม่สวย และคนที่จะเละที่สุดคือกำนัน ไม่ใช่ฉัน”
ที่ลานดินเวลานั้น หมู่กำนัน ยืนฟังเสียงราช หน้าเครียด
“ลูกไม้ตื้นๆ พ่อ พวกมันมีน้อยกว่าเรา ทำมาขู่...ไหนๆก็ไหนๆแล้ว คิดบัญชีให้จบวันนี้เลยดีกว่าพ่อ..เฮ้ย ลุยเว้ย”
ฉับพลันทันใด สายน้ำจากทุกสารทิศถูกฉีดใส่พวกมันอีกครั้ง ไอ้มากกระเด็นไปไกลกว่าเพื่อน
“หยุดฉีดน้ำซะทีสิวะ...วันนี้ไม่ใช่วันสงกรานต์นะเว้ย” กำนันตะโกนก้อง
ราชและพินัยยังคงจ้องมองท่าทีของหมู่กำนันอยู่บนเนินสูงใกล้ลานดินนั้น โทรศัพท์มือถือของราช สั่นขึ้น ราชหยิบขึ้นมาพูด
“ว่าไงนะ...หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่...ทำไมไม่เฝ้าไว้ให้ดีๆล่ะ”
ที่ลานดิน ไอ้เก่งขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามากลางวงล้อมของหมู่กำนัน หน้าตามันมีรอยแตกจากการถูกตีด้วยไม้
“กำนัน ฉันได้ตัวนังนี่มา” ไอ้เก่งพลิกตัวให้เห็นว่าด้านหลังของมันคืออมาวสี เธอซ้อนท้ายไอ้เก่งมา พร้อมกับถือปืนจ่อหัวมันไว้
“สั่งให้ลูกน้องกลับไปให้หมด ส่วนกำนัน คงต้องไปโรงพักกับฉัน”
“เธอเป็นตำรวจหญิงรึไง มาสั่งฉันเนี่ย”
พินัยที่อยู่บนเนินสูงใกล้ลานดินหันมาทางราช
“ราช...ดูโน่น”
พินัยส่งกล้องให้ราชมองลงไปข้างล่าง เขาเห็นอมาวสีถือปืนจ่อกำนัน ท่ามกลางหมู่ลูกน้องที่ถือปืนเล็งไปที่เธอ
ราชหงุดหงิดปนโมโห “เธอทำบ้าอะไรของเธอน่ะ ยายอ้อ”
กำนันแม้นต่อรอง “ขอเปลี่ยนเป็น ไปนอนคุยกันที่บ้านฉัน ดีกว่านะ”
กำนันให้สัญญาณหมู่ลูกน้อง พวกมันพุ่งเข้าล็อคตัวอมาวสี และแย่งปืนมาได้โดยง่าย จากนั้นพวกมันมัดปากอมาวสี แล้วลากเข้าไปในเงามืดใต้ต้นไม้ใหญ่
กำนันรำพึงคนเดียวเบาๆ “ฮ่าฮ่าฮ่า...อย่างนี้ก็มีเหตุผล ให้สมควรถอย”
แล้วกำนันแม้นก็ตะโกนประกาศก้อง
“เอาละ ถือเป็นความเข้าใจผิดก็แล้วกัน อันที่จริงพวกเราจะมาช่วยแกดับไฟป่า แต่เมื่อแปรเจตนาผิด ก็แล้วไป...เรากลับก็ได้...ไปโว้ยพวกเรา กลับ”
มากเพิ่งเดินโซเซมาหลังจากกระเด็นออกไปไกล แสดงความฉลาดน้อยออกมาอีก
“อะไรอ้ะ พ่อ...ถอยทำไม”
“เงียบ แล้วแหกตาดูนั่น”
กำนันส่งสายตาไปด้านหลังมัน มากหันไปดู เห็นอมาวสีที่ถูกมัดอยู่ มากเดินหัวเราะลั่น ตรงไปหาอมาวสี
“อยู่นี่เองเหรอ อีประสาทเสีย ขอจูบทีดี้”
มากกระชากผ้าปิดปากอมาวสีออกหมายจะจูบปาก อมาวสีร้องตะโกนลั่น
“ช่วยด้วย”
กำนันแม้นโมโห “โธ่ เว้ย ไอ้ลูกโง่”
ราชหันไปมองตามเสียงนั้น เห็นอมาวสีถูกมัดดิ้นอยู่ท้ายรถมอเตอร์ไซค์ และไอ้มากกระโดดขึ้นขี่รถคันนี้ออกไปโดยเร็ว
“อมาวสี”
ราชพุ่งทะยานออกไปในทันควัน
เหตุการณ์ต่อมาหลังจากนั้น เริ่มต้นที่ ราชกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์ ขี่ไล่ตามไอ้มาก กำนันแม้นและลูกน้องระดมยิงใส่ราชไม่ยั้ง แต่ได้พินัยคอยยิงปืนคุ้มกันให้
ราชเอาตัวรอดจากคมกระสุนได้อย่างฉิวเฉียด เขาสไลด์มอเตอร์ไซค์ของตน พุ่งเข้าชนมอเตอร์ไซค์มาก ร่างของอมาวสีร่วงจากมอเตอร์ไซค์มาก จากนั้นราชพุ่งเข้าไปหาอมาวสีทันที
“ผมสั่งให้คุณอยู่ที่บ้าน คุณหนีออกมาทำไม”
“ฉันออกมาช่วยนายไงล่ะ”
“ช่วยให้มันวุ่นวายมากขึ้นน่ะสิ” ราชแดกดันไปหนึ่งดอก
หมู่ลูกน้องกำนันพุ่งตรงเข้ามาหาราชอย่างหมายมาด ราชอุ้มอมาวสีวิ่งหนีพวกมัน
“นายทำอะไรฉันเนี่ย”
“อุ้ม”
“ไม่ต้องอุ้ม...ฉันวิ่งเองได้...ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกว่าฉันวิ่งเองได้”
“ก็ได้ ถ้าคุณต้องการ”
ราชโยนร่างอมาวสีใส่ลูกน้องจนพวกมันล้มกลิ้ง เกิดเป็นคิวบู๊ระหว่างพระเอกกับเหล่าร้าย ผลัดกันรุกผลัดกันรับชุลมุน จนกระทั่งอมาวสีเสียหลัก ไอ้มากเล็งปืนหมายยิงไปที่เธอ อมาวสีเผลอร้องตะโกนลั่น
“พี่ภาคย์”
ราชพุ่งทะยานเข้าไปขวางทางปืน กระสุนพุ่งเข้ากลางลำตัวราชพอดี อมาวสีร้องกรี๊ดลั่น
ร่างของราชค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้นดินช้าๆ
ราชถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เวลานี้ร่างของเขาอยู่บนเตียงคนไข้ ทั้งหมอและพยาบาลเข็นรถเข็น พร้อมสายน้ำเกลือ และ ถุงเลือด บรรยากาศเคร่งเครียด เพราะราชอาการหนัก ถูกยิง 2 ครั้ง ในเวลาไม่ห่างกันนัก
หมอและผู้ช่วย ใส่ชุดเตรียมผ่าตัด ไฟเหนือเตียงผ่าตัดสว่างขึ้น ราชอ่อนแรงเต็มกลืน แต่ฝืนทน เขาอยู่ในสะลึมสะลือ คล้ายจะหมดลม
ราชเห็นอมาวสีคอยชะเง้อดูเขาอย่างเป็นห่วง ราชปรือตามองเห็นหมอท่าทางเครียดจัด จากนั้นบุรุษพยาบาลเข็นเตียงของเขาออกจากห้องผ่าตัด
ราชยังสะลึมสะลืออยู่ เขาเห็นอมาวสีนั่งเฝ้าอาการอยู่ข้างๆ เตียง และหลับพับไปในเวลาต่อมา เวลาผ่านไปสักระยะ อมาวสีก็ตื่นขึ้นมาชะโงกหน้ามาดูเขา
ดวงตาของราชค่อยๆ หรี่ลงทีละนิดๆ และ หลับไปในที่สุด
อ่านต่อหน้า 3
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 11(ต่อ)
อีกสองวันต่อมา บ้านวารินทั้งหลัง ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบเหงา แม้กระทั่งล่วงเลยมาเป็นเวลาตอนกลางวันแล้วก็ตาม คนรับใช้เดินนำเทินเข้าไปในบ้าน จนเห็นวารินนั่งอยู่กลางโถงของบ้าน
“สวัสดีครับคุณวาริน”
“สวัสดีครับ”
“ผมชื่อเทิน เป็นผู้จัดการบริษัทมูฟวิ่งของคุณราช”
“อ๋อ น้าเทิน...เจ้าราชเอ่ยชื่อน้าให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ มีอะไรเหรอครับ”
“เอ้อ...มีจดหมายจากคุณราชฝากมาให้คุณวาริน”
