สาปสาง ตอนที่ 8
อนงค์กวาดใบไม้อยู่หน้าบ้าน อีกาดำบินโฉบลงมาเกาะที่รั้ว
อนงค์หันไปเห็นเข้าถึงกับใจหายวาบ อนงค์ทำไม้กวาดหลุดมือตกลงพื้น
“อีกา! มันมาอีกแล้ว ต้องมีเรื่องอีกแน่ๆ”
อนงค์หน้าเสีย
แพรวนั่งท่องบทอยู่หน้ากระจก ทันใดนั้นเธอก็ปวดหัวจี๊ดขึ้นมา
“โอ๊ย”
แพรวทิ้งบทในมือแล้วยกมือขึ้นกุมหัวด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น เดินออกไปด้านนอก
แพรวเดินโซซัดโซเซออกมาเจออีกาบินมาเกาะตรงหน้า
“อีกา!!”
อีกาที่เกาะอยู่ตามที่ต่างๆ หน้าตำหนักส่งเสียงร้องเซงแซ่ แพรวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าจริงจัง ขึงขัง แล้วเดินเข้าไปด้านใน
แพรวเดินเข้ามาหาพ่อปู่
“มาแล้วรึอีเลือดดำ!”
“ที่ฉันปวดหัวจี๊ดอยู่นี่ เพราะพ่อปู่เหรอจ้ะ แล้วทำไมต้องทำแบบนี้กับฉันด้วย”
“กูเป่ามนต์ใส่กระโหลกมึง มึงยังจะกล้ามาปากดีกับกูอีกรึอีเลือดชั่ว”
แพรวจ๋อยไปเมื่อถูกพ่อปู่ตวาดใส่เสียงดัง
“แล้วพ่อปู่เรียกฉันมา มีเรื่องอะไรอีกเหรอจ้ะ” แพรวถาม
“ที่โรงละครร้างนั่นเจ้าที่มันแรง มึงกับเพื่อนจะบุกเข้าไปทำเรื่องชั่ว ๆ มันคงไม่ยอมแน่”
“แล้วต้องทำยังไงล่ะจ้ะพ่อปู่”
“กูจะใช้มนต์ดำอำพรางตัวให้พวกมันมองไม่เห็นมึง”
“มนต์ดำอำพราง”
“กูจะร่ายมนต์ให้มึงตั้งแต่ตอนนี้จนจันทร์ขึ้น มนต์จะมีฤทธิ์ก็ต่อเมื่อจันทร์ดับ”
แพรวกระหยิ้มยิ่มย่องด้วยความยินดี
แพรวพึมพำ “ไม่มีอะไรมาขัดขวางฉันได้หรอก อีนังช่อ!”
พริ้ววุ่นอยู่กับกองเอกสารตรงหน้า
“โอ๊ย ทำไมมันเยอะแยะอย่างนี้นะ เพิ่งวันแรกของฉัน ฉันจะรู้เรื่องไหมเนี่ย มึนไปหมดแล้ว”
เสียงณราดังขึ้น “บ่นอะไร”
พริ้วสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง ณราเดินเข้ามาด้วยสีหน้าดุ
“คุณต้องการอะไรคะ” พริ้วถาม
“ผมแค่จะเช็คว่าคุณไหวน่ะ … ไหวรึเปล่า?”
“ขอโทษนะคะ นี่เพิ่งวันแรก แล้วคุณก็ไม่ได้เวลาฉันเตรียมตัวล่วงหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้น อย่ามาตัดสินฉัน!”
