รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 15
ธรรม์ถือถ้วยกาแฟมาที่หน้าโทรทัศน์ที่เปิดไว้อยู่แล้วเป็นรายการข่าวตอนเช้า ถนอมถือจานแซนวิชเดินเข้ามา ธรรม์หยิบรีโมทมาหรี่เสียงโทรทัศน์ลง ถนอมวางจานแซนวิชไว้ตรงหน้า
“ทานแซนวิชซะหน่อยนะคะ กาแฟแก้วเดียวจะอยู่ท้องได้ยังไง เฮ้อ คุณอิทไม่อยู่นี่บ้านช่องเงียบเหงาจริ๊งจริง ไม่งั้นป่านนี้ได้ตะโกนเรียกป้าหนอมลั่นบ้านแล้ว นี่คุณธรรม์ได้ข่าวคุณอิทบ้างมั้ยคะ”
“ชนโทรมาบอกแล้วครับว่า อิทไปอยู่ที่บ้านเจ๋ง” ธรรม์บอก
“ค่อยโล่งอกไปที บ้านนายเจ๋งอยู่ใกล้ๆนี่เอง แต่คุณอิทคงไม่ยอมกลับบ้านง่ายๆแน่เลยล่ะค่ะ ท่านไม่มีวันที่จะไปง้อลูกอยู่แล้ว ท่านน่ะตรงเป็นไม้บรรทัด ยอมหักไม่ยอมงอ ไม่มีทางที่ยอมตามใจคุณอิทง่ายๆ”
“แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตามใจไม่ตามใจนะครับ มันเป็นเรื่องที่คุณพ่อตกลงกับอิทไว้ตั้งแต่แรก คุณพ่อมากลับคำทีหลัง อิทเค้าก็มีสิทธิ์จะโกรธ ผมถามจริงๆเถอะครับที่คุณพ่อมีปัญหากับคุณน้าฤดี..เป็นเพราะผมหรือเปล่า”
ถนอมตกใจ “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะคะ”
ธรรม์นึกเสียใจ “วันแรกที่ผมมาอยู่ที่นี่ คุณพ่อกับคุณน้าฤดีก็ทะเลาะกันใหญ่โต หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันคุณน้าก็ออกไปจากบ้านนี้ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย”
“คุณธรรม์ไม่เกี่ยวอะไรเลยค่ะ โถ! นี่คุณธรรม์คิดอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้ว คุณท่านกับคุณผู้หญิงมีปัญหาสะสมมานานหลายปีแล้ว ไม่เกี่ยวกับคุณธรรม์จริงๆ”
“ถ้าไม่เกี่ยวกับผม แต่ก็ยังเกี่ยวกับพ่อของผมใช่มั้ยครับ” ธรรม์คาดคั้น “ป้าหนอมครับ..”
ธรรม์มองถนอมที่อึกอักและอ้ำอึ้งปิดปากเงียบไม่ยอมตอบอะไร
อิทธิฤทธิ์กับชินพัฒน์ที่อยู่ชุดนักเรียนยกไม้หมูปิ้งขึ้นมาชนกันแล้วกินพร้อมๆกันอย่างเอร็ดอร่อย
ชินพัฒน์ป้อนข้าวเหนียวให้อิทธิฤทธิ์อย่างสนิทสนมกลมเกลียว อิทธิฤทธิ์เอื้อมมือจะมาหยิบแก้วน้ำเต้าหู้ไปซดต่อ แต่ชนมนคว้าแก้วน้ำเต้าหู้ออกไปแล้วจ้องหน้าอิทธิฤทธิ์อย่างรอคำตอบ
“นายอิท!”
อิทธิฤทธิ์ตอบสั้นๆ “ไม่!”
“นายฟังชั้นพูดบ้างป่าวเนี่ย”
“แล้วเธอรู้จักชั้นบ้างป่าวเนี่ย คนอย่างชั้นไม่มีวันไปขอให้ไอ้ธรรม์มันช่วย”
ชูชัยที่กำลังเช็ดโต๊ะข้างๆอยู่หยุดชะงักมองอิทธิฤทธิ์เพราะเพิ่งจะสอนไปเมื่อกี้นี้เอง อิทธิฤทธิ์รีบแก้ตัวเพื่อให้ชูชัยเข้าใจด้วย
“ชั้นไม่ได้อวดดี แต่ชั้นอยากจะพยายามด้วยตัวเองก่อน แล้วค่อยไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น”
“พี่ธรรม์ไม่ใช่คนอื่น พี่เค้าเห็นนายเป็นน้อง..มีแต่นายนั่นแหละที่”เยอะ”ตลอด” ชนมนว่า
“เออ..น่า..ชั้นสืบหาที่อยู่ของแม่เองได้ ที่จริงถึงรู้ไปตอนนี้ ชั้นก็ไม่มีเงินไปหาแม่อยู่ดี ใช่ป่ะล่ะ”
“ผมเห็นด้วยกับพี่อิทนะ ลูกผู้ชายจะต้องยืนหยัดต่อสู้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปง้อใคร” ชินพัฒน์มองอิทธิฤทธิ์อย่างชื่นชม “ไม่เสียแรงที่นับถือ” ชินพัฒน์ปะเหลาะทันที “เดี๋ยวไปส่งที่โรงเรียนหน่อยนะ พี่อิท”
“เฮ้ย! ไหวเร้อ เอาลูกช้างไปซ้อนท้าย เดี๋ยวได้ยกล้อหรอก” ชูชัยว่า
“พ่อก็! ผมแค่กำลังโตเท่านั้นแหละ อีกปีสองปีผมได้สูงเพรียวทันพี่อิทแน่ ไปครับพี่อิท”
ชินพัฒน์คว้ากระเป๋านักเรียนแล้วรีบลากอิทธิฤทธิ์ออกไปด้วยกัน
ชนมนพูดไล่หลัง “เดี๋ยวก่อน อิท เรายังคุยกันไม่จบ”
อิทธิฤทธิ์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆชนมน
“เราดีกันแล้ว ก็คุยจบแล้วล่ะ ขอบคุณสำหรับข้าวเช้านะ ไปนะครับ คุณลุง”
อิทธิฤทธิ์ยกมือไหว้ชูชัย ชินพัฒน์กระชากอิทธิฤทธิ์ออกไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องห่วง ไปไหนไม่รอดหรอก เดี๋ยวก็กลับมา” ชูชัยบอกลูกสาว
ชนมนมองตามอิทธิฤทธิ์อย่างอ่อนใจ
อิทธิฤทธิ์กับชินพัฒน์เดินออกมาด้วยกัน
“พี่อิทๆ เดี๋ยวพี่อิทช่วยดริฟท์รถหน้าโรงเรียนให้ฝุ่นตลบเลยนะ”
“ได้!”
“พี่อิทๆ แล้วช่วยซิ่งรอบสนามโรงเรียนอีกสองสามรอบ”
“ได้!”
“พี่อิทๆ เอางี้ดีกว่า พี่อิทซิ่งรถพุ่งขึ้นตึกเรียนไปเลย เอาให้ฮืฮฮาทั้งโรงเรียน”
“เฮ้ย! ไม่ได้! ทำงั้นได้โดนจับแน่ เอางี้นายกำลังเล็งสาวคนไหนไว้ นายก็ชี้ให้ชั้นดูแล้วเดี๋ยวชั้นจะซิ่งรถโชว์หญิงให้”
“คนอย่างผมรักเดียวใจเดียว ไม่มีวันเปลี่ยนใจไปจากพี่มาย่าหรอกครับ เออ..พี่อิทๆ ช่วยอะไรอีกเรื่องดิ”
“อะไรอีกล่ะ”
“ช่วยคิดหน่อย ผมจะซื้ออะไรให้พี่มาย่าดี”
“ย่าเค้ามีทุกอย่างแล้ว เก็บเงินไว้ดีกว่าน่า”
“วันนี้วันเกิดพี่มาย่า พี่อิทจำไม่ได้หรือไง ไหนว่าเป็นเพื่อนกันตั้งแต่อนุบาล นี่ทุกคนลืมพี่มาย่าไปหมดเลยเหรอเนี่ย ดีๆ นี่จะเป็นโอกาสที่ผมจะได้ทำคะแนน”
อิทธิฤทธิ์เพิ่งจำได้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดมณีมันตราเพราะมัวแต่ยุ่งกับเรื่องตัวเองจนลืมสนิท
มณีมันตรานั่งอ่านบทอยู่ที่มุมเงียบๆของห้องแล้วเธอก็หยิบมือถือขึ้นมาดูแต่ก็ไม่มีใครส่งข้อความมาเลย มณีมันตราตัดสินใจปิดมือถือ ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดออกพร้อมๆกับเมนี่ที่ถือเค้กมีเทียนจุดไฟปักอยู่เดินเข้ามาพร้อมทีมงาน 3-4 คน
“มาย่าๆๆ มานี่เร็ว”
มณีมันตราหันไปเห็นเมนี่ถือเค้กมาก็ยิ้มดีใจที่อย่างน้อยเมนี่ก็ยังจำได้ มณีมันตราลุกขึ้นเดินไปหาเมนี่ เมนี่ไม่ได้หยุดรอมณีมันตราแต่กลับเดินต่อไปหานุกนิกที่ยืนยิ้มรออยู่
“มาๆ ทุกคนมาแฮปปี้เบิร์ทเดย์น้องนุกนิกกัน” เมนี่นำร้องเพลง “Happy birthday to you , Happy birthday, Happy birthday…”
มณีมันตรายืนหน้าเหวอแล้วจำต้องปรบมือร้องเพลงตามทุกคนไปด้วย
“เอ้า..อธิษฐานๆ..ขอให้ดังเปรี้ยงๆนะคะ เป่าเทียนได้เลยค่า” เมนี่ว่า
นุกนิกทำหน้าปลื้มน้ำตาคลอมองทุกคนด้วยความซึ้งใจแล้วเป่าเทียนรวดเดียวดับ
“พี่..พี่ทุกคน..นุกนิกขอบคุณมากๆเลยนะคะ นุกนิกจะไม่ลืมวันนี้เลยล่ะค่ะ วันนี้เป็นวันเกิดที่ประทับใจที่สุดในชีวิตของนุกนิก ขอบคุณนะคะ พี่เมนี่”
นุกนิกเข้าไปกอดเมนี่อย่างขอบคุณ แล้วโผเข้าไปกอดมณีมันตราอีกคน
“ขอบคุณนะคะ พี่มาย่า ขอบคุณค่ะ นุกนิกรักพี่มาย่านะคะ”
มณีมันตรารู้สึกกระอักกระอ่วนแต่ก็ต้องทนฝืนใจไม่ผลักนุกนิกออกไป
นุกนิกตัดเค้กแบ่งใส่จานแล้วส่งให้ทีมงาน แล้วเธอก็บรรจงตัดเค้กชิ้นใหญ่ใส่จานแบ่ง
นุกนิกถือจานเค้กเดินไปวางไว้ตรงหน้ามณีมันตราที่กำลังก้มหน้าอ่านบทละครอยู่
“พี่มาย่าคะ”
มณีมันตราเงยหน้ามองจานเค้กที่นุกนิกเอามาให้
“ขอบคุณค่ะ”
“เย็นนี้อย่าลืมไปเบิร์ทเดย์ปาร์ตี้ของนุกนิกนะคะ จัดที่บ้านคุณสุวิช พี่มาย่าคงไม่ติดอะไรใช่มั้ยคะ ไม่น่าติดอะไรเนอะ ช่วงนี้ไม่มีงานเลยไม่ใช่เหรอคะ”
“ไม่ติดงานค่ะ แต่คงไปไม่ได้”
นุกนิกล้อ “พี่มาย่ามีนัดกับหมวดธรรม์ล่ะสิ ไม่เป็นไรค่ะ นุกนิกเข้าใจ.. อุ๊ยตาย”
นุกนิกทำสะดุ้งเหมือนมือถือในมือกำลังสั่นเพราะมีข้อความเข้า เธอหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดู
