“แป๊ป ณฤทธิ์” กับงาน “ผู้จัด” พ่อครัวหัวป่าก์ ละครยาวเรื่องแรก
ชื่ออาจจะไม่คุ้น แต่ผลงานนั้นมากมายหลากหลายสำหรับ “แป๊ป ณฤทธิ์ ยุวบูรณ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท “มายน์แอทเวิร์คส์” จำกัด ล่าสุด จัดงานบวงสรวงเปิดกล้องละคร ในฐานะผู้จัดละครช่อง 3 อย่างเต็มตัวในเรื่อง “พ่อครัวหัวป่าก์” ที่นำแสดงโดย “หลุย สก๊อต” และนางเอก “พริม รณิดา” จึงต้องมาพูดคุยทำความรู้จักกับผู้จัดที่ธรรมดาคนนี้สักหน่อย
ก่อนหน้าก็เคยทำละครให้ช่อง 3 มาแล้ว อันนั้นคือเรื่อง
““ลูกไม้ของพ่อ” อันนั้นก็เป็นละครยาวนะครับ แต่เป็นซีรีส์ เรื่องหนึ่งมี 12 ตอน แต่เรื่องนี้จะเป็นละคร 24 ตอน”
“พ่อครัวหัวป่าก์”เป็นละครหลังข่าว ?
“ลงเวลาไหนยังไม่รู้ ช่องบอกว่า ให้ทำงานแบบไม่มีความแตกต่างในการผลิต เพราะถ้าก่อนทำเรามาแยกว่าเป็นละครช่วงไหนแล้วทำไม่เหมือนกันมันก็ไม่ดี ฉะนั้นทำให้มันมีคุณภาพเท่ากับหลังข่าวทั้งหมดจะดีกว่า ผู้ใหญ่บอกว่าที่ผ่านมาคนมักเข้าใจกันผิดว่ามี 2 Qualiyt (คุณภาพ) ฉะนั้นเราทำให้ดีไว้ก่อน จะได้ไปออกอากาศตรงไหนเวลาไหนเดี๋ยวช่องจะดูให้เอง”
ทำงานทีวีมานานเป็นสิบปีแล้ว ก่อนหน้าทำอะไรมาบ้าง
“เริ่มต้นทำ แรกเลยคือรายการ”ไทยมุง” กับอาต้อยเศรษฐา เป็นเรื่องของการดูแล้วจับผิด เป็นเกมโชว์ ต่อมาก็เป็นรายการ”รู้จริงปะ” ที่มีน้าเนคเป็นพิธีกร ก็มีการปรับพอสมควร เพราะมีความไม่เหมือนกันใน 2 รายการนี้
“ไทยมุง”เป็นเกม แต่”รู้จริงปะ”เป็นเรื่องของการใส่ใจคนรอบข้าง เรารู้จักคนรอบข้างเราดีขนาดไหน เป็นทั้งเกมและวาไรตี้ผสมกัน ทำมา 5-6 ปี แล้วก็มาทำรายการ “ท้าเรียง” จัดอันดับจากมากไปหาน้อย มีการชั่งตวง มีพี่นีโน่เป็นพิธีกร
แล้วก็มาทำคอนเสิร์ต “Clonning Singing Contest” เป็นไอเดียที่เราตั้งว่ามี 8 ศิลปินดัง อย่าง ป๊อด โมเดิร์นด๊อก, แอ๊ด คาราบาว ฯลฯ แล้วเราก็ไปคัดมาจากทั่วประเทศ คนที่เลียนแบบเขาได้เหมือนแล้วมาร่วมแจมกันบนเวทีเลย สุดท้ายก็จะมี 3 คนที่เหมือนแล้วก็ตัวจริงอีก 1 คนรวมเป็น 4 คนแล้วสลับกันร้องให้เหมือน
จากนั้นก็มาทำ”บันทึกกรรม” คือผมเรียนมาทางด้านภาพยนตร์และฟีล์มโปรดักชั่น ผมชอบด้านภาพยนตร์มากๆ ตอนที่กลับมาก็ได้ไปฝึกงานที่”ฟีล์มบางกอก” จับพลัดจับผลูได้มาทำทีวีก่อน ไม่ได้ทำหนังเลย เพิ่งจะได้ทำเมื่อปีที่แล้วเอง เรื่อง “ทองสุก 13” ซึ่งตอนอยู่กับพี่อังเคิ่ลก็เป็นผู้ช่วย
