อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 14
บ้านสวนของแป้นและสุข ที่สาเจอตอนคลอดโสภิตพิไล เป็นบ้านทรงไทยหลังใหญ่ ตั้งอยู่ในสวนท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่น ด้านหนึ่งติดริมน้ำใหญ่
ที่ชานหน้าบ้านตอนสาย แป้นในวัย 40 ปี กำลังบงการสุขผู้เป็นสามี ที่ใส่เสื้อม่อห้อมแบบชาวสวน ให้กวาดเก็ยใบไม้ เสียงดังลั่น เวลาล่วงเลยไป แต่แป้นยังคงพูดมาก และพูดคนเดียวยาวเหยียด เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
“กวาดให้เรี่ยมเลยนะ ตาสุข อย่าให้ขายขี้หน้าเขา” สุขจะตอบแต่แป้นพูดต่อ “เออ แล้วบันไดที่ท่าน้ำน่ะ ขัดแล้วหรือยัง วันก่อนเห็นตะไคร่ขึ้น ลื่นปรื๊ดๆ เกิดล้มหัวร้างข้างแตกขึ้นมาล่ะยุ่งเชียว มดหมอก็อยู่ไกล” สุขอ้าปากจะตอบ แป้นหันไปพูดเรื่องอื่นอีก “เอ...” แล้วแหงนมองฟ้าดูดวงอาทิตย์ “จะเพลอยู่แล้ว มาถึงคงจะหิว จะทำอะไรกินดีล่ะ ตาสุข ตาสุข แกไปดูที ว่าวันนี้มีกุ้งไหม...”
สุขสุดทน โยนไม้กวาดลงพื้นโครม เท้าสะเอวหมับ
“ยู้ด...หยุดซักประเดี๋ยวเถอะแม่แป้น ฉันหัวหมุนไปหมดแล้ว กะอีแค่คุณอุษาเขาจะมาบ้าน ทำไมต้องวุ่นวาย”
“เอ๊า คุณอุษาเขาเป็นถึงนางละครชื่อดัง ใช่ชาวไร่ชาวสวนอย่างเราที่ไหน แล้วไหนจะคุณหญิงโสภา เจ้านายเขา นั่นท่านเป็นถึงหม่อมราชวงศ์” แป้นว่า
“ก็รอให้เขามาถึงก่อนได้ไหม แม่แป้นจะทูลหัวทูลเกล้าให้ถึงใจพระเดชพระคุณยังไงฉันไม่ว่า แต่ตอนนี้ ไม่ไหว หนวกหู”
แป้นค้อนขวับ แล้วหันไปเห็นสาเดินนำทุกคนเข้ามา แป้นยิ้มดีใจ
“นั่นไง อายุยืนจริงๆ แม่คุณเอ๊ย พูดถึงก็มาเลย” แป้นร้องทักเสียงดังลั่น “คุณสา”
สาพาทุกคนเข้ามา แป้นถลาไปรับสา
“พี่แป้น พี่สุข” สาวางของยกมือไหว้ “ฉันไหว้จ้ะ”
สุขรับไหว้ ยิ้มแย้มทักทาย ลงท้ายด้วยการแขวะเมีย “แหม ดีใจเหลือเกินที่คุณมา ถ้าขืนชักช้ากว่านี้ หูฉันแตกแน่”
สาแนะนำทุกคนให้รู้จักกัน “คุณสมศักดิ์คะ คุณหญิงคะ นี่พี่แป้นกับพี่สุขเจ้าของบ้าน” ทั้งสองยกมือไหว้ แป้นและสุขรับไหว้ตัวงอ “นี่คุณสมศักดิ์ กับคุณหญิงโสภาค่ะ”
แป้นรับ “ค่ะ ค่ะ”
“โสภิตไหว้คุณลุงคุณป้าสิลูก” สมศักดิ์บอก
โสภิตยกมือไหว้สองผัวเมีย “ไหว้ค่ะ”
“ลูกสาวหรือครับคุณ น่าเอ็นดู” สุขมองเอ็นดูโสภิตพิไล
“ค่ะ คุณลุง แกชื่อโสภิตพิไล เรียกว่าโสภิตเฉยๆ ก็ได้ค่ะ” โสภายิ้ม ตอบเรียบๆ
“หน้าตาคมขำได้พ่อได้แม่เลยนะคะ...เออ จริงซี ปล่อยให้ยืนอยู่ได้ ขึ้นบ้านกันก่อนค่ะ คุณ เชิญๆๆๆ”
แป้นกุลีกุจอต้อนรับพาทุกคนขึ้นบ้านอย่างแข็งขัน สุขเดินตามรั้งท้ายสุด
“มาๆๆ นั่งๆๆ กินน้ำกินท่ากันก่อน” หันไปตะโกนเรียกลูกสาว “ริน ริน เอ๊ย เอาน้ำเอาท่ามารับแขกลูก” หันไปหาสา “เออ หรือจะกินน้ำมะพร้าว” หันไปหาตาสุข “แกไปเอามะพร้าวน้ำหอมมาที เมื่อวานเห็นเอาลงมาทั้งทะลายเลยนี่” สุขจะไป แป้นนึกได้ หันไปเร่งลูก “จรินทร์เอ๊ย น้ำได้รึยัง”
สุขชะงัก งง “ตกลงแม่แป้นเอาอะไร เอาน้ำหรือเอามะพร้าว”
สารีบขัด “อย่าลำบากเลยจ้ะ พี่สุข พวกฉันมาอาศัยอยู่ ใช่แขกเหรื่ออะไรที่ไหน”
“วุ้ย ยังไงก็เป็นเจ้าเป็นนาย” แป้นหันมาทางคุณหญิงโสภาออกตัวขอโทษ “ไอ้ฉันมันชาวบ้าน อยู่กันง่ายๆ คุณหญิงอย่าถือสานะคะ”