“คุณนี่เฮี้ยวไม่เบานะ กล้าเถียงผมอย่างนี้ ไม่กลัวถูกไล่ออกตั้งแต่วันแรกเหรอ”
พริ้วจะเถียงแต่แล้วก็ชะงักมองณราด้วยสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจไม่พูด
“คุณอย่ามาหาเรื่องฉันดีกว่า ต้องการอะไรก็สั่งมาสิคะ” พริ้วประชด “บอส”
“ผมแค่จะมาย้ำว่า อย่าลืมนัดของเรา”
“อย่าเรียกว่านัดของเราเลยค่ะ เรียกว่างานของคุณดีกว่า มันเป็นแค่งานที่ฉันต้องทำแทนคุณในฐานะซินแส ไม่ใช่เลขา”
“หวังว่าคืนนี้คุณจะไม่เป็นลมเหมือนคราวที่แล้วนะ”
“ก็ฉันบอกคุณแล้วไงว่าฉันไม่ได้เป็นลม”
“หึ…เดี๋ยวก็รู้”
ณราหมุนตัวกลับไป
“หาเรื่องชะมัดเลย คนอะไร” พริ้วว่า
อนงค์ครุ่นคิดและกังวลจนนั่งไม่ติด
“มันต้องมีอะไรแน่ๆ เอายังไงดี ถ้าลูกเรามันเกิดไปทำเรื่องอะไรเข้า มันจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ โธ่ ลูกหนอลูก”
อนงค์ครุ่นคิดแล้วก็กุมขมับด้วยความเครียดก่อนจะตัดสินใจ
“เอาวะ! ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ไปดูให้เห็นกับตาไปเลย ว่ามันคิดจะทำอะไรกันแน่”
อนงค์พูดแล้วก็ก้าวฉับๆ ออกไปจากบ้าน
พริ้วหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ความรู้เราก็แค่หางอึ่ง แค่จำป๊ามาบ้างก็เท่านั้น จะไปดูดวง ดูอะไรให้ใครได้ ทำไงดี” พริ้วคิด “หรือมั่วๆ ไปก่อน….แล้วถ้าจับได้ล่ะว่าเรามั่ว…”
โทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้น พริ้วสะดุ้งเฮือกก่อนจะรีบรับ
“เลขาค่ะ”
ณราพูดจากปลายสาย “เชิญที่ห้องทำงานผม”
“ค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
อ่านต่อหน้า 2
สาปสาง ตอนที่ 8 (ต่อ)
พริ้วเคาะประตู
ณราบอก “เข้ามา”
พริ้วรีบเปิดเข้ามา
“มีอะไรคะบอส”
“โรงแรมที่พัทยามีปัญหา ผมต้องรีบไปดูด่วน”
“ค่ะ”
“แค่ค่ะงั้นเหรอ?”
พริ้วทำหน้างงๆ
“แล้ว คุณจะให้ฉันทำอะไรล่ะคะ”
“คุณต้องไปกับผม เพราะคุณเป็นเลขา”
“เอ่อ ….. ไปกันสองต่อสองเหรอคะ”
“ทำไม? คุณมีปัญหาอะไร”
พริ้วอึกอัก “เอ่อ….”
“ผมไม่หลอกคุณไปปล่อยหรอกน่า ทำเป็นกลัวไปได้ รีบไปเตรียมตัวสิ”
“ค่ะ”
พริ้วออกจากห้องแล้วก็คิดก่อนจะหันกลับมาถามอีกครั้ง
“ต้องไปจริงๆ เหรอคะ?”
“คุณเป็นเลขาผมนะ จะทิ้งผมได้ยังไง อีกสิบห้านาทีจะออกเดินทาง”
“ค่ะๆ”
พริ้วรีบออกไป ณรามองตามแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้
“กลัวหลอกไปปล้ำรึไง ดูทำหน้าเข้า”
ยันต์จีนสีเหลือง สีแดงที่ติดไว้ตามที่ต่างๆ ที่บ้านของพริ้วสะบัดปลิวตามแรงลม
เสียงเฟยสั่งดัง “พวกลื้อสองคนนอนอยู่ใต้โลงศพ!!”
เฟยกำลังดูดวงให้กับลูกค้า สามีภรรยาที่มีสีหน้ากลุ้มใจมาก
“ซินแสหมายความว่ายังไงที่ว่าอั๊วกับเมียนอนใต้โลงศพ โลงศพที่ไหนกัน”
“ก็รูปที่ลื้อถ่ายมาให้อั๊วดู มันฟ้องตำตาว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ”
เฟยจิ้มๆ ที่รูปถ่ายสองสามใบซึ่งเป็นรูปห้องนอน บ้าน และส่วนต่างๆของบ้าน
“แต่ชั้นบนเหนือห้องนอนมันเป็นดาดฟ้านะซินแส มันจะเป็นโลงศพได้ยังไงกัน” ภรรยาบอก
“ลื้อดูนี่”
เฟยจิ้มที่ชั้นบนของดาดฟ้าซึ่งมีห้องเก็บเครื่องมือเก็บของเล็กๆ ตั้งอยู่กลางลาน ลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า
“นี่ไงโลงศพ!”
