"เกรซ" รับบท "พระสุพรรณกัลยา"
บทบาทที่ท้าทายที่สุดในชีวิต!
กว่า 5 ทศวรรษของท่านมุ้ย มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ท่านคือหม่อมเจ้าผู้มีสายเลือดนักทำหนัง-ผู้มีอาชีพคือเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ไทยมาตลอดชีวิต เป็นศิลปินแห่งชาติและได้รับการยกย่องถึงอัจฉริยภาพในฐานะผู้กำกับหนังไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทย เมื่อเอ่ยชื่อท่านมุ้ยภาพของท่านในความคิดของเกรซเป็นอย่างไร
"เกรซได้ยินชื่อและผลงานของท่านมุ้ยมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทองพูน โคกโพธิ์ (ราษฎรเต็มขั้น), คนเลี้ยงช้าง และอีกมากมายค่ะ แต่ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเราจะมีโอกาสได้ร่วมงาน เคยพบและคุยกับท่านในงานต่างๆ ก็ได้แต่ชื่นชมและคิดว่าเป็นผู้กำกับที่ยิ่งใหญ่เหลือเกินค่ะ เคยไปที่กอง “สุริโยไท” กับคุณพ่อแล้วรู้สึกประทับใจมาก ไปถ่ายรูปเบื้องหลังเพราะคุณพ่อชอบถ่ายรูป ช่วงพักทานข้าวเกรซก็ขับรถออกมาในเมืองกับคุณพ่อ ฝนตกหนักมากเลยนะคะก็เลยคิดว่าในกองเขาไม่ถ่ายต่อหรอกเพราะฝนก็คงจะตกเหมือนที่นี่ จึงโทรเข้าไปหาเพื่อนที่อยู่ในกอง เพื่อนบอกว่าที่นี่ไม่มีปัญหาเลย ถ่ายต่อได้ พอเราแล่นรถเข้าไปในบริเวณที่กองถ่ายซึ่งอยู่กลางทุ่งนาก็เห็นเลยว่าฟ้าเปิดที่เดียวตรงจุดที่ถ่ายทำกัน คือรอบข้างนี่มืดหมดเลย พอท่านถ่ายเสร็จแล้วสั่งเลิกกอง..ฝนตกเลย เป็นอะไรที่เราประทับใจมาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วชื่อของท่านมุ้ยนี่ก็ดังก้องอยู่ในหัวตลอด"
พูดถึงกษัตริย์นักรบอันเป็นที่เคารพรักและศรัทธามากที่สุดพระองค์หนึ่งของคนไทย “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ในความรู้สึกของเราที่มีต่อพระเองค์ท่านเป็นอย่างไร
"สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นกษัตริย์ที่ทรงเสียสละมากมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ตลอดพระชนม์ชีพของท่านจะเกี่ยวข้องอยู่กับการเมืองและการรบในสมรภูมิอยู่ตลอดเวลา เหมือนฟ้าลิขิตมาว่าท่านมีภารกิจที่ต้องทำอย่างนี้ตั้งแต่เด็กเลย โตขึ้นมาด้วยกันกับพระสุพรรณกัลยาก็ไปสมรภูมิรบด้วยกัน แล้วก็ไปอยู่ที่พม่าด้วยกัน ก็มีความรู้สึกว่าท่านเป็นกษัตริย์ที่น่ายกย่องและมีน้ำใจที่ประเสริฐ แล้วในหนังนี่จะเห็นเลยนะคะว่าท่านมีเพื่อนก็คือบุญทิ้ง มีความรักคือมณีจันทร์ แล้วก็ความรักที่ท่านมีให้กับทหารของท่าน ความรักที่ท่านมีให้กับบ้านเมือง และความรักที่มีให้กับตัวท่านเองกับบุคคลรอบข้างค่ะ"
และถ้าให้พูดถึงอภิมหาโปรเจกต์ภาพยนตร์ไทยเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อย่าง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ในความรู้สึกของเกรซ ที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้
"ถ้าจะพูดถึงอภิมหาภาพยนตร์ก็ต้องพูดถึงตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแล้วล่ะค่ะ เพราะถ่ายทำกันมายาวนานมาก เริ่มตั้งแต่วันแคสต์มาจนถึงปัจจุบันก็สิบปีแล้วแน่ๆ เมื่อก่อนนี้เคยคิดเล่นๆ คุยกันเล่นๆ ว่าหนังเรื่องนี้จะถึงสิบปีหรือเปล่า...ปรากฏว่าวันนี้สิบปีจริงๆ ถ้าเป็นเด็กก็โตมากับหนังเรื่องนี้จริงๆ ค่ะ"
แน่นอนว่าเมื่อเอ่ยชื่อ “เกรซ มหาดำรงค์กุล” หลายคนคงนึกภาพลักษณ์ในความเป็นสาวสังคมที่ดูดี สวยเก่งและมากความสามารถแต่เชื่อว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาหลายคนคงคุ้นชินกับภาพความเป็นนักแสดงและการที่เข้ามามีบทบาทที่หลากหลายขึ้นในวงการบันเทิงรวมไปถึงในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ผลิตภัณฑ์ความสวยความงาม อยากให้เกรซเล่าให้ฟังถึงชีวิตที่ผ่านมาและบทบาทล่าสุดในปัจจุบัน
