สง่างามในบท "พระสุพรรณกัลยา" จากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" บทบาทนี้ถือเป็นความท้าทายที่สุดในชีวิตของ "เกรซ มหาดำรงค์กุล" เพราะเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญของโปรเจกต์ภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ผลงานกำกับโดย ท่านมุ้ย-หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล
ส่วนชีวิตจริงหลังแผ่นฟิล์ม เชื่อว่าหลายคนที่ได้ยินชื่อ "เกรซ" คงนึกถึงภาพไฮโซสาวมั่น เข้าถึงยาก แต่บทสัมภาษณ์ที่จะล้วงลึกต่อไปนี้จะทำให้เห็นว่า เธอเป็นผู้หญิง 40+ ที่ทั้งเก่ง แถมยังสวยไม่สร่าง ชวนให้ตกหลุมรักเอาได้ง่ายๆ แถมยังมีด้านชีวิตอีกหลายมุมที่ใครหลายคนอาจยังไม่เคยรู้...
พระสุพรรณกัลยา บทบาทที่ท้าทาย
เปิดประเด็นกันที่บทบาทที่สง่างามแต่ก็แสนจะดรามาสุดๆ กับบท "พระสุพรรณกัลยา" บทบาทนี้ เกรซ ยอมรับว่า ยากมาก เพราะมีบทดรามาค่อนข้างเยอะ
"เกรซอ่านบท เกรซตกใจเลยนะ เฮ้ย! โดนตบเลยเหรอ พระสุพรรณฯ นะ พระสุพรรณฯ เป็นถึงพระราชธิดาแล้วมาโดนตบอ่ะ (น้ำเสียงตกใจ) แต่พอได้สวมบทเป็นท่าน ทำให้เข้าใจว่า การเป็นองค์ประกันทางฝั่งเมืองหงสาวดี เขาจะทำอะไรก็ได้ คิดจะตบก็ได้ คิดจะย่ำยีได้ทุกอย่าง ซึ่งถือเป็นโศกนาฏกรรมความเศร้าของผู้หญิงคนหนึ่งที่จะต้องไปอยู่บ้านเมืองของศัตรู เป็นเมียพ่อซึ่งแก่ราวปู่ แล้วก็มีลูก พอพ่อตายก็มาเป็นเมียลูก แล้วก็ยังมีลูกด้วยกันอีก" เกรซเริ่มเล่าถึงบทบาทที่ได้รับ ก่อนจะเล่าด้วยน้ำเสียงจริงจังต่อไปว่า
"เป็นบทที่หนักมากๆ (เน้นคำ) ค่ะ ชีวิตพระสุพรรณกัลยาไม่มีอะไรแฮปปี้เลย เกียรติก็ไม่มี ถูกย่ำยีตลอด ตั้งแต่ภาค 1 (องค์ประกันหงสา) มาจนถึงภาค 2 (ประกาศอิสรภาพ) สถานภาพของพระสุพรรณกัลยา ซึ่งเป็นองค์ประกันท่านเดียวที่อยู่ในวงล้อมศัตรู ท่านเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวที่ต้องอยู่ตรงนั้น แต่มีความเชื่อในตัวน้องชาย (พระนเรศวร) มาก ถ้าเกิดตัวเองตาย ไม่เป็นไร แต่น้องตายไม่ได้ เพราะน้องคือคนสำคัญที่จะกลับมากอบกู้อิสรภาพ ท่านก็เลยทำทุกวิถีทางที่จะรักษาชีวิตน้องชายเอาไว้" เกรซเล่า พร้อมกับยกตัวอย่างความเสียสละของพระสุพรรณกัลยาให้ฟังต่อ
"อย่างภาค 1 ท่านเอาตัวเองเข้าแลก คือน้องมาชวนให้กลับอโยธยา พระสุพรรณกัลยา ก็บอกว่าไม่กลับ คือไม่กลับเหมือนตัวท่านเองรู้อยู่แล้วว่า ถ้ากลับคู่นี่ตายคู่ ส่วนน้องชาย ถ้ากลับไปนี่ผิดกฎ ถูกจับได้คือตายสถานเดียว ซึ่งบุเรงนองเป็นคนเดียวที่จะช่วยได้ พระสุพรรณฯ ก็วิ่งเข้าหาพระเจ้าบุเรงนองโดยเอาตัวเองเข้าแลก ยอมเป็นสนมของพระเจ้าบุเรงนอง
พอภาค 2 พระนเรศวรก็เรียกมณีจันทร์ให้ข้ามแม่น้ำกลับไปพร้อมกัน ส่วนพระสุพรรณฯ ก็เสียสละอีก เพราะคราวนี้มีลูกเล็กจึงเสี่ยงต่อการถูกจับได้ง่าย ดังนั้นเลือกที่จะไม่ไปดีกว่า ขอเพียงชีวิตข้า และลูกข้า แลกได้ด้วยชีวิตพระนเรศวร ข้าก็ยอมตายตาหลับ ทั้งหมดนี้ เราจะเห็นว่า พระสุพรรณฯ เป็นผู้หญิงที่เสียสละ และเด็ดเดี่ยว เพราะตลอดเวลาที่อยู่หงสาวดีไม่เคยเจอน้องชายเลย ซึ่งจริงๆ ก็มีจังหวะที่จะเจอกันได้ แต่ท่านเลือกที่จะไม่เจอเพื่อให้พม่าตายใจว่าตัวท่านเองไม่ได้แปรทัพ" เธอเล่าคร่าวๆ
