สุสานคนเป็น ตอนที่ 3
บุรุษพยาบาลเข็นเตียงของลั่นทมมา ส่วนชีพนั่งรถเข็นโดยมีเลือดไหลที่ขมับแล้วถูกเข็นไปอีกทาง รสสุคนธ์กับอุษามาถึงพอดีด้วยความรีบร้อน
“คุณน้า...เดี๋ยวค่ะ...”
บุรุษพยาบาลผลักประตูห้องฉุกเฉินแล้วจะเข็นเตียงเข้าไป
“ให้ดิฉันเข้าไปด้วยนะคะ ดิฉันทราบดีว่าคุณน้าเป็นอะไร” อุษาบอก
วัฒนาออกมาจากข้างใน“คอยข้างนอกก่อนครับ..”
ประตูปิด อุษายืนซึม ส่วนรสสุคนธ์ยืนยิ้มมุมปากอย่างสะใจอยู่ด้านหลัง
ธารินทร์เดินมาพอดี อุษาเห็น รสสุคนธ์มองธารินทร์แต่ธารินทร์ไม่มองตอบ
“หมอกำลังดูอาการคุณน้าลั่นทมอยู่ค่ะ...ษาว่าจะไปดูน้าชีพก่อน” อุษาบอก
รสสุคนธ์รู้สึกขัดหูขัดตาเลยเดินไปก่อน
“ก็ดีครับ ผมก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ทั้งสองเดินไปด้วยท่าทางรีบร้อน
ชีพนอนอยู่บนเตียง พยาบาลกำลังดูแลอยู่ รสสุคนธ์เข้ามาก่อน
“คุณชีพ”
“มาได้ยังไง..” ชีพงง
“มากับอุษา...”
อุษากับธารินทร์เดินเข้ามา
“เป็นยังไงบ้างคะ...”
ชีพสบตากับอุษาให้ดูน่าสงสาร รสสุคนธ์เห็นก็ไม่พอใจ
“ขอบใจที่มาเยี่ยมน้า...น้าไม่เป็นอะไรมากหรอก ห่วงก็แต่ลั่นทม ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง”
“ให้ตัวเองหายก่อนเถอะ ค่อยห่วงคนอื่น”
รสสุคนธ์มีสีหน้าไม่พอใจ อุษามองหน้ารสสุคนธ์
“เขาเป็นสามีภรรยากันนี่คะ ก็ต้องห่วงใยกันเป็นธรรมดา” อุษาบอก
รสสุคนธ์มีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที แต่ไม่กล้าแสดงออก ชีพยกมือห้ามไม่ให้รสสุคนธ์พูดต่อไป
“เกิดขึ้นได้ยังไงครับ”
“เขาขอขับเอง ผมห้ามแล้ว แต่ก็ไม่ยอม ก็แข็งแรงดีอยู่นะแต่พอมาถึงในสวนก็มีอาการเหมือนเดิม ฟุบไปกับพวงมาลัย” ชีพบอก รสสุคนธ์มีสีหน้าสะใจ “ผมเป็นห่วงลั่นทม”
วัฒนาเดินเข้ามา “คุณชีพครับ เดินไหวมั้ย....คุณลั่นทม..เอ้อ..”
“คุณน้า”
อุษาถลันออกไปก่อน ธารินทร์เดินตามไป รสสุคนธ์ช่วยพยุงชีพขึ้นมาแล้วมองตามสีหน้าสะใจ พยาบาลเข็นรถเข็นมาเทียบ
รสสุคนธ์ถามขณะพยุงชีพขึ้นเบาๆ “คุณห่วงเมียคุณจริงๆ เหรอคะ”
ชีพไม่ตอบ พยาบาลเข็นรถของชีพไป รสสุคนธ์เดินตามไป
คลื่นที่เครื่องวัดหัวใจบอกว่าหัวใจไม่ทำงาน พยาบาลหันมาบอกทันทีที่เห็นกลุ่มของชีพเดินเข้ามา
“หัวใจไม่ทำงานแล้วค่ะคุณหมอ...”
“ฉีดยากระตุ้นหัวใจ..”
หมอจัดการฉีดยา แต่คลื่นกราฟหัวใจที่เครื่องแสดงว่าหัวใจไม่ทำงานเหมือนเดิม พยาบาลมองหน้าวัฒนาเหมือนขอความเห็น วัฒนาพยักหน้า พยาบาลใช้เครื่องปั๊มหัวใจจัดการปั๊มลั่นทม ลั่นทมผวาสะดุ้ง รสสุคนธ์มองอย่างสะใจแต่ก็ซ่อนความรู้สึกไว้
อุษาร้องไห้น้ำตาไหลพราก
“คุณน้า...รู้สึกตัวสิคะ คุณหมออย่าทำยังงี้เลยค่ะ คุณน้าเจ็บเดี๋ยวคุณน้าก็รู้สึกตัว คุณน้าเป็นอย่างนี้บ่อยๆ”
วัฒนามองหน้าอุษาแล้วส่ายหน้า “แต่ตอนนี้หัวใจคนไข้ไม่ทำงานแล้วนะครับ”
“หยุดหายใจนานกว่าทุกครั้งนะษา..”
อุษามองหน้าชีพอย่างไม่พอใจ
“น้าชีพ...ทุกครั้งคุณน้าก็รู้สึกตัว...ครั้งนี้ก็ต้องรู้สึก..” อุษาพูดกับวัฒนา “จริงๆ นะคะคุณหมอ..คุณน้าหยุดหายใจ แต่คุณน้ารู้สึกทุกอย่างค่ะ”
วัฒนามองอุษาเหมือนมองคนที่พูดจาไม่รู้เรื่อง ไม่มีเหตุผลรองรับ
“ให้อยู่ในความดูแลของหมอดีกว่าน่าษา”
ธารินทร์จับมืออุษาเพื่อเตือนสติ รสสุคนธ์เมินหน้าไปทางอื่น
“เชิญทุกคนข้างนอกก่อนดีกว่าครับ...ขอคุณชีพไว้คนเดียวพอ เชิญครับ...”
“ไปเถอะษา...”
ธารินทร์พาอุษาออกมาข้างนอก รสสุคนธ์เดินตามมาด้วย
พยาบาลปั๊มหัวใจ ลั่นทมสะดุ้ง ลั่นทมรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่สะดุ้งบนร่างของตน
“ษา...อย่าทิ้งน้าไป...น้าเจ็บ...ช่วยน้าด้วย...โอ๊ย...”
อุษา ธารินทร์ และรสสุคนธ์เดินออกมา ทุกคนนั่งอยู่หน้าห้อง หวานร้องไห้สะอึกสะอื้น ในขณะที่ทุกคนก็หน้าเศร้าไม่ต่างกัน
หวานถามเสียงเครือ “คุณผู้หญิงเป็นยังไงบ้างคะ...”
“เดี๋ยวคุณน้าก็รู้สึกตัว...คงไม่มีอะไรหรอกจ้ะน้าหวาน..” อุษาบอก
“แต่ครั้งนี้หยุดหายใจไปนานจนน่าเป็นห่วง..” รสสุคนธ์พูดขึ้น
ทุกคนมองหน้ารสสุคนธ์ รสสุคนธ์จึงพูดแก้เก้อ
“ฉันพูดตามความเห็นของหมอ...ไม่เชื่อถามอุษาดูสิ...ยังไม่รู้เลยว่าจะฟื้นหรือเปล่า”
อุษาพูดกับรสสุคนธ์เสียงเข้ม
“อย่าใช้คำว่าฟื้น...คุณน้าลั่นทมยังไม่ตาย...และก็จะไม่มีวันตายด้วย”
รสสุคนธ์อมยิ้ม หวานหยิกหลานสาวแล้วจ้องหน้าดุๆ ก่อนจะพูดเสียงเครียดลอดมาจากริมฝีปาก
“ไม่ใช่เรื่องของเอ็งนังรส...จะพูดจะจาอะไรก็รู้จักเกรงใจคนอื่นบ้าง”
รสสุคนธ์สะบัดหน้าหันไปทางอื่นแต่ก็มาเจอสายตาปรามจากธารินทร์ รสสุคนธ์เลยนั่งหน้าเชิด
“คนดีอย่างคุณน้า พระต้องคุ้มครอง” อุษาบอก
รสสุคนธ์ก้มหน้าซ่อนยิ้มอย่างสะใจ
พยาบาลทั้งสองพยายามปั๊มหัวใจลั่นทม แต่ก็ช่วยไม่ได้ เครื่องกราฟแสดงให้เห็นว่าหัวใจไม่ทำงาน
“ผมว่าหมดหวังแล้วละ...” หมอบอก
ชีพหน้าเสียไปเล็กน้อย
วัฒนาพูด “ผมหวังว่าปาฏิหาริย์จะมีจริงอย่างที่น้องอุษาบอก”
“ถ้าหมอบอกว่าไม่มีหวัง ก็ต้องหมดหวังละครับ” ชีพว่า
ลั่นทมนอนนิ่ง แต่เงาของลั่นทมส่ายหน้าร้องไห้
“ชีพ อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ” ลั่นทมพูดในใจ “ทมยังไม่ตาย ทมรู้สึกตัวทุกอย่างแต่...ทมไม่มีแรง...พอ...ที่จะลุกขึ้นได้...ชีพ...อย่าทิ้งทมนะคะ”
ชีพเข็นรถที่ตนเองนั่งออกไปข้างนอก
ลั่นทมพยายามเรียก “ชีพ...ชีพ...”
พยาบาลเอาผ้าขาวปิดหน้าลั่นทม ทุกคนมีสีหน้าเศร้าไป
“เอาออกไป ฉันหายใจไม่ออก...”
วัฒนาผลักประตูห้องฉุกเฉินออกมาแล้วเข็นรถของชีพออกมาด้วย ทุกคนมองไปเห็นสีหน้าของทั้งสองเศร้ามาก
“น้าชีพ...อย่าบอกนะว่า...” อุษาตกใจ
“หมดหวังแล้วละษา...” ชีพบอก
“พี่พยายามสุดความสามารถแล้วครับ น้องษา...”
อุษาปล่อยโฮ วิ่งสวนเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
“โธ่...คุณผู้หญิง...”
หวานสะอื้น ทุกคนพากันสะอื้นเบาๆ ปาดน้ำตา รสสุคนธ์เมินไปทางอื่นแล้วแทบจะหลุดหัวเราะออกมา แล้วเธอก็หันมาสบตากับชีพ สายตาของทั้งคู่บ่งบอกว่าสะใจ
อุษา ชีพ ธารินทร์ รสสุคนธ์ และหวานเดินเข้ามา ลั่นทมนอนมีผ้าปิดหน้า อุษาเปิดหน้าออก เงาของลั่นทมบอกกับอุษาอย่างร้อนรน ในขณะที่หวานร้องไห้พยายามกลั้นสะอื้นไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา
“ษาช่วยน้าด้วย น้ายังไม่ตาย อย่าทำอะไรกับน้านะ ษา..”
อุษาร้องไห้โดยไม่ได้ยินลั่นทม
“คุณน้า..เข้มแข็งสิคะ คุณน้าต้องรู้สึกตัวเหมือนทุกครั้งนะคะ ไม่ยังงั้นเขาจะต้องเอาคุณน้าไปเผา ไปทำพิธีศพ”
“ไม่นะษา..น้ายังไม่ตาย น้ารู้สึกตัวทุกอย่าง น้าเห็น น้าได้ยินษา...บอกเขาทีสิ..” เงาลั่นทมพยายามพูด
ธารินทร์ปลอบใจอุษา “ษา คุณหมอพยายามกันเต็มที่แล้วนะครับ และคราวนี้คุณน้าก็เป็นนานกว่าทุกครั้ง...”
“ไม่ค่ะรินทร์...ไม่...คุณน้าต้องลืมตา รู้สึกตัวแล้วก็กลับบ้านได้เหมือนทุกครั้ง”
รสสุคนธ์เบ้ปาก“หมอเขาเพิ่งบอกว่าหมดหวัง..”
อุษาหันไปแหวใส่ทันที “ไม่ใช่เรื่องของเธอ อย่ามายุ่ง”
“นังรส...ออกไป...” หวานไล่
หวานจ้องหน้าดุๆ รสสุคนธ์ยักไหล่
“รสก็แค่หวังดี...อยากให้ทุกคนทำใจค่ะ คนตายไปแล้ว ก็ต้องตาย ไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้หรอก”
“เผื่อใจไว้บ้างก็ดีนะอุษา...ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเสียใจ แต่ว่ามันสุดวิสัยของหมอแล้ว ษาก็ได้ยินนี่”
อุษาร้องไห้ รสสุคนธ์สะใจที่ชีพเข้าข้าง รสสุคนธ์ออกไปข้างนอก
“ออกไปกันให้หมด ษาอยากอยู่กับคุณน้า...โธ่ คุณน้าขา”
อุษาคร่ำครวญกับร่างของลั่นทม หยาดน้ำตาไหลออกมาทางหางตาของลั่นทม
“ษา...น้ายังไม่ตาย...น้ายังไม่ตาย...”เงาของลั่นทมพยายามรวบรวมกำลัง “อึ๊บ...อึ๊บ...”
เงาร่างของลั่นทมหมดแรงนอนลงไปร้องไห้ อุษากอดร่างลั่นทมร้องไห้
ทุกคนเดินออกมาสมทบกับพวกที่นั่งอยู่ก่อน
“ติดต่อศาลาได้แล้วล่ะค่ะ...แขกเหรื่อก็ต้องรีบเชิญ แล้วยังต้องนิมนต์พระอีกนะคะ” รสสุคนธ์บอก
หวานกระตุกมือรสสุคนธ์แล้วปรามด้วยสายตาก่อนจะพูดเสียงเครียด
“ไม่ต้องออกความเห็น นังรส...”
“รสเห็นทุกคนอยู่ในอาการตกตะลึง เศร้าโศก นี่รสช่วยยังหาว่าไม่ดีอีกเหรอน้าหวาน ไม่คิดเลยว่าทำคุณบูชาโทษ...คุณชีพมีอะไรให้รสช่วยก็บอกเลยนะคะ...รสเสียใจค่ะ”
“ก็คงต้องจัดการตามที่รสสุคนธ์พูด...”
สวาท ฉ่ำ สมพร และวิเวกแทบจะอ้าปากค้างเช่นเดียวกับจิ้มลิ้มกับยาใจที่มองหน้ากันทันที รสสุคนธ์เชิดหน้า ธารินทร์ระบายลมหายใจด้วยความรู้สึกอึดอัด
ผู้ช่วยหมอเข้ามาพร้อมกับเข็มฉีดฟอร์มาลีน
“ขอโทษครับ...”
อุษาเห็นเข็มฉีดยาก็ตกใจ “อะไรน่ะ..”