“ดูสิคะ แฟนคลับไลน์อวยพรวันเกิดเป็นพันเลย นี่ขนาดละครยังไม่ออนแอร์ นุกนิกก็มีแฟนคลับแล้วนะคะ อุ๊ย พี่จูน พี่พีอาร์ที่ช่องก็จำวันเกิดนุกนิกได้ นี่นุกนิกไม่ได้บอกใครเลยนะ ตอบขอบคุณกันเมื่อยนิ้วเลยนะเนี่ย” นุกนิกหัวเราะน่ารัก
นุกนิกเดินออกไปแล้วทำเป็นกดพิมพ์ข้อความในมือถือ แต่พอหันหลังให้มณีมันตราเธอก็หยุดแสดงละคร เมนี่เดินเข้ามาประกบข้างนุกนิกด้วยความสงสัยมาก
“วันนี้วันเกิดน้องนุกนิกจริงๆเหรอคะ อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น รู้มั้ยคะว่า มาย่าก็เกิดวันนี้เหมือนกัน” เมนี่บอก
เมนี่ชะงักกึกไปเมื่อเห็นนุกนิกยิ้มอย่างมีนัย
“พี่เมนี่เข้าใจแล้ว น้องนุกนิกตั้งใจจะขโมยซีนมาย่านี่เอง แต่วันหลังจะทำอะไรก็ปรึกษากันก่อนนะคะ วันก่อนที่ส่งข้อความหลอกหมวดธรรม์มา พี่เมนี่เหวอไปเลย”
นุกนิกยิ้มหวาน “พี่เมนี่แก่แล้วก็เงี้ยแหละ นุกนิกยังเด็กเลยคิดเร็วทำเร็ว พี่เมนี่คงต้องตามนุกนิกให้ทันเอง”
นุกนิกเดินออกไป เมนี่ได้แต่มองตามตาปริบๆ แล้วแตะหน้าตัวเองว่าแก่จริงหรือเปล่า
“แก่..แก่อะไร!! หน้าใสตึงเปรี๊ยะขนาดนี้”
มณีมันตรานั่งมองจานเค้กอยู่เพราะกินไม่ลงและเกิดอาการหงอยๆ
อิทธิฤทธิ์เดินหน้าเคร่ง ตี๋เล็ก บ๊วยและเจ๋งเดินเรียงแถวเป็นหน้ากระดานคับซอยตามมา ทุกคนเดินอาดๆมาตามทางในซอยอย่างช้าๆเหมือนแก๊งมาเฟียเตรียมไปตีกับคู่อริ ตี๋เล็กมองกลุ่มชาวบ้านที่เดินสวนมาแล้วหาทางเดินไม่ได้จนต้องหลบทางให้พวกอิทธิฤทธิ์
“พี่อิทนี่บารมีถึงจริงๆ ดูดิ คนเดินหลีกทางให้เป็นแถวๆ” ตี๋เล็กว่า
“เราเดินขวางทางเค้าต่างหากล่ะ พี่” บ๊วยบอก
“พี่อิทๆ จะเดินเก๊กหน้าหล่อไปไหน” เจ๋งว่า
อิทธิฤทธิ์ยังคงคิดเรื่องวันเกิดมณีมันตราอยู่ ชายหน้าเหี้ยมเดินเร็วจนชนอิทธิฤทธิ์เข้าอย่างจัง
ชายหน้าเหี้ยมหันมาพูด “โทษทีๆ”
อิทธิฤทธิ์หันไปมองหน้าชายเหี้ยมที่รีบเดินหนีเข้าซอยไป พอหันกลับมาเขาก็เกือบจะชนผู้ชายอีกคน
“เฮ้ย! ทุกคนหยุด”
อิทธิฤทธิ์ขี้เกียจเดินชนกับผู้คนอีกจึงหยุดแล้วเดินดุ่มๆต่อไป ตี๋เล็ก บ๊วยและเจ๋งเข้ามาล้อมรอบตัวอิทธิฤทธิ์ไว้
“คิดออกแล้วเหรอ พี่อิท” ตี๋เล็กถาม
อิทธิฤทธิ์ตอบทันที “ยัง!”
“พี่อิทไม่ต้องคิดมากไป ไม่ต้องไปเลือกซื้อของขวัญให้ปวดหัวหรอก เราก็จัดงานวันเกิดให้มาย่าล่ะกัน อย่าให้มาย่ารู้ก่อนแบบนั้นดีมั้ย”
อิทธิฤทธิ์ถาม “เซอร์ไพรส์ปาร์ตี้เหรอ”
“ไม่ใช่! งานเลี้ยงวันเกิดธรรมดาๆนี่แหละ เพียงแต่อย่าให้เจ้าของวันเกิดรู้ตัวก่อน” ตี๋เล็กบอก
อิทธิฤทธิ์อ่อนใจ “นั่นแหละ เซอร์ไพรส์ปาร์ตี้ งานวันเกิด..ก็ต้องใช้เงินเยอะดิ”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน อาม้าผมเป็นแฟนคลับมาย่าอยู่ เดี๋ยวให้อาม้าเป็นสปอนเซอร์ให้ พวกเราแค่ลงแรงก็พอ”
“ไงต้องมีเค้กด้วยนะ พี่อิท เรื่องนี้สำคัญสุด” บ๊วยบอก
อิทธิฤทธิ์นิ่งคิด
ถนอมจัดเตียงของอิทธิฤทธิ์แล้วพบการ์ดที่อิทธิฤทธิ์ทำให้แม่หล่นอยู่ที่พื้น ถนอมหยิบการ์ดขึ้นมาวางไว้ที่โต๊ะหัวเตียงที่มีแว่นหักของชนมนวางอยู่ มือถือของถนอมดังขึ้น ถนอมหยิบมือถือขึ้นมากดรับโดยไม่มองจอด้วยท่าทีหงอยๆ
“ฮัลโหล” ถนอมลืมตาโพลง “คุณอิท! คุณอิทของป้า! ป้าคิดถึงคุณอิทแค่ไหนรู้มั้ยคะ กลับบ้านเถอะค่ะ นะคะๆ”
อิทธิฤทธิ์ยืนคุยมือถืออยู่หน้าบ้านเจ๋ง
“ผมเพิ่งออกมาแค่วันเดียวเอง ป้าหนอม”
“จะกี่วัน ป้าก็คิดถึง อย่าโกรธคุณพ่อเลยนะคะ กลับมาคุยกันก่อน” ถนอมบอก
“ผมไม่มีอะไรจะคุยแล้ว ป้าหนอมช่วยไรผมหน่อยดิ”
ถนอมฟังที่อิทธิฤทธิ์ขอให้ช่วยทำเค้กวันเกิดให้มณีมันตรา
“ตายจริง! ป้าลืมซะสนิทเลย ได้ๆค่ะ ไม่มีปัญหา ป้าจะทำให้สุดฝีมือเลย”
“ขอบคุณนะครับ ป้าหนอม”
“คุณอิทขา..กลับบ้านเถอะนะคะ” ถนอมกล่อม
อิทธิพลเดินเข้ามาหยุดอยู่ด้านหลังถนอม
“ไม่ต้องไปง้อหรอก เงินหมดเมื่อไหร่ มันก็กลับมาเอง”
อิทธิฤทธิ์ได้ยินเสียงอิทธิพลแว่วเข้ามาในมือถือแล้วก็เริ่มเครียดและโกรธอีก
“แค่นี้นะ ป้าหนอม ไม่ต้องห่วง ผมอยู่ได้..แต่ไงผมก็คิดถึงป้าหนอมนะครับ”
ถนอมน้ำตารื้น “โถ..คุณอิทของป้า”
ถนอมกดมือถือปิดแล้วหันไปมองอิทธิพลอย่างตัดพ้อ อิทธิพลเดินออกไปเงียบๆ
อิทธิฤทธิ์ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งดื้อดึงที่จะไม่กลับไปบ้านอีกเด็ดขาด
ธรรม์ถือแฟ้มคดีเดินออกมาจากสถานีตำรวจ ชนมนกับชินพัฒน์ที่นั่งรออยู่ผุดลุกขึ้นไปหาธรรม์ทันที
“พี่ธรรม์คะ พี่ธรรม์”
ธรรม์หันมามองชนมนกับชินพัฒน์อย่างแปลกใจ
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“เรามาแจ้งความ” ชินพัฒน์บอก
“แจ้งความเรื่องอะไร งั้นตามมาทางนี้เลย”
ชินพัฒน์พูด “เรามาแจ้งจับหมวดธรรม์ ข้อหาเพิกเฉยไม่เอาใจใส่แฟน เราจะแจ้งจับกับใครได้หรือว่าต้องไปแจ้งที่กองปราบครับ”
“วันนี้วันอะไร พี่ธรรม์จำได้หรือเปล่าคะ” ชนมนถาม
“จำได้.. วันนี้วันเกิดมาย่า” ธรรม์บอก
ชนมนดีใจ “ชนนึกแล้วว่า พี่ธรรม์ต้องจำได้ เย็นนี้เราจัดงานวันเกิดให้ย่าที่บ้าน พี่ธรรม์ต้องไปให้ได้นะคะ”
“พี่ไปไม่ได้ พี่ติดงาน”
“พี่ธรรม์กับย่ามีปัญหาอะไรกันอีก นึกว่าคุยกันรู้เรื่องแล้ว” ชนมนว่า
“ปัญหาเดิมๆ..พี่ไปไม่ได้จริงๆ ฝากขอโทษย่าด้วย”
“ไม่ไป เราก็ไม่ง้อ เป็นผมนะ อะไรที่ทำให้พี่มาย่ามีความสุข ผมทำให้ได้ทุกอย่างเลย อย่าว่าแต่แค่ไปงานวันเกิด ไม่รู้ว่า พี่มาย่ายอมเป็นแฟนกับคนอย่างพี่ธรรม์ได้ไง คนไม่มีหัวใจ” ชินพัฒน์ว่า
“เว่อรไปแล้ว ไอ้ชิน ก็พี่เค้าติดงาน” ชนมนพูดกับธรรม์อย่างจริงจัง “แต่ชนอยากให้พี่ธรรม์ไปนะคะ ชนแน่ใจว่า คนที่ย่าอยากให้ไปอวยพรวันเกิดในวันนี้ที่สุด ก็คือ พี่ธรรม์”
ธรรม์นิ่งคิดอย่างคนที่ตัดสินใจไปแล้ว
อิทธิฤทธิ์ ตี๋เล็ก บ๊วยและเจ๋งเดินหอบกล่องสำหรับตกแต่งงานมาหยุดที่หน้ารั้วบ้าน
“พี่อิท..กุญแจ” ตี๋เล็กถาม
อิทธิฤทธิ์ตอบทันที “ไม่มี”
“อ้าว! แล้วเราจะเข้าบ้านมาย่าได้ไง”
“อ้าว! แล้วไมคิดว่าชั้นต้องมีกุญแจ” อิทธิฤทธิ์ถามกลับ
“อ้าว! ก็เห็นสนิทกัน” ตี๋เล็กว่า
“อ้าว! คิดเองได้ไง”
“พอครับ พี่ พอ! งั้นก็ต้องปีนรั้วเข้าไป” บ๊วยบอก
“เราก็ไม่มีกุญแจเข้าบ้านอยู่ดี” เจ๋งว่า
“พูดอยู่กับใคร เรื่องนี้ไม่มีปัญหา” บ๊วยบอก
อิทธิฤทธิ์สั่งทันที “งั้นปีน!”
ตี๋เล็กกับบ๊วยช่วยกันประสานมือเป็นที่เหยียบให้อิทธิฤทธิ์ปีนรั้วขึ้นไปนั่งคาอยู่บนรั้ว ตี๋เล็ก บ๊วยและเจ๋งช่วยกันจนปีนขึ้นไปนั่งบนรั้วกันได้ทุกคน
“แล้วขนของเข้าไปไงครับ”
ทุกคนมองไปที่พื้นที่มีกล่องข้าวของกองอยู่
“แกลงไปเอา ไป แล้วส่งของขึ้นมา” อิทธิฤทธิ์บอก
เจ๋งจำต้องกระโดดลงไปที่พื้นใหม่แล้วส่งกล่องของให้ทีละกล่องอย่างทุลักทุเล
ชนมนกับชินพัฒน์ถือถุงของขวัญและเสื้อผ้าที่จะเอามาเปลี่ยนเดินมาหยุดมองแก๊งของอิทธิฤทธิ์อย่างหน่ายๆ
อิทธิฤทธิ์เพิ่งเห็นชนมน “อ้าว! ชน ! รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวลงไปรับ”
ชนมนส่งยิ้มให้อิทธิฤทธิ์แล้วหยิบกุญแจบ้านมณีมันตรามาชูให้ดูเพื่อให้เห็นชัดๆ แล้วค่อยๆไขประตูรั้ว ชนมนกับชินพัฒน์เปิดประตูรั้วแล้วเดินเข้าไปในบ้านอย่างง่ายดาย
“เฮ้ย! มีกุญแจก็ไม่บอก!”
