xs
xsm
sm
md
lg

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หัวใจเถื่อน ตอนที่ 9

มีอีกหนึ่งเรื่องราว ที่วันเวลานานกว่าสิบห้าปี มิอาจลบเลือนมันไปจากใจสองดวง ตอนนั้นเด็กชายภาคย์ และเด็กหญิงอมาวสี ซุกตัวอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ใบหนา

“เราต้องอยู่บนนี้อีกนานแค่ไหน?” เด็กหญิงเอ่ยถาม
“จนกว่าจะปลอดภัย” เด็กชายตอบ
“จะมีใครตกใจที่เราหายไปมั้ย”
“ไม่รู้...บางทีพวกเขาอาจจะดีใจก็ได้”
“แต่อ้อว่า คุณภากรต้องเสียใจแน่ๆ เพราะไม่มีใครให้แกล้งอีกแล้ว”
“เพราะฉะนั้น เราต้องอยู่บนนี้ให้นานที่สุด อย่าให้เขาหาเราเจอ”
“ถ้าปลอดภัยเมื่อไหร่ พี่ภาคย์ต้องบอกอ้อนะ อ้อเมื่อย”
“อดทนนะอ้อ...พี่ไม่ทิ้งอ้อไปไหนเด็ดขาด...อ้อก็จะไม่ทิ้งพี่เหมือนกันใช่มั้ย”

บนดาดฟ้าอาคารทรงโมเดิร์น อันมีแสงไฟสว่างไสวจากการประดับประดาของหมู่มวลคนงานบ้านไร่ อมาวสวียืนอยู่บนดาดฟ้านั้น เธอชะเง้อมองลงมายังด้านล่างที่สนามหญ้าหน้าบ้าน มองจ้อง ราช บนหลังม้าสีหมอก จนกระทั่งราชตะโกนขึ้นมาว่า

“คุณอยากจะเดินลงมา หรือให้ผมขึ้นไปหาคุณดี...เลือกเอา”
อมาวสีหายใจแรงด้วยความโกรธจัด เมื่อรู้ว่าเป็นเขาที่จับตัวเธอมา เธอเปล่งเสียงผ่านไรฟันออกมา
“นายเองเหรอ...นายเป็นคนวางแผนทั้งหมดนี้เลยใช่มั้ย”
อมาวสีคว้าของใกล้มือมากมายระดมปาลงไปที่ราชไม่ยั้ง ถูกบ้าง พลาดบ้าง พร้อมกับส่งเสียงตะโกนดังลั่น
“ไอ้คนเลว...นายจับฉันมาขังไว้ทำไม... ไอ้วายร้าย ไอ้มหาโจร...ฉันจะแจ้งตำรวจจับตัวนายเข้าคุกให้ได้”
บรรดาคนงานกรูกันเข้ามาจับตัวอมาวสีไว้ อมาวสีดิ้นต่อต้านสุดกำลัง ราชจึงลงจากหลังม้าเดินเข้ามาในตัวอาคาร

สักครู่หนึ่ง ราช รัชภูมิ ในสูทสีชาว เดินเข้ามาบนดาดฟ้า คนงานยังจับตัวอมาวสีไว้แน่น
“นายบอกคนที่นี่ว่า ฉันเป็นเมียนายเหรอ เป็นเมียที่สติไม่ดี ประสาทเสียเหรอ นายต้องการอะไร ไอ้คนเลว บอกความจริงเขาไปให้หมดเดี๋ยวนี้นะ...บอกซี่ บอกความจริงซี่...”
ราชพยักหน้าให้คนงานปล่อยอมาวสี คนงานลังเล แต่ก็ยอมปล่อย
ทันใดนั้นอมาวสีพุ่งเข้าใส่ราชและเงื้อมือทุบตีเขาอย่างแรง หมู่คนงานต้องเบือนหน้าหนี
“ไอ้คนเลว ไอ้คนใจทราม ต่ำช้า...นายทำอย่างนี้ทำไม...หรือว่านายต้องการเงิน...อ๋อ นายวางแผนกับน้าเทินกับนายทินเพื่อเรียกร้องเงินใช่มั้ย...นายจะเอาเท่าไหร่ ลองบอกมาซิ...แต่คิดเหรอว่าลุงฉันจะยอมจ่ายเงินให้นายง่ายๆ”
ราชจับมืออมาวสี รวบไว้ให้นิ่ง
“ชู่ย์ย์ย์...ใจเย็นๆ ค่อยๆพูด ค่อยๆจา...หายใจลึกๆ โอ๋...เดี๋ยวเส้นเลือดแตก นะที่รัก”
อมาวสีแว้ดใส่ “ใครเป็นที่รักของแก”
“อื้อม...ไม่เอาน่า อายเขา”
“ฉันไม่อาย คนที่ควรจะอายคือนาย...จอมปลิ้นปล้อน จอมหลอกลวง มีหน้ามาโกหกได้ไงว่าฉันเป็นเมียนาย ห๊า...”
“ชู่ย์ย์ย์...พอแล้ว ๆ”
ราชหันไปพูดกับหมู่มวลคนงานทุกคน
“พวกเราลงไปรอข้างล่างดีกว่า...ขอฉันคุยกับเจ้าสาวฉันตามลำพังก่อน”
คนงานค่อยๆ เดินลงบันไดไป แต่ก็ไม่วายคอยเหลียวมองนายด้วยความเป็นห่วง

ราชเอ่ยปากพูดเมื่อคนงานลับตัวไปจนหมด
“เราจะเริ่มคุยกันเมื่อคุณสงบสติอารมณ์ได้แล้ว”
อมาวสีค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ เธอพยายามควบคุมอารมณ์ให้เย็นลง
“ฉันนึกว่านายจะป่วยปางตาย หรือไม่ก็เกิดอุบัติเหตุอะไรซักอย่างจนถึงกับบาดเจ็บสาหัส”
“น้าเทินบอกคุณอย่างนั้นเหรอ”
“เปล่าหรอก แต่ก็ทำหน้าทำตา ทำเสียง ให้ฉันคิดไปอย่างนั้น”
“แล้วตอนนี้รู้สึกยังไง ที่ผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด”
อมาวสีจงใจวางสีหน้าเหยียดใส่ราช “ผิดหวัง”
ราชยิ้ม หัวเราะเบาๆ อย่างยั่วยวน
“งั้นก็แปลว่า ที่ยอมมากับน้าเทิน เพราะอยากมาดูผมตายละซี”
“ฉันคิดว่าคุณกำลังเบี่ยงเบนประเด็นนะ...ประเด็นสำคัญที่เราจะต้องพูดกันก็คือคุณทำความผิดอย่างร้ายแรงด้วยการลักพาตัวคนอื่นมากักขังไว้อย่างนี้ทำไม...คุณทำเพื่ออะไร และคุณพร้อมจะรับผลที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนี้แล้วใช่ไหม...”
ราชฟังอย่างนิ่งเงียบ
“คิดใหม่ ทำใหม่ได้นะ...ปล่อยฉันกลับไปเดี๋ยวนี้ ฉันจะยอมไม่แจ้งความเอาผิดนายเลยก็ได้”
“ผมจะพาคุณไปส่งทันที ถ้าคุณบอกว่า คุณต้องการแต่งงานกับนายภากร”
อมาวสีพยักหน้าตอบสวนคำไปในทันที “เออ”
“แน่ใจนะ”

หลังคำนี้ราชจ้องเข้าไปในดวงตาของอมาวสี

อมาวสีนิ่งคิดก่อนเอ่ยปากตอบ

“ถึงฉันจะไม่อยากแต่งงาน แต่นี่ก็ไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง”
“งั้นคุณลองบอกทางออกที่ดีกว่านี้มาซิ”
“เยอะแยะไป...”
“ผมรอฟังอยู่”
อมาวสีได้แต่จ้องหน้าราช นิ่ง เงียบ
“พูดกับอาผู้หญิงอาผู้ชาย คุณยังไม่กล้าพูดเลย...แล้วจะมีทางออกอะไร”
อมาวสียังเงียบอยู่อย่างนั้น
“คุณควรจะขอบคุณผม ที่ช่วยให้คุณยังคงความสาวบริสุทธิ์ของคุณเอาไว้ได้”
“มันไม่ใช่เรื่องของนาย”
“ก็จริง แต่มันเกี่ยวกับวาริน เพื่อนผม...เพราะเขาจะมีความสุขมากเมื่อรู้ว่า คุณยังไม่ตกเป็นของชายใด”
อมาวสีเริ่มโกรธขึ้นมาอีกครั้ง
“นายอย่าเอาความรู้สึกคนอื่นมาอ้างความชอบธรรมให้นายทำเรื่องเลวร้ายเหล่านี้ได้มั้ย”
“ก็แล้วแต่คุณจะคิด แต่ไม่ว่าคุณจะเห็นว่ามันถูกหรือผิด ตอนนี้เราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว”
“ฉันไม่ได้เต็มใจจะลงเรือกับนาย”
“หรือจะกระโดดน้ำสละเรือตอนนี้ เอามั้ยล่ะ...ปัญหาคือ คุณจะว่ายน้ำไปทางไหน ไปยังไง...ในเมื่อผมสามารถบอกทุกคนที่นี่ยังไงก็ได้...เพราะพวกเขาเชื่อผมทุกอย่าง...ผมก็สามารถพูดให้คุณเป็นผู้ร้ายในสายตาของพวกเขาได้”
อมาวสีรู้สึกเหมือนโดนบีบให้จนแต้ม เธอกัดปากพูดใส่หน้าราช
“คุณไม่มีทางโกหกได้ตลอดหรอก...วันนึงพวกเขาจะเชื่อเรื่องจริงที่ออกจากปากฉัน...คอยดู”
ราชท้าทายทันที “เชิญ...ถ้ามั่นใจอย่างนั้นก็เชิญ...แต่วันนี้ คุณเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเจ้าสาวแสนสวยของผม”
พร้อมกันนี้ราชกระเถิบเข้าใกล้อมาวสี เขาค่อยๆ ใช้มือลูบไล้ตามแขน ตามไหล่ และใบหน้าของเธอ
“ถ้านายล่วงเกินฉันมากกว่านี้...ฉันจะสู้นะ”
ราชยิ้มหยัน “คิดว่าผมอยากจะทำเหรอ...ถ้าไม่ใช่เพราะนายวาริน ผมไม่ทำอย่างนี้หรอก”
“แล้วฉันต้องอยู่ที่นี่นานแค่ไหน”
“จนกว่านายภากรจะตรอมใจตาย”
“เกี่ยวอะไรด้วย...หรือว่าจงใจแก้แค้นอะไรกันรึเปล่า”
“เปล่า...แต่ถ้าเขาตรอมใจตายเมื่อไหร่ ก็มั่นใจได้ว่าคุณเป็นอิสระเมื่อนั้น...นายวารินก็จะมีโอกาสอันดียิ่ง”
อมาวสียิ่งฟังก็ยิ่งโมโห “เป็นวิธีคิดที่งี่เง่า ไร้สาระมาก”
“แล้วการที่คุณยอมแต่งงานกับเขาทั้งที่ไม่ได้รัก นี่ไม่งี่เง่าเลยเหรอ...”
เสียงป่วนดังออกมาจากวิทยุสื่อสารของราช
“พวกเราขึ้นไปได้หรือยังครับนาย”
ราชกด วิทยุ ตอบ “โอเค” แล้วหันมาพูดกับอมาวสี “หมดเวลาทะเลาะกันแล้วครับ...พวกเขากำลังจะขึ้นมาฉลองงานแต่งงานของเราสองคนแล้ว”
อมาวสีหน้าตาเอาเรื่องอยู่
“อย่าลืมว่าคนที่นี่เชื่อผมมากกว่าคุณนะครับ”
กลุ่มคนงานเดินเรียงแถวขึ้นบันไดมา พวกเขาโห่ร้องเพลงกลองยาว ราวกับเป็นขบวนขันหมาก
“โห่ หี๊ โห่ หี๊ โห่...ฮี้วววว...ใครมีมะกรูดมาแลกมะนาว ใครมีลูกสาวมาแลกลูกเขย เอาวะเอาเหวยลูกเขยกลองยาว ตะละลา...”
พวกเขาถือพวงมาลัยขึ้นมาสองชุด
ป่วน ในญานะผู้อาวุโสที่สุดตรงเข้าไปคล้องมาลัยที่ราชและอมาวสี
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว พวกเราอยากให้นายมีความสุขสมหวังในความรัก ก็ขออนุญาตรวบรัดพิธีการสั้นๆ ทั้งขันหมากและผูกข้อมือไปพร้อมๆกันเลยเน้อ”
หมู่คนงานต่างแจก เตรียมสายสิญจน์สำหรับผูกข้อมือ
“อันดับแรก ขอแนะนำชื่ออย่างเป็นทางการก่อนนะ...นี่คนนี้น้าป่วน นี่ไอ้ป๊อด นี่นังแอ้ม นั่นป้าเอิบ โน่นไอ้แปลก...ที่เหลือแนะนำกันเอง จำไม่ได้เหมือนกัน”
คนงานอื่นๆ โห่ใส่ป่วน อมาวสีตัดสินใจเอ่ยปาก
“ทุกคนฟังนะ...สิ่งที่นายคนนี้บอกพวกเราทุกคน ไม่ใช่เรื่องจริง...ความจริงคือเขาฉุดฉันมาจากบ้าน...เขาลักพาตัวฉันมาทรมาน...สิ่งที่พวกเราทำอยู่นี้จะกลายเป็นสมรู้ร่วมคิดกับคนร้ายนะ มีความผิดพอๆกันนะ รู้มั้ย”
คนงานทุกคนฟังนิ่ง ป่วนหันไปพูดกับราช
“นายครับ...ผมว่าผูกข้อมือเรียกขวัญซักหน่อยอาจจะช่วยเรียกสติเมียนายได้บ้างนะครับ”
ราชพยักหน้า หมู่คนงานกรูกันเข้าไปรุมผูกข้อมืออมาวสี พร้อมเอ่ยปากอวยพรกันมากมาย ฟังได้ความว่า
“ขอให้อายุมั่นขวัญยืน”
“มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”
“อย่าทะเลาะกัน รักกันนานๆเน้อ...”
ตลอดเวลาอมาวสีจ้องหน้าราช อย่างเคืองขุ่น ราชยิ้มให้อมาวสี
ผูกข้อมือเสร็จ ป๊อดเอ่ยขึ้น “เจ้าบ่าวเจ้าสาว เชิญตัดเค้กเลยดีกว่าครับ...ป๊อดอยากกินแล้ว”
ป่วนเขกหัวไอ้ป๊อดไปหนึ่งที แอ้มยกเค้กก้อนโตเข้ามาให้
ราชคว้ามืออมาวสีมาจับมีดร่วมกันเพื่อตัดเค้ก มืออมาวสีพยายามขืน ในขณะที่มือของราชบีบกระชับไว้จนแน่น
“เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องหอมแก้มกันหน่อยคร้าบ จะได้ครบสูตร” ป๊อดระรื่นมาก
ราชดึงรั้งตัวอมาวสีเข้ามาใกล้ๆ
“ยิ้มหน่อยซี่...อย่าทำให้พวกเขาผิดหวังน่า...”
ราชยื่นจมูกเข้าไปสูดดม หอมที่แก้มอมาวสี อย่างแรงและยืดยาว
“ถ่ายรูปไว้หน่อยซี่ ตาป่วน...อุตส่าห์เตรียมกล้องมาน่ะ...เร็ว” ป้าเอิบบอก
“หอมไว้ก่อนนะครับ ขอชักรูปซักสองสามบาน”
ป่วนว่าพลางหยิบกล้องถ่ายรูปรุ่นเก่าขึ้นมากดชัตเตอร์ถ่าย
อมาวสีพึมพำในคอ “ไม่ต้องหอมซะชิด หอมซะแรงขนาดนี้ก็ได้”
ราชพึมพำในคอตอบ “ไม่ได้ เดี๋ยวไม่สมจริง”
แอ้มร้องขึ้น “หอมตรงปากเลยค่ะ...ที่ปาก...ปาก ปาก ปาก ปาก ปาก”
หมู่คนงานส่งเสียงให้จูบปาก อมาวสีรีบโยกหน้าหนีทันที ราชรีบดึงหน้าเธอกลับมา
อมาวสีพึมพำในคอ “อย่านะ...”
ราชพึมพำในคอตอบว่า “นึกว่าผมอยากนักเหรอ...”
ราชหันไปยิ้มให้หมู่คนงาน แล้วจึงตัดสินใจ ยื่นจมูกลงไปหอมที่ปากอมาวสี อมาวสีฉวยจังหวะนี้ อ้าปากกัดไปที่จมูกราช ป่วนกดชัตเตอร์ตรงนี้ทันที หมู่คนงานส่งเสียงเป่าปากชอบใจ
ราชจ้องหน้าอมาวสี ทั้งเจ็บจมูก และโมโห อมาวสีจ้องหน้าราช สะใจเป็นที่สุด
ป๊อดตะโกนลั่น “สุขสันต์วันแต่งงานครับนาย”
หมู่มวลคนงานร้องลั่น “ไช โย...ไช โย...ไข โย...”
“ขอบคุณทุกคน คืนนี้เจ้าสาวของฉันง่วงแล้ว ให้เธอไปนอนพักดีกว่า” ราชว่า

