สาปสาง ตอนที่ 9
พ่อปู่ที่นั่งภาวนาอยู่ลืมตาผ่าง!
“มึงโผล่ออกมาแล้วรึ ดี! กูจะลองฤทธิ์กับมึงดูซะหน่อย จะได้รู้ว่ามึงอันตรายกับกูได้แค่ไหน”
หลวงปู่พูดแล้วก็จุดเทียนดำหลับตาภาวนามนต์ ควันที่ลอยจากเปลวเทียนเป็นสีดำ แล้วค่อยๆ ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง
พริ้วกับณราหยุดอยู่ที่ทางเข้า
“ผมลืมไป ในรถมีไฟฉาย” ณราบอก
ณรากลับไปที่รถโดยทิ้งพริ้วไว้ตามลำพัง พริ้วมองเข้าไปด้านในก็รู้สึกได้ถึงพลังงานอะไรบางอย่าง
“มันต้องมีอะไรแน่นอน ฉันต้องรู้ให้ได้ ว่ามันคืออะไร”
พริ้วเดินก้าวเข้าไป ทันใดนั้นหมอกดำก็พรวดออกมากระแทกร่างพริ้วอย่างแรง พริ้วถึงกับผงะล้มลงไปหมดสติ ณราที่ถือไฟฉายกลับมาเห็นเข้าก็ตกใจ
“พริ้ว !!”
ณรารีบเข้าไปช้อนร่างพริ้วขึ้นมา
“เป็นอะไรไป คุณพริ้ว”
ณราพยายามเขย่าร่างพริ้วที่แน่นิ่งไป
“พริ้ว ฟื้นสิครับ พริ้ว”
แพรวออกมาดูก็เห็นณรากำลังอุ้มพริ้วกลับไปที่รถ แพรวยิ้มอย่างสาสมใจ
พ่อปู่ยิ้มย่องเพราะสาแก่ใจ
“กูคิดว่ามึงจะแน่ โดนเดรัจฉานวิชาเข้าหน่อยก็สิ้นฤทธิ์ อย่าได้คิดมาลองดีกับกู!”
ไทยังคงลงมือขุดอยู่ ในขณะที่แพรวกลับเข้ามา
“ตกลงยังไง ใครมา” ไทถาม
“ใครก็ช่าง ไม่ต้องไปสนใจ”
“ทำไมพูดงั้นล่ะ ไม่กลัวคนมาเห็นรึไง”
แพรวยิ้มร้ายและมีท่าทางสะใจ
“พ่อปู่ไม่ปล่อยให้มันเข้ามาง่ายๆ หรอก มันไปกันแล้ว ขุดต่อไปสิ ยังไงคืนนี้ก็ต้องเอาซากนังช่อขึ้นมาให้ได้”
พริ้วค่อยๆฟื้นขึ้นมา ณราที่ขับรถอยู่เหลือบตามอง
ณราเอ่ยถาม “ฟื้นแล้วเหรอ”
พริ้วพยายามตั้งสติ
“คุณจะไปไหน”
“ก็พาคุณไปหาหมอไง แล้วก็พาคุณไปส่งที่บ้าน”
“แต่ว่า…. เรายังไม่ได้…”
ณราแทรกขึ้น “พอเถอะครับ ยอมรับเถอะว่าคุณไม่สบาย ถึงได้หน้ามืด หมดสติไปอย่างนั้น เหมือนคราวที่แล้วไม่มีผิด”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร แต่ว่า….”
ณราตัดบท “ให้หมอเป็นคนพูดดีกว่าครับ ผมถึงจะเชื่อ”
ณราหยุดรถเพราะติดไฟแดง พริ้วคิด
พริ้วนึกถึงตอนที่หมอกดำที่พุ่งเข้าทำร้ายเธออย่างแรง
พริ้วตัดสินใจ เปิดประตูรถแล้วรีบลงไป
“คุณจะทำอะไรน่ะ พริ้ว! กลับมานะ พริ้ว!”