สามีกับภรรยาตกใจ
“แล้วเตียงพวกลื้อก็ตั้งอยู่ใต้จุดนี้พอดี อั๊วะถึงบอกว่าพวกลื้อนอนอยู่ใต้โลงศพยังไงล่ะ มันถึงได้เจ็บได้ไข้กันกระเสาะกระแสะ อยู่นี่ไง”
“แล้วพวกเราต้องทำยังไงล่ะซินแส” ภรรยาถาม
“ไม่ยาก ลื้อก็แค่ย้ายเตียงนอนไปไว้มุมอื่น อย่าให้มันตรงกับจุดนี้ หรือไม่งั้นก็เปลี่ยนห้องนอน ก็แค่นั้น”
“แค่นั้นจริงๆ เหรอ พวกเราจะไม่มีใครเจ็บป่วยอีกแล้วใช่ไหม”
เฟยไม่ตอบแต่พยักหน้ารับ โทรศัพท์บ้านดังขึ้น เฟยลุกไปรับ
“ฮัลโหล”
พริ้วพูดจากปลายสาย “ป๊า”
พริ้วโทรศัพท์หาเฟย
“วันนี้หนูกลับช้าหน่อยนะป๊า ต้องติดตามเจ้านายไปดูงานที่พัทยาน่ะจ้ะ ป๊าไม่ต้องรอนะ”
“อาพริ้ว จำที่อั๊วะบอกลื้อได้ไหม”
“เรื่องไหนล่ะป๊า ป๊าบอกหนูตั้งหลายเรื่อง”
“ก็เรื่องเจ้านายลื้อนั่นแหละ ลื้อจะยุ่งจะเกี่ยวกับเขาก็ขอให้มันเป็นแค่เรื่องงาน ส่วนเรื่องส่วนตัวเขา ห้ามลื้อเข้าไปยุ่งเด็ดขาด จำคำอั๊วไว้ ว่าห้ามเด็ดขาด!”
“จ้ะป๊า แค่นี้ก่อนนะ ฉันต้องไปแล้ว”
พริ้ววางสาย
“อยากยุ่งตายล่ะ”
อีกาที่เกาะอยู่เต็มบริเวณหน้าตำหนักกระพือปีกกันพรึ่บพั่บ อนงค์ค่อยๆ ก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าหวาดๆ แต่ก็อยากรู้อยากเห็น
“อย่าว่ากันเลยนะพ่อปู่ แต่ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าลูกฉันมันคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่”
อนงค์พูดแล้วก็ก้าวเข้าไปข้างในบริเวณตำหนัก
แพรวในชุดนุ่งดำห่มดำนั่งขัดสมาธิหลับตา เอามือวางเหนือเข่า เผชิญหน้ากับพ่อปู่ที่กำลังท่องมนต์
อีกด้านหนึ่ง อนงค์พยายามลักลอบคลำทางฝ่าความมืดเข้ามาอย่างเงียบๆ พร้อมทั้งพึมพำกับตัวเอง
“ขออย่าให้เกิดอะไรขึ้นเลย เพี้ยง”
พ่อปู่ยังคงร่ายมนต์ แพรวนั่งหลับตานิ่ง หมอกดำค่อยๆ ก่อตัวขึ้นออกจากปากพ่อปู่ อนงค์คลำทางมาในความมืด ทันใดนั้นตุ๊กแกก็ร้องขึ้น
อนงค์ตกใจ “ว้าย!”