“เป็นแฟนกันจริงป่าวเนี่ย!” ตี๋เล็กว่า
อิทธิฤทธิ์ตอบ “จริงดิวะ!”
อิทธิฤทธิ์ยกมือขึ้นจะตบกะโหลกตี๋เล็กแต่ตี๋เล็กหลบทัน อิทธิฤทธิ์เลยตบวืดจนเสียหลักตกลงไปจากรั้วแล้วเขาก็ดึงตี๋เล็กให้ตกลงไปด้วย ตี๋เล็กเสียหลักคว้าแขนบ๊วยจนร่วงหล่นไปตามๆกันแบบโดมิโน
“เฮ้ย! เฮ้ย! เฮ้ย!”
เจ๋งตกใจไปด้วย “เฮ้ย!”
เจ๋งชะโงกเข้าไปดูข้างในบ้าน ทธิฤทธิ์ ตี๋เล็กและบ๊วยนอนทับกันอยู่ที่พื้น
ทุกคนช่วยกันจัดบ้านเพื่อจัดงานวันเกิดให้มณีมันตราอย่างแข็งขัน อิทธิฤทธิ์ ตี๋เล็ก บ๊วยและเจ๋งเดินเรียงแถวเข้ามาช่วยกันขนกล่องข้าวของออกมาวางไว้ อิทธิฤทธิ์ ตี๋เล็ก บ๊วยและเจ๋งเดินเรียงแถวออกไปช่วยกันยกโต๊ะเก้าอี้ออก
ชนมนกับชินพัฒน์ช่วยกันติดกระดาษสายรุ้งกับติดลูกโป่งตกแต่งบ้าน อิทธิฤทธิ์กับชนมนวางจานอาหารไว้บนโต๊ะที่มุมบุตเฟ่ต์ ชินพัฒน์โผล่มาตรงกลางแล้วเอามือหยิบไส้กรอกจิ๋วขึ้นมายัดใส่ปาก อิทธิฤทธิ์กับชนมนเขกหัวชินพัฒน์พร้อมๆกัน
ตี๋เล็ก บ๊วยและเจ๋งขนกระถางต้นไม้เข้ามา อิทธิฤทธิ์ทำนิ้ววนๆชี้ๆให้ยกออกไป ทั้งสามจึงยกกระถางต้นไม้ออกไปอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วยกกระถางต้นไม้ที่ใหญ่กว่าเข้ามา อิทธิฤทธิ์มองอย่างเซ็งๆ สุดท้ายด้วยอิทธิฤทธิ์กับชนมนช่วยกันยกป้าย Happy Birthday Maya!! ขึ้นมาติดบนผนัง
มณีมันตรายืนนิ่งด้วยความเศร้า สักพักนุกนิกก็เดินเข้ามาหา
“พี่นีรชา...น้องมาลาค่ะ” นุกนิกพูดบท
“ไม่ต้องมาลา ไปได้แล้ว ไป ชั้นบอกให้ไปไงล่ะ ไปแล้ว อย่ามาให้ชั้นเห็นหน้าอีก!” มณีมันตราพูด
“พี่นีรชา!”
นุกนิกโผเข้าไปกอดมณีมันตราแบบไม่ให้ตั้งตัว มณีมันตรานิ่งอึ้งไปเพราะนุกนิกเล่นนอกบท อรุณวตีต้องผุดลุกขึ้นมาทันทีทำให้เมนี่ที่นั่งอยู่ข้างๆลุกตามไปด้วย
อรุณวตีตะโกนสั่ง “หยุดๆๆ นี่เธอ...ทำอะไรของเธอ นิดหน่อย! เธอต้องเดินร้องไห้ออกไป ไม่ใช่โผเข้าไปกอดนีรชา”
“หนูก็ทำตามที่คุณวตีเคยสอนไงล่ะคะ อย่าปิดกั้นความรู้สึกของตัวเอง รู้สึกยังไงก็ให้แสดงออกไปอย่างนั้น พี่มาย่าไม่ได้ส่งความโกรธมาเลย แต่กลับดูน่าสงสารมากกว่า หนูก็เลยรู้สึกอยากเข้าไปกอดปลอบใจ” นุกนิกบอก
มณีมันตรานิ่งเงียบเถียงไม่ออกเพราะเธอเป็นอย่างที่นุกนิกว่าจริงๆ
เมนี่ไม่รู้เรื่องด้วยแต่ช่วยเสริม “ใช่ค่ะ ใช่ เมนี่ก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน วันนี้มาย่าหลุดจากบทหลายครั้งแล้วนะเนี่ย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยเนอะ เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ พี่เมนี่เป็นห่วงนะ”
“วันนี้พอแค่นี้...มายา..อย่าเพิ่งกลับ ชั้นมีเรื่องที่จะคุยด้วย!” อรุณวตีบอก
นุกนิกกับเมนี่หันมองหน้ากันอย่างพอใจที่สุมไฟได้สำเร็จ มณีมันตรามองอรุณวตีอย่างเกรงๆ ว่าจะต้องโดนตำหนิ
อรุณวตีเดินนำมณีมันตรามานั่งรออยู่เก้าอี้ซึ่งอยู่ที่มุมเงียบๆของบริษัท
มณีมันตราสะพายกระเป๋าพร้อมถือซองการ์ดวันเกิดกับกุหลาบกำเล็กๆ2-3ดอกมานั่งลงตรงหน้าอรุณวตีพร้อมวางกระเป๋าและข้าวของลงบนโต๊ะ
อรุณวตีเอ่ยถาม “มีปัญหาอะไร”
“หนูไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีจริงๆค่ะ หนูให้สัญญา..หนูจะไม่ทำผิดพลาดอย่างวันนี้อีกค่ะ”
อรุณวตีมองการ์ดและดอกกุหลาบที่วางอยู่บนโต๊ะ
“วันนี้วันเกิดเธอ..”
มณีมันตรายิ้มเศร้า “ค่ะ มีแฟนคลับสองสามคนที่ยังจำวันเกิดหนูได้”
“เธอกำลังเสียดายวันเวลาที่เธอเคยรุ่งโรจน์ถึงสุดขีด ไปไหนมาไหนมีแต่คนรุมล้อมเอาใจ แต่อยู่ดีๆวันนึงทุกอย่างก็หายวับไปกับตา..ชีวิตก็เป็นอนิจจังแบบนี้แหละ”
“หนูไม่เสียดายค่ะ คุณวตี ดีซะอีกนะคะ ตอนนี้หนูต้องใช้ความสามารถเพื่ออยู่ในวงการนี้ได้ต่อไป ไม่ใช่แค่หนูสวยหนูน่ารัก..หนูมีความสุขมากกว่าเมื่อก่อนอีก”
“แต่วันนี้เธอดูไม่มีความสุขเลย”
“คนทั้งโลกไม่ต้องจำวันเกิดของหนูก็ได้..แต่คนที่หนูรัก..พ่อแม่..พี่....ไม่มีใครจำวันเกิดหนูได้เลย..มันไม่ใช่เรื่องสำคัญใช่มั้ยคะ แต่หนูรู้สึก..ชีวิตว่างเปล่าหนูไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย..ความรู้สึกที่ไม่มีใครเหลือในชีวิต”
“เธอเป็นเด็กขาดความรักขาดความอบอุ่นอย่างมาก คนชอบพูดกันว่า คนรักคือครึ่งหนึ่งในชีวิตที่หายไป ซึ่งมันไม่จริง เธอจะต้องทำชีวิตตัวเองให้สมบูรณ์เสียก่อน..ก่อนที่จะไปรักใคร ไม่มีใครเติมเต็มชีวิตเราได้ นอกจากตัวเราเอง ความรักทำให้เธอไขว้เขว เธอควรหยุดเรื่องรักแต่มามุ่งมั่นเรื่องงานอย่างเดียว”
“คุณวตี...”
“ถ้าเธอตัดขาดจากแฟนตำรวจของเธอได้ ชั้นถึงจะช่วยดึงศักยภาพในการแสดงของเธอออกมาได้ ลองไปคิดดูแล้วกัน”
อรุณวตีเดินออกไป มณีมันตรานิ่งอึ้งไป
มณีมันตราเดินเข้ามาในบ้านอย่างคิดหนักกับเรื่องที่อรุณวตีบอกให้เธอเลิกกับธรรม์ เสียงมือถือของเธอดังขึ้น มณีมันตราเห็นจอมือถือแล้วดีใจที่แม่โทรมา เธอจึงรีบกดรับ
“ฮัลโหล..หนูนึกว่าแม่จะไม่โทรมาแล้ว” มณีมันตรานิ่งฟังแล้วก็หน้าเสีย “ไม่มีเรื่องด่วนอะไรค่ะ..วันนี้..วันเกิดหนู...แม่โอนเงินมาแล้วเหรอคะ ค่ะๆ ขอบคุณค่ะ แม่..หนูมีช่วงพักสองอาทิตย์ก่อนละครแสดง หนูบินไปหาแม่ได้มั้ย..ได้ค่ะ สไกป์คุยกันก็ได้..ขอบคุณนะคะ”
มณีมันตราปิดมือถืออย่างเหงาหงอยขึ้นไปอีก แล้วเธอก็ลากขาเดินเข้าบ้านอย่างหมดแรง
มณีมันตราวางกระเป๋า การ์ด และดอกกุหลาบลงที่โต๊ะ เธอยืนนิ่งใจลอยจนมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของบ้าน ชั่วอึดใจเดียวอิทธิฤทธิ์ ชนมน ตี๋เล็ก ชิน บ๊วยและเจ๋งก็โผล่พรวดออกมาจากที่ซ่อน
“เซอร์ไพรส์!!!”
ทุกคนยิงพลุสายรุ้งพลุกระดาษใส่มณีมันตรากันยกใหญ่
“สุขสันต์วันเกิด!!”