ไอ้ป๊อดตะโกนขึ้นมาอีก “ส่งบ่าวสาว เข้าห้องหอ จ้า”

เตียงนอนในห้องนั้นถูกโรยด้วยกลีบกุหลาบเต็มไปหมด มันเป็นสภาพเตียงนอนที่สวยงามสำหรับคู่บ่าวสาวอย่างแท้จริง

ป้าเอิบและนังแอ้มเดินนำอมาวสีเข้ามาในห้อง
ราช น้าป่วนและไอ้ป๊อดเดินตามหลังเข้ามา พวกคนงานตาลุกวาวเมื่อเห็นเตียงนอน
“อิฉันตั้งใจทำให้นายเลยนะคะ” ป้าเอิบบอก
ป๊อดบ่น “แล้วจะนอนเข้าไปได้ยังไง...ยิ่งคืนแรกของผัวเมียด้วย รับรอง ดิ้นพล่านไปทั่วเลยละ”
ป่วนเขกกระโหลกไอ้ป๊อดอีกที
“ฉันจะนอนห้องข้างๆ” ราชบอก
ทุกคนงงร้อง “อ้าว...”
ป้าเอิบแปลกใจ “นายไม่นอนด้วยกันกับเมียล่ะคะ”
แอ้มเสริม อวดภูมิ “สมัยนี้เขาชอบนอนแยกห้องกัน...ต่างมีอิสระกัน...จะแวะมาเจอกันตอนอยาก”
ป้าเอิบเง็ง “อยากอะไร”
“อยากคุยกัน อยากเห็นหน้ากัน...” แอ้มว่า
“อ๋อ”
ราชเอ่ยเสริมขึ้น “ยิ่งตอนนี้นายหญิงสติไม่ค่อยดี อาจจะตื่นมากลางดึก เอามีดไล่แทงฉันจะว่ายังไง”
ป้าเอิบเห็นด้วย “จริงด้วยค่ะ”
ราชบอกกับอมาวสี “ผมเตรียมเสื้อผ้ามาให้คุณแล้ว...อยู่ในตู้น่ะ...ขอบคุณนะที่ใส่ชุดนี้จนถึงวันนี้...มันทำให้พิธีเมื่อสักครู่ มีความหมายมากๆ...กู๊ด ไน้ท์ครับ... พวกผู้ชายออกมาได้แล้ว...ปล่อยผู้หญิงเขาดูแลกันเอง”
ราชเดินนำป๊อดและป่วนออกไป
แอ้มยิ้มย่องกับอมาวสี พลางชมว่า “นายผู้ชายน่ารักนะคะ”
แต่อมาวสีไม่ตอบ เธอเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า มีเสื่อผ้าผ้ามากมายหลายชุดแขวนอยู่ในนั้น พร้อมทั้งอุปกรณ์ในการอาบน้ำ อาทิสบู่ แชมพู ครีมต่างๆ อื้อ
“เฮ้อ...อยากมีผัวแบบนี้บ้างจังเลย” แอ้มบ่นบ้า
“ข้าก็เหมือนกันว่ะ อีแอ้ม” ป้าเอิบเอากะแอ้มด้วย

ขณะนั้นเทินยืนพูดโทรศัพท์อยู่กลางออฟฟิศของราช ที่กรุงเทพฯ
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะครับ”
เสียงราชลอกออกมาว่า “อือม ไม่มีปัญหาอะไร น้าเทินดูงานออฟฟิศให้ผมด้วยนะ”
“ครับผม...เอ่อ ว่าแต่...เรื่องไร่ คุณราชยังไม่คิดจะบอกคุณรักษ์แน่นะครับ”
ราชยืนพูดโทรศัพท์มือถือของเขาอยู่ในสนามหญ้าหน้าอาคารบ้านไร่แสนสุข
“วันนึงผมต้องบอกแน่...แต่ตอนนี้ยัง...ผมอย่างลองสร้างเนื้อสร้างตัว ด้วยตัวของผมเองดูบ้าง”
เสียงเทินลอดออกมาว่า “คนงานที่นั่นไว้ใจได้แน่นะครับ”
“แน่สิ เป็นคนงานเก่าของไอ้พินัยเพื่อนผม...ผมเคยช่วยเหลือพวกเขาไว้ตั้งแต่ไฟป่ามาเมื่อห้าปีก่อน...เท่านี้แล้วกันนะ...มีอะไรค่อยส่งข่าวกัน”
ราชกดปุ่มยกเลิกการสนทนา

จังหวะนี้ป่วนเดินถือกาแฟร้อนมาส่งให้ราช ควันหอมฉุยโชยออกมาจากถ้วยกาแฟ
ราชรับกาแฟมาจิบ “งานในไร่ของเรา ยังขาดเหลืออะไรอีกบ้างมั้ยน้าป่วน”
“ไม่มีขาดหรอกครับ มีแต่เหลือ เหลือเฟือจริงๆ ครับนาย”
“พูดเป็นเล่น”
“จริงครับ...อย่าว่าอย่างนู้นอย่างนี้เลยครับ พวกเราอยู่สบายกว่าเมื่อก่อน ตอนที่อยู่กับคุณพินัยซะอีกนะครับ”
“อ้าวนินทาเพื่อนฉันซะแล้ว”
“ไม่ได้นินทาครับ คุณพินัยก็ดีกับพวกเราไม่ต่างจากนาย...เพียงแต่ว่า ตอนนั้นคนงานของแกมีน้อย พวกเราก็เหนื่อยกันสายตัวแทบขาด...แต่พอนายมาลงทุนด้วย แกก็เลยมีเงินจ้างคนงานเพิ่มขึ้น หลังๆนี่ก็สบายขึ้นกว่าเก่าเยอะ...นี่แกก็ไปสั่งซื้อเครื่องจักรเพิ่มอีกนะครับ บินไปถึงญี่ปุ่น...แหม ช่วงนี้ลงทุนน่าดู” ป่วนสาธยายยาวเหยียด
“เอาไว้ให้ฉันหมดภาระที่กรุงเทพฯ ฉันคงจะมีเวลาลงมาทำไร่ด้วยตัวเองมากขึ้น”
“โอ๊ยเหนื่อยเปล่านาย...นายอยู่เฉยๆ เป็นเจ้าของไร่หล่อๆก็พอแล้ว งานไร่ปล่อยพวกผมเถ๊อะ...เอ้อ ถ้าจะมีปัญหา ก็คงเป็นปัญหาเรื่องคน”
“ใคร” ราชฉงน
“กำนันแม้น มันยังแค้นนายอยู่ ที่ไปซื้อที่ผืนนี้ตัดหน้ามัน”
“ช่วยไม่ได้...อยากขูดรีดชาวบ้านเขาทำไม”
“เมื่อมันใช้อิทธิพลทางการเมือง เอาชนะนายไม่ได้...ผมเกรงว่า วันนึงมันอาจจะใช้กำลังคนมารุกรานเราได้นะนาย” ป่วนดูจะกังวลมากเอาการ
“ก็รอดูไป จนกว่าจะถึงวันนั้น”
“เพราะฉะนั้น นายต้องเตือนนายหญิงนะครับ...อย่าเผลอเดินไปไหนคนเดียวล่ะ มันอันตราย”
“ฉันเตือนได้ที่ไหน น้าก็เห็น...ต้องฝากน้าป่วนกับพวกน่ะแหละ คอยจับตาดูอย่าให้คลาดสายตา”
“ครับ ผมจะพยายาม...เฮ้อ...ไม่รู้เมื่อไหร่อาการนายหญิงจะหายนะเนี่ย”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“บางทีอาจต้องมีลูกนะนาย...ลูกอาจจะทำให้เรื่องร้ายๆทุกอย่างหายเป็นปกติได้นะ”
ราชปั้นสีหน้าสนใจ ใคร่รู้ “งั้นเหรอ”
“นายทำเป็นมั้ยล่ะ...ไม่ยากหรอกนาย เมียสวยๆอย่างนี้ รับรองลูกดกแหงๆ”

ป่วนยิ้มแฉ่ง ราชยิ้มรับไปงั้นๆ

ฝ่ายอมาวสีเดินออกมาจากห้องน้ำในชุดกระโจมอก เธอเดินมายืนมองชุดนอนที่วางอยู่บนเตียง

หยิบมาดู มันเป็นชุดกรุยกรายหวานแหวว อมาวสีโยนชุดทิ้งไป โดยเธอหยิบเสื้อยืดมาสวม และใส่กางเกงขายาวแทน
เสียงราชดังขึ้นทางวิทยุ “ไม่ชอบชุดนอนที่ผมเลือกให้เหรอ”
อมาวสีมองไปรอบๆ แล้วเงยหน้ามองกล้องวงจรปิด พบว่ากล้องวงจรปิดตัวนั้นมันยังถูกคลุมไว้ด้วยผ้าอยู่ อมาวสีกดวิทยุสื่อสารพูด
“นายรู้ได้ไง...ซ่อนกล้องวงจรปิดไว้กี่ตัวบอกมาเดี๋ยวนี้นะ”
“ตัวเดียว ตัวที่คุณเอาผ้าไปห่อไว้น่ะ”
“แล้วรู้ได้ไงว่าฉันใส่ชุดนอนอะไร”
ราชยืนพูดวิทยุ บริเวณโคนต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านนั่นเอง
“ใจเราคงจะสื่อถึงกัน...คุณถึงได้อยู่ในสายตาของผมตลอด”
อมาวสีระแวงหนัก กวาดสายตามองไปรอบๆห้อง
“นายเป็นโรคจิตหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่เคยมีประวัตินะ...แต่อาจจะอยู่ในระยะเริ่มต้นก็ได้”
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่านายแอบดูฉันจากตรงไหน”
“บอกก็ไม่สนุกน่ะสิ”
“นายสนุกคนเดียวมันไม่ยุติธรรมนะ”
ราช เดินพูดโทรศัพท์อยู่ที่เดิม
“คุณคิดว่าโลกนี้มันยุติธรรมซักแค่ไหนกัน...โอเค ดึกแล้ว นอนเถอะ...แล้วก็ รู้ไว้ด้วยว่าม่านในห้องนอนมีสองชั้น ถ้าอายก็ปิดม่านให้มิดชิดทั้งสองชั้น หรือไม่ก็ปิดไฟในห้องเลยก็ได้ ชาวไร่ที่นี่จะได้ไม่ต้องตื่นเต้นกับเงาวูบวาบๆ ของร่างคุณ”
อมาวสีมองม่านในห้อง ด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
ราชยืนอยู่ด้านล่าง มองขึ้นมายังกระจกห้องนอนอมาวสี เห็นเงาร่างของเธอปรากฏวูบวาบบนม่านนั้น
อมาวสีเปิดม่านออกมาชะโงกดูหน้าราช เห็นราชยิ้มหวานให้ อมาวสีรูดม่านปิดทันที

เวลาเดียวกัน ภากรยืนกดออดหน้าประตูห้องพักสีไพร สักพักเขาก็ทรุดตัวลงไปกองกับพื้นตรงนั้น
สีไพรเปิดประตูก้าวออกมาดู
“คุณภากร...คุณภากรคะ”
“สีไพรเหรอ”
“ค่ะ เข้ามาข้างในก่อนค่ะ”
ภากรอัดอั้นถึงขีดสุด “สีไพร ช่วยฉันด้วย...ช่วยฉันทีสีไพร”
สีไพรประคองภากรเข้าห้องมา
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ คุณภากร”
ภากรคร่ำครวญ “เขาหนีฉันไปแล้ว...หนีฉันไปหมดแล้ว”
“ใครคะ ใครหนีคุณภากรคะ”
“ทุกคน...ทุกคนทิ้งฉันไปหมด”
ภากรล้มตัวลงนอนที่เตียงของสีไพร
“คุณภากรจะแต่งงานอยู่แล้ว...ไม่ควรเมาอย่างนี้นะคะ”
“ไม่ ไม่มีแล้ว...ไม่มีงานแต่งงานอีกต่อไปแล้วสีไพร...สีไพร เธออย่าทิ้งฉันไปอีกคนนะ”

ภากรซุกตัวไปกับร่างของสีไพร ราวกับเป็นเด็กน้อย

อ่านต่อหน้า 2

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 9 (ต่อ)

อรุณรุ่ง พระอาทิตย์ดวงเดิมโผล่ขึ้นเหนือผืนฟ้ากรุงเทพมหานคร

ตอนเช้าวันนี้ที่สำนักงาน บ. กลอนกวี มีงานแถลงข่าวเลื่อนการแต่งงานระหว่าง ภากร กับ อมาวสีกับสื่อมวลชน โดยท่านกวีนั่งกลางโต๊ะ นักข่าวหลายสำนักรุมล้อมรอบๆ
“ขอบคุณทุกๆท่านที่กรุณามากันตั้งแต่เช้า...วันนี้ผมมีเรื่องที่ต้องขอพึ่งพาน้องๆ สื่อมวลชนหน่อย ก็คือเรื่องงานแต่งงานภากรลูกชายผม ซึ่งกำลังจะมีขึ้นในสี่วันข้างหน้านี้...”
คุณหญิงอำภานั่งดูข่าวทางทีวีกับนมพริ้ง อยู่ในห้องโถง ภาพและเสียงท่านกวีในจอทีวีดังออกมา
“บังเอิญคุณหญิงอำภา ภรรยาของผมเกิดล้มป่วยลงกะทันหัน ด้วยโรคประจำตัว ที่เกี่ยวกับหัวใจ ถึงจะไม่ได้มีอาการรุนแรงจนน่าเป็นห่วง แต่เราได้หารือกันในครอบครัวแล้วว่า...”
ฟากกลุ่มเพื่อนๆ อมาวสีนั่งดูข่าวในทีวีที่บ้านวัชรี
“ถ้าจะมีงานมงคลทั้งที ควรรอให้พร้อมกันทั้งหมดจะดีกว่า...คือรอจนคุณหญิงอำภาหายดีค่อยจัดการแต่งงานก็ได้ จะได้ไม่ต้องมีความกังวลใจกัน...อย่างไรก็ตาม หนุ่มสาวคู่นี้ก็ยังคงรักกันดี...”
วารินลุกขึ้นจากเตียงนอน มานั่งดูข่าวอย่างงัวเงีย
“และอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ตลอด ซึ่งดูเหมือนเด็กทั้งสองคนจะรักกันมากขึ้นด้วย...ก็ต้องขอแจ้งผ่านไปทางสื่อมวลชนทุกฉบับว่า เราขอเลื่อนกำหนดการแต่งงานออกไปก่อน”
ทางด้านนายสุดยืนซื้อก๋วยเตี๋ยวอยู่ ชายวัยกลางคนมองดูข่าวในจอทีวีของร้านค้านั้น
“ส่วนจะเลื่อนเป็นเมื่อไหร่ วันใด...เราจะแถลงข่าวให้ทราบอีกทีครับ...ขอบคุณมากครับ”

ไม่นานนัก นายสุดเดินเข้าไปในบ้าน พร้อมๆ กับที่ภากรเดินออกมาจากห้องสีไพร นายสุดเอ่ยขึ้น
“ผมรู้นะ ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้คุณต้องเมาเละเทะอย่างนี้...พ่อคุณเพิ่งแถลงข่าวใหญ่ออกทีวีเมื่อกี้นี้เอง”
“รู้แล้ว ดีใจมั้ยล่ะครับ”
“คุณจะหัวหกก้นขวิดยังไง ไม่มีผลกับผมสักนิด...คนเดียวที่ผมแคร์คือ สีไพรลูกสาวผม...ไม่ใช่คุณ”
“งั้นก็บอกสิ่งที่คุณเพิ่งรู้มา ให้สีไพรฟังสิ...เธอจะได้ดีใจ”
ภากรประชด แล้วเดินผ่านหน้านายสุดไปเฉยๆ