หญิงโสภาพูดเสียงหวาน อ่อนโยน “พูดอะไรอย่างนั้นจ๊ะ แค่พี่แป้นกับพี่สุขกรุณาให้พวกเรามาหลบภัย หญิงก็เกรงใจมากแล้ว”
แป้นฟังอย่างเป็นปลื้ม และมองหญิงโสภาอย่างเคลิ้มๆ “แหม เจ้านายนี่เขาพูดกันเพราะจริง ที่เขาว่า สำเนียงส่อภาษากริยาส่อสกุล มันเป็นอย่างนี้นี่เอง” แล้วหันไปหันไปเห็นสุขนั่งพิงระเบียง หยิบยาเส้นจากกระเป๋าเสื้อมวนยา ก็เสียงแหวใส่ “เอ้า ตาสุข นั่งทำอะไรอยู่ ไหนว่าจะไปเอามะพร้าว”
สุขท้วง “ฉันไม่ได้ว่า แกว่าของแกเอง” แป้นขยับปากจะพูดต่อ สุขรีบแย่งพูด “จ้ะไปจ้ะไป ไปเองให้เดี๋ยวนี้ล่ะ”
สมศักดิ์ยิ้ม “ไม่ต้องแล้วครับ น้ำมาโน่นแล้ว”
จรินทร์ เด็กสาวแต่งตัวแบบชาวสวนวัย 14 ปี ถือถาดใส่แก้วน้ำออกมา มี แจ่มศรี เด็กหญิงวัย 3-4 ขวบ เท่าโสภิตพิไล ใส่ผ้าถุงกับเสื้อคอกระเช้าวิ่งตามมาด้วย
“เอ้า มานี่เร็ว” แป้นเรียก
จรินทร์เอาน้ำมาเสิร์ฟ เด็กหญิงเห็นคนแปลกหน้าก็เข้าไปอิงแอบแป้นอย่างอายๆ / แป้นแนะนำ
“รินเอ๊ย...ไหว้คุณสาเขาเสียซี” จรินทร์ไหว้ “คุณสาที่แม่เคยเล่าให้ฟังไง แล้วนี่คุณหญิงโสภา คุณสมศักดิ์ ผัว เอ๊ย สามีคุณหญิง” แป้นแนะนำลูกสาวกับทุกคน “จรินทร์นี่ลูกสาวคนกลางจ้ะ คนโตชื่อสมจิต แต่งงานแยกบ้านออกไปแล้ว ส่วนไอ้คนเล็กนี่แอบอยู่นี่ชื่อแจ่มศรี” พลางหันมาพูดกับสา “คนนี้ไงที่คลอดพร้อมๆ กับลูกของคุณสา เออจริงซี แล้วนี่ไปไหนเสียล่ะ ทำไมไม่พามาด้วย”
ทุกคนมองหน้ากัน อึ้งๆ แป้นกับสุขรู้สึกว่าผิดท่า งงๆ สาค่อยๆ เอ่ยขึ้น
“พี่แป้นพี่สุขจ๊ะ ฉันมีเรื่องจะขอ”
สามาคุยกับแป้นและสุขในห้องบนเรือน เพื่อไม่ให้โสภิตพิไลได้ยิน
“อ๋อ ที่แท้หนูโสภิตก็เป็นลูกคุณสา” สุขเข้าใจ
“จ้ะ แต่พอจดทะเบียนเป็นลูกคุณหญิงกับคุณสมศักดิ์แล้ว ฉันก็ไม่อยากบอกให้แกสับสน แกก็เลยเรียกฉันว่าป้า เรียกคุณหญิงว่าแม่”
แป้นมองออกไปที่นอกชาน เห็นหญิงโสภานั่งอยู่กับสมศักดิ์ มองดูแจ่มศรีเล่นกับโสภิตพิไล
“เออ คุณหญิงก็แปลกดีแท้ แต่งงานมาตั้งนมนาน ไม่ยักกะมีลูก” แป้นหัวเราะอารมณ์ดี ไม่คิดอะไร “ดูสิ เลี้ยงลูกคุณสาเพลินไปเลย อย่างกับลูกของตัวเองแน่ะ”
ในเวลาต่อมา สา สมศักดิ์ และหญิงโสภาช่วยกันขนของเข้าห้องขนาดใหญ่ ตรงกลางห้องมีที่นอนเตียงคู่ หญิงโสภากับสมศักดิ์มองไปรอบๆ ห้อง สีหน้าพอใจ
“คุณหญิงกับคุณสมศักดิ์อยู่ห้องนี้นะคะ เดี๋ยวจรินทร์จะเอาเบาะกับมุ้งเล็กมาให้”
หญิงโสภิตสั่งเสีย “ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกพี่แป้นแกได้ ไม่ต้องเกรงใจ”
สมศักดิ์ถามสาด้วยเสียงอ่อนโยน “แล้วห้องคุณสาล่ะครับ อยู่ตรงไหน”
“ฉันจะกลับไปอยู่ที่บ้านเดิมค่ะ”
หญิงโสภากับสมศักดิ์งง
“อะไรนะ”
สาหันไปบอกกับหญิงโสภา “สาจะกลับไปเล่นละครที่คณะของคุณวิทย์ค่ะ กว่าละครจะเลิกก็ดึกดื่น มาอยู่ที่นี่จะลำบาก”
สมศักดิ์หน้าบึ้งทันควัน พูดเสียงกร้าว
“แล้วทำไมจะต้องเล่น”
“จะให้อยู่เฉยๆ หรือไง” สาย้อน
“ก็ช่วยดูแลบ้าน ดูแลคุณหญิง”
“กินอยู่หลับนอน พี่แป้นแกอาสาจัดการเองหมด จรินทร์ก็บอกว่าจะช่วยเลี้ยงโสภิต ฉันไปทำมาหากิน ไม่ดีกว่ามานั่งๆ นอนๆ อยู่เฉยๆ หรือ”
สมศักดิ์เน้นเสียง “ผมหาเลี้ยงทุกคนได้”
“คุณหาเลี้ยงคุณหญิงโสภาคนเดียวก็พอ” สาหันไปบอกหญิงโสภา “สาต้องไปค่ะรับปากกับทางคุณวิทย์ไว้แล้ว”
สมศักดิ์หึงระเบิดออกมาอย่างฉุนเฉียว
