อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 2
ไก่โก่งคอขันเสียงเจื้อยแจ้วมาเป็นระยะ บอกเวลายามอรุณรุ่ง ในครัววังรวีวารเริ่มโกลาหล จวนหุงข้าวควันโขมงอยู่บนเตา หวนและบ่าวผู้หญิงคนอื่นๆ ทำงานอยู่ในครัว สาแต่งตัวสวยกว่าปกติ เดินเข้ามาช้าๆ ด้วยท่าทีเขินๆ เข้ามานั่งข้างหวนที่ก้มหน้าก้มตาหั่นผักอยู่
“ฉันช่วยไหม พี่หวน”
หวนเงยหน้ามาดู “อ้าว นังสา”
จวนรีบส่งเสียงแปร๋นเข้ามาพูดล้อเลียน
“อ๊าย นังหวน เอ็งไปเรียกเขาว่านังได้ยังไง เขาไม่ใช่ขี้ข้าอย่างเอ็งแล้วนา”
“น้าจวนพูดอะไร” หวนงง
“ข้าก็พูดว่า อีสามันไม่ใช่อีสาคนเดิมแล้วน่ะซี” จวนล้อ “อุตส่าห์เสด็จลงมาถึงโรงครัวนี่ ไม่ทราบว่าประสงค์สิ่งใดหรือเพคะ”
สาหายเขิน ลุกขึ้นเท้าสะเอว “นี่ น้าจวน อย่าหาเรื่องให้ขี้กลากขึ้นกบาลฉันหน่อยเลยน่ะ” สาหันมาทางหวน “ถึงจะอะไรยังไง ฉันก็ยังเป็นอีสาคนเดิมนั่นแหละ”
หวนยิ่งงง “อะไรยังไงของเอ็งล่ะสา ข้าไม่เข้าใจ”
จวนรำคาญ “อีหวนเอ๊ย เอ็งไปมุดหัวอยู่ที่ไหน เอ็งเมื่อรู้หรือไง ว่าเมื่อคืนอีสามันขึ้นไปรับใช้ท่านชาย”
หวนอ้าปากค้าง คนอื่นๆ หัวเราะโห่ฮากัน สายิ้มเขิน
ฟากหม่อมนิ่มหม่อมน้อยยืนหน้าตึงรออยู่หน้าเรือนเห็นสาเดินกลับมาจากครัว ในมือมีกระทงใส่ขนมเดินกินมาด้วย ร้องเพลงเอิงเงยมาด้วย อย่างอารมณ์ดี
“หน้าระรื่นมาเชียวนะ อีสา... หายหัวไปไหนมาแต่เช้า”
สาหุบยิ้ม
“อีฉันไปช่วยงานที่ครัวมาค่ะ หม่อม”
หม่อมน้อยทักแม้เสียงไม่ดุ แต่ดูห่างเหิน “วันหลังไม่ต้องไปแล้วนะท่านชายมีรับสั่งว่า จากนี้ไปเอ็งไม่ต้องไปทำงานหนักแล้ว” น้ำเสียงเจือน้อยใจนิดๆ เมื่อบอกต่อมา “ให้คอยปรนนิบัติท่านชายอย่างเดียว”
สายิ้มหน้าบาน “รับสั่งว่าอย่างนั้นจริงๆ หรือคะ”
หม่อมนิ่มเสียงแหวใส่ “อย่าตัวพองไปหน่อยเลยอีสา... อย่าลืมสิ ว่าเอ็งเป็นแค่ขี้ข้า ถ้าไม่ใช่เพราะข้า เอ็งไม่มีทางได้มาเสนอหน้าแบบนี้หรอก”
สาหน้านิ่ง ไม่พอใจ
เวลาต่อมาเจิมซักผ้าอยู่ที่ท่าน้ำเรือนบ่าว สาเอาขนมมานั่งกินตุ้ยๆ ปากก็บ่น นินทาสองหม่อมพี่น้องไปด้วย
“เชอะ นึกเหรอว่าฉันรู้ไม่ทัน ที่หม่อมนิ่มกับหม่อมน้อยจัดแจงถวายฉันกับท่านชายก็เพราะอยากจะเอาหน้า” สาทำท่าผยอง “คงนึกไม่ถึงล่ะซี ว่าท่านจะมาโปรดปรานคนอย่างนังสา”
เจิมเตือน “เอ็งก็เห็นใจท่านเถอะวะ นังสาหัวอกผู้หญิงด้วยกัน ใครจะชอบให้ผัวไปรักไปหลงคนอื่นอดทนไปก่อนเถอะน่ะ”
สายังหน้างอ เจิมปลอบ
“ยังไงหม่อมเขาก็มีคุณที่สอนให้เอ็งรำหาไม่เอ็งก็ไม่พ้นต้องเป็นเมียไอ้พวกขี้ข้าด้วยกัน” เจิมสอนจริงจัง “เอ็งขึ้นไปรับใช้ท่านชายก็ทำตัวดีๆ เข้าไว้ ถ้าเอ็งทำให้ท่านโปรด เอ็งก็สบาย”
สาหัวเราะคิกออกมา อดทะลึ่งไม่ได้
“แหมจะต้องทำยังไงท่านถึงจะโปรดล่ะป้า” สาแกล้งทำท่ากระบิดกระบวน “ไอ้ฉันก็ไม่เคยมีผัวมาก่อนซะด้วย”
เจิมชักโมโห “อีสา อีทะลึ่ง ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องในมุ้งข้าหมายความว่าให้เอ็งเอาอกเอาใจท่านดีๆ” จวนพูดจริงจัง “แต่ว่าก็ว่านะ นังสา ถ้าเอ็งมีลูกชายถวายท่านได้ล่ะก็ เอ็งสบายไปทั้งชาติแน่”
สาฟังแล้วคิดตาม แล้วยิ้มออกมา รู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร
คืนนั้น สาสวมเสื้อคอกระเช้ากับผ้านุ่งเตรียมนอน แต่ก็ดูสวยนั่งผัดแป้งอยู่หน้ากระจกบานใหม่ ภาพกว้างเห็นว่าห้องนอนสาตกแต่งใหม่ มีเตียงและตู้สวยงามกว่าเดิม ประตูเปิดท่านชายเดินเข้ามา สาหันไปยิ้ม แล้วเข้าไปกอดแขนอ้อนเหมือนเด็กๆ
“สานึกว่าจะไม่เสด็จมาเสียแล้ว”
ท่านชายยิ้มอย่างเอ็นดู แล้วชะงักเหมือนได้กลิ่นหอมรวยรินอยู่ในห้อง
“เอ หอมจริงกลิ่นดอกอะไร”
“มะลิ กุหลาบ กระดังงาเพคะ” สาพูดพลาง ดึงมือท่านชายเดินไปที่เตียงพลาง “สาเอามาโรยไว้บนที่นอน... เวลาบรรทมจะได้หอมชื่นใจ”
สาพาท่านชายมาถึงเตียงที่มีกลีบดอกไม้โรยไว้สวยงาม ท่านชายยิ้มพอใจ สาจับมือท่านชายแนบกับแก้ม ยิ้มเย้ายวน ท่านชายโอบกอดสาสาตาวาววับ สมใจ
หลายวันผ่านมา หม่อมพริ้มตัดแต่งไม้ดัดอยู่ในศาลากลางสวน สีหน้าเครียดขรึม
“เดี๋ยวนี้ท่านชายเสด็จไปหาอีสาทุกคืน...ไม่สนใจใครอื่นเลย”
เจิมหมอบราบ ก้มหน้างุดอยู่กับพื้น ไม่รู้จะตอบว่ายังไง
หม่อมพริ้มโมโหประชดขึ้นมา “อ้อ ข้าคงเรียกมันว่าอีสาไม่ได้สินะต้องเรียกว่าหม่อมสา”
“โธ่ หม่อมเจ้าขา”
เจิมน้ำตาคลอ คลานเข้าไปกอดข้อเท้าหม่อมพริ้มเหมือนจะขอโทษ หม่อมพริ้มสะบัดอย่างแรง ลุกขึ้นยืน
“เอ็งไม่ต้องมาบีบน้ำตาจระเข้ นังเจิม…เอ็งอยากให้อีสามันได้ดิบได้ดีนี่มันก็ได้ดีสมใจเอ็งแล้วนี่ จะมามีน้ำหูน้ำตาหาอะไร”
เจิมคลานตามไปกอดแทบเท้าหม่อมพริ้ม
“หม่อมเจ้าขา อย่าหาว่าบ่าวอาจเอื้อม ถึงไม่ถวายอีสา ท่านชายก็คงหาคนอื่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ลูกชายสมพระทัย”
“คนอื่นมันก็คนอื่น แต่นี่ ...นี่มันอีสา ...เด็กที่เคยกินนมจากอกข้าใครจะไปนึกว่า วันนึงจะต้องมาร่วมผัวกัน”
หม่อมพริ้มเจ็บใจ เจิมพยายามหว่านล้อม
“แต่อีสามันก็ดีกว่าคนอื่นนะเจ้าคะ หม่อม อีสามันเป็นข้าในเรือน ข้าวแดง แกงร้อนของหม่อมรดหัวมันมา ต่อไปภายภาคหน้า มันไม่มีวันเหิมเกริมทำให้หม่อมร้อนใจเป็นอันขาดเจ้าค่ะ”