หลังดูข่าวจบ วารินเดินนำวัชรี นิลรัตน์และพึงใจเข้าไปในบ้านพิชิตพงษ์ ในมือของวารินมีกระเช้าเยี่ยมผู้ป่วยติดมาด้วย
วารินและสาวๆ ขยับตัวลงนั่งโซฟาภายในห้องโถงบ้านพิชิตพงษ์ โดยมี จันคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ
“เชิญนั่งก่อนนะคะ คุณหญิงกำลังจะลงมาค่ะ
“ที่จริง ถ้าลำบากท่านก็ไม่เป็นไรนะ...ฝากกระเช้าเยี่ยมท่านก็ได้” วารินว่า
“สะดวกค่ะ...ท่านบอกเองว่าท่านกำลังจะลงมา” จันว่า
“ท่านเดินเหินไหวนะ” พึงใจกังวล
“ไหวค่ะ...ท่านไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ” จันเผลอปาก
คุณหญิงอำภาเดินเข้ามาทันได้ยิน
“นังจัน...ไปหาน้ำมารับรองแขกซี่...มัวแต่คุยอยู่นั่นแหละ”
“ค่ะ”
จันเดินออกไปตามคำสั่ง คุณหญิงอำภาขยับตัวลงนั่งใกล้ๆ กัน ทุกคนยกมือไหว้สวัสดีอย่างสวยงาม วัชรีกระทุ้งวารินให้พูด
“ทราบข่าวว่าคุณหญิงป่วย พวกเราก็เลยตั้งใจมาเยี่ยมครับ...ผมเป็นพี่ชายของวัชรี เพื่อนหนูอมาวสีน่ะครับ...นี่ก็เพื่อนๆของอมาวสีทุกคน”
“อ๋อ ค่ะ...ขอบใจนะ”
วัชรีพูดแทรกเข้ามาโดยไม่มีการเกริ่นนำ
“ยายอมาส่งข่าวมารึยังคะ”
คุณหญิงอำภาตกใจเล็กน้อย ด้วยตั้งรับไม่ทัน “ห๊ะ”
“เรารู้ค่ะว่าอมาหายตัวไป คุณภากรโทร.มาถามตั้งแต่วันแรกเลย”
คุณหญิงอำภาส่ายหน้า “ไม่มีข่าวคราวใดๆ ทั้งสิ้น จดหมายขู่เรียกค่าไถ่ ก็ไม่มี”
นิลรัตน์ติดค้างในใจ “ทำไมเราไม่ลงข่าวเลยล่ะคะ จะได้มีคนช่วยกันตามหา”
“คุณกวีท่านไม่ต้องการให้เป็นข่าว”
พึงใจพูดเป็นเชิงถาม “กลัวขายหน้าเหรอคะ”
วัชรีเสริม “มัวแต่กลัวขายหน้า...ถ้าโดนฉุดไป ป่านนี้ไม่โดนข่มขืนปางตายไปแล้วเหรอคะ”
วารินปราม “วัชรี”
ภากรเดินหน้ายุ่งเข้ามาในนี้ วัชรีหันไปเห็น จึงทักทาย
“สวัสดีค่ะคุณภากร คุณว่าที่เจ้าบ่าว”
“ได้ข่าวอ้อบ้างมั้ย”
ทุกคนส่ายหน้า
พึงใจบอกว่า “เราถึงได้มาถามนี่ไงคะ”
“คุณภากรตามหาอมาจนดึกเลยเหรอคะ มีกลิ่นเหล้ามาด้วย” วัชรีเหน็บแนม
วารินปรามน้องอีก “วัชรี”
ภากรเดินเลี่ยงหนีไป วารินเอ่ยขึ้น
“เอ้อ ผมลากลับเลยนะครับ...สวัสดีครับ”

ทุกคนสวัสดีแล้วจึงลุกเดินออกไป

ในเวลาต่อมา วารินขับรถแล่นาตามถนน ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ต่างจากสาวๆ ทั้งสามดูมีแววร่าเริง มีความสุข

“พี่วารินน่ะ รีบกลับทำไมก็ไม่รู้ กำลังสนุกเลย”
“สนุกกับการพูดจาเสียดสีเขาเนี่ยนะ”
“ก็มันน่าเสียดสีไหมล่ะ”
นิลรัตน์พยักพเยิด “ใช่...ทำมาเป็นแกล้งป่วย ไม่เข้าท่า”
พึงใจเสริม “ฉันกำลังจะบอกยายคุณหญิงเชียวว่า คนป่วยเขาไม่แต่งหน้ากันนะค้า...ขนตาเนี่ย ง้อนงอน...ไม่เนียนเลยค่า...”
ทั้งสามสาวหัวเราะล้อเลียนอย่างสนุก วารินหน่าย
“มัวแต่สนุกปากกันอย่างนี้ ไม่มีใครห่วงอมาวสีเลยใช่มั้ย”
ทุกคนเห็นด้วย “เออ จริง...เป็นห่วงสิ เป็นห่วง ๆ ๆ”

ส่วนที่สำนักงานท่านกวีเวลานี้ ท่านกวีรับโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานของเขา
“ฮัลโหล...ว่าไง...มีอะไร”
ภากรยืนพูดโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่งในบ้าน
“อยากถามว่า พ่อจะเลื่อนงานแต่งงานไปอีกนานแค่ไหน...ผมอายผู้คน ใครๆ เขามองผมเป็นตัวตลก”
“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง ถ้าไม่เลื่อนแล้วแกจะแต่งกับผีที่ไหน มีเจ้าสาวอยู่ให้แกสวมแหวนซักคนมั้ย ไอ้ภากร”
เสียงภากรฮึดฮัดใส่ “พ่อก็ตามหาตัวน้องอ้อให้เร็วที่สุดซี่”
“ก็ตามอยู่...ทุกคนตามหาจนจะพลิกแผ่นดินอยู่แล้ว แต่เราต้องปิดข่าวเข้าใจมั้ย...ฉันก็ไม่ได้อายผู้อายคนน้อยกว่าแกหรอกนะ ไอ้ภากร”

ที่ไร่แสนสุข ชาวไร่แต่ละคนทำหน้าที่ของเขาและเธออย่างขันแข็ง ขณะรถของราชแล่นเข้ามาจอดใกล้ๆกับป่วนและป๊อด
“นายหญิงเป็นไงบ้าง”
“ยังไม่ตื่นเลยครับ นังแอ้มมันว่า ท่าทางเหมือนจะอ่อนเพลีย” ป่วนบอก
“เอ...เมื่อคืน นายแอบย่องไปส่งตัวกันเอง ตอนดึกๆหรือเปล่าครับ นายหญิงถึงได้หลับเป็นตายขนาดนี้” ไอ้ป๊อดปากดี
ราชหัวเราะเบาๆ “บอกป้าเอิบว่า เดี๋ยวฉันยกอาหารไปให้เขาเอง”

ราช ใช้คีย์การ์ดเปิดประตูห้องนอนอมาวสี เขายกอาหารเดินเข้ามาในห้อง อมาวสียังไม่ตื่น
ราชวางถาดอาหารแล้วจึงค่อยๆก้มหน้าไปดูใกล้ๆ
อมาวสีลืมตาตื่น ตกใจ เธอคว้ามีดจากถาดอาหารมาเงื้อสูง และร้องลั่น
ราชจับมือที่ถือมีดนั้นไว้
“แกจะทำอะไรฉัน”
“เมื่อก่อนเรียกผมว่าคุณ สักพักเรียกว่านาย ตอนนี้ชักจะเรียกว่า แก บ่อยแล้วนะครับ”
อมาวสีฉันไม่เรียกนายว่า ไอ้ ก็บุญแล้ว
“ลองเรียกว่า พี่ บ้างสิครับ...พี่ราช เหมือนที่คุณเรียกพี่ภาคย์น่ะ”
อมาวสีเยาะ “อยากจะเป็นพี่ภาคย์แล้วเหรอ”
“ผมไม่ได้อยากจะเป็น...คุณต่างหากที่อยากให้ผมเป็น”
“เพราะว่า นาย เป็น น่ะสิ...นายคือภาคย์ พิชิตพงษ์ ลูกชายของคุณหญิงอำภา พิชิตพงษ์...อย่าปฏิเสธ”
“เรียกพี่ภาคย์สิครับ...เรียก พี่ ด้วยเสียงหวานๆ เหมือนที่คุณเคยเรียก ผมอาจจะเปลี่ยนใจยอมเป็นพี่ภาคย์ของคุณก็ได้”
“สายไปแล้ว...เป็นตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว”
“เพราะ...?”
“เพราะฉันไม่เหลือความรู้สึกดีๆให้กับนายภาคย์ คนใจร้ายคนนี้อีกต่อไป”
อมาวสีผลักร่างของราชออกไป แล้วจึงลุกขึ้นจากเตียง
“งั้น ให้ผมสร้างความรู้สึกดีๆให้ใหม่ เอามั้ย”
“นายจะทำอะไรฉัน”
“ความรู้สึกดีๆไง...รู้มั้ย ว่าความรู้สึกดีๆเกิดจากอะไรได้บ้าง...มันอาจจะเกิดจากสัมผัส”
ราชกระเถิบตัวเข้าใกล้อมาวสีอีกครั้ง อมาวสีค่อยๆถอยหนี ราชเอื้อมมือจับแขนอมาวสี และลูบไล้ลงไปจนถึงมือ อมาวสีรีบสะบัดมือออก
“หรือเกิดจากความใกล้ชิด”
ราชดึงรั้งร่างอมาวสีเข้ามาเบียดชิดตน...อมาวสีผลักราชออกไปอีก
“หรือเกิดจากสายตาที่จ้องมองกันและกัน”
อมาวสี หลับตาปี๋
“หรือไม่ ก็เกิดจากบทรักอันเร่าร้อน ถึงใจ”
ราชก้มหน้าลงไปใกล้ คล้ายจะจูบที่ปากของเธอ อมาวสีเงื้อมือตบหน้าราชอย่างแรง
“โดยเฉพาะจูบที่เกิดขึ้นหลังการตบ มันจะตราตรึงเป็นพิเศษ”
ราชดึงร่างอมาวสีเข้ามาหาตน เขาก้มหน้าลงไป ด้วยท่วงท่าของการจูบบดขยี้อย่างรุนแรง อมาวสียืนนิ่งตัวสั่น
ทว่าปากของคนทั้งคู่ ไม่ได้สัมผัสกันแต่อย่างใด เพียงแต่นิ่ง เกร็ง ในระยะที่ใกล้กันมากเท่านั้น
ทั้งคู่จ้องตากันไม่กะพริบ
ป้าเอิบ และแอ้ม ถือผลไม้เข้ามาในจังหวะนี้พอดี ทั้งสองถึงกับสะดุ้ง ตาลุกวาว
“อุ๊ย...”
ราชพูดกับอมาวสียังไม่ผละออกจากกัน
“ผมจะให้เวลาคุณแปรงฟันก่อน แล้วเราค่อยมาเริ่มกันใหม่ดีมั้ย”
อมาวสีผลักร่างราชให้ห่างออกไป
“กินข้าวซะ...เดี๋ยวผมว่างแล้วจะมาคุยด้วย...แอ้ม บอกไอ้แปลก เฝ้าไว้ให้ดี...ถ้าหนีก็ยิงได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
อมาวสีรู้ว่าเขาแกล้งขู่ จึงค้อนขวับใส่ราช เต็มๆ ก่อนเขาจะเดินออกไป

ทันทีทันใดนั้นเอง ในโรงครัวมีข่าวชิ้นใหญ่มารายงาน โดยผู้สื่อข่าวนามว่า นังแอ้ม
“แกเอ๊ย นายผู้ชายก้มลงไปจูบนายหญิง จนแน่นิ่งไปเลยทั้งคู่”
“แน่นิ่งก็ตายน่ะสิอีแอ้ม” ป๊อดท้วง
“ไม่ใช่...แน่นิ่งคือเคลิบเคลิ้ม...ได้อารมณ์” แอ้มบอก
ป้าเอิบแย้ง “แต่ฉันว่า ปากมันห่างๆกันชอบกลนะ”
ป๊อดงง “ยังไง”
“เหมือนว่าปากจะไม่โดนกันนะ”
“โธ่ ป้าจะรู้อะไร...เวลามีอารมณ์นะปากมันจะยื่นเข้าไปหากันเอง...ลองมั้ย” แอ้มบอก
“ลองกับใคร”
“กับน้าป่วนไง” แอ้มบอกอีก
“ถามข้าบ้าง...ถามข้าซักคำ...ไป ไปไร่ได้แล้ว...เร้ว”

ป่วนบอกเซ็งๆ

ทางด้านสายบัวยืนเกาะลูกกรงห้องขังโรงพักอยู่ หล่อนยื่นหน้าชะเง้อดูหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะร้อยเวร เห็นเป็นหน้าข่าวสังคม ซุบซิบ และข่าวการเลื่อนงานแต่งงานของลูกชายท่านกวีปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์นั้น

ส่วนจอนนั่งซึมๆ นิ่งๆ อยู่ในห้องขังข้างๆ กัน ไอ้อ้อน ไอ้เผือก ไอ้เหิม นอนรวมอยู่ในนั้นด้วย
“ดาบคร้าบ...ดาบจ๋า...เมื่อไหร่จะปล่อยเราไปซะที” เผือกร้องโวยวายขึ้น
“ยังไม่อยากปล่อย” นายดาบบอก
เหิมโวยต่อ “อ้าวได้ไง...นี่เกินสองวันแล้วนะคร้าบ หมดอำนาจกักขังตั้งนานแล้ว พี่ต้องปล่อยซี่ ความผิดแค่เล่นไพ่แค่นี้เองเอง”
“ใครบอก”
“นี่ไง หนังสือเล่มนี้บอก” อ้อนชูหนังสือให้ดู “กฎหมายน่ารู้ วางอยู่ตรงนั้น ผมหยิบมาอ่านตรงนี้ เป๊ะเลย...พวกเราอ่านหนังสือออกนะคร้าบ ดาบ”
“ใครบอกว่าแค่เล่นไพ่...ทั้งกัญชา กระท่อม กาว ยาบ้าอีกสองเม็ด...เปิดไปดูหน้าต่อไปเลยน้อง”
สายบัวส่งเสียงหัวเราะดังลั่นเข้ามาในห้องขัง ในมือมีหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น
“ฮ่ะฮ่ะฮ่า”
เผือกงงปนหมั่นไส้ “หัวเราะอะไร อีสายบัว”
“เขารักฉัน...พี่จอน เห็นรึยังว่า เขาหลงรักฉัน” สายบัวหันไปหาจอน
จอนฉงน “ใคร”
สายบัวบอก “คุณภากรไง... คุณภากรหลงรักจูดี้ จนยกเลิกงานแต่งงาน...นี่ ลงข่าวเลยนะ”
อ้อนเอื้อมมือคว้าหนังสือพิมพ์มาเปิดดู จอนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
“ในข่าวมีชื่อจูดี้รึเปล่า” อ้อนถาม
“ใครเขาจะกล้าบอกความจริงกับนักข่าวล่ะ” สายบัวว่า หน้าระรื่น
“พี่จอน...ฉันว่าเมียพี่น่ะแหละ หลงรักลูกรัฐมนตรีเข้าให้แล้ว” เหิมบอก
สายบัวด่าแบบกลัวเซ็นเซ่อ “ไอ้...”
จอนยิ้มกริ่ม พอใจกับสิ่งที่ตัวเองคิดขึ้นมาได้
“โชคน่าจะเข้าข้างเราแล้วหละ...”
ขาดคำจอนขยับมาเกาะลูกกรงตะโกนลั่น
“ดาบคร้าบ...ขอกระดาษ ปากกาหน่อยดี้ ดาบ”
อ้อนถามงงๆ “พี่จะวาดรูปเล่นเหรอ”
“กูจะให้สายบัวเขียนจดหมายเว้ย...จดหมายรัก” จอนบอกอย่างภาคภูมิ

เวลาเดียวกันนั้น อมาวสีนั่งนิ่งๆ อยู่คนเดียวกลางห้องคุมขัง เธอจ้องมองวิทยุสื่อสาร ที่วางอยู่บนโต๊ะ สักพัก อมาวสีก็ตัดสินใจกระทำบางอย่าง

