สุสานคนเป็น ตอนที่ 4
ชีพขับรถเข้ามาจอด ชีพกับรสสุคนธ์ลงจากรถมา ทั้งสองชะงักที่เห็นอุษามองเขม็งอย่างไม่พอใจ
รสสุคนธ์ฉุนถามเสียงแข็ง “มองอะไร”
อุษาตอบห้วนๆ “กิ้งก่า”
รสสุคนธ์โมโหแต่ก็ทำเนียนเป็นยิ้ม เธอยกมือแตะสร้อยเพชรที่คอก่อนจะพูดเย้ย
“มองด้วยความอิจฉาละสิ เสียใจด้วยนะคนเราบุญวาสนามันแข่งกันไม่ได้หรอกจ้ะ”
“แต่บุญที่เธอทำไว้มันก็คงหมดลงแค่นี้แหละ”
รสสุคนธ์งงแล้วก็แหวใส่
“หมายความว่าไง”
“คุณน้าฟื้นแล้ว”
ชีพตกตะลึงจนพูดไม่ออก รสสุคนธ์เองก็อ้าปากค้างเหมือนกัน
ลั่นทมนอนอยู่ในโลงในสภาพเดิม ชีพและรสสุคนธ์กำลังมองลั่นทม ในขณะที่คนอื่นๆล้อมอยู่รอบๆ
ชีพหันมามองอุษาเคืองๆ
“นี่เธอเล่นตลกอะไรกับน้า ไหนว่าลั่นทมฟื้น”
“นั่นสิก็ยังนอนเป็นผีเน่าอยู่ในโลงเหมือนเดิม ชีพขารสว่าหลานสาวคุณคนนี้คงเสียสติไปแล้วล่ะค่ะ” รสสุคนธ์ว่า
“ลองดูดีๆสิครับคุณ คุณนายตายไปเป็นวันๆแล้วแต่เนื้อตัวยังเหมือนคนปกติ” ผันบอก
“ถ้าน้าชีพไม่เชื่อก็ลองจับตัวคุณน้าดูสิคะ” อุษาบอก
ชีพกล้าๆกลัวๆ แต่ก็ทำทีจะยื่นมือลงไปจับ แต่รสสุคนธ์ดึงมือไว้
“คุณก็จะบ้าตามพวกนี้ไปด้วยเหรอคะ ศพน่ะมีเชื้อโรคเยอะแยะ เดี๋ยวก็ได้ติดโรคเข้าให้หรอก”
ชีพหดมือกลับทันที อุษาพูดต่อ
“ลุงสัปเหร่อได้ยินเสียงในโลงก่อนที่โลงจะตกลงมาวันนี้ค่ะ”
ชีพหันไปมองที่หน้าลั่นทมอีกครั้งแล้วก็จำใจถาม
“แล้วยังไง จากนั้นมีใครเห็นลั่นทมฟื้นมั้ยล่ะ”
ทุกคนเงียบ รสสุคนธ์ได้ที
“ก็ไม่มี...โธ่เอ๊ย กะอีแค่วางโลงไม่ดี มันก็ตกลงมา เลยพากันทึกทักว่าฟื้น ไม่มีอะไรทำรึไง เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว เดี๋ยวแขกก็จะมากันแล้ว” รสสุคนธ์สั่งสัปเหร่อ “ยกโลงขึ้นสิ...จะปล่อยให้ผีในโลงอยู่รับแขกตรงนี้รึไง” สัปเหร่ออึกอัก “รึจะให้ฉันไปฟ้องเจ้าอาวาส”
สัปเหร่อตกใจรีบปิดฝาโลง
“น้าชีพคะ ษาขอร้องละค่ะ เอาคุณน้าออกมาจากโลงเถอะ เรารอดูอีกสักคืนนะคะ ษาเชื่อว่าคืนนี้คุณน้าต้องฟื้นขึ้นมาอีกแน่ๆค่ะ”
ชีพอึ้ง เขาสบตากับรสสุคนธ์ที่จ้องเขม็งเป็นเชิงให้ปฏิเสธ ชีพพูดเสียงแข็ง
“ไร้สาระน่าษา สิ่งที่เธอทำเท่ากับเป็นการรบกวนไม่ให้คุณน้าไปสู่สุคติ เอาโลงขึ้นที่เดิมนี่เป็นคำสั่งของฉัน ซึ่งเป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของลั่นทม หากใครวุ่นวายกับศพเมียฉันอีก ฉันเอาเรื่องแน่”
รสสุคนธ์อมยิ้มแล้วปรายตามองไปที่ทุกคนอย่างสะใจ ผันก้มหน้า ธารินทร์ที่ยืนอยู่ข้างอุษาอึ้ง อุษาน้ำตาไหลพราก
หวานกำลังคุมให้สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจจัดเตรียมเครื่องดื่มและอาหารสำหรับการจัดเลี้ยงแขกที่จะมาฟังสวดศพ รสสุคนธ์สวมชุดไว้ทุกข์เดินเข้ามามองดู
“ถ้วยพอมั้ย” หวานถาม
“เตรียมไว้ประมาณร้อยนึงจ้ะน้าหวาน” สวาทตอบ
“ไม่พอหรอก” หวานบอก
รสสุคนธ์เดินเข้ามาพอดี
“จะเลี้ยงอะไรกันใหญ่โตสิ้นเปลือง คนเข้ามาฟังสวดศพไม่ได้มางานเลี้ยง”
“พวกที่มาน่ะเขาผู้ดีมีชาติมีตระกูลทั้งนั้น ไม่ใช่พวกคางคกขึ้นวออย่างเอ็ง กินไม่กินก็ต้องเลี้ยงเขา บางคนเขายังไม่ได้กินอะไรมา พวกคางคกมันจะรู้อะไร” หวานว่า
“น้าหวาน ทำไมต้องขัดฉันทุกเรื่องเลยนะ”
รสสุคนธ์สะบัดหน้าเดินจากไป สวาท ยาใจ และจิ้มลิ้มแอบหัวเราะกันแต่พอหันมาเห็นหน้าหวานเศร้า ๆ ก็พากันนิ่ง
ผันกระซิบกับอุษาเบาๆ
“ไม่ต้องห่วงนะ ลุงบอกสัปเหร่อแล้วไม่ให้มัดตราสังข์แน่นๆ ตะปูก็ตอกไว้หลวมๆ”
“ขอบคุณหมอผันค่ะ เผื่อบางทีคุณน้าจะหายใจได้บ้าง” อุษาบอก
ธารินทร์ส่ายหน้าเดินเข้ามา “พ่ออย่าพูดให้กำลังใจษาเลย คุยกันที่ความจริงดีกว่า”
อุษางอนจึงเดินผละไป
“งอนแล้วเห็นมั้ย” ผันว่า “เอ็งมันหัวสมัยใหม่เลยไม่เชื่อว่า...”
“พ่อเลิกพูดคนตายแล้วฟื้นได้แล้วครับ นั่นมันเกิดขึ้นกับคนอื่น ไม่ใช่คุณนายลั่นทม”
ผันพยักหน้า
“เออ ไม่พูดก็ไม่พูด”
แขกเหรื่อเริ่มทยอยกันมาที่งาน รสสุคนธ์ยืนรับแขกอยู่ข้างชีพราวกับว่าเป็นงานตัวเอง หวานยืนมองอยู่ห่างๆ ด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก วิเวกกับสมพรเดินนำไกรเข้ามา ทั้งสองชี้ไปที่อุษาซึ่งยืนเหม่ออยู่มุมหนึ่ง ไกรหันไปขอบใจทั้งสองเบาๆ แล้วเดินเข้าไปหาอุษา รสสุคนธ์เห็นเข้าพอดีก็พูดกับชีพ
“อีตาทนายนั่นไว้ใจได้หรือเปล่าคะชีพ”
“คงไม่มีอะไรหรอกน่า” ชีพว่า
ไกรเดินไปหาอุษา “หนูอุษา” อุษาหันมายกมือไหว้ ไกรรับไหว้ “อาอยากคุยกับหนูเรื่องพินัยกรรม”
“ษาไม่สนใจเรื่องนั้นหรอกค่ะ ษาไม่อยากได้”
“แต่มันไม่ยุติธรรม น้าชาติ น้าแท้ๆ ของหนู ไม่ได้ทำพินัยกรรมยกสมบัติให้หนู ซึ่งเป็นหลานแท้ๆ เลย ยกให้คุณนายลั่นทมทั้งหมด พอคุณนายเสียไป โดยที่พินัยกรรมก็ไม่มีชื่อหนู อาอยากช่วย...”
“หนูไม่สนใจหรอกค่ะ...”
“แต่คุณนายลั่นทมเคยบอกอาว่าจะยกสมบัติบางส่วนให้หนูหนูน่าจะมีสิทธิ์บ้าง อาว่าอาจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้หนูมีทางได้บ้าง”
อุษาสวนคำทันที
“คุณน้าจะโกงเขามาให้หนูเหรอ อย่าดีกว่าค่ะ เพราะเท่าที่หนูเห็นอาการอยากได้จนตัวสั่นของรสสุคนธ์แล้ว หนูก็คลื่นไส้เต็มทนแล้ว เรี่ยวแรงหนูมี หนูพอหาเลี้ยงตัวเองได้ขอบพระคุณในความปรารถนาดีของคุณอาค่ะ”
อุษายกมือไหว้ รสสุคนธ์เดินเข้ามาพอดี เธอกอดอกยิ้มเพราะยืนฟังอยู่ก่อนแล้ว
“เขาประกาศอยู่โต้งๆ ว่าไม่สนใจ คุณทนายทำไมต้องใจดียัดเยียดสมบัติคนอื่นให้เขาด้วยล่ะคะ แบบนี้มันไม่ถูกต้อง”
“พินัยกรรมยังไม่ได้เปิด ผมมีแต่ฉบับของผม ฉบับอื่นยังมีอีกคุณรสสุคนธ์อย่าเพิ่งดีใจไปสิครับ”
รสสุคนธ์ยืนตะลึง ไกรเดินเข้าไปในศาลาสวดศพ อุษามองหน้ารสสุคนธ์ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาเหยียดหยามอย่างเห็นได้ชัด แล้วเธฮก็เดินตามไกรไป รสสุคนธ์แทบจะร้องกรี๊ดออกมาเดี๋ยวนั้น
ร่างของลั่นทมนอนเหมือนตาย ในขณะที่จิตของลั่นทมค่อย ๆลืมตามองไปรอบๆ
“นี่ฉันกลับมาอยู่ในโลงอีกแล้วเหรอ ฉันตายหรือยังไม่ตายกันแน่ แล้วทำไมเมื่อกี้ฉันถึงไปที่บ้านได้ ฉันตายไปแล้วใช่มั้ย ฉันยังไม่อยากตาย ใครก็ได้ช่วยฉันที ษา...ษาอยู่ไหนช่วยน้าด้วย”
ลั่นทมดิ้นสุดแรง
อุษา ธารินทร์ ผัน ชีพและรสสุคนธ์สาละวนกับการส่งแขกอยู่ที่ศาลาสวดศพ
ธารินทร์นั่งที่คนขับรถ มีอุษานั่งอยู่ข้างๆ อุษาหน้าตึงเพราะไม่อยากพูดอะไร
“ษา โกรธผมเหรอ ผมทำทุกอย่างเพราะไม่อยากให้ใครเห็นคุณเป็นตัวตลก”
“ยังไงษาก็ไม่ยอมวางมือหรอกค่ะให้มันรู้ไปว่าความชั่วจะเอาชนะความดีได้”
“ษาจ๊ะ นี่เรื่องของคนตายไม่ใช่เรื่องธรรมะชนะอธรรม”
อุษาพูดเสียงเครือ “ษาขอร้องค่ะรินทร์...อย่าห้ามษาเลย ษาทนไม่ได้ที่เห็นคุณน้าลั่นทมถูกรังแกอย่างนี้...”
ธารินทร์ถอนใจแล้วพยักหน้าก่อนจะตบหลังมืออุษาเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ แล้วเขาก็สตาร์ทรถ
รสสุคนธ์แต่งตัวชุดนอนค่อนข้างโป๊อยู่ในห้อง หวานเข้ามาพอดี
“ผู้หญิงดีๆ เขาไม่แต่งตัวแบบนี้กันหรอก”
“ฉันก็ไม่เคยประกาศว่าเป็นผู้หญิงดีซะหน่อย ถ้าดีแล้วต้องโง่ เซ่อ แถมอยู่ขึ้นคานแบบน้าหวาน ฉันก็ยอมชั่วดีกว่า”
รสสุคนธ์เดินออกไป หวานขวางไว้
“จะไปไหน...” หวานถาม
“เรื่องของฉัน”
รสสุคนธ์มองหน้าหวานดุๆ ก่อนจะแกะมือหวานที่กางกั้นประตูไว้แล้วมองหน้าน้าสาวอย่างไม่แคร์ รสสุคนธ์เดินออกไปทันที หวานได้แต่ยืนอึ้ง
“คุณผู้หญิง ฟื้นมาเสียทีสิคะ”
ชีพกำลังอ่านเอกสารแสดงทรัพย์สินของลั่นทมอยู่ รสสุคนธ์เดินเข้ามาแล้วโอบกอดชีพ
“โฉนดเป็นตั้ง คุณสุชาติสามีเก่าลั่นทมเก่งไม่ใช่เล่นเลยนะคะชีพ”
ชีพหอมแก้มรสสุคนธ์ “ก็เก่งเรื่องหาเงินเท่านั้นแหละ บางเรื่องก็โง่ ไม่งั้นทรัพย์สินพวกนี้จะกลายมาเป็นของผมเหรอ”
รสสุคนธ์ยิ่งเอาใจชีพด้วยการพูดจาออเซาะ “รสเข้ามาหาถึงที่นี่ ใจคอคุณจะหมกมุ่นอยู่กับเอกสารพวกนี้เหรอคะ”
ชีพโน้มตัวรสสุคนธ์มากอด ทั้งสองพากันไปที่เตียงนอนแล้วล้มไปด้วยกัน รสสุคนธ์หัวเราะใส่จริต ยั่วยวน
“รู้มั้ยว่าผมคลั่งคุณจะตายอยู่แล้ว” ชีพบอก
“จดทะเบียนกับรสสิคะ...ผู้คนมันจะได้เลิกดูถูกรสเสียที รสสัญญาค่ะว่าจะทำทุกอย่างที่คุณต้องการ อยากได้อะไร ถ้ารสทำได้รสยอมคุณหมดเลย...”
“ก็ได้ แต่ต้องผ่านงานศพลั่นทมไปก่อน เดี๋ยวคนเขานินทา”
“พรุ่งนี้สวดครบสามวันก็เผาเลย อย่าเก็บไว้ร้อยวัน เชื่อรสเถอะค่ะ ศพนังลั่นทมจะยิ่งทำให้คุณมีปัญหา”
ทั้งคู่นัวเนียกัน โดยที่ชีพไม่ตอบอะไร
อุษาลงบันไดมาแล้วเดินตรงไปที่ครัว ชีพที่ยืนอยู่ด้านหลังมองตามอุษาไป อุษาเปิดตู้เย็นรินน้ำดื่ม โดยไม่ได้เปิดไฟทำให้มีเพียงแสงไฟจากตู้เย็นที่ฉายให้เห็นอุษาอยู่
“ษา...” ชีพเรียก
อุษาตกใจรีบปิดตู้เย็นแล้วถอยหนี “น้าชีพมีอะไรคะ”
“ทบทวนข้อเสนอของน้าหรือยัง” ชีพถาม
“เรื่องอะไรคะ ษาลืมมันไปแล้วค่ะ”
“คนสวยๆ อย่างษา ไม่น่าโง่เลย...ทำแบบนี้จะทำให้ษาเสียโอกาสนะ”
“ต้องเนรคุณปลิ้นปล้อนใช่มั้ยคะ ถึงจะเป็นคนฉลาด”
“ษาคิดว่าไอ้ธารินทร์มันจะเลี้ยงดูษาได้เหรอ...เงินเดือนแค่นั้น ทำไมษาไม่อยากมีชีวิตที่สุขสบายเหรอ น้าบอกแล้วไงว่ารสสุคนธ์ก็แค่ของเล่น อารมณ์ชั่ววูบ...ไม่ใช่รักจริงอย่างที่น้าคิดต่อษามาตลอด”
ชีพเดินเข้าหา อุษาเบี่ยงตัวหลบ ชีพเสียหลักล้มลงไป
“ตอนที่คุณน้าลั่นทมยังมีชีวิตอยู่ ทำไมน้าชีพถึงไม่เผยสันดานเถื่อนแบบนี้ให้คุณน้าได้รู้ล่ะคะ คุณน้าจะได้ตาสว่างไม่ต้องตายแบบนี้...ษาเกลียดน้าชีพ...ษาเกลียด อย่ามายุ่งกับษาอีก”
ชีพพยุงตัวลุกขึ้นแล้วมองตามเงาร่างของอุษาไปด้วยสายตาเครียดแค้น
รสสุคนธ์นอนหลับอย่างสบายอยู่บนเตียงของลั่นทม มือของลั่นทมค่อยๆ ยื่นมาปลุกเบาๆ แล้วมือนั้นก็เลือนหายไป รสสุคนธ์หลับตายิ้มอย่างมีความสุขเพราะคิดว่าเป็นชีพ
“จะรีบไปไหนแต่เช้ามืดคะรสยังนอนไม่อิ่มเลย”
รสสุคนธ์ลืมตาลุกขึ้นนั่งงัวเงียแต่ก็ไม่พบชีพในห้อง
“ชีพ...ชีพ...”