รายการบันทึกกรรม มีคอนเซปท์อย่างไร
“บันทึกกรรมเป็นคอนเซปท์ที่ว่าผมอยากจะเห็น เหมือนหนังจอเล็ก เป็น Filmlook ตอนนั้นมีเรื่องการใช้เลนส์ของกล้อง 5d, 7d เอามาใช้ การเปลี่ยนเลนส์ทำให้ภาพสวยงามเหมือน Filmlook
ผมมีคอนเซปท์เอาผู้กำกับหนังมาถ่ายทอด ตอนนั้นยังเป็นไอเดียที่ยังใหม่ๆ ก็จะมี “คุณย้ง”มาช่วยทำด้วย เป็นเพื่อนผม ได้มาลองอะไรสั้นๆ ก็อยากมาลองกัน มี”พี่อังเคิ่ล”ก็ช่วยทำ มีหลายคนเลยรุ่นแรกๆ
ที่ทำอยู่ ก็ได้เสียงตอบรับที่ดี โปรดักชั่นดูสวยงาม ก็ทำมาจนถึงทุกวันนี้ พอทำกันได้สักพักหนึ่งคนก็ “เอ๊ะ อุปกรณ์มันก็ไม่ได้แพง” แยกย้ายออกไปทำเองกันได้หมด ทุกคนก็เริ่มทำกัน แยกออกไปๆ ไปทำของเขา จะว่าไป “บันทึกกรรม” ถึงตอนนี้ก็ 5-6 ปีแล้ว 200 กว่าตอน
ได้อะไรจากการทำงานแนว Filmlook บันทึกกรรม ที่ยาวนาน 5-6 ปีนี้บ้าง
“ผมได้เรียนรู้โปรดักชั่นหนัง ได้รู้จักผู้กำกับ เป็นช่วงเวลาที่ผมได้ประโยชน์มากๆ ได้รู้จักกับคนเยอะมาก ได้คุยได้แลกเปลี่ยนไอเดียกัน ตอนนั้นมีโจทย์ที่ผมไปเสนอผู้ใหญ่ว่า “บันทึกกรรม”นี่มันสั้น เราจะทำเหมือนหนังเลย เหมือนหนังโรง ผู้ใหญ่ก็ซื้อไอเดีย ชื่อว่า“หนังดังสุดสัปดาห์”
ให้ผู้กำกับที่เขาเคยช่วย มาทำกันเลย ใครมีไอเดียก็มา ผมให้งบเขาไป เขาก็ไปทำกัน ผมก็คุมอยู่ให้มันเป็น Feelgood ถึงจะเป็นแนวผีก็ต้องเป็น Feelgood คืออยากจะได้แบบหนังดีสนีย์มาดูกัน ตอนนั้นก็ได้ไปอยู่สักพักหนึ่งเลยครับ ผมได้รู้จักคนเพิ่มขึ้นไปอีก เราได้ Quality ด้วย ได้ดาราที่ทางช่องเอามาให้ด้วย อย่างคุณ”ปอทฤษฎี”ก็มาเล่นให้
ตอนนี้ยังมีอยู่ไหม “หนังดังสุดสัปดาห์”
“ตอนนี้ไม่มีแล้วครับ ตอนนั้นเป็นโปรเจคท์ของช่อง ผมก็เสียดายมาก มันเหมือนกับการเปิดประตู เหมือน”บันทึกกรรม” เป็นการเปิดประตูทีวีกับหนังให้คนเข้ามาเจอกัน มาจอยกัน มาแลกเปลี่ยนกัน คือช่องก็พูดตลอดเวลาว่าให้ช่วยกันสร้างคน
ทุกวันนี้ยังไม่พอเรื่องของบุคลากร คนเขียนบท ผู้กำกับ หรือต่างๆ นานา ผมว่าตรงนี้ล่ะมันเป็นช่องทางได้เลย คุณลองเอาดาราที่คุณคิดมาเล่นสิ ด้วยความที่ตอนนั้นผังเวลามันมีจำกัด ก็ต้องให้ไป เป็นนโยบายมา ผมยังหวังว่าอนาคตมันจะกลับมาได้ไหม”