หน้าอาคารบ้านไร่แสนสุข เสียงอมาวสีดังผ่านวิทยุสื่อสารเข้ามาในบริเวณนี้
“ฮัลโหล หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า...โปรดทราบ...เสียงที่ท่านได้ยินอยู่นี้ คือเสียงสั่งลาของสุภาพสตรีที่น่าสงสาร สาวสวยที่มีอาการทางประสาท...”
เสียงนั้นดังตามสายมาถึงโรงครัว ป้าเอิบฟังเสียงที่ดังออกมาจากวิทยุสื่อสาร อย่างตระหนก ตกใจ
“สติ สตัง เธอก็ไม่ค่อยจะดี...แต่กลับถูกกักขังอยู่บนยอดตึกสูง บนหน้าผาที่วังเวงไร้ผู้คน...”
ป่วน ป๊อด และแอ้ม ที่อยู่กลางไร่ ทั้งสามคนเงยหน้าขึ้นมาจากกิจกรรมที่ทำอยู่ ทั้งหมู่ต่างตกใจ
“ณ บัดนี้ เธอได้ตัดสินใจแล้ว...เธอไม่อาจทนอุดอู้อยู่ในห้องแคบๆที่ไม่มีชีวิตชีวา นี้อีกต่อไป เธอจึงตัดสินใจ ขอลาตายซะตอนนี้เลย...”
ป่วนอุทาน “ฉิบหายแล้ว...”
มีไอ้แปลกคนเดียวที่นั่งยิ้มอยู่ข้างบันไดบ้าน มันจึงไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
“ลาก่อน..อีบ้าคนนี้ขอลาตาย...หมดเวรหมดกรรมกันเสียที”

อมาวสี ที่ตอนนี้จัดการยีหัวตัวเองให้ผมยุ่งเหยิง เธอลอบมองผ่านม่านหน้าต่างว่าจะมีใครมาดูอาการของเธอบ้างไหม เมื่อพบว่ายังไม่มีผู้ใดโผล่มา เธอจึงกดวิทยุพูดต่อในบทคนบ้า
“เพราะเมื่อชีวิตไร้ซึ่งอิสรภาพ ก็เปรียบเสมือนร่างกายที่ไร้วิญญาณ ป่วยการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ...คนอย่างเธออยู่ไปก็ไม่มีใครรัก มีแต่คนกักขังหน่วงเหนี่ยว...ตายดีกว่า”
อมาวสีแง้มผ้าม่านดูสถานการณ์อีกครั้ง
พบว่าไกลออกไป...เห็นหมู่คนงานกรูกันเข้ามายังบ้านกลางไร่หลังนี้ อมาวสีคว้าข้าวของในห้องนอนวิ่งออกไปยังระเบียง เธอโยนข้างของเหล่านั้นลงไป พร้อมกับตะโกนผ่านวิทยุ อย่างบ้าคลั่ง ราวกับเป็นคนไข้โรคจิตจริงๆ
“แกมันสมควรตาย...ตายซะได้ก็ดี...ตายซะตอนนี้แหละ ดีแล้ว...เกิดชาติหน้าขอเป็นคนสติดี ไม่ต้องมีใครมาคอยกักขังกันอีก...”

หมู่มวลชาวไร่มากมายวางงานในมือ ก้าวเข้ามาหน้าบ้าน ทุกคนต่างส่งเสียงร้องกันจ้าละหวั่น
“อย่าครับนายหญิง”
“อย่าทำอย่างนั้น”
“อย่าค่ะ...อย่าเพิ่งคิดสั้นค่ะ”
ป่วนหยิบโทรศัพท์บ้านเครื่องเก่าขึ้นมาจากใต้โต๊ะในเรือนพักคนงาน กดหมายเลขมือถือของราช
“ฮัลโหล นายครับเกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ...นายหญิงจะฆ่าตัวตายครับ...นาย ฟังสิครับ”
ป่วนยื่นโทรศัพท์เข้าไปจ่อตรงวิทยุสื่อสาร เสียงอมาวสีดังสนั่นออกมาจากวิทยุ

“อย่าขึ้นมานะ...อย่าเข้ามา...ฉันจะฆ่าตัวตาย...”

บนระเบียงห้องตอนนี้ อมาวสียังกดวิทยุตะโกน พร้อมกับโยนข้าวของลงไปข้างล่าง อย่างสมบทบาท

“ถ้าไม่อยากให้ฉันกระโดดลงไป...พวกแกต้องมาเปิดประตู พาฉันออกไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้เลย...ไม่งั้นฉันจะกระโดดละนะ”
หมู่มวลชาวไร่ส่งเสียงร้องดังลั่น “อย่าค่ะ” /“อย่าครับ”
อมาวสีร้องอาละวาด “อ๊ากก...หนีไป ออกไปให้หมด ฉันจะโดด ฉันจะฆ่าตัวตาย”
ถึงตอนนี้ป่วน ดึงโทรศัพท์กลับมาพูด “นายได้ยินรึยังครับ”
ราช ขับรถไปตามทางในป่ารกชัฏ พร้อมกับพูดโทรศัพท์มือถือ
“หาเชือกมัดตัวนายหญิง และพามาเจอฉันที่ลำธาร...เดี๋ยวฉันจัดการเองรับรอง เขาไม่โดดหรอก...เชื่อฉันสิ”

อมาวสีหยิบของโยนลงไปจนหมด แล้วรีบเดินกลับเข้ามาในห้อง แต่แล้วถึงกับชะงัก เมื่อเห็นแปลกเดินหน้าดุดันนำเข้ามา ตามมาด้วยป่วน และชาวไร่ชายคนอื่นๆ 2-3 คน
“แกเข้ามาทำไม...แกจะทำอะไรฉัน...น้าป่วน”
ป่วนเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “นายหญิง ใจเย็นๆ อย่าวู่วามนะครับ”
“ไม่วู่วามก็ได้ แล้วแกจะทำอะไร...จะปล่อยฉันไปรึเปล่า”
ในฉับพลันทันใดนั้นเอง ไอ้แปลกใช้ถุงดำใบใหญ่ครอบลงไปบนตัวอมาวสีทันที

ไม่นานต่อมาถุงดำใบนั้นถูกดึงออกจากหัวอมาวสี เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ พบว่าตัวเองถูกเชือกมัด พัน รอบตัว ร่างของเธอนั่งแปะลงไปบนพื้นหญ้า รอบๆ ตัวเป็นต้นไม้ใหญ่ มีรากเถาวัลย์เลื้อยพันไปพันมา ไม่ไกลกันนั้นเป็นแนวลำธารร่มรื่น น้ำในธารนั้นไหลมาจากน้ำตกใหญ่ด้านบนเนินเขา ราชก้าวเข้ามาเบื้องหน้าอมาวสี มองอย่างรู้ทัน
“หายบ้ารึยัง”
“ฉันไม่ได้บ้า...นายนั่นแหละเป็นคนหาว่าฉันบ้า”
“ก็เลยถือโอกาสเล่นบทคนบ้าซะเลย”
“นายชอบจับคนมัด เอาผ้าครอบหัว แล้วลากไปไหนมาไหนอย่างนี้เหรอ” อมาวสี โมโหมาก
“เฉพาะบางคนที่ผมอยากทำ”
ราชจับปลายเชือกที่ห้อยทิ้งไว้ยาวจากการมัดตัว เขา ดึง ลาก ฉุด อมาวสีให้ลุกขึ้น แล้วเดินตรงลงไปยังลำธาร ร่างแบบบางของอมาวรีถลาไปตามแรงฉุด
“กับคุณชิดชไม นายทำอย่างนี้หรือเปล่า”
“ทำคนละแบบ...อยากรู้มั้ยว่าผมทำแบบไหน”
“ฉันเดาเองได้ไม่ยาก...ขนาดแวะมานอนที่บ้านได้...ก็ต้องคนละแบบกับที่นายทำกับฉันอยู่แล้ว”
ราชหยัน “เดาเก่งนี่”
“นายจะลากฉันไปไหนน่ะ”
“บำบัดอาการทางจิต”
ขาดคำราชเหวี่ยงร่างของอมาลงไปในลำธารน้ำเสียงดังตูม
อมาวสีพรวดขึ้นมา “นึกว่าฉันจะกลัวเหรอ”
ราชกดร่างของอมาวสีให้นั่งลงไปกลางธารน้ำนั้น เขามัดร่างของอมาวสีกับขอนไม้ใหญ่ที่หักขวางอยู่กลางลำธาร
“ก็แค่ให้ความเย็นของน้ำลดอาการคุ้มคลั่งของคุณบ้าง”
“นายน่ะแหละที่คุ้มคลั่งกว่าฉันเยอะ”
“อยากให้ผมนั่งแช่น้ำข้างๆคุณด้วยเหรอ...เสียใจ ผมไม่ชอบปลิง ไม่ชอบทาก”
ราชก้าวยาวๆ เดินขึ้นจากลำธาร
อมาวสีตาเหลือก “อะไรนะ...นายว่าไงนะ”
“น้ำเย็นช่วยให้คุณผ่อนคลาย...ปลิงกับทากจะช่วยกระตุ้นให้เลือดลมเดินดี และโลดโผนเร้าใจ”
สีหน้าอมาวสี เริ่มมีอาการไม่ค่อยจะสู้ดี
“ในนี้มีปลิง?”
ราชต่ออีกคำให้ว่า “และทาก...รู้จักมั้ย ตัวดำๆ พอมาเกาะดูดเลือดเรา ตัวจะบวมเป่ง”
จู่ๆ อมาวสีก็ดิ้นพล่าน พยายามจะสลัดร่างให้หลุดจากพันธนาการ
“แกเห็นฉันเป็นอะไร...แกทำกับฉันอย่างนี้ทำไม...ทำได้ไง ไอ้คนใจร้าย...”
“หายบ้าเมื่อไหร่ ผมถึงจะปล่อย”
“ฉันไม่ได้บ้า แกน่ะแหละบ้า...ไอ้บ้า...ไอ้คนใจต่ำช้า ทารุณได้แม้กระทั่งผู้หญิง”
“คุณต้องเลือกชะตากรรมของคุณเอง ถ้ายังดิ้น ยังดื้อ อย่างนี้ ก็แช่น้ำไปถ้ายอมฟัง ยอมพูดจากันดีๆ อย่างมีสติและเข้าใจกัน เราก็สามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้”
“ใครอยู่ใกล้ แก คงมีความสุขหรอก...ไม่รู้ว่ายายวัชรี หลงรักคนอย่างแกเข้าไปได้ยังไง”
ราชเอนหลังพิงต้นไม้อย่างสบายอกสบายใจเฉิบ ขณะที่อมาวสีอ้าปากตะโกนสุดเสียง
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...”

เสียงร้องของอมาวสีดังกังวานเข้ามาถึงในครัว จนทุกคนต้องชะงัก
“แกได้ยินอะไรมั้ย” แอ้มถาม
“อะไรล่ะ” ป๊อดถามกลับ
“เสียง...เหมือนเสียงนายหญิง ร้องว่า ช่วยด้วย...”
“เป็นอะไรไปอีกแล้วล่ะ” ป๊อดสงสัย
ป่วนบอก “นายหญิงอยู่กับนาย ไม่เป็นอะไรหรอก”
“เวรกรรม สงสารนายจังเลย...ไม่รู้นายผู้หญิงจะแกล้งนายไปถึงไหน”
ป้าเอิบว่าขณะนึกถึงหน้าหล่อๆ ของราช

ราช เขาเอนหลัง นั่งหลับอยู่ริมลำธารที่เดิม โดยมีอมาวสีพยายามดิ้นพล่าน ใช้เท้าตะกุยน้ำจนกระเด็นไปทั่ว
“เมื่อไหร่จะปล่อยฉันซะที...ฉันเหนื่อยแล้วนะ”
“เหนื่อยก็อยู่นิ่งๆซี่...ผมง่วง...ขอหลับซักงีบนึง”
“อื๋ยยยย...แกจะปล่อยให้ทากดูดเลือดฉันจนหมดตัวเหรอ”
“ทั้งปลิงทั้งทากเตลิดเปิดเปิงเพราะเสียงแหลมๆ ของคุณ ไปจนหมดป่าแล้ว”
“จริงเหรอ?...มันกลัวคลื่นเสียงแหลมๆใช่มั้ย”
เมื่อรู้ดังนี้ อมาวสีจึงเปล่งเสียงแหลมสุดชีวิต “อ๊าย....”
ราชลุกขึ้นนั่งทันที่ “เฮ้ย...มันไม่ได้กลัว มันรำคาญ”
“ถ้านายรำคาญ ก็ปล่อยฉันไปซะทีสิ...ถ้าไม่เห็นแก่ฉันก็เห็นแก่วัชรี นิลรัตน์ พึงใจบ้าง...ป่านนี้พวกเขาเป็นห่วงฉันแย่แล้ว”
“รวมทั้งนายวารินด้วย...”
“ใช่...ถ้านายเป็นเพื่อนพี่วาริน นายก็ต้องสงสารเขา...หรือว่าทั้งหมดนี้เป็นการวางแผนร่วมกัน ระหว่างนายกับพี่วาริน”
ราชหัวเราะเบาๆ มาดกำลังหล่อ
“คุณนี่คุยเก่งกว่าอยู่กรุงเทพฯเยอะเลยรู้มั้ย”
“นายชอบแบบไหนล่ะ”
ราชงง “หึ๊”
“อยากให้ฉันหุบปาก หรืออยากให้ฉันคุย...จะให้ฉันทำยังไงก็ได้ ขอแค่ให้ฉันขึ้นจากน้ำนี่เถอะ...ฉันรู้สึกว่าน้ำ มันสูงขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ”
“อือม...น้ำกำลังขึ้น”
“ลำธารที่นี่ มีน้ำขึ้นน้ำลงด้วยเหรอ”
“ไม่ใช่น้ำขึ้นน้ำลงหรอก มันเป็นน้ำป่าหลากน่ะ...มันจะมาเร็วมาก บางทีท่วมหัวเลยนะ...แล้วปลิงสายพันธ์ใหม่ เป็นปลิงต่างถิ่น ก็จะมาพร้อมกับน้ำป่า”
อมาวสีขนลุก ออกอาการขยะแขยง
“ได้โปรดเถอะ นายปล่อยฉันได้มั้ย ฉันสัญญาว่า จะไม่หนี จะไม่ทำลายข้าวของอีกแล้ว”
“แน่นะ”
“แน่สิ จะให้ฉันสัญญาอย่างอื่นอีกด้วยก็ได้ จะเอาอะไรอีกก็บอกมา”
“สัญญาว่าจะไม่ตบหน้าผม”
“อื่อฮื้อ”
“ถ้าผิดสัญญาล่ะ จะให้ผมลงโทษยังไง”
อมาวสีรับส่งๆ “อยากทำยังไงก็ทำเถอะ...ปล่อยฉันขึ้นไป เร็วเข้า”
“จริงนะ”
“ก็บอกว่า จริง...จริง...จริง”
ราชยิ้ม “ผมจูบนะ”
อมาวสีบอก “โอเค”
“จูบปากเลยนะ”
“เอ้อ...เอาแค่เฉียดๆได้มั้ย” อมาวสีต่อรอง
“ฮ่ะฮ่ะฮ่า...พูดง่ายอย่างนี้ ค่อยน่าปล่อยหน่อย”

ราชก้าวลงไปในน้ำ แกะเชือกปล่อยอมาวสี

อ่านต่อหน้า 3

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 9 (ต่อ)

อมวสีรีบเดินขึ้นตลิ่ง...ราชจูงเชือกเดินตาม อมาวสีมองดูโคลนที่ติดเท้ามาแล้วสะดุ้งร้องลั่น พุ่งเข้าไปกอดรัดราชจนแน่น

“ปลิง...ปลิงเกาะ ช่วยด้วย...แกะออกไปที แกะทีสิ”
ราชดึงเจ้าสิ่งนั้นออกมา แล้วยื่นให้อมาวสีดู
“เปลือกไม้เน่าน่ะ...ไม่ใช่ปลิง”
“ฉันไม่รู้นี่” อมาวสี สะบัดหน้าขยับตัวหนีด้วยความอาย
ราชกดวิทยุพูดกับป่วน
“น้าป่วน...เอารถมารับผมตรงลำธารที...อือม นายหญิงสงบลงแล้ว...เอาผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ ติดมาด้วยล่ะ”
อมาวสีตัดสินใจเอ่ยปากถามราช
“ขอถามอีกทีนะ ฉันอยากรู้จริงๆ...ทำไมนายต้องบอกใครๆว่าฉันเป็นเมียนาย...เป็นญาติ เป็นน้องก็ได้นี่”
“ผมไม่อยากได้น้องเขยเป็นชาวไร่กลัดมัน แถวนี้มีเยอะด้วย...จะเสี่ยงมั้ยล่ะ”
อมาวสีเก็ตทันที