“ต้องฉีดครับ ไม่งั้นละก็เน่า ส่งกลิ่นเหม็นแย่...” ผู้ช่วยหมอบอก
“ไม่นะ อย่าแตะต้องคุณน้าเป็นอันขาด..” อุษาค้าน
“ถ้าไม่ฉีด..สองวันก็เหม็นไปทั้งงานแล้วนะครับ”
“ไม่...ฉันไม่ยอมให้ฉีด”
อุษากางกั้นไม่ให้ผู้ช่วยหมอฉีดยาศพแล้วจ้องหน้าดุๆ พร้อมจะเอาเรื่อง
“ถ้าคุณแตะต้องคุณน้าลั่นทม...ษายอมตายค่ะ”
ผู้ช่วยหมออึ้งไปแล้วพยายามจะอธิบาย แต่อุษาไม่ฟัง
“คือว่า...ศพ”
อุษาเดินสวนไปทันที “ไม่ค่ะ...ออกไป จะไม่มีการฉีดยาอะไรทั้งนั้น”
วัฒนาเดินเข้ามา
“ไม่เป็นไรครับ ผมจัดการเอง”
ผู้ช่วยหมอเดินออกไป อุษาร้องไห้ขอร้องวัฒนา
“พี่วัฒน์ษาขอละนะ อย่าฉีดยาคุณน้า คุณน้ายังไม่ตาย เชื่อษาสิคะ”
วัฒนามีสีหน้าอึดอัด ลั่นทมรวบรวมพลังอีกครั้ง
ลั่นทมเอื้อมมือมาจับอุษา อุษาตกใจ “คุณน้า..พี่วัฒน์ คุณน้ารู้สึกตัวแล้ว”
มือลั่นทมอ่อนแรงจึงปล่อยลง วัฒนาถอนใจเพราะไม่เชื่อ อุษามองดูลั่นทมด้วยความผิดหวัง
อุษาร้องไห้ “คุณน้า...ทำไมคุณน้าไม่สู้เลยล่ะคะ..คุณน้าจะปล่อยให้เขาชนะได้ยังไง”
เงาร่างของลั่นทมพยายามดิ้นรนแล้วก็น้ำตาไหล
“ษา...น้าพยายามแล้ว...แต่น้าทำไม่ได้ น้าไม่มีแรงเลย”
“คุณน้า ถ้าคุณน้าตาย เขาสองคนจะมีความสุขด้วยกัน บนกองเงินกองทองที่คุณน้าหามาทั้งชีวิตนะคะ..คุณน้าต้องสู้...สู้สิคะคุณน้า”
“ษา...ษาพูดอะไรน่ะ น้าได้ยินนะ แต่น้าไม่เข้าใจ”
วัฒนาแตะตัวอุษาเบาๆ “ทำใจเสียเถอะน้องษา...”
อุษาจำยอมถอยห่างออกมา วัฒนาดึงผ้ามาปิดหน้าลั่นทม
“เอาออกไป ฉันหายใจไม่ออก เอาออกไป” ลั่นทมโวยวาย
บุรุษพยาบาลเข็นเตียงของลั่นทมออกมา มีผ้าคลุมหน้าลั่นทมไว้ ทุกคนหันไปมอง หวานกับสวาท ปล่อยโฮออกมาแล้วสะอื้นเบาๆ ยาใจกับจิ้มลิ้มปาดน้ำตา ฉ่ำ สมพร และวิเวกหน้าเศร้า
“โธ่ คุณผู้หญิง...”
ชีพได้สติก็รีบก้าวเดินไปกับเตียงที่เข็นไป
“ลั่นทม...ลั่นทม...”
ทุกคนรีบตามไป รสสุคนธ์เบ้ปากมองตามไป
อุษาก้าวออกมาจากห้องฉุกเฉินโดยมีสีหน้าช็อกเสียใจ น้ำตาของเธอไหลพราก ธารินทร์ปราดเข้าไปหา
“ษา...”
รสสุคนธ์รู้สึกหมั่นไส้แกมสะใจ เธอหัวเราะในลำคอแล้วเดินไปอย่างไม่แคร์
“เป็นอะไรหรือเปล่า..” ธารินทร์ถาม
อุษาน้ำตาไหล “คุณน้าไม่รู้สึกตัวค่ะรินทร์”
“ท่านหมดสตินานเกินไป คงสายไปเสียแล้ว...ผมจะไปนิมนต์พระแล้วก็ติดต่อศาลาให้นะ”
อุษาพยักหน้าแล้วรีบบอกธารินทร์
“อย่าให้สัปเหร่อฉีดยาคุณน้านะคะ...ษาอยากลองดูค่ะรินทร์” อุษาบอก
ธารินทร์อึ้งไปนิดหน่อยแต่ก็รับคำ “จ้ะษา”
เจ้าหน้าที่ยกศพเตียงที่วางร่างของลั่นทมขึ้นรถของโรงพยาบาลไป เจ้าหน้าที่กระแทกเตียงแรงอย่างไม่ปรานีปราศรัย
“โอ๊ย เบาๆ สิ เจ็บนะ” ลั่นทมโวย
ชีพหันมาบอกทุกคน “ทุกคนกลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวจะต้องรีบไปที่วัดกัน”
“ผมจะช่วยติดต่อทางวัดให้ครับ นำศพไปวัดเหนือใช่มั้ยครับ”
“ก็ใกล้บ้านที่สุดแหละ”
“คุณชีพยังบาดเจ็บอยู่ ผมว่าไปพักผ่อนที่บ้านก่อนดีกว่าครับ”
“ขอบใจมากนะรินทร์...ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้นักหรอก...นี่ก็ยังงงๆอยู่เลยว่าเกิดอะไรขึ้น...ลั่นทมตายไปแล้วผมจะอยู่ยังไง”
รสสุคนธ์เมินหน้าไปทางอื่นด้วยความรู้สึกแสลงใจ เจ้าหน้าที่จะปิดประตูรถขนศพอุษาร้องห้าม
“อย่าเพิ่งค่ะ ดิฉันจะไปกับคุณน้า”
เจ้าหน้าที่มองอย่างงงๆ อุษาไม่ใส่ใจ เธอก้าวขึ้นไปบนรถแล้วจับมือลั่นทม ทุกคนมองอย่างตะลึง ธารินทร์รีบเดินไปที่รถของตน
รสสุคนธ์พูดเบาๆ “หมั่นไส้”
รถทั้งสองคันแล่นไป หวานกับสวาทก็สะอื้นออกมาอีกครั้ง
“น้าจะร้องทำไม ยังไงคุณผู้หญิงก็คงไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว” รสสุคนธ์ว่า “กลับบ้านแล้วตั้งสติ ช่วยกันจัดงานศพให้สมเกียรติคุณผู้หญิงดีกว่า...น้าฉ่ำ ขับรถให้คุณผู้ชายสิ ไม่เห็นเหรอว่าท่านบาดเจ็บอยู่”
ฉ่ำตกใจเพราะรับมุขไม่ทัน “เอ้อ...ครับ...”
ชีพส่งกุญแจให้ฉ่ำ รสสุคนธ์เดินตามชีพไปที่รถท่ามกลางสายตาของทุกคน รสสุคนธ์นั่งคู่กับชีพที่เบาะหลัง รถเคลื่อนออกไป รสสุคนธ์หันมองมองทุกคนด้วยสายตาของคนที่เหนือกว่าและมีแววเยาะอย่างเห็นได้ชัด
ชีพนั่งรถมองตรงไปข้างหน้าครุ่นคิด เขามีท่าทางยังอิดโรยเคียงคู่กับรสสุคนธ์ที่เบาะหลัง รสสุคนธ์คอยดูแลชีพ ชีพไม่ค่อยแน่ใจนักว่าตนเองทำถูกต้องแล้วหรือไม่ที่ไม่เชื่ออุษา รสสุคนธ์พูดจาเหมือนปรึกษา แต่ในใจกลับคิดตรงข้าม
“น่าจะมีการผ่าศพพิสูจน์นะ รสก็อยากทราบว่าคุณผู้หญิงเป็นอะไรตาย”
ฉ่ำแอบมองทั้งคู่ในกระจกมองหลังแล้วกดตาลงต่ำ รสสุคนธ์เคลื่อนมือไปแตะหลังมือชีพที่วางข้างตัว
“หมอเขาว่าตายแล้ว ไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีก”
รสสุคนธ์ตัดพ้ออย่างงอนๆ “ก็ถ้าฟื้นขึ้นมา คุณคงดีใจสินะ”
“แค่ฉีดยากันศพเน่า ลั่นทมก็ฟื้นขึ้นมาไม่ได้แล้ว ต่อให้เทวดาลงจากสวรรค์มายังช่วยอะไรไม่ได้เลย”
รสสุคนธ์ตื่นเต้น “อุษาไม่รู้เรื่องนี้เหรอคะ”
“ตกใจเลยไม่ทันคิดมั้ง”
รสสุคนธ์ยิ้มมุมปาก “แต่หมอฉีดแล้วแน่นะคะ”
“ถ้าไม่ฉีด เขาคงไม่ให้เอาศพออกจากโรงพยาบาลหรอก”
รสสุคนธ์เขยิบเข้าใกล้ มือที่วางอยู่บนมือชีพกุมแน่นขึ้น เธอกระซิบเบาๆ
“คุณรู้มั้ยตอนที่คุณไปเที่ยวกัน รสแทบขาดใจตาย...คิดถึงคุณ แล้วก็น้อยใจจนอยากฆ่าตัวตาย”
ชีพสบตารสสุคนธ์ ฉ่ำมองทางกระจกมองหลังด้วยสายตาตื่นๆ แต่ก็พยายามมองไม่เห็น
“รสไม่มีชุดดำสวยๆ เลยค่ะ...กลัวว่าจะไม่สมเกียรติเมียคุณ”
หวานยืนร้องไห้อยู่หน้ารูปถ่ายของลั่นทม
“คุณผู้หญิงเจ้าคะ ทำไมด่วนหนีหวานไปล่ะคะ ต่อไปหวานจะรับใช้ใคร...โธ่ คุณผู้หญิง”
สวาทเข้ามาทางด้านหลัง “คงไม่เป็นไรหรอกมั้งแม่หวาน” สวาทพูด หวานหันมา “คุณผู้หญิงคนใหม่คงชูคอให้รับใช้ในไม่ช้า...แม่หวานคงได้ดิบได้ดีมีวาสนาได้นั่งเป็นคุณนายกับเขาก็คราวนี้แหละ”
“แม่หวาด...พูดอะไร”
“ก็พูดในสิ่งที่แม่หวานรู้ดีไง..บอกไว้ก่อนนะ ฉันไม่มีวันก้มหัวให้นังเด็กเมื่อวานซืนหรอก”
“เด็กเมื่อวานซืน”
“ก็หลานแม่หวานไง ไม่รู้หรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้..” สวาทมองไปที่รูปถ่ายของลั่นทม “หวังว่าแม่หวานคงไม่ทำให้คุณผู้หญิงเสียใจนะ อย่าลืมว่าคุณผู้หญิงท่านรักแม่หวานมาก...แม่หวานก็รู้ดีไม่ใช่เหรอ”
“สวาท...ฉัน...ไม่”
สวาทไม่ฟัง เธอเดินออกไปทันที ยาใจกับจิ้มลิ้มกำลังแอบมองอยู่ หวานที่หันหลังให้สะอื้นจนแผ่นหลังสะเทือน
“คุณผู้หญิงเจ้าขา อิฉันจะไม่ยอมให้มันเนรคุณต่อคุณผู้หญิงได้หรอกเจ้าค่ะ”
จิ้มลิ้มกับยาใจรีบก้าวตามไปจนทันสวาท
“น้าหวาดพูดจริงเหรอ...เรื่องที่...” จิ้มลิ้มสนใจ
สวาทหันมา “หรือเอ็งสองคนอยากจะเป็นข้าสองเจ้า บ่าวสองนายก็ตามใจเอ็ง....แต่ข้า...ขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะโว้ยว่า...ไม่...ส่วนเอ็งสองคนจะตัดสินใจยังไง มันก็เรื่องของเอ็ง”
“โอ๊ย ไม่เอาด้วยหรอก...ขืนรับใช้นังรส มีหวังเป็นข่าวหน้าหนึ่งแน่...” ยาใจบอก
“ข่าวอะไรนังยา...”
“ได้ตบมันฟันร่วงทั้งปากน่ะสิ”
“ข้ากลัวว่าพอมันเอาเงินมากองตรงหน้า เอ็งสองคนก็พร้อมไปเป็นขี้ข้าเขาแล้วน่ะสิ”
“ถ้านังรสได้เป็นคุณผู้หญิงของบ้านขึ้นมาจริงๆ นังยาลาออก”
“แล้วใครจะอยู่ดูแลคุณอุษา คุณผู้ชายอีก...งั้นเอางี้ถ้านังรสได้เป็นคุณผู้หญิงจริงๆ เราลาออก”
“แต่ถ้ามันยังไม่เป็น เราก็จะอยู่คอยสมน้ำหน้ามัน ตกกระป๋องวันไหน แม่กระทืบซ้ำวันนั้นเลย”
จิ้มลิ้มกับยาใจพยักหน้าเห็นด้วย สีหน้าของแต่ละคนหนักแน่น
หมอผันพูดกับธารินทร์ด้วยสีหน้าเครียด
“เวรกรรมนี่มันหนีกันไม่ได้เลยเหรอ...”
“แต่อุษาก็ยังเชื่อว่าคุณนายลั่นทมจะฟื้นขึ้นมาอีกนะพ่อ”
ผันมองหน้าธารินทร์ “เคยได้ยินเหมือนกันนะ คนตายแล้วจู่ๆ ก็ฟื้นขึ้นมา”
“พ่อคิดว่าจะเป็นไปได้เหรอ...”