มณีมันตรายืนอึ้งทั้งตกใจทั้งคาดไม่ถึง อิทธิฤทธิ์กับตี๋เล็กคว้ากีตาร์มาเล่นเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์พร้อมกับทุกคนที่ร้องเพลงอวยพรวันเกิดเสียงดังเวอร์ชั่นร็อคๆมันๆ ตลกๆ
“Happy birthday to you… Oh Yeah..Yeah Yeah.. Happy birthday.. Happy birthday.. Happy birthday to dear Maya…ya…ya…”
ชนมนยกถาดใหญ่ใส่คัพเค้กฝีมือถนอมเข้ามาโดยทุกชิ้นปักเทียนที่จุดไว้แล้ว ชนมนยกถาดคัพเค้กมาหยุดตรงหน้ามณีมันตรา มณีมันตรามองไปรอบๆ ตัวที่มีพี่มีเพื่อนล้อมรอบอย่างอบอุ่น
มณีมันตราพูดไม่ออก “ขอบคุณทุกคนนะคะ ขอบคุณ”
อิทธิฤทธิ์บอก “เป่าเค้กเลย ย่า”
“เป่าทำไมเค้ก ต้องเป่าเทียนดิ เป่าเทียนเลย พี่มาย่า แล้วอย่าลืมอธิษฐานก่อนนะครับ” ชินพัฒน์ทำตาปรอยใส่ “ผมรู้ว่า พี่มาย่าจะอธิษฐานว่าไร”
“ย่าอธิษฐานขอให้ได้เจอแต่สิ่งดีๆนะ” ชนมนพูดกับชินพัฒน์ “ซึ่งไม่ใช่แกแน่ ไอ้ชิน”
มณีมันตราหลับตานิ่งอธิษฐานแล้วลืมตาเป่าเทียนจนดับ เธอยิ้มกว้างอย่างมีความสุขและมีประกายตาวิบวับ ตี๋เล็ก บ๊วยและเจ๋งต่างมองมณีมันตราด้วยตาปรอยไปตามๆกัน
“คนสวยนี่ ทำอะไรก็สวยเนอะ เฮ้อ..เสียดาย..” ตี๋เล็กว่า
มณีมันตราตรงเข้ามากอดชนมน
“ขอบคุณนะคะ พี่ชน ขอบคุณนะ อิท”
มณีมันตราผละไปกอดอิทธิฤทธิ์ ชินพัฒน์อ้าแขนรออยู่แต่มณีมันตราแค่แตะหัวเขาเบาๆ ชินพัฒน์ผิดหวังสุดๆ
“ขอบคุณนะ ชิน ขอบคุณทุกๆคนเลย”
มณีมันตราหันไปยิ้มกับตี๋เล็ก บ๊วยและเจ๋งที่อ้าแขนรอรับกอดจากมณีมันตราแต่ก็ต้องเก้อไป
“ยัง!! ยังไม่หมดแค่นี้!! พวกเรายังมีของขวัญพิเศษให้เธอ” อิทธิฤทธิ์บอก
ชนมนกระซิบ “อย่าคาดหวังกับพวกนี้มากนะ ย่า”
มณีมันตรายิ้มอย่างสนุกเพราะไม่ได้คาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว
บ๊วยเคาะกลองใบเล็กเพื่อให้จังหวะ ตี๋เล็กเล่นกีตาร์เข้าจังหวะกับกลอง เจ๋งเล่นเครื่องเคาะ พอเริ่มเข้าเพลง อิทธิฤทธิ์ก็สไลด์ตัวเข้ามาพร้อมลีดกีตาร์โชว์อย่างเท่ อิทธิฤทธิ์กับตี๋เล็กร้องเพลงรักสนุกๆ ชนมน มณีมันตราและชินพัฒน์นั่งกินคัพเค้กไปฟังเพลงพลางโยกตัวไปมาอย่างสนุกสนาน อิทธิฤทธิ์กับตี๋เล็กเริ่มร้องเพี้ยนต่ำเพี้ยนสูงและมั่วเนื้อเพลงมากขึ้นเรื่อยๆ
“เนื้อผิดแล้ว! พี่อิท!” ตี๋เล็กท้วง
อิทธิฤทธิ์สวน “แกดิผิด!”
“เข้าท่อนฮุคแล้ว พี่!”
“เฮ้ยๆๆ เดี๋ยวๆ ร้องไงวะ”
อิทธิฤทธิ์กับตี๋เล็กดำน้ำและร้องมั่วต่อไป ชินพัฒน์กระโดดเข้าไปเต้นเป็นแดนเซอร์ด้วย ชนมนหันไปมองมณีมันตราที่ยิ้มอย่างมีความสุข
ชนมนบอก “ย่า..พี่ธรรม์เค้าติดงาน”
“ย่ารู้..ไม่เป็นไรหรอก พี่ชน ย่ามีความสุขพอแล้ว..ย่าชอบเพลงนี้ ! ไป พี่ชน!”
มณีมันตราดึงชนมนไปเต้นเป็นหางเครื่องกับชินพัฒน์ด้วย แก๊งสุดฤทธิ์ร้องเพลงเล่นดนตรีไป ชนมน มณีมันตราและชินพัฒน์เต้นเป็นแด๊นเซอร์อย่างสนุกสนาน
มณีมันตราสนุกกับช่วงเวลานี้โดยไม่คิดถึงเรื่องอื่นเลย
อ่านต่อหน้า 2
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 15 (ต่อ)
มณีมันตราเดินออกมาจากในบ้าน เสียงตี๋เล็กแหกปากร้องเพลงดังแว่วออกมา
อิทธิฤทธิ์เดินเคียงข้างกับมณีมันตราโดยเอามือพาดไหล่มณีมันตราแบบเพื่อนซี้
อิทธิฤทธิ์ภูมิใจมาก “เป็นไง ของขวัญวันเกิดของชั้น”
“ชอบ ชอบมาก!! เป็นวันเกิดที่สนุกที่สุดในชีวิต”
“ปีหน้าชั้นจะจัดให้ใหญ่กว่านี้ ปีนี้ไม่มีตังค์ จัดเล็กๆไปก่อนนะ”
“เธอจะว่างเหรอ ปีหน้าวงบอยแบนด์ของเธออาจจะติดทัวร์คอนเสิร์ตก็ได้นะ”
“เฮ้ย! เราเป็นชาวร็อค ไม่ใช่บอยแบนด์ พูดงี้เสียหมด”
มณีมันตราพูดจริงจังขึ้น “แล้วเธอเป็นไงบ้าง อิท”
อิทธิฤทธิ์ทำปากแข็ง “ก็ดี..สบายดี”
มณีมันตรามองอิทธิฤทธิ์อย่างเข้าใจ
“เฮ้ย! ไม่ต้องทำหน้างั้น ชั้นไม่เป็นไรจริงๆ” อิทธิฤทธิ์ยืนยัน
“มีอะไรให้ช่วย ก็บอกนะ มาอยู่บ้านชั้นมั้ยล่ะ”
“ได้ไง! เดี๋ยวได้เป็นเรื่อง”
“ชั้นไม่สนเรื่องจะเป็นข่าวหรอก เธอเป็นเพื่อนชั้น ชั้นก็ต้องช่วย ถ้างั้นชั้นให้เธอยืมเงินมั้ย ไม่ต้องเกรงใจ แม่เพิ่งโอนเงินมาให้ตั้งสามแสน เป็นของขวัญวันเกิด บอกว่า อยากได้อะไร ให้ไปซื้อเอาเอง” มณีมันตรายิ้มอย่างขมขื่นใจ
อิทธิฤทธิ์กอดไหล่มณีมันตรากระชับเข้ามาอย่างปลอบใจ
“เออ..น่า..อย่างน้อยเค้าก็จำได้”
“เลขาฯคงเป็นคนจัดการแหละ พ่อกับแม่ไม่เคยจำวันเกิดชั้นได้ แล้วชั้นจะไปหวังอะไรกับคนอื่นเนอะ” มณีมันตรารีบเปลี่ยนเรื่อง “พรุ่งนี้ชั้นโอนเงินให้เธอเลยนะ”
“ไม่เอา ไว้ชั้นจำเป็นจริงๆเมื่อไหร่ ชั้นจะมายืมเธอเอง..ไอ้ธรรม์ไม่ได้ลืมวันเกิดเธอหรอก มันคอยเตือนชั้นทุกปี ปีนี้มันก็คงไม่ลืม”
“ไม่ลืม.. แต่ไม่มา.. เจ็บยิ่งกว่าลืมอีกนะ อิท”
มณีมันตราอดที่จะเสียใจที่ธรรม์เงียบหายไปไม่ได้
ธรรม์เดินเข้ามาชงกาแฟแล้วเห็นถาดคัพเค้กมีฝาครอบปิดอยู่ ถนอมเดินเข้ามา ธรรม์เปิดฝาครอบดูคัพเค้กที่ยังเหลืออีกเป็นสิบชิ้นแต่ยังไม่ได้แต่งหน้าเค้ก
“ทำไปขายเหรอครับ ป้าหนอม” ธรรม์ถาม
“นี่เค้กวันเกิดคุณมาย่าค่ะ” ถนอมบอก
ธรรม์ชะงักไป
“คุณอิทโทรมาให้ช่วยทำเค้กวันเกิดให้คุณมาย่า ป้าแต่งหน้าเค้กไม่ค่อยเก่ง เลย ทำคัพเค้ก จะได้แต่งหน้าเค้กได้ง่ายหน่อย คุณธรรม์จะลองชิมดูหน่อยมั้ยคะ”
“ไม่ล่ะครับ”
ธรรม์กำลังจะเดินออกไปแต่ก็ต้องชะงักเมื่อถนอมถามขึ้น
“คุณธรรม์จะไม่ไปจริงๆเหรอคะ”
“วันเกิดของย่า.. ผมอยากให้เค้ามีความสุข”
“ถึงคุณมาย่าจะได้ฉลองวันเกิดกับเพื่อนฝูง ก็ไม่มีความสุขเท่ากับที่ได้ฉลองกับคนที่เธอรักหรอกค่ะ แต่ถึงจะหมดรักกันแล้ว คนเราก็ยังมีความห่วงใยเหลืออยู่ไม่ใช่หรือคะ ตอนนี้มีเวลาดูแลกันได้ ก็ดูแลกันไปเถอะค่ะ ไม่งั้นคุณธรรม์จะมาเสียดายที่ปล่อยให้วันเวลาดีๆผ่านเลยไป”
ถนอมเดินออกไป ธรรม์ยืนนิ่งคิด
ตี๋เล็กกอดคอบ๊วยกับเจ๋งแล้วพากันเดินออกไปที่รั้วบ้าน
ตี๋เล็กตะโกนร้องเพลง ”หากเราต้องจากกัน จากกันด้วยเหตุใด เก็บความคิดที่คล้ายกัน...”
บ๊วยกับเจ๋งประสานเสียงโดยร้องข้ามไปท่อนฮุคเลย “ขอเพียงแต่เขียนมา ขอเพียงส่งเสียงมา”
ตี๋เล็กท้วง “เฮ้ย! ยังไม่ถึง! เอาเพลงร็อคๆดีกว่า “จบแล้ว รักที่ทนมา เหนื่อยล้า เพราะรักที่ยาวไกล..หนึ่งคำที่อาจจะฝืนใจ..”
ตี๋เล็กกำมือชูขึ้นฟ้าโยกตัวแบบร็อกเกอร์ บ๊วยกับเจ๋งชูมือและโยกตัวตาม
“แต่วันนี้ต้องพูดมันออกไป..ลาก่อน”
ตี๋เล็ก บ๊วยและเจ๋งหันไปทางมณีมันตราที่เพิ่งเดินออกมาส่งอิทธิฤทธิ์ ชนมนและชินพัฒน์ แก๊งสามซิ่งโบกมือให้มณีมันตรา
ตี๋เล็กตะโกนร้องเพลง “ลาก่อน…!!” …” ตี๋เล็กตะโกนลา “ลาก่อน มาย่า!!”
กระป๋องน้ำอัดลมจากข้างบ้านลอยละลิ่วมาตรงหน้าแก๊งสามซิ่ง แก๊งสามซิ่งสะดุ้งโหยงแล้วรีบก้าวพรวดผ่านรั้วไปอย่างไม่มีมาดร็อกเกอร์อีกเลย
อิทธิฤทธิ์ ชนมน มณีมันตราและชินพัฒน์มองตามพวกตี๋เล็กไปอย่างขำๆ
“นายอิท นายต้องคุมแก๊งนายให้ดีๆนะ อย่าให้ไปทำความเดือดร้อนให้คนอื่น” ชนมนบอก
“ทำความเดือดร้อนอะไร หูเธอไม่ถึงเอง อีกซักเพลงมั้ย ย่า”
“ไม่ต้อง กลับบ้านได้แล้ว ย่าจะได้พักผ่อน” ชนมนนึกได้ “เกือบลืมไป ของขวัญ”
“ผมก่อนๆ นี่ครับ พี่มาย่า ของขวัญที่ทำมาจากหัวใจของผม” ชินพัฒน์บอก
ชินพัฒน์รีบส่งกล่องของขวัญให้มณีมันตราแล้วยืนบิดด้วยความเขิน มณีมันตราเปิดกล่องแบนๆออกก็เห็นว่าเป็นกรอบรูปรูปหัวใจที่มีรูปมณีมันตรากับชินพัฒน์ตัดมาแปะคู่กัน
“ขอบใจจ้ะ ชิน”
ชินพัฒน์สูดหายใจลึกๆแล้วพุ่งมากอดเอวมณีมันตราอย่างรวดเร็ว
“รักนะครับ!!”