เหตุการณ์ที่บ้านพิชิตพงษ์เวลานี้ ท่านกวีรินไวน์ใส่แก้ว แล้วเดินมานั่งที่โต๊ะอาหารมื้อค่ำ คุณหญิงอำภานั่งอยู่ไม่ไกลกันนัก
ท่านกวีดื่มไวน์ สีหน้าเคร่งเครียด
“ฉันคุยกับคุณได้มั้ยคะ”
“ทำไมจะไม่ได้ คุณเป็นเมียผม”
“ฉันเห็นคุณเครียด เผื่อว่าอยากจะนั่งเงียบๆ”
“ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก...ว่าไง”
“ฉันอยากรู้ว่า ฉันต้องเป็นคนป่วยอีกนานมั้ยคะ”
ท่านกวีมองหน้าภริยา ตอบกลับด้วยคำถาม
“ปัญหาคือ...”
“เวลาใครโทร.มาถาม หรือแวะมาเยี่ยม ฉันจะได้ตอบคำถามเขาถูก...รวมทั้งงานสมาคม มีทั้งต้องบอกยกเลิก และให้คิวใหม่ล่วงหน้า”
ท่านกวีถอนหายใจแรง และเอ่ยปากพูดเหมือนตัดรำคาญ
“คุณไปพักผ่อนเมืองนอกเลยดีมั้ย...จะได้ไม่ต้องตอบคำถามเหล่านี้”
“แปลว่า ฉันต้องป่วยอีกนาน”
เสียงของท่านกวีดังขึ้น อารมณ์แรงขึ้น
“นานหรือไม่นานผมไม่รู้ เจอตัวยายอ้อเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น...คุณรู้มั้ยว่าผมก็เครียดไม่แพ้กัน ไปที่พรรคทุกคนก็พูดแต่เรื่องนี้...ลงพื้นที่ ชาวบ้านก็พากันถามถึง ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน”
“เป็นเพราะเราไม่ยอมพูดความจริง”
“ความจริงเหรอ ความจริงแค่ไหนล่ะที่เรารับได้...ถ้าความจริงคือยายอ้อมันหนีไปเพราะไม่อยากแต่งงานกับลูกชายฉัน คุณจะว่ายังไง...แล้วความจริงที่นักการเมืองอย่างฉันไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกให้ได้ดีล่ะ ความจริงแบบนี้ คุณรับได้มั้ย...ผมรับไม่ได้”
ภากรเดินลงบันไดมา แต่งตัวในชุดเตรียมออกไปนอกบ้าน ท่านกวีมองตาขวาง
“จะไปไหน”
“ไปข้างนอก”
“รู้แล้วว่าข้างนอก แต่มันนอกแค่ไหน”
ภากรหยุดเดิน หันมาพูดใส่หน้าพ่อ
“พ่อขีดเส้นมาสิครับว่าผมไปได้ไกลแค่ไหน”
ถูกลูกชายเจ้าสาวหนียอกย้อน ท่านกวีถอนใจ เหนื่อยหน่าย
“เอาละ จะไปไหนก็ไป...แต่พรุ่งนี้แกต้องเข้าออฟฟิศ ฉันสั่งให้คุณหว่องเขารับพนักงานที่มีคุณภาพเข้ามาทำงานแล้ว...แต่แกต้องเข้าไปดูแลรับผิดชอบด้วย คุณหว่องเขาจะเป็นที่ปรึกษาให้แกเอง ทำได้มั้ย”
“ถ้าพ่อคิดว่าผมทำได้ ผมก็คงทำได้ละครับ”

ฟังคำพูดเสียดสีของผู้เป็นลูก สองผัวเมียเหลียวมามองหน้ากัน ดูออกว่าเหนื่อยใจเอาการ

ทางด้านอมาวสีเพิ่งอาบน้ำ ล้างเนื้อล้างตัวเสร็จ กำลังเช็ดหัวตัวเองที่เปียกหลังสระผม เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับประตูเปิดออก ก่อนจะเห็นเป็นแอ้มเดินเข้ามาในห้อง

“ทีหลังไม่ต้องเคาะประตูก็ได้นะ เพราะทุกคนเปิดประตูห้องนี้เข้ามาได้เองอยู่แล้ว”
“ไม่ได้ค่ะ นายสั่งไว้ว่า เราต้องมีมารยาท”
แอ้มยื่นสมุดบันทึกพร้อมปากกาให้อมาวสี
“นายให้เอามาให้”
อมาวสีรับสมุดบันทึกมาเปิดดู เห็นลายมือราช เขียนข้อความว่า
"เผื่ออยากจะเขียนเล่น แก้เหงา"
“แอ้ม...ดูตรงนี้ให้หน่อยสิ นี่ใช่รอยปลิงกัดรึเปล่า”
อมาวสีชี้ให้แอ้มดูรอยจ้ำเล็กๆที่น่องของเธอ
“นายเธอจับฉันแช่น้ำอยู่ตั้งนาน”
แอ้มหัวเราะลั่น “นายหญิงโดนนายหลอกแล้วละ”
อมาวสีแปลกใจ “หลอก”
“ปลิง ทาก มันอยู่ตามหนองน้ำนิ่งๆ...น้ำไหลแรงอย่างนั้น ไม่มีปลิงไม่มีทากหรอกจ้ะ”
อมาวสี โกรธแค้นขึ้นมาทันที ป๊อดเดินเข้ามาสมทบ
“นายบอกว่า ถ้าอาบน้ำเสร็จแล้ว ขอเชิญข้างล่าง”
“นี่ฉันเดินออกไปข้างนอกได้แล้วเหรอ”
“แต่งตัวสวยๆ ก่อนนะครับ” ป๊อดว่า
“ต้องสวยด้วย?”
“เป็นคำสั่งนาย” ป๊อดบอก

โต๊ะอาหารหรู ตั้งเด่นอยู่บนระเบียงสวย มันถูกประดับประดา ราวกับเป็นร้านอาหารในโรงแรมระดับห้าดาว ราชนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่นั่น เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น เขาถึงกับตะลึงในความงามที่อยู่เบื้องหน้า
ไอ้แปลกเดินนำอมาวสีมาที่โต๊ะ เธออยู่ในชุดสวยสมใจ ราช รัชภูมิ ทั้งสองสบตากันนิ่งสักพัก
“ผมต้องลุกไปเลื่อนเก้าอี้ให้คุณนั่งด้วยมั้ย”
“ไม่ต้อง...ฉันทำเองได้”
อมาวสีขยับเก้าอี้นั่ง ราชพยักหน้าให้ ไอ้แปลกเดินออกไป
“อยู่ที่นี่คุณดูเหมือนเจ้าพ่อมากๆ เลยนะ” อมาวสีเปิดปากเหน็บ
“เจ้าพ่อ”
“ใช่ เหมือนพวกมาเฟีย...หัวหน้าแก๊ง...หัวหน้าผู้ก่อการร้ายอะไรอย่างเนี้ย”
“เหรอ”
“พวกนี้มักมีจุดจบด้วยการถูกยิงตาย”
“กรณีของผมนี่ หนักหนาขนาดนั้นเชียวเหรอ”
“ลักพาตัวหลานรัฐมนตรี คิดว่าเบาเหรอ...ป่านนี้หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ลงข่าวกันเกรียวกราวแล้วหละ”
“โชคดี ที่ ที่นี่ไม่มีโทรทัศน์”
“ไม่งั้นทุกคนที่นี่ก็จะได้รู้ความจริง”
“แต่เราก็สามารถดูจากทางนี้ได้”
ราชยื่นโทรศัพท์มือถือให้อมาวสีดู เขาเปิดคลิปภาพการแถลงข่าวของท่านกวีให้ดู
“ผมเซฟมาจากในยูทูป เป็นการแถลงข่าวของท่านกวี อาของคุณ”
หน้าจอโทรศัพท์ เห็นเป็นภาพท่านกวีกำลังแถลงข่าวอยู่
“บังเอิญคุณหญิงอำภา ภรรยาของผมเกิดล้มป่วยลงกะทันหัน ด้วยโรคประจำตัว ที่เกี่ยวกับหัวใจ...เราได้หารือกันในครอบครัวแล้วว่ารอจนคุณหญิงอำภาหายดีค่อยจัดการแต่งงานก็ได้ จะได้ไม่ต้องมีความกังวลใจกันอย่างไรก็ตาม หนุ่มสาวคู่นี้ก็ยังคงรักกันดี...และอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ตลอด ซึ่งดูเหมือนเด็กทั้งสองคนจะรักกันมากขึ้น”
“เห็นมั้ย...ไม่มีใครรู้เลยว่าคุณหายไป...ไม่มีข่าวอะไรอย่างที่คุณว่าทั้งสิ้น”
อมาวสีถึงกับอึ้งไป
“พวกเขาจงใจปิดข่าว ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...เพราะฉะนั้น ต่อให้คุณหายไปซักสิบห้าปี ก็ไม่มีใครเดือดร้อน ไม่มีใครออกตามหาคุณแม้แต่คนเดียว”
อมาวสีก้มหน้าด้วยความสลด หดหู่
“ทานอาหารดีกว่า...วันนี้ป้าเอิบแสดงอย่างสุดฝีมือจริงๆ”
ใบหน้างดงามของอมาวสีมีหยดน้ำตาค่อยๆ ไหลรินออกมา
“โอ๊ว...เอาใจยากจัง ผู้หญิงอย่างคุณนี่ ไม่โวยวาย ก็ร้องไห้...ไม่มีความพอดีซักอย่าง”
อมาวสีเปล่งเสียงออกมาอย่างยากเย็น
“ฉันคงต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานแสนนานเลยใช่มั้ย”
“เอาจริงๆ นะ...ผมยังตอบไม่ได้”
“ทำไมตอบไม่ได้ล่ะ ในเมื่อนายเป็นคนวางแผนทั้งหมด นายก็ต้องรู้สิว่า ตอนจบจะเป็นยังไง จะจบแบบไหน”
“ผมมีตอนจบในใจอยู่แล้ว แต่ยังบอกคุณไม่ได้...”
“แฮบปี้เอนดิ้งมั้ย”
“แน่นอน...คนดูชอบแบบนั้น”
“ใครแฮ้บปี้ นาย หรือฉัน”
“ทุกคน...แต่ใครทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลกรรมอย่างนั้น”
“นายหมายถึงคุณอากวี คุณอาอำภา และคุณภากร ใช่มั้ย...นายอาฆาตแค้นพวกเขา” ใช่มั้ย
“ผมเบื่อคุยเรื่องนี้แล้ว”
“ฉันบอกได้อย่างนึงว่า สิ่งที่นายกำลังทำอยู่นี้ ก็จะเป็นกรรมของนายในอนาคตเหมือนกัน”
“คุณเป็นเชลยนะครับ คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนผม”
อมาวสีจ้องหน้าราช เธอยิ้มเยาะใส่เขาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ผมว่า ตอนนี้คุณอยู่ให้สบายดีกว่า ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก่อน ขาดเหลืออะไรก็บอกผมนะ...มีเรื่องนึงที่ผมยืนยันกับคุณได้แน่ๆ นั่นก็คือ ที่นี่ปลอดภัยที่สุด...เมื่อไหร่ที่บ้านพิชิตพงษ์ปลอดภัยสำหรับคุณ ผมจะพาคุณไปส่งเอง”
อมาวสีไม่โต้เถียงใดๆ
“ชอบสมุดที่ฝากไปให้มั้ย...เผื่อคุณอยากจะเขียนไดอารี่...ใครจะรู้ กลับออกไปคุณอาจจะเอาไปพิมพ์เป็นพ็อคเก็ตบุ๊คส์ขายก็ได้...คนชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องแบบนี้ มีเยอะ”
อมาวสียังคงวางหน้านิ่งเฉย
“เฮ้อ...ผมจะพูดอะไรดีนะ ที่ทำให้คุณมีรอยยิ้มได้ ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ผมจะพาคุณเที่ยวรอบๆไร่ ทั้งหน้าบึ้งๆอย่างนี้แหละ”

อมาวสีสมใจยิ้มออกมานิดหนึ่ง โดยราชไม่เห็น

ต่อมา อมาวสีนั่งเขียนบันทึกอยู่กลางห้องนอน สีหน้าเธอนิ่ง อารมณ์สุขุม ตริตรองเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับฉัน เล่าให้ใครฟัง ก็คงจะหาว่าฉันแต่งเรื่องขึ้นมาเอง เพราะมันช่างเหมือนในนิยายซะเหลือเกิน ต่างกันก็เพียงแต่ว่า ที่นี่ไม่ใช่กระท่อมไม้ไผ่เก่าๆกลางป่า ที่มีแสงสว่าง เฉพาะจากตะเกียงเท่านั้น แต่มันเป็นตึกทันสมัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม ขาดก็เพียงแต่อิสรภาพ ซึ่งมันก็คือการกักขังที่ไม่ต่างจากกระท่อมเก่าๆกลางป่านั่นแหละ หนำซ้ำยังมีคนงานตัวใหญ่หน้าดุ เป็นใบ้คอยยืนเฝ้าอีกต่างหาก...และถ้ามันเหมือนในหนังสือนิยายจริงๆ ฉันว่า ตอนนี้ ตายักษ์คงนอนไม่หลับ และกำลังคิดถึงฉันอยู่”
ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ด้วยเวลาเดียวกันนี้ราชนั่งอยู่กลางห้องนอน เขากำลังพิมพ์ข้อความลงบนคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของเขา
“ผมไม่ได้สบายใจนักที่ต้องทำในสิ่งที่คุณลุงไม่เห็นด้วย แต่ผมทนไม่ได้ ที่คนอย่างนายภากรจะได้ทุกอย่างไปอย่างง่ายดาย ผมจำเป็นต้องทำให้พวกเขารู้จักคำว่าสูญเสียบ้าง...ผมสัญญาว่า จะไม่ทำให้เชลยของผมช้ำใจมากไปกว่านี้...แต่คุณลุงรู้มั้ยครับ...เธอไม่ได้บอบบางอย่างที่เราคิด...และ นั่นคืออาวุธร้ายของเธอ ที่อาจจะทำให้แผนการทั้งหมดของผมไม่สัมฤทธิ์ผล”
อมาวสี ยังคงนั่งเขียนบันทึกอยู่ในห้อง
“ถ้าเป็นนิยายจริง...สุดท้าย เราก็ต้องรักกันและแต่งงานกันน่ะสิ...อึ๋ยยยย...จะไหวเหรอ...ไม่เอาดีกว่า”
ส่วนราชยังคงพิมพ์ข้อความอยู่ที่เดิม
“ผมจะไม่ปล่อยใจให้เป็นอย่างนั้นครับ คุณลุง...ไม่ เด็ดขาด”

เช้าเดียวกัน ท่านกวี พร้อมทนายชอบ และภากร เดินเข้าไปในอาคารสำนักงานบริษัท เฮ้ลท์ตี้ ฟาร์ม่า
มิสเตอร์หว่องอ้าปากพูดหน้าตายิ้มแย้มเป็นปกติ
“ขอบคุณท่านกวีมากที่ให้เกียรติมาเยี่ยมชมบริษัทเฮ้ลท์ตี้ ฟาร์ม่าของเรา
ตอนนี้ สามคน อยู่เบื้องหน้าของมิสเตอร์หว่อง
“ไม่ต้องขอบคุณ ผมลงทุนไปเยอะ ผมควรจะมาดูทุกวันเลยด้วยซ้ำ” ท่านกวีบอก
“ถ้าอย่างนั้นยิ่งดีครับ บริษัทจะต้องเจริญก้าวหน้าแน่ๆ
“เอาละ แนะนำพนักงานให้เจ้าภากรรู้จักเลย จะได้เริ่มงานเป็นเรื่องเป็นราวซะที”
“ครับ ขอบคุณที่ท่านกรุณาเชื่อใจเรา ผมขอแนะนำพนักงานที่เอ เอ อาร์ เลือกเฟ้นให้แล้ว คนแรก ตัวแทนแผนกวิจัย คุณอุกฤษณ์ ผู้จัดการสายการผลิต คุณโฆษิต ผู้จัดการฝ่าประชาสัมพันธ์ คุณวินิจ และผู้จัดการฝ่ายการเงิน คุณสุจริต”
ชอบสัพยอก “แหม ชื่อลงท้ายสระอิดหมดเลยนะ”
“ไม่มีผู้หญิงเลยเหรอ” ภากรบ่น
“นโยบายของเอเออาร์เชื่อเสมอว่า เสน่ห์ของผู้หญิงจะสร้างความสดใสที่เป็นภัยต่อ ยอดการผลิตครับ”
ทนายชอบเห็นด้วย “เข้าท่ามาก”
“จากนี้ไปคุณภากรคงต้องเข้าบริษัททุกวัน ผมจะเป็นที่ปรึกษาให้ในช่วงแรกๆ”
ภากรอึกอัก “เอ้อ”
“ห้ามปฏิเสธเป็นอันขาด” ท่านกวีเสียงเข้ม
ภากรไม่อาจปฏิเสธ เขาเดินไปนั่งเซ็งๆ ตรงโต๊ะทำงานของเขา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดหมายเลขของวัชรี
“ฮัลโหล...คุณวัชรีใช่มั้ยครับ ผมภากรพูดนะ...น้องอ้อติดต่อมาบ้างหรือยัง”