“จดหมาย จากนายราช?...ทำไมมันไม่โทรหาผมเอง...ผมรอโทรศัพท์มันอยู่ทุกวัน”
“ผมก็ไม่ทราบรายละเอียดเหมือนกัน...คุณวารินลองเปิดจดหมายอ่านดูก่อนแล้วกันครับ”
วารินเปิดจดหมายอ่าน หน้าตาของเขาค่อยๆ ตกอยู่ในอาการกังวลมากขึ้นๆ
“มีอะไรจะฝากผมกลับไปมั้ยครับ”
วารินส่ายหน้า “นี่มันไม่ใช่จดหมายจากนายราช มันเป็นจดหมายจากอมาวสี”
เพื่อนสาวทั้งสามรวมตัวกันที่บ้านวารินทันทีที่รู้ข่าว และสุมหัวกันอ่านจดหมายฉบับนั้น
ราวกับมีเสียงอมาวสีมาอ่านจดหมายให้ฟังตัวเธอเอง
“สวัสดีทุกๆคน หวังว่าผู้ที่เปิดจดหมายฉบับนี้อ่านคงจะมี ยายวัช ยายนิลรัตน์ ยายพึงใจ และ พี่วาริน เท่านี้นะ...เราได้รับคลิปวิดีโออวยพรวันเกิดที่ทุกคนส่ง มาให้แล้ว ขอบใจมากๆ คิดว่าวันเกิดปีนี้ เราจะไม่ได้เห็นหน้าพวกเธอซะแล้ว”
อมาวสีตัดสินเขียนจดหมายบอกเพื่อนๆ เมื่อ 2 วันก่อน แล้วออกมายืนอยู่ริมระเบียงโรงพยาบาล พยาบาลเดินเข้ามาตามเธอไปที่ห้อง
“ต้องชมนายยักษ์ที่เก่ง ตามหาเบาะแสของเราเจอ...แม้จะต้องอาศัยสื่อสารผ่านชาวบ้านที่อยู่แนวชายแดน...ขอโทษที่เราตัดสินใจทำแบบนี้ เราหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้จริงๆ”
ที่บ้านวาริน เพื่อนๆ อ่านจดหมาย...ทุกคนต่างตกอยู่ในอาการซึม
“ขอบอกทุกคนว่า เราสบายดี ที่ที่เราพักอยู่นี้ อากาศดี สบาย น่าอยู่...มีป้าแก่ๆ ใจดีกรุณาให้เราอยู่ด้วย แลกกับการทำงานในไร่ข้าวโพด...พวกเธอสบายใจได้ไม่ต้องห่วง คงอีกนาน นานมากเลยละ กว่าเราจะกลับไป...ระหว่างนี้ คนอื่นๆ จะเข้าใจว่าเราหายไปแบบไหน ก็ช่างเขาเถอะ”
พยาบาลพาอมาวสีเข้ามาในห้องพักฟื้น มีป้าเอิบ แอ้มยืนอยู่ข้างเตียง พยาบาลอธิบายเรื่องยา ที่ต้องให้ราชกิน
“อ้อ แล้วก็ไม่ต้องฝากนายยักษ์มาตามสืบเราอีกแล้วนะ เพราะนายยักษ์ไม่มีโอกาสเข้าถึงตัวเราได้หรอก รับรอง...ป่านนี้เขาคงไปเที่ยวพม่าจนเพลินไปแล้วละ”
สามเพื่อนสาวอยู่กับวาริน อ่านจดหมายต่อ
“จดหมายฉบับนี้จะเป็นฉบับแรกและฉบับเดียวที่เราฝากส่งผ่านไปทางคนของนายยักษ์...สักวัน เราคงมีโอกาสได้เจอกันอีกนะ...รักทุกคน”
เพื่อนๆ พากันร้องไห้โฮใหญ่
ส่วนที่โรงพยาบาล ป้าเอิบเอ่ยขึ้นกับอมาวสีอย่างห่วงใย
“คุณอมาจะไม่กลับไปพักบ้างเหรอคะ”
“ไม่เป็นไร ฉันอยู่ได้ ป้ากลัวฉันจะหนีเหรอ”
“เปล่าค่ะ อิฉันกลัวนายหญิงจะเหนื่อย”
“ฉันไม่เหนื่อยหรอก...ฉันจะพัก ก็เมื่อเขารู้สึกตัวแล้ว”
วันนี้ บริษัทเฮลท์ตี้ ฟาร์ม่า ตั้งตระหง่าน อยู่ท่ามกลางแสงแดดแรงกล้า
มิสเตอร์หว่องเดินเข้าบริษัทมา ตรงไปหยุดหน้าโต๊ะทำงานของภากร เห็นภากรนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น
“สวัสดีครับMD หมู่นี้ คุณภากรเข้าออฟฟิศบ่อยนะครับ แทบจะทุกวันเลย”
“ผมไม่รู้จะไปไหน”
“ไม่เอา อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ฟังดูหดหู่ ต้องบอกว่าตั้งใจมาทำงานทุกวัน...เพราะบริษัทนี้เจริญรุ่งเรืองน่าทำงานจริงๆ”
“แต่ผมไม่ค่อยได้ทำอะไรเลยนะ...ส่วนใหญ่ก็คุณหว่องทั้งนั้น”
“มันเป็นหน้าที่ผมไงครับ ผมเป็นพี่เลี้ยงก็ต้องทำต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสำหรับคุณ รับรองว่า ปีหน้าคุณภากรก็เก่งแล้ว ทำได้เองแล้ว ไล่ผมออกยังได้เลย”
“โอ๊ย ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอก”
“งั้นวันนี้ช่วยเซ็นเอกสารให้ผมหน่อย วันนี้หลายใบหน่อยนะครับ เซ็นทุกหน้าเลย”
มิสเตอร์หว่องส่งเอกสารหลายฉบับให้ ภากรเปิดเซ็นโดยไม่อ่าน
“บ่ายนี้ผมไม่อยู่นะครับ ขออนุญาตไปญี่ปุ่นหน่อย”
“ไปเที่ยวเหรอ”
“ประชุมตัวแทนกลุ่มลูกค้าของเราครับ แล้วก็บินต่อไปแอฟริกาเลย จะไปปูทางเปิดตลาดของเราแถบนั้น” มิสเตอร์หว่องคุยโว
“แล้วผมต้องทำอะไรบ้างล่ะ”
“คุณภากรอยู่ทางนี้ รอรับเงินอย่างเดียวครับ กระซิบให้ฟังนิดนึงว่า ยอดที่ลูกค้าออร์เดอร์ล่วงหน้าเข้ามา ทะลุเป้าจริงๆ”
ภากรเซ็นเอกสารเสร็จ ส่งให้มิสเตอร์หว่อง
“เยี่ยมเลย”
“อยากได้อะไรจากแอฟริกาบ้างมั้ยครับ”
“ผมไปเลือกเองดีกว่า”
“ได้เลยครับ แล้วเจอกันครับผม...อ้อ คุณเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่น่าทำงานด้วยจริงๆ”
มิสเตอร์หว่องเดินออกไป ภากรไม่ทันได้เห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์ของเขา ก่อนจะพ้นห้องไป เขาหันมาส่งเสียงบอกภากรว่า
“โชคดีคร้าบ”
เลขาสาวเดินเข้ามาจากอีกมุมหนึ่ง เธอตรงไปที่ภากร พร้อมกับยื่นจดหมายลงทะเบียนซองใหญ่ให้เขา
“จดหมายลงทะเบียนด่วนถึงคุณภากรค่ะ”
“ขอบใจ”
ภากรพยักหน้ารับรู้เฉยๆ ไม่มีท่าทีสนใจจดหมายนั้นแต่อย่างใด
“คุณภากรจะไม่เปิดดูซะหน่อยเหรอคะ” เลขาถาม
“มีอะไรสำคัญรึเปล่าล่ะ”
“ไม่ทราบสิคะ เห็นคุณชอบโทร.มาบอกว่าให้คุณภากรเปิดดูให้ได้ เกี่ยวกับเรื่องFDA อะไรเนี่ยหละค่ะ...แกว่า ไม่ผ่านค่ะ ไม่ผ่านเลย ซักประเทศ”
ภากรชะงักขึ้นมาทันที
ไม่นานต่อมา ท่านกวีก้าวเข้ามาในออฟฟิศสีหน้าเครียดจัด เอ่ยปากพูดเสียงดัง
“ว่าไงนะ พูดชัดๆ อีกครั้งซิ”
ภากร ยืนซีดเซียวอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นพ่อ
“จดหมายจากFDA สหรัฐอเมริกา ไม่อนุญาตให้ยาแก้แพ้ของบริษัทเราเข้าไปขายในประเทศเขา”
“ห๊ะ”
“และประเทศอื่นๆ ที่เรายื่นเรื่องไป ก็มีหนังสือตอบมาแล้ว เหมือนกันหมด”
“ตอบว่า...”
