ลูกทาส ตอนที่ 1
ละครเรื่องนี้ สร้างขึ้นโดยอิงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งตัวละครบางตัว เป็นบุคคลที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ โดยทางคณะผู้จัดทำ มิได้มีเจตนาล่วงเกินแต่ประการใด แต่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้ได้อรรถรสในการรับชมละคร หากมีความผิดพลาดประการใด ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ในยามค่ำคืนอันเงียบสงบของวันที่ 23 ตุลาคม พุทธศักราช 2473 แก้ว ในวัยราว 64 ปี แต่งตัวภูมิฐาน ในชุดสูทสากลตามยุคสมัย เดินถือพวงมาลาดอกไม้สดเข้ามา ณ อนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้า รัชกาลที่ 5 ซึ่งตั้งตระหง่าน สง่างามอยู่
แก้วมอบพวงมาลาให้เจ้าหน้าที่ เพื่อนำไปสักการะ ก่อนจะเดินไปที่พระบรมรูป แล้วคุกเข่าลงกราบ 3 ครั้ง แม้ว่าเขาจะอายุมากแล้ว แต่ยังดูแข็งแรง เดินตัวตรง สีหน้าสดใส เมื่อกราบเสร็จก็พนมมืออธิษฐาน สีหน้าเคร่งขรึม
"ด้วยเดชะ พระบารมีของล้นเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้มีชีวิตรอดมาสู่ความสมหวังตามอุดมการณ์ วันที่ยี่สิบสามตุลาคมเวียนมาครั้งใด"
แก้วน้ำตาคลอ พูดต่อด้วยเสียงเครือๆ
"ครั้งนั้น ข้าพระพุทธเจ้ามิอาจลืมเลือนภาพชีวิตในอดีต ซึ่งชโลมด้วยเลือดและน้ำตาเสียได้เลย เพราะภาพในอดีตนั่นแล้ว ที่อาศัยพระบารมีมหาราชเจ้า ดลบันดาลให้ไอ้แก้ว ลูกทาสในเรือนเบี้ยเค้า ได้เป็นไท จนถึงวันนี้..."
แก้ว น้ำตาคลอเบ้า ด้วยความซาบซึ้งใจ และสะทกสะท้อนถึงชีวิตในอดีตของตน
บรรยากาศภายในพระที่นั่งสมมุติเทวราช เวลากลางคืน ขุนนางที่ปรึกษาทั้ง 12 คน กำลังหมอบกราบ ขณะที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 เสด็จผ่าน จนพระองค์ขึ้นไปนั่งประทับบนพระที่นั่ง
ณ วันพุธ เดือน 8 อุตราษาฒ ขึ้น 9 ค่ำซึ่งตรงกับวันพุธที่ 12 กรกฎาคม พุทธศักราช 2417เวลาค่ำ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงปรึกษากับที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน หรือ เคาน์ซิลเล่อร์ ด้วยการลดเกษียณอายุค่าตัวลูกทาส โดยผลจากการประชุมครั้งนี้ ทำให้มีพระบรมราชโองการ ในวันที่ 8 ตุลาคม ปีเดียวกันนั้น ให้ลูกทาสทุกคน ที่เกิดปีมะโรงสัมฤทธิศกเป็นต้นไป ไม่ว่าชายหรือหญิง ให้พ้นค่าตัวเป็นไท เมื่ออายุครบ ยี่สิบเอ็ดปี
พ.ศ. 2428 เช้าสาย ภายในสวน เรือนพระยาไชยากร น้ำทิพย์เด็ดดอกมะลิจากต้นแล้ววางลงในขัน
ที่แก้ว ทาสชายในวัย 19 ปีกำลังคุกเข่าถือขันใส่ดอกมะลิอยู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มีความสุขที่ได้รับใช้
น้ำทิพย์บุตรสาวพระยาไชยากรสีหน้ายิ้มแย้ม เลือกเด็ดดอกมะลิดอกต่อไปพร้อมชวนแก้วคุย
"เบื่อรึเปล่าแก้ว ต้องมาช่วยฉันเก็บดอกไม้ทุกวัน"
แก้วยิ้มรับ
"ไม่ขอรับ กระผมดีใจ ที่ได้รับใช้คุณน้ำทิพย์ขอรับ"
เธอยิ้มขำ ก่อนหันไปเก็บดอกไม้ต่อ
"ดีใจ เป็นชาย แต่ชอบเก็บดอกไม้อย่างงั้นรึ"
"คุณน้ำทิพย์เก็บดอกไม้ไปร้อยมาลัยบูชาพระ ไอ้แก้วช่วยคุณน้ำทิพย์เก็บดอกไม้ ก็เหมือนหนึ่งได้ทำบุญด้วย แล้วจะไม่ดีใจได้อย่างไรเล่าขอรับ"
เธอยิ้มอายๆ เพราะแก้วพูดอย่างงี้ ก็คล้ายๆกับตนและแก้วได้ทำบุญร่วมกัน
ขณะนั้นเอง บุญเจิมก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาคุกเข่า
"คุณน้ำทิพย์ คุณน้ำทิพย์เจ้าคะ เร็วเถิดเจ้าค่ะ"
น้ำทิพย์มองบุญเจิมด้วยสายตาตำหนิ
"ลุกลี้ลุกลนจริงเชียวบุญเจิม มีอะไรรึ"
"ท่านเจ้าคุณกับคุณมาโนชกลับมาแล้วเจ้าค่ะ คุณน้ำทิพย์รีบไปรับเถิดเจ้าค่ะ หากท่านไม่เห็นคุณน้ำทิพย์ พวกบ่าวจะโดนโทษได้"
น้ำทิพย์ถอนใจส่ายหน้าที่พวกทาสกลัวพ่อของเธอจนน่าอ่อนใจ
"แก้ว เอาดอกไม้ไปให้นมอ้อนด้วยนะจ๊ะ"
"ขอรับคุณน้ำทิพย์"
น้ำทิพย์เดินเลี่ยงไป แก้วถือขันใส่ดอกไม้ เดินไปอีกทาง บุญเจิมมองตามน้ำทิพย์กับแก้วไปด้วยความหงุดหงิด
"บ่าวมีเต็มเรือน ทำไมต้องให้พี่แก้วตามเก็บดอกไม้ด้วยก็ไม่รู้"
บุญเจิมทิ้งค้อนแอบขุ่นเคือง
บริเวณหน้าเรือน รถม้าของพระยาไชยากรเข้ามาในบ้าน โดยมีบุญมีเป็นสารถี พวกทาสชาย และหญิง รีบกุลีกุจอกันเข้ามารับพระยาไชยากร ไม่ว่าใครทำอะไรอยู่ ก็ทิ้งงานกันมา นั่งคุกเข่ารอรับเต็มไปหมด
พลอย และเข้ม นั่งรอรับอยู่หน้าทาสคนอื่นๆ
บุญมีขับรถม้าเข้ามาจอด ก่อนจะรีบลงมาเปิดประตูส่วนรถลากให้ พระยาไชยากร และมาโนช ผู้เป็นหลาน ลงจากรถม้า ทั้งคู่สายตาเคร่งขรึมดุดัน ดูเย่อหยิ่ง วางอำนาจเหนือคนอื่น
พลอย เข้ม และพวกทาส พากันก้มลงกราบพระยาไชยากรและมาโนชกับพื้น ด้วยความนอบน้อม
และหวาดกลัวในอำนาจของพระยาไชยากร ผู้เป็นนาย
บนเรือน พระยาไชยากรกำลังคุยกับน้ำทิพย์ และมาโนชด้วยสีหน้า น้ำเสียงเคร่งเครียด
"ระยะนี้ ข่าวเรื่องลูกทาสที่เกิดปีมะโรง สัมฤทธิศก จะได้เป็นไท มันดังกระฉ่อนขึ้นมาอีก พ่อเลยอยากให้แม่น้ำทิพย์ช่วยเป็นหูเป็นตา อย่าให้พวกทาสรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด ประเดี๋ยวพวกมันจะกำเริบขึ้นมา"
"แต่มันก็เป็นความจริงไม่ใช่เหรอคะคุณพ่อ"
น้ำทิพย์ยกมือไหว้ท่วมหัวก่อนพูดต่อ
"พระพุทธเจ้าหลวงท่าน ทรงออกพระราชบัญญัติมาแล้ว อีกสองปี ลูกทาสที่เกิดปีมะโรง สัมฤทธิศกทุกคนก็ต้องได้รับอิสรภาพ เราจะปิดไว้ได้อย่างไรกันคะ"
มาโนชยิ้มเยาะบอก
"ทำไมจะไม่ได้ล่ะจ๊ะน้อง ไอ้พวกทาสมันโง่เหมือนวัว เหมือนควาย ถ้าเราคอยจับตาไม่ให้มันไปพูดคุยกับคนบ้านอื่น มันจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร"
น้ำทิพย์ไม่พอใจ
"พี่มาโนชพูดเช่นนี้ ก็เท่ากับให้คุณพ่อท่านขัดพระบรมราชโองการ จะมิต้องโทษกันหมดหรือคะ"
พระยาไชยากร ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงมหาดไทยตัดบท
"ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกลูก อีกตั้งสองปี พระเจ้าอยู่หัวท่านอาจจะเปลี่ยนพระทัยก็ได้ เอาเป็นว่า ลูกทำตามที่พ่อสั่งก็แล้วกัน"
น้ำทิพย์อึดอัด ไม่มีทางเลือก
"ถ้าคุณพ่อต้องการเช่นนั้น ลูกก็จะทำตามค่ะ"
พระยาไชยากรยิ้มพอใจ
"ดีมาก เออ แล้วไอ้เรื่องเรือนแพที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคลองหลังบ้านเรา ลูกรู้หรือยังว่าเป็นของใคร"
"ลูกให้นมอ้อนไปถามมาแล้วค่ะ ได้ความว่าเป็นของพระนิติธรรมลือชา"
มาโนชคิดทบทวนอย่างแปลกใจ
"พระนิติธรรมลือชา บรรดาศักดิ์ก็ไม่ใช่น้อย แต่กลับไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย"
"ทาสคุณพระ เล่าให้นมอ้อนฟังว่า พระนิติธรรมท่านเป็นบุตรคนหัวปีของพระยาเดชารณภพ ท่านไปเรียนกฎหมายมาจากเมืองฝรั่ง ตอนนี้เป็นตุลาการค่ะ"
พระยาไชยากรขำ หัวเราะชอบใจปนดูถูก
"นึกว่าใคร ที่แท้ ก็ลูกอ้ายพระยาเดชารณภพ ทหารขี้เมาน่ะเอง"
บนเรือน พระยาเดชารณภพเหวี่ยงคุณหญิงลออจนล้มลงกับพื้น ก่อนจะพยายามเข้าไปตบตีซ้ำ แต่คุณกัลยา หรือแดง กับพวกทาสเข้าไปจับตัวไว้ เพราะท่านพระยาเมามาก
พระยาเดชารณภพ มีภรรยา 2 คน คนแรกคือแม่ของพระนิติธรรมซึ่งเสียไปแล้ว คุณหญิงลออเป็นคนที่สอง และเป็นน้าแท้ๆของพระนิติธรรม และเป็นแม่ของคุณกัลยา
"อย่าค่ะคุณพ่อ อย่าทำคุณแม่ แดงขอนะคะ"
พระยาเดชารณภพเมา อาละวาด
"ก็ใครใช้ให้มันพูดมากวะ พูดอย่างงี้ต้องตบให้ปากฉีก"
คุณหญิงลออร้องไห้ ทั้งเจ็บตัวทั้งโกรธ
"ฉันแค่ห้ามไม่ให้ท่านเจ้าคุณกินเหล้า เพราะท่านเจ้าคุณเมามากแล้ว อย่างงี้ถือว่าพูดมากหรือคะ ถ้าอย่างนั้นก็ฆ่าฉันซะเลยสิ จะได้ไม่ต้องมีใครห้ามท่านเจ้าคุณอีก"
"มึงท้ากูรึ ทหารทั้งกองยังไม่มีใครกล้าท้ากู หยามกันเช่นนี้ก็อย่าอยู่เลย"
พระยาเดชารณภพจะเข้าไปตบตี คุณกัลยากับพวกทาสหญิงต้องช่วยกันจับ ช่วยห้ามกันโกลาหลไปหมด
พระนิติธรรมยืนมองเหตุการณ์วุ่นวาย ด้วยสีหน้าอ่อนใจ ก่อนจะถอนใจ ส่ายหน้าด้วยความระอาพ่อตัวเอง
เวลาบ่าย บริเวณ ท่าน้ำบ้านพระยาเดชารณภพ พระนิติธรรมเดินคุยมากับคุณกัลยาด้วยสีหน้าอ่อนใจ โดยมีอ้นถือกระเป๋า ข้าวของของพระนิติธรรมไปไว้ที่เรือ เตรียมย้ายไปอยู่เรือนแพ
พระนิติธรรมจบจากอังกฤษ การแต่งตัวแต่งจึงเป็นแบบสากลนิยม มีเรือยนต์ประจำตำแหน่งของทหารเรือ เอาไว้รับส่งไปทำงาน ส่วนคุณกัลยาเรียนชั้นม.ปลายที่คอนแวนต์กับมิชชั่นนารี
"ทำไมคุณพี่จะย้ายไปอยู่ที่เรือนแพเร็วนักล่ะคะ น่าจะอยู่เป็นเพื่อนกันก่อน"
พระนิติธรรมถอนใจ
"เห็นใจพี่เถอะนะแดง พี่อยู่ไม่ไหวจริงๆ พี่เป็นตุลาการคอยตัดสินคดีความให้คนอื่น แต่พ่อตัวเองเมาเหล้าตบตีเมียอยู่คาตา พี่กลับทำอะไรไม่ได้ มันละอายใจเหลือเกิน"
"คุณพ่อก็เป็นอย่างงี้ล่ะค่ะ เดี๋ยวพอหายเมาก็ง้อคุณแม่เอง เรื่องปากหวานล่ะเป็นที่หนึ่ง ไม่อย่างงั้น คุณแม่ไม่อยู่ด้วยจนลูกโตขนาดนี้หรอกค่ะ"
"พี่รู้ แต่อย่างไรเสียพี่ก็ทำใจยอมรับไม่ได้ดอกนะแดง แล้วงานการพี่ก็มีมากขึ้นทุกวัน ถ้าคุณพ่อเมาอาละวาดเช่นนี้บ่อยๆ แล้วพี่จะมีสมาธิทำงานได้อย่างไรกัน"
"ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจคุณพี่เถอะค่ะ ถ้าน้องว่างเมื่อไหร่ จะไปเยี่ยมที่เรือนแพนะคะ"
คุณกัลยาไหว้ลา พี่ชายรับไหว้ แล้วอดสงสารน้องสาวไม่ได้
"พี่รู้ว่าน้องห่วงคุณแม่น้อง แต่ถ้าทนไม่ไหว ก็ไปหาพี่ได้ตลอดเวลานะ"
"ขอบพระคุณค่ะคุณพี่"
พระนิติธรรมเดินไปขึ้นเรือ ก่อนที่อ้นจะขับเรือออกไป
เวลาเย็น บนเรือนพระยาไชยากร มาโนชกึ่งนั่งกึ่งนอนให้ทาสสาวๆนวดแขนนวดขาให้ พร้อมกับสั่งงานให้บุญมี เข้ม พลอย ยกกระถางต้นไม้ อ่างดินเผา ฯลฯ จัดวางตามที่ตนต้องการ
"เฮ้ยๆ ระวังหน่อยโว้ยไอ้เข้ม ข้าวของข้าซื้อหามาแพงๆทั้งนั้น แตกหักไป ข้าจะลงหวายให้หลังลายเลยเชียว อ้าว ไอ้บุญมี ไอ้พลอย วางตรงนั้นแหละ กำลังดี วางเลยๆ"
น้ำทิพย์กับแม่นมอ้อนเดินผ่านมา มาโนชยิ้มกรุ้มกริ่ม รีบลุกขึ้นไปหาน้ำทิพย์ทันที
"น้องน้ำทิพย์มาพอดี อยู่คุยกับพี่ก่อนสิจ๊ะ พี่ตามคุณอาไปราชการเสียหลายวัน คิดถึงน้องนัก"
น้ำทิพย์ปั้นยิ้มบอก
"คิดถึงน้อง หรือว่าคิดถึงพวกทาสสาวๆกันแน่คะ พี่มาโนช"
มาโนชหน้าเสีย
"พูดอะไรเช่นนั้นจ๊ะน้องน้ำทิพย์ น้องจะเอาตัวเองไปเปรียบกับไอ้พวกทาสชั้นต่ำได้อย่างไร ไอ้ทาสพวกนี้ แค่มีวาสนาได้บำเรอพี่ ก็ถือเป็นบุญของพวกมันแล้ว ส่วนน้อง พี่ถือว่าเป็นนางแก้ว ที่เหมาะจะเป็นศรีเรือนของพี่เท่านั้น" มาโนชพูดพลางมองน้ำทิพย์ด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
แม่นมอ้อนหมั่นไส้สุดๆ
"คุณมาโนชเจ้าขา คุณน้ำทิพย์ของอิชั้น เป็นบุตรีคนเดียวของพระยาไชยากรนะเจ้าคะ หากจะเป็นศรีเรือนของผู้ใด ผู้นั้นก็ควรจะเป็นถึงคุณหลวงเป็นอย่างต่ำ หาใช่..."
อ้อนไม่พูดต่อ แต่แกล้งปรายตามองมาโนชด้วยสายตาดูถูก จนอีกฝ่ายเจ็บใจ
"อีกไม่นาน ฉันก็จะได้เป็นขุนแล้ว จากขุน ขึ้นเป็นหลวงก็ง่ายนิดเดียว อยู่ที่เวลาเท่านั้น นมอ้อนรู้ตื้นๆ อย่าพูดมากดีกว่า"
น้ำทิพย์ตีหน้าตาย
"นั่นสิคะพี่มาโนช เมื่ออยู่ที่เวลาเท่านั้น ตอนนี้พูดไปก็เหมือนคุยโว เอาไว้พี่มาโนชเป็นหลวงก่อน แล้วค่อยพูดเรื่องนี้เถอะนะคะ ... ไปเถอะจ้ะนมอ้อน ฉันเหนียวตัวเหลือเกินแล้ว อยากอาบน้ำสักหน่อย"
"เจ้าค่ะคุณน้ำทิพย์"
น้ำทิพย์ และนมอ้อนเดินเลี่ยงเข้าข้างในไป โดยไม่แยแสมาโนชอีก เขามองตามด้วยความเจ็บใจ สีหน้าแววตาร้ายๆ ขึ้นมา ยิ่งถูกดูถูก ยิ่งอยากเอาชนะน้ำทิพย์ให้ได้
แก้วกำลังอาบน้ำอยู่ที่ท่าน้ำตอนหัวค่ำ ขณะกำลังขัดสีฉวีวรรณอยู่ ก็มีมือข้างหนึ่งโผล่ขึ้นจากน้ำ แล้วฉุดขาแก้ว พยายามจะลากลงไปในน้ำ เขาตกใจ รีบดึงขาตัวเอาแล้วลุกหนีทันทีร้อง "เฮ้ย" !