ชินพัฒน์กอดเสร็จก็รีบวิ่งหนีไปทันที มณีมันตราหัวเราะขำอย่างไม่ถือสา
“ขอโทษแทนไอ้ชินด้วยนะ” ชนมนบอก
“ไม่เป็นไรค่ะ วิ่งหนีไปซะแล้ว ย่าจะจุ๊บขอบคุณซักหน่อย”
“นี่ของขวัญจากพี่ พี่ทำเองเลยนะ มันออกจะเสร่อๆหน่อย”
ชนมนหยิบที่คาดผมสีหวานซึ่งมีตัวหนังสือเขียนว่า L-O-V-E ติดไว้ออกมาส่งให้มณีมันตราอย่างไม่แน่ใจแต่ก็อยากให้
“เออ..เสร่อจริงๆด้วย”
ชนมนกระทุ้งศอกใส่อิทธิฤทธิ์แล้วเดินไปกอดมณีมันตราเอาไว้
“อย่าคิดว่า ไม่มีใครนะ ย่ามีอิท มีพี่ชน มีไอ้ชิน มีป้าหนอม มีคนที่รักย่าอีกตั้งเยอะแยะ” ชนมนบอก
“ย่ารักพี่ชน”
“พี่ก็รักย่า..รักยิ่งกว่าไอ้ชินอีก”
มณีมันตราเริ่มน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้ง ชนมนร้องไห้ตามเพราะเข้าใจความรู้สึกขาดครอบครัวของมณีมันตราเป็นอย่างดี
อิทธิฤทธิ์เบรก “พอเหอะ อย่าซึ้งมาก กลับบ้านๆ”
อิทธิฤทธิ์ดึงชนมนออกมาเพื่อตัดอารมณ์เศร้า เขาโยกหัวมณีมันตราอย่างแกล้งๆ
“เลิกขี้แยได้แล้ว แก่ขึ้นอีกปีแล้วนะ เรา.. ไป ชน กลับบ้าน”
อิทธิฤทธิ์พาชนมนเดินออกไป แล้วทั้งสองก็หันกลับมาโบกมือลา
“สุขสันต์วันเกิดนะ ย่า”
มณีมันตราโบกมือกลับอย่างมีความสุข อิทธิฤทธิ์จับมือชนมนให้เดินไปด้วยกัน ชนมนดึงมือออกอิทธิฤทธิ์จึงแกล้งโอบไหล่ชนมนไว้แน่น อิทธิฤทธิ์โอบไหล่ชนมนจนทั้งสองต้องเดินตัวติดกัน ชนมนดันตัวออกจากอิทธิฤทธิ์ไม่ได้เลย
มณีมันตรามองตามชนมนที่มีอิทธิฤทธิ์เดินเคียงอยู่อย่างสะท้อนใจนิดๆ
อิทธิฤทธิ์โอบไหล่ชนมนเดินออกมาจากทางบ้านของมณีมันตรา
“ปล่อยได้แล้ว มันน่าเกลียดรู้มั้ย ชั้นเป็นผู้หญิงนะ” ชนมนว่า
“ถ้าเป็นผู้ชาย ใครจะกอดล่ะ” อิทธิฤทธิ์บอก
“ปล่อย! ไม่งั้นชั้นจะฟ้องพ่อ!”
อิทธิฤทธิ์ยอมปล่อยมือจากชนมนทันที
“เออ..เธอทำของแบบนั้นได้ด้วยเหรอ ทำให้ชั้นบ้างดิ”
ชนมนแกล้งโง่ “นายอยากได้ที่คาดผมบ้างเหรอ”
“เฮ้ย! ไม่ใช่! ทำอย่างอื่นดิ อะไรก็ได้ ชั้นอยากได้ของขวัญจากเธอบ้าง แต่ต้องทำด้วยมือเธอเองนะ นะๆๆ”
“ก็ได้ๆๆ ถ้ามีเวลาจะทำให้..พอใจยัง นายนี่ทำตัวเหมือนเด๊ะ..” ชนมนจะพูดว่าเด็ก
อิทธิฤทธิ์จ้องหน้าชนมนอย่างเอาเรื่อง
“ทำตัวเหมือนคนขี้อิจฉา เห็นเพื่อนได้ของ ก็อยากได้บ้างเนอะ อยากได้อะไรอีก บอกมาให้หมด”
“พูดอย่างที่เธอพูดกับย่าเมื่อกี้ได้ป่าว”
“พูดอะไร” ชนมนนึกได้ว่าตัวเองบอกรักมณีมันตราไป “เมื่อกี้ย่าเค้าพูดก่อน นายก็พูดก่อนสิ”
อิทธิฤทธิ์จับไหล่ชนมนไว้ด้วยมือทั้งสองข้างแล้วจ้องมองชนมนอย่างทำเหมือนเอาจริง
“ชนมน...ชั้น...ชั้น..”
ชนมนตื่นเต้นจนหัวใจเต้นโครมคราม เธอคิดว่าอิทธิฤทธิ์กำลังจะบอกรักแต่อยู่ๆอิทธิฤทธิ์ก็ปล่อยมือ
“ไม่ดีกว่า..มันยังไม่ใช่อะ..บรรยากาศ..อารมณ์..เวลา..มันไม่ใช่”
ชนมนสะบัดตัวเดินพรวดพราดออกไป อิทธิฤทธิ์เดินตามไปแล้วหัวเราะขำ
“อยากให้บอกรักล่ะซี้..ให้พูดตอนนี้ป่าวล่ะ”
“ไม่-ต้อง! ไม่ได้อยากฟังซะหน่อย กลับบ้านๆ”
อิทธิฤทธิ์ดึงชนมนไว้ไม่ให้ไปแล้วจับตัวชนมนให้อยู่นิ่งๆ เขาจ้องตาชนมนด้วยความรู้สึกรักที่เปี่ยมล้น
“เราสองคนน่ะ คำว่า..รัก..ยังน้อยไป”
ชนมนค่อยๆคลี่ยิ้มแล้วยิ้มกว้างอย่างมีความสุข อิทธิฤทธิ์ดึงชนมนเข้ามากอดช้าๆแต่มั่นคง
มณีมันตราใส่ที่คาดผมที่ชนมนทำให้เดินกลับเข้ามาในบ้าน เธอมองไปรอบๆบ้านที่หมดบรรยากาศความสุขเหลือไว้แต่บรรยากาศของบ้านที่เงียบเหงาอีกครั้ง มณีมันตราเอากรอบรูปที่ชินพัฒน์ทำให้มาตั้งไว้บนตู้ในห้องรับแขก แล้วเริ่มลงมือเก็บบ้านที่ยังเกลื่อนด้วยสายรุ้ง
เสียงธรรม์ดังขึ้น “พี่ช่วยนะ”
มณีมันตราหันไปมองก็เห็นธรรม์เดินเข้ามา ธรรม์ช่วยเก็บกวาดบ้านอย่างจริงจัง มณีมันตราเก็บข้าวของที่เกลื่อนกลาดเงียบๆ
“พี่ขอโทษที่มาช้า”
มณีมันตราหยุดเก็บข้าวของแล้วหันมามองธรรม์อย่างเหนื่อยที่จะโกรธแล้ว ธรรม์ก้าวยาวๆเข้าไปหามณีมันตราแล้วพยายามจะเริ่มต้นดีๆ แล้วธรรม์ก็มองไปที่คาดผมของมณีมันตรา
“น่ารักดีนะ”
“ก็คนใส่น่ารักไงคะ แค่น่าที่จะรัก แต่ไม่ควรรัก ใช่มั้ยคะ พี่ธรรม์”
“ไม่จริงหรอก ย่า”
“ถ้าพี่ธรรม์อยากให้เราอยู่ห่างๆกัน ก็แสดงว่า เราไม่ควรที่จะรักกัน พี่ธรรม์เก่งกว่าย่าเยอะ ถ้าให้ย่าสละพี่ธรรม์เพื่องาน ย่าคงตัดสินใจไม่ได้ง่ายๆ แต่พี่ธรรม์ยอมไปจากย่าโดยไม่ต้องคิดเลย”
“พี่คิด ไม่ใช่ว่าไม่คิด คิดหนักด้วย พี่ไม่อยากให้ชีวิตของย่าต้องมาพังเพราะพี่อีกเราอยู่ห่างๆ กัน ก็ไม่ได้หมายความว่า พี่จะไม่ดูแลย่าอีก”
มณีมันตราเข้าใจธรรม์มากขึ้นแต่การยื่นข้อเสนอของอรุณวตีทำให้มณีมันตราต้องยอมรับว่าการมีแฟนมีปัญหากับงานจริงๆ และเธอก็เห็นการมองปัญหาแบบผู้ใหญ่ของธรรม์
มณีมันตรายังแกล้งงอน “แต่กว่าจะมา..ก็จะเลยวันเกิดย่าแล้วนะ ไหนล่ะคะ ของขวัญ”
มณีมันตรายื่นออกไปแบรับของขวัญและแน่ใจว่าธรรม์ไม่มีของขวัญให้แน่ ธรรม์หยิบกล่องแหวนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบแหวนวางลงบนฝ่ามือของมณีมันตรา
มณีมันตรามองแหวนทองคำขาวดีไซน์เก๋ๆเรียบๆในมือด้วยความแปลกใจ
แหวนวางอยู่ในมือมณีมันตรา มณีมันตราพลิกแหวนไปมาเพื่อดูอย่างละเอียด ธรรม์มองมณีมันตราด้วยความกังวล
“ไม่ชอบเหรอ พี่ซื้อของพวกนี้ไม่ค่อยเป็น ไม่รู้จะถามใครด้วย”
มณีมันตราแกล้งบ่น “พี่ธรรม์น่าจะสลักชื่อย่อของเราสองคน “M แอนด์ T” หรือ “Love forever” แบบที่สวีทๆหน่อย นี่สู้ของขวัญของพี่ชนไม่ได้เลยนะเนี่ย”
มณีมันตราชี้ไปที่คาดผมที่มีคำว่า L-O-V-E อยู่ ธรรม์เริ่มรู้ทันว่ามณีมันตราแกล้ง ธรรม์จับหน้ามณีมันตราให้หันมาสบตาแล้วถอดที่คาดผมออก ก่อนจะดึงแหวนจากมือมณีมันตรามาบรรจงใส่ที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธออย่างช้าๆ
“ต่อไปนี้ต้องใส่แหวนของพี่คนเดียว..พี่ให้แหวนไม่ใช่เพราะต้องการผูกมัดย่านะแต่พี่อยากให้ของที่ย่าจะใส่ติดตัวได้ตลอดเวลา ไม่ว่ารักไม่ว่าโกรธกัน ก็อย่าถอดออก แล้วขอไว้อย่าง ถ้าทะเลาะกัน ห้ามถอดแหวนขว้างใส่หน้าพี่เด็ดขาด”
“ย่าไม่ทำอย่างนั้นอยู่แล้ว ปีนี้ย่ารู้สึกว่า ย่าโตขึ้นเยอะเลย”
“ไม่เชื่อหรอก เดี๋ยวก็ต้องงอแงใส่พี่อีก”
“ไม่งอแงกับพี่ธรรม์ แล้วจะให้ย่าไปงอแงกับใครล่ะคะ”
ธรรม์โอบไหล่มณีมันตราแล้วจับหัวมณีมันตราให้พิงมาที่ไหล่ของตัวเอง
“ยอมให้คนนึง..เอ้า..”
“พี่ธรรม์...มีคนเคยบอกย่าว่า ทุกอย่างในโลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แล้วเราจะดูแลกันอย่างนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน”
“เราก็จะดูแลกันไปให้นาน..นานจนถึงที่สุด..แต่พี่ตอบไม่ได้หรอกนะว่า “ที่สุด”ของเราสองคนจะนานแค่ไหน”
มณีมันตราพิงไหล่ธรรม์เงียบๆ ต่างคนต่างรู้อยู่ลึกๆว่าอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดไป
เช้าวันใหม่ อิทธิฤทธิ์กางหนังสือพิมพ์บังมิดหน้า ชนมนที่นั่งอยู่ตรงข้ามดึงหนังสือพิมพ์ออกมาจากอิทธิฤทธิ์
“นายอิท!”