“โลกนี้มีอะไรแน่นอนบ้างล่ะ...รินทร์”
ต้อยติ่งที่แต่งชุดนักเรียนเข้ามาไหว้หมอผันและธารินทร์
“จ้า...กลับมาเหนื่อย ๆ ไปอาบน้ำไป....เดี๋ยวพ่อกับพี่จะต้องไปงานศพ” ธารินทร์บอก
“ศพใครเหรอพ่อ..” ต้อยติ่งถาม
“คุณนายลั่นทม...” ผันตอบ
ต้อยติ่งตกใจ “คุณนายคนสวยที่ใจดี เอาขนมให้หนูต้อยติ่งกินน่ะเหรอพ่อ”
“นั่นแหละ...จะไปหรือจะอยู่เฝ้าบ้านคนเดียวล่ะ”
ต้อยติ่งมองกราดไปทั่วบ้านแล้วส่ายหน้ารัวๆ
หวานแต่งชุดไว้ทุกข์เตรียมจะออกจากบ้าน เธอร้องไห้จนตาบวมแล้วก็ชะงักมองเห็นรถที่ฉ่ำขับพาชีพกับรสสุคนธ์เข้ามาจอด ชีพกับรสสุคนธ์เดินเข้ามา รสสุคนธ์ถือถุงใส่ชุดดำมาด้วย รสสุคนธ์ส่งถุงให้สวาทซึ่งออกมาพอดีก่อนจะพูดธรรมดาๆ ไม่ได้วางอำนาจ
“รีดให้ด่วนเลยนะจ๊ะสวาท แล้วเอาขึ้นไปไว้ห้องคุณผู้ชาย”
ทุกคนตะลึง ชีพมองแล้วรีบขึ้นชั้นบนไปก่อน สวาทรับถุงมาอย่างงงๆ
หวานเดินเข้ามามองรสสุคนธ์เหมือนไม่เชื่อสายตา แต่รสสุคนธ์ไม่สน เธอหันไปทางยาใจที่แต่งดำเดินมากับจิ้มลิ้ม
รสสุคนธ์เรียกไว้ “เดี๋ยวยาใจ”
ยาใจหยุด รสสุคนธ์เอ่ยถาม “จะไปไหนกัน”
“จะไปวัดกับน้าหวาน” ยาใจบอก
“ไม่ต้อง! ยาใจเฝ้าบ้าน ให้สวาทกับจิ้มลิ้มไปช่วยที่วัด 2 คนพอ ทางโน้นพนักงานจากโรงงานไปกับเยอะแล้ว”
ยาใจหน้าซีด “น้าหวาน ให้หนูไปเถอะค่ะ หนูอยากไปช่วยที่วัด ไปกราบคุณผู้หญิงตอนลงโลงด้วย”
“ฉันให้อยู่บ้านก็ต้องอยู่ซิ” รสสุคนธ์บอก
จิ้มลิ้มไม่พอใจ “เอ๊ะ เธอมีอำนาจอะไรมาสั่ง”
“ใช่” หวานพูดกับรสสุคนธ์ “แกมีหน้าที่อะไรมาสั่งการฉอดๆ หือนังรส”
“เอาละถ้าโง่กันนักไม่มีใครรู้ก็จะบอกให้ว่าคุณชีพให้ฉันทำหน้าที่แทนคุณลั่นทม” รสสุคนธ์พูดเน้นคำว่าทำหน้าที่
ทุกคนตะลึง สวาทดึงชุดดำของรสสุคนธ์ออกมาจากถุงหน้าตาตื่น
“นี่มันเหมือนชุดของคุณผู้หญิงเลยนี่...”
รสสุคนธ์พูดกับทุกคนเรียบๆเรื่อยๆ ไม่มีอาการเกรี๊ยวกราด
“ชุดฉันเองแหละมีปัญหาอะไรหรือ”
“อ้าว ชุดหล่อน แล้วทำไมถึงให้ฉันเอาไปไว้ที่ห้องคุณผู้ชาย” สวาทงง
“ฉันจะขึ้นไปแต่งตัวที่ห้องคุณผู้ชาย..สั่งให้รีด ก็รีบไปรีดเร็วๆ ซียะแม่หวาด..อะไรพูดแค่นี้ยังไม่เข้าใจกันอีกสมองเป็นอะไรกันไปหมดฮะ” รสสุคนธ์หัวเราะเยาะ “หรือว่าตะลึงกับข่าวใหม่ที่เพิ่งได้ยิน รู้แล้วก็รีบไปทำงานก่อนที่จะไม่มีงานทำ...ไป๊”
สวาทมองหน้ารสสุคนธ์อย่างแค้นเคืองแต่ก็ไม่กล้าแสดงออก หวานอดรนทนไม่ได้จึงลากรสสุคนธ์ไปทางห้องพักของตน
“มานี่ซิ..นังรส...”
คนอื่นๆมองตามอย่างตกตะลึง ฉ่ำที่ยืนมองอยู่แล้วพูดเบาๆ
“ก็เป็นอย่างที่พวกเราคิดกันนั่นแหละวะ..วาสนาเขาดี”
“ดีจริงก็ต้องไม่แย่งผัวชาวบ้านเขาสิ” สวาทว่า
อ่านต่อหน้า 2
สุสานคนเป็น ตอนที่ 3 (ต่อ)
หวานฉุดรสสุคนธ์ให้เข้ามาในห้องนอน โดยที่รสสุคนธ์ไม่สะทกสะท้าน แต่ก็หงุดหงิดกับหวานเล็กๆ
“อะไรกันน้าหวาน”
“กล้าดีขึ้นไปครอบครองห้องคุณผู้หญิงแล้วเรอะ ศพยังคาวัดอยู่เลย...ถ้าริจะหน้าด้านก็ให้งานศพผ่านไปก่อนไม่ได้รึไงวะ” หวานว่า
“น้าหวานพูดยังงี้แสดงว่าเข้าข้างฉันใช่มั้ย...ถึงแนะนำไม่ให้ฉันทำอะไรผลีผลาม...โอ๊ย ฉันรักน้าหวานจัง”
รสสุคนธ์ยิ้มแล้วกอดหวาน แต่หวานสะบัดและผละออก
“อย่ามาถูกตัวข้า...นังรส แกมันชั่วช้าหาที่เปรียบไม่ได้หน้าด้าน...”
“ใครว่าหนูหน้าด้าน หนูทำให้คุณชีพมีความสุขต่างหากนังลั่นทมตายไปแล้ว...คุณชีพเขายังหนุ่ม คิดว่าเขาจะกอดศพให้เน่าตามกันไปรึไงยังไงเขาก็ต้องมีเมียใหม่อยู่ดี...น้าอย่าทำเป็นศีลธรรมจัดหน่อยเลย หัดจำตอนที่น้าต้องล้างจานให้มัน เทกระโถนให้มันบ้างสิ”
“นังเนรคุณ” หวานด่า
“น้าจะว่ายังไง ฉันก็ไม่แคร์ ฉันไม่มีวันจะกลับไปทำงานโรงงานหรือเข็นกับข้าวขายเหมือนตอนเด็กๆ อีกแล้ว”
รสสุคนธ์เดินไป หวานร้องไห้แล้วตะโกนตามหลังไป
“สักวันกรรมจะต้องตามสนองแกนังรส...”
รสสุคนธ์เดินเข้ามาในห้อง ชีพแต่งตัวเสร็จแล้วแต่ยังมีรอยแผลอยู่
“สวาทเอาชุดที่ให้รีดมาหรือยัง” รสสุคนธ์กวาดตาดู “ทำอะไรช้านัก”
“ลั่นทมเพิ่งตาย เธออย่าเพิ่งแสดงอะไรมากนัก คนเขาจะมองเราว่าร่วมมือทำฆาตกรรมลั่นทมก็ได้...ฉันว่าเธออย่าเพิ่งขึ้นมาใช้ห้องนี้เลย”
รสสุคนธิ์นิ่งอึ้งและยอมตามที่ชีพพูด
“ก็ได้ค่ะ...รสลืมไป...รสมาทีหลัง รสเข้าใจดี ยังไงรสก็ไม่สามารถแทนเมียคุณได้...คุณยังอาลัยอาวรณ์เมียคุณอยู่ที่รสต้องการเข้ามาในห้องนี้ก็เพราะเห็นว่าคุณบาดเจ็บ อยากมาดูแลคุณ...อีกอย่างเรื่องของเรา สักวันคนอื่นก็ต้องรู้”
รสสุคนธ์กอดชีพอย่างเศร้าสร้อย เธอซบใบหน้ากับแผ่นอก ชีพทนแรงปรารถนาไม่ไหวจึงก้มลงจูบเรือนผมและกอดรสสุคนธ์ รสสุคนธ์เงยหน้า ทั้งสองสบตากัน
ลั่นทมนอนอยู่บนเตียงเตี้ยๆ สำหรับรดน้ำศพ อุษาที่อยู่ไม่ห่างลั่นทมบอกกับสัปเหร่อที่ช่วยจัดแจงความเรียบร้อยอยู่ไม่ห่าง
“ช่วยเลื่อนคุณน้าขึ้นมาหน่อยค่ะ”
สัปเหร่อมองอย่างงงๆ “ตะกี้นี้ก็ว่าวางดีแล้วนะ แล้วทำไมถึงเลื่อนมาได้”
สัปเหร่อจับศีรษะลั่นทมเลื่อนขึ้นอย่างไม่ระวังว่าจะกระเทือน
“เบาๆ สิคะ คุณน้าเจ็บ”
สัปเหร่อมองหน้าอุษา
“ไม่เจ็บละครับ ตายไปแล้ว ไม่เจ็บหรอก”
อุษามองลั่นทมอย่างอาลัยอาวรณ์ “คุณน้า...ลุกขึ้นมาสิคะ...ลุกขึ้นมา...คุณน้าต้องสู้นะคะ”
ลั่นทมพยายามลุกขึ้นแต่แล้วก็ต้องนอนลงไปเหมือนเดิม
“น้าพยายามแล้วอุษา...ช่วยน้าด้วย อย่าให้ใครทำอะไรน้าได้นะ น้ากลัว น้ายังไม่อยากตาย” ลั่นทมพูด
ธารินทร์นำต้อยติ่งกับหมอผันเดินเข้ามา ต้อยติ่งมองดูศพของลั่นทมแล้วก็น้ำตาไหล ต้อยติ่งเข้าไปกราบลงที่เตียง
“วันก่อนคุณน้ายังบอกว่าถ้ากลับมาจะซื้อขนมมาฝากต้อยติ่ง วันนี้คุณน้ามาตายซะแล้ว”
“ต้อยติ่งออกมา” หมอผันบอก
ธารินทร์เข้าไปใกล้อุษา “ไปพักเถอะ เดี๋ยวแขกก็จะทยอยมาแล้ว” ธารินทร์มองดูหน้าลั่นทม “แต่งหน้าศพหน่อยมั้ย”
“อย่าใช้คำว่าศพสิคะ...” อุษาว่า
หมอผันเดินมานั่งข้างๆ
“หนูอุษา...หักห้ามใจซะเถอะ คนเราก็แค่นี้แหละ เกิดแล้วก็ต้องตาย ไม่มีใครหนีพ้นหรอก”
อุษาไม่ตอบ ธารินทร์พูดต่อ
“ษาเชื่อว่าคุณน้าลั่นทมยังไม่ตาย อาจจะฟื้นขึ้นมาเหมือนคราวก่อนน่ะพ่อ..”
สัปเหร่อมองดูทุกคนโดยแอบฟังด้วยสีหน้างงๆ เขาพูดเบาๆ
“เคยตายแล้วฟื้นด้วยเหรอวะ ถึงว่า...”
ชีพกับรสสุคนธ์เดินเข้ามา ตามมาด้วยฉ่ำและหวาน ชีพยังมีบาดแผลและร่องรอยอยู่
“จัดเตรียมเครื่องดื่มรับแขกที่จะมารดน้ำศพด้วยนะ แล้วจัดอาหารสำหรับพวกจะมาฟังสวดค่ำนี้ด้วย..ฉ่ำไปเซ็นขอยืมถ้วยจานชามของทางวัดมาแล้วเรอะ” ชีพถาม
สวาทกับจิ้มลิ้มเดินเข้ามา ฉ่ำตอบ “เรียบร้อยแล้วครับ น้าหวานจัดการแล้ว”
“สวาทจิ้มลิ้มช่วยหวานเตรียมอาหารนะ” ชีพสั่ง
วิเวกกับสมพรเดินเข้ามา
“วิเวกสมพรจัดการเรื่องของถวายพระ เตรียมหรือยัง”
“คุณธารินทร์สั่งมาแล้วครับ” สมพรตอบ
วิเวกกับสมพรเดินไป รสสุคนธ์สั่ง “เอ้า แยกย้ายกันไปทำงานสิจะยืนกันอยู่ทำไม”
หวานหมั่นไส้รสสุคนธ์เต็มที่จึงพาจิ้มลิ้มกับสวาทเดินไปทางหนึ่งเพื่อลงมือทำงาน ชีพมองหาอุษา รสสุคนธ์หันมามอง “หาใครคะ”
“อุษา” ชีพตอบ
รสสุคนธ์พยายามรักษาท่าทีไม่กระฟัดกระเฟียด แม้จะไม่พอใจที่ชีพถามถึงอุษา
“อยู่กับศพในศาลานั่นไง”
รสสุคนธ์บอก
สัปเหร่อถามอุษา
“นี่ยังไม่ได้ฉีดยาเหรอครับ”
“ค่ะลุง ลุงอย่าบอกใครนะ” อุษาบอก
อุษาคอยนั่งจับมือลั่นทมอยู่ตลอดเวลา สัปเหร่องง
ชีพเดินเข้ามา “อ้าว อุษา นี่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าอีกเหรอ เดี๋ยวแขกก็จะมากันแล้ว จะได้ช่วยกันรับแขก”
รสสุคนธ์เข้ามามองอุษาอย่างไม่พอใจ
“ให้คนอื่นช่วยเถอะค่ะ ษาจะอยู่เฝ้าคุณน้า” อุษาบอก
ธารินทร์มองอุษาอย่างอ่อนใจเพราะไม่รู้จะทัดทานอย่างไร
รสสุคนธ์พูดกับอุษาแบบค่อนข้างสุภาพ “คนตายไปแล้วนะคะคุณอุษา กรุณาหักใจเสียเถอะค่ะ ทำอะไรต่างจากคนอื่นเดี๋ยวก็ถูกมองว่า..”
อุษามองรสสุคนธ์แว่บหนึ่งด้วยความรังเกียจแล้วเมินมองมาทางลั่นทมตามเดิมโดยไม่มีทีท่าว่าจะปฏิบัติตามคำบอกของชีพ หวานเข้ามารั้งรสสุคนธ์ออกจากบริเวณนั้น
“มานี่...นังรส...”