ทันใดนั้น บุญเจิมก็โผล่ขึ้นมาจากในน้ำ หัวเราะร่วนชอบใจ ที่แกล้งดึงขาแก้วจนแก้วตกใจ
"นังเจิม เล่นอะไรของเอ็ง ตกอกตกใจหมด" แก้วพูดอย่างโมโห
บุญเจิมหัวเราะ
"ตกใจขนาดนั้นเชียว คงนึกว่าฉันเป็นผีพรายล่ะซี"
"ไม่ใช่โว้ย ข้าคิดว่าเป็นพวกโจรต่างหาก มืดค่ำแล้ว ทำไมเอ็งเพิ่งมาอาบน้ำอาบท่า ข้าอุตส่าห์รอจนปลอดคนแล้วค่อยมา กะจะอาบน้ำคนเดียวให้สบายใจเสียหน่อย ก็ดันมาเจอเอ็งอีกจนได้" แก้วน้ำเสียงเซ็งๆ
บุญเจิมทำลอยหน้าลอยตาบอก
"พี่อยากอาบคนเดียว แต่ฉันอยากอาบกับพี่ ถึงได้มาดักรอนี่ไง"
แก้วตกใจ โวยวาย
"อีนังเจิม เอ็งพูดได้อย่างไรไม่อายปาก เป็นสาวเป็นแส้พูดจาเหมือนเกี้ยวผู้ชาย"
บุญเจิมยิ้มแย้ม
"เรื่องอะไรต้องอาย ก็ฉันเกี้ยวพี่จริงๆนี่"
บุญเจิมขึ้นจากน้ำ แกล้งมองไปรอบๆ
"ไหน ใครกันที่ห้ามไม่ให้หญิงเกี้ยวชายก่อน ฉันอยากรู้นักว่าหญิงเกี้ยวชายมันผิดตรงไหน"
แก้วมองบุญเจิมที่ขึ้นจากน้ำ กระโจมอกที่บุญเจิมสวมอยู่เปียกน้ำจนรัดรูป เขารีบเบือนหน้าไปทางอื่น
"อีเจิมเอ๊ย ทำตัวผิดหญิงนัก ทีหน้าทีหลังก็หาผ้าผ่อนมาคลุมก่อนสิวะ"
บุญเจิมเห็นแก้วอายจนเบือนหน้าไปทางอื่น ก็ยิ่งได้ใจ ยิ้มขำๆแล้วนั่งขัดตัว ไม่ยอมไปไหนซะอย่างนั้น
แก้วเหล่มอง เห็นบุญเจิมทำทองไม่รู้ร้อน ก็ยิ่งหนักใจแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
ทันใดนั้นเอง สายตาแก้วก็เหลือบไปเห็นเรือนแพของพระนิติธรรมจุดตะเกียงสว่างไสว เขาสนใจ ชะเง้อมองไปทันที
"เรือนแพมีคนมาอยู่แล้วรึ"
ผ่านเวลาซักพัก แก้วพายเรือมาที่เรือนแพของพระนิติธรรมแล้วชะเง้อมอง พบว่าเรือนแพจุดตะเกียงสว่างไสว แต่ยังไม่เห็นคนข้างใน จึงตัดสินใจตะโกนเรียก
"ขอประทานโทษขอรับ มีใครอยู่บ้างขอรับ
อ้นถือตะเกียงเดินออกมาจากข้างในของเรือนแพ
"มีอะไรรึ พ่อ"
แก้วยกมือไหว้
"กระผมชื่อแก้ว เป็นทาสบ้านพระยาไชยากร ฝั่งตรงข้ามคลองนี่เองขอรับ กระผมเห็นว่ามีคนย้ายมาอยู่แล้ว เลยมาถามว่า มีงานอะไรให้กระผมได้รับใช้บ้างขอรับ"
ขณะนั้นเอง พระนิติธรรมยิ้มบางๆก็เดินออกมาจากข้างใน
"มาของานทำรึ พอดีเลย ฉันกำลังจัดเรือนอยู่ มาช่วยกันหน่อยสิ ฉันมีค่าจ้างให้"
แก้วดีใจ รีบยกมือไหว้
"ขอบพระคุณขอรับ"
แก้วเดินตามพระนิติธรรม และอ้นเข้าในเรือนแพ ภายในถูกกั้นเป็นห้องอย่างง่ายๆ มีข้าวของ สำนวนคดีความ และหนังสือมากมายวางอยู่เต็มไปหมด
"ชื่อแก้วรึ"
"ขอรับ"
"ยกพวกตู้โต๊ะไปจัดวางที่มุมห้องก็แล้วกัน ส่วนพวกหนังสือกับสำนวนคดีฉันกับไอ้อ้นจัดการเอง"
"ได้ขอรับ"
แก้วกำลังจะไปยกโต๊ะ ขณะนั้นเอง อ้นก็หอบกองสำนวนคดีขึ้นมาจะเอาไปวางบนชั้น แต่กลับทำกองสำนวนคดีตกกระจายเกลื่อนไปหมด
"ไอ้อ้น ข้าอุตส่าห์จัดไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย เอ็งทำเกลื่อนเช่นนี้ แล้วจะจัดกลับไปให้ข้าได้รึ เสียเวลาข้าต้องจัดใหม่อีก"
อ้นยิ้มแหยๆ
"ขอประทานโทษขอรับคุณพระ"
อ้นเข้าไปหยิบสำนวนคดีขึ้นมาเรียงใหม่ แต่อ่านหนังสือไม่ออก เลยไม่รู้ต้องเรียงสำนวนอันไหนก่อน อันไหนหลัง ได้แต่เกาหัวยิกๆด้วยความงง แก้วเข้าไปช่วยอ้น
"ให้ฉันช่วยเถอะ"
แก้วหยิบสำนวนคดีขึ้นมาอ่าน เลยรู้ว่าต้องเรียงสำนวนแต่ละคดียังไง ก่อนจะจัดเรียงใหม่อย่างถูกต้องนิติธรรมรู้สึกแปลกใจ
"อ่านหนังสือออกด้วยรึ"
แก้วยิ้มรับ
"ขอรับ เขียนหนังสือก็ได้ขอรับ"
"แปลก ฉันไม่เคยเห็นทาสที่ไหนอ่านออกเขียนได้ ทาสเรือนเจ้าคุณไชยากร เป็นอย่างนี้ทุกคนรึ"
"มิได้ขอรับ แม่กระผมเป็นทาสเก่าของคุณหญิงท่าน คุณหญิงท่านเมตตาให้แม่กระผมเรียนหนังสือเป็นเพื่อนแต่เล็ก แม่กระผมเลยอ่านออกเขียนได้ แล้วนำมาสอนกระผมต่ออีกทีขอรับ"
พระนิติธรรมพยักหน้ารับทราบช้าๆ ก่อนจะมองแก้วจัดเรียงสำนวนด้วยความสนใจ
บริเวณเรือนทาส กิ่งใช้กิ่งข่อยสีฟันอยู่ พอสีเสร็จก็บ้วนปาก แล้วหันมาคุยกับแก้วด้วยความดีใจ
"จริงรึไอ้แก้ว คุณพระเรือนแพจะจ้างเอ็งให้ช่วยงานจริงรึ"
"จริงสิจ๊ะแม่ ท่านบอกว่างานท่านต้องคัดลอกเป็นสำเนาเก็บไว้ ท่านคัดคนเดียวก็เหน็ดเหนื่อยนัก เลยจ้างฉันให้ช่วยคัดลอกสำนวนคดีให้ท่านจ้ะ ถ้าฉันได้เบี้ยได้อัฐมา จะเอามาให้แม่นะจ๊ะ"
กิ่งลูบหัวลูกชายด้วยความเอ็นดู
"เอ็งเก็บไว้ใช้เองเถอะไอ้แก้ว ข้าไม่จำเป็นต้องใช้อะไรหรอก เอ็งไปทำงานให้คุณพระท่าน ก็ตั้งใจ
ทำดีๆนะ ท่านจะได้เมตตาใช้สอยเอ็งต่อ"
แก้วยิ้มแย้ม
"จ้ะแม่ ฉันจะตั้งใจรับใช้คุณพระท่านให้ดีที่สุด คุณพระท่านใจดีนะแม่ นอกจากจะให้ค่าจ้างฉันแล้ว ยังสอนวิชาความรู้ให้ฉันอีก ท่านเห็นฉันสงสัยอะไร ก็อธิบายให้ฟัง ฉันได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกตั้งหลายอย่าง"
แก้วยิ้มดีใจ
"ดีแล้วล่ะแก้วเอ๊ย วิชาความรู้มันจะติดตัวเราไป ถึงเรา จะเป็นทาส แต่ก็ไม่แน่ ว่าซักวันเราอาจจะต้องใช้มันก็ได้ เหมือนที่เอ็ง ได้งานจากคุณพระก็เพราะเอ็งอ่านออกเขียนได้นี่แหละ"
แก้วหน้าขรึมลง
"ฉันรู้จ้ะแม่ แล้วฉันก็ไม่มีวันลืมสิ่งที่พ่อสอนฉันด้วย ฉันจะขวนขวายหาวิชาความรู้ใส่ตัวให้มากไว้ ไม่ให้ใครดูถูกฉันได้เด็ดขาด"
แก้วมีสีหน้าย้อนนึก
10 ปีก่อน แก้วในวัย 9 ขวบ เวลากลางวันที่เรือนทาสกิ่ง แก้วกำลังใช้กิ่งไม้ขีดเขียนตัวอักษรบนพื้นดิน โดยมีก้าน พ่อของแก้วซึ่งกำลังป่วยหนักนั่งดูอยู่ กิ่งเดินออกมาจากข้างใน พูดอย่างเป็นห่วง
"พี่ก้าน ทำไมออกมานั่งนอกเรือนล่ะจ๊ะ พี่ยังได้ไข้อยู่นะ"
ก้านไข้ขึ้นสูง ไอโขลก ยิ้มบางๆ
"พี่อยากเห็นไอ้แก้วมันเขียนหนังสือ ทุกครั้ง ที่พี่เห็นมันเขียนหนังสือได้ พี่ก็ชื่นใจ"
แก้วเขียนเสร็จก็หันไปพูดกับพ่อ
"เขียนเสร็จแล้วจ้ะพ่อ พ่อดูสิจ๊ะ ว่าฉันเขียนถูกหรือไม่"
ก้านลูบหัวลูกด้วยความเอ็นดู
"พ่ออ่านไม่ออกดอก ให้แม่เอ็งดูเถอะ"
กิ่งเดินไปดูที่ลูกเขียน
"เขียนถูก เก่งจริงๆแก้วเอ๊ย สอนครั้งเดียวก็เขียนได้"
ก้านดึงลูกเข้ามากอดด้วยความรัก
"แก้ว เอ็งต้องขยันหมั่นเพียรนะลูก เกิดเป็นทาสเค้า ผ้าพันกายสักผืนก็ยังหายาก พ่อกับแม่ก็ไม่มีสมบัติพัสถานอะไรจะให้เอ็ง มีก็แต่วิชาความรู้เล็กน้อยพวกนี้เท่านั้น หากเอ็งโตขึ้น ก็ต้องหมั่นหาความรู้เพิ่มเติม อย่าได้เกียจคร้านเป็นอันขาด"
"จ้ะพ่อ ฉันจะจำไว้"
ก้านไอโขลก แต่ก็ยังกอดแก้วด้วยความรักเต็มเปี่ยม ตัวหนังสือบนพื้น แก้วเขียนคำว่า “พ่อก้าน”
เวลาเช้า แก้วและแม่นั่งซึมๆ เมื่อคิดถึงเรื่องของก้าน...กิ่งลูบหัวแก้วไปมา สงสารที่ลูกกำพร้าพ่อ
ขณะนั้นเอง บุญเจิมก็เดินถือชามใส่ขนมหน้าระรื่นเข้ามาหาแก้ว
บุญเจิมยิ้มแย้ม
"พี่แก้วๆ วันนี้ในครัวทำของหวานตั้งหลายอย่าง ฉันแย่งกับพวกนังอิ่มแทบตาย จะเอามาให้พี่ พี่กินสิจ๊ะ อร่อยนะ"
กิ่งหมั่นไส้บอก
"ดีเหลือเกินนะเอ็งนังบุญเจิม ข้าเป็นแม่ไอ้แก้วแท้ๆ เอ็งจะมีกะใจชวนข้าซักคำรึก็เปล่า เรียกแต่ไอ้แก้วกินอยู่นั่นแหละ"
บุญเจิมชักเขินๆ
"แหม ป้า ฉันชวนพี่แก้วก็เหมือนชวนป้านั่นแหละ"
กิ่งทิ้งค้อนอย่างหมั่นไส้
"ขอบใจมากนะนังเจิม แต่ข้าไม่กินหรอก"
บุญเจิมหน้าเสีย
"อ้าว ทำไมล่ะพี่"
"ได้เวลาที่ข้าต้องไปช่วยคุณน้ำทิพย์เก็บดอกไม้บูชาพระแล้ว"
แก้วดูขนมในชามของบุญเจิมแล้วบอก
"ท่าทางมันก็น่าอร่อยอย่างเอ็งว่า เอ็งเก็บไว้กินเองแล้วกัน"
แก้วเดินเลี่ยงไปอย่างอารมณ์ดี ที่จะได้เจอคุณน้ำทิพย์ บุญเจิมมองตามด้วยความเจ็บใจ ที่แก้วไม่สนใจหล่อนเลย
บุญเจิมหันไปพาลใส่กิ่ง
"ป้าอยากกินไม่ใช่รึ งั้นฉันยกให้ป้าหมดเลยก็แล้วกัน"
บุญเจิมวางชามขนมกระแทกลง แล้วสะบัดหน้าเดินหนีไป กิ่งพูดอย่างโมโห
"ดู ดูมันทำ อีบุญเจิม อีม้าดีดกะโหลก"
บรรยากาศภายในสวนสวยแลดูร่มรื่น มีต้นไม้เขียวขจี ไม้ดอกออกดอกเต็มไปหมด น้ำทิพย์กำลังเดินเก็บดอกมะลิเพื่อเอามาร้อยมาลัยบูชาพระอยู่ โดยมีแก้วถือขันใส่ดอกไม้ คลานเข่าตามน้ำทิพย์มา
น้ำทิพย์ยิ้มบางๆ บอก
"คุณพระนิติธรรมลือชาท่านนี้ มีเมตตากับแก้วอยู่มากทีเดียวนะ ดีแล้ว ตั้งใจทำงานกับท่านให้ดี ท่านจะได้เมตตาให้เบี้ยอัฐแก้วบ้าง"
"เบี้ยอัฐยังเป็นเรื่องรองขอรับคุณน้ำทิพย์ แต่กระผมอยากให้คุณพระท่านอบรมสั่งสอนผมมากกว่าขอรับ คุณพระท่านมีความรู้มาก ที่เรือนแพเองก็มีสมุดหนังสือมากมายเต็มไปหมด คุณพระท่านเมตตาให้กระผมยืมไปอ่านได้ด้วยนะขอรับ"
น้ำทิพย์ยิ้มขำๆ
"อ่านหนังสือในหอสมุดเรือนฉันจนหมดแล้วรึ ถึงได้คิดจะหยิบยืมหนังสือคุณพระท่านมาอ่าน"
แก้วตกใจ หน้าเสีย
"คุณน้ำทิพย์ รู้ด้วยหรือขอรับ"
น้ำทิพย์ยิ้มแย้ม
"รู้อะไร เรื่องที่แก้วแอบอ่านหนังสือในหอสมุดน่ะรึ ฉันรู้มานานแล้ว แต่ไม่ต้องกลัว คุณพ่อท่านไม่รู้ดอก"
แก้วถอนใจโล่งอก
"ท่านเจ้าคุณไม่ชอบให้กระผมหรือแม่อ่านหนังสือ แต่กระผมอยากอ่านจริงๆขอรับ แม้ต้องเสี่ยงโทษ กระผมก็ยอม"
น้ำทิพย์ชอบที่แก้วเป็นคนใฝ่เรียน ไม่เหมือนทาสอื่น
"ฉันรู้ ฉันถึงไม่ได้เรียนให้คุณพ่อท่านทราบยังไงล่ะ แก้วอ่านสมุดหนังสือไปก็มาก ชอบเล่มไหนมากที่สุดล่ะ"
แก้วคิดอยู่ครู่นึง
"ยากจะตอบขอรับ หนังสือแต่ละเล่มก็มีดีต่างกัน แต่ที่กระผมอ่านบ่อยก็พระนิพนธ์ของเจ้าฟ้ากุ้งท่านขอรับ"
น้ำทิพย์แปลกใจที่ชอบเหมือนกัน
"แล้วแก้วชอบกาพย์กลอนบทไหนบ้างล่ะ"
"ก็มีมากขอรับ แต่เท่าที่นึกได้ตอนนี้ก็..."
แก้วยิ้มกรุ้มกริ่ม มองน้ำทิพย์ด้วยสายตารักใคร่
"ฝนตก ฝนหากตก / แก้วกับอก อย่าโกรธฝน / ลมพัดรับขวัญบน / แก้วโกมลมานอนเนา"
น้ำทิพย์เจอแก้วท่องกลอนพร้อมมองด้วยสายตาแบบนี้ ก็อดที่จะเอียงอายไม่ได้ เธอหลบตาเล็กน้อย
แก้วยังคงส่งตาหวานว่ากลอนต่อไป
"ฝนตกไม่ทั่วฟ้า / เย็นแหล่งหล้าในภูเขา / ไม่เย็นในอกเรา / เพราะคู่เคล้าเจ้าอยู่ไกล"
น้ำทิพย์รู้สึกถึงความนัยที่แก้วเปรียบเปรยถึงความต่างของคนสองคน น้ำทิพย์ชำเลืองมองแก้ว
ทั้งคู่สบตากันเล็กน้อย เธอปั้นยิ้มกลบเกลื่อนความรู้สึก
"ชาย ก็อย่างนี้แหละ เวลารักก็พูดพร่ำคำหวาน เอาอกเอาใจเสียทุกอย่าง แต่ยามชัง ก็สารพัดจะด่าว่า
หญิง...แก้วเคยอ่านผ่านตากาพย์กลอนนี้มั้ยล่ะ"
แก้วตั้งอกตั้งใจฟัง
"ตระกูลหงส์ย่อมประจงแต่โบกขเรศ /ตามเพศพิไสยที่เคยแสวง /มิรู้กาผ่าพงศ์มาลงแปลง / เข้าปลอมแหล่งแฝงเล่นไม่เห็นรอย ...- เห็นหรือไม่แก้ว พอชัง หญิงก็เป็นแค่อีกา หาใช่นางหงส์อีกต่อไป"
"เจ้าฟ้ากุ้งท่านจะตัดพ้อใคร กระผมไม่ทราบดอกขอรับ แต่ถ้าเป็นกระผม หากรักใคร ก็จะเทิดทูนผู้หญิงคนนั้นเป็นนางหงส์ ไปจนวันตาย" แก้วพูดพลางมองน้ำทิพย์สายตาเทิดทูน จนเธอเขินอายจนต้องหลบสายตาของแก้วอีกครั้ง แต่ก็แอบอมยิ้ม อดดีใจลึกๆไม่ได้
กิ่งกับทาสคนอื่น กำลังปัดกวาดเช็ดถูเรือนของพระยาไชยากรอยู่ กิ่งเข้ามาในห้องทำงาน แล้วเริ่มเช็ดถูทำความสะอาด ขณะนั้นเอง มือของเธอก็เผลอไปปัดกองหนังสือบนโต๊ะตกลงมา กิ่งตกใจ รีบเก็บหนังสือทันที ทันใดนั้น ก็เหลือบเห็นเอกสารชิ้นหนึ่ง วางสอดไว้ในหนังสือเล่มหนึ่ง กิ่งแปลกใจ เลยหยิบเอกสารชิ้นนั้นออกมาดู เธออ่านตัวอักษรบนหน้าปกเอกสาร พึมพำออกมาเบาๆ
"พระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไทย"
กิ่งสนใจขึ้นมาทันที รีบพลิกดูข้างในเอกสารด้วยความตื่นเต้นอยากรู้
ผ่านเวลาซักพัก กิ่งเดินยิ้มอารมณ์ดีเข้ามาในครัว พอเข้ามาก็เห็นทาสคนหนึ่งกำลังร้องไห้อยู่ โดยมีทาสอีก 2-3 คนคอยปลอบโยน กิ่งแปลกใจ เข้าไปถาม
“เกิดอะไรขึ้นรึนังทอง ร้องไห้ทำไม”
ทาส 1ร้องไห้
“ข้าเวทนาไอ้เผือกหลานข้าเหลือเกินพี่กิ่ง ท่านเจ้าคุณพัลลภ หาว่ามันขี้เกียจสันหลังยาว เลยโบยมันเสียหลังแทบขาด โธ่ เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ตักเตือนมันก็ได้ เหตุใดต้องถึงโบยด้วย”
ทาส 2ถอนใจบอก
“เวรกรรมของเอ็งจริงจิ๊ง ไอ้เผือกเอ๊ย ใครๆก็รู้ ว่าท่านเจ้าคุณพัลลภอารมณ์ร้ายนัก บทดีก็ดีใจหาย บทจะร้าย ขังทาสตายคาเรือนก็เคยมาแล้ว”
“อย่ามัวแต่สงสารไอ้เผือกมันเลยวะ หากเอ็งไม่ยอมไปทำงาน คนที่จะโดนเฆี่ยนก็คือเอ็งกับข้านี่แหละ” ทาส 3ว่า
“เออๆ ไปก็ได้” ทาส 2บอก
ทาสคนอื่นออกจากห้องครัวไป เหลือกิ่งกับทาส 1 แค่สองคน ทาส 1 เดินสะอึกสะอื้นจะไปทำงาน กิ่งมองแล้วก็สงสารก็เลยบอก
“อย่าร้องห่มร้องไห้ไปเลยวะนังทอง อดทนอีกไม่เกินสองปี ไอ้เผือกหลานเอ็งก็จะได้เป็นไทแล้ว”
ทาส 1แปลกใจถาม
“พี่กิ่งเอาอะไรมาพูด”
“ข้ารู้มาก็แล้วกัน ไอ้เผือก มันเกิดปีมะโรง สัมฤทธิศก ปีเดียวกับไอ้แก้วลูกข้าไม่ใช่รึ”
“ใช่จ้ะ”
กิ่งพนมมือท่วมหัว
“พระพุทธเจ้าหลวงท่าน ทรงออกกฎบัตรกฎหมาย ให้ลูกทาสที่เกิดปีนี้ได้เป็นไท เมื่ออายุครบยี่สิบเอ็ดน่ะสิ”
ทาส 1 พนมมือท่วมหัวเช่นกัน
“จริงรึพี่กิ่ง เจ้าประคู้น ขอพระองค์จงทรงพระเจริญเถิด เออ แล้วพี่รู้มาจากไหนล่ะ”
กิ่งฉุกคิดขึ้น หน้าเสีย
“เอ็งอย่ารู้เลย รีบๆไปทำงานเถอะ”
กิ่งรีบเดินเลี่ยงไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่สบายใจที่พลั้งปากเรื่องนี้ออกไป
น้ำทิพย์เดินถือขันใส่ดอกไม้ กลับขึ้นเรือนมาอย่างมีความสุข แต่พอขึ้นมาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นพ่อกำลังคุยกับชายหนุ่ม 3 คนอยู่ ชายหนุ่มทั้ง 3 เป็นลูกผู้ดีมีเงิน ต่างคนต่างมาชอบน้ำทิพย์
พระยาไชยากรยิ้มแย้มบอก
“มาพอดีเลยลูก พี่สามคนเค้ามาคอยลูกได้พักใหญ่แล้ว”
น้ำทิพย์ไหว้ชายหนุ่มทั้ง 3 ทั้งสามรับไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“ดิฉันต้องขอประทานโทษด้วยนะคะ ที่ให้คุณพี่ทั้งสามต้องรอ พอดีดิฉันไปเก็บดอกไม้มาร้อยมาลัยบูชาพระ”
หนุ่ม 1ยิ้มกรุ้มกริ่มบอก
“ไม่เป็นไรดอกจ้ะ ถ้าเป็นน้องน้ำทิพย์ นานแค่ไหนพี่ก็รอได้”
พระไชยากรแกล้งกระแอมเสียงดังขัด หนุ่ม 2 รีบฉวยโอกาสประจบ
“ท่านเจ้าคุณอาขอรับ เจ้าคุณพ่อของกระผมฝากชาอย่างดีจากเมืองฝรั่งมาให้ขอรับ”
หนุ่ม 2 เอาของขวัญไปยื่นให้
หนุ่ม 3ยื่นโถลายครามให้
“โถลายครามจากเมืองจีนขอรับ เพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้เองขอรับ”
หนุ่ม 1กลัวเสียคะแนน รีบประจบพระยาไชยากร
“ท่านเจ้าคุณขอรับ กระผมนำโต๊ะไม้แกะสลักอย่างดีมาจากหัวเมืองเหนือ เวลานี้วางอยู่ที่หน้าเรือน ขอเชิญท่านเจ้าคุณลงไปดูสักหน่อยเถอะขอรับ”
พระยาไชยากรรับของทั้งหมดมา แล้วหัวเราะชอบใจ
“ขอบใจๆ ขอบใจพ่อคุณทั้งสามคนมากนะที่มีน้ำใจ”
พระยาไชยากรหันไปพูดกับลูกสาว
“ลูกน้ำทิพย์จะไปร้อย มาลัยบูชาพระไม่ใช่รึ ไปสิ ประเดี๋ยวพ่ออยู่คุยกับพวกพี่ๆเค้าเอง”
ชายหนุ่มทั้งสามหน้าเสีย หันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่คิดว่าพระยาไชยากรจะเอาแต่ได้ สนแต่ของฝาก พอได้ของก็หวงลูกสาว รีบกันน้ำทิพย์ออกไปทันที
น้ำทิพย์ถึงกับหน้าเสีย รู้สึกอับอายที่พ่อเป็นคนแบบนี้
“ค่ะคุณพ่อ”
อ่านต่อหน้า 2
ลูกทาส ตอนที่ 1 (ต่อ)
ภายในห้องนอนน้ำทิพย์เวลานั้น แม่นมอ้อนฟังความจบกำลังหัวเราะชอบใจ จนต้องเช็ดน้ำหมากที่เลอะออกมา โดยมีน้ำทิพย์นั่งหน้าจ๋อยๆ อยู่ใกล้ๆ พร้อมกับถอนใจเฮือก
“นมยังมีแก่ใจหัวเราะอีกเหรอจ๊ะ ฉันอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว คุณพ่อท่านทำแบบนี้ ไม่ต่างจากเอาฉันเป็นเหยื่อล่อเพื่อเอาของกำนัลเลย ต่อไป คงได้ถูกนินทากันป่นปี้แน่”
อ้อนหัวเราะ
“คงไม่ถูกนินทามากไปกว่านี้ดอกเจ้าค่ะคุณน้ำทิพย์ คนเค้ารู้กันครึ่งค่อนพระนคร ว่าพระยาไชยากรเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว แลเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก ไม่เช่นนั้นจะมั่งมีร่ำรวยได้ถึงเพียงนี้หรือเจ้าคะ”
น้ำทิพย์ส่ายหน้าอ่อนใจ
“ร่ำรวยด้วยวิธีเช่นนี้ แล้วฉันจะกล้าสู้หน้าใครได้เล่านม ฉันเป็นลูก มีคนมาว่าร้ายพ่อตัว ฉันก็ย่อมไม่พอใจ แต่ไอ้ครั้นจะเถียง ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะคุณพ่อท่านก็ทำจริงๆ”
อ้อนยิ้มบางๆบอก
“โถ แม่คุณของนม อย่าทุกข์ใจไปเลยเจ้าค่ะ คนที่เค้ามีใจเป็นธรรม เค้าย่อมรู้เอง ว่าพ่อลูกนั้นผิดแผกกัน สิ่งที่ท่านเจ้าคุณทำ หาใช่สิ่งที่คุณน้ำทิพย์ต้องการไม่”
น้ำทิพย์สีหน้าหนักใจ
“แล้วเมื่อไหร่ คุณพ่อถึงจะเลิกซะทีล่ะจ๊ะนม”
“ก็จนกว่า คุณน้ำทิพย์จะออกเรือนไปกับคุณมาโนชนั่นล่ะเจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณหมายตาทรัพย์สมบัติของพระยานคราเขตต์บุรี เจ้าคุณพ่อของคุณมาโนชมานานแล้ว ถ้าได้สมบัติมากมายขนาดนั้น ก็คงไม่ไยดีกับของกำนัลพวกนี้ดอกเจ้าค่ะ”
น้ำทิพย์หน้าเครียดทันที
“ออกเรือนกับพี่มาโนชน่ะรึ ให้ฉันไปตาย ยังจะง่ายเสียกว่า”
น้ำทิพย์ถอนใจยาวออกมาแล้วลุกเดินไป
เวลาบ่าย มาโนชเดินปวดหัวออกมาจากห้อง เพราะเมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อย
“โอ๊ย ปวดหัวโว้ย มีใครอยู่บ้างวะ ไปเอาเหล้ามาให้ข้ากินหน่อยซิ” มาโนชตะโกนสั่ง
ขณะนั้นเอง เสียงพระยาไชยากรดังขึ้น
“ เพิ่งตื่น ก็จะกินเหล้าอีกแล้วรึพ่อมาโนช”
มาโนชหน้าเสียทันทีที่เห็นพระยาไชยากร
“เอ่อ คุณอามีอะไรให้กระผมรับใช้หรือขอรับ”
พระยาไชยากรมองมาโนชด้วยสายตาตำหนิ แต่เพราะเห็นว่าเป็นหลาน เลยไม่อยากบ่นอะไรมาก
“ก็ไม่มีอะไร อาแค่อยากจะไหว้วานพ่อมาโนชเอาของกำนัลไปให้ไอ้คุณพระเรือนแพหน่อย เมื่อครู่ อาเพิ่งได้ของกำนัลมา ก็เอาของนี่แหละให้ต่อไป เราจะได้ไม่ต้องหมดเปลือง...โชคดีจริงๆ” พระยาไชยากรยิ้มเจ้าเล่ห์
มาโนชไม่ค่อยพอใจนัก
“แล้วทำไมเราต้องเอาของไปกำนัลคุณพระอะไรนี่ด้วยล่ะขอรับ เป็นแค่ตุลาการ อำนาจวาสนาอะไรก็ไม่มี”
“อย่ามองอะไรสั้นๆสิพ่อมาโนช ตุลาการนี่แหละสำคัญนัก คบไว้ไม่เสียหายดอก" พระยาไชยากรยิ้มร้าย "หากภายหน้าเรามีคดีความ ก็จะได้อาศัยไหว้วาน ให้ช่วยตัดสินเข้าข้างเราอย่างไรเล่า” พระยาไชยากรพูดพลางยิ้มร้าย
มาโนชคิดตาม พยักหน้ารับ
“จริงสิขอรับ มีประโยชน์อย่างที่คุณอาว่าจริงๆ”
“ก็ใช่น่ะซี แต่อาเป็นผู้ใหญ่แลเป็นถึงพระยา จะไปเองก็เสียศักดิ์ศรี แม่น้ำทิพย์ก็เป็นหญิง ไปถึงเรือนผู้ชายก็ไม่งาม จะมีก็แต่พ่อมาโนชนี่แหละ ที่พอจะช่วยอาได้”
“คุณอาไม่ต้องห่วงขอรับ เรื่องแค่นี้ กระผมจะเป็นธุระจัดการให้เรียบร้อยเอง รับรองว่าผมจะให้ไอ้คุณพระเรือนแพนั่น มาหมอบราบคาบแก้วต่อหน้าคุณอาให้ได้” มาโนชยิ้มเจ้าเล่ห์
ผ่านเวลาซักครู่ พระนิติธรรมเดินออกมาจากเรือนแพ มาหามาโนชที่ยืนรออยู่ แก้วถือโถลายคราม
บุญมีถือกล่องใส่ชา ในขณะที่พลอย กับเข้ม ยืนประดับบารมีมาโนชอยู่
มาโนชเห็นว่าพระนิติธรรมยังหนุ่มกว่าคุณพระทั่วไปมาก แล้วยกมือไหว้
“คุณพระนิติธรรมลือชาใช่หรือไม่ขอรับ”
นิติธรรมรับไหว้
“ใช่ มีธุระอะไรกับฉันรึ”
มาโนชแนะนำตัวอย่างภาคภูมิใจมาก
“กระผมชื่อมาโนช เป็นหลานชายพระยาไชยากร แลเป็นบุตรชายพระยานคราเขตต์บุรี เจ้าคุณอา
ของกระผม เห็นว่าคุณพระเพิ่งย้ายมาอยู่ ก็เลยเอาของเล็กๆน้อยๆพวกนี้ มากำนัลให้คุณพระขอรับ”
แก้ว บุญมี คุกเข่ายื่นโถลายคราม กับกล่องใส่ชาให้พระนิติธรรมดู เข้มยิ้มประจบ
“นี่เป็นชาจากเมืองฝรั่งขอรับ ส่วนโถนี่ ก็เป็นโถจากเมืองจีนคุณพระเชิญดูสิขอรับ”
พระนิติธรรมปรายตามองของนิดนึง ยิ้มเล็กน้อย
“ดูท่า จะไม่ใช่ของเล็กๆน้อยๆ แล้วกระมังคุณมาโนช”
มาโนชยิ้มกริ่ม รู้ดีว่าเป็นของแพงซึ่งพระนิติธรรมต้องชอบแน่
“ของมีค่าเช่นนี้ ฉันคงรับไว้ไม่ได้ดอก”
มาโนชตกใจ ผิดคาด
“ทำไมเล่าขอรับคุณพระ”
“ฉันเป็นตุลาการ รับของมีค่าเช่นนี้ไว้มันไม่งาม ภายหน้าหากท่านเจ้าคุณไชยากรหรือตัวคุณมาโนชเองเกิดคดีความ คนจะเอาไปนินทาได้ ว่าฉันลำเอียงเข้าข้าง เพราะเคยรับของกำนัลไว้ก่อน รบกวนคุณมาโนชเอากลับไปเถิด”
มาโนชขบกรามแน่นจนขึ้นสัน โกรธจัดที่โดนหักหน้า แต่แก้วมองพระนิติธรรมด้วยสายตาชื่นชมบูชา นับถือความซื่อตรงของพระนิติธรรมจนสุดหัวใจทันที
บุญมีโกรธแทนนาย
“แต่นี่เป็นของที่ท่านเจ้าคุณฝากมานะขอรับ คุณพระทำเช่นนี้ ไม่เท่ากับฉีกหน้าท่านเจ้าคุณของกระผมหรือขอรับ”
พระนิติธรรมโมโห
“ข้าก็ชี้แจงแล้วว่ามันไม่งาม ถ้าท่านเจ้าคุณของเอ็งถือว่าฉีกหน้า จะโกรธจะเคืองก็ตามแต่ใจเถิด”
พระนิติธรรมเดินกลับเข้าเรือนแพ ด้วยความโมโห
พลอยโมโหแทน
“ไอ้คุณพระเรือนแพมันหยามเรานัก จะเอาเช่นไรดีขอรับ คุณมาโนช”
มาโนชเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเจ็บใจ
ในเวลาต่อมา พระยาไชยากรกำลังโกรธจัดอยู่บนเรือน
“ไอ้พระนิติธรรม มันกล้าพูดถึงขั้นนั้นเชียวรึ”
มาโนชกำลังใส่ไฟให้อาตัวเองฟังเต็มที่
“ขอรับคุณอา มันบอกว่าพระยาไชยากรมีชื่อเสียงอื้อฉาว ไม่รู้ว่าจะต้องมากราบกรานขอความช่วยเหลือมันวันไหน มันเลยไม่อยากรับของกำนัลไว้ให้ชาวบ้านต้องครหามันขอรับ”
พระยาไชยากรโมโหมาก