“ถ้าห่างกันไม่ได้ ก็ไม่เห็นต้องไปเล่นละคร ให้มันมาหาก็ได้นี่ มาทุกวันเลยยังได้ ผมไม่ว่า” เขาพูดแล้วจ้องหน้าสา “แต่ถ้าผู้ชายเขาไม่มา ก็ไม่ต้องร่านออกไป”
สาสะอึกกับคำพูดของสมศักดิ์ หญิงโสภาเห็นท่าทางไม่ดี รีบเข้าขวางพูดเสียงอ่อนโยน
“ค่อยพูดค่อยจากันก็ได้นี่คะ พูดกันดีๆ”
สมศักดิ์เมินหน้า แล้วเดินหนีปังๆ ออกจากห้องไป
อ่านต่อหน้า 2
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 14 (ต่อ)
สมศักดิ์ออกไปนอกห้องระบายความหงึดหงิดในฉุนเฉียว ปากบ่นพึมพำ
“คนอะไร ไม่รู้จักอิ่มจักพอ”
ส่วนหญิงโสภาปลอบสาที่ยืนข่มความโกรธอยู่ในห้อง
“จะว่าไป หญิงก็ไม่อยากให้สาไปนะจ๊ะ บ้านเมืองก็ไม่ปลอดภัย สาจะไปอยู่ตัวคนเดียว หญิงเป็นห่วงนะ” คุณหญิงกุมมือสา “อยู่ด้วยกัน จะเกิดอะไรขึ้น ก็ยังได้เห็นหน้ากัน”
สามองแววตาที่เต็มเปี่ยมด้วยความห่วงใยของหญิงโสภา ยิ่งสะท้อนใจ บอกตัวเองในใจ
“คุณหญิงของสา อย่าดีกับสานักเลยค่ะ ถ้าคุณหญิงร้ายกับสาสักนิด สาจะไม่ลำบากใจอย่างนี้”
หญิงโสภาเห็นสานิ่ง กลับคิดว่าสาลังเล รีบพูดขอร้อง “นะจ๊ะ สา อย่าไปเลย”
สาดึงมือออก มองโสภาอย่างรัก บูชา “สาต้องไปค่ะ คุณหญิง จริงๆ สาควรจะไปเสียตั้งนานแล้ว คุณหญิงอย่าห้ามสาอีกเลย”
สาก้มหน้าเดินออกไปนอกห้อง น้ำตาฉ่ำคลอตา เห็นสมศักดิ์ยืนจ้องมองมา แววตาตัดพ้อน้อยใจสุดๆ
สากลั้นใจเมินหน้า แล้วเดินลงเรือนไป
เย็นนั้น ตรงมุมพักผ่อน หลังเวที นักดนตรีทุกคนล้อมวงกัน เล่นเครื่องดนตรีประจำตัวของตนเป็นเพลงสั้นๆ เพื่อต้อนรับสา มาลัยลุกขึ้นพูดอย่างร่าเริง
“ในนามของคณะละคร มาลัยภิรมย์ พี่ขอกล่าวแสดงความยินดี ต้อนรับ คุณอุษา มาเป็นสมาชิกใหม่ในคณะละครของเรา”
ทีมงานร้องเฮ สายิ้ม
“ขอบพระคุณทุกคนค่ะ”
บุญยงชูกระป๋องกาแฟที่ติดตัวมา ทำท่าล้อเลียน “เอ้า ดื่มให้กับคุณอุษา ไช้...โย”
พวกนักดนตรีหัวเราะขำ เล่นเพลงรับกันสนั่น
วิทย์มองสาอย่างสุขล้ำ สายิ้มรับแกนๆ มาลัยมองสากับวิทย์อย่างสนใจ
ต่อมาทุกคนนั่งล้อมวงกันด้านในโรงละคร และเริ่มทำงานด้วยท่าทีจริงจัง นอกจากนักดนตรีแล้วยังมีนักแสดงอีก 4-5 คน
มาลัยแจกบทละครให้ทุกคน ส่งต่อๆ กันไป
“ละครเรื่องใหม่ของเราคือเรื่อง ในสวนรัก”
บุญยงทัก “ชื่อเหมือนหนัง?”
ชีวิน ชายหนุ่มหน้าตาคมสัน เสียงไพเราะ วัยเดียวกับสาพูดขึ้น
“ก็ที่ จำรัส สุวคนธ์ เป็นพระเอกยังไงล่ะ”
ทุกคนร้องอ๋อ สามองหน้าคนพูดอย่างสนใจ มาลัยนึกได้ รีบแนะนำ
“ลืมแนะนำไป...คุณอุษา นี่ชีวิน พระเอกประจำคณะเรา”
“ค่ะ” สาไหว้
“ชีวิน นี่เขาชื่อคุณอุษา เป็น...” มาลัยอมยิ้ม “เพื่อนของวิทย์” วิทย์ยิ้มเขิน “แล้วก็เป็น...” มาลัยค้างคำ มองหน้าทุกคนก่อนบอก “นางเอกละครคนใหม่ของเรา”
ทุกคนตกใจ รวมทั้งสา
“อะไรนะคะ ให้ฉันเป็นนางเอก”
วิทย์ถามมาลัย สามคน รวมสา คุยกันอยู่มุมหนึ่งในโรงละคร
“มันจะดีหรือครับพี่มาลัย”
“ทำไม วิทย์คิดว่าคุณอุษาเขาไม่เหมาะสมตรงไหน”
“ไม่ใช่ครับ คุณอุษาสวย เสียงเพราะ แต่ว่า...คือผมแค่เป็นห่วง เพราะเธอไม่เคยแสดงละครแบบนี้มาก่อน”
มาลัยปลอบ “ไม่ต้องห่วงหรอก พี่รู้ว่าคุณอุษาทำได้” มาลัยมองหน้าสา พูดยิ้มๆ มีนัยบางประการซ่อนอยู่ “พี่รู้จักคุณอุษาดี...พี่รู้ ว่าเขาเป็นใคร เคยทำอะไรมา...”