รสสุคนธ์เห็นประตูห้องน้ำปิดอยู่ก็วิ่งมาเคาะเรียก
“ชีพ...ชีพคะ...”
รสสุคนธ์หันมาก็เห็นลั่นทมยืนอยู่ข้างเตียงก็กรีดร้องสุดเสียง ชีพเปิดประตูห้องน้ำออกมากอดรสสุคนธ์ไว้
“รส...เป็นอะไร...เป็นอะไร”
รสสุคนธ์ซบหน้ากับอกชีพแล้วชี้มือไปที่เตียงก่อนจะพูดเสียงสั่น
“นัง..ลั่นทม เมียคุณอยู่ที่...ที่เตียงค่ะ”
ชีพหน้าเสียแต่มองไปก็ไม่เห็นอะไร “มีที่ไหน...ดูสิ...ไม่มี...”
รสสุคนธ์หันมาไม่เห็นลั่นทมก็ถอนหายใจโล่งอก
“รสคงตาฝาดหรือไม่ก็คิดมากไป...คุณแต่งตัวเสร็จแล้วเหรอคะ รอรสที่โต๊ะอาหารนะ...เดี๋ยวรสตามลงไป”
รสสุคนธ์คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วรีบเข้าไปในห้องน้ำสำรวจตัวเองในกระจกทันที
เวลาผ่านไป รสสุคนธ์ที่แต่งชุดดำคัดเลือกเครื่องเพชรในกล่องเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะ เธอหยิบมาติดที่เสื้อแล้วก็มองตัวเองในกระจก โดยไม่ได้สังเกตว่ากล่องเครื่องประดับเคลื่อนออกช้าๆ เหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรง รสสุคนธ์จะหยิบแต่หยิบไม่ถูกเพราะกล่องเครื่องประดับไม่ได้อยู่ที่เดิม เธอเอะใจเล็กน้อยแต่ไม่ได้สงสัยอะไร รสสุคนธ์คว้ากระเป๋าเข้ากับชุดแล้วเดินออกไปก่อนจะปิดประตู ลั่นทมที่มีสีหน้าเศร้ามองตามไป แล้วหยาดน้ำตาก็เอ่อคลอ
อุษาอยู่ในชุดดำเตรียมตัวไปที่วัด เธอตรวจสอบที่เก็บเครื่องเพชรที่ชีพมอบให้ว่าอยู่ดีเป็นที่เรียบร้อย แล้วหยิบเงินที่ชีพให้ออกมาตรวจสอบอีกครั้งก่อนจะใส่กระเป๋าเตรียมนำไปใช้จ่าย
สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจกำลังดูแลบริการชีพที่กำลังรับประทานอาหารเช้า อุษาแต่งชุดดำผ่านหน้าห้องอาหารจะออกไปหน้าบ้าน
“อุษา” ชีพเรียก อุษาชะงัก “ไม่ทานอาหารเช้าด้วยกันก่อนเหรอ”
รสสุคนธ์เดินเข้ามาในห้องอาหาร อุษาสังเกตเห็นเครื่องเพชรที่รสสุคนธ์ใส่
“ไม่ค่ะ ษาจะเข้าไปช่วงเช้าแล้วจะขอลาไปทำธุระหน่อยค่ะ
รสสุคนธ์จับเพชรอย่างไม่สะทกสะท้านมีอารมณ์อยากอวดเสียด้วยซ้ำ “ธุระอะไรกันนักหนา หรือว่าเห็นงานที่โรงงานไม่สำคัญ นึกจะไปไหนก็ไป”
อุษามองรสสุคนธ์อย่างสังเวชใจเต็มทีในอาการเลื่อนขั้นของรสสุคนธ์ อุษาไม่ตอบแต่จะเดินออกจากห้องอาหาร
“เดี๋ยว ฉันพูดกับเธอเธอไม่ได้ยินเหรอหรือว่าเสียใจจนเสียสติไปแล้ว” รสสุคนธ์ว่า
“คนที่เสียสติน่าจะเป็นเธอมากกว่า” อุษาสวน
“ฉันเสียสติยังไง”
“คนที่มีสติคงไม่กล้ายึดครองของของคนอื่นมาเป็นของตัวเองอย่างหน้าตาเฉยแบบเธอ แต่ก็อย่างว่าละนะคนไม่เคยมีเคยได้ ไม่มีใครสั่งสอนก็มักจะละโมบโลภมากแบบนี้ล่ะ”
“นี่แกด่าฉันเหรอ นังนี่ขอตบปากมันเสียทีเถอะ”
รสสุคนธ์ถลาเข้าไปแล้วชะงักเพราะเสียงจริงจังของชีพ
“รส..พอได้แล้ว” ชีพพูดกับอุษา “ให้ฉ่ำขับรถไปส่งซิษา”
“แต่เราก็ต้องใช้รถนะคะคันที่ชนก็ยังซ่อมไม่เสร็จ” รสสุคนธ์พูดกับอุษา “ฉันว่าคนที่มีสติอย่างเธอคงไม่ต้องการรับความช่วยเหลือจากใครมั้ง...ใช่มั้ย”
อุษาไม่ตอบแต่ทำท่าจะเดินออก ไป รสสุคนธ์รีบพูดต่อ
“แล้วก็ตั้งใจทำงานหน่อย.น้าเธอก็ตายไปแล้ว ตอนนี้เธอก็เหมือนเป็นแค่กาฝากช่วยทำงานให้คุ้มกับเงินเดือนหน่อย”
หวานทนไม่ไหว“นังรส แกจะลามปามคุณอุษามากเกินไปแล้วนะ คุณษาคะอิฉันขอโทษแทนมันด้วยค่ะ”
อุษาไม่พูดอะไร เธอผละเดินจากห้องอาหาร รสสุคนธ์โกรธหวานแต่ข่มใจไว้หันมาสั่งการกับบรรดาคนในบ้าน
“สวาท เติมกาแฟให้คุณผู้ชายซิ..” รสสุคนธ์หันมาเอาใจชีพ “เดี๋ยวรสมาทานเป็นเพื่อนนะคะ นึกได้ต้องรีบไปเตือนคุณทนายหน่อย”
รสสุคนธ์ผละไปทางทางโทรศัพท์ ชีพกับหวานมองตามอย่างงงๆ
ไกรอยู่ในชุดทำงาน เอกสารเกี่ยวกับการประเมินราคาทรัพย์สินของลั่นทมกางอยู่ตรงหน้า บนโต๊ะมีเครื่องดื่มกาแฟขนมปังวางอยู่ ไกรกินไปอ่านเอกสารไป สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ไกรรับสาย “ฮัลโหล”
รสสุคนธ์พูดสายโดยพยายามพูดจาอ่อนหวานแต่แฝงความเหี้ยมเกรียมไว้ในเนื้อหาที่พูด
“คุณไกรคะ นี่ฉันรสสุคนธ์พูดมาจากบ้าน ฉันโทรมาเตือนเรื่องที่สั่งคุณไปเมื่อคืน”
ไกรเคี้ยวขนมปังไปพูดสายไป “บ้านไหนนะครับ”
“ก็บ้านฉัน บ้านคุณชีพน่ะสิ..จำไม่ได้เหรอคะ ที่สั่งให้คุณตรวจสอบประเมินทรัพย์สินของคุณลั่นทมไง..รึว่ายังไม่ตื่น เสียงดูงงๆ”
“ผมตื่นนานแล้ว เรื่องประเมินทรัพย์สินคุณลั่นทมเกือบจะเรียบร้อยแล้ว ช่วยเรียนคุณชีพด้วย”
“ไม่ต้องเรียนใครหรอก เรียนฉันโดยตรงนี่แหละ มัวทำอะไรอยู่ถึงยังไม่เสร็จ เอาเถอะ แค่ไหนก็เอามา ฉันต้องการเห็น ด่วนด้วย ฉันจะรออยู่ที่บ้านกับคุณชีพ”
รสสุคนธ์วางสายโดยไม่เอ่ยลา ไกรวางสายอย่างงงๆ เพราะไม่แน่ใจว่ารสสุคนธ์อยู่ในตำแหน่งใดของบ้านลั่นทม
ไกรขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านลั่นทม รสสุคนธ์ร้อนใจถึงกับออกมารอหน้าบ้าน ไกรลงจากรถพร้อมแฟ้ม
“คุณชีพรออยู่ใช่ไหมครับ” ไกรถาม
รสสุคนธ์ดึงแฟ้มมาจากไกร
“ช่างเขาเถอะ ประมาณการได้ครบทุกอย่างมั้ย คุณทนาย”
“ยังขาดอยู่อีกสองสามรายการ..คุณชีพล่ะครับ”
ไกรมองหาชีพ รสสุคนธ์ไม่พอใจ “ไม่น่าจะมีอะไรยากเลยนี่นะ”
ไกรจะเข้าในบ้านแต่รสสุคนธ์พูดอีก “นี่เดี๋ยว..มีทรัพย์สินส่วนไหนที่ลั่นทมระบุว่าเป็นของอุษาบ้างหรือเปล่า”
ไกรอ้ำอึ้งเพราะต้องการให้อุษาได้ทรัพย์สินของลั่นทมบ้าง
“ตรงนี้แหละครับที่ผมกำลังตรวจเอกสารอย่างละเอียดก็เลยทำให้ช้า..คิดว่าอาจจะมี”
“อย่าพยายามใช้ความเป็นเพื่อนสนิทผัวเก่าลั่นทมมายักยอกเอาอะไรไปให้อุษานะจะบอกให้”
ไกรขมวดคิ้ว “เอ๊ะ..คุณ..ผมขอพบคุณชีพก่อน”
“ไม่จำเป็นคุณรีบกลับไปทำไอ้ที่ยังไม่เสร็จให้เสร็จภายในวันนี้ เข้าใจมั้ย”
รสสุคนธ์ผลุนผลันเข้าบ้านโดยไม่เชิญไกร ไกรมองตามอย่างงงงัน รสสุคนธ์หันมาถลึงตาไล่เบาๆ“ไปสิ...”
รสสุคนธ์เดินตรวจตราวางมาดเหมือนลั่นทมแต่แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นอุษาเดินมาไกลๆ รสสุคนธ์รีบเดินตามไป
“เดี๋ยวอุษา” รสสุคนธ์เรียก อุษาชะงัก “เมื่อกี้ฉันเข้าไปในห้องเห็นงานสุมอยู่เต็มโต๊ะทำไมไม่รีบไปทำๆให้เสร็จ อ๋อแล้วฉันก็อยากจะเตือนให้เธอหยุดจุ้นจ้านเรื่องน้าเธอเสียที ยังไงก็ตายไปแล้ว ไม่มีทางฟื้นขึ้นมาหรอกฉันสงสัยจริงๆว่าเธออยากให้น้าเธอฟื้นขึ้นมาเพราะอะไรกันแน่”
“ฉันอยากให้คุณน้าฟื้น เพราะไม่อยากให้คนบางคนมาจุ้นจ้านที่นี่ไงล่ะ”
รสสุคนธ์แค้นแต่แกล้งพูดเรียบๆ แฝงความเหี้ยมเกรี้ยมไว้
“ถ้าอย่างนั้นคนจุ้นจ้านคนนี้ขอสั่งว่า..เมื่อเสร็จสิ้นการสวดศพเธอควรจะหาที่อยู่ใหม่ได้แล้ว”
“ขอบใจที่เตือน แต่ไม่ต้องห่วงฉันหรอก คนอย่างฉันช่วยตัวเองได้ ไม่หมดท่าถึงกับจะทำอะไรชั่วๆ เห็นแก่ตัวเหมือนเธอหรอกรสสุคนธ์ เวรกรรมสมัยนี้นะตามมาเร็วนะ รีบๆ เสวยสุขเข้าล่ะเดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่เตือน”
อุษามองรสสุคนธ์อย่างทุเรศสังเวชใจเต็มทีแล้วจึงผละไป รสสุคนธ์มองตามอย่างเกลียดชัง
อุษายืนมองดูบริเวณซองบรรจุศพในบริเวณสุสานซึ่งเป็นช่องแคบๆ พอให้โลงเข้าไปได้เท่านั้น อุษามองดูอย่างอนาถใจ ฉ่ำมองตามแล้วพูดปลงๆ
“คนตายแล้วเหลือที่เท่านี้แหละครับ ไม่ซองแคบๆ ใส่ศพก็ในโกศเล็กๆ ใส่เศษกระดูก”
หมอผันเข้ามาเงียบๆ เพราะเกิดเป็นห่วงอุษา
“อ้าว หมอผันสวัสดีค่ะ”
อุษาไหว้ ผันรับไหว้
“หนูมาทำอะไรที่นี่” ผันถาม
อุษาสะอื้น “มาดูที่เก็บศพคนที่ตายแล้ว..ดูซิคะ..คุณน้าจะต้องถูกพามาบรรจุที่นี่ หลังสวดครบ 7 คืนแล้ว แต่คุณน้ายังไม่ตายนะ แล้วท่านจะเข้ามาอยู่ในซองแค่นี้ได้ยังไง แถมยังต้องมีซีเมนต์โบกปิดอีก”
ผันมองอุษานิ่งแล้วนึกถึงคำพูดของธารินทร์ว่าไม่ควรให้ความหวังอุษา
“หนูเอ๋ย..เมื่อวานลุงว่าคงเป็นอุบัติเหตุ จริงๆ..เรารีบร้อนตั้งโลงกันไม่ดีมั้ง”
อุษาแทบไม่ได้ฟังเสียงปลอบของผันเลย เธอได้แต่สะอื้นแล้วก็นึกได้จึงหันมา
“เออ คุณลุงคะ ช่วยหนูหน่อยได้ไหม คุณลุงได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดาไม่ใช่หรือคะ”
ผันอึกอักแล้วพยายามพูดไม่ให้อุษามีความหวัง
“ไม่ใช่ลุง ที่ว่าเทวดานั่นปู่ไอ้ธารินทร์มัน ก็พ่อของลุงนี่แหละ สมัยนั้นเขามีวิชาทำคนตายให้ฟื้นได้” ผันเหลียวซ้ายแลขวาแล้วกระซิบ “แต่เท่าที่รู้มาไอ้ที่ว่าฟื้นน่ะมันบังเอิญ เพราะไอ้คนนั้นไม่ได้ตาย แต่ชาวบ้านคิดว่าตาย พอพ่อลุงกรอกยาสองสามจอกมันเลยฟื้น..คนเค้าก็ติดปากเรียกลุงไปงั้นเอง อย่าบอกใครเชียวนาเสียประวัติพ่อลุงหมด”
“แต่คุณลุงก็เชี่ยวชาญทางยาแผนโบราณ..หมอผันต้องได้ถ่ายทอดวิชารักษาคนตายให้ฟื้นมาบ้าง”
อุษามองอย่างขอความเห็นใจ
“โธ่..ตำราที่ว่ามันไม่ได้ใช้กับคนตาย แต่ใช้กับคนที่เหมือนกับตายเท่านั้น ไอ้ที่ตายจริงๆ ต่อให้หมอเทวดาบวกพระอินทร์ก็ไม่มีทางชุบให้ฟื้นได้นอกจากในหนัง”
“ก็คุณน้าลั่นทมนี่ไงคะเหมือนตาย..เราน่าจะลองดูนะคะ ขอให้ได้ลองดูเท่านั้น เราจะขโมยศพมาทำพิธีรักษาดีมั้ยคะ”
ผันนิ่งอึ้งเหมือนจะเห็นคล้อยตามอุษา แต่พอได้ฟังคำว่าขโมยศพผันก็ถึงกับสะดุ้งตาหูเหลือก
“ขโมย..เฮ้ยไม่เอา..”