อนงค์หลุดปากร้องว้ายแต่ยกมือปิดปากตัวเองไว้ได้ทัน ใจของเธอเต้นระรัว เธอไม่กล้าไปต่อได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อแล้วกลอกตาไปมา
หมอกดำเริ่มเข้าปกคลุมร่างแพรวจากด้านล่างขึ้นสู่ด้านบน
อนงค์พยายามตั้งสติข่มความกลัวแล้วค่อยๆ ก้าวเท้าไปต่อ
หมอกดำที่พันร่างแพรวค่อยๆ พันสูงขึ้นเรื่อยๆ แพรวลืมตาขึ้นมองด้วยรอยยิ้มสาสมใจ ลำตัวของแพรวที่ถูกหมอกดำปกคลุมค่อยๆ เลือนจนมองไม่เห็น อนงค์ก้าวเข้ามาเรื่อยๆ จนเริ่มได้ยินเสียงพ่อปู่ท่องมนต์
“เสียง!?”
อนงค์หันมองไปรอบๆ เพื่อหาที่มาของเสียงก่อนจะก้าวไปทางหนึ่ง
หมอกดำพันมาถึงคอแพรว
อนงค์รีบสาวเท้าไปยังที่มาของเสียงพ่อปู่ที่ดังขึ้นเรื่อยๆ
อ่านต่อหน้า 3
สาปสาง ตอนที่ 8 (ต่อ)
หมอกดำเริ่มพันถึงใบหน้าแพรว เสียงสวดมนต์ดังเกรี้ยวกราดขึ้นกว่าเดิม
หมอกดำปกคลุมแพรวจนเกือบทั่วทั้งตัวแล้ว ทันใดนั้นอนงค์ก็เข้ามาถึง
อนงค์รีบบอก “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!”
แพรวผงะลืมตาขึ้นแต่หมอกดำคลุมร่างแพรวไว้หมดพอดิบพอดี ร่างแพรวหายไป อนงค์รีบเข้ามา
“นี่มันอะไรกัน พ่อปู่ทำอะไรลูกสาวฉัน ลูกฉันหายไปไหน เอาลูกฉันคืนมา เอาลูกฉันคืนมา”
อนงค์เข้าไปเขย่าร่างพ่อปู่
“อย่าทำอะไรลูกฉันเลย เอาลูกฉันคืนมา”
“อีแก่! มึงนี่ช่างสู่รู้นัก กล้าดียังไงบุกเข้ามาในตำหนักกู!มึงเกือบจะทำพิธีกูเสื่อมเสียแล้วไหมล่ะอีนี่!”
พ่อปู่กระชากผมอนงค์
“โอ๊ย!! พ่อปู่จะทำอะไรฉัน ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉัน”
“ขืนกูปล่อย มึงได้ทำฉิบหายวายวอดหมด มานี่ อีตัวดี!”
พ่อปู่ลากหัวอนงค์ไปทางหนึ่ง
พ่อปู่ลากตัวอนงค์มา
อนงค์โวยวาย “ปล่อยฉัน! จะทำอะไรฉัน! ปล่อย!”
พ่อปู่กระชากประตูเปิดออก
อนงค์โวย “ปล่อยฉัน!”
พ่อปู่ผลักร่างอนงค์เข้าไปในห้องแล้วปิดประตูล็อคกุญแจจากภายนอก
“ปล่อยฉันนะ ขังฉันไว้ทำไม ปล่อยฉัน!”
“มึงต้องถูกขังก็เพราะลูกมึงนั่นแหละอีตัวดี!”
พ่อปู่เป่ามนต์ลงที่ประตูก่อนเดินออกไป
อนงค์ตะโกนลั่น “ช่วยด้วย! ใครก็ได้ ช่วยฉันที ปล่อยฉันออกไป!!”
แพรวยืนรออยู่ พ่อปู่กลับเข้ามา
แพรวถาม “สำเร็จแล้วใช่ไหมพ่อปู่ ฉันมีมนต์ดำพรางตัวแล้วใช่ไหม”
“ใช่! แต่มึงต้องรอจนจันทร์ดับถึงจะเข้าไปขุดศพอีช่อได้”
“แล้วมันอีกนานไหมล่ะจ้ะพ่อปู่”
พ่อปู่แหงนหน้าขึ้นมองฟ้าก็เห็นพระจันทร์เสี้ยวกำลังถูกเมฆดำเคลื่อนเข้าปกคลุม
“ได้เวลาของมึงแล้วอีเลือดดำ!! ไปขุดร่างมันมาให้กู! กูจะจัดการกับมันเอง”
แพรวยิ้มด้วยสีหน้าแววตาสมสมใจ
“แกเสร็จฉันแน่นังช่อ ความตายของแกจะต้องไม่มีใครรู้เห็นอีกต่อไป!”