หม่อมพริ้มมองหน้าเจิม ไม่อยากจะเชื่อนัก
เช้าวันหนึ่ง ในอีกเดือนต่อมา
ยินเสียงอาเจียนดังลั่นมาจากระเบียงหลังบ้านเรือนสองหม่อม สานุ่งกระโจมอก กำลังอาบน้ำอยู่ข้างตุ่ม พุ่งตัวไปที่โก่งคออาเจียนโอ้กอ้าก
ส่วนบนเรือน หม่อมนิ่มหม่อมน้อยพุ่งตัวมาที่หน้าต่าง มองดูสาอาเจียนจนหมดแรงนั่งแปะกับพื้นกระดาน สองพี่น้องมองหน้ากัน ตื่นเต้นตกใจ พอจะเดาได้
“คุณพี่คะ อีสามัน ... มัน”
หม่อมนิ่มตาวาว เห็นโอกาส “มันท้อง”
เจิมหวน และคนอื่นๆ ในครัวรู้ข่าวจากสา พลอยดีใจ
“จริงเหรอวะ นังสา นี่เอ็งท้องจริงๆ เหรอ”
สาที่นั่งแทะงบน้ำอ้อยอยู่ ตอบเขินๆ
“ก็คงจริงแหละ พี่หวน ฉันนับไปนับมา เลือดฉันก็หายไปพักใหญ่แล้ว”
เจิมสอน “ต่อจากนี้ไปจะลุกจะนั่งเอ็งต้องระวังตัวดีๆ นะ สาเอ๊ย ไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว”
“จ้ะ ป้า”
จวนที่วุ่นอยู่หน้าเตา เข้ามาร่วมวง
“แล้วนี่เอ็งอยากกินอะไรมั่งไหมวะ”
“ก็ไม่นะ” สานึกได้ “อยากกินแต่หวานๆ”
เจิมดีใจ “เทวดามาเกิด... แล้วเอ็งฝันเห็นอะไรมั่งรึเปล่า”
“เปล่า... เอ๊ะนี่ถามทำไมกันเนี่ยป้าเจิม”
“ก็พวกข้าอยากรู้น่ะซี ว่าเด็กในท้องเอ็งน่ะ มันจะเป็นพูหญิงรึว่าพูชาย”
“ขอให้ได้ลูกชายเถอะสาเอ๊ย ถ้าเอ็งมีลูกชายถวายท่าน เอ็งได้สบายไปทั้งชาติ” เจิมว่า
“ไม่แน่นะป้า เผลอๆ ฉันจะได้เป็นหม่อม...หม่อมสา”
สาหัวเราะคิกคัก หวนพลอยดีใจ จวนกับเจิมแอบค้อน หมั่นไส้
ท่านชายแวะมาหาสา นั่งบนเก้าอี้ส่วนสานั่งพับเพียบกับพื้น นวดขาให้อย่างเอาใจ ท่านชายรู้เรื่องสาท้อง แต่ไม่ได้ตื่นเต้นนัก เพราะมีลูกเยอะแล้ว
“ก็ดี ถ้าเป็นลูกชายอย่างที่เอ็งว่าจริงๆ ก็ดี”
“ต้องลูกชายแน่ๆ เพคะ” สาคุยโต โม้ไปเรื่อย “เมื่อคืนก่อน สาฝันเห็นเทวดาเอาแหวนเพชรมาให้วงใหญ่เบ้อเริ่มเลยเพคะ ป้าเจิมแกทำนายว่าฝันแบบนี้ ต้องได้ลูกชายแน่ๆ”
ท่านชายยิ้มพยักให้ สาเขย่งตัวขึ้นมากอดออเซาะมือลูบไว้ที่หน้าอกท่านชายอย่างซุกซน
“ถ้าสาคลอดลูก ขอประทานบ้านให้สาซักหลังได้ไหมเพคะ”
ท่านชายชะงัก มองหน้าสานิ่งๆ สาออดอ้อน
“สาไม่อยากอาศัยเขาอยู่... ห้องแคบๆ แบบนี้ มันไม่สมเกียรติเลยนะเพคะ” สาเลื่อนมือเลื้อยลงต่ำ “ลูกชายของสา เป็นถึงทายาทผู้สืบสกุลรวีวารเชียวนะเพคะ”
ท่านชายจับมือสาเอาไว้ให้หยุดเลื้อย สาชม้ายตายั่วยวน ท่านชายสีหน้ากังวล เหมือนฉุกคิดอะไรได้
ที่ตำหนักใหญ่ เช้าวันต่อมา ท่านชายเอาเรื่องที่สาอ้อนมาเล่าให้หม่อมพริ้มฟังหม่อมพริ้มฝืนยิ้ม
“สามันก็พูดถูกแล้วเพคะ ถ้าลูกในท้องมันเป็นลูกชายจริงๆ เด็กคนนั้นจะเป็นทายาทของสกุลรวีวาร”
ท่านชายถอนใจ “ถ้าเขามาเกิดกับแม่พริ้ม ฉันคงไม่ต้องกลุ้มใจ”
“อิฉันไม่มีวาสนานี่เพคะ จะทำยังไงได้”
ท่านชายลงนั่งพูดกับหม่อมพริ้ม
“ลูกฉัน จะเกิดกับใครก็เป็นลูกของฉัน แถมจะเป็นลูกที่จะสืบสกุลรวีวารต่อไป...แม่พริ้ม แม่พริ้มจะว่าอะไรไหม ถ้าฉันจะขอ...”
หม่อมพริ้มมองหน้าท่านชาย สงสัย “ขออะไรเพคะ”
เวลาผ่านไปอีก แปดเดือนต่อมา สาท้องแก่ใกล้คลอด เดินถือกระเป๋าเสื้อผ้าออกมาจากห้องด้านใน มีเจิมและหวนหอบผ้าห่ม หมอน มุ้ง และข้าวของส่วนตัวกระจุกกระจิกตามหลังหม่อมนิ่มหม่อมน้อยยืนมองหมั่นไส้
สาเดินมาถึงตรงหน้าหม่อมนิ่มหม่อมน้อย ทรุดตัวลงยกมือไหว้เจิมกับหวนทรุดตัวลงตาม
“ฉันกราบลาค่ะ หม่อม”
หม่อมนิ่มไม่รับไหว้แดกดันใส่หน้า “จะไปไหนก็ไป อีข้าสองเจ้า บ่าวสองนาย ได้ขึ้นไปเสนอหน้าที่ตำหนักใหญ่ คงจะดีใจจนเนื้อเต้นเลยสินะ”
สาเถียงด้วยไม่พอใจ “ค่ะ ไปอยู่เสียบนตำหนักใหญ่ ก็ไม่มีใครมากระทบกระเทียบให้รำคาญใจ”
“อีสา”
หม่อมนิ่มแว้ดใส่ ถลาเข้าไปจะตบสา หม่อมน้อยรั้งไว้ พร้อมๆ กับที่เจิมเข้ามาขวาง
“อย่าค่ะ คุณพี่”
“อย่าค่ะ หม่อม”
สาลุกขึ้นยืนท้าทาย “หม่อมจะตบจะตีอิฉัน ยังไงก็เกรงใจคุณชายที่อยู่ในท้องนี่ด้วยนะคะ” สาเย้ย “ถ้าหากลูกในท้องอิฉันเป็นอะไรไป ท่านชายคงไม่ทรงโปรดเป็นแน่”
สาลอยหน้าลอยตาอย่างเป็นต่อ หม่อมนิ่มฮึดฮัด หม่อมน้อยทนไม่ไหวต้องออกปาก
“อวดดีไปเถอะอีสา... คนอกตัญญูอย่างเอ็ง ไม่มีวันได้ดี”
สายิ้มเย้ย “ฉันไม่หวังอะไรมากหรอกค่ะ หม่อม วันนี้ แค่ฉันได้ขึ้นไปนอนที่ตำหนักใหญ่ .. ต่อไป ฉันก็แค่ได้เป็นแม่” สาเอามือแตะท้องตัวเอง “ของคุณชาย เจ้าของวังรวีวาร... ก็เท่านั้นเอง” สาหัวเราะเยาะ “ไป พี่หวน ป้าเจิม”
จากนั้นสาเดินลอยหน้าออกไป เจิมกับหวนเดินตาม หม่อมนิ่มมองตามสาอย่างเคียดแค้น
ห้องชั้นล่างของตำหนักใหญ่ ถูกจัดเป็นห้องพักของสา หม่อมพริ้มนั่งอยู่ มีสาวใช้พัดวี สา เจิม หวนนั่งเรียบร้อยตรงหน้าหม่อม
“เอ็งพักอยู่บนตำหนักใหญ่นี่ก่อน จนกว่าจะคลอดลูก”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะคะหม่อม” สาถาม
พริ้มชะงัก หน้าตึง “ยังไง”
“เอ่อ คือ... สาเคยขอประทานเอาไว้... สาอยากได้บ้านซักหลัง จะได้อยู่กันสองคนแม่ลูก”
หม่อมพริ้มพูดเสียงเย็นชา
“ลำพังเลี้ยงดูผู้คนบริวารในวังรวีวาร แต่ละเดือนก็ใช้เงินไม่น้อย... ท่านชายทรงออกจากราชการนานแล้วรายได้ลดน้อยลง แต่จำนวนปากท้องที่ต้องเลี้ยงดู กลับมากขึ้นทุกวัน”
“แต่ว่าลูกชายของสาเป็นถึงทายาท...”
