สาปสาง ตอนที่ 12
แพรวเดินกลับเข้ามา เมื่อเห็นว่ากรณ์ไปนั่งร่วมโต๊ะกับณราแล้วเธอก็ชะงัก
"แพรว มาทางนี้สิครับ" กรณ์บอก
แพรวจำเป็นต้องปั้นสีหน้าปกติ เธอ ข่มความรู้สึกไว้แล้วเดินเข้าไปหายิ้มๆ
"นี่คุณณรา เป็นเจ้าของโรงแรมนี้ แล้วนี่ก็คุณพะพริ้ว เป็นเลขาคุณกรณ์"
"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ"
กรณ์แนะนำแพรวกับณราและพริ้ว
"นี่แพรวเพื่อนผม เคยเป็นนักแสดงที่ดาราลัยน่ะครับ"
"ถ้าไม่รังเกียจ เชิญนั่งสิครับคุณแพรว จะได้คุยกัน"
"ค่ะ"
แพรวจำต้องนั่งลงข้างๆ พริ้วแล้วหันไปเสแสร้งยิ้มให้ พริ้วยิ้มตอบอย่างไม่ค่อยแน่ใจ บริกรเดินมาเสิร์ฟน้ำแพรว กรณ์บอกกับแพรว
"คุณณราเป็นคนที่สนใจจะซื้อที่ดินของโรงละครไปทำโรงแรมน่ะ"
แพรวสะดุ้งแต่เก็บอาการไว้ทัน
"คุณแพรวคะ ไม่ทราบว่าเมื่อก่อนนี้ เคยมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นที่นั่นบ้างไหมคะ"
แพรวสะดุ้งแล้วสะดุ้งอีกแต่ก็เก็บอาการได้
"เรื่องแปลกๆ? หมายถึงอะไรกันคะ"
"ก็ทำนองเรื่องอาถรรพย์ หรือเรื่องเล่าเกี่ยวกับที่ดินผืนนั้นน่ะค่ะ"
"ไมมีหรอกค่ะ" แพรวพูดเน้น "ไม่เคยมีเรื่องพรรณนั้นที่นั่นเด็ดขาด ฉันรับรองได้"
ณราหันมาบอกพริ้ว
"ผมบอกแล้วว่าคุณคิดมาก"
"จะไม่ให้คิดได้ยังไงล่ะคะ ในเมื่อเจอเข้าเต็มๆ"
"เจออะไรเหรอคะ"
"คือ เอ่อ….คุณกลัวผีรึเปล่าคะ" พริ้วถาม
แพรวอึ้ง
แพรวพยายามยิ้มและหัวเราะ
"อย่าบอกนะคะว่าคุณคิดว่าที่ดินโรงละครนั่นมีผี ตลกจัง"
"ถ้าคุณไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรค่ะ"
"จะให้เชื่อได้ยังไงล่ะคะ ในเมื่อที่นั่นน่ะเคยมีแต่ความสุข ความบันเทิง มีแต่เสียงหัวเราะ ไม่มีเรื่องร้ายๆ อะไรเกิดขึ้นหรอกค่ะ"
พริ้วนิ่งไป ณราบอกกับพริ้ว
"อย่าคิดมากน่าคุณ คุณแพรวเขาบอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร"
พริ้วฝืนยิ้มรับ แพรวยกน้ำขึ้นจิบแต่เพื่อกลบเกลื่อนสีหน้าเสียๆ ของตัวเอง
แพรวจอดรถ แล้วเข้าไปข้างในด้วยความรีบร้อน
พ่อปู่เงยหน้าขึ้นมองแพรวที่เข้ามานั่งตรงหน้าด้วยสีหน้าร้อนใจ
"เกิดเรื่องแล้วจ้ะพ่อปู่" แพรวบอก
"หายหัวไปตั้งนาน มีเรื่องเมื่อไหร่ถึงโผล่หัวมาให้กูเห็น" พ่อปู่ถาม
"อย่าเพิ่งด่าฉันเลย ฟังฉันก่อน วันนี้ฉันเจอสองคนนั่นด้วย"
"สองคนไหนของเอ็งวะ"
"ก็สองคนที่เข้ามาที่โรงละครคืนวันที่ฉันกับเพื่อนเข้าไปขุดศพนังช่อน่ะสิ"
"อ่อ เอ็งก็เลยกังวลว่าเขาจะรู้เรื่องงั้นเรอะ"
"เขาเป็นคนที่ซื้อที่ดินผืนนั้นไปทำโรงแรม"
"ก็ช่างหัวมันสิ"
"วางใจได้เหรอจ้ะพ่อปู่"