พริ้ววิ่งกลับไปทางเดิม ณราจะตามไปแต่ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวเสียก่อน ทำให้รถคันหลังบีบแตรไล่
ณราเซ็ง “โธ่เว้ย!”
ณราจำเป็นต้องออกรถไป
พริ้วที่วิ่งหนีหันกลับมามองก็เห็นรถณราออกไปแล้ว
“ยังไงฉันก็ต้องรู้ให้ได้ ว่ามันคืออะไรกันแน่”
อ่านต่อหน้า 2
สาปสาง ตอนที่ 9 (ต่อ)
ไทยังคงขุดต่อไป โดยมีแพรวเร่งอยู่ข้างๆ
“เร็วๆ สิ เร่งมือหน่อย”
แพรวเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ก็เห็นว่าเมฆดำเริ่มเคลื่อนออกจากพระจันทร์เล็กน้อย
“ฉันบอกให้เร็วๆ ไงล่ะ ชักช้าอยู่ได้”
ไทหยุดขุด
แพรวถาม “หยุดทำไม”
“พอที ฉันทำใจไม่ได้แล้ว”
“หมายความว่ายังไง ทำใจไม่ได้?” แพรวงง
“ฉันไม่กล้าเจอช่อ”
“นังช่อมันเหลือแต่ซากแล้ว แกยังจะอาลัยอาวรณ์มันอีกเหรอ!”
“เราไปถามพ่อปู่กันเถอะ ว่ายังมีวิธีอื่นไหม”
“ไม่ต้องพูดมาก ถ้าแกไม่กล้าก็ไสหัวไป ฉันจะทำเอง”
แพรวแย่งจอบมาจากไทแล้วจะขุดแต่ไทห้ามไว้
“หยุดนะแพรว!”
“ออกไป! ไปให้พ้น!”
“มันต้องมีวิธีอื่นสิ แพรว ฉันบอกให้หยุด!”
“ไอ้หน้าโง่ ตะรางรออยู่ตรงหน้าแล้ว ยังจะมาทำปากดีอีก!”
“ใช่!! ถ้ามันเกิดอะไร ฉันอาจจะต้องติดคุก แต่เธอล่ะ??ถ้าฉันไม่พูด เธอก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย แล้วทำไมเธอถึงอยากจะทำร้ายช่อนัก ฮะ ทำไม!!”
แพรวชะงักไปเพราะเถียงไม่ออก
“ช่อเขากลับมาแย่งไอ้กรณ์ของเธอไม่ได้แล้ว ทำไมเธอไม่หยุด!”
แพรวผุดรอยยิ้มร้าย
“นี่แกพูดอะไรออกมา แกรู้ตัวบ้างรึเปล่า”
“ฉันก็พูดให้สติแกไง” ไทบอก
“ฉันต่างหากที่ต้องให้สติแก เราเป็นเพื่อนกันนะไท แกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน เป็นเพื่อนคนเดียวของฉัน ที่ฉันต้องทำก็เพราะไม่อยากให้แกต้องเดือดร้อน แค่นี้ ทำไมแกไม่เข้าใจ”
ไทฟังแล้วถึงกับอึ้งไปเพราะหลงเชื่อคำแพรว แพรวลอบยิ้มอย่างสาสมใจ
“ขอบใจแกมากนะที่คิดจะช่วยฉัน แต่….”
“ไม่มีแต่ ฉันไม่ปล่อยให้แกเดือดร้อนแน่ ถึงแกจะไม่เห็นด้วยก็เถอะ”
แพรวลงมือขุด ไทจะห้ามแต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนเปิดรั้วเข้ามา
“มีคนมา!” ไทรีบบอก
แพรวรีบเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ก็เห็นว่าเมฆดำเคลื่อนผ่านไปมากแล้ว
“เร็วเข้า แกรีบลงมือ ฉันจะไปจัดการเอง” แพรวบอก
แพรวรีบออกไป
พริ้วพยายามตั้งสติให้มั่นก่อนจะก้าวไป หมอกดำก่อตัวอย่างรอที่จะจู่โจม
เฟยเขียนยันต์ครบ
“ครบแล้ว อาพริ้ว ต่อไปนี้ลื้อมียันต์คุ้มครองแล้ว!”