มองวงการโทรทัศน์อย่างไรที่ผู้กำกับหนังมาเป็นผู้กำกับละครโทรทัศน์
“ผู้กำกับหนัง เขาทำหนังใหญ่อย่างเดียวมันอยู่ลำบาก ตอนนี้เป็นจุดที่เขาสามารถทำได้ เพราะมันถ่าย 5 วันเอง(หนังดังสุดสัปดาห์) มากกว่านั้นไม่ได้ ไม่มีงบประมาณ ต้อง 5 วันจบ มีคนมาด่าผมนะครับว่าจะมาทำให้วงการภาพยนตร์เสีย เขาคิดว่าต่อไปผมจะเอาหนังพวกนี้ขึ้นไปทำเป็นหนังใหญ่ ขายในโรงภาพยนตร์ แต่ผมไม่เคยคิดอย่างนั้น ผมคิดว่ามันคนละสื่อกันเลย ที่ผมทำนี่มันทีวี มันลงทุนแค่นี้ มันควอลิตี้ไม่ขึ้นเป็นภาพยนตร์ใหญ่ได้อยู่แล้วครับ
ผมก็ล้มลุกคลุกคลานปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เดี๋ยวได้เวลา คือผมต้องคอยเสนอ แล้วก็มีการปรับเปลี่ยน ตอนนี้ต้องเปลี่ยนแล้วนะก็เสนอใหม่ ในตลอดเวลาเกือบ 10 ปีผมก็คอยเสนออะไรใหม่ๆ เรื่อยๆ ตอนนี้ก็รีรันไปก่อน ทีวียังไม่นิ่ง แม้จะมีช่องเพิ่ม แต่คนก็ยังไม่กล้าซื้อโฆษณา ต้องรอดูกระแสให้มันนิ่งก่อนแล้วถึงจะทำ
พอหมดจาก”หนังดังสุดสัปดาห์” ก็ทำ”เกมภาษาไทย” ได้รางวัลด้วย รางวัลกระทรวงวัฒนธรรม ชื่อรายการ “44214 เกม” มีการโชว์ มีตลก แล้วทายว่าคำนี้หมายความว่าอะไร สำนวนนี้หมายความว่าไง เรามีที่ปรึกษาต่างๆ ช่วย เป็นความภูมิใจที่ได้ทำรายการเกี่ยวกับภาษาไทย การทำภาษาให้เป็นเรื่องดึงดูดคนได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วต้องทำให้มันสนุกด้วย ก็ทำไป
ปีที่แล้วทำ “Junior Master Chef Thailand” ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว เป็นซีซั่น มันไม่ Mass ในเมืองไทย ไม่งั้นก็มีซีซั่น 2 แล้ว เป็นเรื่องของเอเจนซี่คุยกับทางช่องแล้วจ้างผมผลิต เป็นโปรดักชั่นที่โหดที่สุดในชีวิตของผมแล้ว เพราะว่าต้องทำตามไบเบิลของเมืองนอก เขากำหนดมาว่าเวลาเด็กทำอาหารอยู่กล้องต้องห้ามเห็นกันนะ แล้วรายการเด็กกับอาหาร มันก็... พูดถึงอาหารก่อน คนไทยกับอาหารฝรั่งบางทีมันก็ Mass ในระดับหนึ่ง ไม่ง่ายเหมือนเพลงที่เข้าถึงได้ง่าย
ปีที่แล้วเพิ่งได้โอกาส เป็นพระคุณอย่างสูงเลยที่ได้โปรเจคท์ซีรีส์ 5 เรื่อง “ลูกไม้ของพ่อ” มีบทมาให้เสร็จสรรพ แล้วให้ผมดูแลหมดทั้ง 5 เรื่อง เอาทีมมาแต่ละเรื่องๆ ผมก็ดึงผู้กำกับหนังที่เคยร่วมงานมา เช่น “ทวีวัฒน์ วันทา” (ก๊วนกระบี่ผีระบาด,ทองสุก 13) แล้วก็มี “เพื่อน ภาคภูมิ วงศ์จินดา” (รับน้องสยองขวัญ) และปีที่แล้วก็ทำหลายเรื่องให้สหมงคลฟีล์ม"