วัชรีวางสาย ขยับลงนั่งข้างๆ วาริน สองพี่น้องอยู่ในห้องรับแขก
“นายภากรดูจะจนแต้มจริงๆ แล้วคุณพี่ โทร.มาถามหายายอมากับเราอีกแล้ว”
“เราก็จนแต้มพอๆกับเขาน่ะแหละ”
“น้องว่า เราแอบจ้างนักสืบเลยดีไหมคะ”
“อือม...รอนายราชกลับจากพม่าก่อนดีกว่า”
“ทำไมต้องรอ...เขาเป็นนักสืบเหรอ”
“ไม่ใช่หรอก...แต่เราจะทำอะไร มันต้องเป็นแนวทางเดียวกัน จะได้มีเอกภาพ พลานุภาพจะสูงสุด เข้าใจมั้ยน้อง”
วัชรีถอนใจ เซ็งๆ

ทางด้านราชพาอมาวสีเดินขึ้นไปบนดาดฟ้า ไอ้แปลกเดินตามมาห่างๆ มันเป็นดาดฟ้าของห้องอาหารและเรือนคนงาน เมื่อมองออกไปไกลสุดสายตา เราจะเห็นแนวเขา และปุยเมฆ รายล้อมอยู่โดยรอบมีหมอกกระจายตัวบางๆ พอสวยงาม
“ก่อนที่จะแนะนำอะไร กรุณาบอกก่อนได้มั้ยว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ส่วนไหนของประเทศไทย”
ราชโกหก “ภาคกลาง”
“แคบกว่านั้นไม่ได้เหรอ”
“เชลยไม่ควรรู้พิกัดของที่กักกัน...เท่าที่เดินมาถึงนี่ได้ก็มากเกินไปแล้ว”
“ฉันนึกว่าจะได้สิทธิ์พิเศษของการเป็นภรรยาคุณซะอีก”
ราชจ้องตาอมาวสี “คุณต้องการสิทธิ์นั้นจริงมั้ยล่ะ”
“ถ้าต้องแลกกับอะไรที่มากกว่านี้ละก้อ ไม่เด็ดขาด”
“นึกว่าจะให้สิทธิ์พิเศษกับผมสำหรับการเป็นสามี”
อมาวสีรีบเปลี่ยนเรื่อง ไม่ต่อล้อต่อเถียงเรื่องเดิมอีก
“รอบๆ ที่ตาฉันเห็นนี่ ที่ของคุณหมดเลยเหรอ”
“ไม่หมด...แค่แนวรั้ว แนวเขาลูกนั้น...เลยออกไปก็เป็นที่ดั้งเดิมของชาวบ้านหลายแปลง หลายครอบครัว”
“ที่ตรงนี้ คุณก็ซื้อมาจากพวกเขาใช่มั้ย”
“ใช่”
อมาวสีแดกดัน “แย่งที่ทำมาหากินของชาวบ้าน ชัดๆ”
“ไม่จริง...ผมเอาทุนมาช่วยพัฒนาผลผลิตต่างหาก...คุณรู้มั้ย ชาวบ้านเขาต้องกู้เงินมาทำไร่เท่าไหร่ ทำได้ก็ต้องเอาไปใช้หนี้...ใช้ให้ใครรู้มั้ย นักการเมืองแบบอาของคุณนั่นไง พวกนั้นแหละตัวดี ชอบขูดรีดชาวบ้านนัก”
“แล้วคุณไม่ขูดรีดเหรอ”
“ผมไม่รับผลกำไรใดๆทั้งสิ้น ผลผลิตทั้งหมดเป็นของพวกเขา ผมเป็นแค่หุ้นส่วน ที่ให้เขายืมเงิน โดยไม่มีกำหนดเวลาใช้คืน”
“แล้วคุณได้อะไร”
“ความสุข ทรัพย์สินของผมก็มีเพียงบ้านหลังนี้เท่านั้น ถ้าผมมีเมีย ผมก็คงพาเมียมาอยู่ที่นี่จนแก่เฒ่า ตามลำพังสองคนตายาย” ราชเผยความฝันในใจ
“น่าเสียดายที่ฉันมาอยู่ตัดหน้าว่าที่เมียของคุณซะก่อน”

อมาวสีเดินหนีไปทันทีที่พูดจบ แปลกเดินยิ้มตามไป ทั้งที่มันไม่รู้เรื่อง

เช้านี้ บรรดาชาวไร่ยังคงทำงานกันขันแข็งจริงจัง ราชขับรถพาอมาวสีเที่ยวไปรอบๆ บริเวณของไร่ ราชอธิบายกิจกรรมต่างๆ ที่ตาเห็น

ต่อมาสองคนอยู่มุมหนึ่งกลางไร่ ที่สิ่งแวดล้อมสวยงาม
“วันนี้ผมจะกลับกรุงเทพฯ...คุณอยากได้อะไรมั้ย
“คุณคงให้ฉันไม่ได้หรอกค่ะ” อมาวสีประชด
“งั้นก็ ขอให้คุณมีความสุขกับที่นี่ในวันที่ผมไม่ได้อยู่ด้วย ก็แล้วกัน”
จู่ๆ ป่วนขับรถเข้ามาปาดหน้าประชิดรถราช เขาตรงเข้าไปกระซิบอะไรบางอย่างกับราช หลังจากนั้นราชมีสีหน้าเครียดขึ้นทันที
ราชหันมาบอกกับอมาวสี “คุณย้ายไปนั่งรถคันโน้น” แล้วบอกป่วน “น้าป่วนพานายหญิงกลับไปที่ตึกก่อน”
อมาวสีเดินไปขึ้นรถน้าป่วน งงๆ “คุณจะไปไหน”
“คุณไม่ต้องรู้หรอก”
รถสองคันแยกกันไปคนละทาง

ที่ท้ายไร่ของราช
เด็กชายชาวไร่วัยเยาว์คนหนึ่งถูกมัดกับเสากลางแจ้ง เขาเป็นลูกชายของคนงานวัยชราในไร่ของราช บริเวณที่เด็กถูกมัดนั้นอยู่นอกเขตรั้วของไร่ นักเลงสี่ห้าคนยืนล้อมมันอยู่ด้วยท่าทีดุดัน
อีกด้านหนึ่งของแนวรั้ว ซึ่งอยู่ในเขตไร่ของราช มีผู้เฒ่าชายหญิงยืนเกาะรั้วครวญคราง ร้องขอความเมตตา แต่ทว่า ดูเหมือนจะไม่เป็นผล นักเลงผู้เป็นหัวหน้ามีชื่อว่า มาก ลูกชายกำนันแม้น มันตะโกนขู่เสียง ดังพร้อมกับยิงปืนขึ้นฟ้า
“จำไว้นะ นี่คือตัวอย่างผลของการบุกรุกล่วงล้ำที่ของคนอื่น”
หญิงชราท้วง “ไอ้เต้นมันไม่ได้บุกรุกที่แกเลยนะ มันแค่มุดรั้วไปเก็บผ้าโพกหัวที่ปลิวเข้าไป”
“งั้นมันก็ผิดตั้งแต่ปล่อยให้ผ้าโพกหัวปลิวเข้ามาในไร่กูแล้ว...ไร่ของมึงก็ตั้งเยอะแยะ ก็ปลิวในไร่ของมึงไปสิ...นี่แสดงว่ามึงจงใจโยนเข้ามามากกว่า”
“มันจะทำอย่างนั้นทำไมล่ะ”
“ถามลูกชายมึงดูซี่ ว่าทำอย่างนี้ทำไม”
เด็กชายบอก “ฉันไม่ได้ตั้งใจ...ไม่ได้ตั้งใจจริง”
มากยกตีนถีบไปที่หน้าอกเด็กชาย หญิงชราร้องเสียงหลง
“อย่าทำลูกชายฉันเลยจ้า...”
“อย่างนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ มันเสียกฎระเบียบ”
ชายชราฮึดฮัด “แต่นี่มันทำเกินไป มัดมือมัดเท้าอย่างนี้ จะเอาให้ตายเลยหรือไง”
“มันก็อยู่ที่ความแข็งแรงของตัวเด็กเอง”
มากหยิบแส้เส้นยาวขึ้นมา หมายจะเฆี่ยนลงไปบนหลังเด็ก
หญิงชราขอร้อง “อย่าทำอะไรลูกฉันนะ” คนเป็นแม่ขยับจะมุดรั้ว
มากเอาปืนขู่ “ถ้ามุดเข้ามาอีกคน จะโดนไม่ต่างกัน”
คนเป็นพ่อไม่รั้งรอ มันมุดรั้วพุ่งไปหาลูกชาย มากสั่งลูกน้องทันที
“จับมัน”
เสียงปืนดังขึ้น กระสุนตกลงตรงตีนพวกมัน ราชยืนถือปืนเล็งไปที่ไอ้มาก
“ถ้าแตะต้องลุงตู่ คราวนี้กระสุนจะพุ่งเข้ากลางเป้านะ”
“ก็ไอ้ลุงคนนี้ มุดเข้ามาในที่ของฉัน ผิดเห็นๆ...แกจะเถียงเหรอ”
“ลุงผิด ฉันไม่เถียง...ถ้าตรงที่พวกแกยืน มันเป็นที่ของแกจริง”
มากนิ่งอึ้ง ลูกน้องมันมองหน้ากัน เลิ่ก ลั่ก
“จะให้ฉันเอาเจ้าหน้าที่มาดูหลักมุดไหม...จะได้เห็นชัดๆไปเลยว่าแกปักหลักหมุดโกงเข้ามาในที่ฉันแค่ไหน”
มากยังนิ่งอยู่ ไม่โต้ตอบใดๆ
“ไม่ต้องทำหน้างง แล้วก็ปล่อยตัวไอ้เต้นออกมาด้วย...หรือต้องให้ฉันเหนี่ยวไกปืนอีกทีสองที...กระสุนยังพอมีอยู่นะ”
มากพยักหน้าให้ลูกน้อง ลูกน้อง 1 ชักปืนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เล็งไปที่เด็กชาย ราชไวกว่า ยิงใส่มือลูกน้อง1 ปืนของลูกน้อง 1 กระเด็นออกไป
ลูกน้อง 2 ฉวยโอกาส ชักปืนขึ้นมาเล็งไปที่ราช ราชหยิบปืนอีกกระบอกยิงสวนใส่มัน ปืนลูกน้อง 2กระเด็นไปอีกหนึ่งกระบอก ราชเล็งปืนทั้งสองกระบอกไปที่มาก
“ถ้ามีใครชักปืนขึ้นมาอีก...คราวนี้กระสุนเข้ากลางกบาลมึงแน่ไอ้มาก”
มากตะโกนบอกลูกน้อง “เก็บปืนให้หมด”
“ปล่อยตัวลุงตู่กับไอ้เต้นออกมาด้วย” ราชสั่ง
มากตะโกน “ปล่อยพวกมัน เร็วๆสิวะ”
ลูกน้องมากรีบปล่อยตัว ตู่และเต้น พ่อแม่ลูก โผเข้ากอดกันกลม
“อย่าให้มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นอีกนะไอ้มาก”
“มึงคิดว่ามึงแน่นักเหรอ ไอ้หนุ่มกรุงเทพฯ” มากจ้องหน้าตาขวาง
“แน่ หรือ ไม่แน่ ฉันไม่รู้...รู้แต่ว่าฉันไม่ได้เลวอย่างแก” ราชว่า
“ดีอย่างมึง ถึงได้มีเมียเป็นโรคประสาท...ซักวัน ฉันจะแวะไปดูหน้าอีนั่นให้ถึงที่ วันนี้ฝากไว้ก่อนเถอะมึง...ไปโว้ย พวกเรา”
มากรีบพาลูกน้องออกจากที่เกิดเหตุโดยไว

ฟากอมาวสีเปิดประตูห้องให้ เห็นแอ้มยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง เธอส่งสมุดและปากกาชุดใหม่ให้อมาวสี
“นายให้เอามาให้ นายบอกว่า เล่มเดียวนายหญิงอาจจะเขียนไม่พอ”
“เขาไปไหน”
“ไปกรุงเทพฯสองวัน...นายไม่ได้บอกนายหญิงเหรอ”
อมาวสีโมโห “ฮึ! เขาไม่เคยบอกอะไรฉันเลย”
“หึงละซี...เป็นแอ้มก็หึง นายหล่อออกอย่างนี้”
“ฉันถามอะไรหน่อยได้มั้ย”
แอ้มพยักหน้า
“บอกฉันได้มั้ย ที่ที่เราอยู่เนี่ย คือที่ไหน”
แอ้มยิ้ม “นายห้ามบอก”
อมาวสีเซ็ง ถอนใจแรง
“งั้นถามอีกข้อนึง...แอ้มอยากให้ฉันหายจากสติไม่ดีมั้ย”
“อยากสิคะ”
“งั้นก็ต้องบอกความจริงฉันบ้าง ค่อยๆบอกทีละนิดก็ได้...ความทรงจำของฉันจะได้ค่อยๆ กลับมา ฉันก็จะมีสติขึ้น อาการก็จะดีขึ้นไง”
แอ้มหลงกล “เหรอคะ”
“จริง...”
แอ้มลังเล “เอ่อ”
“น่า...แค่บอกว่าฉันอยู่ที่ไหนเท่านั้นเอง”
แอ้มอึกอัก “เอ้อ...”
“ตามใจ...ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก...ปล่อยให้ฉันเป็นอีบ้าอยู่อย่างนี้”
แอ้มรีบพูดเร็วสวนขึ้นมาทันที
“สีคิ้ว โคราช” แอ้มบอกอย่างไว
“เดี๋ยวก่อนแอ้ม...ช้าๆ ชัดๆอีกทีซิ ฉันฟังไม่ทัน”
“สี คิ้ว...โค ราช”
“ไร่นี้มีชื่อมั้ย”
แอ้มส่ายหน้า
“บอกอีกนิดเถอะน่า...อย่าเอาแต่ส่ายหน้าซี่”
“ไร่นี้ยังไม่มีขื่อ คือนายยังเลือกชื่อที่ถูกใจไม่ได้...แต่เป็นที่รู้กันว่า ไร่พินัย”
อมาวสีนิ่วหน้า “พินัย?”
“ชื่อเพื่อนนาย ไร่ติดกันนี่เอง...เอ แอ้มชักจะพูดมากไปแล้ว”
“จะเป็นอะไรไป...ไม่เห็นจะมากตรงไหน”
“นายบอกว่า ถ้าพูดอะไรมากไป ข้อมูลเยอะๆอาจทำให้นายหญิงสับสนยิ่งขึ้น”
อมาวสีโมโห “ตาบ้าเอ๊ย”
แอ้มจะเดินออกไป
อมาวสีเรียกไว้ “เดี๋ยวก่อนแอ้ม...คนที่นี่ ไม่ใช้โทรศัพท์บ้างเหรอ”
“ไม่ใช้ค่ะ...เราใช้ไอ้นี่” แอ้มยกวิทยุสื่อสารให้ดู
“แล้วถ้าจะติดต่อคนอื่นๆที่กรุงเทพฯล่ะ”
“จดหมายไงคะ”
อมาวสีมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง “งั้นฉันฝากส่งจดหมายได้มั้ย”
“ได้เลยค่ะ”
“แอ้มออกไปส่งจดหมายวันไหนล่ะ”
“วันไหนก็ได้ที่นายอยู่”
อมาวสี ทำหน้า งง
แอ้มเลยบอกว่า “แอ้ม ฝากนายไปส่งค่ะ”
“อ๋อ...เหรอ”
“มีอะไรอีกมั้ยคะ”
ทั้งที่ในใจตื่นเต้น แต่อมาวสีส่ายหน้าบอกออกมาแค่ว่า

“อย่างน้อยฉันก็รู้ว่า อยู่ที่โคราช...คงมีหมี่อร่อยๆ ให้กินซักวันนะ”

อ่านต่อหน้า 4

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 9 (ต่อ)

