นักมวยไทยที่โด่งดังที่สุดในยุคเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว คงไม่มีใครไม่รู้จัก “พุฒ ล้อเหล็ก” หรือ “ทวี พิพัฒกุล” เจ้าของฉายา ไอ้หนูเมืองตรัง ซึ่งมีชื่อเสียงระหว่าง พ.ศ.2513-2520 ด้วยสถิติการชก 80 กว่าครั้ง ในช่วง 10 ปี โดยไม่เคยแพ้น็อก และไม่เคยแม้แต่โดนนับ ถือเป็นนักมวยที่มีลีลาแม่ไม้มวยไทยครบเครื่องที่สุด ส่วนไม้เด็ดก็คือการสามารถเตะคู่ต่อสู้ได้ 2 ครั้งติดต่อกัน โดยไม่เท้าที่เตะไม่แตะพื้น ตั้งแต่ลำตัวจนถึงก้านคอ
และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของชีวิตนักมวยไทย ด้วยการเป็นแชมป์จูเนียร์เฟเธอร์เวต (122 ปอนด์) ของเวทีลุมพินี เมื่อ พ.ศ.2514 แชมป์มวยสากลรุ่นไลต์เวต (135 ปอนด์) ของเวทีราชดำเนิน เมื่อ พ.ศ.2518 และแชมป์ประเทศไทย (มวยสากล) รุ่นไลท์เวต รวมทั้งได้เป็น 1 ใน 10 ของนักมวยไทยที่ถูกบรรจุชื่อในหอเกียรติยศ ของเวทีราชดำเนิน ส่วนผลงานที่ได้รับล่าสุดก็คือ รางวัลฮอลล์ออฟเฟม (มวย) สยามกีฬาอวอร์ดส์ ครั้งที่ 8 ซึ่งเป็นการเชิดชูเกียรติ 10 นักกีฬาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งยังอยู่ในดวงไทยของชาวไทย
ด้วยชื่อเสียงของเขาที่โด่งดังในระดับประเทศ เพราะเคยต่อกรนักนักมวยดังๆ มาแล้วนับไม่ถ้วน เช่น แสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์, สกัด พรทวี, วิชาญน้อย พรทวี หรือสามารถ พยัคฆ์อรุณ รวมทั้งมีโอกาสไปถ่ายทอดวิชาแม่ไม้มวยไทยให้แก่ค่ายดังของปักษ์ใต้อย่าง “ใหม่ เมืองคอน” ซึ่งต่อมาชื่อของนักมวยเหล่านี้ก็กลายเป็นสุดยอดของนักมวยไทยในยุคต่อมา ไม่ว่าจะเป็น เจริญทอง เกียรติบ้านช่อง, โอเล่ เกียรติวันเวย์, วังจั่นน้อย ส.พลังชัย หรือ ราชศักดิ์ ส.วรพิน
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ที่เข้ามายัง “ค่ายล้อเหล็กยิม” แห่งนี้ จะต้องผ่านตารางเรียนประจำวัน 11 ข้อ นับตั้งแต่กระโดดเชือก 10 นาที, ชกลม 1-2 อยู่กับที่ 5 นาที, ชกลมก้าวไปข้างหน้า 5 นาที, กระโดดสลับซ้ายขวา 100 ครั้ง, ต่อยเป้ามือกับครูฝึก 3 ยกๆ ละ 5 นาที พัก 2 นาที, เตะเป้ากับครูฝึก 3 ยกๆ ละ 5 นาที พัก 2 นาที, เตะกระสอบ 3 ยกๆ ละ 5 นาที พัก 2 นาที, ออกอาวุธมวยไทย หรือป้องกันอาวุธคู่ต่อสู้กับครูฝึก 10 นาที, โยนเข่า 100 ครั้ง, เล่นกล้ามท้อง 5 เซตๆ 20 ครั้ง และปิดท้ายด้วยบริหารร่างกาย 10 นาที
จึงทำให้เกิดกระแสเรียกร้องให้ “พุฒ ล้อเหล็ก” ในวัย 62 ปี หวนคืนกลับคืนสู่สังเวียนอีกครั้ง มิใช่เพื่อให้ไปชกต่อย แต่ต้องการให้นำวิชาแม่ไม้มวยไทยมาเผยแพร่สู่เด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นกำลังสำคัญสำหรับการพัฒนาวงการนี้ให้ยืนหยัดแข็งแรงต่อไปอีกยาวนาน หลังจากที่นักมวยไทยในรุ่นหลังๆ ขาดการพัฒนาจนทำให้ไม่มีใครก้าวขึ้นไปสู่จุดสุดยอดได้ นั่นจึงนำมาสู่การตัดสินใจเปิด “ค่ายล้อเหล็กยิม” ขึ้น บริเวณอาคารพาณิชย์ ริมถนนท่ากลาง ในเขตเทศบาลนครตรัง
ชีวิตความเป็นอยู่ในทุกวันนี้ของ “พุฒ ล้อเหล็ก” อีกหนึ่งตำนานมวยเมืองไทยนั้น ถือว่าพอมีพอกิน ไม่ลำบากขัดสน โดยมีสวนยางร่วมร้อยไร่อยู่ในความดูแล ในขณะที่ลูกๆ ต่างก็มีงานทำ และมีครอบครัวกันหมดแล้ว จึงได้ลงทุนร่วมกับ “ป้อม” ลูกชายคนโต เปิดยิมฯ สอนมวยไทยเป็นแห่งแรกของจังหวัดตรัง และขณะนี้มีลูกศิษย์ลูกหากว่า 30 คน ที่มาร่ำเรียน ทั้งชาย-หญิง และทั้งคนไทย-ต่างชาติ นับตั้งแต่อายุ 6-7 ปี ไปจนถึง 30 ปี