อีสาพูดไม่ทันจบหม่อมพริ้มพูดสวนออกมา “ทายาทของรวีวารก็ต้องอยู่บนตำหนักใหญ่...เอาไว้เอ็งคลอดออกมาเมื่อไหร่ ค่อยว่ากันอีกที
หม่อมพริ้มตัดบทเฉียบขาด สาทำท่าเหมือนอยากจะต่อรองแต่เจิมหยิกให้สาเงียบ
วันเวลาผ่านไปอีก เช้านี้หวนวิ่งหน้าตั้งมาที่โรงครัว หน้าตาดีใจสุดขีด ตะโกนโหวกเหวก
“คลอดแล้วจ้า คลอดแล้วจ้า อีสาคลอดลูกแล้วจ้า”
จวนและคนอื่นๆ ละจากงานมารุมหวน
“ยังไงนังหวน” จวนถาม หวนหอบแฮก “ผู้หญิงรึว่าผู้ชาย”
“ผู้ชายจ้ะ” หวนบิอก
จวนและคนอื่นๆ ร้องเฮ ดีใจไปกับสา
สานอนพักอยู่บนเตียงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยท่าทางเหนื่อยล้าอ่อนแรง เห็นหม่อมพริ้มกับเจิมอยู่ข้างๆ
หม่อมพริ้มถามด้วยน้ำเสียงเมตตา “เป็นยังไงบ้าง นังสา”
สายิ้มอย่างอิดโรย “จริงอย่างที่หม่อมว่าจริงๆ ค่ะ ออกลูกทีเจ็บเหมือนจะขาดใจ” สาหันมองหาลูก “แล้วลูกสาล่ะคะหม่อมลูกสาอยู่ที่ไหน”
“หมอตำแยเขาเอาไปล้างเนื้อล้างตัวแน่ะ เดี๋ยวก็มา”
หม่อมพริ้มบอก
อ่านต่อหน้า 2
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 2 (ต่อ)
สักครู่หนึ่ง หมอตำแยอุ้มเด็กทารกที่อาบน้ำ ตัดสายสะดือเรียบร้อยแล้ว อยู่ในห่อผ้าขาวสะอาด เดินเข้ามาพลางร้อง
“มาแล้วจ้ะ มาแล้ว... พร้อมกันหรือยัง”
สาชะเง้อดู ท่านชายกับหม่อมพริ้มที่ยืนรออยู่ ท่าทางตื่นเต้น หม่อมพริ้มรีบหันมาเร่งเจิม
“นังเจิม กระด้งอยู่ไหน เอากระด้งมาสิ”
เจิมรีบละจากสา ไปหยิบกระด้งที่เตรียมเอาไว้เข้ามาให้
“เจ้าค่ะ”
“สมุดดินสอที่ข้าเตรียมไว้เอาใส่ไปแล้วใช่ไหม คุณชายจะได้เรียนหนังสือเก่งๆ”
“เรียบร้อยเจ้าค่ะ”
เจิมรีบเอากระด้งไปให้หมอตำแย
หมอตำแยเอาเด็กใส่กระด้งแล้วร่อนกระด้ง ร้องไปด้วย ตามประเพณี
“สามวันลูกผี สี่วันลูกคน ลูกของใคร มารับไปเน้อ”
หมอตำแยทำอยู่สามครั้ง หม่อมพริ้มกับท่านชายตื่นเต้น สาพลอยตื่นเต้นไปด้วย จนถึงครั้งที่สาม
“สามวันลูกผี สี่วันลูกคน ลูกของใคร มารับไปเน้อ”
“ลูกฉันเอง ลูกฉันเอง”
หม่อมพริ้มว่า พลางเข้ามารับกระด้งไป แล้วส่งเงินหนึ่งสตางค์ให้หมอตำแยเป็นการซื้อเด็ก
สามอง ชะเง้อ อยากเห็นลูก
หม่อมพริ้มเอากระด้งไปวางมุมห้อง อุ้มเด็กขึ้นมา สาชะเง้อตาม รอให้หม่อมพริ้มเอาเด็กมาให้ตน
แต่หม่อมพริ้มกลับอุ้มเด็กทารกไปหาท่านชาย
“ทอดพระเนตรสิเพคะ น่าเกลียดน่าชังเหลือเกิน”
“ขอฉันอุ้มหน่อย”
ท่านชายเอาทารกน้อยไปอุ้ม เชยชม หม่อมพริ้มมองปลื้มใจ สาชะเง้อ รู้สึกเก้อๆ เหมือนเป็นคนนอก หันไปหาเจิม
“ป้าเจิม ลูกฉัน”
“เดี๋ยวก็ได้เห็นเองล่ะน่ะ เอ็งนอนนิ่งๆ เถอะ”
ท่านชายค่อยๆ ก้มลงจูบทารกน้อยเบาๆ ที่หน้าผาก
“อายุมั่นขวัญยืนนะลูกพ่อ”
หม่อมพริ้มยิ้มปลาบปลื้ม “จะโปรดประทานชื่อให้ลูกว่าอะไรดีเพคะ”
ท่านชายคิดๆ “ลูกชายของหม่อมเจ้าโชติช่วงระวี” ที่สุดคิดออก “ให้ชื่อรวีช่วงโชติ... หม่อมราชวงศ์รวีช่วงโชติ รวีวาร... ดีไหมแม่พริ้ม”
“ลูกได้พระนามของท่านชายมาเป็นชื่อ ถือเป็นสิริมงคลที่สุดแล้วเพคะ”
ท่านชายกับหม่อมพริ้มยิ้มให้กัน ชื่นใจ มีความสุขเป็นที่สุด สามองทั้งสองชื่นชมเด็กทารกในอ้อมแขนราวกับเป็นพ่อแม่รู้สึกอิจฉาและน้อยใจ ที่ท่านชายไม่สนใจตัวเองเลย
ฟากสองหม่อมพี่น้องอยู่บนเรือน หม่อมนิ่มร้องกรี๊ดๆ ขว้างปาข้าวของระบายอารมณ์หม่อมน้อยคอยห้าม
“อย่าค่ะ คุณพี่ อย่า” หม่อมน้อยเข้าไปจับไว้ “ใครรู้ใครเห็นเข้าเอาไปเพ็ดทูลท่านชาย เราจะลำบากนะคะ”
หม่อมนิ่มหยุดมือ แต่ยังไม่วายโกรธ
“เจ็บใจนัก อุตส่าห์ขุนเลี้ยงอีสามันมา นึกไม่ถึงว่าจะพลาดท่าเสียที ให้นังหม่อมพริ้มมาชุบมือเปิบไปจนได้”
“หม่อมใหญ่ท่านมีลูกสาวตั้งห้า ท่านอาจจะไม่สนใจลูกของอีสาก็ได้นี่คะ”
หม่อมนิ่มหันไปใส่หม่อมน้อย “อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่ะ แม่น้อย... ทายาทคนเดียวของรวีวารมีหรือหม่อมพริ้มจะยอมให้เราเอามาเลี้ยง ไม่มีวันเสียล่ะ”
ด้านหม่อมลำดวนเดินเข้าเรือนหลังกลับจากไปเยี่ยมอีสา ส่งร่มในมือให้ชดที่รออยู่หน้าบ้าน
“เอ็งน่าจะได้ไปเห็นนะนังชด อีสาหน้าบาน ชูคอเป็นกิ้งก่าขึ้นมาทีเดียว มันคงคิดว่าถ้ามีลูกชายถวายท่าน แล้วจะได้เชิดหน้าขึ้นมาเป็นหม่อมกับเขา”
“วุ้ย ขี้ข้าหยั่งนังสา ท่านชายจะยกย่องมันขึ้นมาเทียมหม่อมได้หรือเจ้าคะ”
ฟังที่ชดว่าหม่อมลำดวนขัดใจ “ว่าได้รึ สามันเป็นแม่ของคุณชายรวีช่วงโชติ ท่านชายท่านยอมให้โอรสของท่าน โตขึ้นมาแบบลูกขี้ข้าได้ยังไงไม่มีทาง”
หม่อมลำดวนพูดอย่างกังวล
สองวันต่อมา สานอนพักฟื้นอยู่บนฟูก ตื่นขึ้นมาตอนสายๆ ด้วยท่าทางอิดโรย หวนนั่งเฝ้าอยู่
“พี่หวน” สายันตัวลุก
“ค่อยๆ ลุก นังสา เจ็บไหม” สาพยักหน้า “นี่ก็เข้าสองวันแล้ว เห็นหมอตำแยเค้าว่าอีกไม่เกินเจ็ดวันเอ็งก็เดินปร๋อ” หวนประคองให้นั่งถนัดถนี่ “หิวไหม ข้าจะไปเอาน้ำข้าวใส่เกลือมาให้”
สาส่ายหน้า “ลูกฉันล่ะพี่หวน อยู่ไหน วันนี้ฉันยังไม่ได้ให้นมลูกเลยแล้วที่ลูกฉันไม่สบายน่ะ เป็นอะไร หายหรือยัง”
หวนยิ้มแหยๆ ไม่รู้เหมือนกัน
ในห้องที่ตกแต่งอย่างสวยงามเป็นห้องเด็ก มีเปลวางอยู่ หวนประคองสาค่อยๆ แอบย่องเข้าไปในห้อง สากับหวนไปแอบดูลูกที่ข้างเปล ทารกน้อยนอนนิ่ง ตาแป๋ว
“คุณชายลูกแม่ เป็นยังไงบ้างคะ” สาเอานิ้วเขี่ยแก้มเด็กทารกในเปล “จำแม่ได้ไหมเอ่ย จำแม่ได้ไหม”
เด็กส่งเสียงอ้อแอ้ แล้วหาว สายิ้ม
“โถ ง่วงแล้วหรือคะ งั้นแม่ร้องเพลงกล่อมคุณชายนอนเอาไหม”
สาร้องเพลงเสียงสดใสไพเราะไกวเปลให้ลูกไปด้วย
“เจ้านกกาเหว่าเอย ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก... แม่กาก็หลงรัก คิดว่าลูกในอุทร... คาบเอาข้าวมาเผื่อคาบเอาเหยื่อมาป้อน”
ชายรวีฟังอย่างมีความสุข สาร้องเพลงกล่อมต่อไป
หม่อมพริ้มมายืนแอบมองที่หน้าประตู มีเจิมยืนอยู่ด้านหลังกับนวล แม่นมหญิงวัยกลางคนหน้าตาใจดี ผิวพรรณขาวสะอาดสะอ้าน ท่าทางสุขภาพดีหม่อมพริ้มยืนมองสาร้องเพลงกล่อมลูกด้วยสีหน้าเวทนา
สาร้องเพลงไป เห็นชายรวีที่นอนอยู่ในเปล กระสับกระส่าย สาชะงัก
“ทำไมไม่หลับล่ะลูก... ไม่ชอบเหรอคะ หรือเป็นอะไร”
ชายรวีเบะปากร้องไห้จ้า สาตกใจอุ้มลูกจากเปลขึ้นมาเขย่า
“คุณชาย เป็นอะไรลูก”
“ร้องแบบนี้ คงจะหิวมั้ง สา”
“หิวเหรอ”
สาตัดสินใจ หันหลัง จะถลกเสื้อขึ้นให้ลูกกินนมตัวเอง หม่อมพริ้มส่งเสียงเข้ามา
“อีสา!”