ท่านคือยอดหญิงในดวงใจ
ไม่แปลกที่ พระสุพรรณกัลยา จะได้ชื่อว่า เป็นขัตติยนารีผู้เสียสละ และเป็นวีรสตรีไทยที่ควรแก่การยกย่องเชิดชู เช่นเดียวกับ "เกรซ" ที่มีท่านเป็นยอดหญิงในดวงใจมาโดยตลอด
"เกรซยกย่องท่านมากค่ะ ยกย่องท่านในเรื่องของการตัดสินใจของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ทำเพื่อชาติ และน้องชาย แม้จะแลกด้วยชีวิตก็ยอม จนวันหนึ่งประเทศของเราก็กลับมาเป็นไทย แต่รู้หรือไม่ว่ามีผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้คอยอยู่เบื้องหลังทุกอย่าง ซึ่งการเป็นวีรสตรีของท่าน ไม่ได้ออกไปสู้รบ หรือหยิบดาบขึ้นมาฆ่าฟันศัตรู แต่เป็นวีรสตรีที่อยู่เบื้องหลัง เห็นได้จากหนังในแต่ละภาค ท่านเป็นคนทำให้เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์คลี่คลายไปได้โดยเอาตัวเองเข้าแลก ภาค 5 (ยุทธหัตถี) นี่แหละค่ะ จะทำให้คนดูเห็นว่า การเอาตัวเองเข้าแลก ต้องเจอกับอะไรบ้าง"
นอกจากนี้ สิ่งที่ควรแก่การยกย่องเชิดชูอีกหนึ่งเรื่องที่ "เกรช" ถ่ายทอดให้ฟังก็คือ แม้จะตกเป็นองค์ประกันในพม่า แต่ความเป็นไทยของพระสุพรรณกัลยาไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
"ประวัติศาสตร์ไทยไม่ค่อยมีการบันทึกเกี่ยวกับพระสุพรรณกัลยามากนัก แต่ท่านมุ้ยได้ทำการศึกษาค้นคว้ามาอย่างละเอียด โดยเฉพาะในพม่า ท่านมุ้ยเล่าว่า คนที่พม่าจะนับถือพระสุพรรณกัลยามาก เพราะมีความอ่อนโยน รวมไปถึงความเป็นไทย แม้ถูกจับเป็นองค์ประกันในหงสาวดี แต่ก็ยังมีวิถีความเป็นอยู่แบบไทยๆ ไม่เคยเปลี่ยนการแต่งตัวเลย" เกรซเล่า
ดังนั้น การได้รับเกียรติให้เล่นเป็น "พระสุพรรณกัลยา" ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับ "เกรซ" เลย "ยากทุกตอนค่ะ จากที่เล่ามา ยังไม่มีบทไหนที่พระสุพรรณฯ ยิ้มได้เลยนะ การที่ถูกส่งไปยังเมืองศัตรู การที่เป็นเมียของคนรุ่นพ่อ แล้วยังต้องมาเป็นเมียลูก ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นบทอารมณ์ล้วนๆ แต่คำพูดของท่านสวยงามค่ะ ทำให้เกรซอินไปกับบทได้ง่าย และถ่ายทอดออกมาได้ดี"
"ท่ายมุ้ย" ผู้กำกับที่เก่ง และแกร่งที่สุด
ด้วยตัวภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทั้ง 5 ภาค เป็นโปรเจกต์ที่ยิ่งใหญ่มาก และใช้ระยะเวลาในการถ่ายทำกว่า 10 ปี จนมาถึงภาค 5 ซึ่งเป็นภาคจบในตอน ยุทธหัตถี ปฏิเสธไม่ได้ว่า ท่านมุ้ย-หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล คือผู้อยู่เบื้องหลังคนสำคัญ
"คนที่ทำงานหนักมากที่สุดก็คือท่านมุ้ยค่ะ ซึ่งท่านไม่ได้สุขภาพแข็งแรง ท่านอายุมากแล้ว มีโรคประจำตัวหลายโรค ไตก็เหลือข้างเดียว นอกจากนั้นยังเป็นความดัน เบาหวาน ถ่ายไปฉีดอินซูลินไป บางทีก็ต้องพักกลางวัน แล้วมลภาวะในกองถ่ายมันเยอะ จริงอยู่ที่เวลากำกับท่านจะสั่งผ่านทีมงานอีกที แต่ก็อดไม่ได้ที่จะลงมาดูเอง หลังจากถ่ายเสร็จท่านก็ไม่เสร็จนะคะ ท่านจะเรียกมาประชุมเพื่อวางแผนงานในวันต่อไป" เกรซเล่า พร้อมกับเผยให้เห็นความใส่ใจในเนื้องานของท่านมุ้ย