“ทำไมล่ะคะ” อุษาถาม
“ลุงว่าเลิกคิดเรื่องนี้เถอะหนูอุษา”
อุษาไม่ฟัง เธอยืนมองซองใส่โลงศพน้ำตาคลอ
สมุห์กำลังสะสางงานทั้งของตัวเองและของอุษาที่ลากิจไปจัดการเรื่องศพลั่นทม รสสุคนธ์เข้ามาพูดอย่างผู้มีศักดิ์ศรีเหนือกว่าแต่ไม่วางท่าข่มขู่ แสดงออกเพียงแต่ในทีเท่านั้นดูจะนุ่มนวลเสียด้วยซ้ำ
“รบกวนหน่อยนะคะสมุห์..ขอดูบัญชีค่าใช้จ่ายหกเดือนแรกหน่อยสิคะ”
สมุห์มองรสสุคนธ์อย่างงงๆ “คุณชีพให้มาขอหรือคะ”
รสสุคนธ์ตอบเสียงขุ่น
“ฉันเอง ตอนนี้ทุกคนกำลังยุ่งๆ อุษาก็เสียอกเสียใจจนไม่เป็นอันทำงานทำการ รู้สึกว่าขอลาไปวัดอีกแล้ว..ฉันเลยต้องเข้ามาช่วยดูแล”
สมุห์ยิ่งแปลกใจหนักขึ้นมองรสสุคนธ์เหมือนเห็นตัวประหลาดลุกเดินไปทางห้องชีพ
รสสุคนธ์เสียงเข้มผิดกับเมื่อครู่ “จะไปไหนน่ะ”
ชีพนิ่งอึ้งเพราะเกือบจะไม่พอใจในการกระทำของรสสุคนธ์แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกในตอนนี้ สมุห์เข้ามาถามชีพโดยที่รสสุคนธ์ที่อยู่ด้วยทำหน้าตาเฉย
“คือ..ผมลืมแจ้งคุณไป ผมให้รสเขามาช่วยงานผม ก็เลย..เอ่อ ให้เค้าไปขอคุณ..” ชีพอึกอัก
“อ๋อ ค่ะ” สมุห์พูดกับรสสุคนธ์ “ดิฉันจะไปนำมาให้”
สมุห์กลับออกไป ชีพอึดอัดใจ
“นี่รสฉันว่าจะทำอะไรควรปรึกษาฉันก่อน” ชีพว่า
รสรีบเข้ามาเอาใจชีพ เธอปิดปากชีพแล้วพูด
“ก็..เผื่อรสจะช่วยแบ่งเบาภาระของคุณได้บ้างไงคะอันไหนประหยัดได้รสก็จะช่วยดูให้ เห็นคุณยุ่งๆ รสก็เลยไม่กวน..รสอยากช่วยจริงๆ”
“แต่คนอื่นอาจเข้าใจผิด”
“ผิดอะไรคะ ก็รสเป็นเมียคุณแล้ว หรือคุณจะไม่คิดจริงจัง รสจะได้ไปเลย”
“ไม่ๆๆ”
ชีพกลัวรสสุคนธ์จะไปจริง ๆ เพราะติดใจการเอาใจของรสสุคนธ์ทำให้ชีพพูดอะไรไม่ออก รสสุคนธ์จับความรู้สึกของชีพได้จึงก้มหอมแก้ม 1 ครั้ง
“รสรักคุณนะคะชีพ...แล้วก็อยากแบ่งเบาภาระของคุณทุกอย่าง ชีพไว้ใจรสนะคะ”
ผัน รีบขึ้นมาบนเรือนก่อนจะรื้อค้นสรรพตำราที่ตนรวบรวมไว้ในมุมอันเป็นส่วนตัว ต้อยติ่งเข้ามามองอย่างสงสัย
“หาตำรากวาดยาอีกเหรอคะ”
ธารินทร์ที่เพิ่งตื่นนอนนุ่งผ้าขาวม้าเตรียมจะอาบน้ำ
“ไปไกลๆ ต้อยติ่งอย่ามาแซว” ผันเปิดตำราอ่านแล้วก็นิ่งอึ้ง “อื้อฮือ”
“พ่อหายไปไหนมา” ธารินทร์ถาม
ผันไม่ตอบ ธารินทร์ไม่สนใจเพราะจะเดินเข้าห้องน้ำ
ผันเรียกไว้ “รินทร์มีตังค์ให้พ่อสักสามพันมั้ย”
“พ่อจะเอาไปทำอะไร”
ผันอึกอักแล้วพูดเรื่อยเจื้อย “คือมันต้องใช้ยากลางบ้านพวกสมุนไพรตั้งเก้าอย่างแล้วพ่อไม่ได้ปลูกเองเสียด้วยต้องไปขอซื้อเขาตั้งไกลลิบ เงินพ่อเองก็ส่งให้แม่หมด”
อ่านต่อหน้าที่ 2
สุสานคนเป็น ตอนที่ 4 (ต่อ)
ธารินทร์เห็นว่าคงเป็นเรื่องเหลวไหลเลอะเทอะของผันอีกตามเคยก็เลยไม่ได้สนใจจึงจะเข้าห้องน้ำ ผันตามมาฉุดไว้
“นี่พ่อพูดจริงๆ นะ สงสารเด็กมันว่ะ ช่วยมันหน่อย”
“ชัดเลย..จะไปกวาดยาให้เด็กที่ไหนอีกล่ะ..สมัยนี้มันไม่เหมือนก่อนแล้วนะพ่อ จะเอามือล้วงเข้าไปในคอเด็กเขาไม่ยอมกันแล้ว”
“เออน่า รู้ๆ”
“รู้แล้วทำไมยังทำอีกล่ะจ๊ะ” ต้อยติ่งสอดขึ้น
“อย่ายุ่งนังต้อยติ่ง ว่าไงรินทร์ เอามาให้พ่อยืมก่อน”
ธารินทร์พยักหน้าแบบไม่ได้ใส่ใจแล้วก็เข้าห้องน้ำไป
ธารินทร์ขับรถ โดยมีอุษานั่งคู่มาด้านหน้า ธารินทร์หันไปมองอุษาที่นั่งเงียบ
“ษาจะให้ผมพาไปไหน”
“ษาจะไปซื้อของหน่อยค่ะ อ๋อแล้วก็อยากให้รินทร์ช่วยหาบ้านเช่าให้หน่อยได้มั้ย”
ธารินทร์ตกใจ “บ้านเช่า..ษาจะทำอะไรน่ะ”
“ไม่มีน้าลั่นทมแล้วนี่ ใครเขาจะอยากให้ษาอยู่เกะกะลูกตาล่ะ”
“คุณชีพเหรอ”
อุษาส่ายหน้าเศร้าๆ “รสสุคนธ์”
รสสุคนธ์มองเงาตัวเองในกระจก เธอใช้มือแตะเครื่องประดับเพชรแล้วมองอย่างพอใจก่อนจะก้มลงล้างมือ ลั่นทมปรากฏอยู่ในกระจก แต่รสสุคนธ์ไม่เห็น รสสุคนธ์ชะงักเงยหน้าขึ้นทันควันแต่ยังไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ รสสุคนธ์มองตัวเองในกระจกอีกครั้งก่อนจะเดินไป
ธารินทร์ขับรถมาจอดในสุสาน ธารินทร์แปลกใจเพราะยังไม่รู้เจตนาของอุษา อุษาหิ้วกระสอบขนาดกลางใส่อุปกรณ์ในการกะเทาะปูนลงจากรถไปซ่อนไว้ในที่มิดชิดแล้วกลับขึ้นมา “นั่นอะไรคุณไปซื้ออะไรมา ผมจะลงไปด้วยก็ไม่ยอม”
“ไม่มีอะไรหรอกคะ ไปที่ศาลาเถอะ”
ธารินทร์จำใจต้องออกรถ
ธารินทร์ขับรถมาจอดในบริเวณวัด อุษาลงจากรถจะตรงดิ่งไปยังศาลาที่ไว้ศพลั่นทม ผู้ดูแลวัดเดินเข้ามา
“ประทานโทษครับ เรื่องเตาเผาพอดีมีเหตุขัดข้องจะขอ..”
“เตาเผาอะไร..” อุษาถาม
“ก็ศพคุณนายลั่นทม คุณรสสุคนธ์แกแจ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ว่า” ผู้ดูแลหันไปทางเตาเผา “สวดคืนนี้เสร็จพรุ่งนี้ก็จะเผาเลย..”
อุษาได้ฟังก็ตะลึง “ทีนี้ท่านเจ้าอาวาสท่านว่า..” อุษาหันมาแล้วก็ชะงักที่เห็นชีพขับรถเข้ามาจอด รสสุคนธ์ลงจากรถแล้วเดินเข้ามาถาม
“ทุกอย่างเรียบร้อยมั้ย”
“น้าชีพถึงขนาดจะเผากันให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป ทั้งที่รู้ว่าคุณน้ายังไม่ตายหรือคะ น้าชีพทำได้ไง”
ชีพวางมาดขรึมโดยไม่สะทกสะท้านต่ออาการของอุษาที่โกรธเกรี้ยว เขาเหลือบมองธารินทร์อย่างเฉยเมย
“รสสุคนธ์บอกว่าเก็บไว้ก็ทรมานใจเธอเปล่าๆ” ชีพว่า
“คนที่ยอมให้คนอื่นจูงจมูกได้ง่ายๆ นั่นเขาเรียกอะไรทราบไหมคะ”
“ก้าวร้าวน้ามากเกินไปนะอุษา”
“ษาขอให้เก็บศพคุณน้าไว้ร้อยวันตามประเพณีค่ะ”
ชีพนิ่งคิด “ที่จริงน้าก็จะค้านรสเขาอยู่เหมือนกัน แต่เขาแอบไปแจ้งกับทางวัดเสียก่อน” ชีพจะเดินไปแต่ก็ชะงักแล้วพูด “เก็บไว้ร้อยวันเกิดลั่นทมฟื้นขึ้นมา นั่นไม่ใช่ลั่นทมคนเดิมแล้วนะเป็นผีดิบแล้ว”
ชีพยิ้มหยันนิดหนึ่งแล้วเดินหนีไป รสสุคนธ์ยิ้มเยาะ
“ถ้าเป็นผีดิบขึ้นมาจริง ๆก็ตัวใครตัวมันเถอะค่ะ...ไร้สาระสิ้นดีเลยอุษา”
รสสุคนธ์เดินแยกไป ชีพเดินตามไปอีกคน อุษามองตามอย่างแค้นมาก
ธารินทร์นิ่งคิด “ความจริงถ้าจะเผาเลยมันก็ไม่ได้ผิดประเพณีอะไรผมก็เห็นด้วย..คุณจะได้ไม่ต้อง”
อุษาหันขวับมาในสภาพน้ำตากลบตาแล้วตวาด
“ไม่ต้องออกความเห็นได้ไหมคะ”
อุษาเดินหนี ธารินทร์ถอนใจเพราะกลุ้มใจกับพฤติกรรมของอุษา
ธารินทร์เดินตามมา จู่ๆอุษาหยุดเดินหันมาถามเรียบๆ
“เรื่องบ้านเช่าคุณจะหาให้ษาได้เมื่อไรคะ ษาต้องการด่วน” อุษา
“คงไม่มีปัญหา ผมรู้จักอยู่ที่หนึ่ง”
อุษาดีใจ “เหรอคะ” อุษานิ่งคิด
“ถามจริงๆ ไอ้ในกระสอบที่คุณเอาไปไว้ในสุสานน่ะอะไร”
“เครื่องมือกะเทาะปูน ตอนเค้าเอาศพไปเก็บ..ษาจะ เอาคุณน้าออกจากสุสานไปไว้ที่บ้านเช่า”
ธารินทร์สะดุ้งนิ่งอึ้ง “ไม่ได้..ขโมยศพผิดกฎหมาย”
“ศพที่ไหนกันเล่า..ก็บอกแล้วว่าคุณน้ายังไม่ตาย”
ธารินทร์จ้องมองอุษาแล้วพูดจริงจัง “ผมเป็นตำรวจ..จะยอมให้คุณทำผิดกฎหมายไม่ได้”
“คุณก็ไม่เชื่อษารึคะขอร้องละค่ะรินทร์..เชื่อษาสักครั้งเถอะษามั่นใจว่า คุณน้าต้องฟื้นแน่ๆ”
ธารินทร์ทั้งสงสารทั่งหงุดหงิดที่คนรักเป็นอย่างนี้
ลั่นทมนอนสงบนิ่งอยู่ในโลงในสภาพเดิมที่มีผ้าขาวห่อหลวมๆ และเปิดหน้าไว้ มือลั่นทมค่อยๆกระดิกแล้วตัวของเธอก็เริ่มขยับแต่ก็อ่อนแรงเต็มที ลั่นทมพยายามดิ้นแต่แทบไม่ขยับเขยื้อน
“โอ้ย..ร้อน ฉันร้อน..น้ำ..ขอน้ำ”
ลั่นทมในโลงศพขยับเขยื้อนเนื้อตัวได้แต่เป็นเพียงแผ่วเบา แล้วทำท่าจะนิ่งสนิทไปอีก จิตลั่นทมที่นอนอยู่ในโลงพยายามดิ้นรน
“อย่าตายนะ....ฉันกลัว.ฉัน..ฉันหายใจไม่ออกอีกแล้ว ฉันจะตายจริงๆ หรือนี่..ฉัน..ฉัน ตายแล้ว”
จิตลั่นทมค่อยๆนิ่งสงบแล้วไม่ไหวติงดังเดิม วิญญาณลั่นทมลุกขึ้นแล้วออกจากโลงศพ เธอเหลียวมองไปรอบๆ “นี่ฉันออกจากร่างได้อีกแล้วหรือ งั้นฉันก็ตายแล้วซิ”
วิญญาณลั่นทมลอยลงมายืนที่พื้น เธอมองไปที่โลงศพด้วยความหวั่นวิตก
“ร่างฉัน จะกลับเข้าไปได้อีกมั้ยเนี่ยโอ้ย ทำไมมันเบาแบบนี้”
วิญญาณลั่นทมลอยขึ้นและล่องลอยไปในโลง ร่างลั่นทมนอนสงบนิ่ง วิญญาณลั่นทมเอนตัวลงนอน ทับร่างตัวเอง
ลั่นทมตื่นเต้น “ฉันกลับเข้าร่างได้..ฉันไม่ตาย แต่ไปไหน มาไหนได้”
วิญญาณลั่นทมลุกขึ้นนั่งอีก แล้ววิญญาณลั่นทมก็ลอยลงมายืนที่พื้นอีกครั้ง สัปเหร่อเดินมาขณะที่วิญญาณลั่นทมหันรีหันขวาง สัปเหร่อเดินผ่านวิญญาณของลั่นทมตรงไปสำรวจตรวจตราบริเวณโลงศพลั่นทมและไม่ได้ยินเสียงลั่นทมที่เรียก “ลุง..ลุง..”
สัปเหร่อเฉยและไม่มีทีท่าว่าจะได้ยิน “นี่ลุงไม่เห็นฉันหรือแปลกจริงทำไมชีพกับรสสุคนธ์ถึงเห็นฉันล่ะ”
ลั่นทมเข้ามายื่นมือจับแขนสัปเหร่อแต่ก็จับไม่ติด มือลั่นทมผ่านแขนสัปเหร่อไป
“แปลก..ทำไมจับต้องไม่รู้สึก..ฉันตายแล้วนี่..แต่ฉันรู้ว่าฉันยังไม่ตายนี่นา”
ลั่นทมยืนนิ่งอึ้งแบบกึ่งกลัวกึ่งกล้าในสภาพของตัวเอง
อุษาจ้องธารินทร์เขม็งเพราะไม่พอใจที่ธารินทร์ขัดขวางความตั้งใจที่จะช่วยลั่นทม
“ษาจะไม่เอาเครื่องมือนั่นกลับมา จะเอาไว้ที่นั่น..ษาจะช่วยคุณน้าให้ได้”
“ก็ได้” ธารินทร์พูดจริงจังมาก “งั้นถ้าคุณลงมือเมื่อไหร่ผมจับคุณแน่”
“คนตายไปแล้วสามวันจะมีลักษณะแบบไหนคะ”
ธารินทร์นับนิ้วแล้วพึมพำ “สามสิบหกชั่วโมง” ธารินทร์พูดกับอุษา “ขึ้นอืด..”