สาชะงัก เห็นหม่อมพริ้มเดินเข้ามาเจิมกับแม่นมตามมาด้วย
“นั่นเอ็งจะให้นมลูกรึ”
“ค่ะ”
หม่อมพริ้มพยักหน้าให้แม่นมชื่อนวล “ไม่ต้องหรอก แม่นวลเขามาแล้ว”
สามองนวล แปลกใจ
“ข้าจ้างแม่นวลมาเป็นแม่นมเลี้ยงคุณชาย”
แม่นมจะเข้าไปรับเด็ก แต่สาไม่ยอมปล่อย
“ทำไมล่ะคะ หม่อม”
“นมเอ็งเป็นพิษ คุณชายกินไม่ได้”
สาตกใจ “อะไรนะคะ”
“ที่คุณชายไม่สบาย เพราะแพ้นมแม่ กินไม่ได้เอ็งปล่อยให้แม่นมเขาเลี้ยงคุณชายดีกว่า”
แม่นมยื่นมือมาขอเด็ก หม่อมพริ้มมองหน้าสา สาเกรงหม่อม จำใจปล่อยลูกให้แม่นมเอาไป
หม่อมมองหน้าสา แล้วตัดสินใจพูด
“เป็นแม่คนน่ะอีสา แค่เบ่งลูกออกมาก็เป็นแม่ได้ แต่จะเลี้ยงลูกให้โตขึ้นมาดีมันต้องอบรมสั่งสอนกันอีกหลายอย่าง... ข้าพูดตรงๆ เอ็งไม่มีปัญญาเป็นแม่ที่ดีของคุณชายได้”
สาอึ้ง หม่อมพริ้มพูดเฉียบขาด
“ท่านชายทรงมีรับสั่งให้ข้าเลี้ยงคุณชายให้คุณชายเรียกข้าว่าแม่”
“แล้วสา...”
“ส่วนเอ็ง...เคยทำอะไรยังไงมาก็ทำไป คุณชายนี่น่ะ ข้าจะเลี้ยงให้เอง”
เจิมประคองสากลับมานอนในห้อง สาทำหน้าตาเซ็งๆ เจิมปลอบใจ
“ลูกของเรายังไงก็เป็นลูกของเรา ไม่ไปไหนหรอก สาเอ๊ย ให้หม่อมท่านเลี้ยงน่ะดีแล้ว...คุณชายจะได้สบาย”
“แล้วฉันล่ะ... ไหนป้าว่ามีลูกชายแล้วฉันจะสบาย หม่อมเอาลูกฉันไปเลี้ยง แล้วฉันล่ะป้า ฉันจะยังไง”
จวนถอนใจ ทำตาปริบๆ สาเคว้งคว้าง รู้สึกเหมือนตกสวรรค์
หลายวันต่อมา ที่เรือนสองหม่อมพี่น้อง หม่อมนิ่ม และหม่อมน้อย กำลังปักดิ้นซ่อมแซมเครื่องรำอยู่ สากับหวนช่วยกันขนของกลับมา สาเดินหน้าบึ้งตึงนำเข้ามาก่อนหม่อมน้อยเงยหน้าขึ้นไปเห็น
“เอ๊ะ อีสา”
หม่อมนิ่มหม่อมน้อยวางมือจากงาน ลุกขึ้นมาทันที
“นี่เอ็งหอบข้าวหอบของมาที่เรือนข้าทำไม”
สาเสียงขุ่น เพราะอารมณ์ไม่ดี “หม่อมพริ้มท่านให้อิฉันกลับมาอยู่ที่ห้องเดิมค่ะ”
“แต่บ้านนี้เป็นบ้านข้า ข้าไม่ให้เอ็งอยู่ ออกไป” หม่อมนิ่มไล่ส่ง
สาชักโมโห หวนรีบแก้แทน
“แต่หม่อมพริ้มท่านสั่งนะคะ หม่อม”
“ก็บอกว่าไม่ให้อยู่ไง...ไปซี ไป ไสหัวไป”
หม่อมนิ่มเอาของปาใส่สา สาหลบ หม่อมนิ่มลุกเข้าไปผลักสาซ้ำ สาสู้ ผลักหม่อมนิ่มกลับ จนหม่อมนิ่มเซไป
“สาไม่ไป” สายืนจังก้า ตาวาว “อีสาจะอยู่ที่นี่ ใครจะทำไม”
หม่อมน้อยโกรธขึ้นมาบ้าง “อีสา”
สาเดินอาดๆ เข้าไปในเรือน ไปนั่งบนเก้าอี้ “เรือนนี้เป็นของท่านชาย สาเป็นเมียท่าน เมียอยู่บ้านผัวจะเป็นไร”
หม่อมนิ่มโกรธตัวสั่น “อีสา เอ็ง” หม่อมชี้นิ้วไล่ “ไปเลยนะออกจากเรือนข้าไปเดี๋ยวนี้ไม่งั้น...”
สาลุกขึ้น ตั้งท่าสู้สวนคำ “ไม่งั้นหม่อมจะทำไม... อย่านึกว่าจะมากดหัวกันได้นะ สาก็เป็นเมียท่านเหมือนหม่อมเหมือนกัน”
“อีสา อีเนรคุณ นี่เอ็งกล้าลามปาม...” หม่อมนิ่มพูดไม่ทันจบ อีสาสวนออกมา
“สาไม่ได้อยากจะมาอยู่ที่นี่หรอกนะ หม่อมพริ้มท่านสั่ง” สากราดตามองหม่อมทั้งสอง “แต่ถ้าหม่อมไม่ยอม สาจะไปฟ้องว่าหม่อมลองดีกับท่าน กล้าไหมล่ะ”
หม่อมนิ่มจ๋อย สาเดินอาดๆ เข้าห้องไป หวนเดินตาม
ท้องฟ้ากลางคืนพระจันทร์เต็มดวงสว่างไสวอยู่บนท้องฟ้า สาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เดินมานั่งที่เตียง มองไปรอบๆ ห้องแล้วทอดถอนใจ
“อีสาเอ๊ยอีสา ไปๆ มาๆ ก็กลับมาที่เดิม”
สาลงนอน เอามือแตะที่ท้องตัวเอง แล้วนึกเจ็บใจ
“อุตส่าห์อุ้มท้อง ลำบากแทบตาย ได้ลูกชายแล้วไม่เห็นจะสบายอย่างที่ป้าเจิมบอกเล้ย”
สาถอนใจ แล้วดับตะเกียง
นอกหน้าต่างลมพัดยอดไม้ ม่านหน้าต่างไหวพลิ้ว แสงจันทร์ส่องเข้ามาที่ร่างของสาบนเตียง สานอนพลิกไปมา คิดถึงความหลัง วันที่รำเป็นนางรจนาและถวายตัวกับท่านชายสาเกิดรุ่มร้อนขึ้นมา นอนกระสับกระส่าย
เดือนต่อมา ท่ามกลางบรรยากาศสวนสวยอันร่มรื่น ท่านชายนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะสนามในศาลา หม่อมพริ้มนั่งดูแม่นมเลี้ยงชายรวี บัดนี้ชายรวีอายุได้ประมาณ 2 เดือน เริ่มส่งเสียงอ้อแอ้
หม่อมพริ้มอุ้มมาหยอกล้อ “ชายรวีเรียกแม่สิลูก ไหนเรียกสิ แม่...”
ทารกหัวเราะแบบเด็กอารมณ์ดี หม่อมพริ้มยิ้ม มีความสุข
จังหวะนี้สาค่อยๆ ย่องไปข้างๆ ศาลา เลียบๆ เคียงๆ แอบดูอยู่ พอดีท่านชายหันไปเห็น
“อ้าว สา... นั่นเอ็งเองรึ”
สายิ้มเจื่อนๆ เข้ามานั่งไหว้เรียบร้อย หม่อมพริ้มหันมา
“มายืนลับๆ ล่อๆ ทำอะไร” พอเห็นเด็กในมือ นึกขึ้นได้ พูดอย่างปรานี “มาหาคุณชายรึ เข้ามาซี”
สาเข้ามา หม่อมพริ้มยังอุ้มชายรวีอยู่ แต่ให้หันหน้าไปเล่นกับสา
“สามาหาแน่ะลูก”
สาสะอึกในคำพูดของหม่อมพริ้มยังทำใจไม่ได้
“แม่เองค่ะ คุณชาย”
เด็กทารกมองอย่างไร้เดียงสา ส่งเสียงอ้อแอ้ หม่อมพริ้มพูดแซงขึ้น
“จำสาได้ไหม ลูก...ไหนเรียกสาสิ... สา” สาชะงัก มองหน้าหม่อมพริ้มเป็นคำถาม หม่อมพริ้มย้ำคำ “ข้าบอกแล้วไง ว่าท่านชายรับสั่งให้ข้าเป็นแม่ ส่วนเอ็ง เรียกสาเฉยๆ”
สาหันไปมองหน้าท่านชาย ท่านชายรีบตัดบท ปิดหนังสือ ลุกขึ้นยืน
“แม่พริ้มเล่นกับลูกไปนะ ฉันจะขึ้นข้างบนตึกแล้ว”
ท่านชายลุก สาผละจากชายรวี ขยับจะลุกตาม
“สาไปด้วยเพคะ” ท่านชายมองหน้าสา แล้วมองหน้าหม่อมพริ้มอย่างเกรงใจ สาบอกต่อ “สามีเรื่องจะทูล”
ท่านชายลงนั่ง พยักหน้าให้พูด สาอึ้งๆ ลังเล หม่อมพริ้มมองหน้าสารอฟัง สาตัดสินใจโพล่งออกมา
“ตั้งแต่คลอดลูก ท่านชายไม่เด็จไปหาสาเลย ไม่รักสาแล้วหรือเพคะ”
ท่านชายและหม่อมพริ้มตกใจ แม่นมก็ตกใจ ที่สากล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่น
หม่อมพริ้มดุเสียงขุ่น “อีสา!”
สาพรั่งพรู ตามรู้สึก “สาไม่ได้รับใช้ท่านชายตั้งหลายเดือนแล้วนะเพคะ เมื่อก่อนเคยทรงโปรดสา เด็จไปอยู่กับสาทุกคืน แต่พอสามีลูก...”