มาลัยพูดจบก็เดินไปเลย สาตกใจประสาวัวสันหลังหวะ รีบเดินตามไป
มาลัยเข้ามาเติมแป้งแต่งหน้าในห้องแต่งตัวของโรงละคร สาเดินตามเข้ามาถาม สีหน้าร้อนรน
“คุณมาลัยพูดอย่างนั้น หมายความว่ายังไงคะ”
“อ้าว ก็คุณเคยเป็นนางเอกละคร คณะเปรมปรีดาไม่ใช่หรือคะ ฉันเคยไปนั่งดูคุณเล่นออกบ่อย คุณเก่งมาก”
“อ้อ...คุณเคยดูฉันเล่นละครมาก่อนนี่เอง”
สาโล่งอก ยิ้มออก ค่อยคลายใจลง แต่มาลัยกลับหันมามองด้วยสายตาคมกริบ ค้นหา
“ฉันดูอยู่หลายรอบ จนถึงรอบสุดท้าย ที่จู่ๆ สาวเครือฟ้าก็วิ่งหนีออกไปจากโรงละคร ทั้งๆ ที่เพิ่งแสดงไปได้ฉากเดียว” สาสะดุ้ง มาลัยพูดต่อ “เขาลือกันว่านางเอกล้มป่วยกะทันหัน แต่บางคนก็ว่า นางเอกที่ชื่ออุษาหนีตำรวจที่มาตามจับถึงในโรง”
สาหน้าซีด “คุณ...”
มาลัยเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องกลัวค่ะ ทุกคนมีความหลังกันทั้งนั้น ฉันไม่ยุ่งเรื่องของใคร แต่ขอคุณอย่างเดียว...”
สารับคำเสียงเบา “คะ?”
“วิทย์เป็นเด็กดี ใส ซื่อ บริสุทธิ์ เขาไม่ทันคนอย่างคุณแน่ๆ เพราะฉะนั้น...อย่าหลอกเขา ถ้าคุณไม่ได้รักเขาจริงๆ”
มาลัยพูดเหมือนขอ แต่ก็เหมือนขู่ในที สาอึ้งๆ
หลายวันต่อมา คืนนี้ เสียงเพลงน้ำใจรักดังแว่วหวานมาจากเวที
โรงละครมาลัยภิรมย์เปิดการแสดงละครแนวใหม่ “ในสวนรัก” เป็นรอบแรก คนดูนั่งอยู่เต็มโรง
สาแต่งตัวเป็นสาวชาวบ้าน หน้าตาสะสวย กำลังพลอดรักกับชีวิน ที่ใส่ชุดเป็นหนุ่มชาวบ้านเช่นกัน ฉากหลังเป็นเรือนแพริมน้ำ กำลังร้องเพลงคู่โต้ตอบกัน
สาเริ่มร้องนำก่อน “น้ำลึกหยั่งได้”
ชีวินร้องตาม “น้ำใจก็ยังหยั่งถึง”
“น้ำใจลึกซึ้ง”
“รักกันก็พึงหยั่งได้”
“ลึกนักก็ไม่รักน้อง”
ระหว่างที่ทั้งสองร้องนั้น วิทย์อยู่ที่คอกนักดนตรี สีไวโอลินมองไปที่สาอย่างเปี่ยมรัก
“น้ำใจไหลหลั่งเพราะหวังจะชื่น จะชมจะชิด”
“พี่ได้ใกล้ชิดสนิทสนอง”
สองคนร้องคู่ประสานเสียง “น้ำใจพี่ต้องรักจริง”
สากับชีวินตระกองกอดกัน หวานชื่น คนดูปรบมือกราว น้ำเสียงชื่นชมเซ็งแซ่ สุขสมสุดๆ
สมศักดิ์นั่งปะปนอยู่ในกลุ่มคนดู เป็นคนเดียวที่ไม่ปรบมือ และหน้าบึ้งด้วยความหึงหวงสาถึงขีดสุด
สมศักดิ์ลุกออกไปทั้งๆ ที่ละครยังไม่จบ สาไม่รู้และไม่เห็น
อ่านต่อหน้า 3
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 14 (ต่อ)
บรรยากาศยามเช้าละแวกบ้านสวนริมคลอง ริมแม่น้ำ สวยสงบ ที่กลางน้ำแลเห็นเรือลำเล็กๆ ที่เด็กวัดพายพาพระสงฆ์ออกมาบิณฑบาต เคลื่อนเข้ามายังท่าน้ำบ้านแป้น
แป้นถือถาดใบใหญ่ใส่อาหารที่ใส่ห่อใบตองไว้ หญิงโสภาถือขันข้าว รออยู่ด้วยที่ท่าน้ำ แป้นชวนคุย
“ถ้าวันไหนอยากใส่บาตร คุณหญิงก็มารอตรงนี้ค่ะ พระท่านจะพายเรือมาบิณฑบาตทุกเช้า”
“วัดอยู่ไกลไหมคะ”
“พายเรือไปพอเคี้ยวหมากแหลกค่ะ ไม่ไกล คุณหญิงพายเรือเป็นไหมคะ”
หญิงโสภาส่ายหน้า “อย่าว่าแต่พายเรือเลยค่ะ หญิงว่ายน้ำไม่เป็นด้วยซ้ำ”
“อุ๊ยตาย ถ้างั้นคุณหญิงต้องระวังนะคะ อย่านั่งเรือไปไหนคนเดียว แถวนี้น้ำแรงนะคะ” แป้นชี้ไปไกล “ตรงกลางแม่น้ำโน้นน่ะ มันเป็นวังน้ำวน ขนาดคนพายเรือเก่งๆ บางทียังล่ม มีคนจมน้ำไปตั้งหลายคนแล้ว”
หญิงโสภามองตามที่แป้นชี้ไปไกลๆ พอดีสายตาเห็นเรือลำน้อยพายเลียบริมฝั่งมา
“แน่ะ พระมาแล้วจ้ะ”
แป้นร้องเรียก “นิมนต์ทางนี้เจ้าค่ะ หลวงพ่อ”
พระพาเรือเข้ามาเทียบท่า ทั้งสองยกมือไหว้ หญิงโสภาสงบเสงี่ยม ส่วนแป้นชวนพระคุยทันที
“เมื่อคืนเขาว่าระเบิดลงห่างจากโบสถ์ไปนิดเดียว จริงหรือเจ้าคะ”
พระตอบในท่าทีสำรวม พูดน้อย “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก โยมแป้น”
หญิงโสภาตักข้าวใส่บาตร แป้นหยิบกระทงกับข้าวใส่บาตร คุยไปด้วยอย่างเมามัน
