มีโอกาสไปงาน “Today for Tomorrow” ของ “Hi-Q 1 Plus Super Gold with DHA 34 mg.” เลยได้เจอะเจอครอบครัวสุขสันต์ 3 ครอบครัว วิลลี่-เยลหลี แมคอินทอซ ,พอลลีน (เต็ง) ล่ำซำ และ ร.อ.หญิง วันทิตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ ที่พาลูกน้อยมาอวดโฉม พร้อมเผยเรื่องราวน่ารักๆ และวิธีเลี้ยงลูก
งานนี้เราเลยถือโอกาสพาเซเลบน้อยๆ มาให้คุณรู้จัก เชื่อว่าความน่ารักน่าชังของเด็กๆ คงทำให้หลายคนที่ไม่มีคู่ และยังไม่มีลูก ต้องอยากมีลูกแล้วเป็นแน่แท้
น้องวิน VS คุณแม่เยลหลี - คุณพ่อวิลลี่ แมคอินทอช
ใครเห็นน้องวินวัยสามขวบในเวลานี้ ก็คงต้องบอกว่าขาวได้พ่อแม่จริงๆ งานนี้คุณพ่อวิลลี่พูดถึงน้องวินลูกชายสุดที่รักว่า
“ตอนนี้น้องวินอายุ 3 ขวบครับ วัยกำลังท้าทาย เอาแต่ใจตัวเองมาก ถ้าไม่ได้ดังใจ จะเหวี่ยงไปว่ายน้ำกับพื้น ดื้อมาก (หัวเราะ) แต่ถ้าเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย เขาจะอารมณ์ดีมาก
“ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ผมมักจะพาน้องวินไปขี่ม้า เพราะพอได้อยู่กับสัตว์ เขาจะชอบมาก ดังนั้นตอนเย็นๆ ถ้าอากาศไม่ร้อนมาก ผมก็จะพาเขาไปขี่ม้าสักรอบหนึ่ง หลังจากนั้นจะพาไปว่ายน้ำ ว่ายเสร็จเขาหิว เราก็จะยัดอาหารให้เขา ไม่รู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบ แต่เราก็ต้องยัดอาหารและยังป้อนให้เขาอยู่ เหตุผลคือ ตอนอยู่โรงเรียนเขาอาจไม่มีคนป้อน แต่ตอนเขาอยู่กับเรา เราต้องการให้เขากินให้มากที่สุด เลยต้องยัดอาหารให้กินชามใหญ่เหมือนผู้ใหญ่ นี่คือส่วนที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ครับ”
ถามว่าคาดหวังกับลูกคนนี้อย่างไรบ้าง วิลลี่ยิ้มแล้วตอบตามประสาคุณพ่ออารมณ์ดีว่า
“ผมอยากให้เขาเป็นเด็กแข็งแรงครับ เรื่องฉลาดไม่แคร์ เพราะถ้าเขาแข็งแรง เขาจะฉลาดเอง อีกอย่างเขาเป็นลูกของผมเอง ดังนั้นความฉลาดไม่น่าแตกต่างกันเท่าไหร่ (หัวเราะ) แต่ถ้าโตขึ้น ผมอยากให้เขาเป็นนักกีฬากอล์ฟ จะได้ตามเขาไปแข่งขันทั่วโลก เวลาเขาแข่งก็จะเดินถือร่มตามเขา เพราะโดนแดดไม่ได้ แล้วเวลากล้องแพนมา ผมจะได้ชูนิ้วให้กล้องทันที เพราะรู้มุมกล้องอยู่แล้ว (หัวเราะ) พอตกเย็นก็กินข้าวด้วยกัน คือ ผมอยากให้เขาเป็นนักกีฬา ดังนั้นจะแพ้หรือชนะก็ไม่เป็นไรครับ”