"มนต์ดำอำพรางกูบังตาพวกมันไว้ มึงจะไปกลัวอะไร หรือเดี๋ยวนี้มึงไม่ฤทธิ์เชื่อคาถากูแล้ว"
"เชื่อสิจ้ะ ฉันยังเชื่อพ่อปู่เหมือนเดิม ห่วงก็แค่ว่าอีนังผู้หญิงนั่นน่ะ พ่อปู่เคยบอกว่ามันมีณาณ มีสัมผัสพิเศษเห็นผี ฉันก็เลยคิดว่า เราน่าจะทำอะไรเพิ่มเพื่อป้องกันไว้ก่อนน่ะจ้ะ"
"เอ๊ะอีนี่! มึงพูดอย่างนี้เท่ากับไม่เชื่อถือกู ไสหัวออกไปเลยนะ ถ้ามึงไม่ฟังกู ก็ไสหัวออกไปให้พ้นตำหนักกู แล้วอย่ากลับเข้ามาให้กูเห็นหน้าอีก ไป"
"เดี๋ยวสิจ้ะพ่อปู่"
"กูบอกให้ไป"
แพรวเห็นท่าไม่ดีก็ตัดสินใจถอยก่อน พ่อปู่มองตามไปด้วยความโมโห
"กล้าดียังไงมาลบหลู่ฤทธิ์กู อีสารเลว!” พ่อปู่ด่า
แพรววิ่งออกมาหน้าตาตื่น เธอหันกลับไปมองทางตำหนัก
"โธ่เอ้ย! แล้วจะทำยังไงล่ะเนี่ย"
แพรวเครียดและเต็มไปด้วยความกังวล
"ยังไง ฉันก็ต้องหาทางกำจัดแกให้ได้ นังพะพริ้ว"
อ่านต่อหน้า 2
สาปสาง ตอนที่ 12 (ต่อ)
กรณ์กำลังจัดเสื้อผ้าจากกระเป๋ามาแขวนในตู้ ในระหว่างที่รื้อกระเป๋าอยู่นั้นเขาก็เจอแหวนที่เตรียมไว้ในกระเป๋าด้านใน
กรณ์หยิบขึ้นมาดูพลันใจก็คิดไปถึงช่อเอื้องขึ้นมาทันที
ภาพในความทรงจำของกรณ์เป็นภาพ ณ บริเวณลานน้ำพุเทวีใต้ต้นลีลาวดี ช่อเอื้องกำลังซ้อมรำอยู่ตามลำพัง กรณ์เดินเข้ามาเห็นก็ถึงกับชะงัก เขาแอบดูด้วยด้วยความประทับใจ ข่อเอื้องหมุนตัวมาเห็นเข้าก็ตกใจ ช่อเอื้องหยุดรำทันที กรณ์รีบเดินเข้ามาหา
“ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณตกใจ พอดีว่าผมผ่านมาทางนี้ เห็นคุณเข้าก็เลยประทับใจน่ะครับ คุณรำได้งดงามจริงๆ อ้อ ลืมไป ผมกรณ์ครับ”
ช่อเอื้องสะดุดหู
“กรณ์?....คุณกรณ์ที่เป็นลูกชายครูอาภาใช่ไหมคะ ฉันเคยได้ยินครูพูดถึงคุณบ่อยๆ”
กรณ์รับคำ “ครับ”
“ฉันช่อเอื้องค่ะ”
กรณ์ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินชื่อช่อเอื้อง
“โธ่ คิดว่าใคร ที่แท้ก็คุณนี่เอง ช่อเอื้อง ลูกศิษย์คนโปรดของคุณแม่”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ ฉันเป็นแค่นักแสดงคนหนึ่งเท่านั้น”
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอกครับ คุณแม่เล่าเรื่องคุณให้ผมฟังบ่อยๆ ท่านภูมิใจในตัวคุณมาก เห็นคุณรำแล้ว ผมก็ไม่แปลกใจที่ท่านจะคิดอย่างนั้น”
กรณ์ยิ้มให้ช่อเอื้อง ช่อเอื้องหัวใจเต้นแรง เธอก้มหน้าด้วยความประหม่า กรณ์ลอบมองช่อเอื้องด้วยความถูกตาต้องใจทำให้ช่อเอื้องยิ่งประหม่า เธอกล่าวขึ้นเพื่อตัดบท
“ถ้าคุณมาหาครู ท่านอยู่ข้างในน่ะค่ะ”
ช่อเอื้องก้มหัวให้แล้วเดินหลบไปอีกทาง กรณ์มองตามไปด้วยความชื่นชม