พริ้วนั่งสับปะหงกอยู่ที่โซฟาพลางบ่นอุบอิบสลับกับหาว
“บอกให้เรามาด้วยในฐานะเลขา แล้วไงล่ะ พอมาถึงดันบอกว่าเป็นการประชุมเรื่องลับสุดยอด เราเข้าไมได้ โอ๊ย!! นายนี่มันน่าบีบคอให้ตายจริงๆ เลย!”
พริ้วพูดแล้วก็หาวก่อนจะหลับตาลงด้วยความง่วง
ณราประชุมอยู่กับผู้บริหารของโรงแรมสาขาพัทยา
“เอาเป็นว่าทำตามที่ผมแนะนำ” ณราบอก
“แต่มันเท่ากับแทงข้างหลังกันเลยนะครับ” ผู้บริหารคนหนึ่งท้วง
“มันเป็นเกมส์ธุรกิจ ไม่มีถูกมีผิด มีแต่แพ้กับชนะ และเราก็ต้องเป็นผู้ชนะเท่านั้น!”
ณราทำสีหน้าจริงจัง
ณราออกมาเห็นพริ้วนั่งหลับไปแล้วก็ยิ้มขำ เขาเดินเข้าไปหาแล้วจะปลุกแต่พอเห็นหน้าพริ้วตอนกำลังหลับก็ก้มลงไปมองใกล้ๆ
“สวยเหมือนกันนะเราเนี่ย”
ณรายิ้มให้กับตัวเองเพราะเริ่มรู้สึกดีกับพริ้ว แต่แล้วก็ต้องรีบเก็บอารมณ์ที่กำลังเพริด ด้วยการปั้นหน้าตวาดใส่พริ้ว
“ตื่นได้แล้วคุณ!!”
พริ้วสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมาทำหน้าตาเหรอหรา ณราหัวเราะชอบใจ
“คุณนี่ บ้าที่สุดเลย! ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย!” พริ้วไม่พอใจ
“ไม่ทำแบบนี้ แล้วจะให้ผมทำยังไง หรือจะให้ผมกลับกรุงเทพฯไปคนเดียว ทิ้งให้คุณนอนอยู่ที่นี่จนถึงเช้า”
พริ้วเถียงไม่ออกจึงได้แต่ทำหน้าบึ้งแล้วบ่นอุบอิบ
“ปลุกดีๆ ก็ได้นี่นา”
“ไปเถอะ กลับกรุงเทพกัน”
ณราดึงมือพริ้วให้ลุกขึ้น จังหวะที่ทั้งคู่มือสัมผัสกันทั้งพริ้วและณราต่างก็ใจวาบไปด้วยกันทั้งคู่ พริ้วหน้าแดงก่อนจะรีบดึงมือออก
“ฉันลุกเองได้ ไม่ต้องช่วยหรอกน่า”
ณราไม่ว่าอะไรได้แต่ยิ้มเจ้าเล่ห์นิดๆ ก่อนเดินนำออกไป พริ้วรีบคว้ากระเป๋าตามไป
ไทรออยู่แล้วด้วยสีหน้ากังวล เครียด เพราะไม่อยากทำ
“เอาไงดีวะ….ไม่อยากทำเลยจริงๆ ….หรือว่า…หรือว่ากลับเลยดีกว่า”
ไทหันหลังกลับก็เจอเข้ากับแพรวที่เข้ามาถึงพอดี
แพรวถาม “คิดจะหนีงั้นเหรอ”
ไทอึกอัก “เอ่อ….”