“ไม่อนุญาตให้นำเข้าเด็ดขาด”
ท่านกวีโกรธจนหน้าแดง ตัวสั่น
“นายหว่องอยู่ไหน รู้เรื่องรึยัง”
“ยังติดต่อไม่ได้เลย...เมื่อเช้าเขาบอกผมว่ากำลังจะไปญี่ปุ่นครับ”
“แล้วจะทำยังไงกัน ทำไมมันทิ้งปัญหาไปเฉยๆอย่างนี้ เราแก้ไขสูตรอะไรได้บ้างมั้ย”
“ไม่ทราบครับ เรารอคุณหว่องก่อน ไม่ดีเหรอพ่อ”
“โธ่เว้ย เราทำอะไรกันเองไม่เป็นเลยรึไงวะ”
ทนายชอบเดินถือเอกสารเข้ามาในนี้
“ท่านครับ ผมเช็คไปที่บริษัท เอเออาร์ของเขาแล้ว”
“ว่าไง”
“นายหว่องถูกไล่ออกไปได้ห้าเดือนแล้วครับ มีปัญหาเรื่องทุจริต”
“ฉิบหายเอ๊ย...เราขอให้เขาตามตัวให้ได้มั้ย”
“เขาไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้นครับ” ทนายชอบว่า
ท่านกวีพยายามข่มใจ เขาหายใจแรงขึ้น
“คุณชอบไปเช็คมาด่วนเลยว่า เราหมดกับไอ้บริษัทบ้าๆนี้ไปเท่าไหร่ เอาตัวเลขมาให้ผมดูด่วนเลย”
ทนายชอบเดินออกไป
ท่านกวีหันมาตะคอกใส่หน้าภากร
“แกนี่มันทำอะไรไม่รุ่งแม้แต่อย่างเดียว ไอ้ภากร”
ขณะเดียวกัน ที่ซอกตึกลึกลับแห่งหนึ่ง บรรยากาศรอบๆ มืด มัว สลัว ยิ่งนัก ชายหนุ่มร่างใหญ่ กำยำสามคน ยืนอยู่กลางซอย จอนและสายบัวเดินตรงเข้าไปหา จอนยื่นรูปถ่ายพร้อมกระดาษโน้ตให้นักเลงทั้งสาม
“หน้าตามันเป็นแบบนี้ และนี่ก็ที่ทำงานมัน”
นักเลง1ดูรูปแล้วบอก “หล่อนี่หว่า”
“อย่าให้ถึงกับเสียโฉมนะพี่” สายบัวบอก
“เสียดายเหรอ” จอนถาม
“นิดหน่อย” สายบัวว่า
จอนหันไปกำชับกับนักเลง “อย่าให้ถึงตายก็แล้วกัน”
“ตายเลยจะง่ายกว่านะ พลาดพลั้งไป เคลียร์ง่ายกว่ากันเยอะ” นักเลง 1 บอก
“ก็อย่าให้พลาดพลั้งสิวะ เพราะถ้ามันตาย เราจะไม่ได้อะไรเลย ซึ่งหมายถึงค่าแรงพวกมึงด้วย”
“โอเค รับทราบ ตามนั้น”
ส่วนที่สำนักงานบริษัทกลอนกวี ทนายชอบยื่นเอกสารให้นายดูอยู่ มันคือรายงานความเสียหายจากการลงทุนบริษัทเฮ้ลท์ตี้ ฟาร์ม่า
“นี่คือตัวเลขมูลค่าการสูญเสียของท่าน ซึ่งเป็นการเสียเปล่าทั้งหมดครับ รวมๆแล้วก็เป็นเงิน 230ล้านบาท”
ท่านกวีก้มหน้าอ่านเอกสารสีหน้าเครียดจัด เขาเอ่ยปากพูดเสียงสั่น
“ฉันโง่ บ้า เซ่อได้ถึงขนาดนี้เหรอเนี่ย อยากจะรู้จริงๆว่าใครวะ ที่เป็นคนพาไอ้หว่องมาหาฉันเนี่ย”
ทุกคนในห้องเงียบกริบ ไม่มีใครเอ่ยปากแม้แต่น้อย
“แล้วไอ้หมอไข่นั่นอีกคน แหม...พูดออกมาได้ ทำธุรกิจเกี่ยวกับยา รับรองว่ารวย...รวยพ่อรวยแม่มันสิ...ฉิบหายวายป่วงไปเท่าไหร่เนี่ย”
ทุกคนในห้องยังคงปิดปากเงียบสนิท
“คุณชอบ ไปดูอีกทีซิว่า มีทรัพย์สินอะไรของไอ้เฮลท์ตี้ ฟาร์ม่าขายได้บ้าง ขายทอดตลาดไปให้หมด ปิดบริษัท เลิกกิจการไปเลย”
“เอ้อ...ขายไม่ได้ครับ”
“ทำไมถึงขายไม่ได้” อดีตรมต.งุนงง
“เราได้ขายไปหมดแล้วครับ” ทนายให้ความกระจ่าง
“ขายหมด ใครขาย”
“ทรัพย์สินทั้งหมด ขายและโอนให้กับนักธุรกิจสิงคโปร์เรียบร้อยแล้ว”
ท่านกวีตะโกนลั่น “ฉันถามว่าใครขาย”
“ผู้เซ็นอนุมัติขายคือคุณภากร เซ็นเมื่อสายๆ วันนี้เองครับ”
ท่านกวีหันไปจ้องหน้าลูกชายที่อยู่ตรงนั้นแล้ว ภากรเอ่ยปากตอบว่า
“นายหว่องเอาเอกสารให้ผมเซ็นเมื่อเช้า ก่อนเขาไปญี่ปุ่น”
“แล้วแกไม่อ่านเลยเหรอว่ามันเป็นเอกสารอะไร”
“เปล่าครับ”
“โธ่เว้ย...ทำไมแกมันโง่อย่างนี้วะ”
“ผมไม่เคยบอกว่าผมฉลาด พ่ออยากให้ผมทำงานเอง แล้วพ่อก็ส่งนายหว่องมาเป็นที่ปรึกษา ผมก็ต้องเชื่อ”
“ไม่ต้องพูดมากแล้ว แกจะไปไหนก็ไป ไอ้ลูกโง่ มิน่า...ยายอ้อถึงไม่อยากแต่งงานกับคนอย่างแก”
ภากรเดินซึมคอตกออกไป
ตกกลางดึก รถภากรแล่นเข้ามาจอดริมถนนเปลี่ยว ใกล้ตลาด ภากรก้าวลงจากรถ เดินไปนั่งนิ่งๆ กลางตลาด สักครู่นายสุดเดินเข้ามาจากอีกทางหนึ่ง
“มาที่นี่ทำไม”
ภากรนิ่งไปนิดนึงก่อนเอ่ยปากตอบ
“สีไพรเป็นยังไงบ้าง”
“สบายดี ตามอัตภาพ...แต่ก็ดูดีกว่าสภาพของคุณตอนนี้มาก”
“ทำไมต้องหนีผม”
“คุณใช้คำว่าหนีกับพวกเราไม่ได้ เพราะเราไม่ได้เป็นหนี้อะไรคุณ และก็ไม่ได้เกรงกลัวอะไรคุณจนต้องหลบ เราเพียงแต่ไม่อยากเห็นหน้าคุณ”
“ผมทำอะไรผิด”
“เอาคำถามนี้ไปถามพ่อถามแม่คุณดีกว่ามั้ง เขาน่าจะอบรมลูกในไส้อย่างคุณได้ดีกว่าคนอื่น”
ภากรนั่งนิ่งไปอีกครู่หนึ่ง
“ย้ายไปอยู่ที่ไหน”
“คิดว่าผมจะบอกเหรอ”
ภากรส่ายหน้า “รู้อยู่แล้ว...ขอผมนั่งเล่นตรงนี้ก่อนได้มั้ย”
นายสุดไม่ตอบ เขาเดินหนีห่างออกไปไกล ทิ้งให้ภากรนั่งนิ่งๆ ตามลำพัง
บ้านไม้ชั้นเดียวหลังย่อมๆ กลางหมู่บ้านเก่าๆ ที่นี่คือบ้านเช่าหลังใหม่ของ สีไพร กับนายสุด โดยในห้องรับแขกเวลานี้สีไพรนั่งมองสร้อยและแหวนที่ภากรให้เธอไว้ ยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงบริเวณหน้าท้องของเธอมากนัก
นายสุดเดินเข้าบ้านมาพร้อมถุงอาหาร
“ทำไมวันนี้พ่อกลับเร็วล่ะจ๊ะ ไม่ต้องเฝ้าตลาดถึงเช้าเหรอ”
“เพื่อนพ่อมันมาขอเปลี่ยนกะกับพ่อ...พ่อซื้อกับข้าวมาฝากไพแน่ะ”
“อีกแล้วน่ะ ไม่ยอมให้สีไพรทำกับข้าวเองอีกแล้ว เบื่อฝีมือสีไพรแล้วเหรอพ่อ” หญิงสาวบ่น
“พ่อไม่เคยเบื่อเลยลูก พ่อแค่ไม่อยากให้หนูทำงานหนัก รอให้พ้นสามสี่เดือนก่อนไม่ดีเหรอ”
“แค่ทำกับข้าว หมอไม่ได้ห้ามซักหน่อย หมอบอกว่า อีกซักเดือนนึงก็น่าจะอาเจียนน้อยลง อาจจะหายแพ้เลยก็ได้”
นายสุดมองจ้องหน้าลูกสาวด้วยความรัก ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปากพูดออกมา
“สีไพร บอกพ่อตรงๆ ได้มั้ย ลูกมีความสุขมั้ย ที่พ่อย้ายบ้านมาอยู่ที่นี่”
“ที่ไหนก็ได้ ที่พ่อมีความสุข สีไพรก็มีความสุข”
“ตัดพ่อออกไปสิลูก เอาแต่เฉพาะตัวลูก ใจลูกน่ะ ถามจริงๆ ลูกคิดถึงนายภากรมั้ย”
สีไพรผ่อนลมหายใจยาวๆก่อนตอบ
“เรื่องคิดถึง อยู่ใกล้ หรือ ไกลแค่ไหนก็คิดถึงได้ค่ะ แต่ที่เราย้ายมาอย่างนี้จะทำให้คุณภากรไม่ต้องลำบากใจ มันก็ดีกว่าค่ะพ่อ เขาจะได้แต่งงานอย่างมีความสุข”
นายสุดมองหน้าลูกสาว น้ำตาเอ่อขังเต็มเบ้า
“สีไพร...วันนี้พ่อเจอ”
“เจอ?...”