“งามจริงๆ งามทั้งการร่ายรำ งามทั้งคนรำ”
กรณ์นั่งคุยกับอาภาภิรมย์ที่ถือผ้าไทยที่ปักเลื่อมลงลาย อาภาภิรมย์คลี่ผ้าไหมออกตรวจดูลวดลาย
“ช่อเอื้องแกเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ เติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว แต่มีพรสวรรค์ แม่เลยจับมาปั้น ใจจริงอยากรับเป็นลูกบุญธรรมด้วยซ้ำไป”
“ไม่ได้นะครับคุณแม่ จะรับช่อเอื้องเป็นลูกบุญธรรมไมได้เด็ดขาดนะครับ” กรณ์รีบค้าน
“ทำไมล่ะ ไม่อยากมีน้องสาวรึไง”
“ก็เพราะอย่างนี้น่ะสิครับ ผมถึงต้องห้ามคุณแม่ ถ้าเป็นพี่น้องกัน จะรักกันได้ยังไงล่ะครับ”
“อ่อ ที่แท้ก็แอบมีใจให้หนูช่อนี่เอง”
“ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นเลยล่ะครับ”
อาภาภิรมย์ยิ้มแล้วลูบหัวกรณ์เบาๆ
“จะหาสะใภ้ให้แม่แล้วงั้นเหรอ ถ้าเป็นหนูช่อ แม่ก็ยินดีสนับสนุนนะ เพราะหนูช่อแกเป็นเด็กดีจริงๆ แต่ต้องรับปากกับแม่อย่างหนึ่ง”
“ครับ?”
“อย่าทำให้หนูช่อต้องเสียใจเป็นอันขาด”
“ครับคุณแม่ ผมสัญญาครับ”
อาภาภิรมย์มองกรณ์ด้วยสายตายินดี
ช่อเอื้องกำลังแต่งตัวเพื่อเตรียมแสดงกรณ์รีบเดินไปหา
“ขอให้การแสดงเป็นไปอย่างราบรื่นนะครับ ผมจะเป็นกำลังใจให้”
“ขอบคุณมากค่ะ”
“ช่อครับ แสดงเสร็จแล้วอย่าเพิ่งรีบกลับนะครับ”
“ทำไมเหรอคะ”
“เรื่องสำคัญที่ผมอยากจะบอกกับช่อ แล้วยังไม่ได้บอก”
“เรื่องสำคัญขนาดนั้นเชียวเหรอคะ?”
“ครับ สำคัญมากด้วย วันนี้ถ้าผมไม่ได้บอกช่อต้องอกแตกตายแน่”
“งี้ปล่อยให้อกแตกตายดีไหมเนี่ย อยากจะเห็นจริง”
“ถ้าช่อปล่อยให้ผมอกแตกตาย ผมก็จะเป็นผีมาบอกกะช่อให้ได้”
“งั้นอย่าดีกว่าค่ะ ช่อกลัวคุณกรณ์เป็นผีอกแตกมาหลอกช่อ เป็นแบบนี้ ดูดีกว่าเยอะนะคะ”
แพรวเดินปึงปังเข้ามาได้ยินที่กรณ์กับช่อเอื้องคุยกันพอดี
“งั้นเสร็จแล้วผมจะรอที่ศาลาด้านหลังโรงละครนะครับ”
ช่อเอื้องรับคำ “ค่ะ”
“ต้องมาให้ได้นะครับ สัญญาสิครับว่าคุณจะมา”
“สำคัญถึงขนาดต้องสัญญาเลยเหรอคะ”
“ครับ”
ช่อเอื้องยิ้มให้กรณ์
“ค่ะ ช่อสัญญา”
กรณ์นึกถึงตอนที่แพรวมาบอกเขา
“ช่อคงไม่เคยบอกคุณเรื่องแฟนเก่าสิน่ะคะ”
“ทำไมเหรอ แฟนเก่าช่อเกี่ยวอะไรด้วย” กรณ์ถาม
“ช่อไม่เคยลืมแฟนเก่าเค้าเลย และตอนนี้แฟนเก่าช่อกลับมาหา กลับมาคบกันใหม่ได้สักระยะนึงแล้ว”
“เธอพูดจริงเหรอ”
“ชั้นรู้ว่าช่อก็ชอบคุณมากนะ แต่เค้าก็ทำใจลืมแฟนเก่าไม่ได้ ช่อเค้าคงไม่รู้จะบอกคุณยังไง”
“ไม่จริง...ผมไม่เชื่อ”
“ช่อท้องกับแฟนเก่าค่ะ เค้าขอไม่ให้ชั้นบอกคุณน่ะค่ะว่าเขาตั้งใจจะกลับเชียงใหม่คืนนี้หลังจากที่แสดงละครเสร็จ ชั้นก็เข้าใจช่อดีว่า เค้าก็ไม่รู้จะเจอหน้าคุณได้ยังไง”