“พอที! หยุด” หม่อมพริ้มลุกขึ้น “นวล เอาชายรวีขึ้นไปบนตึกกับข้า” มองสาอย่างอนาถใจ “พูดออกมาได้ยังไงหน้าไม่อาย”
หม่อมพริ้มเดินออกไป นวลอุ้มชายรวีช่วงโชติเดินตาม สาไม่สนใจ หันไปเซ้าซี้ท่านชายต่อ
“ท่านชายเพคะ”
ท่านชายมองสาที่ทำตาปริบๆ เว้าวอนอย่างอ่อนใจ
หลายวันผ่านไป เช้านี้พวกบ่าวผู้หญิงล้อมวงกันกินข้าวกันอยู่โรงครัว สาทอดถอนใจ กินข้าวไม่ลง หวนมองอย่างสงสาร
“ท่านชายยังไม่เด็จมาหาเอ็งอีกรึ สา”
สาส่ายหัว เซ็ง “ตอนนี้ท่านชายหลงแต่ลูก วันๆ หายใจเข้าหายใจออกมีแต่คุณชาย”
“เอ็งก็มีลูกชายถวายท่านอีกคนซีวะ ท่านจะได้สนใจเอ็ง... คราวนี้หม่อมพริ้มท่านคงไม่เอาไปหรอก” เจิมบอก
สากรี๊ดขัดใจนัก “โอ๊ย ฉันไม่ใช่นางสวาหะนะป้า จะได้ท้องกับลมกับแล้ง...ท่านไม่เสด็จมาหาแล้วฉันจะท้องได้ยังไงเล่า ฮึ่ยย”
“หยั่งว่า พระชันษาท่านก็มากแล้ว ไอ้เรื่องอย่างว่ามันก็ต้องจืดจางไปมั่ง” จวนว่า
“แต่ฉันยังสาว ยังสวย ท่านชายจะมาทอดทิ้งฉันอย่างนี้ไม่ได้นะป้า”
“ถุย นังสา แล้วเอ็งจะมีปัญญาทำอะไร้”
สาครุ่นคิด สีหน้ามุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้
เย็นนั้น ขณะที่ท่านชายนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ศาลากลางสวน สาด้อมๆ มองๆ แล้วแกล้งทำเป็นชมนกชมไม้ มาใกล้ๆ ศาลา ท่านชายรู้สึกว่ามีคนมา เงยหน้ามาเห็นสา
“อ้าว สา”
สาใส่จริตทำเป็นเพิ่งรู้ตัว “อุ๊ย ท่านชาย” ขยับเข้ามานั่งกับพื้นใกล้ๆ กราบที่ขา “สาไม่ทันเห็นว่าประทับที่นี่ ขอประทานอภัยเพคะ”
สากราบลงที่หน้าตักของท่านชาย ท่าทางอ่อนหวาน ท่านชายเอ็นดูสา
“แล้วเอ็งมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ”
“สามาเดินเล่นเพคะ ไม่รู้จะทำอะไร...ลูกก็มีคนอื่นเอาไปเลี้ยง” สาตัดพ้อ
ท่านชายอารมณ์ดี “ไม่ดีเหรอ เอ็งจะไม่เหนื่อย”
สากุมมือท่านชาย “แต่มันเหงานี่เพคะ... ท่านชายก็ไม่เด็จมาหาสาเลย ทิ้งให้สาอยู่คนเดียว”
สาออดอ้อนออเซาะ เอามือท่านชายมาแนบแก้ม ชม้อยชม้ายตา
“ท่านชายเพคะ คืนนี้เด็จไปที่ห้องสานะเพคะ สาจะรำถวาย”
ท่านชายมองสา ท่าทีลังเลใจ
อ่านต่อหน้า 3
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 2 (ต่อ)
ค่ำมากแล้วพระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างกลางฟ้า ตำหนักใหญ่วังรวีวารตระหง่านในความมืด
ในห้องนอนหม่อมพริ้ม หม่อมอาบน้ำแต่งตัวใหม่เรียบร้อย หญิงโสภาเรียกอยู่หน้าประตู
“หม่อมแม่คะ”
“เข้ามาสิ หญิง”
หญิงโสภาเข้ามาปล่อยผมยาวตรง นุ่งซิ่นใส่เสื้อลูกไม้สีอ่อน ดูเรียบร้อย ในมือถือพานที่มีพวงมาลัยดอกไม้สดหญิงโสภามาคุกเข่าลงตรงหน้า ส่งพานใส่พวงมาลัยให้
“วันนี้วันพระ หญิงร้อยพวงมาลัยให้หม่อมแม่บูชาพระค่ะ”
หม่อมพริ้มหยิบมาลัยขึ้นมาดูอย่างพินิจ ยิ้มน้อยๆ “ฝีมือใช้ได้ ร้อยได้เรียบดี... แต่ตอนขึ้นลายหญิงต้องประณีตกว่านี้สักหน่อย ลายจะคมสวยกว่านี้”
โสภากอดเอวหม่อมแม่ประจบ “ทำยังไงหญิงก็สู้หม่อมแม่ไม่ได้ หม่อมแม่ทำงานดอกไม้ได้สวยกว่าครูที่โรงเรียนหญิงทุกคนรวมกันเสียอีก”
“ช่างประจบ...ไป ไปไหว้พระเป็นเพื่อนแม่ดีกว่า”
โสภาเอ่ยขึ้น “แล้วท่านพ่อล่ะคะ”
หม่อมพริ้มหน้าหมองลงไปนิดหนึ่ง “เสวยพระกระยาหารค่ำเสร็จ ก็เสด็จลงไป... เรือนข้างหลัง... แล้ว”
ขณะเดียวกันภายในห้องสายามนั้น สาเทยาผงๆ จากห่อกระดาษสีน้ำตาลใส่ลงในขวดเหล้าจีน นึกถึงเหตุการณ์ที่ไปเยาวราชมา เมื่อตอนกลางวัน โดยตอนนั้นสายืนใจสั่นๆ แอบอยู่มุมตึก หญิงสาวจีนแต่งตัวล่อแหลม ทาปากแดง บอกชัดว่าเป็นหญิงโรงน้ำชาเอาซองสีน้ำตาลยัดใส่มือสา
“เอ้า เอาไปให้ผัวลื้อเจี๊ยะ จะได้มีเรี่ยวมีแรง” หญิงจีนกำชับ
สาดึงสติกลับมา เอาขวดเหล้ามาเขย่าๆ เสียงท่านชายเรียกอยู่ที่หน้าห้อง
“สา”
สาสะดุ้ง “เพคะ”
อีสาวางขวดเหล้า แล้ววิ่งไปเปิดประตู ท่านชายเข้ามา มองในห้องอย่างตื่นตา เห็นในห้องจุดเทียนโคมกระดาษแบบจีนสีแดงอันใหญ่อันเล็กมากมายมลังเมลือง
“นี่มันอะไรกันสา”
ตรงกลางห้อง เห็นมีผ้าสีแดงขึงเอาไว้กลางห้องเหมือนเป็นม่าน บังเตียงเอาไว้ท่านชายยิ่งแปลกใจ
หันมองมา สายิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วหายไปหลังม่าน
ที่โต๊ะมุมห้อง มีเครื่องเล่นจานเสียงหมุนไป ดนตรีบรรเลงเพลงจีนดังขึ้น ท่านชายนั่งจิบเหล้าจีนอยู่ที่เก้าอี้มุมห้อง มองไปที่ม่าน เห็นมือทาเล็บแดงแจ๊ดของสาแหวกม่าน
สาค่อยๆ เยื้องย่างออกมาในชุดสาวจีนสุดเซ็กซี่ ท่อนบนมีแค่เอี๊ยมตัวเล็กๆ ตัวเดียว เห็นหน้าท้องเรียบ เอวคอดกิ่ว ท่อนล่างเป็นกระโปรงแพรบางที่แหวกสูงจนถึงต้นขา สาทำผมแต่งหน้าทาปากแดงแบบสาวจีนในมือมีผ้าแพรบางๆ
ท่านชายมองสาท่าทีตื่นเต้น ยกเหล้าขึ้นจิบอีก สาเยื้องย่างในท่วงท่านางงิ้วเข้ามาใกล้
“มีคนบอกสาว่า นางระบำคนจีนเขาแต่งตัวแบบนี้”
ท่านชายยิ้มบางๆ “ก็...แปลกดี”
สาเอาผ้าแพรในมือคล้องคอท่านชาย ยิ้มยั่วยวน
“สาแต่งแบบนี้ ท่านชายโปรดไหมเพคะ”
พร้อมกันนี้สาใช้ผ้าแพรดึงท่านชายเข้ามาใกล้ เสียงหัวใจท่านชายเต้นถี่รัว สาดึงท่านชายลุกขึ้น แล้วพาหายลับไปหลังม่าน จากเงาที่ทาบทับลงบนผ้าม่าน เห็นว่าสาลากท่านชายไปที่เตียง
ท่านชายนอนหงายบนเตียง สาคร่อมอยู่ข้างบน พูดด้วยอารมณ์หยาดเยิ้ม ยวนยั่วน้ำเสียงออดอ้อนสุดชีวิต
“คืนนี้สาอยากได้ลูกชาย ประทานสาอีกคนนะเพคะ”
เวลาผ่านไปสักระยะแล้ว ท้องฟ้าสีน้ำเงินสว่าง บอกเวลาใกล้รุ่ง รอบๆ วังรวีวารปกคลุมด้วยหมอกสีขาวหนาทึบ หม่อมพริ้มยืนอยู่หน้าตำหนัก สีหน้าไม่สบายใจ มือกระชับแพรที่ห่มตัวไว้ด้วยความหนาว
หม่อมพริ้มมองออกไปในสายหมอก เห็นร่างสูงๆ ของท่านชายเดินตัดสายหมอกออกมา แปลกใจ
“เสด็จไหนแต่เช้ามืดเพคะ”
ท่านชายไม่ตอบ เดินเข้ามายืนตรงหน้าหม่อมพริ้ม หม่อมเห็นท่านชายหน้าตาเศร้า
“แม่พริ้ม ฉันฝากลูกชายด้วยนะ ดูแลเขาให้ดีๆ”
หม่อมพริ้มงง ตั้งตัวไม่ติด “เพคะ”
“ฉันไปละ...อยู่ดีนะ แม่พริ้ม”
ท่านชายเดินออกไป แล้วร่างก็สลายหายวับไปในหมอกสีขาว