“ไอ้เด็กอมมือ เพียงแต่ได้ไปร่ำเรียนที่เมืองฝรั่งกลับมา ทำเป็นเย่อหยิ่งจองหอง คิดว่าคนอย่างกู จะต้องไปกราบกรานมึงเชียวรึ กูเป็นถึงพระยา ฐานะก็มั่งคั่งร่ำรวย ส่วนมึงก็แค่คุณพระ แลพ่อมึงก็เป็นแต่พระยาขี้เมา หามีอำนาจมากมายอะไรไม่ ฐานะก็เพียงแต่พอประมาณไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงา เหิมเกริมมาระรานถึงกู”
มาโนชได้ที รีบใส่ไฟอีก
“นั่นซีขอรับ กระผมได้ยินก็แค้นใจแทนคุณอาเหลือเกิน ติดแต่ว่าเป็นเขตเรือนของมัน จะทำอะไรก็ไม่สะดวก มิเช่นนั้น คงได้เห็นดีกันไปแล้ว”
พระยาไชยากรยิ่งคิดยิ่งแค้น
“วันนี้ทำอะไรมันไม่ได้ วันหน้าก็ยังมี มันอย่าพลาดมาบ้างก็แล้วกัน พ่อมาโนชไปกำชับไอ้พวกทาส อย่าให้อ้ายอีคนใดไปเหยียบเรือนไอ้พระนิติธรรมเป็นอันขาด อาไม่ต้องการให้เศษดินที่เรือนมัน ติดกลับมาเป็นเสนียดที่เรือนของอา”
มาโนชยิ้มสะใจ
“ได้ขอรับคุณอา”
ภายในสวน แก้วตกใจกับข่าวที่บุญเจิมนำมารายงาน
“จริงรึนังเจิม ท่านเจ้าคุณสั่งห้ามทาสทุกคนไปเหยียบเรือนแพของคุณพระนิติธรรมรึ”
“ฉันจะโกหกพี่ทำไม ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามแม่พี่ดูสิ ตอนนี้โจษกันไปทั้งเรือนแล้ว”
แก้วซึมลงไปทันที อยากไปหาพระนิติธรรมเพื่อหาความรู้ บุญเจิมยิ้มขำ
“หน้าบอกบุญไม่รับเลยนะพี่แก้ว เสียดายเงินค่าจ้างของคุณพระเรือนแพล่ะซี”
แก้วถอนใจ
“เอ็งไม่เข้าใจดอกนังเจิม สำหรับข้า เบี้ยอัฐมันไม่สำคัญเท่าความรู้ที่ข้าจะได้จากคุณพระนิติธรรมท่านดอก”
“เราเป็นทาสเค้า ถึงมีความรู้ท่วมหัวก็ไม่ได้ใช้ แล้วพี่จะอยากได้วิชาความรู้ไปทำไม แถมท่านเจ้าคุณยังออกคำสั่งห้ามเด็ดขาด ไม่ให้ไปที่เรือนแพแล้วด้วย ถ้าพี่ไป มีหวังหลังลายแน่”
แก้วหน้าขรึมลง สีหน้าแววตามุ่งมั่น
“อย่าว่าแต่หลังลายเลย ต่อให้หัวขาดข้าก็จะไป คนเรา ถ้าต้องอยู่อย่างโง่เขลาไร้ปัญญา ก็สู้ตายเสียดีกว่า”
เวลาหัวค่ำ แก้วกำลังคุยกับพระนิติธรรมอยู่ โดยแก้วกำลังคัดลอกสำนวนคดีความให้พระนิติธรรมไปด้วย
พระนิติธรรมยิ้มๆ
“แกรักเรียนถึงขนาดนี้เชียวรึเจ้าแก้ว รู้ไม่ใช่รึว่า ทาสที่ขัดคำสั่งนายต้องโดนอะไรบ้าง”
“รู้ขอรับ แต่กระผมก็เต็มใจที่จะเสี่ยง แม้ว่าทาสอย่างกระผม จะไม่มีโอกาสได้ใช้วิชาความรู้อย่างที่นังบุญเจิมมันว่า แต่กระผมก็ขอตายอย่างมีความรู้ติดตัว ดีกว่าตายอย่างคนโง่ขอรับ”
พระนิติธรรมหัวเราะชอบใจ)
“เออ ถ้าแกคิดได้อย่างงั้น ฉันก็จะช่วย สงสัยอะไรก็บอก ฉันจะสอนแกทุกเรื่อง ไม่ปิดบังแกหรอก”
“ขอบพระคุณมากขอรับคุณพระ “
แก้วยกมือไหว้แล้วยื่นกระดาษที่ตนคัดลอกให้พระนิติธรรม
“นี่สำเนาที่กระผมคัดลอก ขอเชิญคุณพระตรวจทานดูก่อนขอรับ”
พระนิติธรรมรับกระดาษมาอ่าน แล้วยิ้มพอใจ
“ลายมือสวย คัดลอกถูกต้อง ไม่มีผิดเลย เก่งกว่าที่ฉันคิดเสียอีก ถ้าเป็นอย่างนี้ ซักวันแกคงได้รับราชการแน่”
แก้วตื่นเต้นสุดๆ
“รับราชการ ทาสอย่างกระผมนี่หรือขอรับ”
“เชื่อฉันเถอะ บ้านเมืองเรากำลังเปลี่ยนแปลง ไม่เพียงแต่ทาส แม้แต่กฎหมายบ้านเมืองก็ยังต้องเปลี่ยน หาไม่ เราก็จะถูกบ้านเมืองอื่นที่เจริญกว่าดูถูกดูแคลน แล้วใช้เป็นข้ออ้างในการรุกรานเป็นแน่”
แก้วพยักหน้ารับช้าๆ อย่างเข้าใจ
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
“แกรู้หรือไม่ ว่าธรรมเนียมของเราเวลามีคดีความ ทั้งโจทก์แลจำเลยต้องปลูกเรือนอยู่ใกล้กับเรือนของตุลาการที่ตัดสินคดี เพื่อความสะดวกในการเดินทาง บางคดี กว่าจะตัดสินก็เป็นสิบปีเชียวนะ”
แก้วตกใจ
“ถ้านานเช่นนั้น ฝ่ายโจทก์หรือจำเลยก็ต้องสนิทสนมกับตุลาการเป็นพิเศษน่ะซีขอรับ แล้วอย่างนี้จะมีความเป็นธรรมได้หรือขอรับ”
พระนิติธรรมยิ้มพอใจ
“ไหวพริบแกดีจริงเจ้าแก้ว ฉันแนะนิดหน่อยแกก็เข้าใจถูกแล้ว มันยากที่จะเชื่อว่าเป็นธรรมได้ เราถึงต้อเปลี่ยนกฎหมายแลวิธีการตัดสินคดีเสียใหม่ ให้เป็นธรรมแลเป็นที่ยอมรับของบ้านเมืองอื่นด้วย เห็นหรือไม่ล่ะ ว่าบ้านเมืองเราต้องเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่าง”
แก้วพยักหน้ารับ
“แต่ถึงจะเปลี่ยนเช่นไร การที่ทาสจะได้เป็นถึงข้าราชการ มันก็เหลือที่จะเชื่อได้นะขอรับ”
นิติธรรมยิ้มขำ
“เอาเถิด อีกไม่นานดอก แกจะได้เห็นจริงตามคำของฉัน ทาสจะไม่ใช่แค่ทรัพย์สินอีกต่อไป แต่จะเป็นคน เท่ากับที่ฉันเป็น”
แก้วฟังแล้วก็ฮึกเหิม แอบมีความหวังขึ้นมา
ตกตอนกลางคืน แก้วพายเรือมาที่ท่าน้ำ ขณะกำลังจะขึ้นจากเรือ บุญเจิมก็วิ่งหน้าตื่นด้วยความร้อนใจเข้ามาหา
“พี่แก้วๆ แย่แล้ว พี่แก้ว”
“จะแหกปากทำไมนังเจิม กลัวคนไม่รู้รึ ว่าข้าเพิ่งกลับจากเรือนแพคุณพระท่าน”
บุญเจิมหน้าเสีย
“ฉันขอโทษ แต่ตอนนี้พี่รีบไปที่เรือนใหญ่ก่อนเถอะ”
“ทำไมรึ”
“ป้ากิ่งต้องโทษ ท่านเจ้าคุณกำลังจะโบยป้าอยู่แล้ว”
แก้วตกใจสุดๆ หน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าแม่จะต้องโทษถึงขั้นโบย
บนเรือน กิ่งกำลังหมอบกราบอยู่ที่พื้น ตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว พระยาไชยากรยืนหน้าตาถมึงทึงด้วยความโกรธจัด โดยมีมาโนชและลูกน้องคนสนิทอย่างบุญมี เข้ม พลอย นั่งอยู่ใกล้ๆ ส่วนน้ำทิพย์นั่งหน้าเครียดๆ เป็นห่วงกิ่ง กลัวว่าจะโดนเฆี่ยนหนัก
ในขณะที่ทาสคนอื่นๆ พากันนั่งอยู่เต็มเรือน ด้วยสีหน้าท่าทางหวาดกลัว ทันใดนั้นเอง บุญเจิมก็พาแก้ววิ่งขึ้นเรือนมา
พระยาไชยากรโมโหมาก ตะคอก
"มาแล้วรึไอ้แก้ว ดี หลังจากกูเฆี่ยนแม่มึงเสร็จ จะได้พาแม่มึงกลับไป"
แก้วยกมือไหว้ ห่วงแม่สุดๆ
"เมตตาด้วยเถอะขอรับท่านเจ้าคุณ ไม่ทราบว่าแม่ของบ่าวกระทำผิดอะไรหรือขอรับ"
มาโนชพูดสวนขึ้น
"ยังมีหน้ามาถามอีกหรือวะไอ้แก้ว แม่เอ็งมันเลี้ยงไม่เชื่อง เนรคุณนายที่เลี้ยงมันมา"
พระยาไชยากรหันไปตะคอกกิ่ง
"เสียทีเป็นคนเก่าคนแก่ เมียกูที่ตายไปก็เมตตาเอ็งนักหนา ไม่น่าเชื่อว่ามึงจะริทรยศต่อกู"
กิ่งกลัวมากบอก
"บ่าวไม่ได้ทรยศนะเจ้าคะ เอาไปสาบานที่ไหนก็ได้ บ่าวไม่เคยคิดเนรคุณท่านเจ้าคุณเลยจริงๆเจ้าค่ะ"
"อีผู้ร้ายปากแข็ง ไอ้บุญมี มึงได้ยินมา ว่าอะไรบอกไปซิ"
บุญมีกระหยิ่มยิ้มย่อง
"ขอรับ นังกิ่งมันบอกกับนังทอง ว่ามีกฎบัตรกฎหมายออกมาให้ลูกทาสที่เกิดปีมะโรง สัมฤทธิศกทุกคนเป็นไท เมื่ออายุครบยี่สิบเอ็ดขอรับ"
บุญเจิมมองบ่นเบาๆ เจ็บใจพี่ชาย
"อีกแล้วรึ พี่มี"
พระยาไชยากรหันไปตะคอกทาส 1
"จริงหรือไม่วะนังทอง"
ทาส 1ท่าทางกลัวมากบอก
"จริงเจ้าค่ะ บ่าวกำลังทุกข์ใจ ที่ไอ้เผือกหลานบ่าวถูกอาญาของท่านเจ้าคุณพัลลภจนล้มเจ็บ พี่กิ่งเลยมาปลอบใจบ่าว ว่าไอ้เผือกเกิดปีมะโรง สัมฤทธิศก อีกสองปีก็จะเป็นไทแล้ว ให้อดทนอีกหน่อยเจ้าค่ะ"
พวกทาสเริ่มหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เป็นสิ่งที่พวกตนไม่เคยรู้เลย พอได้ยินอย่างงี้ ก็เริ่มมีความหวัง มาโนชแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อน
"ไอ้พวกโง่ รู้ตื้นๆ ก็เอามาพูด หากยังหลงเชื่อก็ควรแล้ว ที่พวกมึงต้องเป็นขี้ข้าเช่นนี้"
น้ำทิพย์นิ่งอยู่นานจนทนไม่ไหว
"คุณพ่อคะ"
พระยาไชยากรหันไปถลึงตาดุใส่ลูกสาว น้ำทิพย์ชะงัก จำใจต้องเงียบ ไม่กล้าพูดต่อ
"หลานมาโนชพูดถูกแล้ว แลต่อให้เป็นเรื่องจริง กูถามหน่อยเถอะวะ ว่าพวกมึงจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง จะไปทำมาหากินอะไร วิชา ความรู้ก็ไม่มี อยู่ที่นี่ที่อยู่ที่กินพร้อมเพรียง เจ็บป่วยกูก็รักษาให้ พวกมึงจะเอาอะไรอีก"
พระยาไชยากรกวาดตามองพวกทาส แต่ละคนก้มหน้าไม่กล้าสบตา ยอมรับว่าสิ่งที่พระยาไชยากรพูดเป็นเรื่องจริง
พระยาไชยากรหันมาเล่นงานกิ่งต่อ
"ส่วนมึงนังกิ่ง โทษที่มึงเอาข่าวเท็จมาทำความวุ่นวายให้เรือนกู .... ไอ้บุญมี เอาหวายลงหลังนังกิ่งฐานปากบอนครึ่งโหล เดี๋ยวนี้"
บุญมียกมือไหว้บอก
"ขอรับ"
บุญมีหันไปหยิบหวายที่ฝาเรือน แล้วตรงมาที่กิ่งทันที น้ำทิพย์รีบห้าม
"เดี๋ยวก่อน ป้ากิ่งแก่มากแล้ว คุณพ่อเฆี่ยนเช่นนี้ ลูกเกรงว่าแกจะทนไม่ไหว ขอให้คุณพ่อนึกถึงคุณแม่
บ้างเถอะค่ะ อย่างไรเสีย ยายกิ่งก็เป็นคนของคุณแม่"
"ก็เพราะพ่อนึกถึงน่ะสิ จึงเฆี่ยนเพียงหกที ถ้าไม่นึกถึงแม่เจ้า เห็นจะโดนเต็มโหลเป็นแน่ ... ไอ้บุญมี"
บุญมีใช้หวายเฆี่ยนหลังกิ่งเต็มแรงทันที กิ่งร้องด้วยความเจ็บปวด แต่บุญมีก็ไม่เวทนาแม้แต่น้อย
แก้วทนไม่ไหว ทำท่าจะลุกขึ้นไปช่วยแม่ แต่บุญเจิมรีบจับแขนแก้วไว้ แล้วปรายตาเป็นเชิงห้าม มาโนช พลอย และเข้มหันไปสบตากัน แล้วยิ้มสะใจ ที่ได้กดหัวคนอื่นไม่ให้กล้าหือ
ในขณะที่ น้ำทิพย์เบือนหน้าไปทางอื่น ไม่กล้าดู แก้วมองดูแม่ถูกเฆี่ยน น้ำตาคลอเบ้า กำหมัดกัดฟันแน่น ทั้งเจ็บใจทั้งสงสารแม่สุดๆ
เวลาต่อเนื่องมา ในเรือนทาสกิ่ง แก้ว และบุญเจิมช่วยกันประคองกิ่งที่ถูกเฆี่ยนจนหลังแตกเป็นแผล นอนคว่ำหน้าลงกับพื้นเรือน กิ่งร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดตลอดเวลา
"โธ่ป้า ไม่น่าเล๊ย พี่มีนะพี่มี คิดแต่จะหาความชอบ ไม่สงสารกันบ้างเลย" บุญเจิมบอกด้วยความสงสาร
แก้วพยายามระงับอารมณ์
"เดี๋ยวฉันจะไปต้มยามาให้นะแม่"
"ดึกดื่นป่านนี้แล้ว เอ็งจะไปหาหยูกยาที่ไหน ไว้รอเช้าก่อนแล้วค่อยไปเถอะไอ้แก้วเอ๊ย"
แก้วขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ
"เรื่องเพียงแค่นี้ กลับลงโทษถึงเฆี่ยนตี ท่านเจ้าคุณออกจะทำแรงเกินไปแล้ว"
"นั่นซี แค่เอาข่าวเท็จมาพูดต่อ เหตุใดต้องเฆี่ยนด้วยก็ไม่รู้" บุญเจิมบอก
กิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดจากบาดแผล
"ก็เพราะมัน ไม่ใช่ข่าวเท็จน่ะสิ ท่านเจ้าคุณ ถึงต้องเฆี่ยนข้าให้หนักเข้าไว้ ทาสคนอื่นจะได้ไม่กล้า"
แก้วนึกไม่ถึง
"แม่หมายความว่าที่แม่พูดเป็นเรื่องจริงรึ"
"ข้าจะปดเพื่อประโยชน์อันใดวะไอ้แก้ว พระพุทธเจ้าหลวงท่านออกกฎบัตรกฎหมายมาเป็นสิบปีแล้ว"
แก้วคิดทบทวนพูดเบาๆกับตัวเอง
"มิน่าเล่า คุณพระถึงบอกว่าภายหน้าจะมีโอกาสรับราชการ ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง"
บุญเจิมสงสัย ก่อนยกมือท่วมหัว
"แต่มันแปลกนะป้า ในเมื่อพระพุทธเจ้าหลวงท่านออกกฎบัตรกฎหมายมาเป็นสิบปีแล้ว เหตุใดพวกเราถึงไม่มีใครเคยรู้เลยล่ะ"
"ก็เพราะท่านเจ้าคุณปิดเรื่องนี้เอาไว้น่ะสิ ข้ารับใช้ท่านมานาน รู้จิตใจท่านดี ท่านเจ้าคุณไม่ต้องการปล่อยทาสคนไหนไปทั้งสิ้น แม้จะมีกฎหมายออกมา ก็จะแกล้งทำเมินเฉยเสีย ขอเพียงพวกทาสไม่รู้เรื่อง ก็จะไม่มีคนไปฟ้องร้องท่าน คิดไม่ถึงเลยว่าความสงสารนังทองเพียงชั่วครู่ จะนำภัยมาให้ข้า"
ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงบุญมีตะโกนลั่นอยู่นอกเรือน
"นังบุญเจิม ดึกดื่นป่านนี้แล้ว เหตุใดไม่กลับเรือนหรือว่าเรือนไอ้พวกเนรคุณ มันอยู่สุขสบายกว่าเรือนเอ็ง"
แก้วแค้นใจนัก
"ไอ้บุญมี"
แก้วรีบลุกออกไปทันที บุญเจิมตกใจกลัวมีเรื่อง รีบตามแก้วไปอีกที
อ่านต่อตอนต่อไป
แก้วเดินลิ่วออกมาด้วยความโมโห บุญเจิมตามหลังมา พอออกมาทั้งคู่ก็เห็นบุญมี เข้ม และพลอย ยืนรอเอาเรื่องอยู่ที่หน้าเรือน บุญมีตวาดน้องสาว
"ออกมาได้แล้วรึนังเจิม เรือนเอ็งมีทำไมไม่อยู่"
บุญเจิมโมโห
"แล้วป้ากิ่งถูกใครเฆี่ยนเอาล่ะ เป็นแผลเสียตั้งหกรอย ฉันมาดูแลแค่นี้ไม่ได้รึไง"
"แล้วยายกิ่งเป็นแม่เอ็งรึ ถึงต้องมาคอยดูแล"
บุญมีหันไปมองแก้ว ยิ้มเยาะ แขวะ
"อ๋อ หรือว่าแม่ผัว"
แก้วโมโห แกล้งปั้นยิ้มเยาะ
"ช่างมีหัวคิดดีเหลือเกินพี่บุญมี พูดเช่นนี้ คนที่ด่างพร้อยก็มีแต่น้องสาวพี่ ฉันไม่แปลกใจเลย ที่พี่หาเรื่องฟ้อง แม่ฉันจนได้โทษ ทั้งๆที่เป็นทาสเหมือนกัน ถึงพี่พยายามทำความชอบทำลายพวกเดียวกัน ก็ใช่ว่าเค้าจะปล่อยพี่ให้เป็นไท ช่างมีปัญญานัก"