“ถ้าคืนนี้เปิดโลงแล้วคุณน้าไม่ได้เป็นแบบนั้นคุณจะช่วยษามั้ย”
ธารินทร์อึ้ง อุษามองหน้า “...ษาไม่ได้บ้าไม่ได้เสียสติ ทำไมคุณไม่เชื่อษาคุณเป็นคนเดียวที่ษาเหลืออยู่ตอนนี้คุณเองก็เห็นสภาพร่างกายคุณน้า”
“ศพที่ฉีดยาก็มีสภาพแบบนี้”
“ถ้างั้นษามีความจริงจะบอก”
“อะไรครับ”
“ษาห้ามคุณหมอไม่ให้ฉีดยาให้คุณน้า”
“อะไรนะ นี่คุณพูดจริงหรือษา”
“ค่ะ ทีนี่คุณจะเชื่อหรือยังว่าคุณน้ายังไม่ตาย”
ธารินทร์เงียบสนิทเพราะพูดอะไรไม่ออก
อุษาสำรวจตรวจตราดูสภาพภายในบ้านเช่าชั้นเดียว ขนาดสองห้องนอนที่มีห้องครัวห้องน้ำห้องรับแขกพร้อมสรรพ มีเฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้ไม้สอยมีอยู่พอประมาณเท่าที่จำเป็น
“ห้องนอนมีสองห้อง คุณเลือกจะเอาห้องไหน..แต่เฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้ยังไม่มี”
อุษาเดินเข้าไปที่ห้องหนึ่งเป็นห้องนอนโล่งๆในบ้านเช่า เธอเปิดประตูเข้ามาเห็นในห้องโล่งว่างแต่ทำความสะอาดไว้เรียบร้อยแล้ว อุษานิ่งคิด อุษาเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนโล่งๆ อีกห้องที่มีสภาพคล้ายห้องแรกและยังไม่มีเฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้ไม้สอยใดๆ ธารินทร์เดินตามเข้ามา
“ห้องนี้มั้ยอยู่ทิศตะวันออก เผื่อวันไหนเช้าแล้วคุณไม่ยอมตื่น แสงแดดจะช่วยปลุกคุณให้เอง” ธารินทร์พูดให้ขำแต่อุษาไม่ขำ
“ษาเอาทั้งสองห้อง..” อุษาจะกลับออกไป “ไปช่วยษาซื้อเตียงซื้อเครื่องใช้หน่อยเถอะค่ะ”
อุษาเดินออกไป ธารินทร์งง “คุณจะให้ใครมาอยู่ด้วยเรอะ”
วิญญาณลั่นทมเดินมาที่ถนนหน้าบ้านแล้วมาหยุดยืนมองดูด้วยแววตาเศร้าสร้อย เสียงหมาทั้งเห่าทั้งหอนกันเกรียวกราว ลั่นทมไม่สนใจเสียงเห่าหอน เธอจะเปิดประตูเข้าบ้านด้วยความเคยชิน มือลั่นทมจะจับประตูแต่ก็วืดผ่านไป ลั่นทมชะงัก
“ทำไม เป็นอย่างนี้ ทำไมเราจับไม่ได้ หรือว่าเราเป็น...”
ลั่นทมหน้าเสีย ลั่นทมเดินผ่านประตูโดยที่ประตูไม่ได้เปิด เสียงหมาเห่าหอนกันเกรียว
หวานกำลังคุมสวาท จิ้มลิ้ม และยาใจเตรียมของจะไปวัด
“เร่งมือหน่อยเดี๋ยวต้องไปวัดกันแล้ว”
ฉ่ำวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาหวาน
“แม่หวาน..รู้สึกอะไรมั้ย”
“รู้สึกอะไร”
“ที่หน้าบ้าน..เห็นหมามันเห่าหอน แล้วก็มีลมพัดวูบๆนี่มันยังกลางวันอยู่เลยนะแม่หวาน”
วิญญาณลั่นทมเดินเข้ามาในบ้านมองทุกคนอย่างเศร้าซึมแต่ไม่มีใครเห็น
“หมามันจะหอน ก็ช่างหัวหมาสิ กลางวันแสกๆ กลัวอะไรวะ” หวานว่า
จิ้มลิ้มกับยาใจมองหน้ารู้สึกหวาดกลัว ทั้งสองเขยิบเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
“วันนี้วันที่สาม..เขาว่าคนตายไปแล้วสามวันวิญญาณจะกลับมาบ้าน” ฉ่ำว่า
หวานโวยวาย “คุณผู้หญิงยังไม่ตายโว้ย..คุณอุษาเธอกำลังรอให้ฟื้นเธอสั่งไม่ให้ใครแช่งคุณผู้หญิง”
“โธ่ ป่านนี้แล้ว..3 วันแล้วคุณผู้หญิงตายแล้ว...ชัวร์” ฉ่ำบอก
ลั่นทมเดินเข้ามาหาฉ่ำแต่ไม่มีใครเห็นไม่มีใครได้ยินเสียงของเธอ
“ฉันยังไม่ตายหรอกนายฉ่ำ นี่ไง ฉันอยู่นี่..”
ลั่นทมจับแขนฉ่ำแต่จับไม่ติด ฉ่ำสะดุ้ง เขาจับตรงที่มือลั่นทมผ่านแขนของเขาแล้วก็พบว่าตัวเองขนลุก
“ฮืย..ขนลุกซู่เลยเห็นไหม เหมือนมีคนมาแตะแขน”
หวานมองฉ่ำอย่างไม่พอใจ
“อย่ามาล้อแบบนี้นะ ไอ้ฉ่ำ”
ลั่นทมรวบรวมสมาธิแล้วปัดของคราวนี้ได้ผลเพราะของหล่นดังโครม
ฉ่ำสะดุ้งเฮือกร้องลั่นกระโดดเข้าหาหวาน
“เฮ้ย..ผะผะผีหลอก”
สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจพลอยตกใจไปด้วย หวานผลักฉ่ำ
“โธ่ไอ้บ้า..มือฉันปัดไปโดนเอง” หวานบอก
ฉ่ำพูดอะไรไม่ออกเพราะไม่แน่ใจว่ามือของหวานปัดโดนของ
“จริงเหรอ..โธ่..เล่นเอาตกใจหมดนึกว่าคุณผู้หญิงมาจริงๆ” สวาทว่า
“จุ๊ๆ คุณผู้ชายมาแล้ว” จิ้มลิ้มบอก
ชีพกับรสสุคนธ์เข้ามาจากข้างนอกตรงไปยังบันไดเพื่อจะขึ้นชั้นบน
“จะรับอะไรเย็นๆหน่อยมั้ยคะคุณผู้ชาย” หวานถาม
“ไม่ล่ะขอกลับมาพักสักนิด..เดี๋ยวจะได้ไปวัด” ชีพบอก
ชีพเดินเลยขึ้นไปก่อน รสสุคนธ์ชะงักแล้วหันมาออกคำสั่ง
“แต่ฉันอยากได้น้ำผลไม้สดๆเย็นๆเอาขึ้นไปให้ที่ห้องคุณผู้ชายด้วยนะน้าหวาน”
“ข้าไม่ได้ถามเอ็งนังคางคก” หวานสวน
ทุกคนหัวเราะกันครืน รสสุคนธ์แค้นมองหวานตาขวางด้วยท่าทางเอาจริง
“ถ้าน้ายังไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแบบนี้อย่าหาว่าฉันใจร้ายนะ”
ลั่นทมมองรสสุคนธ์ด้วยความผิดหวัง
“ยังไม่ทันไรเลย เธอก็มาแทนที่ฉันแล้วเรอะรสสุคนธ์”
หวานปรี่มาข้างๆ รสสุคนธ์ “อ๋อ..เอ็งจะไล่ข้าออกหรือ..เอาเลยนังวัวลืมตีน”
หวานยังบ่นและด่าไปเรื่อยๆ ด้วยความโมโห
“อย่าเอะอะไปเลยหวาน” ลั่นทมว่า
รสสุคนธ์มองหวานอย่างแค้นๆ ก่อนจะสะบัดก้นเดินหนีขึ้นไปชั้นบน หวานไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินที่ลั่นทมพูด
“ไม่มีใครได้ยินฉันพูดเลยเรอะ” ลั่นทมร้องไห้ “ฉันตายแล้วจริงๆใช่มั้ย”
รสสุคนธ์กำลังเปิดดูรายการทรัพย์สินของลั่นทมอยู่กับชีพอย่างพึงพอใจ วิญญาณของลั่นทมเดินผ่านประตูห้องเข้ามามองดูชีพกับรสสุคนธ์ที่ใกล้ชิดกันอย่างเศร้าสลด
ลั่นทมน้ำตาคลอ “นี่เขาพากันมาดูทรัพย์สินของฉันกันแล้วเรอะ” ลั่นทมสะอื้น “ฉันคงตายแล้วจริงๆ”
“เรือนไทย..ที่ดินในจังหวัดสามแปลง โอ้โฮ ทรัพย์ สินเพียบเลยนะคะ”
รสสุคนธ์เบียดชิดชีพอย่างเป็นสุข
ลั่นทมสะกดความหึงไว้ “คุณชีพ..ทมไม่นึกเลย”
รสสุคนธ์และชีพไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินเสียงลั่นทม ลั่นทมเอื้อมมือไปจับชีพแต่ก็ผ่านแขนชีพไป
“ที่ดินที่อื่นๆอีกหกแปลง..โรงงานเสื้อผ้าสำเร็จรูป ห้องแถวในตลาด..โอ๊ย ไม่นับบ้านหลังนี้กับเครื่องเพชร อีก..ทั้งหมดเป็นของคุณหรือคะชีพ..ของคุณคนเดียวใช่มั้ยคะ”
ลั่นทมเริ่มน้ำตาซึมเมื่อเห็นชีพโอบประคองรสสุคนธ์
“ของเธอด้วยไง” ชีพว่า
รสสุคนธ์ดีใจ “ของรสด้วย..อุ๊ย รสรวยแล้วเหรอนี่” รสสุคนธ์จูบชีพ
“ไม่ใช่ของเธอนะรสสุคนธ์..ละอายต่อบาปบ้างซิคุณชีพก็ไม่ใช่ของเธอ”
“เงินสดในธนาคารมีมากกว่าที่ผมคิดเสียอีก..”
“อู๊ย..เราจะรวยกันใหญ่แล้ว” รสสุคนธ์เพ้อ “ชาตินี้รสไม่เคยคิดว่าจะร่ำรวยได้ขนาดนี้เลย..เพราะคุณ..ชีพขารสรักคุณจริงๆ”
รสสุคนธ์กอดชีพไว้อย่างปีติตื่นเต้น ลั่นทมทนดูไม่ไหวจึงพยายามเข้าไปรั้งรสสุคนธ์ออกมาจากชีพ
“ออกไป..ไปให้พ้นผู้หญิงหน้าหนาไร้อย่างอาย ไปสิ โธ่เอ๊ย..ทำไมไม่รู้สึกล่ะ?”
มือลั่นทมผ่านร่างของรสสุคนธ์ไป ลั่นทมยืนน้ำตาไหลพรากและพยายามสงบอารมณ์ให้เยือกเย็น
ลั่นทมร้องไห้ “นี่ฉันทำอะไรใครไม่ได้เลยรึนี่ พูดก็ไม่มีใครได้ยิน แต่ฉันรู้สึกว่าฉันยังไม่ตาย ฉันไม่ใช่ผี แล้วฉันเป็นอะไรกันแนลั่นทมมองดูภาพตรงหน้าอย่างปวดร้าว”
“ชีพขาพารสไปดูเรือนไทยหน่อยได้ไหมคะ..อยากเห็นจัง”
“ไปซีจ้ะยังพอมีเวลา”
ชีพประคองพารสสุคนธ์เดินออกไป ลั่นทมมองชีพอย่างปวดร้าวจนน้ำตาไหลพราก
“ชีพ..” ลั่นทมสะอื้น “ทำไมคุณทำกับฉันแบบนี้”
รสสุคนธ์เดินคลอเคลียชีพมาที่บริเวณเรือนไทย ลั่นทมเดินตามมาอย่างเศร้าซึม
“อยู่มาตั้งนานไม่ได้ออกมาดูซักที ฮึมก็สวยดีนะคะแต่รสว่ามันโบราณไปหน่อย”
ชีพนิ่งคิด “รส..เอ้อ ถ้ารสไม่ชอบเราน่าจะยกให้อุษา”
รสสุคนธ์ชะงักมองชีพอย่างไม่พอใจ
“อะไรนะ ยกทำไมคะ นี่..อย่าบอกนะว่าคุณหลงเสน่ห์แม่อุษานั่น รสไม่ยอมแน่ๆ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น..คืออุษาไม่ได้อะไรเลย มันน่าเกลียด เพราะยังไง เขาก็เป็นหลานของลั่นทม ที่สำคัญคือเขาคอยดูแลปรนนิบัติลั่นทมมาตลอด ลั่นทม เคยพูดเสมอว่าจะแบ่งมรดกให้เขาบ้าง”
“คุณคิดว่าที่แม่อุษาปรนนิบัติเมียคุณเพราะความกตัญญูเหรอคะ โธ่เอ๊ยแม่นั่นหวังสมบัติต่างหากเด็กอมมือมันยังดูออก”
ลั่นทมเถียงแทนอุษาแต่ไม่มีใครได้ยิน “ไม่จริงษาไม่ใช่คนอย่างนั้น ได้ยินมั้ย”
ชีพและรสสุคนธ์ไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินที่ลั่นทมพูดรสสุคนธ์ทำแง่งอน
“ไม่เอายังไงรสก็ไม่ให้หรอก..ถึงรสจะไม่ค่อยชอบ แต่สมบัติของเราเราก็ต้องเก็บไว้สิคะ นะคะ นะค้า” รสสุคนธ์ยั่วยวน “เอาไว้เปลี่ยนบรรยากาศก็ยังได้”
ชีพได้รับการกอดรัดเอาอกเอาใจจากรสสุคนธ์ก็โอนอ่อนผ่อนตาม
“ตามใจรสแล้วกัน”
ลั่นทมน้ำตาซึม “คุณทำอย่างนี้ได้ยังไงคะชีพ ที่ผ่านมาคุณไม่เคยรักฉันเลยใช่มั้ยฉันคงให้ความสุขคุณไม่พอ จริงสิ..ใครจะมารักคนที่ป่วยกระเสาะกระแสะอย่างฉัน คุณคงเบื่อมานานแล้ว”
อยู่ๆ ลั่นทมก็สะดุ้ง “เอ๊ะ ใครเรียกฉันเนี่ย”
ลั่นทมเศร้าซึมหนักขณะกลับเดินออกจากที่นั่น เธอผ่านสิ่งกีดขวางไปโดยไม่ต้องหลบ รสสุคนธ์ยังคงกอดกระแซะชีพ
ธูปในมืออุษาส่งควันคลุ้ง อุษาก้มลงปักธูปที่ศาลาแล้วไว้ศพลั่นทม
“คุณน้าขา...คุณน้า...ษาคิดถึงคุณน้าค่ะ...ทำไมคุณน้าไม่ฟื้นมาล่ะคะ”
ลั่นทมเดินมาหยุดข้างๆ โลงแต่ไม่มีใครเห็น
ธารินทร์ยืนอยู่ข้างรถกระบะบรรทุกเตียงนอนที่นอนแน่นรถ เขาส่งกุญแจบ้านให้คนขับรถ“ยกเข้าไปจัดไว้ในห้องนอนทั้งสองห้องนะ เอาที่นอนไว้บนเตียงเลยนะ พวกที่นอน ผ้าห่มหมอนมุ้งอะไร กองไว้ เดี๋ยวคุณษาไปจัดเอง”
คนขับรถรับกุญแจบ้านจากธารินทร์อย่างนอบน้อม
“ครับหมวด”
คนขับรถขึ้นรถแล้วขับออกไป ธารินทรค์ถอนใจเฮือกก่อนจะหันมามองอุษาแล้วเดินเข้าไปหา
“จะบอกได้หรือยังว่าอีกห้องไว้ให้ใครนอน”
อุษาตอบหน้าตาเฉย “คุณน้าค่ะ”
ธารินทร์สะดุ้งและยังไม่ทันที่จะพูดว่าอะไรอุษาก็ผละไปทางโลงศพของลั่นทม สัปเหร่อดูแลความเรียบร้อยอยู่เดินเข้ามาหาอุษา อุษารีบถาม
“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าคะ”
สัปเหร่อตอบ “ไม่มีครับ”
อุษาปราดเข้าไปที่โลงแล้วเคาะเรียกพลางเอาหูแนบในขณะที่สัปเหร่อมองดูอุษาอย่างไม่รู้จะตีหน้าอย่างไรดี ธารินทร์ตามเข้ามามองดูอุษาอย่างกลุ้มใจ