"ชีวิตที่ผ่านมานี้ก็ทำงานอยู่ 2 อย่างนะคะ ทำงานออฟฟิศเหมือนกับที่คนอื่นเขาทำกัน และก็มีโอกาสทำงานอย่างอื่นด้วยคืองานด้านบันเทิง เป็นพิธีกรรายการทีวี พิธีกรงานอีเว้นท์ แล้วก็เล่นมิวสิควิดีโอบ้าง ถ่ายแบบบ้าง จิ๊บๆจ๊อยๆ ไปเรื่อยค่ะ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จริงๆ แล้วตั้งแต่เด็กก็มีคนชวนไปเล่นละครเพราะเกรซถ่ายแบบลงนิตยสารตั้งแต่อายุ 15 พอคนเห็นเขาก็จะมาถามว่าสนใจงานละครไหม สนใจงานหนังไหม เราก็เคยเข้าไปแคสต์บ้างแต่บางทีก็คิดว่าอาจจะไม่เหมาะหรือว่าช่วงนั้นใจบอกว่ายังไม่รู้สึกอยากทำน่ะค่ะ จนเวลาผ่านมาเรื่อยๆ ก็มีโอกาสได้ไปแคสต์หนังเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชค่ะ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าอยากรู้ที่เขาแต่งตัวกันในสุริโยไทเป็นผมทรงที่ตั้งๆ ขึ้นมานี่เขาทำยังไง แล้วก็อยากรู้ว่าถ้าเราแต่งชุดไทยอย่างนั้นเราจะเป็นยังไง ดีใจมากที่เขาเรียกไปแคสต์ก็ถามเขาอย่างเดียวว่าจะได้ใส่ชุดอย่างนั้นไหม พอเขาบอกว่าได้ใส่เกรซก็รู้สึกแฮปปี้มากแล้ว คือเอากล้องตัวเองไปถ่ายรูปนั้นเก็บไว้ หลังจากวันนั้นทางกองก็หายไปเลย..หายไปจนคิดว่าคงไม่เรียกแล้ว หลังจากนั้นอีกหนึ่งปีก็โทร.มาเรียกให้ไปใส่ชุดไทยอีกชุดหนึ่งซึ่งเป็นยุคอื่นและทำผมทรงใหม่..แล้วก็หายไปอีกพักหนึ่งเลยค่ะ แล้วก็โทร.มาอีกทีนี้เกรซก็เลยถามว่าหนังเรื่องอะไรเหรอคะ เขาก็บอกเรื่องนเรศวรฯ นี่แหละ เกรซก็..อ้าว...ยังถ่ายไม่เสร็จอีกเหรอคะ ปรากฏเขาบอกว่ายังแคสต์กันอยู่ พอเกรซได้มีโอกาสเข้ามาด้วยความที่การแสดงเป็นงานใหม่สำหรับเกรซซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้เลย เรื่องงานแสดงนี่ไม่ได้เลย ก็ถูกสั่งให้ไปเรียนการแสดงค่ะ ได้เจอผู้พันเบิร์ด(วันชนะ สวัสดี)กับผู้พันต๊อด(วินธัย สุวารี) โดยที่เขาก็ยังไม่ได้บอกว่าใครรับบทอะไรก็เข้าไปเรียนการแสดงด้วยกันหลายครั้ง บางครั้งเรียนเดี่ยวก็สนุกดี คิดว่ามันเป็นศาสตร์ที่เราเสียดายที่ไม่ทำก่อนหน้านี้ เพราะรู้สึกว่าการเรียนการแสดงคือการที่ไม่ได้เป็นตัวเราเลย เราไม่ได้เอาตัวตนของเราเข้ามา เขาสั่งให้เป็นอะไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ก็ต้องมีแบบฝึกหัดมากมาย เพิ่งมารู้ตอนหลังว่าตัวเองได้รับบทอะไรก่อนหน้าที่จะไปถ่าย..ไม่น่าจะถึงอาทิตย์ด้วยซ้ำค่ะ"
ความรู้สึกของเราเมื่อพอรู้ว่าได้เข้ามาเป็น1ในตัวละครสำคัญของโปรเจกต์ภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่มากๆ เรื่องนี้
"ในที่สุดพอโปรเจกต์นี้มาถึงจริงๆ นะคะ เราก็แบบว่า..ไม่แน่ใจ เพราะเป็นโปรเจกต์ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ตั้งแต่ตัวผู้กำกับ การมีโอกาสเข้ามาสัมผัสและได้ท่านมุ้ยเป็นอาจารย์คนแรกเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว ท่านมุ้ยเป็นผู้กำกับที่ได้รางวัล เป็นปูชนียบุคคลทางด้านภาพยนตร์ แล้วก็ยังเป็นศิลปินแห่งชาติด้วย ถือว่าเป็นที่สุดแล้วค่ะที่ได้เล่นหนังเรื่องนี้ แล้วเมื่อมีโอกาสได้ไปที่กาญจนบุรีก็ตื่นเต้นมากรู้สึกเหมือนได้เข้าไปในยุคอดีต เพราะว่าที่นั้นเขาเลี้ยงวัวเลี้ยงควายกันจริงๆเลย มีสัตว์มากมาย มีช้างจริงๆ แล้วก็มีการสร้างฉากขึ้นมาจริงๆ เมืองโยเดีย เมืองหงสาวดี สรรเพชญปราสาท ฯลฯ คือทุกอย่างยิ่งใหญ่มากเหมือนเราได้เขาไปในเมืองสมัยโบราณ เวลาที่ทุกคนแต่งตัวนะคะจะยิ่งรู้สึกขลังมากเลยคือเหมือนเรากลับไปอดีตจริงๆ ส่วนบทนี้เป็นที่สุดแล้วของชีวิต เมื่อก่อนนี้เกรซเป็นพิธีกรที่ได้เข้าไปสัมผัสชีวิตชาวบ้าน คือทุกอาทิตย์จะไปตามบ้านของชาวบ้านที่อยู่ลึกๆเลยนะคะหรือตามตะเข็บชายแดนเช่นบุรีรัมย์ ไม่ได้เป็นหมู่บ้าน ไม่ได้อยู่ในอำเภอเมือง สิ่งที่สังเกตเห็นและมักจะเจออยู่เสมอคือภาพในหลวงของเรา ภาพในหลวงรัชกาลที่ห้า ภาพพระนเรศวร แล้วก็จะเป็นภาพพระสุพรรณกัลยา ซึ่งอันนี้เป็นอะไรที่เกรซเห็นเป็นประจำนะคะ เลยทำให้รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่สุดๆ แล้วจริงๆ สำหรับวีรสตรีนะค่ะ"
เนื่องด้วยตัวภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นโปรเจกต์ที่ยิ่งใหญ่มาก และใช้ระยะเวลาในการถ่ายทำยาวนานนับ 10 ปีมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นมากมายกับนักแสดงแต่ละคนที่เรียกได้ว่าเป็นทั้งประสบการณ์และความทรงจำที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งในชีวิต ทราบมาว่าชีวิตของ เกรซ-มหาดำรงค์กุล เปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงหลังจากที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้
"(หัวเราะ) หนังเรื่องนี้ก็อย่างที่บอกนะคะว่าเดินทางมาตั้งสิบปี แน่นอนว่าต้องมีอะไรที่เปลี่ยนชีวิตเกรซ อยู่แล้ว จากที่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง หรืออาจจะรู้จักเกรซในบทบาทของพิธีกรบ้าง นางเอกมิวสิควีดีโอบ้าง ถ่ายแบบหรือเป็นพรีเซ็นเตอร์ของสินค้าบ้าง แต่ไม่เคยมีบทบาทด้านการแสดงแน่นอน ก็เป็นจุดพลิกผันที่ทำให้คนรู้จักเยอะขึ้นนะคะ เมื่อก่อนที่ยังไม่ได้รับบทนี้เกรซก็ไม่ค่อยมีอะไรหรือไม่มีใครเอาของสำคัญมาให้ แต่พอหนังเรื่องนี้ออกฉายครั้งแรกเกรซก็ได้รับของที่เกี่ยวกับพระสุพรรณกัลยาเยอะมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ ล็อกเก็ต บทสวดมนต์ ฯลฯ แล้วก็มีภาพภาพหนึ่งที่ฝากมาทางคุณปีเตอร์-นพชัยค่ะ มาจากพม่า เป็นภาพพระสุพรรณฯที่เป็นตัวเกรซใส่ชุดไทยแล้วก็ประดับด้วยพลอยทั้งภาพเลย โดยไม่บอกด้วยว่าเป็นใคร ขอถือโอกาสขอบคุณผู้ที่ให้มาด้วยนะคะ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงเยอะมากในชีวิต แล้วก็เป็นงานแสดงที่..จากตอนแรกที่ไม่เคยรับเลยและไม่คิดที่จะทำด้วย ก็กลายเป็นว่าเปิดโลกทัศน์ให้เกรซเยอะมากค่ะ รู้สึกว่าการแสดงเป็นศาสตร์อีกอย่างหนึ่งที่เราไม่เคยได้สัมผัส แต่พอได้สัมผัสเลยรู้ว่าการแสดงมันมีเสน่ห์ มีความรู้สึกว่าถ้ามีเรื่องต่อไปที่เราเหมาะก็อยากจะทำ อยากจะแสดง ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดว่างานแสดงกับเราจะไปด้วยกันได้ ส่วนเรื่องราวในกองถ่ายก็มีมากมาย..อย่างผู้พันเบิร์ด แอฟ ปีเตอร์ หนึ่ง-ชลัฏ ซึ่งต่างคนก็ต่างมาจากหลายๆที่ ด้วยความที่เราเจอกันบ่อยมากมานานเป็นสิบปี บางทีเกรซถ่ายแต่คนอื่นไม่ถ่ายเขาก็มาให้กำลังใจ แล้วทุกคนเรียกเกรซว่าหัวหน้าเพราะว่าเราโตสุด พอเวลาไปเมืองกาญจน์เกรซกับผู้จัดการก็จะหอบขนมไปเยอะมากเพื่อเอาไปแบ่งกันที่กอง พวกหนุ่มๆก็จะมาเรียงแถวรับขนมกัน วนเวียนกันอยู่ตรงนี้แหละค่ะ แล้วก็ไปทานข้าวกันตอนเย็น ส่วนเรื่องที่ทำให้มีจุดเปลี่ยนในชีวิตเกรซมากที่สุดก็คือได้พบกับสามีของเกรซในกองนี้..มาแสดงด้วยเหมือนกัน"
มาที่บทบาทที่เกรซได้รับซึ่งเป็นบุคคลที่มีอยู่จริงและมีความสำคัญในประวัติศาสตร์เป็นพระพี่นางของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วย อยากให้เล่าให้ฟังถึงการรับบทเป็นพระสุพรรณกัลยา
"ในเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนี้ เกรซก็ได้รับบทเป็นพระสุพรรณกัลยา เป็นพระธิดาของสมเด็จพระมหาธรรมราชา มีน้องชายก็คือพระองค์ดำหรือพระนเรศวร และพระองค์ขาวหรือพระเอกาทศรถ ตั้งแต่เด็กท่านถูกส่งไปที่หงสาวดีเพื่อเป็นตัวประกัน เพราะฉะนั้นท่านจึงจากบ้านเมืองไปตั้งแต่เด็กๆ สิ่งที่ท่านเอาติดตัวไปด้วยก็คือดิน เป็นการเตือนว่าตัวเองมาจากไหน เป็นผู้หญิงไทยตัวเล็กๆ ที่มีความกล้าและมีความอดทนมาก ประวัติศาสตร์ไทยจะพูดถึงท่านน้อยมาก อาจจะเขียนไม่กี่บรรทัดว่าท่านถูกส่งตัวไป แต่ท่านมุ้ยบอกว่าพอไปค้นประวัติก่อนทำหนังเรื่องนี้ ทั้งของมอญ พม่า โปรตุเกส ขอม จะมีการเขียนถึงพระสุพรรณฯ เยอะมากเพราะว่าท่านไปใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่หงสาวดีตั้งแต่เด็ก ท่านเป็นคนที่รักในศักดิ์ศรีของความเป็นไทย จะเห็นว่าท่านไม่เคยเปลี่ยนการแต่งกาย จะใส่ชุดไทยตลอดเวลา และไม่เคยเปลี่ยนตัวเอง ความมุ่งมั่นความเด็ดเดี่ยวของท่านคือความเสียสละ เพราะท่านมีความยึดมั่นว่าวันหนึ่งท่านจะต้องได้กลับไปอโยธยาซึ่งมันเป็นอะไรที่เกรซเศร้ามาก เราเป็นคนรุ่นหลังเราจึงรู้อยู่แล้วประวัติศาสตร์เป็นยังไง แต่เวลาเล่นบทท่านเราต้องเล่น ณ ตอนนั้น จุดที่ท่านพูดหลายๆ ครั้งว่าท่านรอวันนี้มานานแล้ว วันที่ได้ความเป็นไทยกลับมา แล้วก็มีความหวังที่จะได้กลับไปอโยธยา แต่ว่าเรื่องราวก็เกิดขึ้นมากมายนะคะ ท่านก็จะเป็นผู้ที่เสียสละในหลายๆ เหตุการณ์เลย อย่างเหตุการณ์ที่พระนเรศวรจะหนีกลับอโยธยาอันนั้นคือความผิดร้ายแรง ท่านทราบแล้วว่าคือความผิด พระนเรศวรให้มณีจันทร์มาตามท่านบอกว่าไปกันเถอะแต่เพราะท่านมีลูกเล็ก ถ้าเกิดไปก็จะทำให้ทุกคนรู้ เพราะว่าเด็กอาจจะร้องแล้วก็จะเป็นตัวถ่วง การณ์นี้ก็จะไม่สำเร็จที่จะต้องข้ามแม่น้ำสะโตงไปให้ได้ตอนกลางคืน ท่านก็ตัดสินใจว่าไม่ไป ทั้งที่จริงแล้วใจของท่านแน่นอนว่าอยากกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง อยากจะไปพร้อมกับพระนเรศวรกับชาวโยเดียทั้งหลาย แต่ว่าท่านไปไม่ได้ เป็นความเด็ดเดี่ยวของท่านจริงๆ ท่านบอกว่าไปเถอะ แล้วเอาปิ่นปักผมของท่านไปด้วยคือเป็นตัวแทนของท่าน ในขณะเดียวกันท่านก็ไตร่ตรองแล้วว่าถ้าเกิดพระนเรศวรหนีกลับไปอย่างนี้ทางบุเรงนองจะต้องไม่ยอม คือสมัยก่อนการสำเร็จโทษคือการที่ต้องฆ่า ท่านก็ขอเอาตัวเข้าแลก แล้วท่านก็เป็นคนที่ยึดมั่นสัญญาว่าท่านจะเอาชีวิตเข้าแลกกับพระนเรศฯ คือทำทุกอย่างเพื่อให้พระนเรศฯ ได้กลับไป แล้วเมื่อวันที่พระนเรศฯ ประกาศอิสรภาพนั่นแปลว่าพม่ากับไทยได้ประกาศความเป็นศัตรูกันเรียบร้อยแล้ว ท่านเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อยู่ในพม่าเหมือนอยู่ตัวคนเดียว จะมีก็แค่แม่นมอยู่ด้วยกัน เหตุการณ์ตอนนั้นก็จะน่าสงสารมาก นันทบุเรงก็มาด่ามาว่าบ้าง แล้วก็อยู่ท่ามกลางพม่าซึ่งเป็นศัตรู แล้วก็ถูกเย้ยเยาะบ้างว่าเดี๋ยวจะเอากองทัพไปลากตัวพระนเรศวรกลับมา ก่อนออกทัพไปก็มาเยาะเย้ยพระสุพรรณฯ ว่า คอยดูนะ ทัพของอโยธยาเป็นแค่กองทัพเล็กๆ แต่กองทัพของเรามีคนเยอะมาก เดี๋ยวเราจะไปเอาหัวน้องของเจ้ามาให้เจ้าดู คือท่านจะต้องรับเรื่องราวแบบนี้ตลอดเวลาซึ่งเป็นความทุกข์แน่นอนนะคะสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่จะต้องสู้อยู่ตรงนั้นคนเดียว ในขณะที่ท่านมีความเชื่อมั่นในพระนเรศวรว่ายังไงก็ต้องกอบกู้อิสรภาพได้ แล้ววันนั้นแหละท่านจึงจะได้มีโอกาสกลับไปอโยธยา"
ในตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช : ยุทธหัตถี เป็นที่จับตามองว่ามีหลากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและดำเนินต่อโดยเฉพาะชะตากรรมของแต่ละตัวละคร แล้วในส่วนที่เกี่ยวพันกับพระสุพรรณกัลยาจะเป็นอย่างไรบ้าง