"เวลาทำงานท่านจะละเอียดมากค่ะ ก่อนเริ่มฉากใหม่จะทิ้งช่วงจากฉากเก่าค่อนข้างนาน ท่านก็จะเปิดฉากก่อนหน้านี้ให้ดูว่าเป็นแบบนี้นะ แล้วจะต่อด้วยเหตุการณ์แบบนี้นะ รวมไปถึงเปิดให้เราดูอารมณ์ครั้งสุดท้ายที่เราเล่นทิ้งเอาไว้ว่าเป็นอารมณ์ไหนเพื่อเข้าฉากใหม่จะได้ปรับโหมดได้ถูก คือท่านจะละเอียดมากค่ะ ท่านจะค่อยๆ อธิบาย จะไม่มีอารมณ์แบบ ไม่ๆๆ เร็วๆๆ ส่วนเรื่องข้อมูลก็แม่นมาก สงสัยตรงไหนก็หยิบหนังสือมาเปิดอย่างแม่นยำ หยิบมาปุ๊บก็เปิดหน้าที่ท่านต้องการจะเอาข้อมูลได้ทันที
หรืออย่างบทพระสุพรรณกัลยาที่เกรซเล่น เกรซก็อยากแต่งเยอะอ่ะค่ะ เห็นพม่าได้แต่งสวย ทั้งผม และหน้ามาเต็ม ส่วนคนไทยก็แต่งซีดๆ เหมือนพวกไม่สบาย ทีนี้เกรซก็อยากได้กำไลสวยๆ เหมือนกับพม่าบ้าง สรุปไม่ได้ค่ะ เพราะอยู่ในฐานะองค์ประกัน จะมีเยอะแยะเหมือนพม่าไม่ได้ นี่แสดงให้เห็นว่า ทุกอย่างกำหนดไว้หมดแล้ว ตามประวัติศาสตร์เขามาแบบนี้จะไปนอกกรอบไม่ได้ หรือข้าวของเครื่องใช้ที่ใช้แสดงก็ต้องถูกต้องตามลำดับขั้น บางชิ้นแทบแยกกันไม่ออก แต่ท่านมุ้ยจะละเอียดมาก"
ไม่แปลกใจเลยที่ท่ายมุ้ยจะถูกยกย่องให้เป็นอัจฉริยภาพในฐานะผู้กำกับหนังไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทย
นอกจากนี้ ยังมีความเป็นกันเองไม่ถือยศ หรือถือตัว โดยประเด็นนี้ เกรซในฐานะตัวแทนของเพื่อนๆ นักแสดง บอกว่า "ท่านมุ้ย เป็นผู้กำกับที่ใจดีมากๆ ท่านพยายามให้ความเป็นกันเอง คือท่านชอบเรียกไปคุย เรียกไปกินข้าวกับท่าน เราก็จะเกรงใจ ไม่กล้าไป เพราะจะให้ไปเสวยโต๊ะเดียวกันกับท่านเราก็เกร็งๆ เกรซก็จะปฏิเสธท่าน ท่านก็ไม่ยอม บอกกินๆ มากินด้วยกัน
ส่วนอีกมุมที่ใครหลายคนอาจไม่รู้ ท่านมุ้ยเป็นคนที่มีอารมณ์ขันมากๆ ค่ะ อย่างเด็กๆ ในกองถ่าย ท่านก็จะเอ็นดู แถมยังตั้งชื่อให้น่ากิน เช่น ผัดไทย ส่วนเด็กๆ ก็รู้งาน เวลาท่านเรียกก็คลานเข่าเข้ามาหา (หัวเราะ) หรืออย่างนักแสดงอาวุโสอย่างอาหมู (ดิลก ทองวัฒนา) ถ้าเทกมากกว่าหนึ่งหรือสองเทก ท่านมุ้ยก็จะแซวๆ อาหมูว่า เฮ้ย! ไอ้หมู ใช้ไม่ได้เลย แก่แล้วจำบทไม่ได้ ซึ่งท่านก็จะแซวแบบขำๆ ส่วนตัวเกรซเองก็เกร็งเหมือนกันนะ ไม่รู้จะใช้คำราชาศัพท์อะไร เพราะตำแหน่งท่านใช้ได้ แต่ท่านไม่ซีเรียสในเรื่องนี้เลย ไม่ถือยศ หรือถือตัวใดๆ ทำงานกับท่านแล้วเกรซได้คำสอนดีๆ จากท่านเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องบทบาทการแสดง
เกรซได้เทคนิคการแสดงจากท่านมุ้ยเยอะมาก แรกๆ ที่แสดง ท่านก็จะบอกว่าระวังเรื่องตานะ อย่ากลิ้งไปกลิ้งมา แต่ให้หาโฟกัสเฉพาะจุด เรื่องคิ้วก็โดนเหมือนกันค่ะ ตอนแสดงใหม่ๆ เกรซจะชอบยักคิ้ว คือเป็นทุกคนนะ ซึ่งท่านก็จะเตือนว่า นักแสดงใหม่ๆ จะชอบยักคิ้ว ส่ายหัวเวลาเข้ากล้อง ท่านก็จะสอนว่า นิ่งๆ ไว้อย่าเล่นใหญ่ ให้เล่นไปตามธรรมชาติทั้งการแสดง และการใช้น้ำเสียง เพราะเล่นหนัง ไม่ใช่เล่นละครเวทีที่เวลาตื่นเต้นจะต้องโอเวอร์แอ็กติ้ง (ทำหน้าตื่นเต้นแบบละครเวทีให้ดู) แต่หนังเล่นแบบนั้นไม่ได้ แค่ขมวดคิ้ว หรือเกลือกตานิดเดียวมันก็แสดงให้เห็นอาการบางอย่างแล้ว สมมติว่าเราโกรธ เราแอบจิกขาตัวเอง แค่นี่ก็สามารถแสดงออกมาทางสีหน้าได้แล้ว"