นายสุดนิ่ง ยังไม่ทันเอ่ยปากตอบ
พระอาทิตย์ขึ้นสู่ผืนฟ้าสาดส่องลงมายังอาคารโรงพยาบาลแถวปากช่อง
ราชนอนหลับตานิ่งบนเตียงกลางห้องพักคนไข้ สักครู่เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ราชมองไปยังด้านหน้าห้องพักนี้ เห็นอมาวสียืนคุยอยู่กับพยาบาล เธอยกมือไหว้ขอบคุณพยาบาลแล้วจึงเดินกลับเข้ามาในห้อง
อมาวสีหันมาเห็นราชที่ลืมตาจ้องมองเธออยู่ แล้วยิ้มให้
“ตื่นแล้วเหรอคะ”
“ผมได้ยินเสียงท้องคุณร้อง”
“หูดีเกินไปมั้งคะ”
“ผมหลับไปนานแค่ไหน”
“สามวันค่ะ”
ราชอึ้ง “สามวัน”
“คุณอยู่ในห้องผ่าตัดห้าชั่วโมง ออกมาก็หลับๆตื่นๆ เพราะหมอให้ยาแก้ปวดคุณ”
“ผมต้องผ่าอะไรเหรอ”
“คุณจำอะไรไม่ได้เลยเหรอคะ”
“ผมจำได้ว่า ผมวิ่งไปช่วยคุณ”
“ค่ะ ลูกปืนก็เลยตรงเข้ากลางหน้าอกพอดี โชคดีที่กระสุนไม่โดนอวัยวะสำคัญ มันแทรกเข้าไปอยู่ตรงช่องว่างระหว่างปอด...หมอก็เลยผ่าตัดเอากระสุนออกมาได้อย่างมั่นใจ”
“นี่ผมอยู่โรงพยาบาลเหรอ”
“ค่ะ...ที่นี่ไม่มีใบสาบเสือด้วยสิ”
ราชยิ้ม มองจ้องหน้าอมาวสี
“ทำไมคุณยังไม่กลับบ้าน”
“อยากให้ฉันกลับมั้ยล่ะคะ”
ทั้งสองจ้องหน้ากันนิ่งนาน
อาจารย์หมอเปิดประตูห้องเข้ามา เขาเดินตรงไปที่เตียงคนไข้ ยิ้มทักทาย
“สวัสดีครับ ตื่นแล้วใช่มั้ย ขอขัดจังหวะหนุ่มสาวหน่อยนะ”
“เชิญค่ะ”
“เป็นไงบ้าง ตื่นมามีอาการ งุนงง ตาพร่ามัวหรือมีอะไรที่รู้สึกว่าไม่ปกติบ้างมั้ยครับ ไม่นับที่เจ็บบริเวณแผล”
ราชมองไปที่อมาวสีพลางว่า “ผม งุนงง กับเธอครับ”
“อย่า งง เลยครับ...ผมต้องบอกว่า คุณได้ภรรยาที่ดีมาก สมบูรณ์แบบครับ สวย ฉลาด และเข้มแข็ง...เธอตัดสินใจเซ็นยินยอมให้เราทำการผ่าตัดโดยไม่ลังเล นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้งานของหมอง่ายขึ้น”
“เธอเป็นเจ้าของไข้เหรอครับ”
“ครับ...ในฐานะภรรยาของคุณ เธอเป็นห่วงคุณมากเลยนะ รู้มั้ย”
หมอก้มหน้าลงไปกระซิบข้างๆ หูราช
“รักมากนั่นแหละ...ผมว่านะ”
ราชและอมาวสีเงียบกริบ ในระหว่างที่หมอตรวจอาการ
“คุณแข็งแรงมากนะครับคุณราช แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายตัว ผมแนะนำให้ลองเปลี่ยนบรรยากาศไปนั่งเล่นริมระเบียงบ้างก็ได้ สามีภรรยาไม่ได้คุยกันตั้งสามวัน ต่างคนต่างเหงาแย่” หมอบอก
อมาวสีเข็นรถเข็นพาราชเข้ามากลางระเบียงสวย ของโรงพยาบาล
ราชถามเรื่องที่คาใจ “คุณยังไม่บอกผมเลยว่า ทำไมยังไม่กลับไปบ้าน”
“ยัง คิดไม่ออกว่าจะบอกคนที่บ้านว่ายังไง”
“บอกความจริงไง ผมฉุดตัวคุณมา”
“ฉันไม่อยากถูกตั้งข้อสงสัยว่า สามอาทิตย์ในป่า ฉันถูกคุณล่วงเกินมากแค่ไหน”
“คุณเห็นด้วยกับเหตุผลของผมแล้ว”
อมาวสีเงียบ ไม่ตอบ
“หรือว่าคุณห่วงผม”
“ฉันว่าคุณเป็นคนที่ขาดความรักความห่วงใย...คุณถึงต้องคอยถามตลอดเวลาว่า ห่วงผมใช่มั้ย”
“ทุกคนต้องการสิ่งนี้ รวมทั้งคุณด้วย”
อมาวสีวางจานอาหารเบื้องหน้าราช
“ฉันไม่มีเมนูให้คุณเลือกนะคะ”
ราชยิ้มหล่อพอประมาณ
“ป่านนี้นายวารินต้องว้าวุ่นใจแน่ๆ ผมหายไปสามวันอย่างนี้”
“ฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว”
“จัดการ...ยังไง”
“น้าเทินมาเยี่ยมอาการคุณ ฉันเลยขอให้เขาช่วย”
อมาวสีเล่าว่า เมื่อสองวันก่อนหน้านี้ เทินเดินเข้ามาในโรงพยาบาล หน้าตาของเขาเครียดและเป็นกังวลมาก เดินไปจนเจออมาวสี ที่ยืนอยู่บริเวณทางเดินหน้าห้อง
“คุณอมาวสีครับ...ผมเทิน”
“จำได้ค่ะ น้าคือคนที่โปะยาสลบใส่ฉัน”
เทินได้แต่ยิ้มแหยๆ “คุณราชเป็นยังไงบ้าง”
“ยังไม่ฟื้นค่ะ...ยังอยู่ในห้องผ่าตัด”
“เฮ้อ...”
“น้าช่วยฉันหน่อยได้มั้ย”
“ฎครับ จะให้ผมพาคุณอมาวสีไปส่งที่บ้านก็ได้นะครับ
อมาวสีไม่ค่ะ ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น...ฉันมีส่วนทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้ ฉันจะอยู่ที่นี่จนกว่าเขาจะหายดี
เทินคุณแน่ใจนะครับ
“แน่ใจค่ะ...ฉันฝากจดหมายไปให้วัชรี เพื่อนฉันได้มั้ยคะ”
ราชและอมาวสียังนั่งทานอาหารอยู่ที่เดิม บนระเบียงสวยของโรงพยาบาล
ราชเอ่ยปากถาม “คุณเขียนอะไรไปในจดหมายบ้าง”
“ไม่บอก...แต่พวกเขายังไม่รู้หรอกว่าฉันอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง”
“ถ้าผมต้องพักฟื้นสักสองเดือน คุณจะทำยังไง”
“ฉันก็จะยังหายหน้าไปอีกสองเดือน”
“คุณไม่คิดจะเรียนต่อแล้วใช่มั้ย”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรียนเมื่อไหร่ก็เรียนได้”
ราชมองอมาวสีอย่างพินิจ แล้วจึงเอ่ยปากพูด
“สามวันที่ผมไม่ได้เห็นหน้าคุณ คุณเปลี่ยนไปเยอะเลยนะเนี่ย”
อมาวสียิ้มให้ “แล้วคุณจะรู้ว่า ฉันไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย คุณคิดเอาเองต่างหาก”
อีกฟากหนึ่ง เลขาพรรคและนักการเมืองสองสามคนเดินเข้ามาในโถงบ้าน มีจันเดินนำพวกเขาไปนั่งที่ห้องรับแขก
ฝ่ายคุณหญิงอำภาอยู่ในห้องนอน เดินเข้ามาหยุดเบื้องหน้านมพริ้งที่เพิ่งเข้ามาหา
“ใครมานะพริ้ง”
“คนที่พรรคการเมืองน่ะค่ะ มากันสามคน สองคนเป็นหนุ่มๆ จำชื่อไม่ค่อยได้ อีกคนที่เป็นเลขาพรรค คนนี้พริ้งจำแม่นเลยค่ะ ชื่อนายพร้อมพงศ์”
“เขามาเรื่องอะไร พริ้งรู้มั้ย”
คุณหญิงฉงนฉงายสนใจใคร่รู้
อ่านต่อหน้า 4
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 11(ต่อ)
ที่ห้องโถงรับแขกบ้านพิชิตพงษ์เวลานี้ เลขาพรรครูปงามนาม พร้อมพงศ์ อ้าปากพูด หน้าตายิ้มกวนนิดๆ
“ผมมาวันนี้ แม้จะไม่เป็นทางการ แต่ก็เป็นที่รู้กันระหว่างเรานะครับท่าน ว่าเป็นการมาในฐานะตัวแทนของหัวหน้า”
ท่านกวีนั่งนิ่งอยู่เบื้องหน้าเลขาพรรค กลางวงล้อมหมู่นักการเมืองผู้ทรงเกียรติ
“โทร.เรียกมา ผมก็ไปหาท่านแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาท่านเลขามาถึงนี่หรอกครับ”
“ไม่ได้ครับ ผมต้องมาเองครับ หัวหน้ากำชับไว้...คือ หัวหน้าไม่อยากให้มีใครรู้เห็นมากนัก”
“อือม...”