ซึ่งจะเปิดสอนตั้งแต่ 8 โมงเช้าไปถึงเที่ยงวัน และอีกรอบ 4 โมงเย็นถึง 3 ทุ่ม ถือว่ามีกระแสตอบรับถือที่ดีมาก โดยเฉพาะเด็กๆ รุ่นใหม่ ที่พ่อแม่ให้การส่งเสริมลูกมาเรียนรู้วิชามวยไทย แม้กระทั่งเด็กหญิง ยิ่งในช่วงปิดเทอมยาวหลายเดือนแบบนี้ ความสนใจของเด็ก และเยาวชนจึงยิ่งมีมากขึ้น เพราะไม่ต้องมาพะวงว่าจะกระทบต่อเรื่องการเรียนหนังสือตามปกติ เนื่องจากการเรียนรู้วิชามวยไทยนั้น นอกจากจะต้องใช้ความอดทนสูงแล้ว ยังต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดทักษะ และประสบการณ์
โดยทั้งหมดนี้ใช้ระยะเวลาในการเรียนคอร์สละ 50 ชั่วโมง ซึ่งน่าแปลกที่เด็กๆ หลายต่อหลายคนที่อาศัยอยู่ตัวเมืองตรัง รวมทั้งชาวต่างชาติ ต่างให้ความสนใจที่จะมีมาเรียนรู้วิชามวยไทยอย่างเอาจริงเอาจัง แม้อาจไม่ได้คาดหวังที่จะเอาดีทางอาชีพนี้ หรืออาจแค่หวังใช้เป็นศิลปะป้องกันตัว แต่กลับสามารถสร้างสีสันให้แก่วงการมวยไทยได้เป็นอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งหาคนรุ่นใหม่เข้ามาสืบทอดน้อยลง ตามสภาพสังคมที่แปรเปลี่ยนไป
“พุฒ ล้อเหล็ก” มองวงการมวยไทยในยุคปัจจุบันว่า มีธุรกิจ หรือผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องมากเกินไป จึงทำให้รูปแบบการชกไม่สวยงาม และขาดศิลปะ ผิดแผกแตกต่างไปจากเมื่อครั้งอดีตอย่างสิ้นเชิง เพราะในสมัยของตนซึ่งเคยปะทะกับยอดมวยดังๆ ระดับประเทศมาเป็นจำนวนมาก แต่ทุกครั้งจะต่อสู้กันด้วยศิลปะแม่ไม้มวยไทยกันแบบล้วนๆ แต่มวยทุกวันนี้เน้นพละกำลังมากเกินไป จนทำให้ดูน่าเบื่อ อย่างไรก็ตาม การที่ตนได้มาเปิดยิมฯ จึงพยายามที่จะฝึกสอนมวยไทย และถ่ายทอดวิชาความรู้ ความสามารถที่มีอยู่ ให้แก่เด็ก และเยาวชนอย่างเต็มที่
พร้อมกันนั้น ยังเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์มากทีเดียว เพราะในช่วงชีวิตที่เข้าสู่วัยชราแล้ว ตนยอมรับว่า มีความสุขที่ได้เห็นเด็ก และเยาวชนคนไทยยุคใหม่ ให้ความสำคัญต่อคุณค่าศิลปะประจำชาติไทย และหันกลับมาฝึกมวยไทยกันมากขึ้น ฉะนั้น สำหรับตนเองแล้วถ้าตราบใดที่ยังมีแรงก็พร้อมที่จะเดินหน้าสู้ต่อไป เพราะมวยไทยได้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเขา เมื่อมีโอกาสในวันนี้ จึงต้องตอบแทน
ส่วน 2 พี่น้องนักมวยไทยรุ่นจิ๋ว ด.ช.กวินท์ ว่องธนาพัฒน์ หรือ “น้องวิน” วัย 10 ปี และ ด.ช.ภาสวร ว่องธนาพัฒน์ หรือ “น้องเวฟ” วัย 8 ปี บอกว่า แม้พวกตนจะเป็นเด็กในตัวเมือง และแทบไม่ค่อยจะรู้จักเรื่องของมวยไทยมาก่อนเลย แต่ทันทีที่ทราบว่า “คุณลุงพุฒ” ยอดมวยระดับตำนาน ได้มาเปิดยิมฯ ขึ้นเป็นแห่งแรกของจังหวัดตรัง ก็รู้สึกดีใจมาก และรีบชวนคุณแม่ให้พามาสมัครเรียนวิชามวยไทยทันที เพราะรู้สึกภาคภูมิใจที่เป็นศิลปะการป้องกันตัวยอดนิยมทั้งของชาติและของโลก
ขณะที่ ด.ญ.จีรภัทร รักสะอาด หรือ “น้องปอ” วัย 8 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในเด็กหญิงที่มาเรียนวิชามวยไทย ยังค่าย “ล้อเหล็กยิม” ในช่วงปิดเทอมใหญ่ของปีนี้ ก็บอกว่า ถึงแม้ตนเองจะเป็นผู้หญิง แต่ก็ชอบในเรื่องของหมัดมวย และอยากได้เข้ามาสัมผัส แม้ว่าจะต้องฝึกฝนหนักกว่าเพื่อนๆ ผู้ชายก็ตาม จนขณะนี้เกิดความรู้สึกรักในศิลปะการป้องกันตัวของชาติไทยอย่างมาก จึงอยากให้เด็กและเยาวชนชาวตรังรุ่นใหม่ช่วยกันสืบทอดต่อไปให้ยาวนานที่สุด