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต กรณ์ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเศร้าที่ยังหลงเหลืออยู่
เขาเก็บแหวนไว้ที่เดิม
“เมื่อไหร่จะลืมได้เสียที....เมื่อไหร่กัน”
อ่านต่อหน้า 3
สาปสาง ตอนที่ 12 (ต่อ)
ช่อเอื้องร้องไห้คร่ำครวญหากรณ์
“ช่วยช่อด้วย คุณกรณ์....ช่วยช่อด้วย”
ช่อเอื้องเงยหน้าขึ้นเห็นว่าน้ำตาเป็นสายเลือด
“ปล่อยช่อออกไปที ช่อคิดถึงคุณเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน”
พริ้วเดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยจนเห็นเฟยกำลังกินข้าวอยู่โดยมีสีหน้าดีขึ้นมาก
“ป๊า ป๊าหายแล้วเหรอจ้ะ” พริ้วหันไปถามพยาบาล “พ่อหนูไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหมคะ”
“อีกไม่กี่วันก็คงกลับบ้านได้แล้วค่ะ”
“จริงเหรอคะ โอ๊ย ดีใจจังเลย” พริ้วโถมตัวเข้ากอดเฟย
พยาบาลยิ้มแล้ววางถ้วยยาลงบนถาดข้าว
“ทานข้าวเสร็จ อย่าลืมยาหลังอาหารนะคะ” พยาบาลบอก
พยาบาลยิ้มแล้วเดินออกไป
“กินเยอะๆ เลยนะป๊า อยากกินอะไรอีกบอกหนูมาเลย จะซื้อมาให้ป๊ากินให้หมดเลย”
“ลื้อกอดอั๊วะอยู่อย่างนี้ อั๊วะจะกินยังไงล่ะอาพริ้ว”
“ก็หนูดีใจนี่นา” พริ้วผละออกจากเฟย “เออ ป๊า หยกคุ้มกันที่ป๊าให้หนูน่ะ มันหมายความว่าหนูจะเจออันตรายอะไรงั้นเหรอจ้ะ”
“มันเป็นเรื่องของชะตากรรม”
“ชะตากรรม?? ชะตาหนูไม่ดีงั้นเหรอป๊า”
“ชะตาลื้อต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องไม่ดี เรื่องความเป็นความตาย”
“แต่ไม่ต้องกลัว หยกนั่นจะคุ้มกันลื้อเอง มันจะเตือนลื้อยามมีภัย ใส่ไว้อย่าได้ถอดเป็นอันขาด”
พริ้วหยิบหยกที่คล้องคอขึ้นมาดู
“จะมีภัยงั้นเหรอ”
พริ้วหน้าระรื่นขณะมาทำงาน ณราที่อยู่ที่มุมเลขาทำหน้ากวนใส่
“เป็นเลขายังไง มาถึงหลังเจ้านาย”
“ขอโทษค่ะ พอดีว่าฉันแวะไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาลเลยมาถึงช้า”
“พ่อคุณอาการดีขึ้นหรือยัง”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ อีกไม่กี่วันก็กลับบ้านได้”
“ยินดีด้วยนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่มีห่วงอะไรแล้ว คุณก็พร้อมทำงานแล้วสินะ”
“พร้อมแล้วค่ะ คุณต้องการอะไร สั่งมาได้เลยค่ะ”
“จริงเหรอ”
“ก็จริงน่ะสิคะ ฉันเป็นเลขาคุณ เลขาก็ต้องทำตามคำสั่งเจ้านาย จะปฏิเสธได้ยังไงล่ะคะ ฉันไม่อยากโดนไล่ออกหรอกนะคะ”
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอให้คุณ ยิ้มหวานๆ ให้ผม”
“หือ?”