“ผมเข้าเรื่องเลยนะครับท่าน”
“เชิญครับ”
“หัวหน้าให้ผมมาเตือนท่าน”
“เตือน”
“ครับ ถ้าเป็นเกมฟุตบอล ก็คือกรรมการแจกใบเหลือง อีกทีนึงใบแดงแน่ๆ”
ประโยคนี้ ทำเอาท่านกวีเริ่มมีสีหน้าไม่ค่อยดี
“ผมทำอะไรผิด”
เลขาเล่นลิ้นต่อ “นักฟุตบอลก็เป็นแบบนี้ พอกรรมการแจกใบเหลืองปุ๊บ โวยวายปั๊บเลยว่าผมทำอะไรผิดๆ เผลอๆ ด่ากรรมการเข้าให้อีก”
“ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอกครับ”
“ดีมาก เพราะผมก็ไม่ใช่กรรมการในสนามบอล แต่ที่เปรียบเทียบอย่างนี้ เพื่อให้เห็นภาพว่าเรื่องใหญ่แล้วนะครับ”
ท่านกวีรอฟังประโยคต่อไปของเลขา อย่างใจจดใจจ่อ
“คนวงในกำลังพูดกันถึงเรื่องบริษัทยาของท่าน”
“ธุรกิจของลูกชายผม”
“นั่นแหละ...ดูเหมือนจะมีปัญหาเรื่องไม่ผ่านFDA ใช่มั้ย”
“ครับ”
“หลายคนเชื่อว่า มันเป็นธุรกิจฟอกเงิน...จริงหรือเปล่า”
“เอ้อ...”
“อย่าลืมว่าท่านมีประวัติเก่าเรื่องทำนองนี้อยู่...ยังไงก็อย่าให้ซ้ำรอยเดิมนะครับ คนจ้องกระทืบซ้ำ มีอยู่เยอะนะครับ...ถ้าเป็นฟุตบอลก็เหมือนทีมแมนยู ที่มีแต่คนแช่งให้แพ้เยอะมาก อย่าลืมนะครับ วันนี้ได้ใบเหลืองแล้ว เหลืองแก่ๆซะด้วย ต่อไปใบแดงแน่นอนครับ”
คุณหญิงอำภาเดินเข้ามาพอดี เลขาพรรคหันไปทักทายทันที
“อ้อ สวัสดีครับคุณหญิง...เห็นข่าวว่าป่วยนี่ครับ แหมแต่หน้าตายังดูสดใสมีน้ำมีนวลจังนะครับ ไม่เห็นเหมือนเมียผม เป็นหวัดนิดเดียว โอ้โฮ นางโทรมยังกะออกจากห้องผ่าตัดแน่ะ เอหรือว่าคุณหญิงป่วยการเมืองครับ”
คุณหญิงอำภายิ้ม แต่ไม่ตอบอะไร
“ผมกลับก่อนละนะครับ ต้องแวะไปเยี่ยมหัวคะแนนอีกสามที่...หัวหน้าสั่งงานเยอะจัง เลือกตั้งเมื่อไหร่ยังไม่รู้เลย”
เลขาพรรคเดินออกไปจนลับตา
คุณหญิงอำภาหันมามองหน้าสามี ท่านกวีทอดถอนใจ
“เขามาเตือนผมเรื่องบริษัทยา...ไม่รู้มันซวยอะไรอย่างนี้”
“เขาไม่ได้พูดเรื่องยายอ้อใช่มั้ยคะ”
ท่านกวีส่ายหน้าช้าๆ
“ข่าวซุบซิบก็ยังมีอยู่เรื่อยๆนะคะ”
“ผมประกาศออกทางสื่อเลยก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องคลุมเครืออีกต่อไป...แล้วนี่เจ้าภากรมันอยู่ไหน...บ้านช่องไม่กลับ หายหัวไปอีกแล้วนะไอ้ลูกคนนี้ ตัวปัญหาแท้ๆ”
ทั้งสองตกอยู่ในความเครียด
ที่บริษัท เฮ้ลท์ตี้ ฟาร์ม่า ทั้งออฟฟิศบรรยากาศเงียบเหงา และวังเวง ภากรนั่งซึมนิ่งอยู่เพียงลำพัง
เลขาหน้าสวย ไร้สมองเดินเข้ามาหาเขา
“คุณภากรคะ”
“จะไปไหนก็ไปเถอะ ฉันไม่เอาอะไรทั้งนั้น”
“ไปแล้วไม่กลับเลยนะคะ”
“ว่าไงนะ”
“ดิฉันขอลาออกค่ะ”
“ตามใจ”
“ดิฉันได้งานใหม่ เป็นพริตตี้ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ได้ทัวร์ 63 จังหวัดทั่วประเทศด้วยนะคะ”
“โชคดี”
“แต่คุณภากรช่วยเซ็นเช็คใบสุดท้ายให้หน่อยนะคะ”
“ฉันเป็นหนี้เธอเหรอ”
“ค่ะ...เงินเดือน เดือนสุดท้าย กับค่าล่วงเวลาเดือนที่แล้วค่ะ”
เลขายื่นสมุดเช็คให้ ภากรเซ็นให้แต่โดยดี
“คุณภากรคะ”
ภากรชักหงุดหงิด “อะไรอีกล่ะ”
“ช่วยอวยพรให้หน่อยสิคะ ให้เจริญรุ่งเรืองกับงานใหม่”
ภากรเอ่ยปากอวยพรส่งไปงั้นๆ “ขอให้รวย”
“ขอแฟนหล่อๆ แบบคุณภากรด้วยได้มั้ยคะ”
“อยากได้อะไรก็ขอให้ได้อย่างนั้น”
“ขอบคุณค่ะ คุณภากรรู้มั้ยคะ คุณเป็นเจ้านายที่น่าทำงานด้วยมากๆ เลยค่ะ ใจดี๊ใจดี”
เลขาเดินออกจากออฟฟิศไป โทรศัพท์ในออฟฟิศดังขึ้น ภากรเดินไปยกหูโทรศัพท์เครื่องนั้น
“ฮัลโหล”
เสียงเข้มๆ ของผู้ชายดังมาจากปลายสาย
“คุณภากร พิชิตพงษ์ ใช่มั้ยครับ”
“ครับ”
“ผมโทร.มาจากสำนักงานกฏหมาย จอห์น ฟลาโก้ เราเป็นตัวแทนของกลุ่มลูกค้าที่ออร์เดอร์ยาแก้แพ้ของคุณ”
ภากร หน้าตาเคร่งเครียดมากขึ้นไปอีก
ครู่ต่อมา บริเวณห้องเก็บเอกสาร ภากรก้าวเข้ามาในห้องนี้ เขาเปิดตู้เอกสารต่างๆในห้องนี้ เสียงปลายสายโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ดังก้องในหัว
“ท้ายสัญญาระบุไว้ว่า ถ้าไม่สามารถนำส่งผลิตภัณฑ์ยาตามกำหนด หรือคุณภาพของยาไม่ผ่านFDA ตามที่รับปากไว้ ทางบริษัทของคุณจะต้องคืนเงินมัดจำ บวกกับค่าเสียโอกาสอีกสิบห้าเปอร์เซ็นต์”
ภากรหยิบเอกสารเท่าที่หาได้ออกมาดูตรงท้ายเอกสารสัญญาเหล่านั้น มันปรากฏข้อความตรงตามเสียงจากโทรศัพท์
“ลองตรวจดูสัญญาก่อนได้ครับ และหวังว่าจะรีบคืนเงินให้กับเรา ก่อนที่จะมีการดำเนินการตามกฎหมายนะครับ คุณภากร”
ภากรเครียดจัด เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดหมายเลข
“ฮัลโหล คุณอาครับ...มีเรื่องใหญ่แล้วครับ...คุณอาต้องช่วยผมด้วยนะครับ”
เย็นนั้น ภากรเดินออกมาหน้าบริษัทอย่างเซื่องซึม หมดเรี่ยวแรง ชายหนุ่มร่างใหญ่สามคนเดินตรงเข้าไปหาเขาพร้อมรูปถ่ายในมือ นักเลง 1 ยื่นรูปถ่ายให้ภากรดู
“นี่รูปคุณใช่มั้ย”
“ใช่”
“คุณชื่อภากร พิชิตพงษ์ใช่มั้ยครับ”
“ใช่”
นักเลง 1 ถาม “มีเวลาซักสามนาทีมั้ยครับ”
“มีเรื่องอะไรเหรอ” ภากรฉงน
“มีคนฝากของมาให้ครับ”
“ใคร...ฝากอะไร”
นักเลง 1 หยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาอ่าน
“ชื่อพ่อเลี้ยงทวีชัย... ฝากไอ้นี่มาครับ”
นักเลง 1 หยิบไม้เบสบอลขึ้นมาฟาดไปที่กลางลำตัวภากรอย่างแรง ภากรทรุดตัวงอ หมู่นักเลงระดมหมัดและตีนเข้าใส่ภากรอย่างไม่ยั้งมือ ภากรนอนกองแน่นิ่ง แต่ไม่ถึงตาย
“ใช้หนี้พ่อเลี้ยงครบเมื่อไหร่ จะส่งเบอร์หมอศัลยกรรมเก่งๆ มาให้ ผมสัญญา”