“ลูกไม้ของพ่อ” คนละแนวกับหนังที่ผู้กำกับหนังเคยทำมาเลย
“เราก็จูนกันมาพอสมควร ตั้งแต่เขาทำ”หนังดังสุดสัปดาห์”มา ก็ต้องทำให้เด็กดูได้ ต้องจูนกันก่อน ไม่ใช่มาใหม่ๆ แล้วลงละครเลย มันต้องปรับตัว หนังกับละคร การเล่าเรื่อง การนำเสนอ ก็ต่างกัน แล้วได้ผู้ใหญ่ที่อุตส่าห์มาช่วย ที่เขาทำละครมานานหลายเรื่องแล้วในวงการก็มาช่วย ก็มาผสมกัน"
เรื่อง ”ลูกไม้ของพ่อ” ผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง
“ดีเลยครับ ในอินเตอร์เน็ทก็เขียนชื่นชมกัน ผมโชคดีที่ได้ทีมคนเขียนบทของช่อง 3 ที่มีหัวเป็นคุณยิ่งยศ ปัญญา แล้วนิยายเขาก็ดีอยู่แล้ว เหมือนผมได้ของดีมาแล้ว ถ้ายังทำไม่ดีอีก แสดงว่าผมแย่มากแล้ว
หัวใจของเรื่องทุกอย่างมันอยู่ที่บท ถ้ามีบทที่ดีก็จะทำให้เราทำงานไปได้กว่าครึ่ง แต่มันก็ขึ้นอยู่ว่า ผมจะทำออกมาได้ยังไง แต่คนก็ชมนะว่าโปรดักชั่นสวย แต่เรื่องจูนอารมณ์ ผมอาจจะต้องเรียนรู้ไปอีกมากๆ
ก็ได้เรียนรู้ดีครับกับการทำละคร เพราะผมทำรายการมาเกือบ 10 ปี พอมาทำละครปั้บผลตอบรับมันเร็วมาก ละครมัน Mass มาก มันเห็นเลยว่า เดี๋ยวด่า เดี๋ยวชม เดี๋ยวนั้นเลย เวลาพาน้องๆ ไปออกอีเวนท์แล้วผมไปด้วย มีคนมาทักผมเลยนะฮะ “เป็นผู้จัดใช่มั้ย” โอ้โห ผมน้ำตาไหลพราก ทำรายการมา 10 ปีไม่มีใครรู้จัก พอมาทำละครเรื่องเดียวมีคนรู้จักเลย
มันจะถูกกับกลุ่มที่เขาเป็นผู้ใหญ่หน่อยจะยิ่งชอบ เขาพูดส่”ปกติไม่ค่อยให้ลูกหลานดูละคร แต่ซีรีส์นี้อยากให้ดูเลย” ก็เลยตอบโจทย์ที่ผู้ใหญ่อยากให้ทำให้ช่อง ทำละครที่ดูได้ทั้งครอบครัว Feelgood ไม่รุนแรง ผมว่ามันตอบโจทย์ได้ระดับหนึ่ง มีแต่คนเข้ามาชมผม บอกว่า “ชอบมากเลย ให้ลูกหลานดู”
มาที่เรื่องนี้บ้าง ละครยาวเรื่องแรก “พ่อครัวหัวป่าก์”
“พอจบ”ลูกไม้ของพ่อ” ผมก็เสนอโปรเจคไปเรื่อยๆ ว่าอยากจะทำเรื่องอะไรๆ เรื่องอะไรจะผ่าน สำหรับเรื่องนี้ ”พ่อครัวหัวป่าก์”ผมชอบมากเลยครับ ตั้งแต่ “อนุสรณ์ เตชะปัญญา” เล่นกับ “อุทุมพร” จากนั้นก็มีหลายเวอร์ชั่นที่ทำออกมา ผมว่าเรื่องนี้ถ้าเอามาทำดีๆ มันก็น่ารัก Feelgood ไม่แน่ใจน่าจะเป็นครั้งที่ 4 ตอนทีวีธันเดอร์ทำก็มีโอวรุฒกับพี่นีโน่ แล้วก็มีช่องไอทีวีก็ทำ”