หวานพารสสุคนธ์มา
“อย่าเสนอหน้ามากนัก ถ้าคุณผู้หญิงยังไม่ตายขึ้นมาจริงๆละก็เท่ากับแกกำลังเจตนาฆ่าเชียวนะ” หวานว่า
รสสุคนธ์มองหวานด้วยสายตาเย็นชา
“ให้เกียรติรสหน่อยค่ะน้าหวาน นี่รสกำลังทำตัวสุภาพเป็นคุณผู้หญิงแล้วนะ ให้กำลังใจกันหน่อย”
หวานกระซิบเบาๆ “เกียรติแกมันไม่มีเลยละซีถึงต้องเรียกคนนั้นคนนี้มาให้กำลังใจ”
รสสุคนธ์เชิดหน้า “เมื่อก่อนไม่มีแต่เดี๋ยวนี้กำลังจะมี..มากเสียด้วย”
รสสุคนธ์ยิ้มหยันอย่างไม่สนใจคำด่าของหวาน
“จำไว้อย่างนะนังรส..พระจะไม่มีวันเข้าข้างคนมักได้อย่างแก”
“แล้วน้าจะได้เห็น”
อุษามือจับมือลั่นทมไว้ ในขณะที่อีกมือตักน้ำในขันเล็กๆ ส่งให้แขกผู้ใหญ่ทยอยกันเข้ามารดน้ำศพลั่นทม เงาของลั่นทมพยายามดิ้นรนบ่ายเบี่ยง
“ฉันยังไม่ตายมารดน้ำฉันทำไม..โอย ใครก็ได้ช่วยฉันที”
ในตอนแรกแขกเหรื่อยังไม่แปลกใจกับการที่อุษานั่งจับมือลั่นทม แต่เมื่อเห็นอุษาก้มลงกระซิบกับลั่นทมก็ถึงกับชะงัก
“น้ำเย็นนะคะคุณน้า น้ำเย็นๆ อาจทำให้คุณน้ารู้สึกตัว” อุษากระซิบบอก
แขกผู้ใหญ่มองอุษาอย่างหวาดๆ แล้วส่งขันคืนก่อนจะรีบกลับออกมา ธารินทร์มองอุษาด้วยความกลุ้มใจ เขาอยากจะห้ามไม่ให้อุษาพูดกับศพแต่ก็ไม่รู้จะห้ามอย่างไรจึงรุนให้ต้อยติ่งเข้าไปนั่งข้างๆอุษาตักน้ำส่งให้แขกที่มารดน้ำ หมอผันมองลั่นทมอย่างสนใจเพราะมีความเชื่อเหมือนกันว่าลั่นทมจะฟื้น
หมอผันกระซิบกับธารินทร์ “ดูๆ ไปหน้าตาคุณนายก็เหมือนคนยังไม่ตายนะ”
สายสมร หัวหน้าแผนกตรวจสอบซึ่งเป็นหัวหน้าโดยตรงของรสสุคนธ์เดินเข้ามา รสสุคนธ์เข้ามายิ้มให้ ท่วงทีลีลาที่เคยสยบยอมสายสมรบัดนี้ได้เปลี่ยนไป
“เชิญค่ะ..คุณพี่สายสมร..พรุ่งนี้รสคงไปทำงานไม่ได้จัดคนทำแทนให้รสด้วยนะคะ”
สายสมรเกือบสะดุ้งในการเปลี่ยนแปลงของรสสุคนธ์ แต่ก็ไม่อยู่ในเวลาที่จะมาพูดจาอะไร เธอรีบไปทางมุมรดน้ำศพแต่มองรสสุคนธ์ตาเขียว รสสุคนธ์บ่นเบาๆ
“พูดด้วยก็ไม่ยอมพูด ฝากไว้ก่อนเถอะ”
สายสมรเดินเข้าไปที่บริเวณรดน้ำศพแล้วไหว้ลั่นทม เธอรับขันมาจากอุษาแล้วรดน้ำศพ สายสมรหน้าเศร้าน้ำตาคลอ ส่วนรสสุคนธ์ที่นั่งอีกมุมมีสีหน้าอิ่มเอิบ หวานมองดูแล้วเร่เข้ามาดึงแขนหลานสาวไปยังมุมที่ไม่มีใคร
หวานดึงตัวรสสุคนธ์มาด้วยความหมั่นไส้ไม่พอใจอย่างถึงที่สุด
“ท่าทางแกตอนนี้เหมือนคางคกขึ้นวอไม่มีผิด ฉันอยากให้คุณผู้หญิงฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นัก” หวานว่า
“ขืนฟื้นก็กลายเป็นซอมบี้เท่านั้นเองซีจ๊ะน้าจ๋า” รสสุคนธ์ว่า
“ไม่ต้องดัดจริตมาจ๊ะมาแจ๊ะกะข้านังรส..อดไม่ไหวเดี๋ยวแม่ยันโครมเข้าให้”
หวานกระซิบแล้วผละไป รสสุคนธ์ทำไม่รู้ไม่ชี้แต่มีสีหน้าอิ่มเอิบ เธอเดินวางท่าไปทางชีพซึ่งนั่งคุยกับแขกอยู่ที่มุมหนึ่ง
การรดน้ำศพสิ้นสุดลง สัปเหร่อคลี่ม่านไม้ที่ตั้งให้ปิดกั้นเต็มบริเวณ
“ต้อยติ่งออกไปได้แล้ว ไปอยู่ข้างนอกไป” ธารินทร์ว่า
“หนูจะดู” ต้อยติ่งบอก
“ไม่ได้ อย่าดูเลยต้อยติ่ง ตอนนี้เค้าจะมัดตราสังข์เอาศพลงโลงแล้วออกไป” ผันบอก
“ออกไปสิ”
ต้อยติ่งจำต้องออกไป ขณะที่อุษายังจับมือลั่นทมอยู่ตลอดเวลา
“หนูอุษาออกไปด้วยสิ..” ผันบอก
“ไม่ค่ะ ษาไม่ไปไหนทั้งนั้น”
สัปเหร่อหันไปหยิบผ้าสีขาวมาคลี่
“แต่เขากำลังจะมัดตราสังข์เอาลงโลง” ธารินทร์บอก
ลั่นทมนอนหลับตาดิ้นอึกอัก แต่จริงๆ ร่างของลั่นทมยังนิ่ง
“โอ๊ย..อย่าเอาฉันใส่โลงนะ ฉันกลัว”
อุษาเดินเข้ามาหาสัปเหร่อ “ลุงคะ ษามีอะไรจะพูดกับลุงค่ะ” อุษาหยิบเงินออกมาปึกหนึ่ง
สัปเหร่อถึงกับอึกอักพูดไม่ออก ธารินทร์กับผันมองตากัน
อุษาและสัปเหร่อยืนอยู่ในมุมเงียบๆ ลับตาคนและค่อนข้างมืด ธารินทร์ยืนอยู่ใกล้ๆ มีสีหน้าอึกอัก สัปเหร่อมองดูอุษาอย่างงุนงง
“จะมัดตราสังข์ยังไงก็ตาม แต่ต้องให้หายใจได้” อุษาบอก
สัปเหร่อสะดุ้ง “แต่น้ำเหลืองจะไหล ส่งกลิ่นนะครับ แค่ 3 วันก็..”
“ถึงตอนนั้นฉันรับผิดชอบเอง พรุ่งนี้จะเอาเงินมาให้ลุงอีก”
“แต่..” สัปเหร่ออึกอัก
“ทำยังไงก็ได้อย่าให้คนรู้..ฉันคิดว่าคุณน้ายังไม่ตาย ลุงต้องช่วยฉัน ฉันกราบล่ะ” อุษาไหว้สัปเหร่อ “อย่ามัดให้แน่นให้มีอากาศหายใจ”
สัปเหร่อมองธารินทร์ ธารินทร์พยักหน้ากับสัปเหร่อ
“มีอะไรผมช่วยลุงเอง..ผมเป็นตำรวจ”
อุษาเดินมานั่งพักที่มุมหนึ่งในวัดแบบทั้งเหน็ดเหนื่อยและกังวล หมอวัฒนาเดินเข้ามานั่งข้างๆ แล้วส่งยาเม็ดเล็กๆ ให้ 1 เม็ด
“ยากล่อมประสาท”
อุษามองยาแล้วรับยาใส่ปากกลืนหน้าตาเฉย ธารินทร์ยื่นแก้วน้ำให้ อุษารับมาดื่มแล้วนั่งเซ็งอยู่ที่เดิม
“เชื่อหรือยังว่าคุณน้าตายแล้ว” วัฒนาถาม
อุษานิ่งคิดแล้วพูดพึมพำ“ไม่เชื่อค่ะ คนดีจะไม่มีวันตายง่ายๆ”
วัฒนามองอุษาอย่างอ่อนใจ ธารินทร์จับแขนอุษาอย่างเตือนสติ วัฒนามองแล้วส่ายหน้าช้าๆ
สัปเหร่อกำลังปิดฝาโลงเตรียมจะตอกตะปู อุษาเดินเข้ามาแล้วก็ตกตะลึง “อย่าลุง ไม่ต้องตอกแน่น บอกแล้วไงว่าให้แง้มไว้ให้คุณน้าได้หายใจบ้าง..”
คนอื่นๆ มองอุษาด้วยความแปลกใจแต่อุษาไม่สน สัปเหร่อรับคำส่งเดชเพราะรับเงินของอุษามาแล้ว
“อ้อ ครับๆ มันเคยชิน..”
สัปเหร่อขยับนิดหนึ่งแล้วตอก อุษาผินหน้าแล้วกลั้นสะอื้น แต่ก็กลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอไม่ได้ เมื่อเห็นสัปเหร่อตอกโลงดังโครมๆ ธารินทร์รั้งอุษาออกมา
“น้องษา..ออกมาเถอะครับ”
อุษายืนตะลึงไม่ยอมขยับเขยื้อนแล้วน้ำตาของเธอก็ไหลพราก
ลั่นทมนอนสงบนิ่งโดยถูกมัดตราสังข์แต่แหวกผ้าที่จมูกไว้ ลั่นทมนอนนิ่งแต่เสียงในความคิดของลั่นทมดังขึ้น
“ทำไมทำกับฉันยังงี้ ฉันยังไม่ตายนะ..ฉันกลัว..”
“ฉันอึดอัด” ลั่นทมแผดสุดเสียง “ปล่อยฉัน..ฉันกลัว”
ทุกคนกำลังฟังพระสวด อุษามองไปเห็นธารินทร์หิ้วกระเป๋าหนังใบใหญ่ ใส่ข้าวของสำหรับการงัดแงะโดยธารินทร์เองก็ยังไม่รู้เจตนาของอุษา ธารินทร์หายเข้าไปที่มุมหนึ่งของศาลา
ธารินทร์ลังเล แต่เห็นว่านี่เป็นบริเวณที่ไว้สำหรับชิ้นส่วนโลงศพจึงไม่น่าจะมีคนเข้ามาง่ายจึงเริ่มมั่นใจว่าปลอดภัย อุษาลุกขึ้นก้มลงขออนุญาติแขกเหรื่อแล้วเดินไปหาธารินทร์
อุษารีบถามทันที “ได้ครบมั้ย”
“ครบ แต่คุณคงไม่ได้คิดจะทำอะไรผิดกฎหมายนะษา”
“ไม่ แต่อาจจะเฉียดๆ”
“เท่านี้ษาก็กำลังถูกมองว่าใกล้บ้าเต็มทีแล้วนะ”
“ก็ให้เขามองไปซีคะ”
“แต่ผมเป็นตำรวจ ษาอย่าลืม”
“ษากำลังช่วยชีวิตคน คุณตำรวจคิดว่าษาทำผิดหรือถูกล่ะคะ”
“แต่ว่า ถ้าการช่วยชีวิตแล้ว..”
อุษาสวนคำทันที “ษารู้ค่ะ..รับรอง ษาไม่ทำให้ใครเดือดร้อนแน่นอน”
อุษาเดินไปด้านหลังโลงศพแต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของหลายๆ คนที่มองอุษาด้วยความแปลกใจ ธารินทร์แทบจะหมดอาลัยตายอยากในพฤติกรรมของอุษา อุษามองไปที่โลงศพหวังว่าจะได้ยินเสียงเคาะมาจากในโลง
“คุณน้า ถ้าได้ยินษา เคาะส่งสัญญาณมาให้ษาบ้างนะคะ”
เงาของลั่นทมพยายามดิ้นรนอยู่ในที่คับแคบ
“เอาฉันออกไป” ลั่นทมได้ยินเสียงพระสวดแว่วๆ “ฉันยังไม่ตาย อย่ามาสวดฉัน...ทำไมฉันต้องเป็นโรคบ้าบอนี่ด้วย ใครก็ได้ช่วยฉันที...ฉันยังไม่ตาย ษาอยู่ไหน..ทำไม ฉันรู้สึกตัวแต่ขยับตัวไม่ได้เลย จะหายใจยังไม่มีแรง ฉันเป็นอะไร”
ลั่นทมยังนอนนิ่งอยู่ในโลงโดยมีผ้ามัดตราสังข์ โดยเปิดใบหน้าไว้หลวมๆ
ไกรวางกระเป๋าเอกสารไว้ที่กระโปรงหน้ารถแล้วหยิบเอกสารออกมาให้ชีพ รสสุคนธ์ชะโงกดูอย่างตื่นเต้น ไกรคอยสังเกตความใกล้ชิดระหว่างชีพกับรสสุคนธ์
“ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นมรดกตกทอดจากสามีเก่าคุณลั่นทมทั้งสิ้น..ซึ่งก็คงต้องเป็นของคุณชีพเพียงคนเดียว”
“แล้วอุษาหลานแท้ๆ ของสามีเก่าลั่นทมล่ะคุณไกร” ชีพถาม
“คุณลั่นทมเคยเปรยว่าจะเขียนพินัยกรรมยกทรัพย์สินบางอย่างให้คุณอุษา”
“แต่ยังไม่ทันเขียนก็มาตายเสียก่อนใช่มั้ยคะ งั้นก็ตัดอุษาออกไปได้ไม่ต้องพูดถึงอีกนะคะ และกรุณาอย่าแสดงความคิดเห็นใดๆ ด้วย”
ไกรมองตาขวาง ชีพรู้สึกว่ารสสุคนธ์จะล้ำเส้นเกินไป “รส..กลับไปฟังพระสวดในศาลาเถอะ”
รสสุคนธ์หน้างอและไม่ยอมขยับ “ขอเอกสารพวกนี้ได้ไหมคะ..รสจะศึกษาว่าจะดูแลให้คุณชีพยังไง”
“เอาไว้ไปดูที่บ้านเถอะจ้ะ” ชีพเสียงเข้ม “รส !”