“คุณน้าคะ..ได้ยินหรือเปล่าคะนี่หนูอุษาเอง” อุษาเอาหูแนบโลงหวังว่าจะได้ยินเสียงบ้าง “หนูจะมารับคุณน้าไปอยู่บ้านแล้วค่ะ”
เมื่อไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยอุษาก็ผิดหวัง เธอมองไปทางธารินทร์ ธารินทร์ส่ายหน้า อุษามองไปทางสัปเหร่อ สัปเหร่อก็ส่ายหน้า ลั่นทมหันไปที่ลานวัดก็เห็นหวานกับฉ่ำจิ้มลิ้มยาใจช่วยกันหิ้วข้าวของเข้ามาในบริเวณที่จัดเตรียมไว้สำหรับจัดอาหารเครื่องดื่มเลี้ยงแขก หวานกับฉ่ำเถียงกันมาตลอด
“โธ่..มือแม่หวานไม่ได้ถูกของนั่นเลย มันกระเด็นลงมาเองจริงๆ ฉันเห็นกับตา” ฉ่ำว่า
ลั่นทมเดินตามมาโดยที่ใครไม่เห็น หวานค้าน “ฉันบอกว่าปัดก็ปัดซีโว้ย..โธ่..คนยิ่งกลัวๆ ไม่อยากให้คุณผู้หญิงมีอันเป็นไป”
อุษากับธารินทร์เดินเข้ามา
“อะไรกัน” อุษาถาม
“ของในบ้านเลื่อนได้เองครับคุณอุษา..วิญญาณคุณผู้หญิงแน่ๆ” ฉ่ำบอก
ทั้งอุษาและหวานไม่ยอมรับ โดยอุษาไม่พอใจ “วิญญาณที่ไหน ก็คุณน้ายังไม่ตาย”
ฉ่ำหัวหด หวานค้อนฉ่ำ
“รู้ทั้งรู้ว่าคุณผู้หญิงแค่เป็นโรคหลับลึกยังทะลึ่ง พูดออกมาได้” หวานต่อว่า
ลั่นทมมองไปที่โลงก็ตกใจ “ตายละ..ออกมานานแล้ว เดี๋ยวเข้าร่างไม่ได้”
ลั่นทมรีบเดินเข้าไปในโลงศพ หมาในวัดไล่เห่าพลางหอนกันโหยหวน
ฉ่ำเลิ่กลั่ก “ฮือย..” ฉ่ำหันมาชนของล้ม “โฮ้ย”
เมื่อเห็นทั้งหวานและอุษามองอย่างไม่พอใจฉ่ำก็สงบสติอารมณ์แล้วผละมาทางธารินทร์
ธารินทร์กระซิบถาม “ตาไม่ได้ฝาดนะนายฉ่ำ”
“ครับ โธ่สาบานได้”
ธารินทร์เห็นอุษาจ้องเขม็งก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ธารินทร์เข้ามาจูงอุษาไปทางหนึ่ง
“ษาจะเอาศพคุณน้าลั่นทมไว้ในบ้านจริงๆหรือ”
อุษาโกรธ “อีกแล้วนะ..บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ใช่ศพ”
“เกิดคุณน้าลั่นทมตายจริงๆ เขาห้าม เอาศพเข้าบ้านไม่ใช่หรือ”
“แต่คุณน้ายังไม่ตายค่ะ คุณเฉยเถอะน่ะ..ทำตามสัญญา ก็แล้วกัน”
อุษาจะผละไป ธารินทร์รั้งไว้ “เดี๋ยว แล้ว คุณจะรักษาแบบไหน”
“ไม่รู้ ต้องถามหมอผัน..แกกำลังไปเอายา”
ธารินทร์ตาเหลือก “พ่อน่ะหรือ..อ๋อ นี่พ่อร่วมด้วย..มิน่า มาเอาเงินจากผม..คุณนี่เอง”
อุษาตกใจ “คุณลุงหมอเอาเงินคุณหรือคะ” อุษารีบหยิบเงินออกจากกระเป๋าถือ “เท่าไรคะ ฉันคืนให้ค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก” ธารินทร์บอก
อุษายัดเงินใส่มือธารินทร์ “ษามีเงินค่ะน้าชีพเอามาให้ษา คงยักยอกมาไม่ให้รสสุคนธ์รู้”
ธารินทร์ชะงักมองอุษาอย่างไม่แน่ใจ “หมายความว่าไง”
“เขาพยายามให้ษาแทนที่คุณน้าลั่นทม เอาเงินมาล่อเป็นตั้ง แถมเครื่องเพชรอีก”
ธารินทร์โกรธและทำท่าจะไปเอาเรื่อง “ไอ้ชั่วเอ๊ย”
อุษารั้งธารินทร์ไว้ “เฉยเถอะค่ะ..เดี๋ยวคุณน้าฟื้นทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง” อุษามองหาหมอผัน “ป่านนี้หมอผันน่าจะมาแล้วนะคะ ษาต้องทำให้คุณน้าฟื้นให้ได้”
ชีพกับรสสุคนธ์พากันเข้ามา ชีพเดินไปดูความเรียบร้อยทางด้านที่หวาน ฉ่ำ จิ้มลิ้ม และยาใจตระเตรียมข้าวของอยู่
“เรียบร้อยมั้ย น้าหวาน..” รสสุคนธ์ถาม
หวานมองรสสุคนธ์อย่างหมั่นไส้เต็มที
“มีตาก็ดูเอาเอง” หวานเห็นชีพมองอยู่ “เรียบร้อยอยู่แล้วค่ะ”
หวานอยู่ต่อหน้าชีพก็ไม่กล้าแสดงอะไรออกมามาก
รสสุคนธ์มองไปทางอุษา “อุษา..เธอมาทางนี้หน่อยซี”
ณ มุมหนึ่งบริเวณวัด อุษากับธารินทร์มองชีพตาขวาง
“ไม่ต้องไปนะษา ผมจัดการเอง”
“ษาขอร้องค่ะ..ตอนนี้ษาไม่อยากมีเรื่อง รอให้คุณน้าฟื้นก่อน ใจเย็นนะคะ”
อุษาเดินไป ธารินทร์มองตามพลางสะกดความโกรธ อุษาตามรสสุคนธ์มาที่มุมหนึ่ง
“มีอะไร..” อุษาถาม
รสสุคนธ์พูดเชิดๆ “ที่ผ่านฉันจะไม่ถือสาที่เธอก้าวร้าวฉัน ฉันจะคิดเสียว่าเธอกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่โศกเศร้าเสียใจฉันให้อภัย”
อุษามองรสสุคนธ์อย่างรำคาญมากจึงจะหันกลับ
“เดี๋ยว ฉันยังพูดไม่จบอุษา” รสสุคนธ์บอก
“เอาแต่เนื้อๆได้มั้ย ฉันมีอะไรต้องทำ” อุษาว่า
รสสุคนธ์มองอุษาด้วยตาวาวเพราะแค้นจัด “ได้ คืนนี้สวดศพเสร็จ ฉันว่าเธอน่าจะคิดขยับขยายได้แล้ว ถ้าเธอไม่มีแผนอะไรอยู่ในใจก็คงไม่จำเป็นต้องอยู่ที่บ้านอีก”
ชีพซึ่งอยู่ใกล้ๆ ตกใจ “รส!”
“ฉันไม่เคยวางแผนอะไรชั่วๆเหมือนเธอ ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะอยู่เป็นก้างชิ้นใหญ่หรอกนะ ฉันไปแน่และก็จะไปวันนี้ด้วย”
อุษาขยับจะไปหาธารินทร์ แต่ชีพกันไว้ด้วยความตกใจ “เดี๋ยวษา..น้าไม่ได้ต้องการแบบนั้นนะ เธอจะไปอยู่ที่ไหน”
รสสุคนธ์เข้ามากอดแขนชีพไว้ “เขาก็ไปอยู่กับแฟนเขาซีคะ”
ชีพรู้สึกหวงลึกๆ จึงเผลอค้านออกมา “ทำแบบนั้นได้ยังไง” ชีพรู้สึกตัว “น้าหมายถึงจะทำอะไรต้องนึกถึงชื่อเสียงลั่นทมบ้าง”
อุษายิ้มหยัน “ษานึกตลอดเวลาค่ะ ว่าจะไม่ทำอะไรน่าละอาย ให้ชาวบ้านสังเวชไปถึงคุณน้าได้ ษารู้ดี ศพคุณน้าลั่นทม ยังไม่ได้เผา ใครจะใจกล้าหน้าด้านทำสิ่งน่าละอายได้ ละคะ นอกจากคนสารเลว”
อุษาพูดจบก็เข้าไปหาธารินทร์ รสสุคนธ์มองตามอย่างโกรธจัด
“เห็นความร้ายกาจของมันหรือยังคะชีพ มันด่าเรา”
“ก็เธอไปไล่เขาแบบนั้นเป็นใครก็ต้องโกรธ” ชีพว่า
“เอ๊ะ..คุณเสียดายมันเหรอคะ”
“บ้าน่า คนอื่นเขาจะว่าเรายังไง พอลั่นทมตายอุษาต้องออกจากบ้าน ฉันเสียนะรส”
“ไม่เห็นต้องแคร์เลย เรารวยซะอย่าง รสบอกตรงๆก็ได้ รสหวงคุณ รสไม่โง่นะคะ มองปั๊บเดียวก็รู้ว่าคุณคิดยังไงกับมันบอกไว้ก่อนเลยว่ารสไม่มีทางยอมให้คุณมีเล็กมีน้อยเด็ดขาด”
ชีพอ้ำอึ้ง เขามองท่าทางเอาจริงของรสสุคนธ์อย่างกลุ้มๆ
ชีพกับรสสุคนธ์พากันเข้ามานั่งมุมเงียบๆ มุมหนึ่งเพื่อรอแขกมาร่วมฟังสวดศพ ชีพมีสีหน้าไม่สบายใจ ในขณะที่รสสุคนธ์ซ่อนความไม่พอใจชีพไว้แล้วพยายามพูดดีด้วย
“อย่าคิดมากเลยค่ะ เรื่องไร้สาระน่า”
ชีพนิ่งเงียบ สวาทยกเครื่องดื่ม 1 แก้วมาวางให้ชีพ รสสุคนธ์มองอย่างไม่พอใจ
“ทำไมยกน้ำมาแก้วเดียว แกไม่เห็นหัวฉันหรือไง”
สวาทหมั่นไส้รสสุคนธ์ จึงพูดธรรมดาๆ ไม่ได้เกรี้ยวกราด “ก็ตอนมาอยู่ใหม่เห็นแม่รสหากินเองได้นี่”
รสสุคนธ์ขยับจะแผดเสียงแต่ชีพรั้งไว้
ชีพพูดกับสวาทอย่างตัดรำคาญ “ไปยกมาอีกแก้วไป”
“เดี๋ยว..ต่อไปให้เรียกฉันว่าคุณผู้หญิง เข้าใจมั้ย” รสสุคนธ์บอก
สวาทตอบทันที “ไม่เข้าใจ”
รสสุคนธ์ลุกพรวด “อะไรนะ”
ชีพรำคาญเต็มทีจึงไล่สวาท “ไปๆ อย่าให้มีเรื่องเลยน่า”
สวาทเดินกลับไป รสสุคนธ์สะกดความเดือดดาล
“นี่มันในวัดนะ” ชีพบอก
รสสุคนธ์พึมพำ “รอให้เสร็จงานก่อนเถอะอีพวกขี้ข้า”
ไกรที่อยู่ในชุดไว้ทุกข์ถือแฟ้มเข้ามา “เชิญคุณไกร..มีอะไร”
ไกรส่งแฟ้มให้ชีพ “ทรัพย์สินเพิ่มเติมครับ..ที่ดินชาวบ้านจำนองไว้แล้วขาด”
รสสุคนธ์ดึงแฟ้มมาจากตรงหน้าชีพแล้วเปิดดูอย่างกระหายจัดทันที
รสสุคนธ์พลิกดูโฉนดที่ดินหลายแผ่น “โอ้โฮ..”
ไกรนิ่งสงบ สวาทยกเครื่องดื่มมาจะให้รสสุคนธ์ แต่เมื่อเห็นไกรนั่งอยู่เธอก็เสิร์ฟให้ไกร รสสุคนธ์ชะงัก สวาทมองรสสุคนธ์อย่างไม่สะทกสะท้านแล้วก็ยิ้มเยาะ ชีพแอบสะกิดรสสุคนธ์ไว้เพราะเห็นว่าอยู่ต่อหน้าไกร สวาทเลี่ยงไปโดยมีรอยยิ้มสะใจอยู่ที่มุมปาก
อ่านต่อหน้าที่ 3
สุสานคนเป็น ตอนที่ 4 (ต่อ)
ธารินทร์กับอุษานั่งปรึกษากันระหว่างรอพระสวด
“คุณจะเสียชื่อนะเดี๋ยวใครๆเขาจะลือกันว่าคุณไปอยู่กับผม”
“อยากลือก็ให้ลือไป..ษาไม่ใส่ใจเสียงนกเสียงกาหรอกค่ะ ตอนนี้ษาสนใจแต่เรื่องที่จะทำให้คุณน้าฟื้นเท่านั้น”
“แต่ชาวบ้านไม่รู้..คุณห้ามปากชาวบ้านไม่ได้หรอก..ษา..เอางี้ดีมั้ย”
อุษาสนใจ “อะไรคะ”
“ในเมื่อเขาลือกันเราก็ทำให้เป็นจริงตามนั้นเลยดีมั้ย”
ธารินทร์พูดหน้าตาเฉย อุษาหยิกหมับเข้าที่แขนธารินทร์ ธารินทร์ขบฟันแน่นไม่ยอมร้องทั้งที่เจ็บ
“ไม่ใช่เวลามาพูดเล่นนะคะ..ลุกขึ้นเถอะค่ะ ไม่รู้หมอผันจะมาหรือยัง”
รสสุคนธ์ดูแลจิ้มลิ้มและยาใจจัดอาหาร เครื่องดื่มรับรองแขกสำหรับสวดคืนสุดท้าย หวานตรงมากระชากแขนรสสุคนธ์ รสสุคนธ์ตกใจ
“อะไรน้าหวาน..”
“แกกล้าไล่คุณหนูอุษาออกจากบ้านรึ นังรส” หวานไม่พอใจ
จิ้มลิ้มกับยาใจตกใจมองดู “ทำไมไม่กล้า..นี่เตรียมของรับแขกเรียบร้อยหรือยัง”
“ไม่ต้องยุ่ง..ตอบมาก่อนว่าแกไล่คุณหนูอุษาทำไม”
“จะเก็บไว้ให้เป็นก้างตำคอทำไม..น้ารู้ไหมว่าสมบัตินังลั่นทมน่ะหาศาล ใช้ไปอีกสิบชาติก็ยังไม่หมดถ้านังอุษาอยู่จะต้องได้ส่วนแบ่ง” รสสุคนธ์พูดเบาๆ “มันเป็นหลาน..น้าอย่าลืมสิ”
รสสุคนธ์ทำท่าหันไปเพื่อจะสั่งงานจิ้มลิ้มกับยาใจ แต่หวานฉุดรสสุคนธ์ออกมา
“ก็ใช่น่ะสิ คุณหนูอุษาสมควรได้ สมบัตินั่นก็ไม่ใช่ของแกแล้วมีสิทธิ์อะไรไปไล่เขาออกจากบ้าน”
รสสุคนธ์ลอยหน้าตอบยิ้มๆ “อีกไม่กี่วันก็จะใช่แล้ว ฉันจะจดทะเบียนกับคุณชีพ ถ้าอยากสบาย น้าหุบปากให้สนิทจำไว้”
รสสุคนธ์ผละไป หวานเจ็บใจจนอยากจะด่าตาม จิ้มลิ้มกับยาใจก้มหน้าจัดของแต่แอบชำเลืองกัน
ฉ่ำ วิเวก และสมพรนั่งจับกลุ่มกันอยู่ อุษาเข้ามานั่งด้วย ฉ่ำมองอุษาอย่างเวทนา
“ตกลงคุณอุษาจะไปอยู่ไหนครับ..แม่รสสุคนธ์พูดไปทั่วจนคนรู้กันหมดบ้านแล้วประกาศว่าจะไม่ให้คุณหนูอยู่” ฉ่ำว่า
“บอกพวกเราได้มั้ยครับว่าคุณหนูจะไปอยู่ที่ไหน” วิเวกถาม
“บ้านเช่าจ้ะ..ลุงฉ่ำ ลุงพร พี่เวก รักคุณน้าลั่นทมกันมากมั้ย” อุษาตอบ
“รักนะรักครับแต่...คุณอุษาคงไม่คิดจะให้พวกผมไปนั่งเฝ้า คุณนายลั่นทมในสุสานใช่ไหมครับ” สมพรถาม
“ลุงพรถามอะไรบ้าๆ ใครจะให้ไปเฝ้าทำไม” วิเวกว่า
“ใช่จ้ะ” อุษาหยิบเงินมาแจกคนละหนึ่งพันบาท “คืนนี้หลังเก็บศพคุณน้าแล้วไปช่วยษาหน่อย..หมวดธารินทร์ก็อยู่ด้วยไม่เป็นไรหรอก”
ฉ่ำ สมพร และวิเวกคว้าเงินมาก่อนที่จะให้คำตอบใดๆ
“คุณอุษาจะทำอะไรหรือครับ” วิเวกถาม
“เอาคุณน้าออกมาจากโกดังเก็บศพจ้ะ”
ฉ่ำ วิเวก และสมพรพูดพร้อมกัน “เหวอ เอ้อ..”