แป้นคุยต่อ “ก็ตาทองแกว่า เห็นระเบิดลอยหวือมา แต่มีมือใหญ่เท่าต้นตาล มาปัดระเบิดออกไป”
พระท่านนิ่งไม่ตอบ ส่ายหัว ยิ้มในหน้านิดเดียว แป้นยังจ้อไม่เลิก
“มีคนเห็นกันหลายคนนะเจ้าคะ หลวงพ่อ เขาว่ากันว่า องค์พระใหญ่ในโบสถ์ท่านแสดงอิทธิฤทธิ์”
“อิทธิฤทธิ์เหล้าขาวเสียมากกว่าโยม โยมทองกับพวกกินมาตั้งแต่หัวค่ำ พอดึกๆ ก็เห็นอะไรไปสารพัด” แป้นจะเถียง พระขัด “นิ่งนะโยม พระจะให้พร”
แป้นจำยอมหุบปาก หญิงโสภาแอบอมยิ้ม พระให้พร
ขณะที่หญิงโสภากับแป้นเดินกลับมาจากใส่บาตร เห็นสมศักดิ์กำลังจะออกไปทำงาน สุขทำงานจุกจิกอยู่บนชานบ้าน
“คุณสมศักดิ์จะไปแล้วหรือคะ”
“ครับ ต้องออกเร็วหน่อย ไม่อยากเข้างานสาย นายจ้างญี่ปุ่นมันตรงเวลา”
“ทำงานกับญี่ปุ่นหรือครับ คุณ” สุขถาม
“ครับ ตอนแรกทำกับคนไทย แล้วย้ายมาเป็นฝรั่ง ตอนหลัง ก็มีแต่ญี่ปุ่นที่มีเงินจ้างเสมียนได้” สมศักดิ์หันมาพูดกับโสภา “วันนี้คุณหญิงไม่ต้องรอกินข้าวนะครับ ผมอาจจะกลับดึกหน่อย”
หญิงโสภาครวญ “อีกแล้วหรือคะ”
สมศักดิ์หน้าเจื่อนไปนิดหนึ่ง แล้วยิ้มปลอบ “นายห้างให้พาพวกทหารญี่ปุ่นไปเลี้ยงน่ะครับ” พลางเข้ามาจับมือ ปลอบโยน “เสร็จแล้วผมจะรีบกลับ ไม่ต้องห่วงนะ”
“ค่ะ”
สมศักดิ์ออกไป แป้นกับสุขมองเห็นหญิงโสภาหน้าเศร้าๆ สองผัวเมียมองหน้ากัน ด้วยความสงสาร
หญิงโสภาขึ้นมาบนบ้านแล้ว นั่งปะชุนซ่อมเสื้อผ้าของโสภิตพิไล แป้นปลอบใจ
“เขาเป็นผู้ชาย ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ คุณหญิงไม่ต้องไปห่วงเขาหรอกค่ะเราอยู่บ้าน หาอะไรทำเพลินๆ ไปก็หมดวันแล้ว”
สุขเสริม “ถึงคุณแกกลับดึก ก็กลับดึกเพราะทำงาน ไม่ได้ไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยนะขะรับ”
หญิงโสภานิ่งงัน อัดอั้น เพราะในใจคิดสงสัยว่าสมศักดิ์จะไปหาสา
“วุ้ย มีเมียทั้งสวยทั้งดีเป็นนางแก้วอย่างนี้ จะไปหาเล็กหาน้อยอะไรอีก จริงไหมคะ คุณหญิง”
หญิงโสภาท้วง “ไม่จริงเสมอไปหรอกค่ะ ดูอย่างท่านพ่อของหญิง ท่านมีหม่อมแม่แล้ว ท่านก็ยังมีหม่อมเล็กๆ อีกไม่รู้เท่าไหร่”
“เอ่อ อย่าหาว่าอิฉันละลาบละล้วงเลยนะคะ คุณหญิง ไม่ทราบว่าหม่อมแม่ของคุณหญิงนี้เป็นใครหรือคะ ก๊กไหน สายไหน คุณสาบอกแต่ว่าคุณหญิงเป็นเจ้าแต่ไม่เคยบอกเลย ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร”
หญิงโสภาขอร้อง “แม่แป้นจ๋า อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะจ๊ะ หญิงบอกไม่ได้จริงๆ ไหนๆ หม่อมแม่ท่านก็ตัดหญิงจากความเป็นลูกแล้ว ก็อย่าให้ชื่อของท่าน หรือพระนามของท่านพ่อ ต้องมาแปดเปื้อนเพราะหญิงเลย”
หญิงโสภาเศร้าคิดถึงหม่อมพริ้มผู้เป็นมารดาขึ้นมาจับใจ
กรุงเทพฯ โดนระเบิดถล่มหนักอย่างหนักเมื่อคืน เช้าวันนี้หม่อมพริ้มในชุดสบายๆ อยู่บ้าน กำลังเล่าสถานการณ์บ้านเมืองให้ เจิม หวน และจวนที่หมอบฟังกันอยู่ในห้องนั่งเล่น
“กองทัพพวกสัมพันธมิตรบุกเข้าฝรั่งเศสแล้ว เข้าไปรบกับพวกเยอรมัน ส่วนพวกอังกฤษก็จะบุกเข้าพม่า กองทัพญี่ปุ่นก็จะเริ่มถอยร่นลงมา”
หม่อมพริ้มมองไป พบว่าทุกคนนั่งฟังตาแป๋ว
“พวกเอ็งเข้าใจกันไหมนี่”
ทุกคนยิ้มแหยๆ หม่อมพริ้มถอนใจ ท่าทีขำๆ
“ข้านึกอยู่แล้ว เอาเป็นว่า ญี่ปุ่นจะแย่ เขาว่ากันว่า อาจจะถึงขั้นแพ้สงครามก็ได้”
เจิมถามขึ้น “แล้วไทยเราล่ะเจ้าคะ จะยังไง”
“เราเป็นมิตรกับญี่ปุ่น ก็คงต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยล่ะ ที่แน่ๆ จากนี้ไป เราคงจะโดนทิ้งระเบิดหนักขึ้น
จวนตาเหลือก “หา! จะหนักไปกว่านี้อีกหรือคะหม่อม”
หวนกังวลหนัก “แล้วเราจะรอดกันไหม”
หม่อมพริ้มถอนใจ ทุกคนนิ่งงันไป
พุดเข้ามาในจังหวะนี้
“หม่อมคะ มีคนจากตำหนักของเสด็จพระองค์หญิงมาขอพบหม่อมค่ะ”
“คนของเสด็จป้า?”