เมื่อถึงวันที่หนังเข้าฉาย
แน่นอนว่า จากการเคี่ยวกรำของผู้กำกับอย่างท่านมุ้ย รวมไปถึงการทุ่มอย่างสุดตัวของนักแสดงทุกคน วันที่เปิดตัวหนังคือวันที่หลายคนตั้งตารอคอย
"ท่านมุ้ย ไม่เคยให้นักแสดงดูหนังก่อน ไม่เคยมีใครได้ดูหนังก่อน ทุกคนจะได้มาดูพร้อมกันในวันเปิดตัวหนังรอบสื่อมวลชน และหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังเล็กๆ คือเกรซจะถ่ายอยู่แต่ในกรุงหงสาวดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงหงสาวดี เกรซก็พอจะรู้เรื่องบ้าง แต่ถ้าหลุดจากหงสาวดีไปอยู่อโยธยา เกรซจะไม่ค่อยรู้รายละเอียดเลย หรือตัวแสดงที่อยู่ในอโยธยาก็ไม่ค่อยรู้ว่าหงสาวดีเป็นอย่างไร หรือเรื่องของการรบ นักแสดงที่ไม่ได้เข้าฉากรบก็จะไม่รู้ว่าเขาถ่ายอะไรกันอยู่
แต่คนที่จะรู้เรื่องราวทั้งหมด มีท่านมุ้ยคนเดียวค่ะ เพราะท่านเป็นผู้กำกับ ท่านจะรู้ว่าจิกซอว์ตัวนี้ได้ถ่ายไปแล้ว จะเอามาต่อกันตรงไหนท่านจะรู้หมด ส่วนนักแสดงจะรู้เฉพาะฉากที่ตัวเองเล่นเท่านั้น พอวันที่ได้ดูหนังพร้อมกัน รู้สึกดีใจและตื่นเต้นมากๆ ค่ะ เพราะต้องเข้าใจว่าหนังขาดตอนไป 3 ปีจากภาค 1 ภาค 2 ติดกัน จากนั้นก็หายไป 3 ปี ภาค 3 ภาค 4 ติดกัน แล้วก็หายไปอีก 3 ปีถึงจะมาเป็นภาคนี้ ซึ่งเป็นภาคที่ 5 ตอนยุทธหัตถี เกรซได้กลับมาเป็นตัวละครที่สง่างามอย่างบทพระสุพรรณกัลยา และได้เดินพรมแดงในงานเปิดตัวหนังอีกครั้ง" เกรซเผยความรู้สึก ก่อนจะเชิญชวนให้ทุกคนมาดูตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชภาค 5
"ภาคนี้ หลังจากเกรซได้ดูในโรงหนัง เกรซเห็นดรามาเยอะขึ้น มีการแชร์ตัวแสดงมากขึ้น ไม่ใช่เป็นเรื่องของใครคนเดียว อย่างภาคนี้จะเห็นในเรื่องของพ่อลูกทั้งฝั่งไทย และพม่า ทำให้คนดูเข้าใจจนกระทั่งเห็นใจมังสามเกียดว่าทำไมต้องไปออกรบ เพราะถูกพ่อกดดัน และดูถูกซะขนาดนั้น จนถึงฉากที่ต้องโชว์ความรักระหว่างพ่อลูกทั้งในฝั่งไทยและพม่าซึ่งต้องบอกว่า ทำน้ำตาคลอกันเลยเดียว"
ด้วยความน่าสนใจของตัวเรื่องที่นำเสนอให้เห็นประวัติศาสตร์ชาติไทย ทำให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีนโยบายคืนความสุขให้ประชาชน โดยเปิดให้ชมภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี ภาค 5 ฟรี เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ที่ผ่านมา และนี่คือความรู้สึกของเกรซในฐานะนักแสดงคนหนึ่ง
"รู้สึกดีมากค่ะ ซึ่งทุกคนพูดด้วยเสียงเดียวกันว่า หนังเรื่องนี้เข้ามาถูกที่ถูกเวลามากๆ ส่วนตัวเกรซคิดว่า มันก็จริงอ่ะนะ เป็นช่วงที่คนไทยต้องกลับมาปรองดองกัน และรักในความเป็นชาติไทย รักในความเป็นไทย ซึ่งกว่าบรรพบุรุษของเราจะฝ่าฟันมาขนาดนี้ โอ้โห พวกท่านต้องผ่านอะไรมามากมายแล้วพวกเราก็มาทะเลาะกันเองเนี่ยนะ