“อะไรอีกล่ะ”
ชนมนชูกระดาษที่เป็น Resume ของอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาให้ดู
“นี่เรียกว่าจดหมายสมัครงานเหรอ ทำไมประวัติของนายถึงได้สั้นกุดอย่างนี้” ชนมนดูเรซูเม่ “นายต้องเขียนประวัติให้น่าสนใจกว่านี้ อย่างเช่น ใส่ความสามารถพิเศษ..”
“ขี่มอไซด์” อิทธิฤทธิ์ตอบ
“กิจกรรมที่เคยทำ..”
“ขี่มอไซด์”
“ประสบการณ์การทำงาน...”
อิทธิฤทธิ์กับชนมนตอบพร้อมกัน “ขี่มอไซด์!”
“ชั้นไม่น่าถามเล้ย แล้วตกลงจะไปสมัครงานที่ไหนบ้าง ไหนขอดูหน่อย”
“ไม่ต้องไปสมัครงาน ชั้นก็หางานทำได้แล้ว”
เจ๋งที่กำลังซ่อมมอเตอร์ไซค์อยู่รีบวางมือเข้ามาร่วมฟังอย่างสนใจ
“งานไร พี่อิท”
อิทธิฤทธิ์ยิ้มกระหยิ่มอย่างรู้สึกว่าตัวเองฉลาดสุดๆ แล้วเขาก็หยิบชิ้นส่วนจากนสพ.มาวางไว้ทีละแผ่นๆ
อิทธิฤทธิ์บอก “งานจับโจร!”
ชนมนกับเจ๋งชะโงกมาดูพร้อมกันก็เห็นเป็นประกาศจับผู้ร้ายที่มีรูปถ่ายประกอบ ที่อิทธิฤทธิ์ตัดเป็นแผ่นๆ จากนสพ. มาหลายคดี
“ชั้นไม่ต้องไปสมัครงานให้เหนื่อยหรอก ดูดิ ค่ารางวัลนำจับ หนึ่งแสนบาท นี่ๆ ไอ้โจรปล้นร้านทอง แค่แจ้งเบาะแสก็ได้ตั้งสามแสน! สนป่าว ไอ้เจ๋ง”
ตี๋เล็กกับบ๊วยพูดพร้อมกัน “ผมสนครับ พี่!!”
ตี๋เล็กกับบ๊วยที่เพิ่งเข้ามาถือถุงกล่องข้าวมาด้วย ทั้งสองยืนตาโพลงด้วยความตื่นเต้นมาก
“ผมไม่สนอะครับ ผมขอทำงานที่มันเป็นงานจริงๆดีกว่า”
พูดจบเจ๋งก็เดินกลับไปซ่อมมอเตอร์ไซค์ต่อ
“นายอิท!” ชนมนเรียกเสียงดัง
“อย่ามาห้าม! ชั้นต้องหาเงินให้ได้เร็วที่สุด ไม่งั้นชั้นก็ไม่มีวันตั้งตัวได้”
“ไม่ห้ามหรอก แต่อยากเตือนแค่นิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น ถ้าจับโจรมันง่ายขนาดนั้น ตำรวจก็คงจับไปนานแล้ว ไม่ต้องลงประกาศในหนังสือพิมพ์หรอก”
“ก็ตำรวจฝีมือไม่ถึง ก็เลยจับโจรไม่ได้ซะที แต่ชั้นจะกวาดจับให้เรียบเลย”
ตี๋เล็กกับบ๊วยประสานเสียง “กวาดให้เรียบเลย พี่”
“มาเฟียอย่างไอ้เก่งกาจ ชั้นยังจับมันมาแล้ว นี่แค่โจรกระจอก ทำไมชั้นจะจับไม่ได้”
ตี๋เล็กกับบ๊วยพูดพร้อมกันนั่นดิ ต้องได้อยู่แล้ว”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์ที่มั่นใจสุดๆ แล้วก็เหนื่อยหน่ายใจเพราะขี้เกียจจะห้ามแล้ว
อิทธิฤทธิ์เดินมากับตี๋เล็กและบ๊วยพลางดูกระดาษรูปถ่ายโจรที่ไปซีร็อกขยายขนาดไปด้วย อิทธิฤทธิ์พินิจพิจารณาดูรูปโจรไปทีละคนแล้วมาหยุดที่รูปถ่ายชายเหี้ยม
“ไอ้นี่แหละ! ชั้นจำได้ว่า เคยเห็นหน้ามัน”
อิทธิฤทธิ์นึกถึงตอนที่ชายหน้าเหี้ยมเดินมาชนไหล่เขาอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้อิทธิฤทธิ์เห็นหน้าได้ชัด
อิทธิฤทธิ์มองไปที่ซอยที่ชายหน้าเหี้ยมเคยเดินเข้าไป
“มันต้องแอบซ่อนตัวอยู่แถวนี้แหละ”
ตี๋เล็กทึ่ง “โห..พี่อิท! พี่อิทแค่เห็นมันครั้งเดียว ก็จำหน้ามันได้เหรอ สุดยอดอ่ะ!”
“พี่อิทเก่งยิ่งกว่าตำรวจอีก” บ๊วยชม
“เค้าเรียกว่ามี “พรสวรรค์” ชั้นไม่ต้องเป็นตำรวจ ก็จับโจรได้เว้ย ไป แยกย้ายกันตามหาไอ้ดำเกิงกัน นี่ๆ เอารูปไปดู”
อิทธิฤทธิ์ส่งกระดาษซีร็อกซ์รูปถ่ายชายหน้าเหี้ยมให้ตี๋เล็กและบ๊วย
“ไอ้นี่ ที่เป็นโจรปล้นร้านทองใช่มั้ย ถ้าจับตัวมันส่งตำรวจได้ ก็จะได้สามแสน”
บ๊วยฝันหวาน “เราก็มาแบ่งกันคนละแสน..”
อิทธิฤทธิ์มองหน้าตี๋เล็กและบ๊วยด้วยสีหน้านิ่งๆ
“เฮ้ยๆ ไอ้บ๊วย แกอย่าเทียบชั้นพี่เค้า ผมกับไอ้บ๊วยขอคนละสามหมื่นพอ ที่เหลือยกให้พี่หมดเลย ได้มาร่วมจับโจรกับพี่อิท ก็ถือเป็นเกียรติมากพอแล้ว” ตี๋เล็กบอก
“แล้วเราจะหามันเจอง่ายๆเหรอ” บ๊วยสงสัย
อิทธิฤทธิ์หันไปเห็นชายหน้าเหี้ยมเดินออกมาจากซอยถัดไป ตี๋เล็กกับบ๊วยหันไปมองแล้วก้มมองดูรูปถ่าย
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!!”
“ชั้นบอกแล้ว พี่อิทเค้าบารมีถึง”
ชายหน้าเหี้ยมหันมาเห็นอิทธิฤทธิ์และพรรคพวกจ้องหน้าก็วิ่งหนีออกไปทันที
อิทธิฤทธิ์สั่ง “จับมันให้ได้”
อิทธิฤทธิ์วิ่งนำหน้าออกไป ตี๋เล็กและบ๊วยไล่ตาม
ชายหน้าเหี้ยมวิ่งหนีเข้าไปในซอยพอโผล่ออกมาก็เจอบ๊วยวิ่งมาดักหน้าไว้
ชายหน้าเหี้ยมถอยหลังวิ่งหนีออกมาอีกทางก็เจอตี๋เล็กวิ่งมาดักหน้าไว้ ตี๋เล็กกำลังจะคว้าตัวชายหน้าเหี้ยมได้อยู่แล้ว แต่ชายหน้าเหี้ยมชกเปรี้ยงเข้าให้แล้ววิ่งหนีรอดไปได้ แต่แล้วอยู่ๆ ชายหน้าเหี้ยมก็สะดุดหน้าคว่ำลงพื้นเพราะอิทธิฤทธิ์ยื่นขายาวๆออกมาขัดขาของเขาไว้พอดี อิทธิฤทธิ์ตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อแล้วเงื้อมือจะชกหน้า ชายหน้าเหี้ยมยกมือขึ้นปิดหน้าทันที
“ผมกลัวแล้ว พี่!”
“แกนี่มันโจรกระจอกจริงๆ เปิดหน้าดิ”
ชายหน้าเหี้ยมค่อยๆเอามือที่ปิดหน้าออก อิทธิฤทธิ์ควักกระดาษซีร็อกซ์ออกมาเทียบกับหน้าชายเหี้ยม
“เป็นแกจริงๆ ด้วย!! ไป ไปโรงพัก!”
“พี่เป็นตำรวจเหรอเนี่ย!”
อิทธิฤทธิ์ยิ้มหยิ่งๆแล้วกระชากคอเสื้อชายหน้าเหี้ยมให้ลุกขึ้น ตี๋เล็กกับบ๊วยวิ่งตามเข้ามา
“โห! ลูกพี่เรา!”
“สุดยอดมือปราบ!”
อิทธิฤทธิ์ยืนยิ้มเท่พร้อมกับเหนี่ยวคอเสื้อชายหน้าเหี้ยมไว้
ตี๋เล็กกับบ๊วยประกบตัวชายหน้าเหี้ยมแล้วพามานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะตำรวจเวร
“พวกพี่จับผมทำไม ผมไม่ได้ทำอะไรผิด”
“ไอ้พวกโจรนี่ มันพูดอย่างอื่นเป็นมั้ยเนี่ย” ตี๋เล็กว่า
อิทธิฤทธิ์เดินเข้ามา
“ติดต่อเจ้าทุกข์ได้มั้ย พี่อิท แล้วเค้าจะจ่ายเงินเราเลยหรือป่าว” บ๊วยถาม
“เฮ้ย! ใจเย็นๆ เดี๋ยวได้เงินแน่ พี่ตำรวจข้างในบอกว่า เราต้องรอคุยกับตำรวจเจ้าของคดีก่อน”
อิทธิฤทธิ์หันไปเห็นธรรม์เดินตรงมาหา
“อย่าบอกนะว่า...”
ชายหน้าเหี้ยมยกมือไหว้ธรรม์ปะหลกๆอย่างขอความช่วยเหลือ
“หมวดครับ ช่วยผมด้วย! ผมไม่ได้ไปก่อคดีที่ไหนอีก ผมสาบานได้!! ผมโดนจับครั้งเดียว ก็เข็ดจนตายแล้ว”
อิทธิฤทธิ์สงสัย “ไอ้นี่มันถูกจับไปแล้วเหรอ”
“ใช่! ชั้นเป็นคนจับเอง นายดำเกิงได้คนมาประกันตัวไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว” ธรรม์บอก
ตี๋เล็กสะกิดอิทธิฤทธิ์ “พี่อิทๆ ไอ้ประกาศจับที่ตัดมาน่ะ มันเมื่อไหร่เหรอ”
“ไม่รู้ ไม่ได้ดูวันที่!” อิทธิฤทธิ์พูดกับธรรม์อย่างพาลๆ “แล้วให้ประกันได้ไง นี่มันโจรปล้นร้านทองเชียวนะ ปล่อยตัวออกมา เดี๋ยวได้ไปปล้นไปฆ่าใครเข้าหรอก”
“นี่เป็นความผิดครั้งแรก แล้วนายดำเกิงก็ไม่ได้ปล้นร้านทอง แค่ไปล้วงกระเป๋าคนในร้านทองเท่านั้น ไอ้ประกาศในหนังสือพิมพ์ที่นายเห็นน่ะ เค้าลงผิด” ธรรม์บอก
อิทธิฤทธิ์พูดกับชายหน้าเหี้ยม “แล้วแกวิ่งหนีทำไมวะ”
“คนมันตกใจ ก็ต้องวิ่งหนีก่อนดิ”
“แล้วเงินสามแสนของเราล่ะ”
“ทำไมต้องถาม ก็วืดไปน่ะดิ”
อิทธิฤทธิ์นิ่งอึ้งและยิ่งเสียหน้ามากขึ้นที่เห็นธรรม์มองมาอย่างขำๆ
ธรรม์เดินกลับเข้าไปข้างในสถานีตำรวจ อิทธิฤทธิ์เดินตามมา
“เดี๋ยวก่อน..อย่าบอกพ่อเรื่องนี้นะ”
ธรรม์หันกลับมามองอิทธิฤทธิ์ก่อนจะพูด
“ไม่บอกอยู่แล้ว ทีหลังจะทำอะไรก็ปรึกษากันก่อน ดีที่นายดำเกิงไม่เอาเรื่องนายนายอิท..ชั้นพร้อมที่จะช่วยนายนะ แต่ถ้านายยังไม่พร้อม ก็ไม่เป็นไร”
“ถ้าอยากช่วย ช่วยหาที่อยู่แม่ให้ชั้นได้ป่าวล่ะ”
ธรรม์นิ่งคิด
“ทำไม? ไม่ได้เหรอ? พ่อสั่งไว้ล่ะสิ ชั้นรู้ว่า นายต้องทำทุกอย่างตามคำสั่งของพ่อ แต่ครั้งนี้ถือว่า ชั้นขอร้องแล้วกัน นายจะให้ชั้นทำอะไรก็ได้ ให้..ชั้นเรียกนายว่า”พี่” ก็ได้นะ”
ธรรม์เริ่มยิ้มแล้วหยุดรอฟังว่าอิทธิฤทธิ์จะเรียกพี่ได้จริงๆไหม
“เฮ้ย! เอาจริงเหรอ?!”