ส่วนเยลหลีพูดถึงวิธีการเลี้ยงดูลูกชายว่า พยายามเลี้ยงลูกแบบไม่บังคับมาก เน้นให้ทานอาหารที่มีประโยชน์และและทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์
“น้องวินเป็นเด็กพลังเยอะมากค่ะ ปกติหลังทานข้าวเที่ยงเขาจะนอน จากนั้นเยลหลีจะพาเขาออกไปข้างนอก เช่น ไปขี่ม้า เล่นสไลเดอร์ ว่ายน้ำ และกินข้าว เพราะเขาชอบน้ำมาก นอกนั้น เยลหลีจะพยายามให้เขาดูหนังสือ อ่านหนังสือบ้าง คือ พยายามให้เขาทำ แต่ไม่เน้นให้เขาได้ไอคิวสู งเพราะไม่อยากบังคับเด็กมากไป พยายามให้เขาทานอาหารครบห้าหมู่และ กินนมเยอะๆ น่าจะสำคัญมากกว่าการให้เขาเรียนเลข หรือทำอะไรที่หนักเกินไปค่ะ”
น้องวินในวัยสามขวบที่ตอนนี้ยังพูดไม่ได้ แต่ทว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะเยลหลีบอกว่าเป็นเรื่องปกติของเด็กหลายภาษา ทำให้ตอนนี้น้องวินยังสับสนในการพูดอยู่บ้าง แต่คุณหมอบอกแล้วว่าพอถึงเวลาน้องวินจะพูดได้เอง แถมยังจะพัฒนาอย่างรวดเร็วด้วย
เยลหลีวางแผนไว้ว่าถ้าน้องวินโตขึ้น คงจะให้คุณพ่อมีบทบาทมากกว่าคุณแม่ ส่วนตัวเธอคงขอดูแลอยู่อย่างห่างๆ เพราะคิดว่าความที่เป็นเพศเดียวกัน พ่อลูกน่าจะคุยกันเข้าใจมากกว่า
“คิดว่าถ้าเขาโตและรู้เรื่องผู้หญิงแล้ว เยลหลีคงจะไม่ยุ่งล่ะ เพราะเคยเห็นเด็กเยอะมากที่เวลาแม่พูดอะไรสักอย่างแล้วไม่ฟัง แต่ถ้าพ่อพูดแล้วจะฟัง ดังนั้นถ้าเขาโตแล้ว ก็จะให้พ่อดู ถ้าอกหักเมื่อไหร่ เยลหลีบอกว่าวิลลี่ต้องอยู่กับลูกละ แล้วแม่จะไปกระทืบผู้หญิงเอง (หัวเราะ)”
“เรื่องประทับใจในครอบครัวเราคือ ประทับใจวิลลี่ที่ยอมลูกทุกอย่าง แม้จะเหนื่อยแค่ไหน น้องวินอยากขี่ม้าก็ขึ้นหลังพ่อ เขาก็ยอมจนหลังจะพังอยู่แล้ว ต้องไปหาหมอ แต่เขาก็ยอมทุกอย่างเพื่อลูก แล้วในฐานะแม่ ต้องบอกว่าการได้เห็นความเจริญเติบโตของลูก ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ดังนั้นแม้จะเหนื่อยแค่ไหน แต่ก็เป็นความเหนื่อยที่มีความสุขค่ะ (ยิ้ม)" เยลหลีพูดปิดท้ายถึงครอบครัวสุขสันต์ไปอย่างน่าประทับใจ
น้องโรจน์ VS คุณแม่พอลลีน (เต็ง) ล่ำซำ
ด้านทพญ.พอลลีน (เต็ง) ล่ำซำ หรือคุณพีควงแขนมากับลูกชายหัวแก้วหัวแหวน “น้องโรจน์” วัย 1 ขวบ 9 เดือน โดยเธอพูดถึงลูกชายตัวเองว่า
“น้องโรจน์เป็นเด็กอารมณ์ดีมาก ไม่งอแง ไม่กวนแม่ เลี้ยงง่ายมาก หลายคนบอกว่าเขารู้เรื่อง ส่วนอาหารทาน ก็โชคดีที่ทานได้ปกติ ไม่แพ้อะไรเลยค่ะ”