"เป็นเรื่องราวที่ดำเนินต่อจากศึกนันทบุเรงในช่วงท้ายของภาค 4 แล้วพอมาใกล้ๆ ช่วงยุทธหัตถีท่านก็จะต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมหลังจากที่นันทบุเรงเกณฑ์ไพร่พลไปรบครั้งใหญ่หมายจะยึดอโยธยากลับมาแต่ไม่ชนะ หลังจากกลับมานันทบุเรงจะเก็บตัว ใส่เสื้อปิดหมดแล้วก็จะใส่หน้ากาก คนก็ร่ำลือกันมากมายว่าเป็นอะไรหรือเกิดอะไรขึ้น พูดง่ายๆ คือแพ้พระนเรศฯ ของเรา พอแพ้กลับมาก็มักจะเสวยน้ำจัณฑ์ จนเมาแล้วก็คิดว่ายังมีคนหนึ่งที่เป็นคนไทยและยังอยู่ที่นี่คือพระสุพรรณกัลยา เลยไปหาไปเยาะเย้ยไปเอาเปรียบ คืนนั้นก็เลยเข้ามาข่มเหงพระสุพรรณฯ มีการต่อสู้กันค่ะ แต่ด้วยความเป็นผู้หญิงท่านก็เลยไม่สามารถสู้แรงผู้ชายได้ ฉากนั้นเป็นการคลายปมว่าทำไมนันทบุเรงถึงใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งพระสุพรรณกัลยาเองเคยได้ยินเรื่องราวนี้มาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นจริง คือน่ากลัวมากค่ะ ก็เป็นฉากอารมณ์อีกฉากหนึ่งที่ค่อนข้างรุนแรงและยิ่งใหญ่ เป็นการแสดงที่ต้องใช้สมาธิเยอะมาก พอรู้ว่าต้องถ่ายฉากนั้นก็โทร.ไปหาครูอ้อ (ผู้สอนการแสดง) ว่าเกรซอยากให้มาจังเลยวันนี้ แต่ครูอ้อไม่ว่าง เกรซต้องนึกตั้งแต่ออกจากบ้านเลยว่าขณะที่เรากำลังขับรถอยู่นี้เรากำลังอยู่ในเมืองพม่า คิดว่าเราเป็นใคร ปูอารมณ์มาตั้งแต่ออกจากบ้านเลย ฉากนี้ถ่ายยากค่ะถ่ายกันอยู่หลายวันเหมือนกัน แต่พอตัดเสร็จแล้วอาจจะแป็บเดียว เป็นฉากที่รุนแรง กลับบ้านไปนี่ช้ำหมดเลย เพราะตอนแรกพี่ต้นเขาจับมือแล้วท่านก็ให้เล่นเยอะกว่านี้ เกรซก็..เล่นได้แค่นี้ค่ะท่าน คือตอนแรกเราก็ดีใจนะเพราะอย่างทรายอย่างแอฟยังได้ขี่ม้าได้บู๊ได้ใช้อาวุธ พอท่านบอกว่าเต็มที่นะฉากนี้ทำเหมือนว่ามีคนกำลังจะเข้ามาทำร้ายเราอะไรอย่างนี้เกรซก็โอเคเลย พอเริ่มแอ็กชั่นปุ๊บพี่ต้นเข้ามานี่เกรซก็ศอกเข่าเลยค่ะ ท่านก็เลยสั่งคัทบอกว่าเข่าไม่ได้ ไม่งาม ใช้ได้แค่ส่วนบนเท่านั้น ก็มีการจับข้อมือมีเหวี่ยงโยน แต่ด้วยแรงพี่ต้นนี่เขาก็เล่นจริง ก่อนเล่นก็มีการขอโทษกันแล้วเขาก็เกรงใจ เดี๋ยวเขารุนแรง เกรซก็บอกตามสบายเลย..เต็มที่ เขาก็เต็มที่จริงๆ คือจับแรงมาก แต่กำลังเรามีอยู่แค่นี้ (ยกมือขึ้นทำท่าประกอบ) พอคัทท่านก็เรียกไปบอกว่าเล่นน้อยมากเลย เกรซก็คิดว่าไม่ได้เล่นน้อยนะ..พยายามแล้ว แต่ในกล้องอาจจะเห็นว่ามันแค่นี่จริงๆ (ยกมือทำท่าประกอบ) พอหลายๆ คัทท่านก็เลยเรียกไปคุยอีก ตอนหลังเกรซก็เพิ่งมาถึงบางอ้อว่าพี่ต้นต้องคลายมือมากขึ้น ถ้าไม่คลายยังไงเกรซก็ไม่หลุดจากตรงนั้น คือท่านบอกว่าต้องมีสะบัด แล้วหลุด แล้ววิ่งชนเตียงบ้างอะไรบ้างก็ว่าไปตามธรรมชาติ แต่ที่ถ่ายมาทั้งหมดไม่เคยออกจากตรงนี้ได้เลยเพราะพี่ต้นแกจับจริงไงคะ พอจับจริงก็ไม่ยอมปล่อย เลยต้องบอกให้คลายมือเพื่อเราจะได้มีช่องว่างที่เราจะสะบัดหน่อย ก็สู้กันอยู่พักใหญ่เลยค่ะ ตอนนั้นเป็นความหวาดกลัวที่จริงๆ แล้วพระสุพรรณฯ ก็ค่อนข้างที่จะหยิ่งในศักดิ์ศรีแบบไม่ค่อยก้มหัวให้ใคร แต่ว่าในฉากนั้นพอนันทบุเรงเข้ามาจริงๆ ท่านก็รู้แล้วว่าอันตรายแน่คืนนี้ ท่านก็พยายามต่อสู้แต่ก็สู้ไม่ได้ เป็นฉากที่ค่อนข้างรุนแรงเรื่องอารมณ์แล้วก็เป็นฉากที่ถ่ายยากพอสมควรค่ะ"
ในภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากได้ร่วมงานกับท่านมุ้ยแล้ว บทเองก็ท้าทายความสามารถมากๆ คือทุกวินาทีเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกตลอดเวลาในทุกๆ ภาค รวมถึงได้มีโอกาสร่วมงานกับนักแสดงมืออาชีพที่มากล้นด้วยความสามารถ