ส่วนการเปิดฟรีให้ทุกคนได้ดูนั้น เกรซมองว่า มันเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งนะ แต่จะหวังให้คนไทยทั้งประเทศได้ดูฟรีในรอบวันอาทิตย์ (15 มิ.ย.) มันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะโรงหนังก็คงรับได้ไม่หมด ดังนั้น เกรซอยากให้ทุกคนได้ดูหนังเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทย อย่างภาคนี้เป็นภาคยุทธหัตถี เป็นภาคที่เราเรียนกันตอนเด็กๆ ถ้าพูดถึงพระนเรศวรก็จะต้องนึกถึงยุทธหัตถี ถูกไหมค่ะ นี่คือไฮไลต์เลยค่ะ แต่นั่นคือสิ่งที่เราเรียนผ่านตัวหนังสือ แต่นี่คือหนังที่ท่านมุ้ย ทีมงาน รวมไปถึงนักแสดงทุกคนตั้งใจทำออกมาเพื่อฉายให้เห็นภาพของประวัติศาสตร์ชาติไทยที่คนไทยต้องดู
ที่สำคัญ เป็นหนังที่สร้างโดยคนไทย และเก็บข้อมูลกันเยอะมาก เรียกว่าใช้เวลาในชีวิตของท่านมุ้ย 12 ปีในการถ่ายทำ และก่อนหน้านี้อีก 4 ปีในการศึกษาหาข้อมูล รวมๆ แล้ว 16 ปีเลยนะ ซึ่งไม่มีใครที่จะทุ่มได้มากกว่านี้อีกแล้ว อีกอย่าง เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวในโลกที่ยังคงใช้แผ่นฟิล์มอยู่ และเป็นเรื่องเดียวที่ใช้ตัวแสดงจริงๆ เข้าไปเยอะมาก"
ล้วงตัวตน "เกรซ" ที่คนนอกอาจไม่รู้
จบประเด็นเรื่องหนัง มาเปิดตัวตนของผู้หญิงเก่งคนนี้กันบ้าง อย่างที่เกริ่นไปในตอนต้น ถ้านึกถึง "เกรซ" หลายคนคงต้องนึกถึงไฮโซสาว ผู้เย่อหยิ่ง เข้าถึงยาก แต่ใครจะไปรู้ว่า ชีวิตจริงของเธอนั้น ติดดินเอามากๆ
"ถ้าเกรซมองผู้หญิงในร่างเกรซ เกรซเห็นภาพผู้หญิงขาวๆ ตัวเล็กๆ หน้าหมวยๆ เสียงดังๆ พูดจาห้าวๆ ที่สำคัญ เกรซก็แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่เดินก็ไม่สวย เดินเหมือนเป็ดอ่ะค่ะ แล้วก็จะเป็นผู้หญิงติดดิน กินข้าวแกงหรือร้านข้างทางที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าคนอื่นมองเกรซ ส่วนใหญ่จะติดภาพไฮโซสาวจากการทำงานเป็นพิธีกร ซึ่งงานที่ได้รับจะเป็นงานหรูหรา อย่างงานเปิดตัวเพชร หรือของสวยๆ งามๆ การแต่งตัวก็ต้องให้เข้ากับงานด้วย
ดังนั้น รูปที่ถ่ายออกมา รูปที่คนส่วนใหญ่เห็นก็จะเป็นรูปที่สวยงาม หรูหรา ไฮโซ หรืออย่างการเล่นหนังเรื่องนี้ เวลาต้องโชว์ตัว เกรซก็ต้องแต่งเต็มยศ เพราะต้องเข้ากับบทพระสุพรรณกัลยา ซึ่งเป็นบทที่สง่างาม จะมาแบ๊วๆ มันก็ไม่ได้" เกรซเผยตัวตน ต่อด้วยการขยายความให้เห็นภาพชัดๆ อีกว่า
"ความเป็นเกรซ ถ้าเข้ามาในชีวิตเกรซก็จะรู้ว่าเกรซเข้าถึงง่าย ติดดิน แถมติสต์อีกต่างหาก เรื่องนี้คุณสามี (โน้ต-นาวาอากาศโทจงเจตน์ วัชรานันท์) เขาจะรู้ดี เวลาไปกินข้าวนอกบ้านก็กินได้หมด วันหนึ่งมีน้องชวนไปกินส้มตำร้านธรรมดา แล้วก็ถามว่า พี่เกรซไหวเปล่า คือกลัวเกรซกินไม่ได้ไง โน้ตก็บอกไปเลยว่า โอ้ย! พี่เกรซสบายมาก เพราะโน้ตเขารู้จักเกรซ แต่คนอื่นยังไม่รู้จักเราดี" พูดจบเธอก็โชว์ให้เห็นข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวที่ไม่ได้แบรนด์เนมอะไรเลย