นอกนั้นคุณพียังเผยเคล็ดลับการเลี้ยงลูกในสไตล์ของเธอว่า จะพยายามดูแลลูกทุกอย่างด้วยตัวเองและไม่พยายามโอ๋ลูกมาก
“เวลาน้องโรจน์ร้องไห้ พีก็จะดูว่าเขางอแงเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องที่ต้องสอนเขาก็ต้องบอกเขา ถือว่าเขาร้องไห้เองได้ ก็ต้องหยุดร้องเองได้ จะไม่พยายามโอ๋ ไม่พยายามสปอย์ เรียกว่าพีเป็นคนดุที่สุดในบ้านแล้ว เพราะในบ้านทุกคนจะโอ๋เขาหมด
“เวลาเลี้ยงลูก พีพยายามดูแลเขาในทุกเรื่องจริงๆ ค่ะ อย่างเช่นอาหารการกิน วัตถุดิบก็จะซื้อเอง เมนูอาหารก็คิดเอง พยายามหาเมนูให้เหมาะกับวัยเขา และพยายามดูแลความสะอาด แต่คิดว่าคงต้องน้อยกว่านี้แล้ว เพราะเดี๋ยวนี้ลูกชอบยื่นมือมาให้เช็ดแล้ว (หัวเราะ) คือ เขาติดนิสัยรักความสะอาดมาจากแม่
“แล้วปกติพีจะไม่ค่อยซื้อของเล่นให้ลูก แต่คนอื่นชอบซื้อของเล่นมาให้เขาเยอะมาก จนบางครั้งกลัวลูกจะไม่มีสมาธิ ดังนั้นวิธีแก้คือ พีจะยัดของเล่นไว้ในตู้ แล้วให้เขาเล่นทีละชิ้น เป็นการฝึกสมาธิ นอกนั้นพยายามให้คุณตาพูดภาษาจีนกับน้องโรจน์ด้วย เพราะอยากให้เขาพูดได้หลายภาษา เนื่องจากประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอยู่แล้ว ถ้าเขาพูดภาษาได้ ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีค่ะ”
ส่วนคำถามที่บอกว่าโตขึ้นอยากให้ลูกเป็นอะไรนั้น คุณพีตอบว่า
“พีอยากให้เขาเลือกเองมากกว่าค่ะ ตอนนี้หน้าที่ของพีคือ เตรียมตัวให้เขาเติบโตเป็นคนดีในสังคมและอยู่รอดในสังคมได้อย่างสง่างาม ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ยากมากในสมัยนี้ เพราะบางคนอยู่รอดได้แต่ไม่สง่างาม มักถูกคนอื่นเอารัดเอาเปรียบตลอดเวลา พีจึงไม่หวังให้เขาเรียนเก่งหรือได้แชมป์ตลอด แต่อยากให้เขาเป็นคนดีและเอาตัวรอดได้มากกว่า นอกนั้น เรื่องสำคัญคือ อย่าทิ้งแม่ เพราะทุกคนทักว่าถ้ามีลูกชาย พอโตขึ้น เขาจะห่างแม่ ทุกวันนี้พีเลยพยายามหอมเขาตลอด เพื่อไม่ให้เขิน ไม่อย่างนั้นถ้าเขาโตขึ้น เขาจะไม่ยอมให้แม่หอมค่ะ (หัวเราะ) “
น้องพชร VS คุณแม่แคท ร.อ.หญิงวันทิตา ลิ่วเฉลิมวงศ์
คุณแคทนับได้ว่าเป็นคุณแม่ที่ทุ่มเทให้กับลูกจริงๆ เพราะทันทีที่มี “น้องพชร” เป็นโซ่ทองคล้องใจ เธอก็ไม่รอช้าที่จะลาออกจากการเป็นทหาร เพื่อจะได้เวลาดูแลลูกได้อย่างเต็มที่