"มึงอย่าอวดวิเศษไปหน่อยเลยไอ้แก้ว กูหมั่นไส้มึงกับแม่มึงมานานแล้ว เพียงแค่รู้หนังสือนิดหน่อยทำเป็นโอ้อวด จะบอกให้ว่ากูไม่อยากเป็นไทดอกโว้ย เป็นทาสมีคนเลี้ยงอย่างงี้ก็ดีแล้ว ส่วนมึงกับแม่มึงก็เพ้อฝันต่อไปเถอะว่าจะได้เป็นไท แต่ระวัง ยายกิ่งจะตายคาหวายกูก่อนก็แล้วกัน"
"แช่งกันเลยรึ มากไปแล้วนะพี่มี" บุญเจิมว่า
"แล้วมึงจะทำไมกู อีเจิม" บุญมีตะคอกถาม
แก้วโมโหมาก แกล้งหัวเราะเยาะลั่น
"น่าสมเพชนัก ทาสที่ไม่ยอมรับการปลดปล่อย แม้แต่สัตว์ป่าที่เค้าจับมาขัง ยามปล่อยมัน มันยังดีใจ
แต่พี่มีไม่ยักชอบไม่ยักดีใจ แสดงว่าจิตพี่ต่ำกว่าสัตว์ป่าเสียอีก โธ่เอ๊ย เกิดเป็นคนแล้วเลวกว่าสัตว์ป่า จะเกิดมาทำไม"
บุญมีโมโหสุดขีด
"มึงอย่าอยู่เลยไอ้แก้ว"
ขาดคำ บุญมีก็พุ่งหมัดใส่หน้าแก้วทันที แต่แก้วคอยระวังอยู่แล้ว เลยหลบไปได้หวุดหวิด แถมเตะสวนจนบุญมีถลาไป บุญมีบุกเข้าเตะต่อยแก้วอีก แต่แก้วเป็นมวยกว่าเลยจัดการเตะต่อยสวน จนบุญมีโดนเข้าไปหลายที
ทันใดนั้น เข้มก็เตะแก้วจากทางด้านหลัง จนแก้วผงะออกไป
"ไอ้เข้ม ไอ้หมาลอบกัด นี่หรือวะนักเลงจริง"
"มึงทำพี่มีของกู กูก็ต้องช่วยโว้ย"
แก้วหันไปพูดกับพลอย
"แล้วมึงล่ะไอ้พลอย ไม่รุมเข้ามาเหมือนหมาหมู่ด้วยรึ"
พลอยยิ้มเยาะ
"มึงเอาตัวให้รอดก่อนเถอะไอ้แก้ว แล้วค่อยท้ากู อย่างมึงไม่พอมือกูดอก"
บุญมีหยิบไม้ที่อยู่ใกล้มือจะฟาดแก้ว เข้มก็กำหมัดล้อมเข้ามา แก้วตั้งท่าสู้ วันนี้เป็นไงเป็นกัน
ทันใดนั้น น้ำทิพย์กับแม่นมอ้อนก็เดินเข้ามา
"หยุดเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้น ฉันจะลงโทษทุกคน" น้ำทิพย์เสียงเฉียบขาด
ทุกคนเห็นน้ำทิพย์เข้าก็ตกใจ รีบคุกเข่าหยุดต่อสู้กันทันที น้ำทิพย์มองทุกคนด้วยสายตาเคร่งเครียด ไม่ชอบที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
ในเรือนทาสกิ่ง แก้วกำลังประคองกิ่งให้ลุกขึ้นนั่ง เพื่อคุยกับน้ำทิพย์ โดยมีบุญเจิม อ้อน อยู่ใกล้ๆ
"ไม่ต้องลุกดอกจ้ะป้ากิ่ง นอนคุยกับฉันก็ได้ ฉันไม่ถือ"
กิ่งเจ็บปวดมาก แต่ก็พยายามลุกขึ้นนั่ง
"ไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ คุณน้ำทิพย์ อุตส่าห์ลดตัวมาถึงเรือนทาสทั้งที แค่นี้ก็เป็นบุญคุณล้นเหลือกับบ่าวแล้ว
จะให้บ่าวนอนคุยกับคุณได้อย่างไรเจ้าคะ"
"ป้าอย่าพูดอย่างนั้นเลย ป้ากิ่งเลี้ยงฉันมาตั้งแต่เกิดไม่ต่างจากนมอ้อน เมื่อป้าถูกคุณพ่อฉันสั่งโบยตี แล้วฉันจะไม่มาเยี่ยมป้าได้ยังไง"
น้ำทิพย์หยิบยาฝรั่งออกมา ยื่นให้แก้ว
"นี่เป็นยาจากเมืองฝรั่ง ได้ผลชะงัดนัก ซองนี้เอาไว้กิน ส่วนซองนี้เอาไว้ทาแผล แก้วเอาไว้ใช้รักษาป้ากิ่งเถอะ"
บุญเจิมตาโต
"ยาฝรั่ง งั้นก็แพงโขเลยสิเจ้าคะ คุณน้ำทิพย์"
อ้อนปราม
"จะถูกจะแพงแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเอ็งด้วยนังบุญเจิม"
บุญเจิมหน้าจ๋อยไป ไม่ค่อยพอใจแต่ก็ไม่กล้า กิ่งเกรงใจสุดๆ
"คุณน้ำทิพย์เจ้าคะ"
น้ำทิพย์ตัดบท
"ป้าเป็นคนเก่าคนแก่ของคุณแม่ ถือว่าฉันดูแลป้าแทนคุณแม่ก็แล้วกันนะจ๊ะ"
กิ่งเสียงอ่อย
"เจ้าค่ะ"
แก้วยกมือไหว้
"ขอบพระคุณขอรับคุณน้ำทิพย์"
น้ำทิพย์รับไหว้แล้วยิ้มบางๆ
"ถ้าจะขอบคุณฉัน ก็อย่ามีเรื่องวิวาทในเรือนฉันอีกก็แล้วกัน"
แก้วหน้าจ๋อยๆไป
บุญเจิมรีบออกรับแทน
"แต่เรื่องนี้พี่แก้วไม่ผิดนะเจ้าคะ พี่มีเป็นฝ่ายหาเรื่องพี่แก้วก่อน"
นมอ้อนบอก
"นึกว่าคุณน้ำทิพย์ไม่รู้รึ แต่ตามกฎของท่านเจ้าคุณ หากทาสวิวาทกันก่อนไต่สวนต้องโดนลงโทษก่อน ที่คุณน้ำทิพย์ย้ำเตือน ก็เพื่อไม่ให้เจ้าแก้วต้องพลอยโดนโทษไปด้วยดอก"
บุญเจิมหน้าเง้าหน้างอ ที่โดนว่าอีกแล้ว
"ฉันกลับก่อนล่ะนะ ถ้าหากบุญมีผูกใจเจ็บจะทำอะไรแก้ว แก้วก็บอกฉันก็แล้วกัน"
"ขอรับคุณน้ำทิพย์"
น้ำทิพย์ และนมอ้อนออกจากเรือนกิ่งไป บุญเจิมหงุดหงิดที่เห็นน้ำทิพย์ดีกับแก้ว
"พี่แก้วช่างมีบุญแท้ แม่เจ็บ คุณน้ำทิพย์ก็อุตส่าห์เอายาฝรั่งแพงๆมาให้ รู้หรือไม่ ว่าคุณน้ำทิพย์เห็นแก่พี่แก้วดอกหาใช่เห็นแก่ป้ากิ่งไม่"
แก้วโมโหบอก
"นังเจิม เอ็งอย่ามาสาระแนพูดอัปรีย์อย่างงี้อีกนะ คุณน้ำทิพย์มาช่วยแม่ข้า ไม่ได้เห็นแก่ใครทั้งนั้น เธอเห็นแก่วิญญาณของคุณแม่เธอมากกว่า หากเอ็งพูดอย่างงี้อีก ข้าจะบอกคุณน้ำทิพย์ให้เอากะลาเคาะปากเอ็ง"
บุญเจิมหน้าเสียที่ถูกแก้วดุ ก่อนจะสะบัดหน้าออกจากเรือนไปอย่างหงุดหงิด กิ่งมองตามบุญเจิมแล้วถอนใจส่ายหน้า ระอากับความล้นของบุญเจิม
แก้วพยายามระงับอารมณ์ เขามองไปที่ยาของน้ำทิพย์ แล้วระบายยิ้มบางๆ ออกมาด้วยความสุขล้น ดีใจที่คุณน้ำทิพย์ ดีกับตนและแม่แบบนี้
อ่านต่อหน้า 3
ลูกทาส ตอนที่ 1 (ต่อ)
เช้าวันรุ่งขึ้น บริเวณสวนบ้านพระยาไชยากร
แก้วมาช่วยน้ำทิพย์เก็บดอกไม้เหมือนทุกวันและวันนี้เขาได้นำยามาคืนให้น้ำทิพย์
น้ำทิพย์แปลกใจ
"เอายามาคืนฉันทำไม ใช้ไม่ได้ผลรึ"
"หามิได้ขอรับ ยาของคุณน้ำทิพย์ดีนัก เพียงแค่กินแลทาตามที่คุณน้ำทิพย์สั่ง แม่ก็อาการดีขึ้นทันตาเห็น แต่ยามันแพง ไม่ควรที่จะสิ้นเปลืองกับทาสอย่างพวกกระผม เพียงเท่านี้ ก็เป็นพระเดชพระคุณมากแล้วขอรับ"
น้ำทิพย์ยิ้มบางๆ
"ไม่ต้องเกรงใจดอก เก็บเอาไว้เถอะ ฉันบอกแล้ว ว่าฉันจะดูแลป้ากิ่งแทนคุณแม่ ถ้าท่านยังอยู่ ท่านก็ต้องรักษาป้ากิ่งอย่างดีเช่นกัน"
แก้วรู้สึกเกรงใจมาก
"แต่..."
น้ำทิพย์ตัดบท
"เดี๋ยวนี้ไม่ฟังคำสั่งฉันแล้วรึ"
"มิได้ขอรับ ถ้าคุณน้ำทิพย์ประสงค์เช่นนั้น กระผมก็จะทำตามขอรับ"
ขณะนั้นเอง มาโนชก็เดินยิ้มกริ่มเข้ามาหาน้ำทิพย์
"น้องน้ำทิพย์ ตื่นก่อนก็ไม่ยอมปลุกพี่ พี่ตั้งใจจะลงมาพร้อมๆ น้ำทิพย์เสียหน่อย"
แม้เธอจะรำคาญ แต่ก็ยังยิ้มตามมารยาท
"พี่มาโนชชอบนอนตื่นสายนี่คะ ฉันเลยไม่กล้าปลุกพี่ แลฉันเห็นว่าบางคืนพี่กินเหล้าจนดึก บางคืนก็ไม่กลับมานอนที่เรือนจนเกือบรุ่ง ฉันยิ่งไม่กล้ารบกวน"
มาโนชหน้าเสีย พูดไม่ออก แก้วยิ้มๆ สะใจที่มาโนชโดนย้อน
"ยิ้มอะไรวะไอ้แก้ว ไอ้ขี้ข้า เจ้านายเค้าพูดกัน สะเออะมาเสนอหน้า"มาโนชหันไปตะคอกแก้ว
แก้วหน้าเสียไปทันที ที่โดนมาโนชด่าแบบจิกหัวขนาดนี้ น้ำทิพย์ไม่พอใจ
"แก้วมีหน้าที่ต้องช่วยน้องเก็บดอกไม้ทุกวันอยู่แล้ว ไม่ถือว่าสะเออะดอกค่ะพี่มาโนช"
มาโนชปั้นยิ้ม ปรายตามองแก้ว
"งั้นต่อไป ให้พี่ช่วยน้ำทิพย์เก็บดอกไม้นะจ๊ะ จะได้ไม่ต้องไปใช้ไอ้ขี้ข้านี่อีก"
"อย่าเลยค่ะ ฉันเกรงใจ แลแก้วก็ทำหน้าที่นี้มานานจนรู้ใจฉันแล้ว ใช้คนอื่นก็ไม่คล่องแคล่วเท่านี้ดอกค่ะ... ไปกันเถอะแก้ว บ่ายนี้ฉันต้องไปซื้อของ แก้วไปช่วยฉันถือของด้วยนะ" น้ำทิพย์พูดกับมาโนชก่อนหันมาบอกแก้ว
"ขอรับคุณน้ำทิพย์"
น้ำทิพย์เดินเลี่ยงไป โดยมีแก้วเดินตามหลัง มาโนชมองตามไปด้วยความเจ็บใจปนหมั่นไส้ทาสแก้วมาก
บุญมีกำลังคุยอยู่กับมาโนชที่เจ็บใจอยู่บนเรือน
"จะให้กระผมหาเรื่องไอ้แก้วมันหรือขอรับคุณมาโนช"
"ใช่ ยิ่งโทษหนักยิ่งดี ข้าจะได้หาเหตุเฆี่ยนไอ้แก้วให้ปางตาย ค่าที่มันชอบทำตัวประจบประแจงน้องน้ำทิพย์ของข้าดีนัก"
บุญมีคิดอยู่ครู่นึง
"กระผมได้ยินพวกในครัวมันคุยกัน ว่าไอ้แก้วเคยไปรับใช้ไอ้คุณพระเรือนแพแลกกับค่าจ้าง ไม่แน่ ว่ามันอาจจะไปอีก ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับมันขัดคำสั่งท่านเจ้าคุณ ที่ห้ามทาสทุกคนเหยียบเรือนแพไอ้คุณพระ คราวนี้ได้เฆี่ยนมันหลังขาดคาหวายแน่ขอรับ"
มาโนชคิดตามก่อนจะหัวเราะชอบใจ แล้วตบบ่าบุญมี
"ดีมากไอ้มี ไม่เสียทีที่เป็นคนโปรดของข้า เอ็งไปหาทางจับไอ้แก้วคาหนังคาเขาให้ได้ ข้าจะเฆี่ยนมันต่อหน้าน้องน้ำทิพย์เสียเลย"
"ขอรับคุณมาโนช" บุญมีสายตาเหี้ยมเกรียม กะล้างแค้นที่แก้วชกตนเต็มที่
มาโนชสะแหยะยิ้มมุมปาก สีหน้าแววตาชิงชัง
บรรยากาศย่านร้านค้า มีผู้คนมากมายดูคึกคัก แก้วยืนเฝ้าของต่างๆที่น้ำทิพย์ซื้อมา ทั้งผ้าหลายพับ อาหาร ผลไม้ต่างๆ อยู่ข้างรถม้า ขณะนั้นเอง มือข้างหนึ่งของพระนิติธรรมลือชาก็เอื้อมมาจับบ่าแก้วจากทางด้านหลัง
แก้วหันกลับไป นึกไม่ถึง จะคุกเข่าไหว้
"คุณพระ"
พระนิติธรรมรีบจับแขนแก้วไว้ ไม่ให้คุกเข่า
"ไม่ต้องๆ อย่าพินอบพิเทานักเลย ฉันไม่ใช่คนถือยศถืออย่างเช่นนั้นดอก"
แก้วยิ้มแย้ม
"แล้วคุณพระมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงขอรับ"
"ฉันควรจะเป็นฝ่ายถามแกมากกว่า ที่ทำงานฉันอยู่ละแวกนี้ เลิกงาน ก็ต้องผ่านย่านนี้ทุกวันอยู่แล้ว"
แก้วยิ้มขำๆ
"จริงสิขอรับ กระผมก็ถามอะไรโง่ๆ กระผมตามคุณน้ำทิพย์มาซื้อของขอรับ คุณน้ำทิพย์ต้องการของหลายอย่าง เลยให้กระผมมาช่วยถือขอรับ"
นิติธรรมพยักหน้ารับ หน้าขรึมลง
"เออ ฉันรู้เรื่องแม่ของแกแล้วนะ เสียใจด้วย"
แก้วแปลกใจ
"คุณพระทราบได้ยังไงกันขอรับ"
นิติธรรมยิ้มๆ
"อย่าดูถูกเจ้าอ้นทาสฉันสิ เรื่องสาระแนมันไม่เป็นรองผู้ใดในพระนครดอก ก่อนมาทำงานให้ ฉันก็รู้แล้ว
ท่านเจ้าคุณของแกทำเช่นนี้ ไม่ต่างจากพวกนายทาสสปาต้าร์สมัยโบราณเลย คอยดูเถิด ซักวันพระยาไชยากรต้องมีโทษเพราะเรื่องนี้แน่ เออ คืนนี้แกไปที่เรือนแพฉันสิ ฉันมียาฝรั่งอย่างดีจะให้ แกจะได้เอาไปรักษาแม่แก"
แก้วยกมือไหว้บอก
"ขอบพระคุณขอรับ แต่คุณน้ำทิพย์ให้ยาฝรั่งมารักษาแม่กระผมแล้วขอรับ"
พระนิติธรรมนึกไม่ถึง
"ลูกสาวพระยาไชยากรน่ะรึ จะให้ยาฝรั่งราคาแพงกับทาส"
"คุณน้ำทิพย์ไม่เหมือนคุณพ่อของเธอดอกขอรับ เธอมีเมตตากับพวกทาสนัก เพราะเธอถือว่าพวกเราเป็นคนเช่นเดียวกัน" แก้วพูดด้วยสีหน้าแววตา ชื่นชม
พระนิติธรรมหัวเราะ
"ลูกไม้จะหล่นไกลต้นอย่างงั้นเชียว ฉันไม่เชื่อแกดอก ไอ้แก้ว"
"จริงขอรับ กระผมไม่กล้าปดคุณพระดอกขอรับ"
แก้วเหลือบไปเห็นน้ำทิพย์พอดี
"โน่นไงขอรับ คุณน้ำทิพย์เดินมาพอดีเลย"
พระนิติธรรมมองตาม เห็นน้ำทิพย์กำลังเดินดูของ โดยมีทาส 2-3 คนเดินตามหลัง เขาตกตะลึงในความสวยน่ารักของน้ำทิพย์ ราวกับต้องมนต์สะกด หลงรักทันทีตั้งแต่แรกเห็น จนเผลอยิ้มออกมา มองน้ำทิพย์อย่างไม่ละสายตา แก้วเองก็แอบจับตามองน้ำทิพย์เช่นกัน
สรุปแล้ว 2 หนุ่มต่างชนชั้นต่างแอบหลงใหลผู้หญิงคนเดียวกัน
เวลาเย็น บริเวณเรือนทาสบ้านพระยาไชยากร
บุญมี พลอย และเข้ม กำลังรินเหล้าจากไหใส่จอกไม้ไผ่ วงกินเหล้าแกล้มกับมะขามเปียก
"ฉันไปสืบมาแล้ว หลายวันมานี่ ไอ้แก้วมันทำงานเสร็จก็หายหัว ไม่มีใครเห็นมันอีกจนเช้า ไม่แคล้ว พอตกค่ำ มันต้องไปที่เรือนแพเป็นแน่" เข้มบอก
บุญมียิ้มร้ายๆ
"งั้นก็เข้าทางข้า คราวนี้แหละ ข้าจะจับมันไปลงหวายให้แตกยับ สาแก่ใจที่มันกล้าชกหน้าข้า"
"จะยุ่งยากไปทำไมพี่มี ถ้าอยากล้างแค้น ก็ไปหามันเดี๋ยวนี้เลยสิ อย่างไอ้แก้วจะพอมืออะไรพวกเราสามคน" พลอยว่า
"เอ็งมันก็มุทะลุไปไอ้พลอย ขืนเราไปท้าตีท้าต่อยกับมัน ได้โดนอาญาจากท่านเจ้าคุณด้วยปะไร คุณน้ำทิพย์ก็ปกป้องมันอยู่ ใช่ว่าจะทำได้อย่างใจ แต่ถ้าเราจับได้ ว่ามันกล้าขัดคำสั่งท่านเจ้าคุณ ก็มีแต่ไอ้แก้วเท่านั้นที่จะโดน แลสมใจคุณมาโนชที่ไม่ชอบหน้ามันด้วย ไม่แน่ ว่างานนี้จะได้รางวัลจากคุณมาโนชเป็นของแถมอีก"
ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงกุกกักดังขึ้น พลอยตวาดถาม
"ใครวะ"
บุญเจิมถือถาดใส่อาหารเดินหน้าหงิกเข้ามาหา ก่อนวางถาดใส่อาหารลง
"ก็ฉันน่ะสิจะใครล่ะ เอ้า กินข้าวกินปลาได้แล้ว เมื่อไหร่พี่จะเลิกให้ฉันยกกับข้าวกับปลามาให้ซะทีนะ
ทาสคนอื่นเค้ายังไปกินที่ครัวได้เลย"