รสสุคนธ์ไม่กล้าแสดงอาการอะไรออกมามากกว่านี้จึงผละไปด้วยความไม่พอใจ
ชีพออกตัว “เค้าห่วงเราไปหน่อย..เป็นเด็กอย่าไปสนใจเลย คุณไกร เรื่องทรัพย์สินคิดว่า คุณกลับไปประเมินราคาทรัพย์สินให้ครบทุกรายการก่อน ผมจะได้ดำเนินการรับงานต่อจากลั่นทมไม่ให้ขาดตอน”
ไกรอึดอัด เขามองไปที่ศาลาสวดศพก็เห็นรสสุคนธ์ยืนมองมา
“ครับ..อ้า ผมขอกราบศพ” ไกรบอก
“เชิญครับ คุณทนาย”
ไกรเข้ามาจุดธูปไหว้ศพลั่นทม แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นอุษาจ้องตาแป๋วมาจากด้านหลังโลงศพ
ไกรกราบศพเสร็จก็เดินเข้ามาหาอุษา อุษาไหว้ไกร
“เข้ามาทำอะไรอยู่ในนี้ครับ” ไกรถาม
“รอคุณน้าฟื้นค่ะ” อุษาบอก ไกรมองอุษาอย่างไม่แน่ใจว่าอุษาพูดเล่นหรือจริง “คุณน้าเคยแน่นิ่งเหมือนตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ได้ หลายครั้งแล้วค่ะ”
ไกรเห็นท่าไม่ดีก็เปลี่ยนเรื่องพูด
“แต่ก็ไม่เคยนานอย่างนี้ และธรรมดาก็ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุก่อน หลับไปอย่างนี้ด้วย น้าเป็นเพื่อนสนิทของคุณน้าของหนู..น้าจะพยายามพูดกับคุณชีพให้จัดหาทุนรอนให้หนูสร้างตัว.. หนูอย่าคิดอะไรมากเลยนะ”
รสสุคนธ์มองทั้งสองคนด้วยความสงสัย ธารินทร์ก็มองไปเช่นกันทำให้สายตาของธารินทร์ปะทะสายตากับรสสุคนธ์ รสสุคนธ์เชิดหน้า ส่วนหมอผัน ต้อยติ่ง และคนอื่นๆ ก็มองดูอุษากับไกร แต่ไม่ได้สนใจอะไร
“ถ้าคิดว่าหนูเสียสติมานั่งเฝ้าคุณน้าเพราะหวังแบบที่รสสุคนธ์เข้าใจ คุณน้าไกรเข้าใจผิดค่ะ..กรุณาออกไปเถอะค่ะ หนูไม่อยากให้ใครๆ สนใจเรา”
ไกรงงงันจนพูดอะไรไม่ออก แล้วเขาก็ล่าถอยกลับไป อุษามองไปทางโลงศพลั่นทมแล้วคอยเงี่ยหูฟัง
ชีพกำลังส่งแขก โดยมีรสสุคนธ์ยืนอยู่ใกล้ๆ พยายามจะให้ใครรู้ว่าตนมีความสำคัญ แขกเหรื่อที่มาลามองรสสุคนธ์อย่างแปลกใจ บางคนไม่พอใจแต่ก็ระงับกิริยา หวานรู้สึกอึดอัดอับอาย คนรับใช้อื่นๆกระซิบนินทากัน กลุ่มของสายสมรและคนงานไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรได้แต่มองรสสุคนธ์แล้วก็สบตากัน
ส่วนอุษานั้นยังอยู่บริเวณโลงศพกับธารินทร์ ต้อยติ่งและหมอผันทำให้แขกเหรื่อสงสารและแปลกใจ
ชีพรับไหว้ไกร “ถ้าว่างคืนพรุ่งนี้เชิญนะครับ”
“ผมอาจต้องไปคุยกับคุณชีพที่บ้าน” ไกรบอก
“ดีครับ ผมก็อยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างอีกหลายแห่ง ตอนหลังลั่นทมเขาลงทุนโน่นนี่ ผมเองก็ไม่ค่อยทราบ” ชีพว่า
“ครับๆ แต่” ไกรมองไปทางอุษา “คงต้องดูแลหลานคุณลั่นทมด้วย ผมว่าแกดูแปลกๆ”
รสสุคนธ์ยิ้มเยาะ “คุณลั่นทมยังไม่ได้ทำพินัยกรรมเลย อุษาก็เลยเสียใจกระมังคะ”
สายสมรเข้ามาลาชีพ “ขอบใจๆ พวกเราคงต้องมาทุกคืนนะ”
“ค่ะ”
“รีบกลับเถอะพี่สายสมร เดี๋ยวดึก พรุ่งนี้จะมาทำงานสาย”
สายสมรมองตาขวาง ชีพหันไปรับไหว้คนอื่นๆ รสสุคนธ์หันไปไหว้ลาแขกคู่กับชีพ สายสมรมองแล้วก็ส่ายหน้าเดินไป แขกเหรื่อทยอยกันกลับมาลาชีพ แต่รสสุคนธ์กันชีพไว้
“คุณชีพไปนั่งพักเถอะค่ะ คุณยังบาดเจ็บรสจัดการส่งแขกเอง” รสสุคนธ์ไหว้ “ขอบคุณมากนะคะ พรุ่งนี้อย่าลืมมานะคะ สวัสดีค่ะ...สวัสดีค่ะ... ขอบคุณมากค่ะ”
รสสุคนธ์เสนอหน้าส่งแขก ขณะที่ชีพหลบไปยืนอยู่มุมหนึ่ง หวานเดินมาหารสสุคนธ์
“นังรส ฉันมองดูแกมานานแล้วนะ มันจะออกนอกหน้าไปแล้วนะ กลับบ้าน”
“น้าหวานนี่ก็แปลก พอฉันช่วยงานก็หาว่าออกนอกหน้า พอไม่ช่วยก็หาว่าขี้เกียจหลังยาว ถามจริงๆ เถอะ ทั้งชีวิตคิดได้แค่นี้เหรอ”
“นังรส...”
รสสุคนธ์ไม่สนใจ เธอไหว้ส่งแขกต่อ
“ขอบคุณมากนะคะ...พรุ่งนี้เชิญอีกนะคะ”
รสสุคนธ์เดินมาหาชีพหน้าบ้าน ชีพมีสีหน้าไม่ดีนักพอรสสุคนธ์มาถึงก็พูดให้พอได้ยินกันสองคน
“ระงับกิริยาหน่อยสิรส..อย่าประเจิดประเจ้อมากนัก ชาวบ้านจะนินทาเอาได้”
รสสุคนธ์มองชีพอย่างงงๆ “คุณชีพกลัวชาวบ้าน..กลัวทำไมคะ”
“พวกชาวบ้านนับถือลั่นทมมาก หากพวกเขาเห็นเธอแสดงออกนอกหน้าแบบนี้ เขาจะว่าฉันได้ว่าคว้าเธอมาแทนที่ทั้งๆที่ศพยังคาวัดอยู่ ต่อไปเราจะทำอะไรลำบาก”
รสสุคนธ์นิ่งเงียบเพราะไม่กล้าคัดค้าน
“ฮึ ไม่ใช่พยายามกันรสออกให้ห่างแล้วเบียดบังเอาอะไรต่อมิอะไรไปให้อุษานะคะ”
รสสุคนธ์มองไปทางอุษา ชีพจะค้านแต่รสสุคนธ์พูดเสียงแข็ง
“รสเห็นนะ ว่าคุณมองอุษายังไง นึกว่ารสไม่รู้เหรอ..”
“เหลวไหล..” ชีพว่า
กลุ่มของอุษายังคงอยู่ข้างๆ โลงศพ ชีพเดินไปหา รสสุคนธ์มองตามไปอย่างแค้นเคืองก่อนจะเดินตามไป
ชีพถามอุษา “จะกลับกันรึยัง”
“ษายังอยากอยู่เป็นเพื่อนคุณน้า”
“คุณธารินทร์ต้องดูแลหน่อยนะคะ รู้สึกว่าสติคุณษาจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว...หรือพูดอีกอย่างว่า..ไม่ปกติ” รสสุคนธ์พูด
“รส..”
“ก็จริงนี่คะ ไม่เห็นเหรอว่าคนทั้งงานเขามองดูอุษายังไงรสเตือนด้วยความหวังดี กลัวคนจะหาว่าคุณอุษาเป็นบ้า...”
อุษาพูดเรียบๆ “ฉันยอมรับว่าฉันเสียสติ เพราะสงสารคุณน้าลั่นทม ฉันรู้ว่าคุณน้าลั่นทม” อุษามองชีพ “ถูกหักหลัง”
ชีพรีบตัดบท
“เห็นจะต้องกลับก่อนล่ะ เพราะแผลเริ่มระบมแล้ว คุณธารินทร์ฝากด้วยครับ”
ชีพเดินออกไปโดยผ่านหวาน สวาท และฉ่ำ
ชีพสั่ง “เสร็จแล้ว กลับบ้านได้ จะอยู่ทำไม...ไป ฉ่ำ..”
ฉ่ำรีบไปที่รถแล้วเปิดประตูรถให้ชีพ รสสุคนธ์ตามเข้าไปนั่งในรถ
สวาท ยาใจ จิ้มลิ้ม สมพร และวิเวกมองตาม
“ไม่ไปนั่งกับหลานสาวล่ะแม่หวาน”
“พอเถอะแม่หวาด ฉันจะปรามมันเอง”
ทุกคนเลยนิ่งไป หวานยืนซึม
อ่านต่อหน้า 3
สุสานคนเป็น ตอนที่ 3 (ต่อ)
ธารินทร์มองออกมาที่หน้าศาลาก็เห็นวิเวกกับสมพรยืนอยู่
“ลุงพร พี่เวกจะอยู่ทำไมอีกล่ะ..” ธารินทร์ถาม
“คุณอุษาบอกให้ผมอยู่ก่อนครับ คุณธารินทร์” สมพรบอก
ธารินทร์หันมามองอุษาเป็นเชิงถาม อุษาไม่ตอบแต่หันไปพูดกับวิเวกแทน
“พี่เวกไปส่งต้อยติ่งที่บ้านให้หน่อยจ้ะ”
“ไม่เอา ต้อยติ่งจะกลับพร้อมพี่ธารินทร์” ต้อยติ่งบอก
ผันพูดเบาๆ “พ่อยังไม่กลับโว้ย..ไปกับน้าเค้าแหละไป..พ่อมีธุระต้องทำ”
ธารินทร์งงหนักขึ้น เขาหันไปมองพ่อ “พ่อจะอยู่ทำอะไร”
ผันไม่ตอบ ธารินทร์สังหรณ์ใจมากขึ้นจึงหันไปถามอุษาอย่างเคร่งเครียด
“ษาคุณจะทำอะไร”
อุษาไม่ตอบแต่สีหน้าฉายแววตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
อุษา ธารินทร์ และผันยืนอยู่หน้าโลงศพลั่นทม
ธารินทร์ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “คุณจะเปิดโลงคุณน้าไม่ได้นะ”
อุษาพูดเสียงเครียด “ษาแน่ใจค่ะว่าคุณน้ายังไม่ตาย”
“เหลวไหลน่าษา คนตายแล้วไม่มีทางฟื้นได้หรอกน่า” ธารินทร์ว่า
ผันพูดแทรกขึ้น “เรื่องมหัศจรรย์มันเกิดขึ้นได้เสมอแหละ คนตายแล้วฟื้นมีให้เห็นตั้งเยอะไป”ธารินทร์อึ้ง อุษาอ้อนวอน “นะคะรินทร์ษาขอร้อง ขอให้ษาเปิดโลงคุณน้าเถอะค่ะป่านนี้คุณน้าคงทรมานแย่แล้ว...นะคะ”
ลั่นทมนอนนิ่งอยู่ในโลง แต่เงาของลั่นทมดีใจละล่ำละลัก
“ใช่..น้าทรมานเหลือเกิน น้าจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว ช่วยด้วยษา บอกพวกเขาทีให้ช่วยเปิดโลงให้น้า ช่วยเอาน้าออกไปที น้ายังไม่ตาย...ช่วยน้าด้วย”
ลั่นทมพยายามดิ้นสุดแรง
ธารินทร์ลังเลแต่สุดท้ายก็จำใจพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ อุษาดีใจมาก
“ขอบคุณค่ะ”
“ก็แค่นั้นแหละใจก็อยากจะช่วยแต่ทำแอ็คอยู่ได้” ผันว่า
ผันตบบ่าธารินทร์ก่อนเดินไปยืนหน้าโลง
“เอ้า...พวกเราลงมือ”
สมพร ผันและธารินทร์ช่วยกันยกหีบศพลงมาจากแท่น ธารินทร์เปิดกระเป๋าหนังหยิบชะแลงออกมายกขึ้นเตรียมงัด เสียงสัปเหร่อดังเข้ามาก่อนตัว
“หยุด”
ทั้งหมดชะงักเพราะตกใจ ทุกคนหันไปมองสัปเหร่อที่เดินเข้ามา
“พวกคุณจะทำอะไรเนี่ย”
ทุกคนงงจนยืนทำอะไรไม่ถูก สัปเหร่อเข้ามาแย่งชะแลงจากมือธารินทร์ อุษารีบขอร้อง
“ลุงคะ...หนู”
“พวกคุณถอยออกไป เรื่องเปิดโลงมันหน้าที่ผม ผมจัดการเอง” สัปเหร่อบอก
ทุกคนโล่งอก สัปเหร่อลงมืองัดโลงอย่างชำนาญส่วนปากก็พูดไปด้วย
“พวกคุณนี่ใจร้อนจัง รีบลงมือกันเองไม่ยอมรอผมเลย”
ลั่นทมนอนนิ่งอยู่ในโลงเหมือนเดิม แต่ในความคิดลั่นทมร้องไห้ด้วยความดีใจ
“ โอ..คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกแล้ว เร็วเข้าเอาฉันออกไปทีก่อนที่ฉันจะตายจริงๆษาได้ยินเสียงน้ามั้ย โธ่นี่มันอะไรกัน ฉันตะโกนขนาดนี้ทำไมไม่มีใครได้ยิน”
สัปเหร่องัดฝาโลงได้แล้วก็หยุดนิ่ง ทุกคนมองหน้ากันเพราะรู้สึกว่าบรรยากาศน่ากลัว อุษามีความหวัง ส่วนผันเข้าไปช่วยเปิดฝาโลง
“ทำไมมันเงียบเชียบยังงี้นะ” ผันว่า
“ก็ฉันตะโกนอยู่นี่ไง..” ลั่นทมพูดเสียงดัง “ช่วยด้วย”
เงาของลั่นทมดิ้นรนให้หลุดออกจากผ้ามัดตราสังข์ แต่ก็ไม่สำเร็จ เธอจึงนอนลงนิ่งสนิทเหมือนเดิม
อุษาเกาะโลงโผล่เข้าไปมองด้วยความดีใจ
“คุณน้าขา ษามาช่วยคุณน้าแล้ว..คุณน้าฟื้นซีคะ”
“ษา หลานมาช่วยน้าแล้ว เร็วๆ พาน้าออกไป น้ายังไม่ตายษาได้ยินมั้ยน้ายังไม่ตาย”
“คุณน้ารอเดี๋ยวนะคะ ษาจะช่วยคุณน้าเอง”
อุษาหยิบกรรไกรตัดผ้าที่พันหน้าลั่นทมออก ผ้าค่อยๆ หลุดออกทีละชิ้นจนเห็นใบหน้าของลั่นทมชัดเจน ใบหน้าของลั่นทมยังสดใสไม่มีเค้าของคนตาย
อุษาดีใจมาก “เห็นมั้ย” อุษาพูดกับธารินทร์ “หน้าตาคุณน้ายังสดใสอยู่เลย” อุษาทำท่าจะตัดสายสิญจน์โดยพูดกับลั่นทม “ษาตัดสายสิญจน์มัดมือออกนะคะ”
“อย่าเชียวนะคุณ อย่าตัดสายสิญจน์ เกิดคุณนายตายแล้วจริงๆ ตัดออกเกิดเรื่องแน่” สัปเหร่อเตือน
“แต่คุณน้าลั่นทมยังไม่ตายค่ะ ษาจะตัด..”
อุษาลงมือตัดสายสิญจน์ที่มัดร่างลั่นทมออก ลั่นทมนอนสงบนิ่ง
เงาของลั่นทมพยายามดิ้นรน
“ษา..ษาจ๋า ขอบใจมาก ษาช่วยให้น้าหายใจคล่องขึ้นหน่อยแล้ว รีบเอาน้าออกไปจากที่นี่เร็วๆ รีรออะไรอยู่ล่ะน้ากลัว”
อุษาจับมือลั่นทมไว้แล้วพร่ำบอกกับลั่นทม
“คุณน้าคะ ได้ยินษามั้ยคะ ลุกขึ้นอย่างที่เคยมาแล้วซีคะ”
มือลั่นทมที่อยู่ในมืออุษานิ่งสนิทไม่มีทีท่าว่าจะขยับ
“พยายามหน่อยค่ะคุณน้า กระดิกนิ้วซักนิ้วก็ยังดี”
อุษาถึงกับน้ำตาไหลอด้วยความผิดหวัง
“โธ่ษา น้าทำแล้วทำอยู่นี่ไงแต่มันไม่กระดิกเลย” ลั่นทมบอก
ทุกคนเศร้า สัปเหร่อพูด “ปิดฝาโลงเถอะ เดี๋ยวเจ้าอาวาสมาเห็นเข้าจะยุ่งคุณก็เห็นแล้วว่าศพไม่ฟื้นแน่..”