“ต่อให้นายหนีฉันได้ นายก็หนีความผิดที่ฆ่าคนตายไม่ได้หรอก ซากนังช่อจะฟ้องว่าแกเป็นฆาตกร”
ไทอึ้ง แพรวพูดต่อ “ถ้ายังมัวแต่รู้สึกผิด เห็นอกเห็นใจอีผีนี่ล่ะก็ ตามใจแก ฉันจะเข้าไปคนเดียว”
แพรวเดินไปยังทางเข้า ไทคิดหนักก่อนตัดสินใจเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนสิแพรว”
ไทหันไปมองจอบและหีบหวายยาวขนาดเท่าคนที่วางไว้ในมุมลับตาในตรอกนั้น ก่อนจะมองตามแพรวไป
ณราขับรถไป เหลือบตามองพริ้วไปก็เห็นว่าพริ้วหาวแล้วหาวอีก
“ง่วงก็นอนสิครับ เดี๋ยวถึงแล้วผมจะปลุก”
“จะให้นอนได้ยังไง อย่าลืมสิคะว่าเรายังมีงานเหลืออีกอย่างที่ยังไม่ได้ทำ”
“อะไรครับ”
“ก็คุณจะให้ฉันไปดูที่ให้ไม่ใช่เหรอ”
“แต่กว่าจะถึงกรุงเทพฯก็คงดึกมากแล้ว เอาไว้วันหลังค่อยไปก็แล้วกัน”
“ไม่ได้ ยังไงฉันก็ต้องไปวันนี้ ฉันจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าวันก่อนฉันไม่ได้เป็นลม ที่โรงละครนั่นมีพลังบางสิ่งอยู่จริงๆ และฉันก็อยากรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่”
พริ้วพูดอย่างหนักแน่นจริงจัง
อ่านต่อหน้า 4
สาปสาง ตอนที่ 8 (ต่อ)
แพรวหยุดอยู่ที่ประตูทางเข้า ไทแบกหีบและจอบตามมา
“แพรว รอฉันด้วย”
แพรวเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์กฌเห็นว่ากำลังถูกเมฆดำเคลื่อนเข้าปกคลุม
“ใกล้ถึงเวลาแล้ว” แพรวมองเข้าไปด้านใน “แกเสร็จฉันแน่นังช่อ!”
ณราที่ขับรถอยูเหลือบตามองดูพริ้วที่หลับไปแล้ว ณรามองแล้วอดยิ้มไม่ได้
“ทำเป็นเก่งนะยัยดื้อ สุดท้ายก็หลับ”
ป้ายกรุงเทพฯตรงไป รถของณราแล่นผ่านป้ายเข้ากรุงเทพฯไป
กรอบรูปบนหลังตู้โชว์หล่นลงมาเสียงกระจกแตกดังเพล้ง เฟยออกมาดูพอเห็นเข้าเขาก็รีบตรงไปหยิบขึ้นมาดูทำให้เห็นว่าเป็นรูปพริ้ว เศษกระจกบาดมือเฟยจนเลือดไหล เลือดหยดลงที่รูปตรงหน้าพริ้วพอดี เฟยชักใจไม่ดี
“อาพริ้ว….”
เมฆดำเคลื่อนเข้าปกคลุมดวงจันทร์จนมืดมืด แพรวเงยหน้ามองอย่างใจจดใจจ่อพร้อมกับยิ้มอย่างสาสมใจ
“ได้เวลาแล้ว ตามฉันมา”
แพรวเดินนำไทเข้าไปข้างใน หมอกขาวก่อตัวขึ้นทันทีเมื่อไทก้าวเข้าไป หมอกขาวค่อยๆ ขึ้นรูปเป็นคนขวางไทไว้
“แพรว รอก่อน!”
แพรวหันกลับมาเห็นแต่ก็ไม่มีท่าทีสะทกสะท้านใดๆ
“มันก็แค่ผีเจ้าที่ ไม่ต้องไปสนใจ มันทำอะไรคนดวงแข็งอย่างแกไม่ได้หรอก”
“แล้วเธอล่ะ”
“มันไม่มีทางมองเห็นฉันได้หรอก อีผีเฝ้าที่!”