บุญมีตะคอกน้อง
"ไม่เหมือนกันโว้ย ถึงเป็นทาส แต่ข้าก็เป็นหัวหน้าทาส ทุกคนในเรือนนี้ กะอีแค่ยกกับข้าวมากินที่เรือน จะเป็นอะไรไป"
บุญเจิมเบะปาก หมั่นไส้พี่สุดๆ
เข้มกะลิ้มกะเหลี่ยจีบบุญเจิม
"แล้วเอ็งไม่กินข้าวด้วยกันรึนังเจิม"
บุญเจิมเสียงหงุดหงิด
"กินข้าวพร้อมกับพวกขี้เหล้าน่ะรึ ฉันกินไม่ลงดอก"
บุญเจิมทิ้งค้อน และเดินสะบัดหน้าจากไป บุญมีไม่พอใจ
"อีนี่ จะเป็นน้องหรือแม่ข้ากันแน่วะ"
เข้มชะเง้อมองตามบุญเจิมไป แอบชอบบุญเจิมมานานแล้ว แต่บุญเจิมก็ไม่สนใจซะที ก่อนจะลุกเดินออกไปจากวงเหล้า
เข้มเร่งฝีเท้ามาดักหน้าบุญเจิมไว้
"เดี๋ยวสิบุญเจิม จะรีบไปไหนเล่า หยุดคุยกันก่อนไม่ได้รึ"
บุญเจิมหงุดหงิด เบะปากดูถูก
"มีอะไรก็ว่ามา ข้ามีงานต้องทำอีกมาก ไม่ใช่วันๆ เอาแต่ประจบประแจง หาเรื่องอู้งานได้เหมือนเอ็ง"
" เอ็งพูดดีๆกับข้าบ้างไม่ได้หรือไงวะนังเจิม ข้าแก่กว่าเอ็งหลายปีนะ ทีไอ้แก้วล่ะก็ พี่แก้วอย่างงั้น พี่แก้วอย่างงี้"
"ก็ข้าชอบพี่แก้ว ก็ต้องพูดดีด้วยน่ะสิ"
เข้มโมโหหึง
"เอ็งเป็นหญิง กล้าเอ่ยว่าชอบผู้ชายได้ยังไงวะ บัดสีปากนัก"
"ก็ข้าพูดความจริง ถ้าบอกว่าไม่ชอบก็เท่ากับโกหก ผิดศีลอีก แล้วจะให้ข้าพูดยังไง เอ็งเองที่ทำมาเป็นชวนข้าคุยโน่นคุยนี่ ก็หวังจะเกี้ยวข้าเหมือนกันล่ะวะ นึกว่าข้าไม่รู้รึไอ้เข้ม"
บุญเจิมยิ้มแบบรู้ทัน เข้มหน้าเจื่อน เถียงไม่ออก
"ไม่เถียง ก็แปลว่าข้าพูดไม่ผิด ไอ้เข้มเอ๊ย ถึงพี่แก้วกับเอ็งจะเป็นทาสเหมือนกัน แต่น้ำหน้าอย่างเอ็ง มีอะไรเทียบพี่แก้วของข้าได้บ้างวะ คิดจะเกี้ยวข้า หัดตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาเสียก่อนเถอะ"
บุญเจิมสะบัดหน้าเชิดใส่ แล้วเดินเลี่ยงไป เข้มมองตามด้วยความแค้นอยากเอาชนะ
"อีเจิม ชาตินี้กูจะไม่ได้มึงเป็นเมียก็ให้มันรู้ไป"
หมู่เรือนแพริมคลองยาวค่ำ พระนิติธรรมยืนเหม่อมองอยู่ที่ริมหน้าต่างเรือนแพ สีหน้าเคลิ้มฝัน หลงรักคุณน้ำทิพย์เข้าไปตั้งแต่แรกเห็น จนเก็บเอามาเคลิ้ม โดยมีแก้วนั่งคัดลอกเอกสารอยู่ใกล้ๆ เมื่อแก้วคัดลอกเสร็จก็อ่านตรวจทานอีกที
"เรียบร้อยแล้วขอรับคุณพระ"
พระนิติธรรมยังเหม่อลอย ไม่ได้ยินแก้วแม้แต่น้อย
"คุณพระขอรับ"
นิติธรรมเพิ่งรู้สึกตัว
"มีอะไรรึ"
"กระผมคัดลอกเสร็จแล้ว ขอเชิญคุณพระตรวจทานขอรับ"
"ไม่ต้องตรวจดอก ฉันตรวจหลายครั้งแล้ว แกไม่เคยคัดผิดซักตัวเดียวเลย"
แก้วยิ้มดีใจ ที่พระนิติธรรมชม
พระนิติธรรมเลียบๆเคียงๆ ถาม
"เจ้าแก้ว แกยืนยันใช่หรือไม่ ว่าคุณน้ำทิพย์ของแก มีนิสัยไม่เหมือนเจ้าคุณพ่อของเธอ"
"ขอรับ พ่อกับลูกต่างจิตต่างใจกัน คุณน้ำทิพย์เธอเหมือนคุณหญิงแม่ของเธอมากกว่า"
แก้วยิ้มบางๆด้วยความสุขใจที่เอ่ยถึงน้ำทิพย์
"ไม่เพียงมีเมตตา วาจายังอ่อนหวาน กิริยามารยาทก็งดงาม หาข้อตำหนิไม่ได้เลยขอรับ"
"เท่าที่ฉันเห็น ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ"
"เอ่อ แล้วไม่ทราบว่าคุณพระถามทำไมหรือขอรับ"
พระนิติธรรมชักเขินๆ
"เมื่อกลางวัน คราวแรกที่ฉันได้สบหน้าคุณน้ำทิพย์ของแก ใจคอฉันมันก็วูบวาบชอบกล นับแต่นั้น ฉันก็ตัดอารมณ์นี้ไปไม่ได้เลย แม้ว่าฉันจะไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แต่ฉันก็พอจะรู้ ว่าฉันหลงรักนายของแกเข้าเสียแล้ว"
แก้วตกใจ หน้าซีดเผือด แม้แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมรู้สึกแบบนี้
"แกอาจจะเยาะฉันก็ได้นะ เพราะฉันเองก็อายุอานามไม่ใช่น้อยแล้ว แต่กลับทำตัวเหมือนโรมิโอที่เห็นจูเลียตเป็นครั้งแรก บอกตามตรง ฉันไม่เคยเชื่อสิ่งที่เช็คสเปียร์เขียนเลย จนได้มาเจอกับตัว ถึงได้เข้าใจว่ามันเป็นยังไง เจ้าแก้ว"
พระนิติธรรมจับบ่าแก้วที่เริ่มอึกๆอักๆ
"เอ่อ ขอรับ"
"แกช่วยบอกความในใจของฉัน ไปให้คุณน้ำทิพย์ได้หรือไม่ ใจจริงฉันก็ไม่อยากหาเรื่องให้แกดอกนะ แต่ลำพังเข้าทางตรอกออกทางประตู เห็นจะไม่สำเร็จ เพราะพระยาไชยากรเกลียดฉันอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
คงจะมีแต่แก ที่พอจะช่วยฉันได้"
แก้วอึ้งไป คิดทบทวน ก็ไม่เห็นใครจะเหมาะกับน้ำทิพย์เท่าพระนิติธรรมจริงๆเลย และเขาเองก็อยากให้น้ำทิพย์ได้คนดีๆแบบนี้ไปเป็นคู่ครอง
"ขอรับคุณพระ กระผมจะไปเรียนคุณน้ำทิพย์ให้ขอรับ"
พระนิติธรรมยิ้มดีใจที่มีทางออกแล้ว แต่แก้วกลับมีสีหน้าสลดลงไปทันที ดูเศร้าซึมไปอย่างเห็นได้ชัด
เวลากลางคืน ผู้ชายคนหนึ่งใช้ผ้าขาวม้าคลุมหน้า กำลังพายเรือมาจอดที่ท่าน้ำบ้านพระยาไชยากร
ทันใดนั้น บุญมี พลอย เข้ม พร้อมอาวุธครบมือ ก็กรูกันเข้ามาล้อมชายคนนั้นไว้ทันที บุญมียิ้มร้ายๆ บอก
"มึงเสร็จกูล่ะไอ้แก้ว มึงกล้าขัดคำสั่งท่านเจ้าคุณไปเหยียบเรือนแพไอ้คุณพระ คราวนี้ ท่านเจ้าคุณไม่เอามึงไว้แน่"
พลอยบอก
"เฮ้ย เงียบอยู่ทำไมวะ ทุกทีเห็นปากกล้า คราวนี้ไม่กล้าสู้หน้าพวกกูรึไงวะ"
พลอยดึงผ้าขาวม้าที่พันหน้าออก กลายเป็นคอก ทุกคนพากันตกใจที่ไม่ใช่แก้ว เข้มนึกไม่ถึงบอก
"ไอ้คอก เอ็งมาทำอะไรวะ"
คอกยิ้มแหยๆ ชูข้องปลาในมือขึ้น
"ฉันมาหาปลาจ้ะ ได้มาหลายตัวเหมือนกัน พวกพี่ๆจะเอาไปย่างกินซักตัวสองตัวหรือไม่ล่ะ"
เข้มตะคอกใส่
"ไม่เอาโว้ย แล้วไอ้แก้วล่ะ ไอ้แก้วอยู่ไหน"
"ฉันไม่เห็นพี่แก้วเลยจ้ะ ไม่ได้อยู่ที่เรือนป้ากิ่งหรอกหรือจ๊ะ ทุกที ถ้าพี่แก้วไม่ต้องอยู่ยาม ก็นอนแต่หัวค่ำทุกวัน ป่านนี้คงหลับไปแล้วมั้งจ๊ะ"
บุญมีหงุดหงิด หันไปตวาดเข้ม
"ไอ้เข้ม ไหนเอ็งบอกว่าจับตัวไอ้แก้วได้แน่ไง นี่หรือวะ สืบมาดีแล้วของเอ็ง"
บุญมีเดินหงุดหงิดเลี่ยงไป พลอยตามหลังไปอย่างเซ็งๆ เข้มหน้าเสีย ก่อนจะเดินตามแบบจ๋อยๆไป
คอกชะเง้อมองตามจนแน่ใจว่าทั้งสามคนไปพ้นแล้ว เลยลงจากเรือ
ขณะนั้นเอง บุญเจิมที่ซ่อนตัวอยู่เดินยิ้มกริ่มเข้ามาหาคอก
"ทำดีมากไอ้คอก ไม่เสียแรงที่ข้าไหว้วาน"
"ข้าเห็นว่าเป็นพี่แก้วดอก จึงยอมช่วย แต่อย่าบ่อยนักก็แล้วกัน ข้าไม่อยากถูกหวาย"
บุญเจิมเบะปากดูถูก
"ใจเสาะ แค่นี้ก็กลัว ไม่สมเป็นผู้ชายเล๊ย ข้าไปหาพี่แก้วดีกว่า คราวนี้พี่แก้วต้องชมข้าแน่"
บุญเจิมรีบเดินเลี่ยงไปทันที โดยไม่สนใจคอกอีกเลย คอกได้แต่ชะเง้อมองตามบุญเจิมไปตาละห้อย เป็นอีกคนหนึ่งที่แอบชอบบุญเจิมมานาน แต่ก็เจียมตัวไม่กล้าแสดงตัวเพราะบุญเจิมเป็นที่หมายตาของทาสหนุ่มมากมาย และตนก็ดูถูกตัวเองว่าด้อยค่ากว่าใคร
แก้ว กับบุญเจิมเดินคุยกันมา จนถึงหน้าเรือนทาสของกิ่ง โดยแก้วมีท่าทีซึมๆเหมือนฟังบุญเจิม
ข้างเดียวมากกว่า ฝ่ายบุญเจิมยิ้มแย้ม อวดตัวเองสุดๆ
"นี่ถ้าฉันไม่ไปแอบได้ยินเข้า ป่านนี้พวกพี่มี ได้จับพี่ไปให้ท่านเจ้าคุณแล้ว เห็นความเฉลียวฉลาดของฉันหรือยังล่ะพี่แก้ว"
แก้วตอบซึมๆ
"ขอบใจเอ็งมากนะ"
"แค่นี้เองรึ"
"ข้าเหนื่อย ไปนอนก่อนนะ"
แก้วเปิดประตูกลับเข้าเรือนไป บุญเจิมเต้นเร่าๆ ไม่ได้อย่างใจ
"พี่แก้วนะพี่แก้ว จะชมให้ชื่นใจซักคำก็ไม่มีเลย รู้อย่างงี้ไม่ช่วยซะก็ดี" บุญเจิมบ่นฮุบแล้วทิ้งค้อนตามหลัง
แก้วกลับเข้ามาในเรือนพร้อมกับปิดประตูลง ในหัวคิดถึงแต่เรื่องและคำพูดของพระนิติธรรมตลอดเวลา
"เมื่อกลางวัน คราวแรกที่ฉันได้สบหน้าคุณน้ำทิพย์ของแก ใจคอฉันมันก็วูบวาบชอบกล นับแต่นั้น ฉันก็ตัดอารมณ์นี้ไปไม่ได้เลย แม้ว่าฉันจะไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แต่ฉันก็พอจะรู้ ว่าฉันหลงรักนายของแกเข้าเสียแล้ว"
แก้วถอนใจหนักๆ พูดบอกตัวเองเบาๆ อย่างเจียมตัว สีหน้าเศร้าอย่างยอมรับ
"หากคุณน้ำทิพย์ปลงใจด้วยคุณพระจริง ก็จะหาหญิงชายใดเสมอด้วยเกียรติแลความงดงาม
เท่าคู่นี้มิมีแล้ว"
น้ำทิพย์หน้าตาเคืองๆ ไม่พอใจเดินเร็วนำไปทางโรงครัวตอนเช้าวันใหม่ แก้วเดินตามพูดไม่หยุด
"คุณพระท่านยังหนุ่มแน่น รูปก็สวย แลยังมีความรู้ผ่านเมืองฝรั่งมาแล้ว นับว่าหายากมากนะขอรับคุณน้ำทิพย์"
น้ำทิพย์หยุดเดินกึก เจ็บปวดใจอย่างบอกไม่ถูก ทุกคำพูดของแก้ว ราวกับมีดที่กรีดแทงลงกลางใจตน ต้องพยายามข่มอารมณ์เต็มที่ หันจ้องหน้าแก้ว
"เพราะหายากอย่างงั้นรึ"
แก้วรีบคุกเข่าลงกับพื้น
น้ำทิพย์น้อยใจ
"แก้วถึงได้คิดตั้งตนเป็นพ่อสื่อพ่อชัก ให้ฉันกับพระนิติธรรมลือชาท่าน"
"กระผมไม่ได้คิดเป็นพ่อสื่อดอกขอรับ แต่เห็นว่าคุณพระท่านมีน้ำใสใจจริงกับคุณน้ำทิพย์ แลหากคุณน้ำทิพย์เห็นดีเห็นงามด้วย ก็คงจะสมกันราวอิเหนากับบุษบา ซึ่งกระผม ก็คงดีใจด้วยเป็นพ้นประมาณ
ที่ผู้มีคุณของกระผมทั้งสอง ได้มีความสุขร่วมกัน"
น้ำทิพย์ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งทั้งโมโหทั้งน้อยใจสุดๆ ปั้นยิ้มบอก
"ขอบใจแก้วมากนะ แต่ข้อที่แก้วบอกว่าคนอย่างคุณพระท่านหายากนั้น ฉันว่าคนอย่างแก้วก็หายากเช่นกัน"
แก้วแปลกใจ
"คนอย่างกระผมนี่หรือขอรับ"
น้ำทิพย์สีหน้านิ่ง เย็นชา
"ใช่ แก้วเป็นคนหายาก เพราะมีแรงกตัญญูต่อผู้มีพระคุณดีเหลือเกิน คุณพระท่านเมตตาให้วิชาความรู้จนแก้วแก่กล้าถึงเพียงนี้ แก้วเลยอยากตอบแทนบุญคุณ แต่แก้วไม่มีสมบัติใดจะตอบแทน จะมีสิ่งเดียว ก็คือยกฉันให้พระนิติธรรมลือชาใช่หรือไม่"
แก้วตกใจมาก
"ไม่ใช่นะขอรับคุณน้ำทิพย์"
น้ำทิพย์มองแก้วด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะสะบัดหน้าเดินเลี่ยงไป ไม่ฟังคำแก้วอีก แก้วร้อนใจ รีบตามน้ำทิพย์ไปทันที
แก้วรีบตามน้ำทิพย์มา แล้วรีบมาคุกเข่าขวางน้ำทิพย์ไม่ให้เข้าไปโรงครัว
บุญเจิมเดินถือกระด้งใส่ผลไม้มา พอเห็นทั้งคู่เข้า ก็รีบแอบฟังทันที
น้ำทิพย์สีหน้าเย็นชา น้ำเสียงประชดประชัน
"มาขวางทางฉันอย่างงี้ จะตอบแทนบุญคุณอะไรพระนิติธรรมท่านอีกล่ะ"
"มิได้ขอรับ กระผมเพียงแต่อยากจะชี้แจงให้คุณน้ำทิพย์ฟังเท่านั้น"
"ยังมีอะไรต้องชี้แจงอีก แก้วคิดจะยกฉันให้พระนิติธรรมลือชา ก็เห็นชัดอยู่แล้วไม่ใช่รึ"
บุญเจิมตกใจที่รู้ว่าแก้วคิดการใหญ่ขนาดนี้
"คุณน้ำทิพย์เข้าใจผิดเสียแล้วขอรับ กระผมไม่ได้คิดการเช่นนั้นเลย แลกระผมจะมีสิทธิอันใดเล่า ที่จะเผยอไปยกนายของตัวให้ใครอื่น"
"จริงอยู่ แก้วไม่มีสิทธิ์มายกฉันให้ใคร แต่แก้วก็สามารถใช้สิทธิ์ในอันที่จะทำได้ คือการเจรจาหว่านล้อมเป็นแนวทางให้ฉันกับคุณพระได้ติดต่อกันขึ้น แก้วใช้ความพยายามเช่นนี้ใช่หรือไม่เล่า"
"ข้อนี้เป็นความจริงขอรับ แต่ใช่ว่ากระผมจะคิดร้าย หรือเห็นแก่คุณพระท่านมากไปกว่าคุณน้ำทิพย์เลย กระผมเพียงแต่นำความในใจของคุณพระมาแจ้งแก่คุณน้ำทิพย์เท่านั้น ด้วยกระผมเห็นว่า คุณพระเป็นคนดีแลมีเกียรติคู่ควรกับคุณน้ำทิพย์ทุกประการ หากเป็นผู้อื่นที่ไม่ดีพร้อมเช่นนี้ ถึงตาย กระผมก็ไม่มีวันนำมาพูดเด็ดขาดขอรับ"
น้ำทิพย์ยิ่งฟังก็ยิ่งโมโห ปั้นยิ้มประชด
"เอาเถอะ เมื่อแก้วชื่นชมคุณพระนิติธรรมลือชาถึงเพียงนี้ ฉันก็อยากดูให้เห็นจริงเช่นกัน ว่าจะดีดังที่แก้วว่าหรือไม่ คราวหน้า หากคุณพระฝากจดหมายหรือเพลงยาวมา ก็เอามาให้ฉันแล้วกัน ฉันจะรออ่านอยู่"
น้ำทิพย์ประชดเสร็จ ก็เดินเข้าโรงครัวไปทันที แก้วหน้าเสีย แม้จะทำหน้าที่สำเร็จ แต่ไม่ดีใจแม้แต่น้อย
ผ่านเวลาเล็กน้อย ณ มุมหนึ่งในบ้าน แก้วนั่งหน้าจ๋อยๆ ฟังบุญเจิมบ่นอยู่
"ฉันไม่เข้าใจพี่เล๊ยพี่แก้ว เรื่องที่พี่ลักลอบไปเรือนแพแทบทุกคืน ก็เสี่ยงหวายมากพออยู่แล้ว นี่พี่ยังคิดจะเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้คุณน้ำทิพย์กับคุณพระอีก คราวนี้ไม่ใช่แค่หวาย แต่ถึงตายเชียวนะพี่"
แก้วหน้าซึมๆ