หม่อมพริ้มฉงน เหลียวมองออกไปที่ด้านนอก เห็นชายชราท่าทางสุภาพ เป็นมหาดเล็กเก่า ยืนรออยู่อย่างเรียบร้อย
“ให้เข้ามา” หม่อมพริ้มแปลกใจหนัก รำพึงเบาๆ “แปลกจริง ตั้งแต่ท่านชายสิ้นไป เสด็จป้าไม่เคยเสด็จมา วันนี้ให้คนมาหา มีธุระอะไร”
ไม่นานหลังจากนั้น หม่อมพริ้มซึ่งแต่งตัวใหม่ สวยเรียบทว่าดูสง่า เดินเข้ามาในตำหนักเสด็จป้า จูงมือชายรวีที่แต่งตัวน่ารัก ดูเรียบร้อยเต็มยศ มีเจิมถือกระเป๋าตามหลัง มหาดเล็กเดินนำหน้าไป
หม่อมพริ้มกระซิบอธิบาย “เดี๋ยวชายไปกราบเสด็จย่าสวยๆ นะคะ แล้วจำได้ไหมคะ ว่าต้องพูดว่ายังไง”
“ชายขอถวายพระพรให้เสด็จย่าทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์” คุณชายน้อยยิ้ม “ถูกไหมคะ”
“เก่งมากค่ะ เสด็จย่าของชายพระชนมายุมากแล้ว ไม่ค่อยแข็งแรงด้วย ชายต้องกราบทูลชัดๆ ดังๆ นะคะ”
“ค่ะ หม่อมแม่”
ภายในห้องนอนแห่งนี้ ตกแต่งแบบไทยๆ เห็นเตียงใหญ่ตั้งตรงกลาง บนนั้นเสด็จป้านอนเอนๆ อยู่ มีผ้าแพรคลุมคล้ายคนไม่สบาย หน้าตาเสด็จดูแก่ชราร่วงโรยไปมาก ผมขาวโพลนทั้งหัว แต่ยังแต่งตัวสวย ดูเปี่ยมบารมีเหมือนเดิม ด้านหลังเตียง มีสาวใช้คอยดูแลพัดวี
หม่อมพริ้มพาชายรวีคลานไปด้านหน้า แล้วกราบลง เจิมอยู่ห่างออกไป
“ไหน แม่พริ้ม พาหลานชายมาให้ดูหน้าใกล้ๆ ซิ”
หม่อมพริ้มพาชายรวีเข้าไปข้างเตียง เสด็จป้ามองดูชายรวี ทอดยิ้มให้
“หม่อมฉัน รวีช่วงโชติ รวีวาร กราบเสด็จย่า และขอถวายพระพร ให้เสด็จย่าทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ หายจากโรคภัยไข้เจ็บไวๆ กระหม่อม” ชายรวีพูดจาฉะฉาน
เสด็จป้ายิ้มเอ็นดู “ย่าขอบใจนะ” แล้วหันไปพูดกับหม่อมพริ้ม “แต่คราวนี้คงจะสู้ไม่ไหว ฉันอยู่มานานแล้ว ออกจะเหนื่อยเต็มที”
“อย่ารับสั่งอย่างนั้นสิเพคะ”
“ฉันรู้ตัวดี แม่พริ้ม ที่เรียกให้มาหาวันนี้ ก็เพราะอยากจะจัดการเรื่องอะไรๆ ให้มันเรียบร้อย เรื่องวังรวีวารน่ะ...” เสด็จหยุดหายใจ
“หม่อมฉันจะพยายามดูแลอย่างสุดความสามารถเพคะ เสด็จป้าไม่ต้องกังวลพระทัย”
เสด็จป้าส่ายหน้าบอก “มันใหญ่โตเกินไป สิ้นพ่อโชติแล้ว หล่อนก็เหลือตัวคนเดียว จะไปดูแลอะไรได้” พลางจับมือหม่อมพริ้ม “ขายเสียเถอะ แม่พริ้ม คืนให้หลวงไปก็ได้ไม่มีใครตำหนิหล่อนดอก” เสด็จป้าหยุดพักหายใจ “ขายวังรวีวารซะ แล้วมาอยู่ที่นี่ ฉันยกบ้านนี้ให้หล่อน”
หม่อมพริ้มตื้นตัน “เป็นพระกรุณาเพคะ”
“ฉันมีเงินเหลืออยู่อีกก้อน จะให้หล่อนไว้ หล่อนต้องส่งเสียชายรวีให้เรียนสูงที่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“เพคะ”
“รวีช่วงโชติ มานี่สิ”
หม่อมพริ้มพาชายรวีมานั่งจนชิด เสด็จป้าจับมือหม่อมพริ้มและชายรวีเอาไว้
“เธอเป็นทายาทผู้สืบสกุลรวีวาร เกียรติยศศักดิ์ศรีแห่งราชสกุลรวีวาร ถือเป็นหน้าที่ของเธอ ที่จะต้องบำรุงรักษา ให้คงอยู่ตราบชั่วลูกชั่วหลาน” เสด็จป้าหันมาทางหม่อมพริ้ม “แม่พริ้ม หล่อนรับปากกับฉันได้ไหม”
“เพคะ หม่อมฉันสัญญา...ชายรวีจะรักษาเกียรติยศศักดิ์ศรีของรวีวาร ไว้เท่าชีวิตของเขาเองเพคะ”
หม่อมพริ้มรับปากอย่างหนักแน่น เสด็จป้ายิ้มพอใจ ก่อนจะหลับตาลง ร่างแบบบางของหญิงชรานิ่งสนิท
อ่านต่อหน้า 4
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 14 (ต่อ)
อีกวันหนึ่ง จวนถามเจิมอยู่ที่เรือนบ่าว
“แล้วเราจะต้องย้ายออกไปเมื่อไหร่ล่ะ พี่เจิม”
“ปลงพระศพเสด็จท่านเรียบร้อยก่อน ถึงจะย้ายเข้าไป”
“แล้วเราจะได้กลับมาที่นี่อีกไหม ป้า”
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ คิดๆ ไปก็ใจหาย”
“เออ พวกเราย้ายกันออกไปหมดแบบนี้ ถ้ามีใครมาหา เขาก็หาเราไม่เจอสิป้า”
“ใคร ใครจะมา”
“ก็...ฉันก็คิดเผื่อๆ ว่า...”