อิทธิฤทธิ์หน้าเสียเพราะเริ่มหมดฟอร์ม เขาเริ่มเสียใจที่พลั้งปาก ธรรม์ยิ่งยิ้มขำมากขึ้น
อิทธิฤทธิ์ฮึดฮัด “นี่นาย!! เออ..เรียกก็ได้ ไม่เห็นยากเลย” อิทธิฤทธิ์ฝืนใจ “เพ่..เพ่..”
“ไม่ต้องหรอก ชั้นอยากให้นายเรียกด้วยความเต็มใจมากกว่า ชั้นจะช่วยหาที่อยู่ของคุณแม่นายให้ แล้วถ้าไม่ไหวเมื่อไหร่ ก็กลับบ้าน ทุกคนรอนายอยู่...”
ธรรม์ตบไหล่อิทธิฤทธิ์แล้วเดินออกไป อิทธิฤทธิ์รู้อยู่ว่าธรรม์ดีกับตัวเขามาตลอด
มณีมันตราเดินเข้ามาในล็อบบี้อย่างมีความสุขและมีพลังเตรียมพร้อมทำงาน นุกนิกถลาเข้ามาหาพร้อมเอาหน้าแนบชิดกับหน้ามณีมันตราก่อนจะยกมือถือขึ้นมาจะถ่ายรูป
“ถ่ายรูปด้วยกันหน่อยนะคะ นุกนิกไม่ค่อยมีรูปคู่กับพี่มาย่าเลย”
นุกนิกกดมือถือถ่ายรูปอีกสองสามช็อทแล้วรีบเช็คหารูปดีๆ
“ทำไมพี่มาย่าไม่ยิ้มเลยล่ะคะ เอารูปไหนลงดีน้า”
มณีมันตราเอามือซ้ายแตะแขนนุกนิกเพื่อเตือน
“คุณวตีสั่งไว้แล้วนะว่า ห้ามโพสรูป...”
นุกนิกเห็นแหวนของมณีมันตรา “พี่มาย่า! นี่แหวนหมั้นใช่มั้ยคะ!”
นุกนิกคว้ามือมณีมันตรามาดูอย่างจาบจ้วงจนคนที่อยู่แถวๆนั้นหันมาดูเป็นตาเดียว
นุกนิกพูดเสียงดังเกิน “หมวดธรรม์ Propose แล้วเหรอคะ เอิ่ม..หมวดธรรม์ขอพี่มาย่าแต่งงานแล้วหรือคะ”
อรุณวตีเพิ่งเดินเข้ามาหยุดอยู่ด้านหลัง นุกนิกเห็นอรุณวตีเข้าเลยรีบชูมือมณีมันตราให้อรุณวตีเห็นด้วย
“คุณวตีคะ พี่มาย่าหมั้นแล้วค่ะ แล้วนี่จะแต่งงานกันเมื่อไหร่คะ พี่มาย่า นุกนิกดีใจด้วยจริงๆ นี่เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดเลยนะคะ เวลาดาราขาลงก็มักจะหาทางออกด้วยการแต่งงานนี่แหละค่ะ”
“พี่ไม่ได้หมั้น และยังไม่คิดเรื่องแต่งงาน แหวนนี่เป็นของขวัญวันเกิด” มณีมันตราบอก
นุกนิกขัด “ไม่ใช่แหวนหมั้น ก็ต้องเป็นแหวนคู่รักใช่มั้ยล่ะคะ สวีทกันจังเลย นุกนิกอยากมีแฟนบ้างแล้วล่ะสิ แต่ตอนนี้นุกนิกขอโฟกัสเรื่องงานก่อน ไม่อยากเป็นตัวถ่วงของคนอื่นน่ะค่ะ วันเกิดพี่มาย่าเมื่อไหร่เหรอคะ ไงก็แฮปปี้เบิร์ธเดย์นะคะ พี่มาย่า..”
นุกนิกกอดมณีมันตราแล้วเดินยิ้มหน้าใสออกไป อรุณวตียังคงยืนมองมณีมันตราอยู่ มณีมันตรารู้ว่าอรุณวตีไม่เห็นด้วยที่เธอยังคบธรรม์อยู่
“ชั้นเคารพการตัดสินใจของเธอ..แต่ก็ยังอดเสียดายไม่ได้” อรุณวตีบอก
“หนูจะตั้งใจแสดงอย่างเต็มที่ค่ะ หนูจะไม่ทำให้คุณวตีผิดหวัง”
อรุณวตีมองมณีมันตราอย่างผิดหวังแล้วเดินออกไป มณีมันตรามองแหวนของธรรม์แล้วคิดในใจว่ายังไงก็จะทำให้ทั้งงานและความรักเวิร์คให้ได้
อ่านต่อหน้า 3
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 15 (ต่อ)
อิทธิฤทธิ์กับเจ๋งกำลังช่วยกันปะยางรถมอเตอร์ไซค์อยู่ เจ๋งจ้องหน้าอิทธิฤทธิ์เงียบๆ
อิทธิฤทธิ์พูดโดยไม่หันไป “มีปัญหาไร ไอ้เจ๋ง”
“เสาร์นี้พ่อจะกลับมาอยู่บ้านแล้วอ่ะ พี่อิท” เจ๋งบอก
“อีกตั้งสามวัน ชั้นหาที่อยู่ใหม่ได้ สบายอยู่แล้ว”
“แต่พ่อคงอยู่ไม่กี่วันหรอก ได้งานใหม่ก็ต้องไปอีก ทำงานก่อสร้างก็เงี้ยแหละแต่ที่จริงเราอยู่กันสามคนก็ได้นะ เดี๋ยวผมออกมานอนข้างนอกเอง”
“เฮ้ย! ไม่ต้อง! ชั้นมาอยู่กับแกแค่ชั่วคราวเท่านั้น ไงก็ต้องหาที่พักใหม่”
อิทธิฤทธิ์หลบหน้าเจ๋งแล้วเดินไปเช็ดมือพร้อมกับคิดหนักว่าจะไปอยู่ที่ไหนดี
“พี่อิท..พี่ธรรม์มา!”
อิทธิฤทธิ์เห็นธรรม์เดินเข้ามาก็รีบตรงไปหาทันที
“ว่าไง ได้เรื่องแล้วเหรอ”
“ชั้นรู้แล้วว่า คุณแม่นายอยู่ที่ไหน” ธรรม์บอก
อิทธิฤทธิ์ตื่นเต้น “เอาที่อยู่มาเลย มา ชั้นต้องเริ่มวางแผนเดินทางได้แล้วดิ นายมีใครรู้จักอยู่อเมริกาบ้างป่าว ไม่เป็นไรๆ ไม่น่ายาก ยุคนี้แล้ว มีจีพีเอส จะกลัวอะไร”
“นายไม่ต้องไปถึงอเมริกาหรอก คุณแม่นายกลับมาเมืองไทยแล้ว”
อิทธิฤทธิ์ดีใจมาก “เฮ้ย ! จริงเหรอ! ชัวร์นะ?!”
“ชั้นตรวจสอบข้อมูลมาอย่างแน่ชัดแล้ว แม่บ้านของคุณน้าฤดีที่โน่น ก็ยืนยันว่าคุณน้ากลับมาได้สองอาทิตย์แล้ว”
“แม่กลับมาหาชั้นล่ะดิ แม่ต้องรู้ว่า ไงพ่อก็ไม่ให้ชั้นไปเจอแม่ แม่ก็เลยกลับมาหาชั้นเอง เร็ว! เอาที่อยู่มา ชั้นจะไปหาแม่ตอนนี้เลย” อิทธิ์ฤทธิ์ว่า
อิทธิฤทธิ์ตื่นเต้นดีใจมาก
อิทธิพลรู้ข่าวการกลับมาของนฤดีก็นั่งนิ่งด้วยความหนักใจ ชูชัยยืนมองอิทธิพลอย่างเข้าใจ
“ไอ้พล...แกต้องรีบไปหาฤดี” ชูชัยบอก
“ไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร เค้ากลับมาเมืองไทยเป็นอาทิตย์แล้ว แต่เค้าไม่ยอมติดต่อมาเลย แกก็รู้อยู่ว่า มันหมายความว่าไง” อิทธิพลว่า
“ยังไงลูกชายแกต้องหาทางไปเจอแม่อยู่แล้ว แกควรจะให้นายอิทได้รู้เรื่องทุกอย่างจากปากแกเอง อย่าถ่วงเวลาไปอีกเลย”
“ชั้นยังไม่พร้อมว่ะ”
ชูชัยตบไหล่อิทธิพลแล้วนั่งมองหน้าเพื่อนก่อนจะพูดสอนอย่างจริงจัง
“นายอิทอายุเท่าไหร่แล้ว เรียนก็จบแล้ว แกจะรอไปถึงเมื่อไหร่ ไอ้พล.. ถึงเวลาแล้วที่แกต้องยอมให้ลูกได้เจ็บซะบ้าง ไม่งั้นมันจะไม่โต”
“มันต้องมีทางอื่นสิ มันต้องมี!”
“ไม่มีทางอื่นแล้ว แกรู้ว่า ฤดีกลับมาเมืองไทย แล้วคิดเหรอว่า ลูกแกจะไม่รู้ แกต้องรีบแก้ไขปัญหานี้ซะ นี่เป็นหน้าที่ของคนเป็นพ่อ!”
อิทธิพลคิดหนักที่จะหาทางอธิบายเรื่องนฤดีให้ลูกฟัง
อิทธิฤทธิ์ยืนกระสับกระส่ายรออยู่หน้าบ้าน ชนมนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
อิทธิฤทธิ์โวย “ช้าเป็นเต่า!!”
ชนมนหอบ “รีบสุดแล้วเนี่ย”
“ไปๆ ไปขึ้นรถ บอกว่า ไปรับ ก็ไม่เอา”
“อิท!”
อิทธิฤทธิ์หันมามอง ชนมนเข้าไปกอดอิทธิฤทธิ์ไว้ด้วยความดีใจมากๆ
“ดีใจด้วยนะ..”
“ชั้นจะได้เจอแม่แล้ว!”
“พอนายได้เจอแม่ นายจะพูดอะไรเป็นคำแรก”
“ไม่เตรียมไรดีกว่า ไปเจอแล้ว ก็รู้เองแหละ”
“เตรียมตัวซักหน่อยก็ดีนะ”
อิทธิฤทธิ์มองชนมนแล้วยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนได้เห็นหน้าแม่แล้ว
อิทธิฤทธิ์ซ้อมพูด “แม่..นี่อิทนะ..จำอิทได้ใช่มั้ยครับ”
อิทธิฤทธิ์ดึงชนมนเข้ามากอดและบอกความในใจที่มีต่อแม่
“อิทคิดถึงแม่ที่สุด!”