“ตอนนี้แคทเลี้ยงลูกเป็นหลักค่ะ เมื่อก่อนแคทเป็นทหาร แต่ขอลาออกมาเพื่อจะได้เลี้ยงดูลูกเต็มที่ในสามขวบปีแรก แคทให้ความสำคัญกับลูกในช่วง 1-3 ขวบมาก เพราะเชื่อว่าเป็นสามปีที่เขาจะได้เรียนรู้ และสมองจะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ดังนั้นถ้าเราอยากให้ลูกเราเป็นคนนิสัยยังไง เป็นคนแบบไหน เราก็ต้องเริ่มใส่ตั้งแต่ตอนนี้เลย”
“โชคดีที่น้องพชรไม่งอแง เลี้ยงง่าย ไม่ดื้อ เห็นได้ชัดเลยว่าเขารักเสียงเพลงมาก อย่างเวลาเค้าร้องไห้ พอได้ยินเพลงปุ๊บเขาก็จะหยุดร้องไห้และอารมณ์ดีเลย แล้ววัยนี้เวลากระตุ้นอะไรให้เขาไปจะทำได้เร็วมาก อย่างเช่นสอนเอบีซี สอน ก.ไก่ ฮ.นกฮูก เปิดแฟลชการ์ดให้ดู แป๊บเดียวเค้าจะจำได้เลย รู้จักว่าผักคืออะไร ผลไม้คืออะไร เราถาม เขาก็จะหยิบตอบได้ทันที
“ไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตจะมีคนที่ทำให้เรารู้สึกแบบนี้ เวลานึกถึงน้องพชรตอนทำท่าตลกๆ ใส่เรา เราก็จะยิ้มออกมาได้ คือเขาเป็นเด็กตลก เป็นเด็กขำ อย่างตอนนี้เขาฟังรู้เรื่องหมดล่ะ เวลาเราจะสื่อสารอะไร แต่เขายังพูดออกมาไม่ได้ บางทีถามตอนที่คุณพ่อเขาไม่ได้อยู่ด้วยว่า พชรรักพ่อเยอะมั้ย เขาก็จะทำเฉยๆ ไม่ตอบ แต่วิ่งมากอดแม่ เหมือนจะบอกว่ารักแม่นะ (ยิ้ม)"
ในยุคที่สังคมอยู่ยากขึ้นทุกวัน เธอบอกว่าอยากสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกด้วยการใช้ศาสนาเข้าช่วยเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
“แคทพยายามปลูกฝังเค้า โดยใช้เรื่องศาสนาเข้ามาสอนด้วย เช่นสอนให้เขาสวดมนต์ พาเข้าวัด ปลูกฝังให้เขามีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ บอกเขาว่าวันไหนที่เขาไม่มีเราแล้ว เขาจะได้มีที่พึ่งทางใจ แล้วก็อยากให้เขาเป็นคนไม่เอาเปรียบใคร แล้วก็ไม่ให้โดนคนอื่นเอารัดเอาเปรียบ
“อีกอย่างคือ แม้เราอยากจะให้ลูกมีชีวิตที่ดี แต่ก็อยากให้เขาได้ใช้ชีวิตแบบติดดิน เพราะไม่รู้ว่าวันที่เราไม่อยู่ เขาจะยังมีเงิน หาเงินได้มั้ย ดังนั้นต้องสอนให้เขาเลี้ยงตัวเองได้ มีเพื่อนทุกระดับทุกแบบ อย่างทุกวันนี้ แคทพาลูกไปเดินตลาด ลูกเราก็ต้องยกมือไหว้คนขายน้ำเต้าหู้ เพราะเป็นผู้ใหญ่มากกว่า จะได้ไม่เป็นคนดูถูกคน เป็นคนรู้จักให้ เรียกว่าเราต้องสอนตั้งแต่ตอนนี้ แล้วเขาจะได้เป็นอย่างที่เราอยากให้เป็นค่ะ”
เรื่องโดย ทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ Live
ภาพโดย ปวริศร์ แพงราช