พริ้วค่อยๆ ก้าวเข้าไปในโรงละคร หมอกดำพุ่งเข้าจู่โจมพริ้วแต่ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นรอบกายพริ้ว แสงวาบนั้นสะกัดกั้นหมอกดำให้สลายตัวไป
พริ้วมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยความตกตะลึง
“นี่มันอะไรกัน … มันคืออะไรกันแน่”
แพรวเดินมาเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เธอตกใจจึงรีบหลบมุมซุ่มดู
“นั่นมันอะไรกันน่ะ เกิดอะไรขึ้น”
แสงวาบสว่างขึ้นอย่างรุนแรงวาบเดียว หมอกดำสลายตัวไป พริ้วยืนหน้าตื่นอยู่ ส่วนแพรวครุ่นคิดว่าจะทำยังไงต่อไปดี พริ้วจะเดินไปต่อ แต่ทันใดนั้นก็ถูกณราที่มาถึงพอดีคว้าตัวไว้
“พริ้ว !” ณราพูดต่อ “อย่าทำอะไรแบบนี้อีกนะ!”
“ปล่อยฉัน! ฉันกำลังจะรู้ความจริงแล้ว”
“ไม่ปล่อย คุณต้องไปกับผม”
ณราดึงตัวพริ้วไปจนได้
“ปล่อยสิ ฉันบอกให้ปล่อย”
ณราลากตัวพริ้วออกไป แพรวออกมาจากที่ซ่อนอย่างโล่งอก พอเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ก็เห็นว่าใกล้จะเต็มดวงแล้ว
“แย่แล้ว !”
แพรวรีบวิ่งกลับเข้าไปข้างในทันที
แพรววิ่งเข้ามา
“ไท เร็วเข้า เราต้องรีบไปจากที่นี่ เร็วๆ”
“ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้น”
“พระจันทร์เต็มดวง มนต์ดำอำพรางจะเสื่อม! เราต้องรีบไปก่อนที่ผีเจ้าที่มันจะออกมาเล่นงานเรา ไปเร็วเข้า”
ไทเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ แพรวจ้องไปที่หลุมศพช่อเอื้องอย่างเคียดแค้น
“ครั้งนี้แกรอดไปได้ แต่ครั้งหน้า แกไม่รอดแน่ นังช่อ!!”
อ่านต่อหน้า 3
สาปสาง ตอนที่ 9 (ต่อ)
ณราจอดรถแล้วเดินลงไปเปิดประตูฝั่งพริ้ว
“ลงมา!”
“ไม่! ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“ยังจะมาเถียงอีก ก็เห็นอยู่ว่าคุณกำลังจะเป็นลม เป็นบ่อยๆ แบบนี้ผมว่ามันไม่ปกติ ลงไปให้หมอตรวจอีกทีเถอะ”
“ฉันไม่ไป”
“อย่าดื้อสิคุณ”
ณราเข้ามาจะรวบตัวพริ้วลงจากรถ
พริ้วโวยลั่น “ปล่อยนะ! ฉันบอกให้ปล่อย!”
พริ้วต่อสู้ดิ้นรนขัดขืนแต่ณราก็ไม่ยอมปล่อย พริ้วพลั้งมือตบหน้าณราดังฉาด!
พริ้วตกใจตัวเองเหมือนกัน “ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันขอโทษ”
พริ้วพูดแล้วก็วิ่งหนีไป ณราตัดสินใจไม่ตาม เขาได้แต่ถอนใจเฮือก
พ่อปู่ผลักหัวอนงค์ออกจากหน้ารั้วตำหนักไป
“ไปให้พ้นอีสู่รู้!! แล้วอย่ากล้าดีกลับมาอีกเชียวนะ! ไม่งั้นกูจะให้ผีตายโหงเล่นงานมึง!”