หมู่นักเลงเดินกร่าง อวดกล้ามใหญ่ออกไป
ส่วนที่โรงพยาบาลปากช่อง ป่วนเปิดประตูห้องพักคนไข้เข้ามาพร้อมด้วยดอกไม้ช่อใหญ่ในมือ
ป๊อด ป้าเอิบ และแอ้ม เดินตามมาน้าป่วนติดๆ
ราชนอนอยู่บนเตียงโดยมีอมาวสียืนอยู่ข้างๆ
“สวัสดีครับนาย”
“สวัสดีทุกคน...แหม มีดอกไม้มาด้วยนะ” ราชยิ้มทัก
“นายหญิงจัดให้ค่ะ”
“ไหนๆก็จัดให้แล้ว ฉันใส่แจกันให้ด้วยเลยก็แล้วกัน” อมาวสีว่า
“ป้าช่วยค่ะ”
ป้าเอิบเดินตามอมาวสีไปทางห้องน้ำ ป๊อดกับแอ้มแอบซุบซิบกันเบาๆ
“น่าจะมีเพลงร้องตอนมาเยี่ยมคนไข้”
“เพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์มั้ยล่ะ...วันนั้นยังไม่ได้ร้องเลย”
ป่วนขยับไปยืนใกล้ๆเตียงราช
“นายหายดีแล้วใช่มั้ยครับ”
“หาย แต่ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“ทำไมล่ะครับ”
“ถ้าดีมันก็ต้องเอาไอ้ผ้าพันแผลนี่ออกให้หมดสิวะ”
ราชขยับชันตัวขึ้นนั่ง “พวกกำนันเป็นไงบ้าง”
“กำนันมันขอเจรจาอยู่ คุณพินัยบอกว่า แล้วแต่นาย ว่าจะเอาเรื่องหรือไม่ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็รอนายอยู่”
“คิดดูก่อนแล้วกัน”
อมาวสีเอาแจกันดอกไม้มาวางข้างๆเตียงคนไข้ คนงานทุกคนเดินมายืนเรียงแถวปลายเตียง
“ขอบใจทุกคนนะที่อุตส่าห์มาเยี่ยม...ฝากดูงานไร่ให้ดีๆด้วยล่ะ”
“นายครับ ขอร้องเพลงได้มั้ยครับ” ป๊อดทนไม่ไหว
“เพลงอะไร”
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์...ร้องย้อนหลัง เมื่อสามวันก่อนน่ะครับ”
อมาวสีบอก “อย่าเลยจ้ะ...ฉันเขิน”
“แต่วันนั้น นายหญิงยังไม่ได้รับของหวานเลยนะคะ วันนี้เราเลยเอามาให้ นายจะได้เสิร์ฟด้วยมือนายเอง...นี่ค่ะ”
ป้าเอิบส่งถาดของหวานให้ราช
“พวกเราไปกันก่อนนะครับนาย ทุกคน...สวัสดีคร้าบ”
หมู่มวลคนงานเดินออกจากห้องไป อมาวสีเดินมาใกล้ราช
ราชเปิดถาดของหวาน หยิบของขวัญในนั้นส่งให้อมาวสี
“สุขสันต์วันเกิดครับ ขอให้มีความสุขที่สุด เท่าที่คุณปรารถนา”
“ในที่สุดฉันก็รู้แล้วว่า ใครเป็นคนแรกที่อวยพรวันเกิดให้ฉัน”
อมาวสีบรรจงแกะกระดาษของขวัญออกจากกล่อง เมื่อเปิดกล่องออกดู จึงเห็นเป็นแผ่นไม้แกะสลักรูปเจ้าบ่าวเจ้าสาวในท่วงท่าเต้นรำ
อมาวสีนิ่งนึกถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมาอีกคำรบ
เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นที่บริเวณสวนหลังบ้านพิชิตพงษ์ เมื่อสิบห้าปีที่แล้ว เด็กหญิงอมาวสีวิ่งเข้ามาหาเภ็กชายภาคย์ที่กำลังนั่งแกะสลักอะไรบางอย่างลงบนแผ่นไม้
“ทำอะไรน่ะ” เด็กหญิงถาม
“ไม่บอก”
เด็กหญิงยิ้ม “สวยจัง”
“ชอบมั้ย”
“ชอบ”
“มันคือของขวัญวันเกิดอ้อ”
เด็กหญิงตื่นเต้น “จริงเหรอ”
“จริง พี่ทำเตรียมไว้ให้อ้อ แต่อ้อต้องมาตามนัดนะ ไม่อย่างนั้น เราจะไม่ได้เจอกันอีก พี่ก็ไม่รู้จะให้ของขวัญนี้กับอ้อได้ยังไง”
แผ่นไม้ที่เด็กชายภาคย์กำลังแกะสลัก มันเป็นแผ่นเดียวกันกับในมืออมาวสี
ไม้แกะสลักชิ้นนั้นถูกยกขึ้น อมาวสีก้มมองดูของขวัญในมือเธอ
“ฉันเคยเห็นของชิ้นนี้...สิบห้าปีมาแล้ว”
“แน่ใจเหรอ”
“คุณคิดว่าฉันจะจำไม่ได้เหรอ”
“ผมไม่ได้คิดอะไรเลย ผมไม่เก่งในเรื่องหาของขวัญ บังเอิญผมไปเจอของเก่าที่ไม่รู้เหมือนกันว่ามาจากไหน ผมก็เลยเอามาแกะต่อให้สมบูรณ์ แล้วก็เอามาให้คุณ”
อมาวสีไม่เชื่อ “คุณไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ค่ะ ถ้าคุณจะไม่ยอมรับสิ่งที่คุณเป็น แต่ฉันรู้ก็แล้วกันว่าใครเป็นคนทำของชิ้นนี้”
ราชยักไหล่ เปลี่ยนเรื่องพูด ลอยๆ ขึ้นมา
“ผมตั้งใจจะเก็บไว้ให้เป็นของขวัญวันแต่งงานของคุณ แต่คงอีกนานละมั้ง ก็เลยถือโอกาสให้ในวันเกิดซะเลย”
“ฉันยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมคุณต้องทำอะไรให้มันลึกลับยุ่งยากขนาดนี้ เพื่อปกปิดอะไรไม่ทราบคะ ในเมื่อคุณก็รู้แล้วว่าฉันรู้ดีว่าคุณคือใคร”
“คุณจะรู้ดีกว่าผมได้ยังไง ผมเป็นคนไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ สู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็กๆ จนได้ลุงรักษ์เป็นผู้อุปการะ คุณรู้อย่างที่ผมรู้อย่างนี้รึเปล่า”
อมาวสีไม่มีคำตอบให้ราช
“ถ้าคุณคาดหวังความปกติจากคนที่มีอดีตเจ็บช้ำอย่างนี้ละก้อ คุณผิดหวังแน่ๆมันไม่มีทางเป็นไปได้ครับ”
“มันมีอะไรดีขึ้นเหรอคะ ที่คุณทำอย่างนี้”
“ถ้าจะมีอะไรที่ไม่ดี มันก็เป็นกรรมของผมเองคนเดียว ไม่เดือดร้อนใครนี่ครับ”
อาจารย์หมอเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง
“คุณราช รัชภูมิ อาการคุณดีมากแล้วนะครับ ถ้าเป็นแบบนี้คุณสามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้ ถ้าคุณต้องการ”
อาจารย์หมอ เริ่มดำเนินการตรวจขั้นพื้นฐาน ราชมองหน้าอมาวสี หมอเปรยขึ้นมาดังๆระหว่างนี้
“ขอแนะนำนิดนึง ถ้าเป็นผมนะ มีภรรยาสวยๆน่ารักๆอย่างนี้คอยดูแลใกล้ๆ ผมไม่อยู่โรงพยาบาลให้เปลืองตังค์หรอกครับ”
ส่วนที่ตลาดแห่งเดิมอันแสนคุ้นตา รถภากรแล่นมาจอดหน้าตลาดมุมประจำ นายสุดนั่งอยู่กลางตลาด จ้องมองไปยังรถคันนั้น
ภากรนั่งนิ่งในรถ นายสุดเดินเข้ามาข้างรถ เคาะกระจกเรียก ภากรกดปุ่มเลื่อนกระจกลง จึงเห็นว่าหน้าตาของเขาเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ นายสุดจ้องหน้าภากรนิ่ง ไม่เอ่ยปากพูด
ภากรบอกว่า “ผมแค่ไม่มีที่ไป...”