“ท่านชายเพคะ... ท่านชาย”
หม่อมพริ้มสะดุ้งตื่น มองไปพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง ใจหายวับ รีบคว้าแพรมาห่มไหล่คลุมตัว ลุกลงจากเตียง เดินเร็วๆ ออกไปจากห้อง
เช้ามืดวันนี้ สภาพอากาศเย็นชื้นอยู่ ยังมีหมอกบางๆ ลอยไปทั่วบริเวณรอบวังรวีวาร หม่อมพริ้มเดินผ่านสวนและหมู่ไม้ประดับอย่างเร่งร้อนไปที่เรือนด้านหลัง เจอเจิมที่กระย่องกระแย่งมา
“อ้าว หม่อม จะไปไหนเจ้าคะ”
หม่อมพริ้มยังไม่ได้ตอบ ก็มีเสียงของสากรีดร้อง แหวกความเงียบสงบยามเช้าดังมาหม่อมพริ้มและป้าเจิมตกใจ
เจิมอุทาน “อีสา”
“ท่าน”
ทั้งสองพากันออกไป
ท่านชายนอนนิ่งอยู่บนเตียงในห้องสาใบหน้าซีดเผือด มีผ้าห่มคลุมตัวอยู่ สายังอยู่ในชุดจีน หัวยุ่ง ปากแก้มเลอะเทอะเพราะเพิ่งตื่น พอเอามือจับเท้าท่านชายที่โผล่ออกมานอกผ้าห่ม พบว่าเท่าเย็น สาร้องกรี๊ดๆ สุดเสียง
เวลาต่อมาหม่อมพริ้มกับเจิมเดินมาถึงหน้าเรือนหม่อมนิ่ม หม่อมน้อย หน้าตาหวาดหวั่น
ขณะที่สองหม่อมพี่น้องวิ่งเข้ามาในห้องสา
“อีสา ร้องทำบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้น”
สาปล่อยมือจากท่านชาย น้ำตาไหลพรากๆ ออกมา มือชี้ไปที่ท่านชาย หม่อมนิ่มผลักสาออก เข้าไปเขย่าตัวท่านชาย
“ท่านชายเพคะ” หม่อมนิ่มชะงัก เห็นมือท่านชายตกลง เอามืออังที่จมูก แล้วอึ้ง
หม่อมน้อยดูออกพูดแทบไม่มีเสียง “ท่านชายสิ้นแล้ว”
จากนั้นหม่อมนิ่มหม่อมน้อยร้องไห้ฟูมฟายยกใหญ่ สาถอยหลังออกไปติดผนังร้องไห้สะอึกสะอื้น
หม่อมนิ่มพูดเสียงดัง “ท่านชายสิ้นแล้ว อีสา เอ็งทำอะไรลงไป”
ส่วนที่หน้าห้องหม่อมพริ้มกับเจิมมาถึงพอดี ได้ยินเข้า ถึงกับผงะเจิมต้องประคองไว้
“หม่อมเจ้าคะ”
หม่อมพริ้มนิ่งขึง ยืนมองเข้าไปในห้อง เห็นสภาพการตกแต่งราวกับซ่องนางโลม หม่อมพริ้มชะงัก อึ้ง หม่อมนิ่มโวยวายทั้งน้ำตา
“อีสา อีผู้หญิงกาลกิณี” พลางชี้ไปรอบๆ ห้อง “เมื่อคืนนี้เอ็งทำอะไรลงไป หา”
สาพูดไม่ออก ได้แต่นั่งตัวงอกับพื้น น้ำตาไหล ตกใจ
หม่อมลำดวนวิ่งแซงหม่อมพริ้มเข้ามานั่งลง “ท่านชาย...ท่านชายเพคะ” หม่อมลำดวนจับเท้าเขย่า “ท่านชาย ท่านชายทรงเป็นอะไรไป”
หม่อมน้อยบอก “ถามมันดูซี อีสา อีกาลี เอ็งทำบัดสีบัดเถลิงอะไร ท่านชายถึงได้เป็นไปอย่างนี้”
หม่อมลำดวนได้ยินก็โถมเข้าทุบตีสาอย่างรุนแรง สาเอาแต่ร้องไห้ปัดป้อง หม่อมลำดวนจิกหัวสาขึ้นมาจะตบ หม่อมพริ้มตั้งสติได้ เดินเข้ามาพูดด้วยเสียงทรงอำนาจ
“อย่านะ แม่ลำดวน”
หม่อมลำดวนลดมือลง หม่อมนิ่ม หม่อมน้อย ถอยไปมุมห้อง หม่อมลำดวนหลบไปอีกทางสาก้มหน้างุดลงกับพื้นไม่กล้าสู้ตา
หม่อมพริ้มเดินช้าๆ ไปที่เตียง ค่อยๆ นั่งลงข้างๆ ท่านชาย ใบหน้าเศร้าหมอง แต่ไม่มีน้ำตาหม่อมพริ้มจับข้อเท้าท่านชาย ก้มลงกราบ ซบนิ่งอยู่ สาค่อยๆ คลานไปข้างเตียง ก้มลงกราบที่เท้าหม่อมพริ้ม
“หม่อมเจ้าขา สา... สาไม่ได้”
หม่อมพริ้มเงยหน้าขึ้น มองสาที่ก้มกราบด้วยสายตาเย็นชา แล้วพูดเรียบเย็นจับกระดูก กับหม่อมทั้งสาม
“แม่ลำดวนหล่อนไปเรียกมหาดเล็กมาแต่งองค์ เคลื่อนพระศพไปที่ตำหนักใหญ่ แม่นิ่ม แม่น้อย มาช่วยกันตระเตรียมพิธีสรงน้ำพระศพ แล้วบอกคนอื่นในวังให้มาช่วยกันด้วย”
หม่อมพริ้มเดินออกไป สายังก้มกราบค้างอยู่ หม่อมทั้งสามคนเดินออกไปแล้ว เจิมเดินร้องไห้มานั่งข้างๆ แตะไหล่สาปลอบ สาโผเข้ากอดเจิมด้วยความรู้สึกผิดท่วมท้น
“ป้าจ๋า” สาแก้ตัว “ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะป้า ฉันแค่...”
เจิมตัดบท ไม่อยากฟัง “เอาเถอะ สาเอ๊ย ยังไงท่านก็สิ้นไปแล้ว”
สาปาดน้ำตา “ท่านชายสิ้นแล้ว แล้วฉันจะทำยังไงล่ะป้า ฉันจะทำยังไง”
สากอดป้าเจิมร้องไห้ ทั้งเสียใจและหวาดกลัว
หลายวันต่อมา ที่เรือนสองหม่อมพี่น้อง หม่อมนิ่มกับหม่อมน้อยช่วยแม่ครูเก็บเครื่องละครลงหีบไม้ขนาดใหญ่ ทุกคนหน้าตาหมองเศร้า ทุกคนไว้ทุกข์ในชุดสีสุภาพตามสมัยนิยม ไม่ได้แต่งดำทั้งชุด
“เก็บให้ดีนะ แม่ครู” หม่อมน้อยน้ำตาคลอ “สิ้นท่านชายแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้เอาออกมาใช้อีก”
หม่อมนิ่มถอนใจ หม่อมน้อยหันไปถาม
“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไปคะ คุณพี่”
“หม่อมพริ้มเขาเป็นเมียเอก อะไรๆ มันก็ต้องแล้วแต่เขาล่ะ” หม่อมผู้เป็นพี่ค้อนไปทางตำหนักใหญ่ “นี่ศพท่านชายก็บรรจุแล้ว เดี๋ยวเขาก็คงเอื้อนโอษฐ์ออกมากระมัง”
หม่อมนิ่มพูดประชด แต่สีหน้าก็กังวลมากเช่นกัน หวนเดินเข้ามาพอดี
“หม่อมคะ”
“อ้าว หวน มีอะไร”
“หม่อมพริ้มท่านให้มาเชิญหม่อมทั้งสองคนไปที่ตำหนักใหญ่ค่ะ”
สองพี่น้องผู้มีสามีเดียวมองหน้ากัน กังวลโดยเห็นถนัดตา
หม่อมพริ้มนั่งเป็นประธานอยู่ที่โซฟาในโถงตำหนักใหญ่ หม่อมนิ่มหม่อมน้อยและหม่อมลำดวนนั่งรายล้อม
สา เจิมและหวนมาร่วมรับฟังด้วย ทั้งสามนั่งอยู่กับพื้นลดหลั่นกันไป
“มีเรื่องสำคัญที่หล่อนทั้งสามคนจะต้องรับรู้... เดือนหน้า พระคลังข้างที่จะเข้ามายึดที่ดินด้านหลังตำหนักใหญ่ทั้งหมด เพราะท่านชายทรงจำนองไว้”
หม่อมลำดวนตกใจโวยวายขึ้น “หา! ท่านชายเอาที่ดินไปจำนอง ทำไมล่ะคะ”
ทุกคนตะลึงมองหม่อมพริ้ม แทบไม่อยากเชื่อ หม่อมพริ้มอธิบายด้วยสีหน้าเศร้าขรึม
“วังรวีวารใหญ่โตกว้างขวาง จะดูแลก็ต้องใช้คนมากมาย ในปีหลังๆ ท่านชายทรงต้องเลี้ยงดูคนจำนวนมาก ทั้งๆ ที่ทรงลาออกจากราชการแล้ว รายได้ก็ลดน้อยลงมาก” หม่อมพริ้มกลั้นความรู้สึกโศกเศร้าไว้ “ท่านชายเลยต้องเอาที่ดินด้านหลัง ตำหนักไปจำนองไว้ เพื่อเอาเงินมาใช้จ่าย เลี้ยงดูทุกคนในวัง”
ทุกคนเศร้าสลด
เจิมยกมือไหว้ท่วมหัว “น้ำพระทัยช่างประเสริฐเหลือเกินเจ้าประคุณ”
“นี่...” หม่อมน้อยจะร้องไห้ “นี่ก็เท่ากับเราไม่มีที่จะซุกหัวนอนกันแล้วหรือคะ หม่อม”
“ที่ดินด้านหลัง รวมทั้งเรือนของพวกหล่อน สำนักงานทรัพย์สินเขาจะมายึดไป ยกเว้นที่ตรงตำหนักใหญ่ที่ไม่ได้ติดจำนอง เพราะเป็นที่พระราชทานซื้อขายไม่ได้”
หม่อมนิ่มสีหน้าโล่งอก รีบพูด
“หมายความพวกอิฉันยัง...”