“ว้าย!! กลัวแล้วจ้ะ อย่าทำอะไรฉันเลย”
“กลัวก็ไสหัวไปสิวะอีนี่!!”
“ไปแล้วจ้ะ ไปแล้ว”
อนงค์รีบวิ่งหนีไป พ่อปู่มองตามไปด้วยใจขุ่นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ก็เห็นว่าส่องสว่างไร้เงาเมฆปกคลุม พ่อปู่หน้าตึงขมึงโกรธ
“ไอ้อีหน้าโง่ หมดเวลาของพวกมึงแล้ว!”
แพรวกับไทหน้าดำคร่ำเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ทำไมมันถึงอย่างนี้ไปได้ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเราทำพลาด” แพรวว่า
“มันอาจจะดีแล้วนะที่เป็นแบบนี้” ไทบอก
“ดีบ้าบออะไรกัน ซากนังช่อยังอยู่ที่นั่น ความผิดของแกก็ยังอยู่ที่นั่น อย่างนี้แล้ว ยังจะมีหน้ามาบอกว่าดีอีกเหรอ นี่แกบ้ารึเปล่า เอาอะไรมาพูด”
“พอทีเถอะแพรว หยุดด่าฉันได้แล้ว ไหนว่ารักว่าห่วงฉันนักไม่เหรอ”
แพรวรู้ตัวว่าพลาดไปก็รีบกลบเกลื่อนทันที
“ก็เพราะห่วงน่ะสิ ฉันถึงได้โมโหอยู่นี่ไง เราทำไม่สำเร็จก็หมายความว่าแกยังไม่ปลอดภัย เข้าใจรึยังล่ะ”
ไทอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะเห็นด้วยกับแพรวจึงถามด้วยเสียงอ่อนลง
“แล้วจะเอาไงต่อ”
“ถามฉันไม่ได้หรอก เรื่องแบบนี้ ต้องไปถามพ่อปู่”
อนงค์กลับมาถึงบ้านอย่างรีบร้อน เธอรีบเปิด-ปิดรั้วแล้วเข้าไปด้านใน
“โอย นี่มันอะไรกันนักกันหนาหนอ…มันเรื่องอะไรกัน”
อนงค์เข้ามาเจอไทอยู่ในบ้านกับแพรวก็ชะงักแล้วชี้หน้าไท
“แก!! แกมาชวนลูกฉันไปทำเรื่องบ้าบออะไรกัน บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”
อนงค์จะเข้าไปตบตีไท แต่แพรวเข้ามาห้ามไว้
“อะไรของแม่น่ะ หยุดนะ”
“พวกแกน่ะสิหยุด ไม่ใช่ฉัน บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าพวกแกสุมหัวทำอะไรกันอยู่ บอกมา! บอกมาสิ บอกฉันมา!”
“พอได้แล้วแม่”
แพรวแยกอนงค์ออกจากไท
แพรวว่า “เลิกยุ่งกับพวกเราซะที เรื่องทั้งหมด มันไม่เกี่ยวกับแม่หรอก ไม่ต้องมายุ่ง!”
ไทหันไปบอกกับแพรว
“ฉันกลับก่อนนะ แล้วเจอกัน”
ไทเดินออกไป อนงค์ได้ทีก็ว่าไล่หลัง
“ไปเลยนะ แล้วไม่ต้องกลับมาเหยียบบ้านนี้อีก ไปให้พ้น!!”
อนงค์ปิดประตูดังปังก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับแพรว
“สารภาพมาซะดีๆ ว่าแกทำอะไรลงไป”
“เลิกถามได้แล้ว รู้แค่ว่า ถ้าฉันไม่ทำ แม่น่ะแหละที่ต้องเสียใจ จำเอาไว้!”
แพรวพูดจบก็วิ่งขึ้นบันไดไป อนงค์ได้แต่อึ้ง
“เสียใจ??….นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
แพรวเข้าห้องมาแล้วปิดประตูดังปัง!