"นี่ค่ะ กระเป๋าก็ขาดละ แต่ยังใช้อยู่เลย ไม่ได้ยี่ห้ออะไรด้วยค่ะ ซื้อตามจตุจักร ใช้แล้วใช้อีก ขาดแล้วก็ยังใช้" เธออธิบาย และค้นกระเป๋าให้ดูข้างในต่อไป "อย่างเคสมือถือก็ได้มาจากการทำบุญ" ก่อนจะหยิบสิ่งสำคัญขึ้นมาให้ดู "ส่วนนี่คือสิ่งที่เกรซจะต้องติดตัวไว้ทุกวันค่ะ เป็นลายเซ็นของผู้พันเบิร์ด (พันโทวันชนะ สวัสดี) ซึ่งเกรซมีเป็นปึ๊งเลยค่ะ เพราะมีคนชอบขอบ่อย เกรซก็เลยติดกระเป๋าไว้ตลอด พอมีคนมาขอ นี่ค่ะ เกรซเตรียมไว้ให้พร้อมแล้ว (เธอทำท่ายื่นลายเซ็นผู้พันเบิร์ดมาให้ดู)"
นี่ไม่ใช่รายการเปิดกระเป๋าคนดัง แต่เพื่อให้เห็นความอยู่ง่าย กินง่าย และใช้ของอะไรก็ได้ของผู้หญิงชื่อเกรซ โดยเธอยังยืนยันหนักแน่นเป็นการทิ้งท้ายว่า "เกรซก็คือสาวออฟฟิศ ไม่ใช่สิ สาวโรงงานธรรมดาๆ คนหนึ่ง เพราะเกรซต้องเข้าไปดูงานที่โรงงาน (ไพรม์บ๊อกซ์ เอ็มเอฟจี จำกัด) เกือบทุกอาทิตย์"
อีกมุมชีวิตในฐานะภรรยาทหาร
ปิดท้ายกันด้วยมุมความรักของผู้หญิง 40+ อย่าง "เกรซ" ความรักของเธอเป็นสิ่งที่ใครหลายคนอดอิจฉาไม่ได้ เพราะได้สามีสุดหล่ออย่าง "โน้ต-นาวาอากาศโทจงเจตน์ วัชรานันท์" มาเป็นคู่ชีวิต เริ่มต้นจากเพื่อนในกองถ่ายเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชภาค 2 ค่อยๆ สนิทสนมจนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน กระทั่งก่อตัวเป็นต้นรักแบบไม่รู้ตัว
"ตอนนั้น โน้ตเขามาแคสติ้งบทนัดจินหน่องค่ะ ตอนนั้นก็อยากรู้ว่าเป็นใคร เพราะเป็นบทที่หายากมาก วันหนึ่งเขาก็เปิดประตูเข้ามา พี่เป้ ผู้จัดการเกรซก็ร้อง อ้าว! เพราะรู้จักกัน จากนั้นเกรซก็เริ่มสนิทกับโน้ตจากการที่ต้องติดต่อกันอยู่ตลอด อย่างไปงานประกาศผลรางวัลหรืองานอะไรก็แล้วแต่ โน้ตจะเป็นตัวกลางระหว่างเกรซกับกลุ่มพระนเรศวร เช่น ท่านว.วชิรเมธีจะไปกอง โน้ตช่วยนัดนักแสดงหน่อย โน้ตก็จะนัดนักแสดง จนกลุ่มโน้ตเขาจะเรียกเกรซว่าหัวหน้าเพราะเป็นผู้หญิงคอยสั่งการอยู่คนเดียว (หัวเราะ)
ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรกับโน้ตนะคะ เพราะเราก็มีคนของเรา โน้ตก็มีคนของเขา เลิกกับแฟนเก่าก็มีแฟนใหม่ ไปกินข้าวเราก็พาแฟนกันไป ซึ่งเกรซไม่ได้คิดอะไรเลย ยังคุยกับโน้ตตามปกติ เพราะเขาคุยง่าย ใช้ง่าย (หัวเราะ) จนวันหนึ่ง เกรซอยู่ต่างประเทศ ส่วนโน้ตก็อยู่เมืองไทย จำได้ว่าเป็นช่วงสงกรานต์ โน้ตก็ส่งข้อความมาว่า สงกรานต์หยุดนานมากเลย เบื่อมากๆ อยากมีคนจริงจัง อยากมีแฟน ไอ้เราก็ เหรอๆ โอเคๆ เดี๋ยวกลับไปจะแนะนำสาวให้แล้วกันนะ
พูดตรงๆ ว่า คิดใหญ่เลยนะว่า ลูกเพื่อนแม่ยังมีใครโสดอยู่บ้างไหมน้อ (ทำท่าคิด) ลูกทางฝั่งเพื่อนพ่อล่ะยังมีใครโสดอยู่บ้างไหม (ทำท่าคิด) ส่วนเพื่อนเราก็ไม่มีใครเหลือแล้ว เพราะส่วนใหญ่มีครอบครัวกันหมดแล้ว คิดไปคิดมาก็เกิดความรู้สึกเสียดายแทน (หัวเราะ) เพราะโน้ตเขาก็น่ารักดี รู้จักกันมาก็ตั้ง 8 ปี เขาก็ยังเป็นเขาไม่เคยเปลี่ยน สรุป เริ่มหวงๆ อยากเก็บไว้เอง (หัวเราะ) พอกลับเมืองไทย เราก็ไม่ได้แนะนำใครนะ ปล่อยให้เรากับเขาเป็นน้ำซึมบ่อทรายไปเรื่อยๆ จากนั้นก็เริ่มโทร.คุยกัน และไปดูหนัง กินข้าวกันถี่ขึ้น