“คุณน้าคะ..ษาพยายามแล้วนะคะ พยายามอย่างที่สุดแล้ว” อุษาร้องไห้ “ทำไมคุณน้าไม่พยายามละคะ คุณน้าโธ่...คุณน้า”
ธารินทร์เข้ามาประคองอุษาออกห่างจากโลงอย่างน่าสงสาร
“พอเถอะครับษาอย่ารบกวนคุณน้าอีกเลย ท่านไปสบายแล้ว”
ในความรู้สึกของลั่นทม ลั่นทมดิ้นรน “ไม่..ไม่นะอย่าเพิ่งทิ้งน้าไป อย่าไป อย่าปิดฝาโลงพาฉันไปด้วย ฉันยังไม่ตาย”
ลั่นทมนอนเฉย ผันมองดูอยู่ “ดูท่าแล้วคราวนี้คงตายจริงๆ ดูสิไม่มีทีท่าจะฟื้นเลยเฮ้อปิดฝาโลงเถอะ”
ลั่นทมตะโกนก้อง
“อย่า อย่าพึ่งปิด อย่าพึ่งทิ้งฉันไปฉันกลัวอย่านะ อย่าปิด”
อุษาสะอื้นและยอมปล่อยให้ผันกับสัปเหร่อปิดฝาโลง
“ไม่ต้องตอกตะปูนะคะ ปล่อยไว้ยังงั้น” อุษาบอก
สัปเหร่อ ธารินทร์และหมอผันช่วยกันยกโลงศพไว้บนแท่นตามเดิม
“เอาฉันออกไป..อย่าทิ้งฉันไว้..ฉันกลัว” ลั่นทมตะโกน
สมพร สัปเหร่อ อุษา ผันและธารินทร์พากันล่าถอยออกมา
“ออกไปเถอะ อยู่นานแล้วเกิดท่านเจ้าอาวาสมาจริงๆ เรื่องจะไปกันใหญ่” ผันบอก
อุษามองโลงศพลั่นทมอย่างเป็นห่วงเป็นใยก่อนจะลาจาก
อุษาพูดปนสะอื้น “คุณน้าขา ษาไปก่อนนะคะ”
“อย่าทิ้งน้าอุษา อย่า..ช่วยน้า..น้ากลัวจะเป็นบ้าอยู่แล้ว กลับมาก่อนกลับมา”
ทุกคนพากันเดินออกมา เสียงลั่นทมเบาลงเรื่อยๆ
ชีพเปิดกล่องใส่เพชรนิลจินดาของลั่นทมให้รสสุคนธ์ดู รสสุคนธ์ตะลึง
“โอ้โฮ ทำไมมันมากมายยังงี้คะ”
“ลั่นทมใช้เวลานานมากในการสะสมของพวกนี้”
รสสุคนธ์หยิบขึ้นมาสำรวจทีละชิ้นอย่างปลาบปลื้ม
“อุ๊ยตายอันนี้ก็สวย..อันนี้ก็สวย โอ๊ยสวยทุกอันเลย”รสสุคนธ์ชม้ายตามองชีพแล้วพูดเสียงหวานออดอ้อน “ชีพขาของพวกนี้”
ชีพพยักหน้า “จ้ะต่อไปมันจะเป็นของเธอ”
รสสุคนธ์โผเข้ากอดชีพด้วยความดีใจ “ขอบคุณค่ะขอบคุณมาก รสจะตอบแทนคุณชีพจะทำให้คุณมีความสุข...จะทำทุกอย่างที่คุณชีพต้องการ”
ชีพมองยิ้มๆ “ดี ถ้าอย่างนั้นฉันมีเรื่องจะขอร้อง”
“บอกมาได้เลยค่ะรสจะทำทุกอย่าง”
“ฉันอยากให้เธอลงไปอยู่กับแม่หวานก่อน”
“ทำไม...หรือว่าคุณคิดจะให้รสเป็นแค่เมียลับๆ รสไม่ยอมนะ”
ชีพถอนใจ “ไม่ใช่ยังงั้นแต่ฉันไม่อยากให้ใครนินทาเรา นี่เพิ่งจะคืนแรกเองถ้ารสรักฉันรสก็ต้องเข้าใจ”
รสสุคนธ์กระฟัดกระเฟียดก่อนจะหันข้างให้อย่างงอนๆ ชีพเชยคางรสให้หันกลับมา
“นะคนดี อย่าดื้อสิ” ชีพพูดเสียงแข็งขึ้น “ฉันไม่ชอบคนดื้อ”
รสสุคนธ์อึ้ง เธอรีบซบกับอกชีพแล้วต่อรอง “แต่...”
เสียงหวานดังขึ้น “นังรส นังรส”
“เห็นมั้ยน้าเธอมาตามแล้ว รีบไปเถอะ” ชีพว่า
รสสุคนธ์ขัดใจมองเครื่องเพชรอย่างลังเล
“ฉันบอกแล้วไงว่ามันเป็นของเธอ”
เสียงหวานดังขึ้นอีก “นังรส”
รสสุคนธ์จำใจลุกออกไปอย่างขัดใจ
ชีพหยิบเครื่องเพชรชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งขึ้นมามองด้วยสีหน้าพอใจก่อนจะยิ้มอย่างมีเลศนัย
หวานเดินมาเกือบถึงหน้าห้องและกำลังจะอ้าปากเรียกแต่ก็ชะงักเมื่อเห็นรสสุคนธ์เปิดประตูห้องออกมาอย่างไม่พอใจ หวานรีบวิ่งมากระชากตัวรสสุคนธ์ให้ถอยห่างออกมา รสสุคนธ์สะบัดออกอย่างรำคาญ
“นังรส..นี่แกเข้าไปทำอะไรในห้อง คุณผู้ชาย หา”
“โอ๊ยน้าหวานนี่ แกล้งโง่หรือโง่จริงๆกันนะ มิน่าถึงอยู่มาจนป่านนี้ไม่มีผัว หมูเขาจะหามดันเอาคานเข้ามาสอด”
“ศพคุณผู้หญิงยังอุ่นๆอยู่เลย แกทำได้ไงโอ๊ยฉันอยากจะตาย”
หวานตรงเข้ากระชากตัวรสสุคนธ์แล้วลากพากันกลับห้อง
“ไปนังหน้าด้าน กลับไปห้องกับฉันเดี๋ยวนี้”
รสสุคนธ์จำใจให้หวานลากไปอย่างรำคาญ
“จะอะไรกันนักหนานะน้าเนี่ย”
หวานลากรสสุคนธ์ไปและด่าไปตลอดทาง
ชีพเดินไปเดินมาคอยอุษาอยู่หน้าบ้าน เขาชะเง้อมองเห็นถนนเงียบ ชีพหงุดหงิด
“มัวไปทำอะไรกันอยู่ดึกป่านนี้แล้ว...”
แสงไฟหน้ารถธารินทร์แวบๆ ชีพจึงหันไปดูก็เห็นรถจี๊ปของธารินทร์แล่นเข้ามาไกลๆ ชีพมองด้วยสีหน้าไม่พอใจจึงหลบเข้ามุมมืดแอบดูอยู่ รถแล่นมาจอด อุษาลงจากรถ ธารินทร์ตามลงมาด้วย
“ขอบคุณมากค่ะรินทร์ รีบกลับไปเถอะค่ะ ดึกมากแล้ว” อุษาบอก
ธารินทร์เอื้อมมือจับแขนอุษาไว้
“สัญญาก่อนว่าจะนอนให้หลับ เลิกกังวลถึงคุณน้า” ธารินทร์บอก
อุษาน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ธารินทร์ดึงตัวเธอเข้ามากอดไว้
“ผมรู้ว่าคุณรู้สึกยังไง แต่คุณต้องทำใจให้ได้นะครับ”
“ษายังไม่อยากเชื่อเลยค่ะรินทร์ว่าคุณน้าจะไม่ฟื้นอีกแล้ว”
“แต่ษาก็เห็นกับตาแล้ว”
อุษาเงยมองธารินทร์อย่างเศร้าๆ ธารินทร์จ้องอุษาอย่างรักมาก เขาทำท่าจะก้มลงมาจูบปลอบขวัญ
อุษาได้สติรีบเบี่ยงตัวออก
“ขอบคุณค่ะ คุณกลับเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเจอกันนะคะ”
ธารินทร์กลับไปขึ้นรถ อุษาโบกมือเศร้าๆ ธารินทร์โบกมือตอบแล้วขับรถออกไป ชีพมองตาขวางก่อนจะรีบเดินเร็วๆเข้าไปในบ้าน
อุษายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอีกครู่ก่อนจะหันกลับเดินเข้าบ้านอย่างเศร้าๆ
หวานผลักรสสุคนธ์ให้ล้มลงบนที่นอนแล้วถลาเข้ามาจะทำร้าย แต่รสสุคนธ์ยืดตัวขึ้นไม่กลัวแถมยังเชิดหน้าให้ตบ
“เอาเลยสิน้าหวาน...ถ้าคิดว่าตบฉันแล้วน้าจะรู้สึกผิดน้อยลงฉันยอมให้ตบเผื่อน้าจะสบายใจขึ้น”
หวานชะงัก “แกอย่าท้าฉันนะ” หวานยกมือจะตบ
“ตบเลย แต่บอกก่อนนะฉันยอมให้น้าครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ถือว่าเป็นการตอบแทนที่น้าพาฉันเข้ามาอยู่ที่นี่ทำให้ฉันได้กลายเป็นเจ้าหญิงอย่างไม่คาดฝัน ได้อยู่ปราสาทหลังใหญ่ มีสมบัติมากมายมหาศาลใช้ไปอีกสิบชาติก็ไม่หมด”
รสสุคนธ์หัวเราะสะใจ หวานลดมือลงอย่างแค้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“โธ่เอ๊ย...นี่ฉันพางูเห่าเข้ามาทำร้ายคุณผู้หญิงเองหรือนี่ นังหวานนะนังหวานไม่น่าเลย” หวานฟูมฟายยกมือไหว้ท่วมหัว “คุณผู้หญิงเจ้าขา ฉันขอโทษฉันไม่คิดไม่ฝันเลยว่านังรสมันจะกล้าเนรคุณข้าวแดงแกงร้อนของคุณผู้หญิง โธ่นังหวานจะทำยังไงดีทำยังไงดี”
รสสุคนธ์มองอาการของหวานด้วยความรำคาญ เธอยักไหล่แล้วลุกเดินออกไป หวานรีบกระโดดไปขวางแล้วถามเสียงกร้าว
“แกจะไปไหน”
“ฉันจะไปกินน้ำ”
หวานถอนใจลดแขนลง รสสุคนธ์เดินกระทบไหล่หวานไปแล้วหันมาพูดใส่หน้ายิ้มๆ
“แต่ถึงฉันจะไปหาคุณชีพ ต่อให้น้ากางแขนกางขาจนฉีกออกก็ขวางฉันไม่ได้หรอก”
รสสุคนธ์หัวเราะแล้วเดินออกไป หวานพึมพำด่าด้วยความเจ็บใจสุดๆ
อุษาเดินจะเข้าห้องส่วนตัว แต่ชีพออกมาขวางไว้
“อุ๊ย น้าชีพ มีอะไรหรือคะ”
“ทำไมกลับเอาดึกดื่นป่านนี้ ทำอะไรให้นึกถึงชื่อเสียงของคุณน้าลั่นทมบ้าง เดี๋ยวคนจะว่าพอน้าตายก็..”
“กรุณาไปเตือนรสสุคนธ์ของน้าชีพเถอะค่ะ”
ชีพรั้งอุษาเข้ามาโดยอุษาไม่ทันระวังตัว อุษาตกใจ
“ว้าย..ปล่อยนะ..”
“น้าไม่ได้รักรสสุคนธ์..อารมณ์ชั่ววูบพาไปเท่านั้น เธอต่างหากที่น้าแอบทุ่มเทหัวใจให้ให้มานานแล้วรู้ตัวบ้างมั้ย”
อุษาดิ้นรนสะบัดอย่างรุนแรงด้วยความรังเกียจ
เสียงรสสุคนธ์ดังขึ้น “อะไรกันน่ะ”
ชีพชะงักรีบปล่อยอุษา รสสุคนธ์เดินเข้ามา อุษารีบเปิดประตูเข้าห้องด้วยความโมโห รสสุคนธ์มองชีพอย่างไม่ไว้ใจ ชีพอึกอักแต่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเดินหนีไป
“คุณจะไปไหน ชีพ กลับมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน” รสสุคนธ์เดินไป
อุษาเข้ามาในห้องในสภาพตัวเนื้อสั่นระงับความตื่นเต้นจากการสัมผัสกอดรัดของชีพ
“เลวที่สุด” อุษาร้องไห้ “คุณน้าลั่นทมขา ษาสงสารคุณน้าจริงๆที่อยู่กับผู้ชายที่ไม่เคยซื่อสัตย์กับคุณน้าเลย”
อุษาเช็ดน้ำตา ในม่านน้ำตาอันพร่ามัวนั้น อุษาเห็นกล่องใส่เครื่องประดับกับห่อกระดาษวางอยู่
พร้อมโน้ตสั้นๆในการ์ดลงชื่อว่าชีพ อุษาหยิบขึ้นมาอ่าน
“ขอมอบเครื่องประดับชิ้นนี้ให้ษา น้าซื้อมาเองไม่ใช่สมบัติ ของลั่นทม และเงินอีกจำนวนหนึ่งสำหรับไว้ใช้จ่ายด้วยความปรารถนาดีอย่างแท้จริง”
อุษารีบวางกระดาษโน้ตแล้วหยิบกล่องขึ้นมาเปิดเห็นว่าเป็นสร้อยคอเพชรสวยงาม อุษาหยิบห่อกระดาษคลี่ออกเห็นธนบัตรใบละพันปึกใหญ่ปรากฏตรงหน้า อุษานิ่งอึ้งและยิ่งเคียดแค้นชีพ
“สารเลว..”