ทุกคนปิดปากโดยพร้อมเพรียงกันในขณะที่ตาหูเหลือกไปด้วย
อุษากำลังเจรจากับสัปเหร่อ ในมือของเธอถือธนบัตรใบละร้อยเป็นปึก อุษาพูดพลางก็ยัดเงินใส่มือสัปเหร่อทีละใบไม่ให้สัปเหร่อค้าน
“ตอนผสมใช้ปูนนิดเดียวทรายเยอะๆนะจ๊ะแล้วโบกปูนพอเป็นพิธีเท่านั้นโบกบางๆสัปเหร่อกำเงินแน่น”
“คุณหนูจะ..” สัปเหร่อจะค้าน อุษาจึงยัดเงินใส่มือเขาอีก
“ไม่ต้องถาม พอโบกปูนเสร็จกลับบ้านนอนเลย”
“แต่ผมมีหน้าที่จะต้อง” สัปเหร่อชะงักเมื่ออุษายัดเงินใส่มืออีก
สมานเดินผ่านไปทางหนึ่ง สัปเหร่อมองตามอย่างกลัวถูกจับได้
“ถ้ายังไม่ง่วงจะชวนนายสมานผู้ดูแลวัดไปกินเหล้าก็ได้..ตกลงมั้ยจ๊ะ” อุษายัดเงินใส่มือสัปเหร่ออีก สัปเหร่อรีบรับ “ว่าไงจ๊ะ”
“อ้า..คือผมกลัวว่า..”
อุษายัดเงินเพิ่มอีก “ไม่มีอะไรผิดหรอกค่ะ ฉัน อยากให้อากาศถ่ายเทได้” อุษาให้เงินอีก “ตกลงนะคะ นึกว่าเอาบุญ ฉันคิดว่าคุณน้าฉันยังไม่ตาย ฉันก็อยากให้คุณน้าหายใจสะดวก ไม่มีอะไรผิดหรอกจ้ะ ตกลงนะจ๊ะ” อุษายัดเงินอีกปึก “ฝากไปให้นายสมานด้วย”
“ครับ..ครับ ตกลงครับ”
สัปเหร่อไหว้อุษาอย่างนอบน้อมในสภาพมือไม้สั่นรัว เขาถือเงินเดินไปอย่างดีใจ อุษาหันมาชะเง้อมองหาแล้วก็บ่นพึมพำ
“ป่านนี้ทำไมหมอผันยังไม่มาอีก จะได้เรื่องหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ต้อยติ่งในชุดไว้ทุกข์ถือถุงขนมที่ซื้อจากแผงในตลาดเดินกินมาเรื่อยๆ พร้อมกับมองหาผัน
“หายไปไหนไวจัง”
ต้อยติ่งตะลึงที่เห็นผันพูดคุยกระซิบกระซาบ ผันจับมือแม่ค้าแถมยังเอาเงินยัดใส่มือ
“ไม่คิดเลยว่าแก่แล้วยังแอบมีเมียน้อยอีก ฮึ จะฟ้องพี่ธารินทร์” ต้อยติ่งว่า
ผันเดินกลับมาในสภาพกระเป๋าเสื้อและกระเป๋ากางเกงตุงจนเห็นชัด ต้อยติ่งหน้าบึ้งและดวงตามีคำถาม
“แอบมีเมียน้อยใช่มั้ย..ถ้ากลับไปหาแม่ จะฟ้อง...แล้วเดี๋ยวต้อยติ่งจะฟ้องพี่ธารินทร์ด้วย”
“ไอ้ลูกหลง เอ็งไม่น่าเกิดมาเป็นลูกหลงข้าเลย...ช่างเป็นหูเป็นตาแทนแม่เอ็งนัก” ผันว่า
ต้อยติ่งยิ้ม ดีใจที่จับโกหกได้ “สรุปว่าเป็นเรื่องจริงใช่มั้ยพ่อ”
“ไม่ใช่...ข้าไปซื้อยาสมุนไพร ต้องไปต้มให้เขา”
“แน่นะ..”
“เออสิวะ...จะโกหกทำไมรีบเถอะ พ่อจะกลับไปต้มยา”
อุษากำลังสั่งธารินทร์
“เอารถกระบะมานะคะ..หาเสื่อหาผ้าใบมาคลุมโลงด้วย”
“เดี๋ยว..ตกลงกันก่อน ผมจะยอมช่วยต่อเมื่อเปิดโลงดูแล้วคุณน้าลั่นทมยังไม่ขึ้นอืดนะ”
“ษาไม่ลืมข้อตกลงหรอกน่า”
ธารินทร์มีสีหน้าลำบากใจ “ผมไม่คิดเลยว่าพ่อจะร่วมมือกับษาด้วย...ระหว่างมีงานสวดศพนี่ ผมขอกลับไปดูพ่อที่บ้านก่อน”
“ค่ะ ไม่รู้หมอผันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
อุษากังวลอย่างเห็นได้ชัด
ธารินทร์นั่งลงพูดกับต้อยติ่ง
“ช่วงนี้ต้อยติ่งต้องอ่านหนังสือ ทำการบ้านอยู่บ้านคนเดียวนะอยู่ได้มั้ย” ธารินทร์ถาม
“ต้อยติ่งเป็นน้องสาวคนสวยของตำรวจนี่คะ ต้อยติ่งไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว ว่าแต่พ่อกับพี่รินทร์จะไปไหนกันคะ” ต้อยติ่งถาม
“เอ้อ...พี่ต้องพ่อไปต้มยาที่บ้านคนไข้น่ะจ้ะ”
“แล้วทำไมไม่ต้มที่บ้าน”
ธารินทร์ไม่รู้จะตอบอย่างไร ทันใดนั้นผันก็ออกมาจากในบ้าน
“ไม่ได้ เพราะต้องคอยกรอกยารักษาคนไข้ อาการเขาหนักอยู่”
“คนตายแล้วใช่มั้ยคะ” ต้อยติ่งถาม
ธารินทร์สะดุ้งเล็กๆ “ทำไมรู้”
“รู้ด้วยว่าจะไปรักษาคุณนายใจดี คุณนายลั่นทม...ใช่มั้ยล่ะ”
ธารินทร์รีบปิดปากต้อยติ่ง “รับปากกับพี่นะว่าไม่พูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง”
“ทำไมล่ะ ดีออก ช่วยคนตายให้ฟื้น”
“แต่ถ้าไม่ฟื้น เราเจอข้อหาหนัก มันผิดกฎหมาย ต้อยติ่งรับปากพี่นะ”
ต้อยติ่งหันไปมองหน้าผัน
“รับปากได้มั้ยลูก” ผันถาม
ต้อยติ่งพยักหน้า “แล้วจะไปรักษากันที่ไหน”
“เถอะน่า ต้อยติ่งไม่ต้องรู้หรอก”ธารินทร์บอก
ต้อยติ่งซึมไปทันที
โลงศพตั้งอยู่ เสียงพระสวดถึงจบสุดท้ายดังทั่วบริเวณ ร่างของลั่นทมนอนสงบนิ่งอยู่ในโลงชนิดที่ไม่มีส่วนไหนของร่างกายเคลื่อนไหวได้ เสียงพระสวดยังดังต่อเนื่อง จิตของลั่นทมกระสับกระส่าย
“พระสวดทำไม ฉันยังไม่ตาย” ลั่นทมพูดเสียงสั่นเครือ “สวดเสร็จแล้วเขาจะเอาฉันไปไว้ที่ไหนกัน โอย ฉันกลัว..กลัวเหลือเกิน ฉันรู้ตัวทุกอย่าง แต่ฉันกระดิกตัวไม่ได้”
เสียงพระสวดเงียบลง “มีเสียงเคาะโลงเบาๆ”
ลั่นทมที่นอนอยู่ เสียงอุษาดังมา
“คุณน้าคะ ทนอีกนิดนะคะษากำลังช่วยคุณน้าออกไปจากที่นี่ไปให้หมอผันรักษา..คุณน้าต้องหายค่ะ”
จิตลั่นทมตอบ
“คุณพระช่วย..นี่หลานคิดจะช่วยน้า” ลั่นทมร้องไห้ “หลานดีเหลือเกินษาจ๋า น้าอยากออกไป แต่น้ากลัวกลับเข้ามาไม่ได้อีกหนูช่วยน้าเร็วๆ นะ น้ากลัวเหลือเกิน..ถ้าคนตายแล้ว คงไม่กลัวใช่มั้ยแต่นี่..น้ากลัว น้ารู้ น้าได้ยินทุกอย่าง แต่มันไม่มีแรงแม้แต่จะพูด..ษา..ษาช่วย น้าด้วย”
เสียงธารินทร์ดังขึ้น “ษาครับ..เดี๋ยวเตรียมไปบรรจุได้แล้วนะครับ”
“บรรจุ โอย นี่เขาจะเอาฉันไปบรรจุที่ในโกดังเก็บศพ เรอะ..ฉันกลัวไม่นะไม่” ลั่นทมโวยลั่น
โลงศพลั่นทมเลื่อนเข้าซองเก็บศพ สัปเหร่อถอยออกมา แขกเหรื่อเอาก้อนดินและดอกไม้หย่อนไปในโลงศพแล้วทยอยกลับกันเกือบหมดสิ้น อุษาที่ยืนอยู่กับธารินทร์มีสีหน้าเศร้าโศก ชีพกับรสสุคนธ์ยืนส่งแขกเหรื่ออยู่ที่มุมหนึ่ง แขกชุดสุดท้ายเข้ามาไหว้ชีพ ชีพรับไหว้
รสสุคนธ์ถือโอกาสรับไหว้หน้าตาเฉย แขกชุดสุดท้ายออกไปจากบริเวณนั้น สัปเหร่อเตรียมปูนมาปิด
อุษาเอาดอกไม้และดินวางและยกมือไหว้ศพ สัปเหร่อผสมปูนเตรียมโบกอิฐสำหรับใช้โบกกองอยู่ สมานก้มลงมองแล้วคว้าถุงซีเมนต์
“ทรายเยอะไปก่อไม่ติดหรอก”
อุษาแอบเข้ามากันสมานไว้ ในมือของอุษาถือธนบัตรใบละร้อยเป็นปึกยื่นใส่มือสมาน
“ติดค่ะ” อุษาบอก
สมานงง “โธ่คุณ” สมานชี้ในกระป๋องผสมปูน “มีปูนแค่หยิบมือเดียว”
อุษายัดเงินใส่มือสมานอีกแล้วพูด “ปูนเยอะมากแล้ว”
สมานรับเงิน “คือ..”
อุษายัดเงินให้อีก “เยอะมากแล้วค่ะ ใช่ไหมค่ะ”
สมานรับเงินมางงๆ “ใช่ครับ” สมานพูดเบาๆ “จะทำอะไรกับ...”
ธารินทร์เดินเข้ามาพูดกับสมาน “เดี๋ยวจะโบกปูนให้เองไปเถอะ เราทำ ตามคำขอของคนตาย ไปเถอะ”
สมานอึกอัก “แต่..”
“ไปเถอะน่า คุณเขาเชื่อถือพิธีที่จะทำเอง ไม่มีอะไร หรอก..ให้เขาทำเอง”
สมานพยักหน้าแล้วเดินไปบริเวณที่ไว้ศพ อุษาอยู่ไม่ห่างโลง จู่ๆ ไกรก็โผล่เข้ามา
“หนู..น้าเสียใจด้วยที่ไม่สามารถช่วยอะไรหนูได้..แม้แต่ที่ดินขาดจำนองที่คุณลั่นทมให้หนูดูแลอยู่เขาก็ไม่ยอมให้แตะ”
“ช่างเถอะค่ะ..ขอบพระคุณคุณน้ามาก” อุษาไหว้
“น้าไปก่อนนะ” ไกรหันมองโลงศพแล้วมองอุษา “หักใจเสียบ้างเถอะหนู เห็นหนูเป็นแบบนี้ น้าใจไม่ดีเลย”
“คุณน้าขา คืนนี้ช่วยภาวนาให้คุณน้าฟื้นด้วยนะคะ”
ไกรสะดุ้ง “อะไรนะ”
“ภาวนาค่ะ ถ้าสงสารหนูก็ขอให้คุณน้าช่วยภาวนาให้คุณน้าลั่นทมฟื้นด้วย”
ไกรพยักหน้างงๆ แล้วเดินห่างออกมาก่อนจะพึมพำ
“เป็นเอามากจริงๆหนูอุษา”
ชีพเดินมาจากมุมหนึ่งพูดอย่างเป็นห่วง “อุษา..เมื่อไหร่จะกลับ แขกกลับไปหมดแล้ว”
อุษาหันมา รสสุคนธ์รีบเข้ามารั้งชีพ “จ่ายเงินให้ทางวัดแล้วเรากลับกันเถอะค่ะ”
“เดี๋ยว” ชีพพูดกับอุษา “มีปัญหาเรื่องที่พักหรือเปล่า”
“อุ๊ย ว่าที่สามีเขาอยู่ทั้งคนนะคะชีพ เขาดูแลกันได้..ไปเถอะค่ะ เก็บศพแล้วกลับได้แล้ว”
รสสุคนธ์ฉุดชีพไป อุษามองตามอย่างไม่สนใจไยดีเพราะจิตใจจดจ่ออยู่ที่โลงศพลั่นทมแต่เพียงอย่างเดียว หวาน จิ้มลิ้มและคนอื่นๆ ที่บ้านชีพพากันเดินมาหาอุษา
“คุณหนูกลับเถอะค่ะ” หวานชวน
“กลับกันก่อนเถอะจ้ะ..ษาขออยู่กับคุณน้าอีกหน่อย”
“โถ..” หวานเป็นห่วง
ทุกคนค่อยๆ ทยอยออกไป สัปเหร่อมองซ้ายมองขวเมื่อเห็นไม่มีแขกแล้ว สัปเหร่อก็จัดแจงเคลื่อนย้ายข้าวของที่จะเกะกะต่อการเลื่อนหีบออก
ฉ่ำพูดเบาๆ “จะ..เปิดโลงหรือยังครับ”
“ไปกันหมดแล้วใช่มั้ย”
“ครับ”
“งั้นเริ่มได้เลย”
ธารินทร์พยักหน้า สัปเหร่อเคาะปูนแล้วเลื่อนโลงศพออก อุษามองดูที่โลงอย่างมีความหวัง ธารินทร์ ฉ่ำ สมพร และวิเวกเข้ามาช่วย สัปเหร่อชะเง้อมองไปทางหนึ่ง
สัปเหร่อแอบพูดกับอุษา “จะดูก็รีบหน่อยครับ เดี๋ยวท่านสมภารมาล่ะก็ผมตายแน่”
“งั้นก็เปิดเลยซิ” อุษาบอก
สัปเหร่อรีบเปิดฝาโลงออก ธารินทร์เอาไฟฉายส่อง ทุกคนชะโงกดูก็เห็นลั่นทมนอนสงบนิ่งโดยมีหน้าตายังสดใสเหมือนเดิมเพียงแต่ซีดลงเล็กน้อย อุษาตาเบิกโพลง
อุษาดีใจ “เห็นมั้ยรินทร์..ยังไม่เน่าไม่เหม็น ไม่ขึ้นอืดเลย แสดงว่าคุณน้ายังไม่ตาย”
ร่างลั่นทมนิ่งเฉยแต่จิตพูด “ก็น้ายังไม่ตาย..ช่วยน้าด้วย เอาน้าออกไปที”
“แต่หน้ายังซีดนะ” ธารินทร์เอามืออังรูจมูกลั่นทม “ไม่มีลมหายใจด้วย”
“แต่ฉันยังรู้สึกตัวทุกอย่าง..ฉันเป็นอะไรก็ไม่รู้..ช่วยฉันด้วย”
“แล้วจะเอายังไงดีครับ..จะทำอะไรก็ต้องรีบๆ ทำ”
“ผมว่าประกาศให้ทุกคนรู้..ว่าศพคุณนายไม่เน่าไม่เหม็นไม่ขึ้นอืด”
ธารินทร์นิ่งมองอุษาแล้วพยักหน้า
“อย่าๆ อย่าบอกใครเลย เดี๋ยวเค้าไม่เชื่อจะเสียเวลาเปล่า”
“จะว่าไม่ตาย แต่ก็ไม่หายใจ..ร่างกายก็เหมือนคนปกติคุณนายแกเป็นอะไรน้า” วิเวกบอก
สัปเหร่อปิดฝาโลง “ใต้โลงผมเจาะรูไว้หลายรูตามที่คุณสั่งครับ ถ้าไม่ตาย แกก็คงหายใจได้ ถึงไม่เน่าเปื่อย”
“แต่ที่จมูกก็ไม่มีลมหายใจ” ฉ่ำว่า
สมานหันมองไปทางหนึ่งแล้วกระซิบอย่างตื่นเต้น “ท่านสมภารมา..”