แพรวเดินต่อไป ไทค่อยๆ ก้าวตามไป หมอกขาวตามไปพัวพันร่างไทแต่ก็รั้งไว้ไม่ได้
พริ้วสะดุ้งตื่นเพราะเสียงมือถือดัง เธอหยิบมาดูเบอร์แล้วรับ
“ฮัลโหล ป๊า”
เฟยคุยโทรศัพท์กับพริ้ว
“อาพริ้ว เสร็จงานแล้วลื้อรีบกลับบ้านเลยนะ”
พริ้วพูดโทรศัพท์ “งานยังไม่เสร็จเลยป๊า เหลืออีกอย่างหนึ่งที่ต้องทำที่กรุงเทพฯ”
“ลื้อรีบไปทำให้เสร็จ อั๊วจะรอจนกว่าลื้อจะกลับมา”
เฟยวางสายด้วยหน้าตาเป็นกังวลเพราะห่วงพริ้ว
พริ้วทำหน้างงๆ
“ทำไมป๊าดูแปลกๆ”
“คุณพ่อคุณคงหวงลูกสาวมากสินะ ถึงต้องโทรมาตาม”
“ปกติพ่อฉันไม่เป็นแบบนี้ ฉันจะกลับดึกดื่นยังไง แค่โทรบอก ก็เท่านั้น แต่เมื่อกี้นี้น้ำเสียงพ่อฉันฟังดูเครียดๆ ต้องมีเรื่องอะไรแน่”
พริ้วมีสีหน้ากังวล
เฟยนั่งอยู่โต๊ะกลมกลางห้อง ในมือของเขาถือพู่กันและมีกระดาษสีแดงวางอยู่ตรงหน้า
“อั๊วะจะเขียนยันต์คุ้มครองให้ลื้อปลอดภัย จะไม่มีสิ่งใดมาทำอันตรายลื้อได้เป็นอันขาด”
เฟยลงมือตวัดพู่กันลงบนกระดาษสีแดงหลายต่อหลายแผ่นโดยเขียนคำจีนว่า ปกป้อง-ปลอดภัย
อนงค์ฟุบอยู่ที่ประตูหลังจากทุบประตูอย่างคนหมดเรี่ยวแรง
“พ่อปู่ ปล่อยฉันออกไปเถอะจ้ะ ……ปล่อยฉันออกไปที ขังฉันไว้ทำไม ได้โปรดปล่อยฉันออกไปเถอะ”
อนงค์ร้องไห้จนตาบวม เธอหมดแรงจะร้องเรียกจึงได้แต่ร้องไห้ด้วยความเป็นห่วงลูก
“มันต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่ๆ” อนงค์พนมมือ “เจ้าประคู๊ณณณ คุณพระคุณเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง ได้โปรดช่วยดลจิตดลใจลูกสาวลูก อย่าให้มันคิดชั่วทำชั่วอะไรเล้ย ช่วยดลใจมันด้วยเถิด เพี้ยง!”
พ่อปู่ที่นั่งหลับตาภาวนามนต์อยู่ยิ้มชั่วร้าย
“เวลาของมึงมาถึงแล้ว อีเลือดชั่ว”
แพรวเดินนำหน้าไทเข้ามาเงยหน้าขึ้นมองฟ้าก็เห็นว่าฟ้ามืดสนิทเพราะไม่มีพระจันทร์
“ลงมือสิ รออะไรอยู่ล่ะ”
ไทรวบรวมสติก่อนพูดกับหลุมศพของช่อเอื้อง
“ขอโทษนะช่อ ยกโทษให้ฉันเถอะนะ”
แพรวหันมาว่า “มัวแต่พร่ำเพ้ออยู่ได้ ฉันบอกให้รีบลงมือ”
ไทเงื้อจอบจะขุด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามา
“มีคนมา!” แพรวรีบบอก
รถของณราแล่นเข้ามาจอดแล้วณราหันไปพูดกับพริ้ว
“เดี๋ยวเราจะได้รู้กันว่ามันคืออะไรกันแน่ ไม่แน่นะ ที่นี่ อาจจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ก็ได้”
ไทมีท่าทางตื่นตกใจ ในขณะที่แพรวดูตั้งสติได้ดีกว่า
“เอายังไงดีล่ะแพรว ถ้ามีคนมาเห็น มันต้องเป็นเรื่องแน่”
“มันอาจจะไม่ได้เข้ามาที่นี่ก็ได้ ฉันจะออกไปดู ส่วนแกก็ขุดต่อไป รีบๆ เข้าล่ะ”
แพรวเดินออกไป ส่วนไทใจคอไม่ดีแต่ก็รีบลงมือขุดต่อ
อ่านต่อตอนที่ 9