"การได้ร่วมงานกับท่านมุ้ยเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่แล้วนะคะ แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะว่ามีนักแสดงเก่งๆ ที่ต้องร่วมซีนกับเราด้วยนะคะอย่างเช่นอาหมู (สมภพ เบญจาธิกุล)เป็นบุเรงนอง เราได้เห็นบทบาทการแสดงของอาหมูมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าเป็นนักแสดงเจ้าบทบาทอีกท่านหนึ่ง พี่แอ๊ว-อำภา ภูษิต ก็ส่งอารมณ์ได้ดีเพราะเป็นแม่นมเป็นคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอด เป็นเสมือนแม่ที่ให้คำปรึกษา เป็นคนที่เข้าใจเราตลอดเวลาที่อยู่หงสาวดีนี่ไม่มีใครเลย มีกันอยู่สองคนเท่านั้น แล้วก็นันทบุเรงคือพี่ต้น-จักรกฤษณ์นี่เก่งมาก คือเกรซไม่รู้ว่าเขาจำบทได้ยังไงนะคะ..บทยาวมากแต่พี่ต้นเทคเดียวอยู่ แล้วก็ส่งอารมณ์ได้ดี คือเหยียดหยามเกรซทั้งสายตาและคำพูดเลยค่ะ ตอนที่เรียกพระสุพรรณเข้ามาแล้วก็เหยียดหยามด่าว่าเราเพื่อความสะใจ ค่อนข้างจะเป็นการแสดงที่หนักอยู่นะคะ เพราะว่าภาค 5 นี่พระสุพรรณฯ ถูกทำร้าย ก็ถือว่าเป็นการแสดงที่เข้มข้นในเรื่องของอารมณ์ล้วนๆ ที่เราต้องใส่เข้าไปเต็มที่ เรื่องของการแสดงก็ต้องแสดงจริงๆ ก็เจ็บตัวค่ะช้ำหมดเลยเพราะชนเก้าอี้บ้าง ชนโต๊ะ ชนเตียง แล้วเตียงสมัยโบราณจะประดับประดาแกะสลักมีเสามีอะไร บางทีผลักกันก็ล้มหัวกระแทก มีหลายซีนเลยที่ต้องRE-SHOOT บางทีได้แล้วแต่ผมหลุดอารมณ์นี้ก็ต้องถ่ายใหม่อีก"
ด้วยความสำคัญของบทของฉาก เหตุการณ์ที่เราต้องถ่ายทอดและเป็นคาแร็กเตอร์ที่ต้องเล่นอารมณ์ทุกฉากทุกซีน ทำให้เกรซเป็นนักแสดงคนหนึ่งที่ได้สัมผัสกับความเข้มข้นของท่านมุ้ยในการกำกับที่เคี้ยวกรำหนักเลยทีเดียว กว่าท่านมุ้ยจะให้ผ่าน
"ท่านมุ้ยท่านละเอียดมากนะคะ ทั้งในเรื่องของการแสดง มุมกล้อง แสง ถ้าไม่ได้ท่านไม่ให้ผ่านนะ ถ้าวันไหนที่ซีนนี้ยังไม่ได้ก็จะถ่ายไปเรื่อยๆ แต่ท่านเป็นผู้กำกับที่น่ารักนะคะ มีอยู่วันหนึ่งมันร้อนมากเหมือนตู้อบเลยค่ะ เพราะว่าเมืองกาญจน์ช่วงเดือนพฤษภาฯ กลางวันจะร้อนมากแต่กลางคืนจะเย็น ห้องบรรทมของพระสุพรรณฯอยู่ท่ามกลางความร้อนเพราะไม่มีแอร์ หมอกควันก็เยอะเหลือเกินเพราะต้องมีเอ็ฟเฟ็คต์มาก่อนที่จะเริ่มถ่าย หายใจไม่ค่อยออกอยู่แล้ว และที่กองถ่ายก็มีเป็นร้อยชีวิตอยู่ในนั้น ออกมานี่เหงื่อท่วมตัว-เมคอัพหลุดไปเลย ด้วยความที่วันนั้นร้อนมาก รู้สึกเหนื่อยด้วยเพราะไม่ได้นอนมาหลายวัน คือถ่ายทำกันแบบถึงเช้าตลอด เกรซก็เลยจำบทไม่ค่อยได้ ท่านก็มาให้กำลังใจคือปกติท่านจะกำกับมาจากตู้คอนเทนเนอร์แต่วันนั้นท่านเดินมานั่งขัดสมาธิตรงหน้ากล้องเลยค่ะแล้วบอกว่าเดี๋ยวฉันจะกำกับเธอจากตรงนี้ เกรซ ก็บอกว่าถ้าท่านมานั่งตรงนี้เกรซยิ่งไม่กล้าใหญ่เลย...อ้าวจริงเหรอ ปกตินักแสดงถ้าผู้กำกับเข้ามาแล้วจะรู้สึกเหมือนให้กำลังใจ ท่านก็พยายามช่วยทุกวิถีทางเพื่อให้นักแสดงเล่นได้ ด้วยความน่ารักของท่านเราก็มีกำลังใจขึ้น แล้วซีนนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ สำหรับเกรซมีหลายซีนที่ต้องใช้อารมณ์ เพราะว่าในตัวละครที่เป็นพระสุพรรณฯไม่มีอะไรที่ท่านจะมีความสุขอยู่แล้ว ถูกส่งไปเป็นตัวประกันตั้งแต่เด็ก และยังต้องอยู่ท่ามกลางศัตรู ก็เหมือนเดียวดาย เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ต้องเสียสละตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจึงสงสารท่านมาก แล้วก็รู้สึกว่าการที่ท่านไปอยู่ที่นั่นมันเหมือนกับว่าถ้าไม่แกร่งจริงๆก็เอาไม่อยู่นะคะ ประวัติศาสตร์อาจเปลี่ยนแปลงไปก็ได้ ถ้าไม่ได้ความเสียสละของท่าน พระนเรศวรตอนที่หนีกลับไปก็อาจจะไม่มีพระนเรศ หรือว่าหลายๆอย่าง.. ถ้าท่านไม่เสียสละ ประวัติศาสตร์ก็อาจจะพลิกไปอีกด้านหนึ่ง"