ชอบอะไรในเรื่องนี้
“คาแรคเตอร์พระเอกมันน่ารักแล้วต้องเล่นหลายคาแรคเตอร์มากครับ ตอนแรกมีความรักอยู่กับคนหนึ่ง อยากมีชีวิตที่ดีอยากแต่งงาน ปรากฏว่าโดนผู้หญิงทิ้ง พระเอกก็รวยนะ แต่ผู้หญิงทิ้งไปหาคนที่คิดว่ารวยกว่า พระเอกเลยมองผู้หญิงไม่ดี เห็นแก่เงิน จากตอนแรกเขาจะเซอร์ๆ มองโลกในแง่ดีก็เปลี่ยนความรู้สึกไป ไม่เชื่อในเรื่องความรัก ปล่อยตัว เสเพล เที่ยวไปวันๆ
จนมาเจอนางเอก รู้สึกประทับใจ เกิดมีไอเดีย อยากพิสูจน์ว่าผู้หญิงที่มีรักแท้จะมีไหม ไม่บ้าเงิน ก็เลยพยายามหาทางใกล้ชิดสมัครไปเป็นพ่อครัวบ้านนางเอก ที่มีคุณแม่ที่งกสุดๆ ซึ่งแต่ละคนมีดีมีชั่ว ไม่มีอะไรที่ชั่วสุดๆ แล้วก็ดีสุดๆ ทุกคนต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน แต่งเติมซึ่งกันและกัน
พอเข้าไปอยู่ในบ้านปั้บก็เกิดความฮา แม่นางเอกไม่อยากให้พ่อครัวผู้ชายมาใกล้ลูกสาว พระเอกเลยต้องปลอมเป็นตุ๊ด พอถึงกลางเรื่องพระเอกปลอมตัวเป็นคนเนี้ยบ มองทุกอย่างเป็นธุรกิจ ทุกอย่างเป็นเงิน ต้องหมุนตามโลก เข้ามาให้นางเอกเลือกว่าจะเลือกคนไหน เป็นสูตรคลาสสิคของละคร ผมเลยอยากนำเสนอเสน่ห์ตรงนี้ จะสลับตัวกันยังไง"
ที่เลือกพระเอกนางเอกคู่นี้เพราะ...
“ผมว่าใช่เลยนะครับ พระเอกหลุยส์ เป็นคนน่ารัก จะเป็นคนเนี้ยบๆ ก็เป็นได้ พอเป็นคนเซอร์ๆ ก็ได้ ยิ่งเล่นเป็นตุ๊ดยิ่งน่าดูเข้าไปใหญ่ นางเอกก็ต้องเป็นคนฉลาด อยู่ในกรอบ ไม่ได้เปรี้ยวจ๋า ดูนิ่งๆ แต่คิดตลอด ตัวแม่นางเอกพี่ตุ๊กดวงตานี่ผมชอบเวลาแกเล่นมากครับ
เป็นละครโรแมนติกคอมาดี้ มีฉากกุ๊กกิ๊ก มีลักพาตัว เปิดตัวครั้งแรกที่เมืองนอก ทั้งคู่ยังเด็ก เอาคอสตูมมาช่วยให้ดูเป็นเด็กใสๆ พระเอกมีหนวดมีเคราอยู่แล้วครับ ผมเคารพตามบทประพันธ์เดิม ทำให้มันทันยุคทันสมัยแต่ก็ต้องเอาหัวใจออกมาด้วย
ฝากละครยาวเรื่องแรกของ ”มายน์แอทสเวิร์คส์” ด้วยนักแสดงคุณหลุยส์คุณพรีมแล้วเนื้อเรื่องน่ารัก ตลก ไม่ได้ทิ้งความคลาสสิคของบทประพันธ์เดิมที่มันมีคุณค่า ผมคิดว่าเป็นละครที่ทำให้คนดูสนุก ดูแล้วเพลิดเพลิน แก้เครียดได้ครับ”
การทำงานหลายๆ อย่างทำให้เราได้เรียนรู้มากขึ้น อย่าเลือกทำแต่งานที่ชอบ เพราะงานที่ไม่ชอบจะทำให้เราได้เรียนรู้และพัฒนาความสามารถที่เราไม่รู้ให้ดียิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้