บริเวณหน้าออฟฟิศรักษ์เลตอนนี้ มีนักท่องเที่ยวมากมาย สัญจรไปมา ขวักไขว่

สักครู่หนึ่งอรัญญาก้าวเข้ามากลางออฟฟิศ
“คอนนิจิวะ สวัสดีคุณลุงรักษ์ค่ะ”
“ว่าไงหนูแก้ว หายหน้าไปนานเลย ช่วงนี้ไม่มีทัวร์มาลงที่รีสอร์ทลุงบ้างเลยนะ”
“ช่วงนี้ อินบาวด์น้อยค่ะ มีแต่ เอ๊าท์บาวด์...นี่ก็เพิ่งกลับมาจากโตเกียว...มีของฝากคุณลุงด้วยนะคะ..แล้วอันนี้ฝากให้พี่ราช”
อรัญญาส่งถุงของฝากให้สองถุง
“คราวหลังของลุงไม่ต้องก็ได้ ให้นายราชคนเดียวก็พอแล้ว”
“ไม่ได้ค่ะ ให้พี่ราชคนเดียว เดี๋ยวพี่เขาคิดมาก”
“งั้นให้ลุงคนเดียวก็แล้วกัน ลุงจะได้คิดมากบ้าง”
ทั้งสองหัวเราะกันพอประมาณ
“พี่ราชไม่อยู่เหรอคะ”
“อือม...ช่วงนี้เขามีธุระเยอะอยู่ ลุงไม่ได้เห็นหน้านานแล้ว ก็มีคุยกันทางเมลบ้าง”
“พี่เขายังไม่มีแฟนใช่มั้ยคะ”
“ยัง...รออรัญญาอยู่มั้ง”
“ถ้าจริงก็ดีสิคะ” อรัญญายิ้มหวาน “หนูไปดูลูกทัวร์ก่อนนะคะ เผื่อว่ามีใครอยากจะลงเรือ เที่ยวเกาะ”
“จ้ะ”
อรัญญานึกได้ “อ้อ มีลูกทัวร์ของแก้วคนนึงเขาอยากรู้จักคุณลุงค่ะ”
“เหรอ ใครล่ะ”
หม่อมราชวงศ์หญิงทิพย์สุดาเดินเข้ามา
“ดิฉันเอง...ฉันชื่อทิพย์สุดา”
อรัญญาเดินเลี่ยงออกไปด้านนอก
“คุณคือคุณรักษ์ เจ้าของรีสอร์ทรักษ์เลใช่มั้ยคะ”
“ครับ มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ จะจองเรือจองรีสอร์ทที่เกาะก็ได้เลยครับ ลูกค้าหนูแก้ว เราคิดราคาพิเศษ”
คุณหญิงทิพย์สุดาเอ่ยถาม “คุณนามสกุล รัชภูมิ ใช่มั้ยคะ”
“ใช่ครับ ผม รักษ์ รัชภูมิ”
“ดิฉันอยากรู้จักคุณราช รัชภูมิ น่ะค่ะ”
ราชนิกุลท่านนี้ ยังไม่ละความพยายามในการตามหาทายาทของ ท่านชาย คาฑาเทพ ทวยไท

ขณะที่คุณหญิงอำภานั่งเหม่อลอยมองออกไปไกล นมพริ้งเดินเข้ามาหา
“คุณหญิงหิวรึยังคะ...อยากทานอะไรรึเปล่า”
“ไม่หรอก”
“บ่ายแล้วนะคะ คุณหญิงยังไม่ทานอะไรเลยตั้งแต่เช้า”
“ฉันกินไม่ลงจ้ะ”
“เดี๋ยวก็ได้ล้มป่วยไปอีกนะคะ”
“ก็ดี จะได้สมจริงไง เหมือนกับที่ท่านกวีบอกกับสื่อ เวลานี้ฉันก็ไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว...ป่วยอีกซักหน่อย จะเป็นอะไรไป”
“มันไม่คุ้มกันนะคะคุณหญิง”
“มันไม่คุ้ม แต่มันก็สาสมนะพริ้ง ฉันทำผิดกับใครต่อใครมากมาย ผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก กระทั่งกับยายหนูอ้อ...ฉันก็ยังทำให้เกิดเรื่องขึ้นจนได้”
นมพริ้งสงสารจับใจ “ไม่นะคะ ไม่ใช่ความผิดของคุณหญิงนะคะ”
“แต่ฉันยับยั้งได้นี่พริ้ง...ถ้าฉันเลือกที่จะอยู่ข้างเดียวกับยายอ้อ เธอก็คงไม่กดดันจนต้องหนีไปอย่างนี้...จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง ก็ไม่รู้”
จันวิ่งถือโทรศัพท์บ้านมาให้คุณหญิงอำภา
“โทรศัพท์ถึงคุณหญิงค่ะ”
“จากไหน”
“ไม่ทราบค่ะ...เธอบอกว่าจะบอกคุณหญิงเอง”
คุณหญิงอำภาคิดนิดหนึ่ง แล้วจึงหลุดปากออกมา
“อ้อ !...ยายอ้อรึเปล่า” คุณหญิงอำภารีบคว้าโทรศัพท์มาพูดทันที “ฮัลโหล”
“ฉันเจอเขาแล้ว” เสียงคู่สายบอก ดังออกมา
“ใครพูดน่ะ...แล้วเจอใคร หนูอ้อเหรอ”
“ฉันเจอหลานฉันแล้ว”
คุณหญิงอำภาเพิ่งนึกได้ว่า เสียงนั้นคือใคร
“คุณทิพย์สุดา”
เป็นคุณหญิงทิพย์สุดา ยืนพูดโทรศัพท์ริมทะเลภูเก็ต
“ใช่ ฉันรู้แล้วว่าน้องฉันที่อาศัยท้องเธอมาเกิดน่ะ อยู่ไหน...ฉันจะได้จัดการมอบสมบัติให้เขาในเร็ววันนี้”
“ดีใจด้วยนะ”
“คุณคงรู้จักนายราช รัชภูมินะ ถ้าฉันเจอตัวเขาเมื่อไหร่...เรื่องระหว่างเราก็จะได้จบสมบูรณ์ซะที ซึ่งฉันเชื่อว่า คงอีกไม่นานหรอก คุณหญิงอำภา”

คุณหญิงอำภาอึ้ง นิ่งงันไปในทันที

ตกตอนกลางคืน มีแสงไฟระยิบระยับ เคลื่อนตัวเข้ามายังบ้านกลางไร่ มันคือขบวนรถของกำนันแม้นผู้มีอิทธิพล และเป็นพ่อของไอ้มาก

ป่วนยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือนคนงาน กำลังใช้กล้องส่องทางไกล ส่องมองดูแสงไฟรถเหล่านั้น แล้วหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมากดปุ่มพูด
“ไอ้ป๊อด ตามคนงานผู้ชายทุกคนมาที่หน้าบ้านนายเดี๋ยวนี้...เดี๋ยวนี้ ย้ำ เดี๋ยวนี้”

ขบวนรถกำนันแม้น จอดหน้าบ้านพักกลางไร่ หมู่นักเลงนับสิบคนก้าวลงจากรถ ป่วนและคนงานทุกคนยืนเรียงแถวเป็นแนวประจันหน้ากำนัน
“มีอะไรทำไมไม่มาตอนกลางวัน บุกรุกกันอย่างนี้ไม่ถูกนะเว้ย”
นักเลง1 แหลมขึ้นมา “ถูกหรือผิดถามกำนันแม้นเอาเองแล้วกัน”
กำนันแม้นก้าวลงจากรถคันใหญ่ที่สุด มากก้าวตามลงมายืนใกล้ๆ กัน
“ถึงกับต้องเอามีดเอาไม้มารอรับฉันเลยเหรอนายป่วน”
“ใครจะรู้ล่ะว่ากำนันมาดีหรือมาร้าย เล่นยกพวกมากลางดึกอย่างนี้ ฉันก็ต้องระแวดระวังไว้บ้าง”
กำนันแม้น ยิ้มเยาะ พูดเย้ยหยัน
“แล้วคิดว่าเอาอยู่เหรอ...ถ้าฉันอยากจะทำอะไรแรงๆ ขึ้นมา นายเอาอยู่เหรอ”
“ก็ต้องลองดู” ป่วนบอก
“ไปตามเจ้านายมาคุยดีกว่า”
ป๊อดบอกทันที “นายไม่อยู่”
“ไม่อยู่ได้ยังไง เมื่อเช้ายังยิงปืนใส่ลูกชายฉันอยู่เลย”
“ลูกชายกำนันมาระรานคนที่นี่ นายก็ต้องปกป้อง” ป๊อดโต้
กำนันโมโห “ปกป้องด้วยปืนเหรอ”
“แล้วกำนันถามลูกชายหรือยังว่ามาระรานกัน ด้วยมือเปล่าหรือมือถือปืน”
มากสอดขึ้น “อย่าพูดมากให้เสียเวลาเลยพ่อ เผามันให้เละไปเลยดีกว่า”
เสียงอมาวสีดังก้องกังวานมาจากที่สูง
“หยุดนะ ใครก้าวเข้ามาอีกก้าวเดียว ฉันยิงไม่เลี้ยง”
ทุกคนเงยหน้ามองขึ้นไปยังดาดฟ้าอาคาร อมาวสียืนอยู่บนระเบียงห้องนอน เธอถือปืนลูกซองของไอ้แปลก เล็งมาที่หมู่กำนัน
“ฉันพูดจริง ทำจริงนะ จะบอกให้”
กำนันขำ “โอ๊ว...นี่น่ะเหรอเมียไอ้ราช...สวยเหลือเกิน เสียดายที่สติไม่ดี”
“สติไม่ดีแต่ยิงปืนแม่นก็แล้วกัน...จะลองมั้ย”
“พ่ออย่าไปเชื่อมัน มันขู่ไปงั้นเอง” มากบอก
“ลองดูก็ได้ ยิงจากตรงนี้ทั้งแม่นและไม่มีความผิด เพราะพวกนายเป็นผู้บุกรุก คงไม่ต้องสอนมาก เป็นถึงกำนันน่าจะรู้กฎหมายดี แค่ยกพวกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต ฉันก็แจ้งความเอาผิดได้แล้วนะ ถ้าไม่ถอยกลับไป อย่าหาว่าไม่เตือนล่ะ คนสติไม่ดีอย่างฉัน อย่างมากก็ถูกจับส่งโรงพยาบาลแต่พวกแกน่ะถูกจับติดคุก”
มากไม่เชื่อ “พ่ออย่าไปเชื่อมัน ยิงปืนเป็นรึเปล่ายังไม่รู้เลย อีนี่”
อมาวสีท้า “หรือจะลอง”
กำนันแม้นจ้องหน้าอมาวสีเขม็ง อมาวสีจ้องตอบ ไม่กะพริบตา กำนันแม้นจึงหันไปพูดกับป่วน
“บอกนายพวกมึงด้วย ว่าอย่าซ่าให้มากนักนะ...เรื่องซื้อที่ตัดหน้าฉันยังไม่ได้สะสาง...ระวังให้ดี ถ้าถึงวันของฉันเมื่อไร่ มันจะเสียทั้งไร่ เสียทั้งเมีย” กำนันหันไปตะโกนสั่งลุกน้อง “เฮ้ย กลับโว้ย”
หมู่ลูกน้องกระจายกันขึ้นรถกลับ
ป่วนเงยหน้าตะโกนพูดกับอมาวสี
“นายหญิงรู้อะไรมั้ยครับ...ปืนนั่น ไม่มีลูก”
อมาวสีตาเหลือก “ห๊า”

ป่วนก้าวเข้ามากลางโถงบ้าน
“นายไม่ไว้ใจให้ไอ้แปลกถืออาวุธหรอก แค่ให้ถือหลอกๆเพื่อขู่ไปอย่างนั้นเอง”
ทุกคนกระจายกันอยู่กลางโถงบ้าน หลังผ่านเหตุการณ์ร้าย
“ถึงมีกระสุน พวกเราคิดว่าฉันยิงเป็นเหรอ” อมาวสีว่า
ป๊อดเซ็ง “อ้าว...เห็นท่าทะมัดทะแมงซะขนาดนั้น”
“ฉันก็จำๆเท่าที่เคยเห็นมา”
“แต่ถ้าไม่ได้นายหญิงมีหวังพวกมัน ถล่มที่นี่ยับแน่ๆ” แอ้มว่า
“นายของพวกเธอไปมีเรื่องอะไรกับเขา”
“ก็เรื่องที่ผืนนี้น่ะแหละครับ มันอยู่ตรงกลางระหว่างไร่คุณพินัย กับที่ของกำนันแม้น” ป่วนบอก
ป๊อดเสริม “กำนันแกอยากได้ แกก็ไปขู่กรรโชกกับชาวบ้าน กดราคาขอซื้อในราคาต่ำมาก”
“นายสงสารชาวบ้านก็เลยทุ่มซื้อด้วยเงินที่สูงกว่า ตัดหน้ากำนัน” แอ้มบอก
อมาวสีว่าประชด “เป็นคนดีเหมือนกันนะนายเรา”
“ถ้าไม่ใช่คนดี นายหญิงจะยอมแต่งงานด้วยทำไมล่ะ” แอ้มยิ้ม
“ฉันว่าคืนนี้น้าป่วนจัดคนแบ่งกันเฝ้ายามไว้เถอะ เผื่อมันย้อนกลับมาเผาจริงๆ เราจะได้ช่วยกันทัน”

คืนเดียวกันนี้ วารินเดินเข้ามาในร้านเหล้า ตรงไปที่โต๊ะกลางร้าน ราชนั่งรออยู่แล้วที่โต๊ะนั้น
“กลับมาได้ซะทีนะเพื่อน...คิดถึงเป็นบ้าเลย”
“คิดถึงเราหรือคิดถึงเรื่องที่ฝากฝังเรา”
“มันก็ทั้งสองเรื่องนั่นแหละ”
“งั้นมาอัพเดทข้อมูลกันหน่อยซิ...ตอนนี้สถานการณ์ไปถึงไหนแล้ว”
“ไม่มีใครได้ข่าวคราวระแคะระคายของน้องอ้อเลย...จดหมายขู่ก็ไม่มี...จนหลายคนคิดว่าอาจเกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิตที่ไหนซักแห่งหรือเปล่า”
ราชวางท่าครุ่นคิด “อือม...อาจเป็นได้”
“เฮ้ย...ให้กำลังใจกันหน่อยซีวะ”
“ก็ให้อยู่...แต่นายก็ควรจะทำใจยอมรับความจริงด้วย”
“นอกจากทำใจแล้ว เราทำอย่างอื่นไม่ได้เลยเหรอ”
“โธ่...ขนาดคนในครอบครัวเขายังเก็บเรื่องเงียบ...เราจะไปกระโตกกระตากอะไรได้”
“งั้นพรุ่งนี้ฉันจะไปไหว้พระ”
“เออ ถ้ามันทำให้สบายใจได้ก็ทำไปก่อนเถอะ”
“ก็ไม่เลวนะ เราไหว้มาเก้าวัดแล้ว พรุ่งนี้ต่ออีกหนึ่ง เป็นสิบ...แล้วค่อยไปแก้ปีชง ทำพิธีตัดกรรมด้วยก็ดี”
“เราขอเอาใจช่วยห่างๆแล้วกันนะ...โชคดีว่ะ”

หนุ่มทั้งสองชนแก้วเหล้าแล้วกระดกจนหมด ราชมองท่าทีเพื่อนรักอย่างเห็นใจอยู่ลึกๆ

เวลาเดียวกัน รถภากรแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพิชิตพงษ์ เขาก้าวลงจากรถ เดินตรงเข้าไปในบ้าน จันเดินเข้าไปหารายงาน

“คุณภากรขา วันนี้มีจดหมายEMS. ส่งมาถึงคุณภากรค่ะ”
“จดหมาย?”
“ค่ะ หนูวางไว้ให้ตรงห้องนั่งเล่นค่ะ”
ซองจดหมายซองนั้น ถูกเปิดออกด้วยมือของภากร กระดาษแผ่นไม่ใหญ่นัก พับอยู่ในซอง มีตัวหนังสือปรากฏข้อความว่า
"ช่วยด้วย ถูกจับ โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่... ช่วยประกันตัวจูดี้ด้วย เบอร์โทร.โรงพัก 02-278-9879 "
ภากรครุ่นคิดสักพัก เขาตัดสินใจจึงหยิบโทรศัพท์ออกมา กดหมายเลขโทรออก
เสียงผู้ชายสำเนียงหงุดหงิดดังมาจากปลายสายอีกด้าน
“ฮัลโหล...โรงพักสำโรงครับ”
ภากรรีบวางโทรศัพท์ทันที
เขาหายใจแรง คิด วิตก