“บ้าที่สุดเลย!! ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้นะ”
เธอนึกถึงตอนที่เห็นพริ้วกับณราที่โรงละคร
“อยากรู้นักว่าพวกมันเป็นใคร ทำไมต้องไปที่นั่นด้วย”
แพรวฮึ่มฮั่มด้วยความโกรธ
พริ้วตกใจเมื่อเห็นยันต์ที่พ่อเขียนให้ทั้งหมด
“หมายความว่ายันต์พวกนี้จะช่วยปกป้องคุ้มครองฉันได้เหรอป๊า”
“ก็ใช่น่ะสิ ไม่อย่างนั้นอั๊วจะนั่งเขียนให้ลื้อจนดึกดื่นทำไม”
พริ้วมองยันต์แล้วนิ่งคิดถึงตอนที่จะเดินเข้าไปในบริเวณที่ดินโรงละครแล้วสัมผัสได้ถึงแรงทำลายและแรงต้าน พริ้วพึมพำกับตัวเอง
“อย่างนี้นี่เอง”
อ่านต่อหน้า 4
สาปสาง ตอนที่ 9 (ต่อ)
ณรากำลังจะออกจากบ้าน ฤดีเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนลูก”
“ครับคุณแม่?”
“ตกลงเรื่องฮวงจุ้ยที่ดินผืนนั้น ซินแสเขาว่ายังไงบ้าง”
“ยังไม่ได้ดูเลยครับ”
“อ้าว แล้วมัวรออะไรอยู่ ไหนว่ารีบอยากเปิดโรงแรมใหม่ไม่ใช่เหรอ”
“คือว่า ซินแสเธอร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงน่ะครับ”
“เธอ??….นี่ซินแสที่ลูกพูดถึงเป็นผู้หญิงงั้นเหรอ?”
“ครับ”
“แต่ว่าทางเราไม่เคยใช้ซินแสผู้หญิงมาก่อนนะ ทำไมลูกไม่ติดต่อซินแสเฟย ซินแสเก่าแก่ของเราล่ะ”
“ผมให้เลขาเป็นคนติดต่อ แล้วก็ได้คนนี้มา ผมก็เลยเข้าใจว่าเป็นคนเดิมน่ะครับ”
“ลูกเพิ่งกลับมาเริ่มงาน คงยังไม่รู้อะไร แม่เลขาตัวดีเลยมั่วใส่ หาใครก็ไม่รู้มาให้ลูกน่ะสิ”
“คงไม่ใช่อย่างนั้นมังครับ”
“ไว้ใจได้ซะที่ไหน เอาอย่างนี้ บอกให้เขาติดต่อสินแซเฟยมาให้ได้ คนอื่นแม่ไม่ไว้ใจ”
“อืมม…ขนาดนั้นเชียวเหรอครับคุณแม่”
“เรื่องสำคัญขนาดนี้จะใช้คนแปลกหน้าได้ยังไง ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ต้องเป็นซินแสเฟยคนเดียวเท่านั้น คนอื่นแม่ไม่เอา”
ฤดีทำหน้าเครียดและจริงจังใส่ณรา
พริ้วกำลังซ้อมปั้นสีหน้านิ่งๆ
พริ้วพูดเสียงแข็ง “เอกสารที่ต้องเซ็นต์ด่วนภายในวันนี้ค่ะ ฮึ่ย! ไม่ได้ เราเป็นเลขาเขา ต้องไม่ใช้น้ำเสียงแบบนี้สิ เอาใหม่” พริ้วปั้นหน้าอ่อนหวานขึ้น “สวัสดีค่ะบอส เอกสารที่ต้องเซ็นต์ด่วนภายในวันนี้ค่ะ ฮึ่ยยย รับไม่ได้อ่ะ! ทำไมฉันต้องอ่อนหวานใส่นายด้วยนะ คนบ้า!”