ทุกคนทำไม่รู้ไม่ชี้ ธารินทร์ปิดฝาโลงอย่างรวดเร็ว สมภารเดินตรงมา สัปเหร่อกับสมานเสือกโลงศพเข้าไปในซอง ธารินทร์ อุษา ฉ่ำ วิเวก และสมพรดูอยู่ สมภารเดินเข้ามาถาม
“มีปัญหาอะไรอีกเรอะโยม”
“ไม่มีอะไรครับ หลานคุณนายยังอยากอยู่เป็นเพื่อนศพ”
“ตัดใจเสียเถอะ เกิดแก่เจ็บตายเป็นของธรรมดา” สมภารบอก
อุษาพนมมือไหว้ “เจ้าค่ะ หลวงพ่อ”
“พวกเรากำลังจะกลับแล้วครับ”
สัปเหร่อหน้าแหยเพราะรู้สึกผิดที่ต้องปดกับสมภาร
“เดี๋ยวผมดูแลความเรียบร้อยทางนี้เองครับ หลวงพ่อไปจำวัดเถอะครับ”
ทุกคนไหว้สมภาร สมภารผละไป อุษามองตามแล้วหันไปกระซิบบอกธารินทร์
“เอารถมาได้แล้วค่ะ”
ธารินทร์เดินมาที่รถแล้วเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกไป กลุ่มอุษามองมา
“เร็ว ช่วยกันเอาคุณน้าออกจากโลงศพ แล้วเอาขึ้นรถ” อุษาบอก
สัปเหร่อรีบเลื่อนโลงศพออกจากซอง คนอื่นช่วยกันเปิดฝาโลงแล้วก้มลงช้อนร่างลั่นทม
“ช่วยดูท่านเจ้าอาวาสด้วยนะครับ ปกติท่านจะมาตรวจ ดูรอบๆ ป่าช้าเสมอ” สัปเหร่อบอก
ฉ่ำมองไปรอบๆ “ไม่มีใครแล้ว เร็วๆ ช่วยกัน”
ธารินทร์เปิดรถให้เอาร่างของลั่นทมขึ้นรถ สัปเหร่อผละไปที่ซองเก็บศพแล้วปิดฝาโลงตอกก่อนจะเลื่อนโลงเข้าซองแล้วยกถุงปูนมา
อุษานั่งประคองลั่นทมอยู่ในรถ ธารินทร์ที่นั่งบนรถตรงคนขับบอกคนอื่นๆ
“รีบแยกย้ายกันกลับบ้านเลยนะ”
“แล้วคุณจะเอาคุณนายไปไว้ไหน..” วิเวกถาม
“เออน่า..เดี๋ยวข้าบอก..รีบไปเถอะครับ หมวด”
อุษายื่นเงินให้สมพร “เอาให้สัปเหร่อและพวกเราแบ่งๆ กัน แล้วรีบกลับนะจ๊ะลุงพร”
“ครับๆ ไม่ต้องห่วงครับคุณอุษา..ทางนี้พวกเราจัดการเอง”
รถของธารินทร์แล่นออกไป
หม้อต้มยาน้ำเดือดควันกรุ่น ผันนั่งพนมมืออยู่หน้าพระนั่งหลับตาสวดมนต์ ข้างๆ ตัวเขามีสมุนไพรวางอยู่หลายชนิด ผันหลับตาขมุบขมิบว่าคาถา ควันจากหม้อลอยกรุ่น
ธารินทร์ขับรถมาจอดหน้าบ้านเช่าของอุษาท่ามกลางความมืด ธารินทร์เหลียวมองไปรอบๆ แล้วหันมาพยักหน้ากับอุษา อุษามองมาที่ร่างของลั่นทมก็เห็นลั่นทมนอนเงียบเหมือนคนตาย อุษาเข้าช้อนร่าง ขณะที่ธารินทร์เปิดประตูรถให้
“ตัวเย็นเฉียบเลย”
ธารินทร์ตกใจ “เย็นเฉียบ!”
อุษารีบแก้ “แต่คุณน้ายังไม่ตายหรอกค่ะ ษาเชื่อ เพราะถ้าคนตายต้องมีกลิ่น นี่ไม่มีเลย”
ธารินทร์มองเข้าไปในบ้าน “พ่อคงรออยู่แล้ว”
ธารินทร์ตรงเข้าช่วยอุษาจะอุ้มลั่นทม
“คุณถอยมาเถอะผมเอง”
เสียงฉ่ำดังขึ้น “ให้ผมดีกว่าครับ”
ธารินทร์สะดุ้งแล้วหันไปเห็นฉ่ำ สมพรและวิเวกเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
“นึกว่าจะไม่ทันซะแล้ว” ฉ่ำว่า
“เอ้า แล้วทำไมยังไม่กลับไปบ้านอีก” อุษาว่า
“ผมมานึกดูว่าคุณอาจต้องการคนช่วย” สมพรบอก
“คุณนายไม่ใช่เบาๆ ถอยไปครับ พวกผมจัดการเอง” วิเวกบอก
อุษามองอย่างตื้นตันใจ “ขอบใจ ขอบใจทุกๆคน”
ธารินทร์และกลุ่มของฉ่ำอุ้มลั่นทมเข้ามาโดยมีอุษาจับมือลั่นทมอยู่ตลอดเวลา ผันในชุดขาวรออยู่ บนเตามีหม้อดินใบใหญ่ตั้งอยู่มีน้ำค่อนหม้อที่กำลังเดือดแต่ยังไม่ได้ใส่ยา ผันซึ่งนั่งหลับตาอยู่ลืมตาขึ้นแล้วก้มลงกราบพระ 3 หนแล้วสั่งธารินทร์
“วางเลย”
ธารินทร์วางลั่นทมลงบนเตียง อุษานั่งข้างเตียงคอยจับมือลั่นทมอยู่ตลอดเวลา ผันหันไปหยิบยาทุกอย่างที่มีอยู่ใส่ลงในหม้อพลางทำปากขมุบขมิบสวดมนต์พึมพัม
ธารินทร์กระซิบกับอุษาเบาๆ “ผมต้องเข้าเวร”
อุษาพยักหน้าสายตาจับจ้องอยู่ที่ลั่นทมตลอดเวลา
ธารินทร์พูดกับวิเวกและสมพร “มีอะไรรีบไปบอกที่โรงพักนะลุงพรพี่เวก”
“ครับ..” สมพรรับคำ
ธารินทร์มองพ่อ ผันพยักหน้า ธารินทร์ออกไป ฉ่ำรีบบอกอุษา
“ผมก็ต้องกลับก่อนครับเดี๋ยวทางโน้นเกิดเรียกหา วันนี้คุณผู้ชายให้ผมอยู่ช่วยขนของเลยไม่ต้องขับรถให้ท่าน”
อุษาพยักหน้ารับรู้แต่สายตาจับจ้องอยู่แต่ลั่นทม ฉ่ำมองลั่นทมอย่างหวาดๆแล้วยกมือไหว้ก่อนจะเดินออกไป สมพรกับวิเวกไปนั่งปักหลักอยู่มุมห้อง ผันเริ่มต้นทำพิธีเอายาใส่หม้อพลางสวดภาวนาพึมพำ
ลั่นทมนอนนิ่งไม่ไหวติงแต่จิตของเธอพูด
“ษา..ษาทำอะไรกัน..แล้วนี่น้าอยู่ไหน..นี่ฉันตาย หรือยัง..ยังนะ ฉันว่าฉันยังไม่ตาย..แต่ทำไมฉันพูดให้ใครได้ยินไม่ได้”
หมอผันนิ่งสวดมนต์พึมพำอยู่หลังจากใส่ยาลงไปครบทุกอย่างแล้ว
“เสียงใครสวดมนต์ สวดมนต์อะไรอีก..ก็ฉันยังไม่ตาย”
ผันก้มหน้าก้มตาสวดภาวนา
“รึว่าตายแล้ว..เอ๊ะๆ ฉันเป็นอะไรอีกล่ะ อยากจะหลับ..อยากเห็นรอบๆตัว เอ..ฉันรู้สึกตัวเบา..อุ๊ย ฉัน..ฉันลอยออกจากร่างได้วิญญาณฉัน” ลั่นทมสะอื้น “ฉันตายแล้วหรือนี่”
วิญญาณลั่นทมออกจากร่างแล้วหยุดมองอุษาแต่อุษาและคนอื่นไม่เห็น
“ทำอะไรกันนี่ อุษา ทำอะไรกัน” ลั่นทมถาม
ลั่นทมหยุดยืนมองผัน อุษา สมพรและวิเวก
“ถามก็ไม่มีใครตอบ..ทำไมไม่มีใครเห็น ฉัน..ได้ยินเสียงฉัน ฉันอยากกลับบ้าน”
พูดจบวิญญาณลั่นทมก็ลอยออกไป
รสสุคนธ์ที่แต่งตัวสุดสวยสีสันสดใสเตรียมออกไปเที่ยวนอกบ้านโดยไม่มีร่องรอยของการไว้ทุกข์ให้เห็น ชีพลังเล
“ฉันว่ามันไม่ค่อยเหมาะนะรส..ใครเห็นเข้าจะไม่ดี” ชีพบอก
“แต่รสไม่อยากอยู่ในบ้าน น่าเบื่อจะตาย อยากออกไปสนุกบ้าง”
“แต่ ศพลั่นทมเพิ่งจะเก็บ”
“อุ๊ยเลิกพูดถึงเมียเก่าคุณทีเถอะคะ เขาอยู่คนล่ะโลกกับเราแล้ว หรือว่าคุณยังอาลัยอาวรณ์อยู่”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ตกลงก็ได้อยากไปไหน”
“ที่ไหนก็ได้..ขอให้มีคุณอยู่ข้างๆรสก็พอ รสจะทำให้คุณมีความสุขที่สุดเลย”
ชีพพยักหน้า รสสุคนธ์ยิ้มดีใจแล้วแต่งตัวต่อ ชีพเองก็แต่งตัวต่อ
กุญแจรถวางอยู่ รสสุคนธ์ที่สวมชุดสวยเดินลงมา หวาน สวาท จิ้มลิ้มและยาใจกำลังจัดข้าวของในห้องรับแขกเก็บข้าวของให้เข้าที่ทั้งหมดโดยทุกคนยังอยู่ในชุดดำต่อเนื่อง ทุกคนชะงักมองรสสุคนธ์เหมือนตัวประหลาด
“ฉ่ำ..นายฉ่ำ..มาถึงรึยังนี่..เอารถออกเดี๋ยวนี้” รสสุคนธ์สั่ง
หวานปราดเข้ามาหาพูดเสียงไม่ดังนัก
“นี่แกทำบ้าอะไร ทุกคนเขาอยู่ระหว่างไว้ทุกข์นะนังรส ทำไมแต่งตัวยังงี้”
“ใครจะทุกข์ก็ทุกข์ไปสิ แต่ฉันกำลังมีความสุข ฉันก็จะแต่งของฉันอย่างนี้ น้าไม่ต้องมายุ่ง” รสสุคนธ์มองกราดอย่างวางอำนาจ “นายฉ่ำอยู่ไหน”
สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจมองรสสุคนธ์อย่างไม่พอใจ
“ยังไม่กลับ” สวาทตอบเรียบๆ
“ตอบใหม่สิ” รสสุคนธ์ว่า
สวาทตอบกระแทกเสียง “ยังไม่กลับค่ะ”
วิญญาณลั่นทมเข้ามาในบ้าน แล้วมองดูรสสุคนธ์อย่างสะเทือนใจแต่ไม่มีใคร
“ฉันให้โอกาสแกพูดใหม่อีกครั้งเดียวถ้าไม่ถูกใจฉันแกเก็บข้าวของออกไปจากบ้านคืนนี้เลย”
ทุกคนอึ้ง สวาทแค้นแต่จำใจต้องพูด “ยังไม่กลับค่ะคุณผู้หญิง”
“ดีมาก”
ลั่นทมเศร้า “เธอต้องการแทนที่ฉันทุกอย่าง รสสุคนธ์ฉันไม่น่าเลี้ยงงูเห่าอย่างเธอเลย”
“งานที่วัดก็เสร็จตั้งนานแล้ว..มัวอ้อยอิ่งกินเหล้ากันอยู่ละสิ มันน่าไล่ออกเสียให้หมด” รสสุคนธ์ว่า
ฉ่ำเข้ามาพอดี เมื่อเห็นรสสุคนธ์ฉ่ำก็ชะงัก
“มาก็ดีแล้ว ไปเอารถมา..ฉันจะออกไปกับคุณชีพ” รสสุคนธ์บอก
รสสุคนธ์วางกุญแจรถแล้วเดินไปที่กระจก ฉ่ำอึกอัก “แต่..”
“ไม่มีแต่ เจ้านายสั่งแกเป็นขี้ข้ามีหน้าที่แค่ทำตาม ถ้าไม่เข้าใจก็ไสหัว ออกไป”
“ฉันไม่ให้เอารถฉันไปนะนายฉ่ำ..” ลั่นทมว่า แต่ไม่มีใครได้ยิน
รสสุคนธ์หันไปสำรวจตรวจตราดูตัวเองในกระจก ลั่นทมมาที่กุญแจหยิบกุญแจรถ
“ฉันไม่ให้เอาไป...รถของฉันเธอไม่มีสิทธิ์รสสุคนธ์”
ลั่นทมพยายามหยิบกุญแจแต่หยิบไม่ได้
“โอ้ย..หยิบกุญแจไม่ได้ ต้องรวบรวมสมาธิ”
ลั่นทมรวบรวมสมาธิแล้วยื่นมือออกไปหยิบกุญแจอีกครั้ง ในที่สุดลั่นทมก็หยิบกุญแจขึ้นมาได้ ลั่นทมดีใจ
“ได้แล้ว”
ฉ่ำหันมาทางกุญแจแล้วก็ชะงัก เมื่อเห็นกุญแจลอยได้ฉ่ำก็ตาเหลือกแต่ยังไม่ทันร้องบอกใคร กุญแจลอยวืดไปกระทบกลางหลังรสสุคนธ์ “โอ๊ย..”