เทินวางกาแฟให้ราชซึ่งกลับบ้านมาแล้ว และกำลังนั่งตรวจดูเอกสารต่างๆ ที่โต๊ะในบ้านพัก
“กาแฟร้อนๆ ซักแก้วครับ จะได้สร่างเมา”
“ฉันไม่ได้เมา แค่ดื่มไม่กี่แก้ว เป็นเพื่อนนายวาริน...หมอนั่นท่าจะเมาหนัก”
“เมาเหล้า หรือ เมารักครับ” เทินกระเซ้า
“ชอบจังเลยนะ...สำนวนเชยๆเนี่ย น้าเทิน”
“ผมมันคนโบราณคร้าบ”
“แต่น้าเทินทำงานให้ผมได้เยี่ยมจริงๆนะ อีกหน่อยผมยกบริษัทให้น้าเทินไปเลยท่าจะดี”
“สนุกมั้ยครับ”
“สนุกซี่ ผมไม่ต้องทำอะไร ให้น้าเทินทำ ผมจะได้เที่ยวให้สนุกเลย”
“ผมหมายถึงอมาวสีน่ะครับ จับเธอไปขังไว้อย่างนั้นสนุกมั้ย”
“ประชดผมหรือเปล่า”
“นิดหน่อย เพราะผมจะประสาทแย่อยู่แล้ว อยู่ๆก็มีตำรวจมาสืบเสาะ หาข้อมูล ผมก็ไม่รู้จะแก้ตัวไปยังไง นี่มันคดีอาญานะครับคุณราช มันเลี่ยงไม่ได้เลยนะครับ”
“เข้าใจ...เอางี้นะน้า ผมจะปิดบริษัทซักสองสามเดือน แล้วให้น้าเทินไปพักผ่อนไกลๆเลย จะได้ไม่ต้องเจอคำถามจากตำรวจ เอามั้ย”
“ประชดผม” เทินย้อน
“ผมพูดจริง...ไม่ได้ประชด”
เทินส่ายหน้า “เหมือนเป็นผู้ร้ายหนีไปกบดานยังไงไม่รู้”
“งั้นผมต้องทำยังไง น้าเทินถึงจะสบายใจ”
เทินตัดสินใจเอ่ยปากพูด
“เอาตัวเขากลับมาคืนเถอะครับ”
“ยัง จนกว่า...” ราชค้างคำไว้เท่านั้น
“จนกว่าอะไรครับ”
“ทุกอย่างมันอยู่ในแผนอยู่แล้ว”
“แผนของคุณราชเป็นการโกหกผู้คนทั่วไปหมด ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องดีงามเท่าไหร่ คุณรักษ์รู้เข้าท่านจะว่ายังไง”
“น้าเทินรับปากว่าจะอยู่ในแผนของผมเองนะ ผมไม่ได้บังคับนะ เมื่อน้าเทินทำแล้วก็ต้องทำให้ตลอดสิ”
เทินถอนใจยาวๆ ไม่มีคำโต้เถียง
“งั้นผมขออย่างนึงนะครับ อย่าให้มีอะไรเกินเลยไปกว่านี้นะ...มันจะกลายเป็นความเศร้าโศกเสียใจกันทุกฝ่าย”
“ผมรับรอง”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ราชดูหมายเลขแล้วจึงกดปุ่มรับสาย
“น้าป่วนเหรอ...มีอะไรรึเปล่า”

น้าป่วนพูดโทรศัพท์บ้านเครื่องเดียวที่มีอยู่ในเรือนคนงาน บ้านกลางไร่
“เกือบมีครับ เกือบแย่ แต่ยังไม่แย่มาก”
“ยังไงเหรอ”
“ก็กำนันแม้นสิครับ มันยกพวกมาระรานเรา...ดีที่นายหญิงช่วยแก้สถานการณ์เอาไว้ได้”
ราช พูดโทรศัพท์อยู่กลางห้องทำงาน
“ถามจริง?...เธอทำยังไง”
“ใช้ปืนไอ้แปลกขู่จนพวกมันหัวหด”
“ปืนที่ไม่มีลูกเนี่ยนะ...น้าป่วนดูแลพวกเราดีๆด้วย พรุ่งนี้ผมจะรีบเข้าไปเลย”
ราชวางโทรศัพท์ เทินเอ่ยปากทันทีที่ราชวางโทรศัพท์ลง
“อย่างน้อยนายป่วนก็เป็นคนนึง ที่น่าจะได้รู้ความจริง”

ป่วนยืนคุยกับอมาวสีหน้าห้องพัก
“นายฝากขอบคุณที่นายหญิงกู้สถานการณ์ไว้ได้”
“เขามาแล้วเหรอ”
“เปล่าครับ”
อมาวสีจ้องหน้าน้าป่วน
“แสดงว่าที่นี่มีโทรศัพท์...ใช่มั้ย...เขาโทร.มาใช่มั้ย”
ป่วนไม่ยอมเอ่ยปากตอบเรื่องโทรศัพท์
“ท่านจะกลับมาพรุ่งนี้ครับ”
จากนั้นป่วนก็ขยับจะเดินออก
“น้าป่วน ไหนๆฉันก็ช่วยน้าป่วน ช่วยพวกเราแล้ว จะไม่มีรางวัลให้ฉันบ้างเลยเหรอ”
“รางวัลแบบไหนล่ะครับ”
“พรุ่งนี้เช้า ให้ฉันได้ออกไปเดินเล่นรอบๆไร่บ้างได้มั้ยล่ะ”
“ครับ แต่ต้องไปกับไอ้แปลกนะครับ เพื่อความปลอดภัยของนายหญิงเอง”
อมาวสียิ้มรับคำ

อมาวสีกลับขึ้นห้อง นั่งเขียนบันทึกเพียงลำพังในห้อง เสียงในใจอมาวสีดังออกมาให้ได้ยิน มันตรงตามตัวหนังสือที่เธอเขียน
“ถ้าไม่คิดว่าเป็นการถูกลักพาตัวมา ที่นี่ก็น่าอยู่ไม่น้อย ทั้งบรรยากาศ อากาศและผู้คน ไม่น่าเชื่อว่าชาวบ้านที่นี่จะซื่อและจิตใจดีกันทุกคน น่าสงสารที่ถูกนายยักษ์หลอกใช้เป็นเครื่องมือ อยากรู้จริงๆว่า เหตุผลที่แท้จริงของเขาคืออะไร แต่ฉันจะไม่อยู่รอจนรู้เหตุผลหรอก ถ้าพรุ่งนี้มีโอกาส ฉันจะต้องหนีกลับบ้านให้ได้”

แววตาอมาวสีมุ่งมั่น มาดหมาย เอามากๆ

พระอาทิตย์ขึ้นเหนือไร่ข้าวโพดได้ไม่นาน ไอ้แปลกเปิดประตูห้องอมาวสียิ้มแฉ่ง อมาวสีอยู่ในชุดรัดกุมเรียบร้อย เธอยิ้มตอบให้ไอ้แปลก

ไอ้แปลกกดวิทยุที่ถืออยู่ในมือสามที แล้วจึงยื่นวิทยุไปที่หน้าอมาวสี เสียงป่วนดังออกมาจากวิทยุเครื่องนั้น
“นายหญิงอยากจะออกไปเดินเล่นตอนนี้ก็ได้นะครับ...พวกเราออกไปไร่กันตั้งแต่เช้า ไอ้แปลกจะเป็นคนพานายหญิงขึ้นรถเที่ยวให้ทั่วไร่ พร้อมเมื่อไหร่ก็เดินไปพร้อมมันได้เลยครับ”
อมาวสีกดวิทยุเครื่องนั้นพูดตอบ
“ขอบใจน้าป่วนมากจ้ะ”
อมาวสียิ้มกว้างให้ไอ้แปลกอีกที
“ฉันพร้อมแล้ว...พร้อมมากๆเลย”
ไอ้แปลกโค้งงามๆ และผายมือให้อมาวสี
อมาวสีเดินออกจากห้องมาได้สองก้าว เธอก็หยุดเดิน หันไปพูดพร้อมแสดงท่าทางประกอบให้ไอ้แปลกดู
“ฉันขอไป ฉิ๊ง ฉ่อง หน่อย นะ”
ไอ้แปลกทำท่าเหม็น อุดจมูกแล้วหันหลังให้อมาวสี
“เดี๋ยวมานะ...นายรอตรงนี้นะ”
ไอ้แปลกหันหลังให้ ไม่พูดไม่จา อมาวสีเดินออกไป แล้วปิดประตูห้อง ล็อคไอ้แปลกไว้ข้างใน

ต่อมาอมาวสีไต่ระเบียงตรงไปยังดาดฟ้า เธอกระโดดจากดาดฟ้าไปเกาะที่ต้นไม้ใหญ่หลังบ้าน ไต่ลงมาจากต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น เธอมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง
อมาวสีตัดสินใจเลือกทิศทางที่ตัวเองมั่นใจแล้วจึงวิ่งไปในทิศนั้น

อมาวสีลอบเข้ามาในเรือนพักคนงานทางด้านหลัง เธอมองไปรอบๆจนเจอ โทรศัพท์บ้านเครื่องนั้น
อมาวสีตรงไปที่โทรศัพท์ หน้าตาตื่นเต้น ดีใจ เธอกดหมายเลขที่ต้องการไปได้สองสามตัว ป้าเอิบเดินเข้ามาพอดี อมาวสีจำต้องหยุดการโทรศัพท์ เธอตัดสินใจหลบออกไปด้านหลังเรือน

อมาวสีวิ่งไปตามแนวไหล่เขา สันหน้าผา บริเวณหลังบ้าน รอบตัวเธอเป็นป่า ที่มีต้นไม้หนาแน่น อมาวสีวิ่งแทรกตัวเข้าไปในนั้น วิ่งไปจนเจอแนวรั้วขวางหน้า ที่นั่นมีม้าสวยเพศเมียหนึ่งตัว ถูกผูกไว้กับเสารั้ว อมาวสีค่อยๆ ย่องไปใกล้ และลูบแผงคอมันอย่างนุ่มนวล เธอเอ่ยปากคุยกับมันเบาๆ
“โชคชะตาพาให้เรามาเจอกัน...วันนี้ ฉันขอพึ่งแรงเธอหน่อยนะ”
อมาวสีค่อยๆปลดเชือก เธอปีนขึ้นไปบนหลังมันช้าๆ แล้วจึงกระตุ้นให้ม้าวิ่งกระโจนออกไป

ไอ้แปลกนั่งหลับอยู่หน้าห้องอมาวสี เสียงป่วนดังออกมาจากวิทยุที่วางข้างตัวมัน
“นายหญิงขึ้นรถหรือยังครับ...นายครับ”
ไอ้แปลกหลับนิ่ง ไม่ได้ยินสรรพเสียงใดๆ

อมาวสีขี่ม้าทะยาน ลัดเลาะไปตามแนวเขา ในป่าโปร่งหลังไร่

ไอ้แปลกยังคงนั่งหลับอยู่ที่เดิม ท่าเดิม เสียงป่วนดังออกมาจากวิทยุอีก
“นายครับ...นายหญิงครับ”
ป่วนยืนถือวิทยุอยู่กลางไร่ รอบๆ ตัวเขาเป็นหมู่คนงานไร่ กำลังทำงานของตนอยู่ ป่วนเริ่มมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“เอ...มันชักจะยังไงๆแล้วสิ”
ป๊อดงง “ไอ้ยังไงๆ น่ะมันยังไงล่ะ”
“ฉันเรียกวิทยุไป...แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา”
“คงกำลังเที่ยวเพลินจนไม่ได้ยินเสียง ว. ละมั้ง อย่าคิดมากน่า น้าป่วน...เดี๋ยวแก่เร็วนะ”
ป่วนตัดสินใจกด วิทยุพูดอีกครั้ง
“ป้าเอิบ...ป้าเอิบได้ยินมั้ย”
ป้าเอิบ กดวิทยุพูดตอบน้าป่วนจากโรงครัว
“ว่ายังไง ตาป่วน”
“เห็นไอ้แปลกพานายหญิงขึ้นรถเที่ยวรึยัง”
“ยัง รถยังจอดอยู่นี่ ยังไม่ได้ไปไหน นายหญิงยังไม่ตื่นมั้ง”
ป่วนกดวิทยุพูดอยู่ที่กลางไร่
“ตื่นแล้ว เมื่อกี้ยังพูด ว. กับฉันอยู่เลย...ป้าเอิบเดินไปดูที่ห้องหน่อยซิ”

อมาวสีขี่ม้าตัวนั้น ทะยานผ่านแนวป่าโปร่งออกมา มันตรงไปยังตีนเขาลูกใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ของกำนันแม้น อมาวสีบังคับม้าให้หยุด เธอมองไปรอบๆ ตัดสินใจยังไม่ถูกว่าควรจะมุ่งไปทิศทางไหน

ฝ่ายป้าเอิบเดินเข้ามาหน้าห้องอมาวสี เธอก้มหน้ามองไอ้แปลก ที่นั่งหลับอยู่ตรงนั้น ป้าเอิบรีบพูดวิทยุทันที
“ตายแล้ว...ตาป่วนเอ๊ย...ไอ้แปลกนั่งหลับอยู่คนเดียว หน้าห้องนายหญิง”
เสียงป่วนถามกลับมา “แล้วนายหญิงล่ะ”
“หายไปแล้ว”
“ฉิบหายละซี”

อมาวสีบังคับม้าหมุนไปหมุนมาเยี่ยงคนหลงทิศอยู่ในอาณาบริเวณทุ่งโล่ง เขตไร่กำนันแม้น
หมู่รถโฟร์วีลล์ของมากแล่นเข้ามาล้อมรอบกรอบอมาวสี มากกระโจนลงมาจากรถ หน้าตากวนตีนไม่น้อย
“อ้าว...เจอกันอีกจนได้นะแม่เสือสาวสติเสีย...ไม่ทราบว่า วันนี้พกปืนมารึเปล่า”
อมาวสีบอก “พกมา”
“ไหนล่ะ”
“อยู่ในกระเป๋า”
มากหัวเราะร่วน มันหันไปพูดกับหมู่ลูกน้อง
“เฮ้ย พวกเรา...มีใครมองเห็นกระเป๋าของอีเสือนี่บ้างมั้ย...ถ้าตากูไม่บอด กูว่าไม่มีกระเป๋าซักใบนะ พวกมึงว่าไง”
ลูกน้อง1 เสนอหน้า “มันอาจจะมีกระเป๋าลับอยู่ในกางเกงในก็ได้นะ พี่มาก”
“ไอ้กระเป๋าลับตรงนั้นมันคงใหญ่พอใส่ปืนลูกซองได้หลายกระบอกเลยนะ”
พวกมันหัวเราะดังสนั่น อมาวสีเริ่มหวาดหวั่น ในสถานการณ์ยามนี้ของตน
“รู้มั้ยว่า ตอนนี้เธอยืนอยู่บนพื้นที่ของใคร”
อมาวสีนิ่ง
“นี่คืออาณาจักรของกำนันแม้น วันนี้เธอบุกรุกเข้ามาในที่ของฉัน เต็มๆตีน ถึงขนาดจงใจขี่ม้ากระโดดข้ามรั้วมาเลย...ฉันจะลงโทษอีบ้านี่ยังไงดีนะ พวกเรา”
“ฉันสติไม่ดี ไม่มีความรู้เรื่องเขตแดน ฉันจะรู้ได้ยังไง ว่าที่ตรงไหนเป็นของใคร”
“ไม่รู้ ไม่เป็นไร...ฉันจะได้พาเธอไปที่บ้าน ไปดูแผนที่พร้อมๆกันกับกำนันแม้นพ่อฉัน..เฮ้ย จับตัวนังนี่ไป”
ลูกน้องทุกคนพุ่งเข้าไปจับ อมาวสีชักม้าทะยานหนีทันที หมู่ลูกน้องขับรถโฟร์วีลล์ไล่ตามอย่างกระชั้นชิด
ม้าของอมาวสี วิ่งทะยานไปบนทุ่งโล่ง หมู่รถโฟร์วีลล์ วิ่งไล่ วนไปรอบๆ ม้าตัวนั้น อมาวสีพยายามบังคับม้าตัดทุ่งเพื่อหลบรถโฟร์วีลล์ เธอตัดสินใจบังคับให้กระโดด
ม้าตัวนั้นทะยานลอยสูงเหนือรถโฟร์วีลล์ และลอยพ้นรถ ตกลงบนพื้นดิน

ร่างของอมาวสีเสียหลักตกลงจากหลังม้าอย่างแรง กลิ้งหลุนๆ ไปกับผิวดิน สภาพดูออกว่าคงบาดเจ็บสาหัส

อ่านต่อตอนที่ 10
กำลังโหลดความคิดเห็น