นักแสดงก็มาก การแสดงก็ยากด้วยเป็นบทอารมณ์ล้วนๆ ไหนจะเป็นการสื่อสารเป็นคำพูดโบราณ ราชาศัพท์ นักแสดงต้องมีสมาธิอย่างสูงรวมไปถึงการถ่ายทำที่ไม่ได้เรียงตามเหตุการณ์ และที่สำคัญคือกว่าจะเข้าฉากได้ต้องมีการเปลี่ยนร่างแปลงโฉมให้เป็นบุคคลในอดีตด้วย
"เรื่องของการแสดงในเรื่องนี้ก็ค่อนข้างจะหินเพราะเกรซไม่ใช่นักแสดงมืออาชีพ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องแรกนะคะ การถ่ายทำก็ค่อนข้างจะทิ้งช่วงนาน บางทีจากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปีก็มีนะคะ แต่ทุกครั้งที่จะเข้าฉากท่านมุ้ยจะเปิดของเก่าให้ดูก่อนว่าเราเล่นไว้ยังไง ฉากหลังจากนี้จะเป็นยังไง แล้วตรงนี้จะเป็นยังไง คือท่านจะติวเข้มก่อนเข้าฉากทำให้เราได้ทบทวน แต่เรื่องคำราชาศัพท์นี่ยากมากค่ะเพราะไม่คุ้นเคย แล้วยังเป็นราชาศัพท์โบราณอีก บางคำแปลว่าอะไรเรายังไม่รู้เลยก็ค่อนข้างจะยากนะคะ เรื่องเครื่องแต่งกายนี่ก็ค่อนข้างจะหินพอสมควรเพราะไม่ใช่แบบสำเร็จรูปหรือผ้านุ่งที่มีซิปอยู่ข้างหลัง คือความละเอียดของท่านนี่ก็เยอะอยู่แล้วนะคะ บางชุดใช้เวลาเย็บเป็นปี เพราะฉะนั้นการแต่งตัวของเกรซที่จะเข้าฉากนี่อย่างน้อยต้องสามชั่วโมง เมคอัพทำผมแล้วก็สวมผ้านุ่ง เป็นผ้าชิ้นเดียวแล้วจับจีบที่ผู้ชำนาญเท่านั้นถึงจะทำได้ แล้วเอาด้ายเป็นหนังเส้นใหญ่หน่อยเย็บ เครื่องประดับของเกรซทุกอย่างเย็บหมดเลยมาเป็นชิ้นเป็นชิ้นแฮนด์เมด หมดเลย แล้วของเกรซนี่ด้วยความที่เป็นพระธิดาก็จะมีปีกแมงทับบอกตำแหน่งนิดหนึ่งเป็นเครื่องทรงค่ะ ปีกแมงทับก็แข็งมากต้องใช้เลเซอร์ตัด เวลาแต่งตัวครบแล้วต้องอยู่นิ่งๆเพราะว่าผมเผ้าทำเสร็จแล้วจะมานั่งนอนเอ้อระเหยไม่ได้ ต้องพร้อมถ่าย คือท่านเรียกเมื่อไหร่เราต้องพร้อมถ่าย เพราะฉะนั้นก็ยังไม่รู้ว่าเรามีคิวเมื่อไหร่ บางทีรอค่อนข้างนานแล้วทำอะไรก็ไม่ได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งตลกมากเลย คือตอนที่กองถ่ายเริ่มเปิดให้คนเข้ามาเยี่ยมชมแล้ว วันนั้นต้องเข้าฉากเสร็จแล้วก็อยากไปห้องน้ำ ปรากฏว่าห้องน้ำที่นักแสดงใช้นี่เป็นที่เดียวกันกับที่ทัวร์ใช้ และทัวร์ลงพอดีเลยค่ะ เกรซเดินไปก็เจอกันแล้วทุกคนก็ตื่นเต้นใหญ่เลย..แบบ อ้าว!มีพระสุพรรณฯอยู่ด้วยก็ถ่ายรูปๆ โอ้โห..กว่าเกรซจะผ่านตรงนั้นไปได้นี่ก็หนักหนามากค่ะ"
ทราบมาว่านอกจากเกรซแล้วนักแสดงที่ต้องเข้าฉากร่วมกันอย่าง ต้น-จักรกฤษณ์ ในบทพระเจ้านันทบุเรงก็หนักหน่วงไม่แพ้กันโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ต้องแต่งเอฟเฟ็กต์ทั้งตัวในการแปลงโฉมเพื่อถ่ายทำ
"คือกว่าจะเข้าฉากได้แต่ละฉากไม่ใช่เกรซคนเดียวที่มีเครื่องแต่งกายที่ค่อนข้างจะหนักนะคะ ดูเหมือนไม่มีอะไร แค่ใส่สไบแต่จริงๆแล้วต้องเย็บหมดเลย อีกท่านหนึ่งที่หนักคือพี่ต้น-จักรกฤษณ์ ที่ต้องแต่งตัวและต้องแต่งเอ็ฟเฟ็กต์ด้วย แล้วพี่ต้นเป็นคนแพ้เอ็ฟเฟ็กต์ เพราะฉะนั้นพี่ขวด(มนตรี วัดละเอียด เมคอัพอาร์ติสต์)ก็ใช้วิธีแก้โดยการเอาพลาสติกเหมือนที่โรงพยาบาลใช้ เป็นพลาสเตอร์ที่ wrap(ห่อ)เวลาคนผ่าตัด เพื่อไม่ให้แผลถูกน้ำก็จะได้ไม่ต้องสัมผัสกับเนื้อ คือแรปหมดเลยทั้งแขนและตามตัว แล้วค่อยใส่เอ็ฟเฟ็กต์ พี่ต้นก็จะนอนเฉยๆ ให้ทำเมคอัพเอ็ฟเฟ็กต์บนพลาสเตอร์นั้นเพื่อไม่ต้องสัมผัสเนื้อเขาโดยตรง เพราะฉะนั้นมันก็ยิ่งนานมาก ทำแต่ละครั้งน่าเห็นใจค่ะ ทานข้าวก็ลำบากมากคือเหลือแค่ปาก ต้องรอให้เสร็จก่อน แล้วอย่างที่บอกว่าเมืองกาญจน์ร้อนมาก พอถอดพลาสเตอร์ออกมานี่ข้างในเป็นเหมือนตุ่มพุพองเลยค่ะ เพราะเหงื่อไหลออกไม่ได้ก็เป็นเม็ดๆ ขึ้นเต็มตัวหมดเลย ทรมานมากค่ะ"