“ถ้าพ่อ แม่ คุณได้ยินอย่างนี้ คงดีใจสินะ”
“เพราะผมไม่อยากให้เขาเห็น ไม่อยากให้เขาได้ยิน ผมถึงต้องมาจอดรถอย่างนี้”
“ไปมีเรื่องกับใครมา”
“ใครก็ไม่รู้ มันขู่เอาเงินผม ถ้าผมจอดรถตรงนี้ทำให้คุณลำบากใจ ผมไปที่อื่นก็ได้”
ภากรสตาร์ทรถเตรียมจะเคลื่อนออก สีไพรก้าวพรวดเข้ามา เธอส่งเสียงเรียกดังลั่น
“คุณภากร”
“สีไพร”
นายสุดยืนนิ่ง ไม่เอ่ยปากใดๆ ทั้งนั้น
สีไพรประคองภากรให้ลงนั่งสบายๆ ตรงอีกมุมหนึ่งในตลาด
“คุณภากรไปโดนอะไรมาคะ หน้าตาถึงได้เป็นอย่างนี้...มีเรื่องกับใครมาเหรอคะ”
“คงเข้าใจผิดน่ะ...มันคงจำคนผิด”
“โธ่...ไปหาหมอหรือยังคะ ไห้หมอตรวจนะคะ เผื่อว่ามีอะไรช้ำข้างในที่เราไม่รู้”
“ยังไม่เป็นไรหรอก...ฉันอยากนั่งนิ่งๆ ก่อนน่ะ”
“สีไพรไปหาอะไรเย็นๆให้คุณภากรนะคะ”
“ไม่ต้อง” ภากรจับมือสีไพรไว้ “ฉันไปหาสีไพรที่บ้านมา รู้มั้ย”
“สีไพรขอโทษ ที่ไม่ได้บอกคุณภากรก่อน ที่จริง พ่อตัดสินใจกะทันหัน เราไม่ได้วางแผนล่วงหน้ามาก่อนค่ะ”
“พ่ออาจจะเตรียมการไว้นานแล้ว แต่สีไพรไม่รู้”
“คุณภากรจะได้มีเวลาให้กับงานแต่งงานไงคะ”
“จนป่านนี้ เจ้าสาวของฉันหายไปไหน...ฉันยังไม่รู้เลย”
ภากรจ้องหน้าสีไพรนิ่งแล้วจึงเอ่ยปาก
“ฉันคิดถึงสีไพรนะ อยู่ๆ ก็คิดถึง...คิดถึงมากเลย”
สีไพรมองภากรนิ่ง พูดอะไรไม่ออก น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาเต็มสองตาของเธอ
“ไปละ ฉันจะแวะไปหาหมอหน่อย มันชักจะระบมมากขึ้นแล้ว”
ภากรขยับตัวลุกขึ้นยืน
“อยากถามว่าบ้านหลังใหม่ของเธออยู่ไหน แต่เธอก็คงไม่บอก...ไม่เป็นไร...ไปละนะ”
ภากรเดินตรงไปที่รถของตน นายสุดเดินเข้า เอ่ยปากพูดลอยๆ
“ถนนอินทามระ ซอย 37 แยกแรก หลังสุดท้าย แต่ถ้ามีใครโผล่มาทำให้บ้านหลังนี้ไม่เป็นสุข เราก็คงอยู่ที่นี่กันอีกไม่นาน”
เช้าวันนี้ รถพินัยวิ่งเข้ามาจอดหน้าบ้านกลางไร่ อมาวสีประคองราชลงจากรถ พินัยเตรียมรถเข็นมารอรับราช หมู่คนงานใส่เสื้อผ้าสีสวยฉูดฉาดยืนเรียงแถวหน้ากระดานพร้อมเพรียง
“ที่จริงผมเดินเองได้สบายนะ” ราชว่า
“นายอย่าดื้อน่า...หมอเขากำชับมาแล้วว่าให้ภรรยาเป็นคนดูแล”
อมาวสีเข็นรถเข็นพาราช เข้าบ้าน ป่วนก้าวออกมาเบื้องหน้าหมู่คนงาน และประกาศเสียงดังลั่น
“ยินดีต้อนรับนายกลับสู่บ้านกลางไร่ครับ”
ทุกคนโห่ร้องด้วยความดีใจ “ไชโย ไชโย ไชโย...”
หมู่คนงานที่ยืนเรียงแถวอยู่ด้านหลังป่วน พร้อมใจกันชูแผ่นป้าย มีข้อความว่า
"นายราชสู้ๆ"
ราชขำ “อะไรเนี่ย ไม่เอาขบวนกลองยาวมารับซะเลยล่ะ”
“ใช้ไปแล้วตอนงานแต่งไงครับ ใช้อีกก็ซ้ำสิครับ” ป่วนว่า
“เอาเป็นโปงลางได้มั้ยคะ” แอ้มบอก
ไอ้ป๊อดบอกว่า “ผมว่านายน่าจะตั้งชื่อไร่หน่อยนะครับ จะได้ทำป้ายโก้ๆ”
“ชื่ออะไรดีล่ะ” ราชนึกสนุก
“ของนายพินัย ชื่อไร่พิบูลย์ทรัพย์ ไร่ของนายก็ต้อง ไร่ รัชภูมิ...ดีมั้ยครับ” ป่วนว่า
ราชบอก “อมาวสี”
“คะ” อมาวสีหันไปหาราช ด้วยเข้าใจว่าเขาเรียกเธอ
“นั่นหละชื่อไร่ของฉัน” ราชบอก
“ไร่อมาวสี” ป่วนทวนชื่อ
ทุกคนร้อง “ไร่อมาวสี”
“ขอต้อนรับนายกลับสู่บ้านไร่ อมาวสี” ป่วนยิ้มเผล่
ทุกคนร้อง “เฮ....ไชโย ไชโย ไชโย”
“นายจะอยู่ห้องไหน ชั้นไหนคะ” ป้าเอิบถาม
“ฉันก็นอนห้องฉันสิ”
ป้าเอิบท้วง “แต่คุณหมอบอกว่าให้ภรรยาดูแลอย่างใกล้ชิด จะดูแลยังไงล่ะคะ”
“เอาที่นอนฉันไปไว้ที่ห้องนายของเธอ” อมาวสีบอก
แอ้มยิ้มย่อง “น่าน...ต้องอย่างนั้น”
หมู่คนงานต่างยิ้ม ชอบใจ อมาวสีก้มลงไปกระซิบข้างหูราช
“เรานอนกันคนละเตียง...และเปิดไฟไว้ทั้งคืน”
“โอเค” ราชว่า ยิ้มร่าสุขใจ
ต่อมา หมู่คนงานเดินยิ้มแย้มเข้ามาในครัว ป้าเอิบเริ่มต้นเอ่ยปากพูดอย่างสนุก
“พวกแกเห็นกันมั้ย...นายผู้หญิงแก้มแดงแจ๋เลยหละ ตอนนายตั้งชื่อเธอเป็นชื่อไร่น่ะ”
“ยังไม่เท่าตอนบอกว่าให้ย้ายที่นอนไปห้องนาย...ขนาดพูดเอง หน้ายังแดงเองเลย” นังแอ้มบอก
“เอาละเว้ย...ข้าว่า พวกเราเตรียมอุ้มหลานกันได้แล้วเว้ย” น้าป่วนว่า
“บ้า คนเพิ่งผ่าตัด จะมีเรี่ยวมีแรงแค่ไหนกันน้าป่วน” แอ้มแย้ง
ไอ้ป๊อดอวดภูมิ “เรื่องแบบนี้ ถึงเวลาแรงมาเอง...ไม่เชื่อลองมั้ยล่ะ”
“ลองกับใคร กับแกเหรอ...ฉันไปนั่งแช่น้ำตกเล่น สบายใจกว่า”
อมาวสีเดินเข้ามาในครัว
“คุณราชอยากทานข้าวต้มกุ้ง”
“ได้เลยค่ะ ต้มให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
“แล้วก็เรามีผลไม้อะไรบ้างมั้ยป้าเอิบ”
“มีส้ม ฝรั่ง สาลี่ ค่ะ”
“มา...ฉันช่วยปอก”
อมาวสีลงนั่ง จัดแจงปอกผลไม้อย่างทะมัดทะแมง ทุกคนลอบมองอมาวสียิ้มๆ อมาวสีหันไปเห็น
“มีอะไร...ฉันทำอะไรผิดเหรอ”
“ป่าวค่ะ...ข้าวต้มมื้อนี้ต้องหวานแน่ๆเลยค่ะ”
แอ้มยิ้ม พยักพเยิดกับพวกพ้อง
ฝ่ายภากรนั่งหลับนิ่งอยู่มุมหนึ่งในบริษัทเฮ้ลท์ตี้ ฟาร์ม่า ทนายชอบเดินเข้ามาหา สะกิดเรียกเขา
“คุณภากรครับ...คุณภากร”
ภากรค่อยๆ พลิกหน้ามามองทนายชอบ
“ห๊ะ...คุณอา”
“ถ้าท่านกวีเห็นสภาพคุณอย่างนี้ละก้อ...”
“ผมถึงไม่กลับบ้านไงล่ะ”
“แล้วที่โดนจิ๊กโก๋รุมเนี่ย จะแจ้งความมั้ยครับ”
“อย่านะ อา อย่า เดี๋ยวไม่จบ เรื่องที่ผมให้คุณอาตรวจสอบ ได้ผลยังไงบ้าง”
ทนายชอบหยิบใบสั่งจองปึกใหญ่ขึ้นมาชูให้ภากรดู
“ใบสั่งจองพวกนี้เป็นของจริงครับ เงินสามสิบเปอร์เซ็นต์โอนไปที่บัญชีของนายหว่อง มีทั้งหมดกว่า 40 ประเทศ รายละสองล้าน...รวมทั้งหมดก็แปดสิบล้านบาท”
ภากรตาเหลือก “ห๊า...นั่นคือเงินทั้งหมดที่ผมต้องคืนเขา”
“ใช่ครับ ตามสัญญาระบุอย่างนั้น”
“ไม่มีทางเลี่ยงเลยเหรอ”
“ไม่มีครับ...สัญญามีชื่อคุณภากรกำกับด้วย”
ภากรเครียด แทบจะร้องไห้ออกมา
“แล้วผมจะหาเงินที่ไหนไปใช้เขาล่ะ อา”
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คุณคงต้องบอกคุณพ่อแล้วละครับ”
“บอกได้ไงล่ะ พ่อยิ่งด่าซ้ำหนักเข้าไปอีก ผมต้องหาทางแก้ปัญหานี้ให้ได้ คุณอาดูให้หน่อยได้มั้ย มีอะไรที่ผมพอจะขายได้บ้าง อาลิสต์มาเลยนะ”
“ทรัพย์สินของบริษัท ไม่มีครับ”
“ของส่วนตัวผมล่ะ...สมบัติของตระกูลพิชิตพงษ์ที่เป็นชื่อผมน่ะมีอะไรบ้าง ผมพอจะจำนองได้มั้ย...อาช่วยหน่อยนะ”
“จะพยายามครับ”
ทันทีทนายชอบเดินออกไป โทรศัพท์มือถือของภากรดังขึ้น ภากรหายใจลึกๆ แล้วจึงกดรับสาย
“ฮัลโหล”
เสียงจอนดังลอดออกมา “เรามีเรื่องต้องหารือกันนะ”
ภากรแปลกใจ “พี่จอน...พี่ออกมาแล้วเหรอ”
“รีบมาพบผมด่วนเลย ก่อนที่พ่อเลี้ยงมันจะลงมืออีกครั้ง” จอนบอก
รถภากรแล่นเข้ามาจอดในมุมลับตาในสถานที่ลึกลับ ย่านชานเมือง ภากรนั่งนิ่ง หน้าตาเป็นกังวลหนัก สักพักประตูรถเปิดออก จอนก้าวเข้าไปนั่งเบาะข้างๆ ภากร
“มีใครตามมามั้ย” จอนถาม
“ไม่มี”
“ดีมาก...โอ้โฮ หน้าตาคุณ! คุณพ่อเห็นรึยัง”
“ยัง...”