จากเพื่อนก็ค่อยๆ เขยิบเข้ามาเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ นั่งห่างๆ ก็เริ่มเขยิบเข้ามาติดกันมากขึ้น ถามว่าใครเริ่มก่อน ก็พอๆ กันอ่ะค่ะ (หัวเราะ) หลังๆ ก็มาบ้านเกรซบ่อยขึ้น จนความเป็นพี่เป็นน้อง เราก็เริ่มมองว่าโน้ตเป็นผู้ชายคนหนึ่ง โน้ตก็เริ่มมองว่าเราก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนนั้นก็เริ่มคุยเรื่องชีวิตคู่จริงๆ จังๆ เพราะต่างคนก็เบื่อมากแล้วกับชีวิตโสด โดยเฉพาะเกรซที่เพื่อนๆ แต่งงานจนมีลูก หรือบางคนแต่งงานรอบสองกันแล้ว ส่วนเขาก็คิดตรงกันกับเรา พอเรากับเขาความคิดตรงกันก็ตัดสินใจแต่งงาน เขาก็มาขอพ่อเกรซตอนช่วงน้ำท่วม สุดท้ายก็ได้แต่งงานกัน"
แต่ก่อนที่จะแต่งงานกัน เธอเปิดปากยอมรับว่า ได้ปิดเรื่องราวความรักเอาไว้เงียบๆ ถึงขนาดที่เพื่อนๆ ก็ยังไม่รู้เรื่องเลย โดยเธอให้เหตุผลเดียวว่า "อายค่ะ"
"พอทุกคนรู้ว่าโน้ตแต่งกับเกรซ ทุกคนก็อึ้งมาก โดยเฉพาะคนในกอง เพราะภาพที่เห็นเกรซกับโน้ตอยู่ด้วยกันมันก็เป็นภาพปกติ ไม่มีใครคิดว่าเป็นภาพคนที่ชอบกันแบบหญิงชาย อยู่ดีๆ มาแต่งงานได้ยังไง ก็งงกันใหญ่ เราก็ไม่กล้าบอกใคร แต่ก็ปิดไว้ได้ไม่นาน ที่อายยิ่งไปกว่านั้น งานแต่งเกรซกับโน้ต ต้องเชิญท่านมุ้ยมาเป็นประธานในพิธีด้วย ยอมรับว่าเกรซอายมาก ประโยคแรกที่พูดกับท่านคือ ท่านตลกไหมค่ะ ท่านก็บอกว่า ตลกตรงไหน ไม่เห็นตลกเลย"
เมื่อถามต่อไปว่า เห็นอะไรในตัว "โน้ต" คุณเกรซพูดขึ้นมาในทันทีว่า "เขาเป็นคนอยู่ง่ายกินง่ายเหมือนกับเกรซค่ะ ที่สำคัญ เขาเป็นคนมองโลกในแง่ดีมากๆ เช่น สุนัขกัดกระเป๋าตังค์รวมไปถึงบัตรเครดิตหักก่อนวันไปต่างประเทศวันเดียว ถ้าเป็นเกรซ เกรซคงปรี๊ดไปละ แต่โน้ตกลับบอกว่า น่ารักดีเนอะ แล้วก็ยื่นกระเป๋าตังค์ขาดๆ มาให้ดู ทุกวันนี้ก็ยังใช้อยู่เลยค่ะ
ดังนั้น ด้วยความที่เขาเป็นผู้ชายขั้วบวก ตัวเกรซเองก็บวกไปด้วยค่ะ อีกอย่าง อยู่ด้วยแล้วเกรซเป็นตัวของตัวเองได้ตามปกติเลยค่ะ อาจจะด้วยความที่เขาสนิทกับเรามานาน และยอมรับในตัวเราได้ ยิ่งผู้หญิงที่อายุเยอะแล้วมาแต่งงานจะมีความเป็นตัวเองสูงมาก จะไม่ยอมเปลี่ยนอะไรแล้วอ่ะ ตัวเกรซก็ไม่เปลี่ยนเหมือนกัน เกรซก็เป็นของเกรซแบบนี้ แต่เขาก็รับได้" เกรซเว้นช่วงก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า "ณ ตอนนี้ (หัวเราะ)"
ถึงวันนี้กับการได้เป็นภรรยาทหาร เธอเปิดใจกับทีมงานว่า ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้
"เกิดมาไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นภรรยาทหาร (หัวเราะยาว) ยอมรับว่า แรกๆ ก็ต้องเรียนรู้เหมือนกัน เพราะที่บ้านเกรซ มีคุณพ่อเป็นนักธุรกิจ คุณแม่เป็นดาราฮ่องกง บ้านเกรซไม่มีใครเป็นข้าราชการทหารเลย เพราะฉะนั้น เกรซจะคอยถามภรรยาของผู้พันเบิร์ดอยู่ตลอดว่า ไปออกงานกับสามีมาบ้างหรือยัง เขาให้ทำอะไรบ้าง แต่งตัวอย่างไร ขนาดไหน ส่วนเพื่อนบางคนก็แนะนำว่า ถ้ามีไป เธอก็ต้องไปบ้างนะ