หม่อมพริ้มพูดแทรกขึ้นมา “พวกหล่อนทุกคนเมื่อท่านชายสิ้นแล้ว ก็ถือว่าเป็นอิสระ ถ้ากลับบ้านกลับช่องไปฉันก็จะแบ่งเงินให้ติดตัวไป คงไม่มากมายอะไรนัก แต่ที่ผ่านมาหล่อนก็ได้ทองหยองเครื่องแต่งตัวกันไปไม่น้อย คงไม่ถึงกับลำบากยากแค้นอะไร”
หม่อมนิ่มกับหม่อมน้อยฟังแล้วหน้าซีด ทำท่าเหมือนจะเป็นลม หม่อมลำดวนไม่พอใจลุกขึ้นโวย
“แต่ตำหนักใหญ่ก็ยังอยู่นี่คะหม่อม”
หม่อมพริ้มเสียงเข้ม “ท่านชายตรัสเอาไว้ชัดเจน ตำหนักใหญ่เป็นของฉันกับลูกเท่านั้นพวกหล่อนไม่มีสิทธิ์”
หม่อมลำดวนอึ้ง แล้วเปลี่ยนเป็นโกรธ หันขวับไปทางอีสา
“เป็นเพราะมึง อีสา... ที่เป็นแบบนี้เพราะมึงคนเดียว อีกาลี”
หม่อมลำดวนถลาเข้าตบตีสา สาไม่ทันตั้งตัว เลยโดนจิกหัวตบไม่ยั้ง ลงไปตัวงออยู่กับพื้น
“โอ๊ย อย่าค่ะหม่อม โอ๊ย”
หม่อมพริ้มลุกขึ้นสั่ง “หยุดนะ แม่ลำดวน”
เจิมกับหวนเข้าไปช่วยกันดึงแขนหม่อมลำดวนไว้ หม่อมลำดวนยังฮึดฮัด หม่อมพริ้มตวาด
“หล่อนจะมาตบตีกันต่อหน้าฉันไม่ได้”
หม่อมลำดวนยังไม่ยอม จ้องตาสาเขม็ง คำรามด้วยความแค้น
“ทำไมคะ หม่อม หม่อมมาห้ามฉันทำไม” หม่อมลำดวนชี้หน้าด่า “อีสามันทำลายชีวิตฉัน มันทำลายพวกเราทุกคน อ๊าย...มันฆ่าท่านชาย ท่านสิ้นก็เพราะมัน...อีมักมาก อีกาลี”
หม่อมพริ้มทนไม่ไหม ตวาดลั่น “เอาตัวออกไป”
เจิมกับหวนลากตัวหม่อมลำดวนออกไป หม่อมลำดวนยังคงตะโกนด่าสาเสียงดัง สาหน้าเสีย หันมองหม่อมพริ้มเหมือนจะหาที่พึ่ง แต่ต้องอึ้ง เมื่อเห็นหม่อมพริ้มมองมา สายตาบ่งชัดว่าหม่อมพริ้มก็มองสาว่าเป็นคนผิดเหมือนกัน สาหน้าจ๋อย
หลายวันต่อมา แต่ละคนเริ่มย้ายตัวเองออกจากวังรวีวาร
หม่อมลำดวนอุ้มลูกสาวอยู่ที่ประตูหน้าวัง ชดกับคนขับรถรับจ้าง ช่วยกันขนกระเป๋าขึ้นรถ
โดยที่พุ่มไม้ข้างทาง สายืนแอบอยู่ เห็นหม่อมลำดวนหน้าบึ้งตึงบอกบุญไม่รับขึ้นรถไปกับลูกสาวและชด สาแอบมองจนรถแล่นออกไป แววตามีความสลดใจอยู่ไม่น้อย
หม่อมนิ่มหม่อมน้อย แม่ครู กับสาวใช้ และคนรับใช้ชายอีกสองคนช่วยกันขนกระเป๋าและหีบใหญ่หีบเล็กออกมาตามทางเดินในวัง สองหม่อมพี่น้องเห็นสายืนอยู่ก็ชะงัก หน้าตึง
สาหน้าเจื่อน ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ยกมือไหว้
หม่อมนิ่มหม่อมน้อยไม่รับไหว้ มองสาอย่างเกลียดชังแล้วเดินเชิดหน้าออกไป
อ่านต่อหน้า 4 ไป
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 2 (ต่อ)
สาหน้าเสียอยู่ เจิมที่เดินออกมาจากทางด้านหลังเห็นเหตุการณ์ พูดปลอบใจ
“อย่าไปถือสาท่านเลยวะ นังสา ท่านคงเสียใจ”
“ฉันไม่เสียใจเหรอป้า ที่ตายไปน่ะก็ผัวฉันเหมือนกันนะ”
เจิมปราม “เอาเถอะน่า ยังไงหม่อมท่านก็ไปแล้ว”
สาน้ำตารื้น ลงนั่งแปะกับพื้นอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก
“ฉันก็อยากไปให้พ้นๆ เหมือนกันล่ะป้า ทุกวันนี้ อยู่ก็มองหน้าใครเขาไม่ได้ คนมันหาว่าฉันทำให้ท่านชายมีอันเป็นไป”
“เออน่ะ” เจิมปลอบ “เอ็งก็อย่าคิดมากเลยวะ คนมันมีปากก็พูดกันไป”
“ก็มันพูดให้ได้ยินนี่ป้า” สาป้ายเช็ดน้ำตา “ฉันเป็นลูกกำพร้า ก็มีแต่ท่านชายเป็นที่พึ่งท่านรักฉัน เมตตาฉันฉันได้ดีมีสุขก็เพราะท่าน ฉันจะไปทำร้ายท่านทำไม”
สาสะอื้นออกมา รู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตที่ไม่เคยสุขสบายได้นาน เจิมได้แต่ถอนใจ
“สิ้นท่านชาย ฉันก็ไม่มีใครแล้วนะ ป้า พวกหม่อมๆ ท่านยังมีที่ไป แต่ฉันสิ...”
หม่อมพริ้มเรียกคนในบ้านมาฟังความ โดยนั่งเป็นประธานบนโซฟา ลูกสาวทั้งสามนั่งเรียงกัน สา เจิม หวน นวล และคนใช้ที่เหลือนั่งกับพื้น
“ตอนนี้เราไม่ได้ร่ำรวยเหมือนเก่า บ่าวไพร่คนอื่นๆ ข้าก็ให้ออกไปหมดแล้วเหลือแต่พวกเอ็งที่ทิ้งกันไม่ได้ เพราะเป็นคนเก่าคนแก่... พวกเอ็งก็อยู่กันที่เรือนบ่าวเหมือนเดิม เคยอยู่ยังไงก็อยู่กันไป มีงานอะไรก็ช่วยๆ กันทำ”
ทุกคนพยักหน้ารับรู้ สาที่นั่งฟังอยู่ถามขึ้นเศร้าๆ
“แล้วสาล่ะคะ หม่อม”
หม่อมพริ้มมองสา อดเวทนาไม่ได้
“เอ็งก็ช่วยดูแลคุณชายกับลูกๆ ของข้าไม่ต้องทำงานหนักเหมือนคนอื่น.. ยังไงเสีย ข้าก็ถือว่าเอ็งเคยเป็น...”.
หม่อมพริ้มยั้งคำว่าเมียไว้ ไม่อยากพูด สารับรู้ สีหน้าดีขึ้น
“งั้นให้สาย้ายขึ้นมาอยู่กับคุณชายหรือคะ”
“ไม่ ไม่ใช่!” สาชะงัก “เอ็งก็อยู่ส่วนเอ็ง หาห้องหับเข้าที่เรือนบ่าวนั่น ข้าอนุญาตให้เอ็งมาเล่นกับคุณชาย มาเลี้ยงดูคุณชายเท่านั้น”
สาทักท้วง “แต่ว่าสาเป็น...”