จอนแสดงท่าทางเป็นห่วงเป็นใย
“ช่วงนี้ต้องระวังหน่อยนะครับ พ่อเลี้ยงมันสั่งลูกน้องตามติดทุกฝีก้าว มันนึกหมั่นไส้อยากจะลงมือเมื่อไหร่ มันสั่งทันทีเลย สั่งปุ๊บได้ปั๊บซะด้วย”
ภากรครวญ “ผมโดนขนาดนี้แล้ว...มันยังไม่พออีกเหรอ”
“พ่อเลี้ยงมันซาดิสต์ ที่ผ่านมามันเล่นถึงตายอยู่บ่อยๆ”
“พี่จอนไม่น่าแนะนำพ่อเลี้ยงให้ผมรู้จักเลย”
“คุณภากรอยากจบมั้ย”
“อยากสิ”
“ผมก็อยาก...มีวิธีเดียวคือ คืนเงินใช้หนี้ให้เขาไป”
“ตั้งสิบล้านบาท...ผมไม่มีจริงๆ”
จอนมองหน้าภากรนิ่ง เขาแสดงท่าทีวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น
“งั้นก็ต้องอยู่แบบเสี่ยงๆ หลบๆซ่อนๆอยู่อย่างนี้แหละ ทำไมไม่ขอพ่อล่ะ”
“ไม่มีทาง พ่ออารมณ์ไม่ดี”
“คุณเป็นลูก คุณก็ทำให้พ่ออารมณ์ดีให้ได้สิ”
“ยาก...จนกว่าจะตามตัวยายอ้อเจอนั่นแหละ อารมณ์พ่อน่าจะดีขึ้น”
จอนให้ความสนใจทันที “ใคร ยายอ้อ”
“หลานสาวพ่อ...เจ้าสาวของผม”
“อ๋อ เหรอ”
“หายตัวไป ไม่มีใครรู้ แต่ผมเชื่อว่าเป็นฝีมือไอ้ราช รัชภูมิ”
จอนชะงัก หูผึ่ง เมื่อได้ยินชื่อราช
“ใครนะ”
“ราช รัชภูมิ คนที่มันซื้อบ้านแก้วไปจากเรา ท่าทางมันเหมือนอยากจะเอาชนะผม มันต้องเป็นคนลักพาตัวไปแน่ๆ”
จอนครุ่นคิดนิดหนึ่ง แล้วจึงเผยอยิ้มพอใจ
“ถ้าเป็นไอ้หมอนี่ ละก้อ ไม่ยาก...ว่าแต่รางวัลนำจับนี่สิ...เท่าไหร่”
“จ่ายหนี้ได้หมดก็แล้วกัน”
“งั้นก็ แจ๋ว”
ตอนสายๆ กลางระเบียงสวย โต๊ะอาหารน่านั่ง ตั้งอยู่ตรงนั้น โดยมีราชและอมาวสีนั่งเคียงคู่กัน
ราชตักข้าวต้มกุ้งเข้าปาก
“อย่าบอกนะว่า อาหารมื้อนี้คุณทำเอง”
“ดินเนอร์วันนั้นคุณยังทำได้เลย ทำไมเบรกฟัสต์วันนี้ฉันจะทำบ้างไม่ได้”
“ถามจริง”
อมาวสียิ้ม “แค่ปอกผลไม้ค่ะ ข้าวต้มน่ะฝีมือป้าเอิบ ถ้าฉันทำคุณอาจจะกินไม่ลง”
ราชจ้องมองอมาวสีอย่างเพ่งพินิจ
“ผมรู้สึกเหมือนกับว่า คุณจะไม่ไปจากที่นี่แล้ว ผมคิดไปเองหรือเปล่า”
“ก็คุณอยากเอาชื่อฉันไปตั้งเป็นชื่อไร่ทำไม”
ราชถอนหายใจแล้วค่อยๆเอ่ยปากพูดเสียงนุ่มนวล
“คุณจะอยู่อย่างนี้ไม่ได้หรอก...มันไม่ถูกต้อง”
“มันไม่ถูกต้องตั้งแต่แรกแล้วค่ะ”
“ผมตั้งใจจะแกล้งคุณ...และผมก็แกล้งพอแล้ว”
“ทีนี้เป็นตาของฉันบ้างละ...ฉันจะแกล้งคุณบ้าง”
“แกล้งยังไง”
“แกล้งทำดีกับคุณ เพื่อให้คุณเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนความอาฆาตแค้น ความชิงชัง ให้กลายเป็น...”
อมาวสีนิ่งไป ไม่เอ่ยปากต่อราชจึงเอ่ยปากแทนว่า
“ความรัก...”
อมาวสีต่อให้อีกคำ “...ต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย”
“เท่านั้นเหรอ”
เทินเดินเข้ามาขัดเสียก่อน อมาวสีหันไปเห็น เธอรีบร้องทัก เพื่อเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา
“น้าเทิน”
“สวัสดีครับ”
อมาวสีสัพยอก “วันนี้จะมาจับตัวฉันอีกหรือเปล่าคะ”
“เปล่าครับ...ผมมาขอคุยกับคุณราช เป็นการส่วนตัวซักครู่ได้มั้ยครับ”
อมาวสีเหลือบมองหน้าราช
ครู่ต่อมาเทินเข็นรถราชไปตามทางเดินร่มรื่นของสวนสวยหน้าอาคารบ้านไร่ ทั้งสองค่อยๆ เอ่ยปากสนทนากันระหว่างทางเดิน
“เรื่องคุณอมาวสี เริ่มบานปลายขึ้นแล้วนะครับ”
“บานปลายยังไง”
“ท่านกวีประกาศตั้งเงินรางวัลสำหรับผู้ที่ชี้เบาะแสคุณอมาวสีได้ เพราะฉะนั้นคุณทั้งสองก็จะถูกจับตามองมากขึ้นเรื่อยๆ”
“ไม่เป็นไร ไม่มีคนภายนอกเข้ามาในไร่นี้ได้อยู่แล้ว”
“แล้วคุณราชจะอยู่อย่างนี้อีกนานแค่ไหนล่ะครับ...เพื่ออะไร”
ราชนิ่งอึ้งไป
“คุณราชไม่ตอบผมก็ได้ แต่คุณราชต้องตอบคุณลุงรักษ์ ท่านเป็นห่วงเรื่องนี้มาก ท่านต้องการพบคุณราชด่วน และไม่ขอคุยทางเมล”
“ลุงรักษ์โกรธผมเหรอ”
“ท่านไม่เคยโกรธคุณราช แต่อาจจะมีผิดหวังบ้าง เพราะท่านไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณราชทำ อย่าว่าแต่ท่านเลยครับ ผมเองก็ไม่เข้าใจทั้งหมด”
ราชยังคงนิ่งอยู่ เทินขยับตัวเข้าไปพูดใกล้ๆราช
“คุณราชควรจะบอกสิ่งที่อยู่ในใจทั้งหมดกับท่านอย่างไม่ปิดบัง แต่ก่อนอื่นคุณต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า คุณต้องการอะไรกันแน่ และต้องไม่หลอกตัวเองนะครับ”
บ้านกลางไร่ สว่างไสว สวยงาม ในยามค่ำคืน
ราชนอนนิ่งอยู่บนเตียงใหญ่กลางห้องพักของเขา สีหน้าและแววตาของราชกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างเขาและอมาวสี
ล้วนเป็นภาพเหตุการณ์ที่ราชและอมาวสีได้ใกล้ชิดกัน หลายๆ ภาพ สะท้อนความรักที่เริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างเขาและเธอ
อมาวสีเดินเข้ามาในห้องเธออยู่ในชุดนอนรัดกุม ในมือหอบเอาหมอนและผ้าห่มติดมาด้วย
“ฉันจะนอนที่โซฟานี้ คุณนอนบนเตียง เราจะเปิดไฟไว้ทั้งคืน ถ้าคุณต้องการอะไรก็เรียกฉันได้...ฉันหูไว ตาไว”
ราชมองหน้าอมาวสีเต็มๆตา เรียกเสียงนุ่ม “อมาวสี”
“เราตกลงกันแล้วนะคะ”
อมาวสีวางเครื่องนอนลงบนโซฟา
ราชบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มหูกว่าเก่า “แต่งงานกับผมนะ”
อมาวสีช็อก อึ้ง นิ่งเป็นหิน ตั้งรับไม่ทันกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
อ่านต่อตอนที่ 12