เสียงณราดังขึ้น “คุณทักเจ้านายแบบนี้เหรอ”
พริ้วสะดุ้งเฮือกก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเห็นณราอยู่ตรงหน้า
“เอ่อ ไม่ใช่นะคะ ฉันไม่ได้ทักคุณนะคะ ฉัน…..”
ณราแทรกขึ้น “อารมณ์เสียเรื่องเมื่อคืนงั้นเหรอครับ”
“เรื่องอื่นฉันไม่สนหรอก ฉันมาที่นี่เพื่อทำงาน”
“งั้นผมมีงานแรกจะให้คุณทำ”
“สั่งมาเลยค่ะ”
“ตามตัวซินแสเฟยมาพบผมด้วย”
ณราจะเดินเข้าห้องแต่พริ้วรีบเรียกไว้
“ตามมาทำไมล่ะคะ คุณก็มีฉันอยู่แล้วนี่”
ณราอมยิ้ม “แต่ดูเหมือนซินแสของผมจะยังไม่ได้เริ่มงานเลยนะ เริ่มทีไหร่ ป่วยทุกที”
“ฉันไม่ได้ป่วย”
“ทำตามที่ผมสั่ง ตามซินแสเฟยมา วันนี้เราจะไปดูที่โรงละครกัน”
ณราเดินเข้าห้อง พริ้วหน้าตื่น
“จะให้ตามป๊ามา ก็รู้กันหมดสิว่าเราสวมรอย” พริ้วคิด “เอาไงดีนะ”
แพรวแต่งตัวเสร็จแล้วก็จะออกจากห้อง เธอดึงประตูแล้วพบว่าติด แพรวลองเขย่าดูก็พบว่าเปิดไม่ได้
“ฮึ่ย อะไรกันเนี่ย” แพรวตะโกน “แม่ แม่ มาดูให้หน่อย ประตูติดอะไรก็ไม่รู้ เปิดไม่ออก”
ไม่มีเสียงตอบจากอนงค์ แพรวยิ่งหัวเสียจึงตะโกนดังกว่าเดิมด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“แม่!!! หูหนวกรึไง ฉันบอกให้ขึ้นมาดูให้หน่อย!”
แพรวทั้งกระชากทั้งเขย่าประตูด้วยอารมณ์เดือดดาล
อนงค์ยืนมองประตูที่ใส่กุญแจเอาไว้ด้วยความร้อนรุ่มกลุ้มใจ เสียงแพรวดังลอดออกมา
“แม่!! แม่!”
อนงค์พูดเบาๆ กับตัวเอง “แม่ขอโทษนะลูก แม่จำเป็นต้องทำแบบนี้จริงๆ แม่ไม่อยากให้แกออกไปทำเรื่องผิดๆ ชั่วๆเลย ยกโทษให้แม่นะลูก”
แพรวที่อยู่ในห้องหัวเสียเต็มที่จึงกรี๊ดออกมาด้วยความโกรธก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง
“หรือว่าแม่จะขังเรา ใช่แน่ๆ แม่ต้องทำแบบนั้นแน่ๆ”
แพรวมองไปรอบๆ สายตาของเธอไปหยุดที่หน้าต่าง
“อย่าคิดนะว่าจะขังคนอย่างฉันได้”
ไทมาถึงหน้าตำหนักพ่อปู่แต่มองไปไม่เห็นแพรว
“ทำไมยังไม่มา”
ไทกดโทรศัพท์หาแพรว เธอได้ยินเสียงสัญญาณรอสายแต่ไม่มีคนรับ ไทแปลกใจ
“ก็นัดกันแล้วนี่นา”
เสียงพ่อปู่ดังขึ้น “ไอ้สารเลว!”
ไทสะดุ้งเฮือก เขาหันขวับกลับไปมองตามเสียงก็เห็นพ่อปู่ยืนอยู่ด้วยใบหน้าถมึงถึง
“มึงยังมีหน้ากลับมาหากูอีกรึ ไอ้หน้าโง่!”
ไทผงะและทำหน้าตาตื่นๆ
อ่านต่อตอนที่ 10