“ยิ้มสิ รออะไรอยู่ล่ะ ไหนบอกว่าคุณจะทำตามคำสั่งผมทุกอย่างไม่ใช่เหรอ”
“ฉันหมายถึงเรื่องงาน”
“การทำให้เจ้านายมีความสุข ก็เป็นงานอย่างหนึ่งของเลขานะ”
“ถ้าฉันยิ้มให้ แล้วคุณจะมีความสุขงั้นเหรอคะ ไม่ยักรู้ว่ายิ้มของฉันจะมีผลต่อคุณถึงขนาดนี้”
“รู้แล้วก็ยิ้มสิ หวานๆ เลยนะ”
พริ้วทำท่ากระฟ่อดกระแฟ่ด
ณราเร่ง “เร็วๆสิ”
พริ้วตัดใจฉีกยิ้มให้แว่บหนึ่ง
“พอใจไหมคะ ถ้ามีความสุขแล้วก็สั่งงานที่มันมีสาระมาได้เลยค่ะ”
“ได้ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณกรณ์ นัดให้ผมด้วย”
กรณ์รับสายจากพริ้ว
“สวัสดีครับ”
“คุณกรณ์ใช่ไหมคะ ฉันพะพริ้วเลขาคุณณรานะคะ คือว่าคุณณราให้โทรนัดคุณน่ะค่ะ บอกว่ามีเรื่องสำคัญคุยด้วย”
“เรื่องอะไรครับ”
“คุณณราไมได้แจ้งไว้น่ะคะ บอกแต่ว่าเรื่องสำคัญ ถ้าคุณไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะคะ ดิฉันจะแจ้งคุณณราเอง”
“สะดวกครับ ผมยินดี อยากทราบเหมือนกันว่าจะคุยเรื่องอะไร”
อ่านต่อหน้า 4
สาปสาง ตอนที่ 12 (ต่อ)
ณราจับมือกรณ์
“เรื่องซื้อขายที่เป็นอันตกลงตามนี้นะครับ ขอบคุณมากนะครับที่ยอมขายให้ผม”
“ยินดีครับ”
พริ้วพูดแทรกขึ้น
“คุณแน่ใจเหรอคะว่าจะซื้อจริงๆ ที่ดินผืนนั้นมันไม่ปลอดภัยนะคะ”
“จะยังไงก็ตาม ผมชอบที่ดินผืนนั้นมาก แล้วคนอย่างผมถ้าอยากได้อะไร ก็ต้องได้”
“แต่ว่า.....”
“ไม่ต้องห้ามผม ไม่ต้องแม้แต่จะคิด”
พริ้วหน้ามุ่ยแล้วหันไปบอกกรณ์
“งั้นฉันว่าเรื่องราคา ในเมื่อทางคุณณราอยากได้ที่ผืนนี้มาก ขนาดนั้นคุณกรณ์ก็ขายแพงๆ ไปเลยคะ นะคะ”
“นี่คุณเลขาครับ คุณทำงานให้กับผมก็ต้องอยู่ฝั่งผมสิครับ ไปเข้าข้างคนอื่นทำไม ผมว่าคุณรีบไปจัดการหาคิวให้ผมกับคุณกรณ์ได้ไปทำเรื่องโอนฉโนดดีกว่านะ ไปเร็วๆ”
“ค่ะๆ”
พริ้วรีบเดินออกไป
“ตกลงเรื่องราคา คุณอยากจะขายสักเท่าไหร่ครับ”
กรณ์ครุ่นคิด
แพรวนั่งเปิดหนังสือหางานด้วยสีหน้าที่บอกว่าอารมณ์เสีย อนงค์เข้ามาเห็นเข้าก็ถามขึ้น
“อ้าว ไม่ไปทำงานเหรอ เห็นหยุดมาหลายวันแล้ว เขาไม่ว่าเอาเหรอ”
แพรวหงุดหงิด
“เลิกยุ่งเรื่องของฉันซะทีเถอะแม่ ทำไมชอบยุ่งนักนะ”
“จะไม่ให้ยุ่งได้ยังไง หยุดงานแบบนี้ เดี๋ยวก็โดนไล่ออกกันพอดี”
แพรวลมขึ้นทันที เธอฟาดหนังสือลงบนโต๊ะ
“โดนไล่ออกแล้วไง ไม่ทำงานกับมันฉันก็ไม่ตายหรอก”
“พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง หรือว่าแกถูกเขาไล่ออกแล้ว”