“เอ็งเป็นได้แค่พี่เลี้ยงของคุณชาย!ข้าขอสั่งเป็นคำขาด จากนี้ไป” หม่อมพริ้มมองหน้าสาแน่วนิ่ง “เอ็ง” แล้วมองหน้าทุกคน “หรือใครก็ตาม ขอให้จำเอาไว้ ว่าชายรวีเป็นลูกของข้าข้าเป็นแม่ของชายรวี ไม่ใช่อีสา”
สานิ่งอึ้ง ทุกคนที่ได้ฟังก็ต่างพากันอึ้ง หญิงโสภามองสาด้วยความสงสาร
ตกกลางคืนหม่อมพริ้มสางผมให้หญิงโสภาก่อนนอน หญิงโสภาถามหม่อมแม่ขึ้น
“หม่อมแม่ขา หญิงถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”
“อะไรลูก”
“ทำไมหม่อมแม่ไม่ยอมให้สาพูดว่าเป็นแม่ของน้องชาย”
“อีสามันเป็นบ่าว ถ้าท่านพ่อยังอยู่ ยังจะพอยกย่องกันขึ้นมาได้ แต่ท่านพ่อสิ้นชีพิตักษัยไปเสียก่อน อีสามันก็ต้องเป็นแค่บ่าวเหมือนเดิม...ชายรวีจะต้องโตขึ้น เป็นผู้สืบทอดสกุลรวีวาร ถ้าคนอื่นรู้ว่าชายรวีเป็นลูกบ่าว ก็คงตะขิดตะขวงใจ”
โสภาท้วง “แต่ทำแบบนี้ เหมือนพรากแม่พรากลูกเขานะคะ หม่อมแม่”
“สามันก็ยังได้อยู่ใกล้ชิด ได้ดูแลลูกของมัน แค่บอกให้ลูกรู้ไม่ได้เท่านั้นเอง”
“แล้วสาจะไม่เสียใจแย่หรือคะ” โสภาอ้อนหม่อมแม่ “หญิงสงสารสา”
หม่อมพริ้มยิ้ม เอ็นดูความใจอ่อนของหญิงโสภา
“แล้วหญิงไม่สงสารน้องหรือลูก ถ้าน้องถูกดูถูก หรือถูกกีดกันจากราชนิกุลอื่นๆ เพราะเขารังเกียจอีสา” หญิงโสภาอึ้ง หม่อมพริ้มปลอบใจ “...คนเป็นแม่น่ะหญิงต้องเสียสละได้เพื่อลูก ถ้าเป็นแม่ แม่จะเข้าใจ และยอมทำทุกอย่างให้ลูกของแม่ได้ในสิ่งที่ดีที่สุด...อีสามันก็เป็นแม่ มันก็ต้องเข้าใจ เชื่อแม่สิจ๊ะ”
หญิงโสภาเชื่อหม่อมพริ้มทุกอย่าง ค่อยคลายใจ ยิ้มออกมาได้
ส่วนที่เรือนบ่าวเจิมอยู่ในมุ้งหลังเล็ก ตั้งท่าจะสวดมนต์ก่อนนอนหวนทาแป้งขาวเตรียมนอน กำลังกางมุ้งหลังใหญ่กว่าอีกหลังข้างๆ กัน
ที่ริมห้อง สานั่งชันเข่ามองดูเหรียญที่เคยได้จากท่านชาย หน้าตาเหม็นเบื่อชีวิต
“ไหนป้าบอกว่ามีลูกแล้วฉันจะสบาย”
เจิมที่นั่งพนมมือ ตั้งท่าจะสวดมนต์เลยต้องชะงัก มองค้อนๆ ออกมา
“นี่ก็สบายแล้ว นังสา หม่อมท่านไม่ได้ให้เอ็งทำงานอะไร”
“ไม่ทำงาน แล้วทำอะไรล่ะ”
หวนกางมุ้งเสร็จ พูดซื่อๆ
“คิดมากทำไมวะ สา แค่มีข้าวกินมีที่นอนก็ดีถมแล้ว”
“แต่ปีนี้ฉันเพิ่งย่างสิบเก้าเองนะพี่หวน จากนี้ไป ชีวิตฉันจะเป็นยังไง... ฉันจะต้องนั่งจับเจ่าอยู่เฉยๆ อย่างนี้ไปจนตายหรือ”
เจิมฟังแล้วส่ายหัวเซ็งๆ ไม่สนใจ หวนมุดเข้ามุ้งนอนบ้าง ทิ้งสาให้นั่งเศร้าอยู่คนเดียว
หลายวันต่อมาตรงริมรั้ววัง เห็นพวกบ่าวผู้ชายรูปร่างกำย่ำล่ำสัน 2-3 คนไม่ใส่เสื้อ นุ่งผ้าหยักรั้งกำลังช่วยกันออกแรงลงเสา เพื่อทำรั้วกั้นระหว่างวังกับเรือนหม่อม ทั้งหลาย ส่งเสียงฮุยเลฮุย ดังพร้อมเพรียงกันเป็นจังหวะ
นายชิด คนขับรถท่าทางเรียบร้อย ยืนคุมอยู่ห่างๆ มองอย่างพอใจ
จนพอเสร็จชิดตรงมารายงานที่ห้องพักผ่อนของหม่อมพริ้มชั้นล่างตำหนัก หม่อมพริ้มร้อยมาลัยอยู่กับคุณหญิงโสภา ชิดนั่งพับเพียบรายงาน
“เย็นนี้ รั้วด้านหลังวังที่หม่อมสั่งก็คงจะเรียบร้อยขอรับ”
“ดี กั้นเสียให้เป็นสัดเป็นส่วน พวกคนที่มาเช่าบ้านเขาย้ายเข้ามาอยู่กันแล้ว ข้าไม่อยากให้มาสอดรู้สอดเห็นเรื่องในวัง”
หญิงโสภาเงยหน้ามาจากการร้อยมาลัย ถามขึ้น
“เขาเป็นใครกันหรือคะ หม่อมแม่”
“ก็ข้าราชการที่ทำงาน ที่สำนักงานทรัพย์สินฯ นั่นแหละจ้ะหญิง เมื่อวันก่อนทางสำนักงานทรัพย์สินเขาก็พามาแนะนำให้รู้จัก เรือนของแม่ลำดวน มีผัวเมียสองคนมาเช่า ส่วนเรือนของแม่นิ่ม” หม่อมเสียงแข็งขึ้น คิดถึงสมศักดิ์ “เขาขอแบ่งเช่า เพราะว่าอยู่ตัวคนเดียว สู้ค่าเช่าไม่ไหว”
“แหม เสียดายจริง”
“เสียดายอะไรกันหญิง”
“ก็มะลิลาที่ข้างเรือนแม่นิ่มน่ะสิคะ หม่อมแม่ ดอกดกออกจะตาย ดอกใหญ่ด้วยสาเคยไปเก็บมาให้หญิงร้อยมาลัยบ่อยๆ .. นี่เจ้าของบ้านคนใหม่เขามาอยู่แล้วเราจะเข้าไปเก็บดอกมะลิของเขาได้ยังไง เสียดายจังเลย”
วันต่อมา บริเวณใกล้กับม้านั่งที่จัดเป็นมุมนั่งเล่นในสวนเล็กๆ ดูสวยงาม เป็นกอมะลิลากอใหญ่ออกดอกสะพรั่ง
ชายหนุ่มหน้าตาดี ผิวพรรณสะอาดสะอ้านแบบลูกผู้ดี แต่แต่งตัวธรรมดาๆ ไม่หรูหรา เดินมานั่งที่ม้านั่ง มองไปรอบบริเวณอย่างพึงพอใจ
“เป็นไง พี่วินิจ บ้านใหม่ผม”
สมศักดิ์ถามชายอีกคนที่เดินตามมา ท่าทางห่ามๆ กริยาเหมือนนักเลง ดูไม่มีชาติตระกูล แตกต่างกับสมศักดิ์อย่างสิ้นเชิง
“ก็ใหญ่โตดี... ใหญ่โตเกินไปด้วยซ้ำสำหรับผู้ชายโสดอย่างแก... ถามจริงๆ เถอะวะ สมศักดิ์ แกเป็นแค่เสมียน เงินเดือนไม่กี่สตางค์ จะมาเช่าบ้านเจ้าบ้านนายอยู่ทำไมให้มันสิ้นเปลืองเปล่าๆ”
สมศักดิ์ยิ้ม นัยน์ตาแพรวพราวแบบคนเจ้าเล่ห์ ทอดมองไปยังตำหนักใหญ่วังรวีวารที่เห็นแต่หลังคาเด่นตระหง่านอยู่ในหมู่ไม้ห่างออกไปลิบๆ แล้วคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อน
ตอนนั้นชายวัย 50 กว่าปี ท่าทางเอางานเอาการ แต่งตัวเรียบร้อยเดินนำสมศักดิ์ และสามีภรรยาวัย 40 เดินเข้ามาในห้องโถง สมศักดิ์และสองสามีภรรยามองดูห้องที่ตกแต่งแบบยุโรปหรูหราอย่างตื่นตา
“หม่อมเจ้าโชติช่วงระวีสิ้นชีพิตักษัยไปแล้ว เหลือแต่หม่อมพริ้ม หม่อมของท่านเป็นผู้ดูแลวังรวีวาร พวกคุณจะมาเช่าบ้านอยู่ติดกับวังท่าน ก็ควรจะมากราบท่านเสียหน่อย” เจ้าหน้าที่สำนักทรัพย์สินฯบอก
สมศักดิ์พรายยิ้ม สีหน้ามีแววเยาะหยัน เมื่อได้ยินเจ้าหน้าที่พูดถึงหม่อมพริ้มด้วยน้ำเสียงเคารพ
สมศักดิ์ถือวิสาสะหยิบรูปครอบครัวที่อยู่ในกรอบเงินมาดู เป็นรูปถ่ายของท่านชาย หม่อมพริ้ม และลูกสาวทั้งสาม ถ่ายเมื่อปีที่แล้ว โดยในรูปหญิงโสภาอายุ 15 ปี
“นี่คงเป็นรูปของหม่อมที่คุณว่าแล้วเด็กผู้หญิงในรูปนี้ก็คงจะเป็น...”
เสียงอันทรงอำนาจของหม่อมพริ้มดังขึ้นมาจากประตูด้านใน
“ลูกสาวของฉัน”
หม่อมพริ้มเดินเข้ามา มองสมศักดิ์อย่างตำหนิ สมศักดิ์วางรูปลงยิ้มยั่ว
“งามเหมือนหม่อมไม่มีผิดเชียวครับ”
หม่อมพริ้มชักสีหน้าอย่างไว้ตัว เจ้าหน้าที่สำนักทรัพย์สินฯ รีบเข้ามายกมือไหว้ ทุกคนต่างเกรงในบารมีของหม่อมพริ้ม
“ผมชื่อเกษมครับหม่อม เป็นเจ้าหน้าที่ของทางทรัพย์สิน ผมพาคนที่เช่าบ้านของหม่อมเข้ามากราบครับ .. นี่คุณนิยมกับแม่ลออภรรยา” ทั้งสองไหว้ “คุณนิยมเป็นทนายอยู่ที่ทรัพย์สินครับ นี่คุณสมศักดิ์เป็นเสมียนอยู่ทรัพย์สินเหมือนกัน”
สมศักดิ์ยกมือไหว้ พูดยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงคล้ายประชดท้าทายในที
“นับว่าเป็นเกียรติยศอย่างยิ่งครับผม ที่ได้รู้จักกับหม่อม”
หม่อมพริ้มรับไหว้ มองตอบอย่างเย็นชา ไม่ชอบหน้าสมศักดิ์เอาเลย
สมศักดิ์ยืนมองเหม่อครุ่นคิดเรื่องที่เจอหม่อมพริ้มอยู่ จนวินิจเรียก
“อ้าว เฮ้ย ใจลอยไปไหน”
สมศักดิ์หันมา “ไม่มีอะไร พี่ ดูวังเพลินไปหน่อย”
วินิจเดินมา มองตาม “ไม่น่าเชื่อนะ ว่าเจ้าของวังใหญ่โตโอ่อ่าขนาดนี้ จะถังแตกถึงขั้นต้องเอาที่ดินและบ้านมาจำนอง”
“ไม่ถึงกับถังแตกหรอกพี่” สมศัดกดิ์พูดอย่างรู้ดี “จริงๆ เจ้าก๊กรวีวารร่ำรวยเอาเรื่องอยู่แต่ช่วงบ้านเมืองเปลี่ยนแปลง คงขาดเงินสดชั่วคราว เลยเอาที่ดินกับเรือนหลังย่อยๆ มาจำนอง... เขาจน เขาก็จนแบบเจ้า... จนยังไง ก็ยังมั่งมีกว่าเราๆ หลายร้อยหลายพันเท่าครับพี่”
สมศักดิ์พูดด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน เขามองไปที่วัง แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างมีแผนในหัว
อ่านต่อตอนที่ 3