ฟังๆ ดูแล้วไม่เพียงศึกยุทธหัตถีที่เราจะได้ชมกัน ยังมีเรื่องราวที่เข้มข้นที่เกิดขึ้นกับแต่ละตัวละครให้ชวนติดตามอีกเยอะทีเดียว พูดได้ว่ามีรายละเอียดอีกมากมายที่ชวนให้ติดตาม เกรซคิดว่าเสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่อตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถีอยู่ที่ตรงไหนอย่างไร
"เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้เกรซว่า ท่านมุ้ยเป็นคนให้ความพิถีพิถัน และใส่ใจในรายละเอียดแต่ละซีนมากๆนะคะ โดยที่คนดูอาจจะไม่รู้ อย่างซีนโกยดินของเกรซแป็บเดียวจริงๆในหนัง แต่วันนั้นเราถ่ายทำกันแบบนานมากเกือบทั้งคืนเลย ท่านละเอียดมากคือจะเอาดินมาจากสถานที่จริง คนดูก็ไม่รู้หรอกเพราะดินก็คือดินใช่มั้ยคะ แต่ท่านก็จะเอาดินจากสถานที่จริงมาใช้ หรืออย่างเราไม่เคยรู้ว่าช้างไม่ชอบไฟ เขากลัวความร้อนแล้วก็อันตรายเหมือนกันสำหรับเกรซ คือเราต้องขึ้นช้างแล้วช้างก็จะหนีตลอดเพราะข้างหลังเขามีไฟ..โคมไฟที่เป็นเหมือนคบเพลิงน่ะค่ะ ช้างเขาร้อนก็จะหนีแล้วทำให้เราขึ้นช้างไม่ได้ ต้องใช้เวลานานกว่าจะถ่ายซีนนั้นให้สวยงาม เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้เยอะค่ะ ทั้งเรื่องของเครื่องแต่งกายของนักแสดงแต่ละท่าน เรื่องบท ถ้าไปดูก็อยากแนะนำให้ดูหลายๆครั้ง ครั้งแรกอาจจะดูองค์รวมดูความสนุกของหนัง แต่ถ้าไปดูอีกนี่คุ้มค่ามากที่จะดูเรื่องเครื่องแต่งกาย บทของแต่ละคนที่พูดออกไปแต่ละประโยคมีความหมายที่กินใจมากนะคะ ถ้าตั้งใจฟังดีๆ จะเห็นว่าเป็นคำพูดที่สวยงามและเป็นคำพูดแค่ไม่กี่คำที่สามารถทำให้เราสะเทือนใจได้ แล้วก็ยังมีเรื่องมุมกล้อง เรื่องเอ็ฟเฟกต์ต่างๆ คือเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก เป็นหนังไทยที่เราภูมิใจได้ว่าคนไทยก็สามารถทำหนังที่ยิ่งใหญ่อย่างที่ทั่วโลกเขาทำกัน แล้วเกรซเชื่อว่าถ้าไม่ใช่หนังเรื่องนี้หรือถ้าไม่ใช่ท่านมุ้ยก็คงไม่มีโอกาสได้รวบรวมสุดยอดนักแสดงรุ่นใหญ่ที่เรียกว่าตัวพ่อตัวแม่ของเมืองไทยมาอยู่ในหนังเรื่องเดียวกันได้ เพราะแค่คิวก็ยากแล้ว การแสดงของแต่ละท่านนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย..เซียนมาก เก่งมาก การถ่ายทอดอารมณ์ก็สุดยอดค่ะ ที่เกรซประทับใจและเชื่อว่าทุกคนจะประทับใจเป็นซีนของพระมหาธรรมราชาซึ่งแสดงโดยพี่นก-ฉัตรชัย เชื่อไหมคะว่าไดอะล็อกเราเห็นยังร้องโอ้โห...คือต้องท่องจำเยอะมาก แล้วท่องจำกับความตึงเครียด เพราะต้องถ่ายให้ได้ ทั้งการแสดงและคำพูดต้องไปด้วยกัน แล้วเกรซกล้าพูดเลยว่านักแสดงรุ่นใหญ่ทุกๆท่านสามารถร่ายไดอะล็อกที่ยาวมากๆได้ทั้งอารมณ์และได้ทั้งบท เป๊ะทุกท่าน เก่งมากค่ะ และสำหรับภาค 5 นี้เราก็จะได้เห็นหัวใจของคนเป็นพ่อที่ต้องเสียลูกไปเป็นตัวประกันตั้งแต่เด็กๆ ไม่มีโอกาสได้เจอกัน แล้วตอนที่ท่านเสียใจที่สุดก็คือเมื่อคุณท้าว(แม่นม)ส่งสารมาบอกว่าลูกที่อยู่ที่โน้นไม่ได้อยู่สุขสบายนะ คือทุกข์ทรมานอยู่แล้วก็ยังโดนทำร้าย เพราะฉะนั้นด้วยความเป็นพ่อ..หัวใจพ่อก็แตกสลายทำให้พระมหาธรรมราชาล้มป่วยไปเลย ตรงนี้แสดงความสัมพันธ์ให้เห็นถึงความรักที่พ่อมีให้ลูกนี่ล้นเหลือเหลือเกิน มีหลายอย่างที่พระมหาธรรมราชาได้บอกกับพระนเรศฯไว้ในหนังว่าทำไมท่านถึงคิดอย่างนี้ ทำไมท่านถึงพูดอย่างนี้ ซึ่งต้องไปดูกันว่าท่านทิ้งท้ายไว้ว่าอย่างไรนะคะ เป็นความรัก..เป็นหัวใจของพ่อ อยากให้ไปชมกันค่ะ..ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี วันที่ 29 พฤษภาคมนี้นะคะ เตรียมพบกันแน่นอนที่โรงภาพยนตร์ต่างๆ ค่ะ"