ถามว่า ตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ ก็ไม่ขนาดนั้นค่ะ ลึกๆ แล้วเป็นความภาคภูมิใจมากกว่า เพราะความเป็นทหารของโน้ต เขาไม่ค่อยมีประเด็นเรื่องวัตถุนิยมอะไรมากนัก เขามองแต่เพียงว่า งานที่ให้กับสาธารณะคืองานบริการที่ต้องทำให้สังคม ซึ่งเกรซก็ชอบทำงานสังคมอยู่แล้วด้วย จึงไปกับเขาได้ดี
ส่วนข้อดีของการมีสามีเป็นทหารก็คือ โน้ตจะเป็นคนที่ตื่นเช้ามาก ประมาณ 6 โมงครึ่งเขาจะถึงที่ทำงานละ ด้วยกิจวัตรของเขาแบบนี้ก็เลยทำให้นิสัยไม่ดีของเกรซบางอย่างหายไป เช่น การนอนดึก ถ้าเป็นสมัยก่อน เกรซจะนอนตีหนึ่ง ตีสอง พอเช้าก็จะตื่นมาทำงานไม่ค่อยจะไหว แต่ตอนนี้ด้วยความโน้ตเขานอนเร็วและต้องตื่นเช้า เราก็ต้องตื่นตามเขาไปด้วย"
ในเรื่องความเป็นแม่บ้านแม่เรือน โดยเฉพาะการเข้าครัวทำอาหาร เธอตอบขำๆ ด้วยน้ำเสียงหวานๆ ว่า "สามีทหารก็ต้องทำอาหารให้ดิฉันกินนะคะ เพราะว่าดิฉันเป็นผู้หญิงทำงาน ผู้หญิงออฟฟิศ ไม่มีเวลากลับไปทำอาหารเลยค่ะ" ก่อนจะอธิบายให้ฟังด้วยน้ำเสียงปกติว่า
"คือตอนเย็นต่างคนต่างกินค่ะ เพราะเขาเล่นฟิตเนส ซึ่งเขาจะมีโปรแกรมการกินของเขา แต่ถ้าเสาร์-อาทิตย์โน้ตจะตื่นขึ้นมาทำ หรืออุ่นอาหารให้เกรซกิน มีเข้าครัวบ้าง เช่น ปรุงมาม่าให้เรากิน อะไรประมาณนี้ค่ะ (หัวเราะ)" เกรซเล่า ก่อนจะจบการสนทนา ด้วยการอัปเดตเรื่องแผนการมีลูกให้ฟังว่า "เกรซมีปัญหาเรื่องมดลูกคว่ำค่ะ ทำให้มีลูกยาก ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการปรึกษาแพทย์ค่ะ"
เรื่องโดย ASTV ผู้จัดการ Lite
ภาพโดย พลภัทร วรรณดี และขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจากอินสตาแกรม @gracemahadumrongkul
*** ลิงค์ข่าวที่เกี่ยวข้อง ---> คลี่ชีวิตผู้หญิงหัวใจสวย "เกรซ มหาดำรงค์กุล"
/////////////////////
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-นามสกุล : เกรซ มหาดำรงค์กุล
วัน/เดือน/ปีเกิด : 1 ตุลาคม พ.ศ. 2512
ความสามารถพิเศษ : พูดได้ถึง 5 ภาษา ทั้งไทย, กวางตุ้ง, จีนกลาง, อังกฤษ และญี่ปุ่น
การศึกษา :
- โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์
- High School ที่ Indiana , U.S.A.
- ปริญญาตรีจาก Pepperdine University สาขาโฆษณา กราฟิก Design
- ปริญญาโท บริหารธุรกิจจากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- University of California at Barkeley Certificate “Integrated Marketing”
ผลงานพิธีกรหลักๆ
- รายการที่นี่...ประเทศไทย
- รายการทีวี "สยามทูเดย์"
- รายการบ้านเลขที่ 5 @ไทยแลนด์
ผลงานภาพยนตร์
- รับบทเป็นพระสุพรรณกัลยา ใน ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 1-5
- ยังบาว (พ.ศ.๒๕๕๖) แม่ของแอ๊ด
มิวสิกวิดีโอ : เพลง "สิทธิ์ของเธอ" ศิลปิน อัสนี - วสันต์ อัลบั้ม จินตนาการ
รางวัล
- รางวัล สาวเปรียว รางวัลส่งเสริมสังคม
- Most Eligible Bachelor จาก Tattlier Magazing
- COSMO FUN FEARLESS FEMALE 2007
ปัจจุบันเป็นกรรมการบริหารด้านการตลาดและพัฒนาสินค้า บริษัท คอสโม กรุ๊ป จำกัด
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754