"ข้ารู้ แต่คุณพระมีบุญคุณกับข้า เมื่อท่านขอมา ข้าจะขัดท่านได้ยังไง แลคุณน้ำทิพย์ ก็ไม่ได้รังเกียจ ไม่เช่นนั้น จะยอมให้คุณพระท่านส่งจดหมายอีกรึ"
"ท่านเจ้าคุณเกลียดคุณพระเรือนแพออกจะตาย ยังไงซะก็ไม่มีวันยกคุณน้ำทิพย์ให้ดอก พี่ทำเช่นนี้ มันคุ้มแล้วรึ"
" ชีวิตทาส มันไม่มีราคาค่างวดอะไรมากอยู่แล้ว แต่หากชีวิตของข้า สามารถแลกกับความสุขของผู้มีพระคุณทั้งสองของข้าได้ มันก็คุ้ม เสียยิ่งกว่าคุ้มอีก นังเจิมเอ๋ย"
บุญเจิมได้แต่แอบยิ้มปลาบปลื้มชื่นชมในความกตัญญูของแก้ว แก้วดูซึมเศร้า เจ็บแปลกร้าวลึกอยู่ภายในใจ ไม่อาจบอกต่อใครได้
เช้าสาย ท่ามกลางบรรยากาศภายในวัดนามบัญญัติ (ชื่อปัจจุบันคือ วัดมกุฎกษัตริยาราม) พระยาไชยากรกำลังเดินคุยมากับพระครู เนื่องจากเจ้าคุณเป็นคนนิสัยไม่ดีเลยไม่มีเพื่อนสนิท นอกจากท่านพระครูผู้เดียวที่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กและอีกฝ่ายเป็นพระภิกษุ เจ้าคุณเลยไม่รู้สึกว่าเป็นคู่แข่ง
"คราวนี้โยมเจ้าคุณหายไปนานเลยนะ มีข้อราชการมากรึ"
ไชยากรยิ้มแย้ม
"ก็ตามหน้าที่ที่สูงขึ้นล่ะขอรับท่าน กระผมเป็นที่ไว้วางพระทัยของเสด็จในกรม การงานก็ต้องมีมากเป็นธรรมดา"
พระครูยิ้มรับ
"ดีแล้ว โยมรุ่งเรือง อาตมาก็ดีใจด้วย"
"เมื่อครู่เดินผ่านกุฏิของพระคุณท่าน ดูทรุดโทรมลงไปมาก กระผมจะให้ทาสที่เรือนมาซ่อมแซมให้นะขอรับ ค่าจ้างก็ไม่ต้องเสีย ส่วนพวกไม้หรือข้าวของอย่างอื่น กระผมมีลูกหนี้อยู่ จะให้มันขนมาให้นะขอรับ"
"อย่าเลยโยม กุฏิอาตมายังอยู่ได้ ถึงจะเก่าโทรมแต่ก็ยังแข็งแรง แลผู้เป็นศิษย์ของพระตถาคต ควรต้องรักษาความสมถะสันโดษไว้ อย่ามีอะไรที่มันเกินจำเป็นเลย"
เจ้าคุณยิ้มๆ
"ท่านนี่เคร่งไม่เปลี่ยนเลยนะขอรับ ตั้งแต่เป็นสามเณรยังไง จนเป็นเจ้าคุณทางธรรมแล้วก็ยังเป็นอย่างนั้น"
ขณะนั้นเอง น้อม และนิ่ม ก็เดินถือถาด ตะกร้า ใส่อาหาร ดอกไม้ธูปเทียน เตรียมมาถวายเพล
ทั้งคู่ตรงเข้ามาไหว้พระครู เจ้าคุณจับตามองสองแม่ลูก ตาเป็นประกาย
"สีกา มาถวายเพลรึ"
น้อมยิ้มแย้ม
"เจ้าค่ะ แล้วอิชั้นจะมาคุยกับหลวงพ่อเรื่องงานบุญปีนี้ด้วยเจ้าค่ะ"
"ได้สิ อาตมากำลังอยากคุยเรื่องนี้อยู่พอดี"
พระครูหันไปพูดกับเจ้าคุณ
"นี่สีกาน้อม กับสีกานิ่มลูกสาว สีกาน้อมมีโรงทำธูปหอม เลยเอามาถวายที่วัดบ่อยๆ"
พระครูหันไปแนะนำน้อม นิ่ม
"นี่พระยาไชยากร เป็นเพื่อนกับอาตมาตั้งแต่เด็ก"
น้อม นิ่ม รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพระยา ก็รีบยกมือไหว้
น้อมยิ้มแย้มบอก
"เป็นบุญเหลือเกินเจ้าค่ะ ที่ได้รู้จักท่านเจ้าคุณ"
ไชยากรรับไหว้ มองน้อมด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
"ฉันเองก็เช่นกัน แม่น้อม"
น้อมเอียงอายต่อสายตาเจ้าคุณ ได้แต่หลบสายตาไป เจ้าคุณมองเลยไปทางนิ่มด้วยสายตาแบบเดียวกัน
จนนิ่มก็สะเทิ้นอายหลบสายตาไปเช่นกัน
อ่านต่อหน้า 4
ลูกทาส ตอนที่ 1 (ต่อ)
เวลาบ่าย บุญมีบังคับรถม้า พาเจ้าคุณ น้อม นิ่ม มาจอดส่งที่หน้าร้านธูปของน้อม
ร้านของน้อม ขายธูป เทียน น้ำอบ น้ำปรุง ฯลฯ เป็นร้านใหญ่ในสมัยนั้น เจ้าคุณ น้อม และนิ่ม ลงจากรถม้า
"ท่านเจ้าคุณอย่าเพิ่งรีบกลับนะเจ้าคะ ขอเชิญรับน้ำ รับขนมก่อน"
ไชยากรยิ้มแย้ม
"เอาไว้คราวหน้าเถอะแม่น้อม นี่ก็บ่ายคล้อยแล้ว ฉันยังมีงานที่ต้องสะสางอีกมาก อย่างไรเสีย ฉันก็มาทำบุญที่วัดนามบัญญัติบ่อยๆอยู่แล้ว เราคงได้เจอกันอีก"
"เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ"
น้อมหันไปสั่งลูกสาว
"แม่นิ่ม เข้าไปเอาธูปหอมอย่างดีมาให้ท่านเจ้าคุณสิลูก"
"จ้ะแม่"
นิ่มเดินเข้าไปหยิบธูปหอมห่อใส่กระดาษ พอดีกับอบเชย หลานของน้อมที่เดินออกมาจากข้างใน อบเชยเป็นเด็กสาว อายุ 16-17 สวย คล่องแคล่ว ปากร้ายใจดี ตรงไปตรงมา เอาแต่ใจแบบเด็กๆ แต่ไม่ก๋ากั่นเท่าบุญเจิม
อบเชยมองเจ้าคุณด้วยความสงสัย
"ใครรึพี่นิ่ม"
"ท่านเจ้าคุณไชยากร เจอกันตอนไปทำบุญที่วัด ท่านเลยเมตตามาส่ง"
นิ่มห่อธูปเสร็จก็เดินเอาไปให้เจ้าคุณ
"ฉันฝากธูปไปให้ท่านเจ้าคุณลองใช้นะเจ้าคะ ถ้าดี จะได้มาอุดหนุนกันอีก"
ไชยากรยิ้มกรุ้มกริ่ม
"ฉันต้องมาอยู่แล้วล่ะ ไม่พลาดดอก"
น้อม และนิ่มไหว้ลา เจ้าคุณรับไหว้ ก่อนจะกลับไปขึ้นรถม้าให้บุญมีบังคับม้าออกไป อบเชยเดินออกมาสมทบ มองตามเจ้าคุณไป ชักตะหงิดๆ
"อีตาพระยานี่ หูตาแพรวพราวชอบกลนะคะ"
"แม่อบเชย เดี๋ยวเถอะ พูดจาไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ ไป...เข้าร้าน"
น้อมและนิ่มเดินอมยิ้ม พากันกลับเข้าไปในร้าน อบเชยหันมองตามรถม้าเจ้าคุณไป สีหน้าไม่ค่อยไว้วางใจนัก
เวลาเย็น แก้วกำลังทายาที่น้ำทิพย์ให้มา ลงบนแผลที่หลังของแม่อยู่ แก้วยิ้มดีใจ
"ดูแม่แข็งแรงขึ้นเยอะเลยนะ ยาของคุณน้ำทิพย์นี่ดีจริงๆ"
กิ่งยิ้มแย้มเหมือนกัน
"ก็จวนหายแล้วล่ะ พรุ่งนี้ข้าก็คงไปทำงานได้ นั่งๆนอนๆ มาสองสามวัน รำคาญตัวเองเหลือเกินแล้ว"
"แต่ยังไง วันนี้แม่ก็ต้องนอนพักก่อนนะ ฉันไปเดินเวรยามก่อน ออกเวรแล้วก็จะได้ไปที่เรือนแพของคุณพระท่าน"
กิ่งไม่สบายใจ
"เอ็งไม่ไปไม่ได้รึไอ้แก้ว ข้ากลัวว่าท่านเจ้าคุณจะจับได้ แล้วเอ็งจะต้องโทษหนัก"
แก้วหน้าขรึมลง
"โทษหนักเพียงใด ฉันก็ยอม ทำงานให้คุณพระท่าน ฉันก็ได้ความรู้เพิ่มเติม ไม่เข้าใจที่ใด ท่านก็สอนให้ แล้วแม่จะให้ฉันเสียโอกาสดีเช่นนี้ เพียงเพราะกลัวโดนโทษได้ยังไงกันเล่า"
"แต่นังบุญเจิม มันบอกข้าว่าคุณมาโนชคอยหาเรื่องจับผิดเอ็งอยู่ คราวก่อน ถ้ามันไม่ช่วยเอ็งไว้ เอ็งก็โดนจับได้ไปแล้ว ข้าหวั่นใจเหลือเกิน ว่าคุณมาโนชจะฉวยโอกาสลงโทษเอ็งถึงตายนะแก้ว"
"ทุกวันนี้ ท่านเจ้าคุณก็ทารุณกับพวกทาสอยู่แล้ว วิชาความรู้ เป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยให้พวกเราหลุดพ้นจากความทารุณนี้ได้ ถ้าให้ฉันต้องอยู่อย่างคนโง่เขลา ฉันเลือกที่จะตายเสียดีกว่าจ้ะแม่"
แก้วแววตาทะเยอทะยาน แน่วแน่ กิ่งมองหน้าลูกที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นแล้ว ก็พูดอะไรไม่ออก นอกจากยอมปล่อยให้แก้วเลือกทางเดินของตน
คุณกัลยาเดินเข้ามาในเรือนแพของพี่ชายในตอนเย็น มีทาสหญิงเดินตามรับใช้ ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงพี่ชายคุยกับอ้นดังออกมาจากข้างใน
อ้นเสียงดังออกมาจากในห้อง
"เปลี่ยนใจเถอะขอรับคุณพระ เค้าชังเราถึงขนาดนั้น จะไปยุ่งเกี่ยวอีกทำไม"
พระนิติธรรมลือชาเสียงดังออกมาจากในห้อง
"ไอ้อ้น ข้าเพียงแต่บอกเอ็งให้รับรู้ไว้ ไม่ใช่ให้เอ็งมาค้านข้า"
ภายในห้อง อ้นร้อนใจ เป็นห่วง
"ไม่ค้านได้ยังไงล่ะขอรับ คุณพระทำเรื่องเสี่ยงภัยเช่นนี้ หากเคราะห์ร้ายขึ้นมา ไม่เลือดตกยางออกกันเลยหรือขอรับ เจ้าคุณพ่อกับท่านหมื่นตาของคุณพระก็ใช่หยอกเสียเมื่อไหร่ หากเกิดอะไรขึ้นกับคุณพระ คงได้เลือดท่วมท้องช้างแน่"
คุณกัลยาถึงกับหน้าเสีย ร้อนใจรีบเปิดประตูเข้าไปทันที เห็นพระนิติธรรมกำลังคุยกับอ้น
"ถึงเข่นฆ่ากันเชียวหรือคะคุณพี่ มันเกิดอะไรขึ้นคะ"
พระนิติธรรมแปลกใจ
"น้องแดง มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน พี่ไม่เห็นได้ยินเสียงเลย"
"ไม่สำคัญดอกค่ะ เมื่อครู่น้องได้ยินเจ้าอ้นบอกว่า หากคุณพ่อกับคุณตารู้เข้า จะฆ่ากันจนเลือดท่วมท้องช้าง คุณพี่บอกน้องมาเดี๋ยวนี้นะคะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น"
พระนิติธรรมลือชาปรายตามองด่าอ้นทางสายตาที่ปากมาก ในขณะที่อ้นยิ้มแหยๆ พูดมากไปจนคุณกัลยาเข้าใจผิด
ผ่านเวลาซักครู่ อ้นกำลังพายเรือข้ามคลองมาที่บ้านพระยาไชยากร โดยมีคุณกัลยานั่งมาในเรือด้วย
"โธ่ คุณแดงขอรับ แทนที่จะห้ามคุณพี่ กลับอยากมาเห็นหน้าลูกสาวพระยาไชยากรเสียอีก"
คุณกัลยายิ้มแย้มชอบใจ
"ขี้ขลาดจริงเจ้าอ้น กะอีแค่ชอบพอผู้หญิง จะถึงฆ่าแกงกันได้อย่างไรกัน แลนับแต่ฉันเป็นน้องคุณพี่มา ก็ยังไม่เคยเห็นคุณพี่รักชอบหญิงใดมาก่อน แล้วจะไม่ให้ฉันอยากเห็นได้รึ ว่าหน้าตาจะสวยจะงามสักปานไหน คุณพี่ของฉันถึงได้ตกหลุมรักเอาได้"
"แต่พระยาไชยากรเป็นคนดุมากนะขอรับ ชาวบ้านร้านตลาดแถบนี้ พูดเหมือนกันหมดว่าใจคอแกยังกะยักษ์กะมาร แล้วแกก็ชังคุณพระนัก จะไม่ให้กระผมกลัวได้ยังไงล่ะขอรับ"
"ฉันแค่มาแอบดู ไม่เป็นไรดอกน่ะ ไหนล่ะ ถึงรึยัง"
อ้นพายเรือมาถึงฝั่งชายคลองบ้านเจ้าคุณพอดี เทียบเรือที่ริมคลอง พลางชี้นิ้วให้ดู
"แถบนั้นล่ะขอรับ ตกเย็นทีไร ผมเห็นคุณน้ำทิพย์เธอมาเดินเล่นบ่อยๆ"
คุณกัลยาหยิบกล้องส่องทางไกลแบบโบราณออกมา แล้วส่องดูหาน้ำทิพย์ เห็นแต่แก้วที่ชะโงกหน้ามาจนติดกล้องส่องทางไกล คุณกัลยาตกใจ เผลอทำกล้องส่องทางไกลหลุดมือจนตกน้ำ "ว้าย"
อ้นเองก็ตกใจ พอเห็นเป็นแก้วก็โล่งอก
"ไม่ต้องกลัวขอรับ นี่ไอ้แก้วที่กระผมเล่าให้ฟังไงขอรับ ... ไอ้แก้ว ทำอะไรของเอ็งวะ"
"ฉันก็มาเดินยามน่ะซี แล้วพี่อ้นมาทำอะไร"
แก้วมองไปทางคุณกัลยา
"นี่คุณแดง น้องสาวคุณพระท่าน"
แก้วคุกเข่าไหว้
"ขอประทานโทษขอรับ ที่กระผมทำให้คุณต้องตกใจ"
คุณกัลยาถอนใจ
"ไม่เป็นไรดอก แต่กล้องของฉันตกน้ำไปแล้ว จะทำอย่างไรดีล่ะ"
"เดี๋ยวกระผมงมให้ขอรับ"
แก้วรีบลงคลอง แล้วดำลงหากล้องส่องทางไกลทันที ซักพัก แก้วก็งมกล้องขึ้นมาชู
"ได้แล้วขอรับ"
คุณกัลยายิ้มดีใจ
แก้วว่ายน้ำมาเกาะข้างเรือจังหวะเดียวกับที่คุณกัลยายื่นมือจะไปหยิบกล้องส่องทางไกล ทำให้เรือเอียงจนคุณแดงเสียหลัก ตกใจเลยปาดมือไปดันตัวแก้วไว้ เพราะกลัวตกน้ำ เจ้ากรรมมือหญิงสาวไปสัมผัสที่แผงอกแน่นของหนุ่มแปลกหน้าพอดิบพอดี
คุณกัลยาเขินอายมาก รีบดึงมือกลับ หน้าร้อนผ่าว แก้วตกใจถาม
"ขอประทานโทษขอรับ เจ็บหรือไม่ขอรับ"
เธอส่ายหน้าดิก ก้มหน้างุด แก้วส่งกล้องคืน
"นี่ขอรับ"
เธอไม่กล้าสู้ตา รีบรับกล้องคืนมา
"ขอบใจนะ"
บุญเจิมกำลังเดินตามมองหาแก้ว
"พี่แก้ว อยู่แถวนี้รึเปล่าพี่แก้ว"
แก้วกลัวมีเรื่อง
"พี่อ้นรีบพาคุณแดงกลับไปเถอะ เดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้า"
"เออ ได้ๆ"
อันรีบพายเรือหนีไปทันที แก้วรีบกลับขึ้นฝั่งไป คุณกัลยาใจเต้นรัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เวลาหัวค่ำ แก้ว บุญเจิม และคอกแอบดูเข้มที่นั่งเฝ้าเรืออยู่ที่ท่าน้ำ
บุญเจิมบอก
"ไอ้เข้มมันนั่งเฝ้าเรือเช่นนี้ พี่คงไปเรือนแพไม่ได้แล้วล่ะ"
"เอาไว้วันอื่นเถอะพี่แก้ว"
แก้วเคร่งเครียด
"แต่ข้าไม่อยากเสียโอกาสที่จะได้เรียน ใจข้ามันร้อนรุ่ม อยากจะเล่าเรียนทั้งวันทั้งคืนเสียด้วยซ้ำ"
บุญเจิมได้แต่ถอนใจออกมา แก้วคิดอยู่ครู่นึง ก่อนจะมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เพราะนึกแผนการออกมาได้
ผ่านมาซักพัก ที่เรือนทาส บุญมี พลอย และทาสชายจำนวนหนึ่ง กำลังล้อมวงกินเหล้ากันอย่างสนุกสนาน เมาเละกันทุกคน บุญเจิมเดินถือจานใส่กับแกล้มเข้ามาหา
"กับแกล้มมาแล้วพี่ กินเต็มที่เลยนะ"
บุญมีอาการเมามาก
"ขอบใจมากโว้ยนังเจิม ถ้าเอ็งกตัญญูกับข้าเช่นนี้ทุกวัน ข้าก็ไม่ต้องกินมะขามเปียกแกล้มเหล้าดอกวะ"
"นั่นสิพี่ ข้าเห็นนังเจิมมันกระโดกระเดก ไม่คิดเลย ว่าฝีมือทำกับแกล้มมันจะอร่อยถึงขั้นนี้ ถ้าได้กินทุกวัน ต้องถือว่าบุญปากเลยพี่" พลอยเมามายบอก
บุญเจิมยิ้มแย้ม
"แหม ปากหวานจริงพี่พลอย ถ้างั้นเดี๋ยวฉันไปทำมาเพิ่มให้นะ"
บุญเจิมเดินเลี่ยงไป ก่อนจะแอบยิ้มเยาะ ที่เป็นไปตามแผนทุกอย่าง
บริเวณท่าน้ำบ้านพระยาไชยากร คอกกำลังมอมเหล้าเข้มอยู่เช่นกัน เข้มในอาการเมามาก