รสสุคนธ์หันขวับมาจ้องฉ่ำอย่างแค้นๆ “แก..แกกล้าดียังไงขว้างกุญแจใส่ฉัน”
“ปละเปล่า มะมันลอยไปเองบรื๊อ..โว้ยย..” ฉ่ำวิ่งไปชนเสา “โอ๊ยผีผีหลอก”
ฉ่ำล้มลงยกมือไหว้ท่วมหัวจนทุกคนตกใจเพราะไม่มีใครเห็นกุญแจลอย ลั่นทมยิ้มอย่างพอใจ ชีพลงมาจากชั้นบน
“เอะอะอะไรกัน”
รสสุคนธ์ฟ้อง “ไอ้บ้านี่มันขว้างกุญแจใส่รสค่ะชีพ มันไม่พอใจที่รสใช้มัน ดูสิคะพวกมันกระด้างกระเดื้องกับรสไม่มีใครเกรงใจคุณเลย”
ชีพโมโห “ฉันขอบอกกับทุกคนไว้ตรงนี้เลยนะว่า รสคือคุณผู้หญิงคนใหม่ของบ้านนี้ ถ้าใครไม่ให้ความเคารพเขาก็เหมือนไม่เคารพฉันด้วย และถ้าเป็นอย่างนั้นก็อยู่ร่วมบ้านกันไม่ได้”
ทุกคนอึ้งไปหมดแล้วก็ก้มหน้ากลัวๆ รสสุคนธ์ยิ้มเย้ย ชีพโอบรสสุคนธ์เดินผ่านลั่นทม ลั่นทมพยายามจะรั้งชีพไว้
“อย่าไปค่ะชีพ”
ลั่นทมคว้าแขนชีพแต่คว้าไม่ได้ ฉ่ำลุกขึ้นนั่งมองไปรอบๆ
“ข้าไม่ได้ทำจริงๆนะโว้ย กุญแจมันลอยไปเอง ต้องคุณผู้หญิงแน่ๆ..คุณผู้หญิงอยู่แถวนี้”
จิ้มลิ้มกับยาใจกระโดดเข้าหากัน สวาทว่า “ไอ้ปากเสีย..คนยิ่งกลัวๆอยู่ ไสหัวไปนอนห้องแกเดี๋ยวนี้”
ฉ่ำมือไม้สั่นไปหมด เขาลุกขึ้นรีบถอยออกไป ลั่นทมที่ยืนอยู่ที่เดิมเศร้าหมองจนน้ำตาซึม เธอมองตามชีพกับรสสุคนธ์ไป
“ชีพ..นี่คุณไม่มีฉันอยู่ในหัวใจอีกแล้วจริงๆเหรอคะ”
ลั่นทมน้ำตาซึม
อ่านต่อหน้าที่ 4
สุสานคนเป็น ตอนที่ 4 (ต่อ)
สมพรกับวิเวกที่นั่งซุกอยู่มุมห้องเริ่มชะโงกดูหม้อต้มยาที่น้ำกำลังเดือดพล่าน หมอผันกำลังสวดมนต์ภาวนา อุษานั่งจับมือลั่นทมอยู่ตลอดเวลา ลั่นทมอยู่ในสภาพนิ่งสนิทและไม่ไหวติง ฉ่ำเดินเข้ามาที่หน้าบ้านเช่าด้วยท่าทางตื่นๆ ฉ่ำเข้ามามองลั่นทมอย่างหวาดหวั่น
ฉ่ำกระซิบบอก “อย่าพยายามเลยครับ คุณผู้หญิงตายแล้วจริงๆ ตะกี้..ฮือ..ท่านไปที่บ้าน..ผมเห็นกับตา”
อุษาไม่พอใจ “พูดอะไร”
“จริงๆครับ จู่ๆกุญแจก็ลอยได้ แถมขว้างไปใส่แม่รสเต็มหลังเลย อู๊ย ท่านคงแค้นเอามากๆ”
ผันสวดมนต์ต่อโดยไม่สนใจฉ่ำ ส่วนวิเวกกับสมพรถึงกับตาสว่าง
“จริงเหรอ”
“จริงสิว่ะ ถ้าข้าโกหกขอให้ฟ้าผ่าเลยสิเอ้า” ฉ่ำมองลั่นทม “นั่นศพจริงๆนะครับคุณอุษา..คุณผู้หญิงไม่มีวันฟื้นแล้วละครับ เชื่อผม..บรื๊อยังขนลุกไม่หาย เฮี้ยนจริงๆ”
ลั่นทมนอนนิ่งสงบ
รสสุคนธ์ขับรถคล่องขึ้นมากแล้ว โดยมีชีพนั่งคู่มาด้านหน้า
“ขับรถคล่องขึ้นมากแล้วนะ” ชีพชม
รสสุคนธ์ทำตาหวาน “ก็ได้ครูดีสอนนี่คะ”
ชีพโน้มตัวเข้ามาหารสสุคนธ์ รสสุคนธ์บ่ายเบี่ยงอย่างสาวมีจริตแต่ตามองถนนข้างหน้า
“อุ๊ยอย่าค่ะ”
ชีพซุกไซ้โดยไม่ฟัง รสสุคนธ์พอใจแต่พอมองกระจกหลังเธอก็ผงะตกใจที่เห็นลั่นทมนั่งสงบนิ่งมองตอบมา “ว้าย...”
รสสุคนธ์เสียหลักเบนออกเกือบชนรถที่วิ่งสวนมา รสสุคนธ์รีบหักกลับจอดข้างทาง
“อะไรรส” ชีพงง
รสสุคนธ์ยังไม่ตอบ เธอค่อยๆเหลือบมองกระจกหลังอีกทีแต่ก็ไม่เห็นอะไร
“เป็นอะไรไปรส”
“ไม่มีอะไรคะ” รสสุคนธ์กลัวชีพจะกลัวไปด้วย “ก็คุณนะสิ บอกแล้วว่าอย่ารสยังขับไม่แข็ง”
ชีพหัวเราะออกมาได้ “โธ่ตกใจหมดนึกว่าอะไร ขอโทษๆเอาล่ะฉันจะอดใจไว้ก่อน เอาขับต่อไปเถอะ”
รสสุคนธ์ค่อยๆออกรถช้าๆ ตาของเธอเหลือบมองไปทางกระจกหลังแต่ก็ไม่เห็นอะไร รสสุคนธ์โล่งใจวิญญาณลั่นทมนั่งสงบนิ่งอยู่ที่เบาะหลังมองดูสองคนด้วยความเสียใจ
ผันสวดมนต์ภาวนาไม่หยุด ฉ่ำมองลั่นทมที่นอนสงบนิ่งอย่างหวาดๆ
“แล้วคุณหนูจะทำพิธีต่อรึครับ..ทั้งๆ ที่คุณนาย..” ฉ่ำจะพูด
อุษาสวนคำทันที “ยังไม่ตาย ฉันไม่เชื่อที่ลุงฉ่ำพูด ลุงฉ่ำอาจตาฝาด..ลุงกลับไปก่อนเถอะ”
ฉ่ำกลัว “ไม่ละครับ..ขอไปนอนกับหมวดที่โรงพักดีกว่า” ฉ่ำพูดกับสมพรและวิเวก “แกกับไอ้เวกไปส่งหน่อยซี”
“ก็โรงพักแค่นี้..ทำไมต้องไปส่งวะฉ่ำ”
อุษาพูดกับสมพร “ไปเถอะจ้ะ ไปส่งลุงหน่อย อยู่นานยิ่ง ทำลายสมาธิคุณลุงหมอ”
สมพรกับวิเวกเดินออกไป ฉ่ำมองลั่นทมอย่างหวาดๆ อุษายังนั่งจับมือลั่นทมไว้อย่างมีความหวัง
ส่วนหมอผันยังคงนั่งบ่นพึมพำต่อไป
สมพรกับวิเวกเดินมาตามปกติธรรมดาไม่ได้หวาดกลัวแต่อย่างใดแต่ฉ่ำคอยเหลียวหน้าเหลียวหลังและคอยเดินแทรกอยู่ตรงกลาง
“แกนี่ยังไงวะตาฉ่ำ..คุณผู้หญิงยังไม่ตายก็เสือกกลัวได้ แกเห็นไม๊..ศพไม่เน่าไม่เปื่อย.. แสดงว่าคุณหนูอุษาพูดจริง..คุณผู้หญิงคงเป็นโรคประหลาด อะไรซักอย่าง”
“ตอนแรกข้าก็อยากจะคิดอย่างนั้น แต่พอเจอเข้าเมื่อกี้ มันผีชัดๆ นะแกกุญแจรถมันจะลอยได้ยังไง ข้าเห็นจริงๆ”
“ลุงเมา หรือเปล่า” วิเวกถาม
“โธ่ เลิกนานแล้ว..เดี๋ยวนี้กินแล้วมันชัก” ฉ่ำบอก
“ชักมันน่ะซี” สมพรผลักฉ่ำไปข้างหน้า “ไปๆ นั่นโรงพักเดินไปเอง”
ฉ่ำกลัว “ไม่ได้ต้องส่งให้ถึง” ฉ่ำยกมือไหว้ “ไหว้ล่ะ ฉันกลัวจริงๆนะ คนไม่ตายทำไมวิญญาณออกจากร่างได้”
“ทำไมจะไม่ได้..คนหลับวิญญาณก็อาจล่องลอยออกไปชั่วขณะ ก็ที่เรียกว่าฝันไง..นั่นล่ะวิญญาณไปโน่นไปนี่ เรา ก็ว่าฝัน..หรืออย่างคุณผู้หญิง เป็นโรคตายแล้วฟื้น..เอ็งก็เคยเห็นฟื้นมาแล้วหลายครั้ง ตอนวูบไปน่ะวิญญาณอาจ ล่องลอยไปไหนๆก็ได้ แต่จับต้องไม่ได้พูดไม่ได้ยินเสียงเท่านั้น..ก็เหมือนคนฝันแหละ”
ฉ่ำนิ่งอึ้ง
ธารินทร์ที่อยู่ที่โรงพักมีสีหน้าคิดหนัก ฉ่ำยืนยันซ้ำ
“จริงๆนาครับหมวด..ผีคุณผู้หญิงแกมาจริงๆ ไม่งั้นอยู่ๆกุญแจจะลอยได้ยังไง”
“คนอื่นเห็นหรือเปล่า” ธารินทร์ถาม
“ไม่มีใครเห็นเลยครับ” ฉ่ำบอก
ธารินทร์ขมวดคิ้ว ฉ่ำรีบพูดหนักแน่น
“ถ้าผมโกหกนะขอให้มีอันเป็นไปสิเอ้า”
“ฉันไม่ได้ว่าโกหก แต่นายฉ่ำอาจตาฝาดก็ได้”
“โหหมวดครับ มันไม่ได้เห็นแว่บเดียวแล้วหายนะจะได้คิดว่าตาฝาด กุญแจมันค่อยๆลอยขึ้นมาแถมเหวี่ยงไปใส่นังเอ๊ยคุณรสเข้าจังเบ้อเร้ออย่างนั้นใครขว้างกันละครับ ผมนะไม่กล้าทำอยู่แล้ว ต่อให้เกลียดแม่คนนั้นมากก็เถอะ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็แสดงว่าคุณน้าลั่นทมตายแล้วแน่นอน ที่ษาอุตส่าห์ทุ่มเททำทั้งหมดก็คงสูญเปล่า”
ผันยังคงนั่งสวดมนต์ภาวนาพึมพำ ยาในหม้อเดือดคลั่ก อุษายังคงนั่งจับมือลั่นทมอยู่อย่างอดทน ลั่นทมนอนนิ่งสงบอยู่บนเตียงอย่างเดิม วิญญาณลั่นทมเดินเข้ามามองดูอุษา และหมอผันอย่างสำนึกในบุญคุณจนน้ำตาไหล
“ฉันจะไม่ลืมบุญคุณเลย..ทั้งเธออุษาและหมอผัน แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จหรือเปล่า..ก็ดูสิ..ฉันว่าฉันยังไม่ตาย แต่ทำไมวิญญาณฉันออกมาได้..จะไปไหนแค่นึกก็ไปได้ นี่มันอะไรกัน”
ร่างลั่นทมนอนนิ่งไม่ไหวติง วิญญาณลั่นทมยืนมองอยู่ครู่หนึ่งก็เลือนหายไปอีก หมอผันหลับตาสวดมนต์ภาวนาโดยไม่ได้ยินเสียงลั่นทม วิเวกกับสมพรค่อยๆ คลานเข้ามาหาอุษาแล้วพูดเบาๆ เพราะเกรงจะรบกวนสมาธิหมอผัน
“คุณหนูไปนอนเถอะครับ ผมกับไอ้เวกเฝ้าเอง” สมพรบอก
“ไม่..ฉันไม่อยากไปไหน ฉันมีความรู้สึกว่าคุณน้าจะต้องฟื้น” อุษาว่า
อุษาจับมือลั่นทม สมพรกับวิเวกต้องล่าถอยไปนั่งอยู่ที่เดิมตรงมุมห้อง
รสสุคนธ์หัวเราะร่าอย่างมีความสุข ชีพนั่งโอบอยู่ใกล้ๆ โดยที่ในรถเปิดเพลงสนุกสนาน รถแล่นผ่านผับแห่งหนึ่ง
“เราเข้าไปเที่ยวในผับนั่นดีมั้ยไม่มีใครรู้จักเรา จะได้สนุกกันได้เต็มที่” ชีพชวน
“เยี่ยมไปเลยค่ะ”
ทั้งสองหัวเราะกันอย่างมีความสุข รถจอดที่หน้าผับแล้วทั้งสองก็ลงจากรถ วิญญาณลั่นทมเดินตามไปด้วย
-
รสสุคนธ์และชีพเต้นรำกันอย่างสุดเหวี่ยงภายในผับมืดๆ ท่ามกลางผู้คนมากมาย เวลาผ่านไปรสสุคนธ์กับชีพก็กลับมาที่โต๊ะ วิญญาณลั่นทมนั่งรออยู่ พนักงานเดินถือถาดใส่แก้วเหล้ามาเข้ามาทางรสสุคนธ์ ลั่นทมพยายามเพ่งสมาธิจนแก้วเหล้าบนถาดล้มลงราดลงบนหัวรสสุคนธ์พอดี รสสุคนธ์ตกใจลุกขึ้นเต้นเร่าๆ แผดเสียงดังลั่น
“ไอ้บ้า ไอ้โง่ แกทำอะไรของแกเนี่ย ฉันเลอะไปหมดแล้ว”
พนักงานตกใจ “ขอโทษครับ ผม...ไม่ได้ตั้งใจ”
“ขอโทษแล้วฉันจะหายสกปรกเลอะเทอะมั้ยล่ะไอ้งี่เง่า ไปตามเจ้าของมา ฉันจะให้เขาไล่แกออก”
คนเริ่มหันมามอง ชีพอายจึงรีบลุกขึ้น
“ใจเย็นๆน่ารส เบาหน่อย คนมองกันใหญ่แล้ว ไปกลับเถอะ”
รสสุคนธ์แค้น ชีพรีบพารสสุคนธ์ออกจากผับอย่างรวดเร็ว ลั่นทมมองอย่างสะใจ
ชีพกับรสสุคนธ์เปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูเรียบร้อย ลั่นทมเดินทะลุประตูเข้ามามองรอบๆอย่างเสียใจ
“ที่นี่เองสินะชีพที่คุณพารสสุคนธ์มามีความสุขกันตอนที่ฉันยังอยู่ คุณทำได้ยังไง คุณใจร้ายกับฉันเหลือเกิน”
รสสุคนธ์บ่น “เจ็บใจไอ้พนักงานเวรนั่นจริงๆ กำลังสนุกอยู่เลย”
“ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ ช่างมันเถอะเดี๋ยวเสียอารมณ์เปล่าๆ”
ชีพโน้มตัวรสสุคนธ์ให้ลงนอนบนเตียง “ฉันจะทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นเอง”
รสสุคนธ์ยั่ว “คุณเก่งขนาดนั้นเชียว ไม่อยากเชื่อ”
“อ๊ะ ถ้าอย่างนั้นต้องลองดู”
รสสุคนธ์ยิ้มยั่วยวนก่อนจะหลับตาพริ้มเชิญชวนเต็มที่ ชีพก้มลงไปหาแต่แล้วชีพก็ผงะเพราะเห็นหน้ารสสุคนธ์เป็นหน้าลั่นทมที่นอนมองนิ่ง ชีพกระโดดลุกขึ้นด้วยความตกใจสุดขีด
“เฮ้ย...”
รสสุคนธ์ลืมตาลุกขึ้นมองงงๆ “อะไรคะ”
ชีพกลัว “ลั่น..ลั่นทม”
“อะไรนะ”
“เมื่อกี้ฉํนเห็นทมเขานอนอยู่แทนที่เธอ”
รสสุคนธ์ตกใจลุกขึ้นมายืนข้างๆชีพ ทั้งสองคนมองไปรอบห้องอย่างหวาดๆ แต่ก็ไม่มีอะไร รสสุคนธ์ข่มความกลัว
“คุณคิดไปเองหรือเปล่า ไม่เห็นมีอะไรนี่หรือว่าคุณเมาคืนนี้คุณดื่มเยอะเหมือนกัน”
“ฉันว่าฉันไม่ได้ตาฝาด ฉันเห็นจริงๆนะ”
“หรือว่าจะเป็นวิญญาณเมียคุณ”
ชีพตกใจ “อะไรนะ เธอหมายถึงผีลั่นทมมาหลอกฉันเหรอ”
“อย่ากลัวไปเลยค่ะ ถ้าเป็นผีจริงก็แสดงว่าลั่นทมตายแน่ๆแล้วเพราะฉะนั้นก็ไม่มีทางฟื้นขึ้นมาได้อีก ผีนะมันทำอะไรเราไม่ได้หรอกค่ะ”
“แต่...”
“เชื่อรสสิคะ” รสสุคนธ์ตะโกน “ถ้าวิญญาณเธออยู่ตรงนี้จริงๆ ก็มาหักคอฉันสิ”
“เฮ้ยรสไปท้ามันทำไม”
“ฉันไม่กลัวแกหรอก นี่ไงฉันอยู่กับผัวแก ถ้าแกหึงแกหวงก็ออกมาสิออกมาเลย”
ชีพมองรอบๆ อย่างใจไม่ดีเขารู้สึกเหมือนจะลั่นทมจะปรากฏร่างแต่ก็ไม่มี
รสสุคนธ์ถอนใจโล่งอกก่อนจะหัวเราะขำ “เห็นมั้ยคะชีพ ถึงมันจะอยู่มันก็ทำอะไรไม่ได้หรอก คงอยากดูเราสองคนพลอดรักกันล่ะมั้ง เอาสิดูเลย ฉันจะทำให้ดู ดูเสียให้เต็มตานังผีลั่นทม”
รสสุคนธ์โผเข้ากอดชีพดึงไปที่เตียง ชีพยังกลัวจึงพยายามขืนตัวมองไปรอบๆ ห้องอย่างไม่ค่อยไว้ใจ รสสุคนธ์โน้มตัวชีพลงไปที่เตียง วิญญาณลั่นทมปรากฏรางๆ ที่มุมห้อง ลั่นทมเสียใจจึงเบือนหน้าหนีก่อนที่ร่างจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
อ่านต่อตอนที่ 5