“ใช่! ฉันถูกมันไล่ออก ได้ยินชัดไหม” แพรวพูดดังขึ้น “ฉันถูกมัน-ไล่-ออก”
“พุทโถ พุทถัง แล้วแกไปทำอีท่าไหนเขาถึงไล่ออกซะเล่า กลับไปขอโทษเขาซะสิ เผื่อเขายกโทษให้แกจะได้มีงานทำ” อนงค์บอก
“ไม่มีทาง! ฉันจะไม่กลับไปเหยียบที่นั่นอีกเป็นอันขาด ให้ตายก็ไม่ไป” แพรวว่า
“อ้าว ไม่ทำงาน แล้วจะเอาไรกิน”
“ฉันไม่อดตายหรอกน่า ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉัน”
แพรวทำฟ่อดแฟ่ดออกจากบ้านไป
“เดี๋ยวสิ แพรว แพรวแกจะไปไหน โธ่....ลูกเอ้ยลูก ทำตัวแบบนี้ แล้วยังจะไม่ให้แม่ห่วงได้ยังไง”
อนงค์ถอนใจด้วยความกังวล
ณราส่งเช็คให้กรณ์
“นี่ครับ ค่าที่ดินของคุณ” ณราบอก
“ยังไมได้ทำเรื่องโอนเลย ผมไม่กล้ารับไว้หรอกครับ” กรณ์ปัด
“รับไว้เถอะครับ ผมไม่ได้ใจดีอะไรหรอก แต่มันเป็นวิธีเดียวที่ผมจะมัดมือชกคุณไม่ให้ไปขายที่ให้ใครได้อีก” ณรายิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นก็ ขอบคุณมากครับ”
กรณ์รับเช็คมา
“มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะคุยกับคุณ”
“เรื่องอะไรครับ”
“ผมอยากจะชวนคุณมาร่วมงานด้วย”
ณราทำหน้าประหลาดใจหลังจากได้ฟังณราพูดจนจบ
“จะให้ผมทำงานด้วยงั้นเหรอครับ นี่ผมฟังอะไรผิดไปรึเปล่า”
“ไม่ผิดหรอกครับ ผมชวนคุณมาร่วมงานด้วยจริงๆ”
“แล้วทำไมถึงเลือกผมล่ะครับ”
“เราจะสร้างโรงแรมใหม่ในที่ดินของคุณ ส่วนคุณก็เรียนจบด้านบริหารจัดการมา ผมเห็นว่ามันเหมาะมากที่จะชวนคุณมาร่วมทำงานในโครงการนี้”
“จะให้ผมทำอะไรล่ะครับ” กรณ์ถาม
“ตอนนี้ที่นั่นยังเป็นเพียงที่ดินร้าง ผมอยากให้คุณรับผิดชอบดูแลทุกขั้นตอนของการก่อสร้างโรงแรมจนถึงเวลาเปิดบริการ และถ้าคุณอยากช่วยผมดูแลบริหารโรงแรมต่อ ผมก็ยินดี”
กรณ์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“คุณผูกพันกับที่ดินผืนนั้น ไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับคุณอีกแล้ว ตกลงคุณจะให้เกียรติรับงานนี้ไหมครับ”
กรณ์ยิ้มแล้วพยักหน้า
“ด้วยความยินดีครับ”
ทั้งสองคนจับมือกัน
แพรวขับรถเข้าในหน้าโรงแรมแล้วจะตรงไปที่จอดรถ เธอเจอกรณ์เดินออกมาพอดี
“คุณกรณ์”
แพรวรีบจอดรถแล้วลงไปหา
“คุณจะไปไหนคะ แพรวตั้งใจจะแวะมาชวนคุณทานข้าว”
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ วันนี้ผมคงไม่สะดวก”
“ทำไมล่ะคะ”
“ผมกำลังจะไปข้างนอกน่ะครับ”
“คุณจะไปไหนคะ เดี๋ยวแพรวไปส่ง”
อ่านต่อตอนที่ 13