ชีพกำลังปัดป้องรสสุคนธ์ที่ระดมทุบชีพด้วยความหึงหวง
“นี่แน่ะๆๆคุณทำอย่างนี้ได้ยังไง”
ชีพจับมือของรสสุคนธ์ไว้ “อะไรกันรส..หา”
“มิน่าถึงไม่ยอมให้รสนอนในห้องอ้างโน่นอ้างนี่ที่แท้ก็คิดจะเข้าหาแม่หลานสาวนี่เองรสไม่ยอมหรอกไม่มีวันยอม”
“บ้าน่า ไม่มีอะไรอย่างที่เธอคิดหรอก”
“ไม่มี...แล้วที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับมันเมื่อกี้หมายความว่าไง”“ฉันแค่ดุ ยัยษาเรื่องที่เขากลับดึกว่ามันไม่เหมาะแถมไอ้ตำรวจนั่นยังจับมือถือแขน ยอมให้มันโอบกอดอีก ยัยษาไม่ฟังจะเดินหนีฉันก็เลยดึงตัวไว้ ก็แค่นั้น นี่เธออย่าหึงหวงอะไรไม่เป็นเรื่องแบบนี้ ฉันไม่ชอบ”
ท่าทีของชีพจริงจังจนรสสุคนธ์เริ่มลังเล
“เขาไม่ใช่หลานคุณซะหน่อย ทำไมคุณต้องสนใจขนาดนั้นด้วย”
“อุษาเป็นหลานลั่นทมก็เหมือนหลานฉัน อย่าทำเรื่องให้มันไม่เป็นเรื่องน่า ปวดแผลจะตายอยู่แล้วยังมาทำให้ปวดหัวอีก ฉันไปนอนดีกว่า ไร้สาระจริงๆ”
ชีพทำโมโหเดินปึงๆ ออกไป รสสุคนธ์ทำท่าคิดแต่ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
“คอยดูนะคุณชีพถ้าคุณคิดจะเคลมนังอุษาละก็ เป็นได้เห็นฤทธิ์ฉันแน่”
รสสุคนธ์สั่งการสวาท จิ้มลิ้ม และยาใจอยู่ในห้องรับแขกด้วยท่าทีพยายามให้เป็นคุณนาย
“ข้าวของส่วนตัวคุณผู้หญิงทั้งเสื้อผ้าเครื่องใช้ทุกชนิดกวาดใส่ลังให้หมดแล้วยกไปไว้ห้องเก็บของนะ”
จิ้มลิ้ม สวาท และยาใจยืนเฉยอยู่
“คุณชีพหายไปไหน พวกแกเห็นมั้ย” รสสุคนธ์ถาม
จิ้มลิ้มกับยาใจส่ายหน้า
“ไม่เห็น” สวาทตอบ
“ฉันก็ไม่เห็น” จิ้มลิ้มบอก
“ต่อไปนี้เวลาตอบคำถามฉันพูดให้มันมีหางเสียงหน่อย คำว่าคะ คำว่าค่ะน่ะพูดเป็นมั้ย”รสสุคนธ์ว่า
“เป็น..แต่พวกเราพูดได้กับคุณผู้หญิงเท่านั้น” สวาทบอก
“ใช่พูดกับขี้ข้าด้วยกัน ก็พูดได้แค่นี้ล่ะ” ยาใจเสริม
“แกว่าใครเป็นขี้ข้า”
รสสุคนธ์ขยับเข้าหาอย่างไม่พอใจ สองคนกำลังจะโต้ตอบกันแต่พอดีชีพเดินเข้ามา สวาทรีบฟ้อง
“คุณผู้ชายคะ คุณผู้ชายสั่งให้ขนของเสื้อผ้าของคุณผู้หญิงไปที่ห้องเก็บของรึคะ”
ชีพงง “ใครบอก”
“ก็แม่รสสุคนธ์” สวาทตอบ
รสสุคนธ์เสียงดัง “นี่ อย่ามาเรียกฉันแม่นั่นแม่นี่นะ”
“ทำไม แต่ก่อนก็เคยเรียก”
“ต่อไปนี้เรียกไม่ได้ คุณชีพบอกเค้าซีคะ”
“ฉันถามว่าใครบอกสวาทว่าให้ขนของคุณลั่นทมไปจากห้องฉัน” ชีพเสียงแข็ง
“รสบอกเอง ก็รสเป็นห่วงคุณชีพ ถ้ายังเห็นของเก่าๆ ของเมียก็อาจจะคิดถึง เสียใจ ใจไม่ดีใช่มั้ยคะ รสหวังดี รสก็เลย”
“เอาละๆ ถ้าสั่งไปแล้วก็ทำตามเถอะ ไปๆมีอะไรก็ไปทำๆให้เสร็จ” ชีพว่า
ชีพพูดแล้วชะงักมองไปเห็นอุษาปราดเข้ามาแต่แล้วก็ชะงักกำของไว้แน่นแล้วมองอยู่ ชีพจ้องมองแล้วเดินไป จิ้มลิ้ม ยาใจ และสวาทหันมามอง อุษารู้สึกอายเพราะไม่รู้จะจัดการกับชีพอย่างไรและกลัวจะอื้อฉาวจึงค่อยๆ หันหลังกลับออกไปอย่างเศร้าๆ จิ้มลิ้ม ยาใจ และสวาทมองหน้ากันงงๆๆ ยาใจรีบเดินไปถาม
“คุณอุษามีอะไรจะใช้หรือเปล่าคะ”
“เปล่า..ไม่มีอะไรจ้ะ” อุษาบอก
ยาใจ จิ้มลิ้ม และสวาทเดินแยกไป ชีพมองตามอุษาที่เดินไป รสสุคนธ์กระชากตัวชีพเข้ามา
“สายตาคุณอาลัยอาวรณ์นังอุษาเหลือเกินนะ อย่าให้รสจับได้ก็แล้วกัน”
ชีพผลักรสสุคนธ์ออก “มีเหตุผลหน่อยสิ ผมยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
ชีพเดินไป รสสุคนธ์มองตามอย่างแค้นๆ
อุษานั่งครุ่นคิด รสสุคนธ์เดินเข้ามาด้านหลังพูดเสียงแข็ง
“อุษา”
อุษาหันมามองด้วยสีหน้าเกลียดชังและไม่พูดด้วย
“เมื่อกี้เธอคิดจะเข้าไปพูดอะไรกับคุณชีพ” รสสุคนธ์ถาม
“เกี่ยวอะไรกับเธอ” อุษาย้อน
“หน้าตาเธอก็ไม่โง่นี่ ตอนนี้เธอก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าฉันกับคุณชีพเราเหมือนคนๆเดียวกัน เพราะฉะนั้นฉันควรจะรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับสามีฉัน”
“กับเธอเนี่ยใช้คำว่าเนรคุณยังน้อยเกินไปจริงๆ กล้าพูดออกมาได้ยังไงเต็มปากเต็มคำว่าน้าชีพเป็นสามีเธอ ทั้งๆที่คุณน้าลั่นทมดีกับเธอขนาดไหน”
“ฉันไม่เถียงว่าน้าเธอดีกับฉัน ให้ที่อยู่ที่กิน แล้วตอนนี้ฉันก็กำลังตอบแทนบุญคุณน้าเธออยู่ไง...ทำให้สามี..อ๋อ ไม่ใช่สิอดีตสามีน้าเธอมีความสุขจนแทบสำลักตายคาเตียงน้าเธอจะได้ไม่ต้องห่วงนอนตายตาหลับไง”
รสสุคนธ์ลอยหน้าลอยตาเยาะเย้ยจนอุษาทนไม่ไหว
“ถ้าเลวไม่พอก็คงพูดจาแบบนี้ไม่ได้หรอก...”
“ใช่ ฉันเลว แล้วเป็นไง”
ขาดคำของรสสุคนธ์ อุษาก็ตบหน้ารสสุคนธ์เต็มแรง รสสุคนธ์ตะลึง พอได้สติก็หันมาจะถลาเข้าใส่ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อหวานพูดเสียงดัง
“หยุดนะนังรส” หวานวิ่งเข้ามาชี้หน้ารสสุคนธ์ “ถ้าแกกล้าแตะต้องตัวคุณอุษาวันนี้ฉันฆ่าแกแน่”
“มันตบฉันก่อนนะน้าหวาน”
“มันยังน้อยไป” หวานบอก
“อะไรนะน้า นี่ฉันเป็นหลานน้า แทนที่น้าจะเข้าข้างฉัน”
หวานสวนทันควัน “หลานเลวๆอย่างแกฉันไม่อยากนับญาติด้วยหรอก ไปเลยแกจะไปไหนก็ไป ไปสิ
รสฮึดฮัดมองหวานแล้วมองอุษาแบบฝากไว้ก่อน เดินปึงๆไป”
หวานหันมาเห็นอุษามองหวานอย่างไม่แน่ใจ หวานร้องไห้
“คุณขา อิฉันไม่ได้เห็นดีเห็นงามไปกับมันด้วยเลยนะคะเอาอิฉันไปสาบานที่ไหนก็ได้” หวานบอก
อุษาถอนใจอย่างไม่แน่ใจ “ยังไงแม่หวานก็เตือนเขาบ้างก็ดี ฉันว่าเขาชักจะล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว”
อุษาเดินจากไป หวานพึมพำด้วยความเศร้า
“ถ้าวิญญาณมีจริง ป่านนี้คุณผู้หญิงคงรู้แล้วใช่มั้ยคะว่าอิฉันไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับนังรสมันจริงๆ”
อ่านต่อหน้า 4
สุสานคนเป็น ตอนที่ 3 (ต่อ)
ร่างของลั่นทมนอนสงบนิ่งในโลงศพ แต่จิตของลั่นทมยังคงดิ้นอึกอัก
“ช่วยด้วย..เอาฉันออกไปที..ฉันอึดอัด กลัว เอาฉันออกไป” ลั่นทมร้องไห้ “ทำไมไม่มีใครได้ยินฉันเลย..ฉัน”
ร่างลั่นทมที่นอนสงบนิ่งเริ่มขยับเขยื้อนได้แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงมากนัก
“ฉันยกมือได้แล้วนี่นา...ฉันขยับตัวแล้ว ช่วยด้วย”
ลั่นทมพยายามขยับตัวดิ้นรนขลุกขลักอยู่ในโลงอย่างอึดอัด สัปเหร่อเดินผ่านไปทางหนึ่ง พอหันมาก็ชะงัก เขามองไปที่โลงศพเห็นโลงขยับไหวน้อยๆ สัปเหร่อมองรอบๆ ก็รู้สึกว่าบรรยากาศหลอนๆ และเริ่มรู้สึกหวาดๆ
“จะบ้าเหรอวะ กลางวันแสกๆ นะโว้ย”
สัปเหร่อจะเดินต่อไปแต่ตัดสินใจหยุดและตั้งใจฟัง สัปเหร่อได้ยินเสียงผิดปกติก็หันมองไปรอบๆ ก็ได้ยินเสียงลั่นทมแว่วออกมา
“ฉันมีแรงแล้ว ช่วยด้วย”
โลงที่ใส่ศพลั่นทมขยับกึกกักเหมือนมีคนดิ้นอยู่ข้างใน สัปเหร่อหันมาทางต้นเสียง เมื่อเห็นโลงขยับกึกกักก็ตลึงจนก้าวขาไม่ออก
“อะ..”
โลงสั่นสะเทือนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลิ้งลงจากแท่นหล่นโครมลงที่พื้น สัปเหร่อตกใจแผดร้องสุดเสียง
“โฮ้ย”
ร่างลั่นทมที่ถูกมัดตราสังข์ไว้ไม่แน่นนักและส่วนที่พันใบหน้าซึ่งถูกตัดผ้าออกกระแทกกับโลงอย่างแรง ร่างลั่นทมที่อยู่ในโลงไม่กระดิกหรือแสดงว่ามีความรู้สึกแต่ในความนึกคิดลั่นทมนั้นลั่นทมกำลังกระแทกพื้นโลงอยู่
“โอ๊ย..”
ลั่นทมนอนสงบนิ่ง ฝาโลงเปิดหลุดออก ลั่นทมกลิ้งออกมาในสภาพไม่ไหวติง สัปเหร่อมองอย่างตกตะลึงและรวบรวมสติ
สัปเหร่อนึกถึงคำที่อุษาเคยพูด “คุณน้ายังไม่ตาย..ลุงเชื่อหนูซีคะ คุณน้าเป็นอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว”
สัปเหร่อพึมพำ “รึว่ายังไม่ตายจริง”
สัปเหร่อเดินเข้ามามองดูสภาพลั่นทมที่กลิ้งออกมานอกโลงก็ตาค้างจนพูดไม่ออกเพราะไม่เข้าใจว่าโลงกระเด็นลงมาได้อย่างไร สัปเหร่อเดินไปชะโงกดูร่างลั่นทมอย่างกลัวๆ เขาเห็นลั่นทมในสภาพที่เอาผ้าตราสังข์ที่หน้าออกแล้วซึ่งแรงกระแทกทำให้ลั่นทมหมดแรงไปอีก ลั่นทมนอนนิ่งไม่หายใจ สัปเหร่อค่อยๆ เอื้อมมือไปอังที่จมูกก็เห็นว่าไม่หายใจ
“เอ๊..ก็ไม่มีลมหายใจนี่หว่า” สัปเหร่อมองไปรอบๆ “แล้วเสียงร้อง เสียงดิ้นจนโลงตกมาได้ไง”
สัปเหร่อเข้าไปเขย่าร่างลั่นทม
“คะ..คะ..คุณ..คุณนาย ฟื้นแล้วเหรอ”
ลั่นทมยังอยู่ในสภาพที่ไม่ไหวติง
“ก็ไม่กระดิกกระเดี้ยนี่หว่า..เกิดอะไรขึ้นวะ รึว่า”
สัปเหร่อถอยหลัง หน้าซีด เขาหันหลังกลับไปแล้วร้องเรียกหลวงพ่อให้ช่วยเสียงหลงพร้อมกับ
วิ่งหนีห่างไป “หลวงพ่อครับ..หลวงพ่อ”
อุษาหยิบเครื่องเพชรมาพิจารณาด้วยความสลดใจในชะตากรรมของลั่นทม แล้วเธอก็เก็บเครื่องเพชรไว้ในที่อันมิดชิด อุษาหยิบเงินที่ชีพมอบให้ปึกใหญ่ใส่กระเป๋าถือโดยเจตนาจะนำไป
ใช้ในการช่วยเหลือลั่นทม
“ดี..ถ้าอย่างนั้นเราจะเก็บเอาไว้เป็นทุนช่วยคุณน้า”
จิ้มลิ้ม สวาท และยาใจพากันยกหีบใบใหญ่ที่บรรจุของส่วนตัวของลั่นทมลงจากชั้นบนเข้าไว้ในห้องเก็บของ
“ร้ายจริงๆ นังรสนี่มันร้ายกาจจริงๆ” จิ้มลิ้มว่า
“นั่นสิ ดูท่าคุณผู้ชายจะหลงมันหัวปักหัวปำนะแก ไม่ว่าอะไรมันสักคำ”
“ก็มันทั้งสาวทั้งสวย นี่นา นี่พวกแกว่าน้าหวานแกรู้เห็นเป็นใจด้วยหรือเปล่า” สวาทถาม
หวานเดินเข้ามาได้ยินพอดีก็ชะงัก
“หึ น้าหลานกันนี่”
“แต่ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย น้าหวานแกรับใช้คุณผู้หญิงมาตั้งนานไม่น่าทำกับท่านได้”
“ก็เพราะรับใช้มานานนะสิเลยอยาก....”