“ถุย อย่าพูดชื่อมันออกมาให้เป็นเสนียดหูข้านะ ไม่อยากจะฟัง”
หวนหน้าม่อย เจิมแค้น
“คนมันลืมตัว วัวมันลืมตีน มันจะกลับมาทำไม...ป่านนี้มันระริกระรื่นไปถึงไหนๆ แล้ว มันไม่กลับมาหรอก”
คืนวันหนึ่ง บรรยากาศหน้าโรงละครตอนดึก ผู้คนบางตาด้วยละครเลิกได้สักพักแล้ว จึงเหลือแต่สามล้อที่รอลูกค้าอยู่บ้าง สาและพวกคณะละครเดินกันออกมา หน้าตาเหน็ดเหนื่อยแต่มีความสุข
“ไม่รู้ว่าพวกลื้อเห็นกันไหม วันนี้คนดูหายไปตั้งครึ่งโรง” บุญยังว่า
วิทย์ท้วง “คนดู “เหลืออยู่ตั้งครึ่งโรง” ต่างหาก”
“อ๋อ แน่ละสิ ลื้อมันคนมีความรัก มองโลกเป็นสีชมพู”
วิทย์หัวเราะ ไม่ปฏิเสธ สารีบเปลี่ยนเรื่อง หันไปถามมาลัย
“ถ้าคนดูน้อยลงเรื่อยๆ อย่างนี้ เราไม่แย่หรือคะ”
“เอาไว้แย่เมื่อไหร่ค่อยว่ากัน แต่วันนี้มันยังไม่แย่ เพราะฉะนั้น” มาลัยบอกทุกคนด้วยเสียงสดใส “
เราไปกินข้าวเจ๊กที่ราชวงศ์กันดีกว่า”
บุญยงถามแทบจะทันที “ใครจ่าย”
ชีวินบอก “ไม่ใช่พี่บุญยงอยู่แล้ว”
วิทย์หันไปบอกสา “อยู่กันมา ไม่มีใครเคยได้กินแกสักครั้ง”
“งั้นวันนี้คุณบุญยงต้องจ่าย” สาเอ่ยขึ้น
ทุกคนร้องประสานเสียง “จ่ายๆๆๆ”
“เฮ้ย ไม่เอา ไม่”
บุญยงวิ่งหนี สากับทุกๆ คนวิ่งไล่จับ บุญยงจะวิ่งไปขึ้นสามล้อ แต่โดนสาคว้าตัวไว้ได้
สาหัวเราะ “อย่าหนีนะคะ มาเลี้ยงข้าวพวกเราซะดีๆ”
จากมุมมืด สมศักดิ์ที่ยืนแอบดูอยู่นานแล้ว โผล่ออกมา หน้าตึงเปรี๊ยะ
“มีความสุขจริงนะครับ”
สาชะงัก ปล่อยมือจากบุญยงโดยอัตโนมัติ นอกจากวิทย์ คนอื่นๆ ในวงมองสมศักดิ์อย่างแปลกใจ
“คุณพี่” วิทย์ทัก
สมศักดิ์ไม่สนใจวิทย์ พูดกับสา
“อย่างนี้เอง ถึงได้ไม่อยากอยู่บ้าน...ที่ออกมาเล่นละคร เพราะอยากมาสำเริงสำราญโปรยเสน่ห์ใส่พวกผู้ชายอย่างนี้ใช่ไหม”
สาโกรธมาก “คุณกล้าดียังไงมาดูถูกฉัน”
สมศักดิ์คว้ามือสา “กลับบ้าน เรามีเรื่องต้องพูดกัน”
สาสะบัดสุดแรง “ฉันไม่มี!”
สมศักดิ์จะตามคว้าตัวให้ได้ “คุณอุษา”
วิทย์เข้ามาขวาง
“คุณพี่อย่าบังคับคุณอุษาเลยครับ”
“พี่เรอะ” สมศักดิ์ยิ้มหยัน “ผมเป็นมากกว่านั้น! ถอยไป”
สมศักดิ์ผลักอกวิทย์ วิทย์เซไป แล้วเข้ามาขวางอีก
“ผมขอนะครับ” วิทย์พูดดีๆ ด้วย
“ได้!”
ขาดคำ สมศักดิ์ต่อยวิทย์โครมเข้าให้ คนในวงตกใจ แต่ไม่กล้าทำอะไร เพราะไม่รู้สถานการณ์
สาร้องห้าม “คุณสมศักดิ์ อย่าบ้านะ”
“คุณยั่วผมเอง... มานี่”
สมศักดิ์ขยับจะเข้าไปหาสา วิทย์คว้าตัวสมศักดิ์มา ต่อยเปรี้ยง!