"โชคดีจริงๆโว้ย ที่เอ็งเอาเหล้ามาให้ข้าไอ้คอก ข้าล่ะเบื่อเหลือเกินแล้ว ต้องมานั่งตากยุงอยู่คนเดียว แต่พวกพี่มีกลับได้กินเหล้ากันสุขสบาย"
คอกยิ้มๆ
"ก็เพราะฉันเห็นใจพี่น่ะสิ ถึงได้เอาเหล้ามากินเป็นเพื่อน"
" ขอบใจโว้ย ถ้าพวกข้าจับไอ้แก้ว แล้วได้รางวัลจากคุณมาโนชเมื่อไหร่ ข้าจะแบ่งให้เอ็งบ้างไอ้คอก" เข้มเมาหัวเราะชอบใจ คอกก็พลอยหัวเราะไปด้วย หมายเอาใจเข้มเต็มที่ แต่ก็แอบเหล่มองไปด้านหลัง สีหน้าลุ้นๆ
แก้วในชุดผ้าขาวม้าตัวเดียว เอาเสื้อผ้าทูนหัวไว้ไม่ให้เปียกน้ำ ค่อยๆหย่อนตัวลงคลอง แล้วว่ายน้ำข้ามคลองไปช้าๆไม่ให้เกิดเสียงดัง
เพื่อไปที่เรือนแพของพระนิติธรรมลือชา
คุณกัลยายืนเหม่อลอยอยู่ที่ชานเรือนแพ แล้วก้มยิ้มมองกล้องส่องทางไกลในมือ
เหตุการณ์เมื่อตอนเย็น ผุดขึ้นมาในความคิด แจ่มชัดราวกับเพิ่งเกิดเมื่อครู่ เธอยิ้มอายๆอย่างสุขใจ เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
ทันใดนั้นเอง แก้วนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียววิ่งตัวเปียกโชกมาขึ้นเรือน คุณกัลยาตกใจณ้องว้ายแล้วรีบหันหลังทันทีด้วยความอาย แก้วตกใจ ไม่คิดว่าจู่ๆจะมาเจอเธอ เลยรีบกุมผ้าขาวม้าแน่น
"ขอประทานโทษขอรับ กระผมไม่ทราบว่าคุณแดงอยู่ที่นี่ ขอประทานโทษจริงๆขอรับ"
คุณกัลยาจะหันไปคุย แต่ต้องรีบหันกลับด้วยความอาย
"แล้วแก้ว... ทำไมแก้วถึงเปียกปอนอย่างนี้ล่ะ"
"คนของคุณมาโนช หลานชายท่านเจ้าคุณคอยเฝ้าเรือเอาไว้ไม่ให้กระผมใช้ กระผมเลยต้องว่ายน้ำข้ามคลองมา แต่กระผมกลัวเสื้อผ้าเปียก เลยต้องมาทั้งอย่างงี้ขอรับ"
เธอยังไม่กล้ามอง
"งั้นก็รีบใส่เสื้อผ้าเข้าเถอะ ฉันจะไปเรียนคุณพี่ให้"
คุณแดงรีบเดินหนีนำเข้าไปด้วยความเขินอาย แก้วก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าไป
ผ่านเวลาซักครู่ แก้วใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว นั่งคุยกับพระนิติธรรมลือชาที่ยิ้มขำอยู่
"แกนี่มันเจ้าความคิดเหมือนกันนะเจ้าแก้ว เค้าอุตส่าห์ระมัดระวังถึงเพียงนี้ แกก็ยังหาอุบายเอาตัวรอดมาได้"
แก้วยิ้มรับ
"แต่แผนนี้คงใช้บ่อยไม่ได้ดอกขอรับ เพราะกระผมหมดเบี้ยซื้อเหล้าเลี้ยงพวกไอ้บุญมีไปไม่ใช่น้อย หากใช้บ่อย กระผมคงหมดตัวเป็นแน่"
พระนิติธรรมหัวเราะชอบใจ คุณกัลยาเดินยิ้มแย้มนำอ้นที่ยกถาดข้าวต้มปลามาให้แก้ว พระนิติธรรม และพวกตนทานด้วยกัน
"ทานข้าวต้มปลากันก่อนเถอะค่ะ วันนี้น้องทำสุดฝีมือเลยนะคะ เห็นว่าคุณพี่ต้องทนฝีมือเจ้าอ้นมานานแล้ว"
อ้นยิ้มแย้มชอบใจ
"วันนี้ก็เลยเป็นลาภปากของไอ้อ้นไปด้วยขอรับ"
แก้วยิ้มให้อ้น
"เดี๋ยวพี่ค่อยมากินนะน้องแดง ขอพี่ไปทำงานสำคัญก่อน"
คุณแดงแปลกใจ
"งานอะไรคะ"
นิติธรรมยิ้มแย้ม
"เขียนจดหมาย ก็ในเมื่อคุณน้ำทิพย์ของเจ้าแก้ว ได้เปิดทางให้แก่พี่แล้ว ถ้าพี่ยังไม่รีบรุก ก็ต้องถือว่าโง่งมเต็มทน"
พระนิติธรรมเดินยิ้มแย้มอารมณ์ดีไปทางห้องพักตน แก้วมีสีหน้าสลดลงทันที อ้นยิ้มแย้มบอก
"กำลังตกหลุมรักน่ะขอรับคุณแดง ตอนนี้ไม่ต้องกินอะไรก็อิ่มขอรับ"
คุณกัลยาก็ยิ้มๆ ตาม ก่อนจะหันไปคุยกับแก้ว
"แก้ว คุณพี่สั่งงานไว้แล้วใช่หรือไม่"
"ขอรับ"
"ถ้าอย่างงั้น เสร็จงานเมื่อไหร่ มาคุยกับฉันหน่อยนะ ฉันมีเรื่องอยากถาม"
แก้วมีสีหน้าแปลกใจ ว่าคุณกัลยาต้องการถามอะไรตน
ผ่านเวลาซักพัก บริเวณทางเดินในชุมชนเรือนแพ แก้วเดินคุยกับคุณกัลยา โดยเดินตามหลังห่างๆ ท่าทางนอบน้อมเจียมตน ไม่กล้าเดินทัดเทียมคู่กัน
"กระผมก็สงสัย ว่าคุณแดงจะคุยกับกระผมเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องคุณน้ำทิพย์นี่เอง"
" ก็คุณพี่ฉันอาการเพียบหนักขนาดนี้ ฉันก็ต้องอยากรู้จักผู้หญิงที่เป็นต้นเหตุไว้สิจ๊ะ เมื่อตอนเย็น ฉันกะจะไปแอบดูอยู่แล้วเชียว แต่ก็ดันพลาดไปจนได้ ก็เลยต้องมาถามจากแก้วนี่แหละ"
แก้วยิ้มบางๆ
"ถ้าพูดถึงรูปร่างหน้าตา คุณน้ำทิพย์จัดว่างามอย่างหาใครเทียบได้ยากเลยขอรับ แต่คุณแดงคงต้องเห็นเองกับตา มิเช่นนั้น จะหาว่ากระผมยกยอนายตัวเอง"
"แล้วเรื่องวิชาความรู้ล่ะ"
"ก็เหมือนลูกผู้ดีมีตระกูลทั่วไปแหละขอรับ คุณหญิงแม่ของคุณน้ำทิพย์ส่งคุณเข้าวังแต่เล็กได้เรียนทั้งหนังสือแลงานฝีมือมามาก เพิ่งจะกลับมาอยู่เรือนเมื่อไม่นานมานี้เองขอรับ ส่วนอายุ ก็คงรุ่นราวคราวเดียวกับ
คุณแดง"
เธอพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย
"ลูกผู้ดีต้องส่งเข้าวัง ถ้าเช่นนั้นคนที่เรียนหนังสือกับมิชชั่นนารีอย่างฉัน ก็คงไม่ใช่ลูกผู้ดีมีตระกูลสินะ"
แก้วตกใจ
"มิได้ขอรับ กระผมไม่ได้ความเช่นนั้น"
"ฉันเย้าเล่นน่า ไม่ต้องตกอกตกใจไปดอก บ้านฉันไม่มีใครเป็นชาววังซักคน แล้วจะส่งฉันเข้าวังได้ยังไงล่ะ มาพูดถึงเรื่องคุณน้ำทิพย์ต่อเถอะ เมื่อเธอเพียบพร้อมอย่างนี้ ก็คงมีผู้ชายที่ดีพร้อมด้วยศักดิ์ฐานะ มาหมายปองเธออยู่ไม่น้อยสินะ"
"ขอรับ แต่คุณน้ำทิพย์เธอก็ยังไม่ได้ปลงใจกับใครขอรับ"
"แน่ล่ะ เมื่อพร้อมขนาดนี้ก็ต้องเลือกเฟ้นคนที่คู่ควรกับเธอมากที่สุดอยู่แล้ว ดูท่า ความรักของคุณพี่คงไม่ง่ายซะแล้วล่ะ"
แก้วยิ้มรับก่อนจะซึมลงไปทันที เมื่อนึกถึงว่า ตนเองที่เป็นแค่ทาส เทียบอะไรกับผู้ชายที่มาติดพันน้ำทิพย์ไม่ได้เลยซักคน
เวลากลางคืน ในห้องนอนน้ำทิพย์ นมอ้อนแปลกใจ ไม่อยากเชื่อที่ได้ยิน
"คุณว่ายังไงนะเจ้าคะ"
นมอ้อนกำลังแปรงผมให้น้ำทิพย์อยู่
"ฉันบอกว่า คนเราต้องเลือกคู่ครองที่สมกันด้วยศักดิ์ฐานะเท่านั้นหรือจ๊ะ แล้วการที่เค้าเป็นคนดี ไม่มีความหมายเลยรึ"
"มีสิเจ้าคะ แต่ถ้าสมกันด้วยยศศักดิ์ได้ก็ยิ่งดี โดยเฉพาะลูกผู้ดีมีตระกูล หากได้คู่ต่ำกว่าตัวเอง จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะเจ้าคะ"
น้ำทิพย์ถอนใจ
"เกิดเป็นลูกผู้ดีนั้นยากนัก สู้เกิดเป็นลูกชาวบ้านร้านตลาดก็ไม่ได้"
อ้อนหัวเราะ
"ทูนหัวของนม พูดอย่างงี้ คงกลัวเจ้าคุณพ่อจะยกคุณให้คุณมาโนชล่ะสิ อย่ากลัวไปเลยเจ้าค่ะ ถึงท่านเจ้าคุณจะอยากได้สมบัติคุณมาโนชใจจะขาด แต่ก็ต้องให้คุณมาโนชเป็นหลวงก่อน เพราะเกรงคนจะนินทาว่า ยศศักดิ์ไม่เสมอกัน ระหว่างนั้น นมจะคอยสอดส่องดู ว่ามีใครคู่ควรกับคุณบ้าง ถ้าได้คนที่ดีกว่า ท่านเจ้าคุณก็คงไม่ขัดดอกเจ้าค่ะ"
น้ำทิพย์หงุดหงิดจากเรื่องแก้ว
"นี่จะหาคู่ให้ฉันอีกคนแล้วรึนม พอเถอะ ฉันไม่อยากฟังแล้ว"
น้ำทิพย์เดินมานั่งที่เตียง นมอ้อนก็ยิ้มๆหันไปจัดมุ้งให้น้ำทิพย์เตรียมนอน ก็ได้ยินที่น้ำทิพย์พูดเปรยๆ ออกมา แต่ไม่ได้มีสมาธิฟัง ห่วงจัดมุ้งกลัวยุงกัดน้ำทิพย์มากกว่า
น้ำทิพย์บ่นพึมพำ ตัดพ้อ
"หรือว่าชาตินี้ จะรักษาทั้งเกียรติแลหัวใจตัวเองไปพร้อมๆกันไม่ได้จริงๆ"
หน้าเรือนเจ้าคุณ มาโนชกำลังโกรธจัด อาละวาดชกต่อยบุญมี พลอย และเข้มระบายอารมณ์แต่เช้า
"ไอ้พวกโง่ โง่เง่าอย่างงี้ อย่าอยู่เป็นคนต่อไปเลยพวกมึง กูใช้ให้จับผิดไอ้แก้ว แต่พวกมึงกลับเมาหลับกันหมด เลี้ยงเสียข้าวสุกนัก"
บุญมี พลอย เข้ม โดนทั้งเตะทั้งถีบจนกระเจิดกระเจิง
เข้มกลัว ยกมือไหว้
"ขอประทานโทษเถอะขอรับคุณมาโนช พวกกระผมผิดไปแล้ว ต่อไป จะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้วขอรับ"
มาโนชโมโห เงื้อจะตบ
"มึงคิดว่าจะยังมีโอกาสแก้ตัวอีกรึ"
ขณะนั้นเอง เจ้าคุณก็เดินออกมาพอดี
"เอะอะอะไรกันแต่เช้ารึ พ่อมาโนช"
" ก็ไอ้พวกโง่พวกนี้น่ะสิขอรับ กระผมใช้ให้ทำงาน มันก็เมาหลับจนเสียงาน"
มาโนชหันไปจ้องหน้าพวกบุญมี
"พอดีพอร้าย เหล้าที่กินเข้าไปจะเป็นของกำนัลจากไอ้แก้วเสียด้วยซ้ำ"
"เหล้าตั้งหลายไห ไอ้แก้วคงไม่มีปัญญาซื้อมาดอกขอรับ" พลอยว่า
มาโนชตะคอก
"งั้นมันผุดขึ้นมาจากดินหรือไงวะ โง่แล้วยังจะอวดฉลาดมาเถียงข้าอีก"
"ใจเย็นๆก่อนพ่อมาโนช ถ้าพวกมันฉลาด จะมาเป็นทาสให้เราต้องเลี้ยงดูรึ วันนี้อย่าเพิ่งลงไม้ลงมือเลย อามีเรื่องจะใช้สอยพวกมัน ไอ้บุญมี ไปเตรียมรถม้า ข้าจะออกไปข้างนอก"
"ขอรับ" บุญมีดีใจที่รอดแล้ว รีบเดินหนีไปทันที
มาโนชพยายามระงับอารมณ์ หันมาคุยกับเจ้าคุณ
"วันนี้วันหยุด คุณอาจะออกไปที่ไหนหรือขอรับ"
เจ้าคุณ ยิ้มกรุ้มกริ่ม เมื่อนึกร้านธูปของน้อมขึ้นมา
เจ้าคุณกำลังเอาผ้าผ่อนอย่างดีหลายผืนมาให้น้อม โดยมีนิ่มนั่งอยู่ใกล้ๆ น้อมยิ้มแย้มชอบใจกับผ้า
"ขอบพระคุณมากนะเจ้าคะท่านเจ้าคุณ ผ้าแต่ละผืนล้วนงามจับตาทั้งนั้นเลย"
ไชยากรยิ้มกรุ้มกริ่ม
"ก็ฉันตั้งใจเลือกมาฝากแม่น้อมโดยเฉพาะนี่ ก็ต้องเลือกที่ดีที่สุดสิ"
ถึงน้อมจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่เจ้าคุณพูดอย่างงี้ ก็อดเขินไม่ได้ อบเชยเดินถือขันน้ำลอยดอกมะลิกับขนม ใส่ถาดมาให้เจ้าคุณ
"น้ำกับขนมเจ้าค่ะ"
เจ้าคุณไม่สนใจ หันไปหยิบผ้าผืนที่สวยที่สุดยื่นให้นิ่ม
"ส่วนผ้าผืนนี้ ฉันตั้งใจเอามาให้แม่นิ่มนะ"
นิ่มยกมือไหว้
"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ"
นิ่มรับผ้ามา เจ้าคุณส่งสายตากรุ้มกริ่มให้ตลอด จนนิ่มต้องหลบสายตาด้วยความเขินอาย ในขณะที่น้อมดูผ้าของตนไป ไม่ได้สังเกต มีแต่อบเชยที่รู้สึกผิดปกติ ดูท่าทางเจ้าคุณที่แสดงต่อ น้อมกับนิ่ม แล้วก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากล
เวลาบ่าย น้ำทิพย์กำลังเดินลงจากเรือน ทันใดนั้นเอง แก้วก็เข้ามาคุกเข่าขวางหน้าน้ำทิพย์ไว้
"มีอะไรรึ" น้ำทิพย์ถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง
แก้วหยิบจดหมายของพระนิติธรรมลือชายื่นให้
"คุณพระท่านฝากจดหมายมาให้ขอรับ"
น้ำทิพย์หน้าเสีย ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้
"จดหมายอะไร เอาไปคืนคุณพระท่านเถิด ฉันไม่รับ"
แก้วตกใจ งงๆ
"แต่เมื่อวาน คุณน้ำทิพย์บอกว่า หากคุณพระมีจดหมายหรือเพลงยาวส่งมาให้ ก็ให้กระผมเอามาให้นี่ขอรับ กระผมก็ตั้งใจจะให้คุณน้ำทิพย์แต่เช้า แต่วันนี้คุณน้ำทิพย์ไม่ลงมาเก็บดอกไม้ กระผมเลยต้องรอเอามาให้ตอนนี้ขอรับ"
น้ำทิพย์อึกๆอักๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห
"นี่แก้วอยากให้ฉันรับไมตรีพระนิติธรรมมากขนาดนั้นเลยรึ"
"ก็คุณน้ำทิพย์เป็นคนบอกเองนี่ขอรับ"
น้ำทิพย์โมโห ดึงจดหมายมา
"ก็ได้ ฉันรับมาแล้ว สมใจแก้วหรือยังล่ะ"
ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงตวาดของมาโนชดังขึ้น
"ทำอะไรกันน่ะ"
ทั้งคู่ตกใจ หันไปมอง ก็เห็นมาโนชเดินเข้ามาด้วยความโกรธจัด
" ไอ้แก้วมันยื่นอะไรให้น้องน้ำทิพย์ เอามาให้พี่ดูเดี๋ยวนี้นะ"
น้ำทิพย์หน้าเสีย
"ไม่มีอะไรดอกค่ะ ฉันแค่ใช้ให้แก้วไปหยิบของให้เท่านั้นเอง"
มาโนชยื่นมือจะไปเอา
"งั้นก็เอามาให้พี่ดูสิ เอามา"
"เกินไปแล้วนะคะพี่มาโนช พี่ถือสิทธิอะไรมาบังคับให้ฉันต้องทำตามคำสั่งพี่ แม้แต่คุณพ่อ ยังไม่เคยทำกับฉันแบบนี้เลย"
มาโนชโมโห หึงหวง หันไปเล่นงานแก้ว
"ไอ้แก้ว มึงบอกมาว่ามึงส่งอะไรให้น้องน้ำทิพย์ หาไม่แล้ว กูจะถือว่ามึงโอหังบังอาจลบหลู่กูกับน้องน้ำทิพย์ กูจะจับมึงเฆี่ยนกลางบ้านเดี๋ยวนี้"
"พี่มาโนช"
แก้วพูดสวน สีหน้าเด็ดเดี่ยว
"คุณมาโนชเฆี่ยนกระผมเถอะขอรับ กระผมไม่มีอะไรจะพูด"
"มึงท้ากูรึไอ้แก้ว เฮ้ย มีใครอยู่บ้างโว้ย มาช่วยกัน จับไอ้แก้ว แล้วเอาหวายมาให้กูที"
มาโนชตะโกนลั่น
น้ำทิพย์หน้าซีดเผือด มองแก้วด้วยความสงสารจับใจ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ในขณะที่แก้วนิ่งเงียบ ไม่ยอมปริปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
อ่านต่อตอนที่ 2