สวาทชะงักเพราะเห็นหวาน ทุกคนหันไปมองหวานแล้วก็หน้าเสียอึกอัก หวานหน้าเศร้าทำท่าจะพูดแต่แล้วก็เปลี่ยนใจเดินกลับออกไปเงียบๆ
ยาใจโล่งอก “โอ๊ยนึกว่าจะโดนด่าหูชาซะแล้ว”
“จะกล้ามาด่าอะไรพวกเรา เห็นมั้ยถ้าไม่ผิดแกก็ต้องเถียงคอเป็นเอ็นแล้ว คงอายละสิวางท่าเหมือนขี้ข้าผู้ซื่อสัตย์มานาน”
ทั้งสามคนมองตามหลังหวานไป และต่างก็ซุบซิบกันสนุกปากด้วยท่าทางที่เชื่อว่าหวานคงรู้เห็นกับหลานสาวแน่นอน
ฉ่ำที่ทำสวนอยู่มองไปรอบๆ แล้วก็หยุดเช็ดน้ำตาก่อนเปรยเสียงเครือ
“โธ่เอ๊ยคุณผู้หญิง นี่ตายแล้วจริงๆเหรอเนี่ย เฮ้อเห็นกันอยู่หลัดๆ” ฉ่ำนั่งยองๆ พนมมือ “ตอนอยู่ท่านก็มีเมตตากับไอ้ฉ่ำเหลือเกิน ถ้าชาติหน้ามีจริงขอให้ไอ้ฉ่ำได้เกิดเป็นขี้ข้าท่านอีกเถิดนะขอรับ”
มือผู้หญิงยื่นเข้ามาจับที่บ่าของฉ่ำ ฉ่ำสะดุ้งหลับตาปี๋
“ฮึ้บ..ไปที่ชอบที่ชอบเถอะ ไอ้ฉ่ำจะทำบุญกรวดน้ำไปให้”
“ข้ายังไม่ตายจะมากรวดน้ำให้ข้าทำไม” ผู้หญิงที่มาจับก็คือหวาน
ฉ่ำลืมตาแล้วหันขวับถอนใจโล่งอก
“โธ่เอ๊ยแม่หวาน ใจหายใจคว่ำหมด นึกว่าคุณลั่นทม”
หวานทรุดตัวนั่งอย่างหมดอาลัย
“แกคิดถึงคุณผู้หญิงอยู่เหรอ”
“ก็ใช่นะสิ แล้วแม่หวานล่ะ ฉันว่าในบรรดาพวกขี้ข้าอย่างเรา แม่หวานน่าจะคิดถึงคุณผู้หญิงที่สุดใช่มั้ย”
“ข้าอยากให้คุณผู้หญิงฟื้นขึ้นมาจริงๆ แต่บอกใครจะมีใครเชื่อ ตอนนี้ใครๆก็พากันมองข้าแปลกๆไปหมด”
“ใครจะมองก็ช่างใครสิแม่หวาน ตัวเราเท่านั้นที่รู้ตัวดีว่าเราเป็นยังไง”
“พูดจาเข้าท่าเป็นกับเขาเหมือนกันนะตาฉ่ำ”
หวานยกมือไหว้ท่วมหัว“ถ้าคุณผู้หญิงยังไม่ถึงที่ตายก็ขอให้ท่านฟื้นขึ้นมาได้เหมือนครั้งก่อนๆด้วยเถิด”
ฉ่ำมองหวานอย่างเข้าใจ
สัปเหร่อเดินนำเจ้าอาวาสกับสมาน ผู้ดูแลวัดเข้ามาในบริเวณที่โลงศพลั่นทมล้มกลิ้งลงมา ฝาโลงเปิดอยู่ ลั่นทมนอนนิ่งสงบอยู่ข้างๆ โลง
“โลงเบ้อเร่อเบ้อร่าหล่นลงมาได้ยังไง” เจ้าอาวาสเห็นสภาพที่ผ้าตราสังข์ถูกเปิดออกเห็นหน้าลั่นทม “แล้วนั่นอะไรใครแกะผ้าตราสังข์ มือไม้ไม่ได้มัดเลย”
สัปเหร่อรับทรัพย์จากอุษามาแล้วเลยรีบแก้ตัว
“คือ..คงหลุดออกตอนโลงหล่นน่ะครับหลวงพ่อ”
“มัดกันอีท่าไหนถึงได้หลุดออกมาง่ายๆ” หลวงพ่อถาม
สมานเห็นเครื่องมืองัดแงะอย่างหนึ่งที่พวกอุษาลืมทิ้งไว้
“หลวงพ่อครับ..ดูนี่ซีครับ ต้องมีคนมางัดโลงศพแน่”
หลวงพ่อหันไป สมานหยิบเครื่องมือขึ้นมา หลวงพ่อดึงเครื่องมือจากผู้ดูแลมาพิจารณา
“คงไอ้พวกขี้ยามางัดแงะหาของติดตัวศพน่ะเอง แล้วยกหีบขึ้นตั้งไม่เรียบร้อย” เจ้าอาวาสคืนเครื่องมือให้สมานแล้วสั่งสัปเหร่อ “จัดการซะให้เรียบร้อย สมานอยู่ช่วยด้วย แล้วก็อย่าเมาจนปล่อยให้ไอ้พวกขี้ยา มันลอบเข้ามาอีก”
เจ้าอาวาสกลับไป สัปเหร่อมองดูลั่นทมงงๆ เพราะเชื่อสายตาตนเองเห็นโลงสั่นสะเทือนก่อนที่โลงจะ
หล่นลงมา
“เป็นไปได้ไงวะ” สมานถาม
สัปเหร่อพูดเสียงสั่น “คง..คงพวกขี้ยาน่ะพี่หมาน”
มือลั่นทมกระดิกนิดหนึ่งแล้วนิ่งไป โดยที่สัปเหร่อและผู้ดูแลไม่ทันเห็น
“เอ้า มาช่วยกันยกศพลงโลงเถอะ แปลกนะตายมาคืนหนึ่งแล้วยังไม่เน่าไม่เหม็นเลย”
ลั่นทมพูดอย่างอ่อนเพลียมาก “ก็ฉันยังไม่ตายๆ..นั่นจะทำอะไร..อย่า”
เวลาผ่านไป สัปเหร่อกับสมานช่วยกันยกโลงศพลั่นทมตั้งไว้บนแท่นตามเดิม สมานนึกขึ้นได้
“เอ้า..ไม่มัดตราสังข์อีกเรอะ ข้าก็ลืมไป”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่หมาน เช้าผมมาจัดการเอง”
“เออ..ตามใจเอ็ง ดูให้เรียบร้อยแล้วกัน”
ร่างลั่นทมนอนสงบนิ่ง ใบหน้าผ้าตราสังข์เปิดออกเหมือนเดิม จิตลั่นทมหลับตาน้ำตาไหลซึมและเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ
“เอาฉันออกไป ช่วยด้วย ฉันกลัวเหลือเกิน อุษาช่วยน้าด้วยอุษา”
ฝ่ายอุษาตกใจตื่นและลุกขึ้นมานั่งพึมพำ
“คุณน้า....นี่เราเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรนี่”
เสียงประตูถูกไขมาจากด้านนอก อุษาหันไปมองงงๆ และตกใจ เธอเห็นชีพเปิดประตูเข้ามา อุษาผุดลุกขึ้นมองชีพอย่างโกรธจัด
“เข้ามาในห้องษาทำไมคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกน่าน้าแค่อยากคุยกับหนู เรื่องรสสุคนธ์น้าอธิบายได้” ชีพบอก
“ษาไม่อยากฟังค่ะ กรุณาออกไปจากห้องษาเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ษาจะตะโกน”
ชีพเห็นแววตาเกลียดชังและท่าทางเอาจริงของอุษาก็รีบยกมือห้าม
“ตกลง วันนี้น้าจะออกไปก่อนไว้ให้ษาใจเย็นกว่านี้ แล้วเราค่อยคุยกัน”
ชีพออกไป อุษาวิ่งมาล็อคประตูแล้วยืนพิงอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“ษาอยากให้คุณน้าลั่นทมฟื้นขึ้นมาเสียที จะได้รู้ว่าสามีสุดที่รักของคุณน้าเป็นยังไง”
ลั่นทมนอนในโลงศพอย่างสงบนิ่ง จิตลั่นทมพยายามโงหัวขึ้น แต่แล้วก็นอนแน่นิ่งไปเหมือนเดิมอีก
“ฉันคงหมดหวัง...ใครจะช่วยฉันได้บ้าง...ษา..อย่าทิ้งน้านะ...ชีพ...คุณทำอะไรอยู่..ฉันคิดถึงคุณ...ฉันอยากไปหาคุณ”
รสสุคนธ์แต่งชุดดำอย่างเริ่ด เธอมองเงาตัวเองในกระจกอย่างพอใจ ชีพที่อยู่ด้านหลังกำลังสวมสร้อยเพชรให้ที่คอ รสสุคนธ์ตาวาววับอย่างสมใจ
“คืนนี้เธอสวยมากนะรส”
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิสวยเสียจนฉันจะอดใจไม่ไหวแล้ว”
ชีพก้มลงซุกไซ้ที่ซอกคอ
“ระหว่างรสกับเมียคุณใครสวยกว่ากันคะ”
ชีพพึมพำ “ก็ต้องเธออยู่แล้วนะสิถามได้”
รสสุคนธ์หลับตาพริ้มอย่างพอใจ ชีพซุกไซ้ไล่มาที่หูและข้างแก้มก่อนที่จะเหลือบมองไปในกระจกเห็นลั่นทมยืนอยู่ด้านหลัง ชีพถึงกับผงะช็อคร้องเสียงหลง
“เฮ้ย...”
รสสุคนธ์ลืมตาด้วยความตกใจ “อะไรคะ”
ชีพรวบรวมความกล้าหันไปที่ด้านหลังแต่ก็ไม่เห็นอะไร แต่ชีพยังมองอึ้งๆ รสสุคนธ์มองตามสายตาชีพ
“คุณมองหาอะไรคะชีพ มีอะไรเหรอคะ”
“ปละ..เปล่า ไม่ ไม่มีอะไรผม..คงตาฝาดไปเอง”
“ทำไมคะ คุณเห็นอะไร”
“บอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีสิน่าเซ้าซี้อยู่ได้ รีบไปเถอะ เดี๋ยวไปช้าไม่ทันพระสวดน่าเกลียดแย่”
ชีพเดินออกไปก่อน รสสุคนธ์ฉุนแต่พอหันไปเห็นเงาตัวเองที่สวยสง่าในกระจกเธอก็สำรวจอีกนิด ก่อนจะเดินวางมาดออกไปราวกับนางพญา ทุกอย่างในห้องสงบเงียบ ก่อนจะได้ยินเสียงลั่นทมร้องไห้สะอื้นดังแผ่วๆ
หวานดูแลความเรียบร้อยในบ้านเมื่อหันมาเห็นรสสุคนธ์แต่งชุดดำมีเครื่องเพชรประดับก็ถึงกับจังงัง
“นั่นมันของคุณผู้หญิงนี่ นังรส..แกไปเอามาใส่ได้ไง”
“คุณชีพเป็นคนให้ฉันใส่อ้อ ไม่ใช่สิ เขาใส่ให้ฉันเองเลยนะน้าหวาน”
“แกก็น่าจะรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ของคุณผู้หญิงแกไม่ควรบังอาจไปแตะต้อง”
รสสุคนธ์เริ่มไม่ค่อยจะพอใจหวาน
“ถ้าจงรักภักดีมันมากนัก ทำไมไม่ฆ่าตัวตายตามมันไปเลยล่ะ”
รสสุคนธ์ผละไป หวานตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
“นังรส คุณผู้หญิงฟื้นขึ้นมาละก็ กูจะหัวเราะให้ฟันโยกเลย”
ธารินทร์เข้ามาในศาลาที่ไว้ศพลั่นทม อุษายืนอยู่หน้าโลงศพ
“ษา เลิกคิดได้แล้วละเรื่องที่คุณน้าลั่นทมจะฟื้นขึ้นมาน่ะ”
อุษามองหน้าธารินทร์ด้วยแววตาที่มีรอยแห่งความเสียใจและผิดหวัง
“ผมไม่อยากให้ษาจมอยู่กับเศร้า...” ธารินทร์บอก
ผันยืนมองสองหนุ่มสาวอยู่ห่างๆ สัปเหร่อเดินผ่านผันตรงมาที่ธารินทร์กับอุษา
“เมื่อคืนพวกเราคงตั้งโลงศพไม่ดี ตอนสายกลิ้งตกลงมาจากแท่น ดีนะท่านเจ้าอาวาสไม่สงสัยอะไร ไม่งั้นล่ะก็ผมซวยเลย”
อุษาร้องออกมาด้วยความดีใจ
“นั่นไง คุณน้าฟื้นแล้วคุณน้าคงดิ้นจนโลงกลิ้งตกลงมาเร็วเถอะค่ะ รีบยกโลงลงมา ตอนนี้ยังไม่มีแขกมา นะคะลุงหนูไหว้ละ” อุษารีบดึงเงินจากกระเป๋าส่งให้แบบไม่นับ “ลุงช่วยหนูนะ”
ธารินทร์ปรามเบาๆ “ษา...”
อุษาไม่สนใจธารินทร์ “เร็วเถอะค่ะ คุณลุง ทุกคนช่วยกันนะคะนึกว่าเห็นแก่ษาเถอะค่ะ”
สัปเหร่อ ผัน อุษา และธารินทร์ช่วยกันยกโลงลงมาข้างล่าง สัปเหร่อใช้ชะแลงงัดฝาโลงออกมา
อุษาเรียก “คุณน้าคะ..คุณน้า...”
ลั่นทมนอนสงบนิ่งไม่มีวี่แววว่าจะฟื้น
อุษาชะงักผิดหวังและหน้าสลดลง “คุณน้าขา นี่ษานะคะ ได้ยินษามั้ยคะ”
ทุกอย่างเงียบสนิท ธารินทร์ถอนใจเฮือก
“ผมว่าพวกเรารีบปิดฝาโลงแล้วยกโลงไว้ที่เดิมก่อนที่ใครจะมาเห็นเถอะครับ”
ธารินทร์จะปิดฝาโลง อุษาเกาะโลงสะอื้นไห้
“คุณน้า ฟื้นขึ้นมาซีคะคุณน้า”
“เดี๋ยวธารินทร์..” ผันบอก
ธารินทร์ชะงัก “อะไรครับพ่อ”
“สังเกตอะไรหรือเปล่า ดูศพคุณนายสิ..ถึงจะซีดแต่ตัวไม่แข็งนะจับดูสิ ไม่มีกลิ่นด้วย”
ธารินทร์มองลั่นทมอึ้งๆ แต่ก็พูดกับผัน
“พ่อเลิกพูดให้ความหวังษาเสียทีเถอะครับ”
“ก็ข้าเคยเห็นจริงๆนี่หว่า คนตายแล้วฟื้นมีถมไป..ดูซิ.. ศพคุณนายไม่ขึ้นไม่อืดเลย ได้แต่ซีดไม่แข็งด้วย ลองมาจับดูซิ”
ธารินทร์มองไปที่ศพแล้วเอื้อมมือมาจับศพแล้วก็นิ่งอึ้ง
“ทีนี้คุณเชื่อหรือยังคะรินทร์ว่า คุณน้ายังไม่ตาย!”
อุษาถามแฟนหนุ่มนายตำรวจที่ยืนอึ้งอยู่
อ่านต่อตอนที่ 4