มาลัยตกใจร้องลั่น “ว้าย”
จากนั้นวิทย์กับสมศักดิ์ก็ปล้ำต่อยกันนัว สาร้องลั่น
“หยุดนะ หยุด” พร้อมกับหันไปบอกวง “ช่วยห้ามด้วยสิคะ”
วิทย์ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดนสมศักดิ์ต่อยลงไปนอนกับพื้น พวกบุญยงกรูเข้าดึงสมศักดิ์ออก สารีบเข้าไปประคองวิทย์
สมศักดิ์โมโห “เฮ้ย แน่จริงอย่าหมาหมู่สิวะ”
สาเองก็โกรธสุดขีด ขึ้นเสียงใส่
“คุณนั่นแหละหมา หมาบ้าด้วย”
สมศักดิ์ถึงกับสะอึก นึกน้อยใจ
“เดี๋ยวนี้ผมเป็นแค่หมาตัวนึงเท่านั้นหรือ สำหรับคุณ”
สาทั้งรักทั้งแค้นสมศักดิ์ แต่รู้ว่าตัวเองต้องตัดให้ขาด เลยฝืนพูดไป
“ใช่ คุณกลับไปที่ของคุณซะ คุณไม่มีความหมายอะไรสำหรับฉันแล้ว...ฉันมีคุณวิทย์แล้ว”
สมศักดิ์อุทาน เสียใจมาก “คุณอุษา”
ผิดกับวิทย์ที่ดีใจมาก “คุณอุษา”
วิทย์หัวใจพองโต โอบสาเอาไว้ สาเชิดหน้าบอกกับสมศักดิ์
“คุณได้ยินชัดแล้วก็กลับไปซะ แล้วอย่ามายุ่งกับฉันอีก”
สาประคองวิทย์ขึ้นสามล้อไป วิทย์มีสีหน้าแช่มชื่นทั้งๆ ที่ปากแตกเลือดไหลซึมออกมา พวกนักดนตรีสลายตัวออกไปหมด
สมศักดิ์เจ็บปวดในใจ ทรุดตัวลงกับพื้นหมดแรง มาลัยมองตามสากับวิทย์ไปด้วยสายตาห่วงใย
สองคนอยู่ในบ้านพัก สาเอาผ้าชุบน้ำเช็ด ทำแผลให้วิทย์ วิทย์มองใบหน้าสาอย่างหลงใหล
สาบอกอย่างกังวล “พรุ่งนี้คงบวมแน่”
“ไม่เป็นไร คนดูไม่ได้ดูหน้าผม” ชายหนุ่มยิ้มขำ “ถ้าเป็นชีวิน คงเรื่องใหญ่”
“ยังจะมีหน้ามาพูดเล่นอีกนะ”
“ทำไมล่ะครับ” วิทย์จับมือสาไว้ “ในเมื่อวันนี้ผมมีความสุขที่สุด”
วิทย์มองสาตาหวานฉ่ำ สาหลบตา รู้สึกอึดอัด
“คุณสาพูดจริงใช่ไหม ที่ว่าคุณสา...เลือกผม” วิทย์เห็นสานิ่ง “หรือว่าพูดไปเพราะอยากให้คุณสมศักดิ์โกรธ”
สานิ่งผ่อนลมหายใจเบาๆ วิทย์เริ่มเข้าใจ
“ระหว่างคุณสากับคุณสมศักดิ์ มันมีเรื่องอะไรกันแน่ครับ บอกผมได้ไหม”
สามองวิทย์ เห็นแววตาบริสุทธิ์ใจ สารู้ว่าวิทย์เป็นคนดี จึงไม่อยากโกหกวิทย์ เลยตัดสินใจเล่าให้ฟัง
“เรื่องมัน...เอ่อ...ไม่สู้ดีนัก ฉันกลัวคุณวิทย์จะไม่เข้าใจ”
วิทย์บอก “Try me…ลองเล่าให้ผมฟังสิครับ”
สามองหน้าวิทย์ เห็นความรักและจริงใจชัดแจ้ง
เสียงเดี่ยวไวโอลินเพลง น้ำใจรัก ดังหวานแว่วขึ้นมา เสียงนั้นดังมาจาก บ้านไม้หลังเล็กๆ ของวิทย์ สภาพห้องหับคับแคบมากๆ แม้ไม่หรูหราแต่เป็นระเบียบ สะอาดตา น่าอยู่อาศัย ตั้งอยู่ในอาณาเขตบ้านหลังใหญ่ของวิภาผู้เป็นพี่สาว
เวลานี้ผู้เป็นเจ้าของบ้านอยู่ที่ระเบียงห้องนอน กำลังสีไวโอลินอยู่ กลางหว่างบรรยากาศสวยงาม โรแมนติก ทว่าสีหน้าวิทย์กลับดูเศร้าหมอง คล้ายคนครุ่นคิดไม่ตก
เขาตกอยู่ในห้วงคิด นึกถึงเรื่องราวที่สาเล่าให้ตนฟังเมื่อเย็น คำพูดหลายๆ ประโยคของสาดังซ้อนกันเข้ามาในห้วงคิดของวิทย์ เป็นระลอก
“ฉันกับคุณสมศักดิ์เคยรักกันมาก่อนค่ะ แต่ต่อมา เธอก็ไปแต่งงานกับคุณหญิงโสภา เจ้านายของฉัน”
“ฉันรู้ดีค่ะ ว่าฉันควรจะลืมเขาซะ แต่โชคชะตาก็เหมือนกลั่นแกล้ง ให้เราต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน”
สาร้องไห้เมื่อเล่าถึงตอนนี้
“ฉันพลาดไปแล้ว ฉันทรยศคุณหญิงอย่างไม่ควรให้อภัย เพราะอย่างนี้ฉันถึงได้มาเล่นละคร เพราะฉันอยากอยู่ให้ไกล ไกลจากเขาให้มากที่สุด”
วิทย์เช็ดน้ำตาให้ ด้วยท่าทีอ่อนโยน “คุณยังรักเขาใช่ไหม”
“ไม่ค่ะ ฉันรักเขาไม่ได้” สาพยายามเข้มแข็ง “ไม่ได้เด็ดขาด”
“งั้น...คุณพอจะรักคนอื่นได้ไหมครับ”
สีหน้าของสาตกใจ คิดไม่ถึง
ตกตอนดึก สาเองยังนอนไม่หลับ คิดถึงวิทย์เช่นกัน เสียงของวิทย์ดังก้องในความคิด
“ผมรักคุณอุษา ผมบูชาคุณอุษาตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จัก ผมรัก...ที่ตัวคุณอุษาเอง ผมไม่สนใจ ว่าคุณอุษาจะเคยผ่านอะไรมาบ้าง”
สาลุกขึ้นนั่ง ถอนใจหนักหน่วง เสียงวิทย์ยังตามมารบกวนจิตใจ
“ถ้าคุณอุษาจะเมตตา ผมอยากจะอยู่เคียงข้าง ใช้ชีวิตร่วมกับคุณอุษาไปจนวันตายครับ”
สาว้าวุ่นสับสนในใจอย่างรุนแรง
อ่านต่อตอนที่ 15