อิทธิฤทธิ์นึกแต่ภาพมีความสุขที่จะได้เจอหน้าแม่อีกครั้ง
ธรรม์มองถนอมที่เดินไปเดินอย่างไม่สบายใจ
ธรรม์ไม่เข้าใจ “ผมทำอะไรผิดหรือครับ ป้าหนอม”
ถนอมหยุดเดินแล้วหันมามองธรรม์แล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างหนักใจ
“คุณธรรม์ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกค่ะ”
“อิทเค้าอยากเจอคุณแม่มากนะครับ เราก็ควรให้พวกเค้าได้เจอกัน หลังจากนี้อิทจะได้ปรับความเข้าใจกับคุณพ่อ แล้วก็จะได้กลับบ้าน”
“ป้ากลัวคุณอิทจะเตลิดไปไหนต่อไหนมากกว่าค่ะ”
“นี่มันเรื่องอะไรกันครับ ป้าหนอม”
อิทธิพลเดินเร็วๆ เข้ามา
“ธรรม์! แกรู้ใช่มั้ยว่า นายอิทไปอยู่ที่ไหน”
“ไม่ทันแล้วล่ะค่ะ คุณท่าน คุณอิทไปหาคุณผู้หญิงแล้ว” ถนอมบอก
“ว่าไงนะ ไปเมื่อไหร่ แล้วรู้ได้ยังไง”
อิทธิพลหันไปมองธรรม์แล้วก็เข้าใจว่าธรรม์เป็นคนบอกที่อยู่ของนฤดี
ธรรม์พูด “ตอนนี้อิทน่าจะถึงบ้านคุณน้าฤดีแล้วล่ะครับ คุณพ่อ..ทำไมครับ ทำไมคุณพ่อถึงไม่อยากให้อิทได้เจอกับคุณน้า..ทำไมครับ คุณพ่อ”
ธรรม์มองอิทธิพลอย่างต้องการคำตอบที่จริงจัง อิทธิพลทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรงจนต้องกุมขมับ
อิทธิฤทธิ์ขี่มอเตอร์ไซค์โดยมีชนมนใส่หมวกกันน็อคสีชมพูดซ้อนท้ายแล่นมาจอดที่หน้าบ้านนฤดี
ชนมนกระโดดลงจากรถอย่างเร็วแล้วรีบถอดหมวกกันน็อค แต่อิทธิฤทธิ์ยังนั่งลังเลอยู่บนมอเตอร์ไซค์
ชนมนเร่ง “เร็วสิ อิท!”
อิทธิฤทธิ์ดับเครื่องแล้วค่อยๆ ลงจากรถอย่างช้าๆ แล้วเขาก็ถอดหมวกกันน็อคออก อิทธิฤทธิ์ยืนมองหน้าบ้านแม่อยู่ชั่วอึดใจแล้วคว้ามือชนมนจะพาไปด้วยกัน
“นายเข้าไปคนเดียวดีกว่านะ” ชนมนบอก
อิทธิฤทธิ์มองชนมนแล้วเริ่มตื่นเต้นจนมือเย็น
“ทำไมตื่นเต้นอย่างนี้”
“ไปเร็วเข้า! คุณแม่นายรออยู่”
อิทธิฤทธิ์เดินออกไปแล้วถอยหลังกลับมาส่องกระจกที่มอเตอร์ไซค์ดูหน้าตัวเองเพื่อเช็คให้มั่นใจ
“ชั้นพร้อมแล้ว!!”
อิทธิฤทธิ์ยืนนิ่งสูดลมหายใจลึกๆ แล้วค่อยๆก้าวออกไปอย่างมั่นใจว่าเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ชนมนยืนรออย่างเอาใจช่วยและมีความสุขดีใจไปกับอิทธิฤทธิ์ด้วย อิทธิฤทธิ์มีความสุขเปี่ยมล้นยิ่งกว่าเรื่องอะไรทั้งสิ้นที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต อิทธิฤทธิ์หันมายิ้มอย่างสดใสกับชนมนแล้วหันกลับและเดินต่อไปจนถึงหน้ารั้วบ้าน
ธรรม์รอฟังคำอธิบายจากอิทธิพลที่ยังนิ่งอยู่ ถนอมมองอิทธิพลด้วยความเข้าใจ
“คุณท่านคะ..ยังไงคุณธรรม์ก็เป็นคนในครอบครัวนะคะ”
อิทธิพลมองธรรม์แล้วตัดสินใจเล่าปัญหาที่เกิดขึ้นให้ฟัง
“พ่อจะเริ่มยังไงดี..ฤดีกับพ่อรู้จักกันมาก่อน พ่อเราสองคนเป็นตำรวจรุ่นเดียวกันฤดีก็เลยมาสนิทกับเพื่อนๆพ่อด้วย ทั้งพ่อหนูชน แล้วก็เที่ยงธรรม พ่อของแก”
อิทธิพลมองหน้าธรรม์อย่างลังเลที่จะต้องพูดถึงเรื่องเที่ยงธรรม
“แกเหมือนเที่ยงธรรมแทบทุกกระเบียดนิ้ว เข้มแข็ง มุ่งมั่นเรื่องงาน ที่สำคัญจิตใจดี เที่ยงธรรมไม่มีครอบครัว ก็เลยรักเพื่อนยิ่งกว่าอะไร อะไรๆก็ยอมให้เพื่อนได้ แม้แต่ผู้หญิงที่มันรัก..แกคงเดาได้ว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
“คุณน้าฤดี..”
“แล้วฤดีก็รักพ่อของแกด้วย ทั้งสองคนรักกัน แต่เที่ยงธรรมกลับยอมหลีกทางให้พ่อทันทีที่เรียนจบก็รีบแต่งงานไปกับแม่แก.. ฤดีถึงได้ยอมแต่งงานกับพ่อ ไอ้คำพูด ของคนโบราณที่ว่า อยู่ๆไปก็รักกันเอง มันใช้ไม่ได้ผลกับทุกคู่ ยิ่งอยู่ด้วยกัน เราก็ยิ่งทรมานใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย”
“คุณพ่อไม่ได้รักคุณน้าหรือครับ”
“รักสิ ฤดีเป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่พ่อรัก แต่ฤดีไม่ได้รักพ่อเลย ปัญหามันเริ่มต้นจากตรงนี้นี่แหละ”
ธรรม์มองอิทธิพลอย่างคาดไม่ถึงว่าเรื่องของพ่อทั้งสองคนจะพัวพันกันแบบนี้
อิทธิฤทธิ์ก้าวผ่านรั้วบ้านเข้ามาแล้วและกำลังเดินตรงไปที่ตัวบ้านอย่างช้าๆ เขานึกถึงแต่ภาพสวยงามของแม่ที่อยู่ในความทรงจำ
ภาพตอนที่นฤดีช่วยเป่าแผลและให้ลูกแมวกับอิทธิฤทธิ์แวบเข้าในหัว
นฤดีก้าวช้าๆออกมาจากตัวบ้านแล้วส่งยิ้มมาให้อิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์จ้องมองไปที่นฤดีด้วยความรู้สึกดีใจจนหัวใจพองโตเพราะสิ่งที่ฝันมาตลอดชีวิตกำลังเป็นจริง นฤดีเดินเข้ามาหาอิทธิฤทธิ์ พร้อมๆกับอิทธิฤทธิ์ที่เดินพุ่งเข้าไปหาแม่
“คุณเอกที่โทรมาเรื่องบ้านเมื่อเช้าใช่มั้ยคะ”
นฤดีเริ่มคลายยิ้มลงเมื่อเห็นว่าอิทธิฤทธิ์เด็กเกินไปที่จะเป็นคนมาซื้อบ้าน อิทธิฤทธิ์งงและเริ่มคลายยิ้มเหมือนกันเพราะคิดไปเองว่าแม่จำตัวเองได้แต่จริงๆ แล้วแม่กลับจำไม่ได้
อิทธิฤทธิ์อึกอักเพราะไม่เหมือนที่ซ้อมไว้เลย “จำผมไม่ได้หรือครับ”
นฤดีมองอย่างทบทวนความจำ “ขอโทษจริงๆนะคะ”
“ผม..ผม..อิทครับ อิทธิฤทธิ์ครับ แม่...”
นฤดีอึ้ง “อิท..”
อิทธิฤทธิ์มองนฤดีอย่างมีความหวังว่าแม่จะต้องดีใจสุดขีด แต่นฤดีได้แต่มองอิทธิฤทธิ์อย่างว้าวุ่นใจและไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนใจนี้ได้ยังไง
นฤดีเดินนำอิทธิฤทธิ์เข้ามาในบ้าน อิทธิฤทธิ์มองไปรอบๆบ้านที่มีผ้าคลุมเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นไว้แต่ไม่มีของแต่งบ้าน บ้านทั้งหลังว่างโล่งเหมือนไม่มีคนอาศัยอยู่
นฤดีไม่รู้จะเริ่มยังไง “นั่งก่อนสิ”
อิทธิฤทธิ์ยังไม่ยอมนั่งลงแต่กลับจ้องมองนฤดีอย่างผิดคาด
“ทำไม..ทำไมแม่มองผมเหมือนคนแปลกหน้า”
นฤดีฝืนยิ้ม “เราก็เหมือนคนแปลกหน้ากันจริงๆ เราไม่ได้เจอกันเป็นสิบปีแล้วนะ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อ เราก็คงได้เจอกันเร็วกว่านี้ ผมเรียนจบแล้ว ผมกำลังหางานทำผมมีอิสระที่จะทำทุกอย่างตามที่ต้องการแล้ว ผมจะไม่ให้พ่อมากีดกันเราสองคนอีก”
“อิทเข้าใจผิดแล้ว คุณพ่อเค้าไม่ได้กีดกันเราสองคน”
“แม่ไม่ต้องแก้ตัวแทนพ่อเลย ผมรู้ว่า พ่อโกรธแม่ ก็เลยไม่ยอมให้แม่มาพบผม พ่ออยากทำให้แม่เจ็บ.. ต่อไปนี้ผมจะไม่ให้พ่อมาทำร้ายเราสองคนอีกต่อไป แม่ไม่ต้องอยู่คนเดียวแล้ว ผมจะดูแลแม่เอง”
“นี่คุณพ่อไม่เคยบอกอิทเลยเหรอว่า เราตกลงกันไว้ว่ายังไง”
“แม่พูดเรื่องอะไรครับ”
“วันที่แม่ออกมาจากบ้าน คุณพ่อกับแม่ตกลงกันไว้ว่า เราจะไม่พบกันหรือติดต่อกันอีก แม่ยกอิทให้เป็นสิทธิ์ขาดของคุณพ่อคนเดียว แม่จะไม่ไปเกี่ยวข้องด้วยอีก”
“แต่แม่ก็กลับมาหาผม..”
“แม่กลับมาเพื่อจัดการขายบ้าน..บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่คุณตาคุณยายทิ้งไว้ให้แม่อีกสามสี่วันน่าจะเรียบร้อย แล้วแม่ก็จะกลับ อิท..คุณพ่อเค้าไม่เคยกีดกันเราสองคน เค้าโทรบอกแม่เรื่องอิททุกอย่างแล้ว แต่แม่เป็นคนปฏิเสธไม่ขอเจออิทเอง...แม่..แม่ขอโทษ”
อิทธิฤทธิ์ช็อค “ทำไมครับ..แม่..ทำไม”
อิทธิฤทธิ์มองนฤดีอย่างผิดหวังรุนแรง
อิทธิพลยิ่งคิดถึงเรื่องเก่าๆที่เกิดขึ้นก็ยิ่งปวดใจ
ธรรม์มองอิทธิพลที่พรั่งพรูพูดเรื่องส่วนตัวยาวเหยียดอย่างอ่อนไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“พ่อได้แต่งงานกับนฤดีก็เพราะผู้ใหญ่จัดการ พ่อรู้..ฤดีไม่เคยมีความสุขกับชีวิตแต่งงานเลย ถึงเราจะมีนายอิท ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น การที่คนสองคนจะอยู่ด้วยกันได้ ต้องมีทั้งความรักและความเข้าใจ แต่เราไม่มีทั้งสองอย่าง..เราได้แต่รอ..รอวันปิดฉากชีวิตคู่เท่านั้น”
“วันนั้นก็คือวันที่ผมเข้ามาอยู่ที่บ้านนี้”
“ไม่ใช่..วันที่เที่ยงธรรมตายต่างหาก ฤดีโทษว่าที่เที่ยงธรรมตายเป็นความผิดของพ่อคนเดียว ไม่มีเที่ยงธรรม ชีวิตก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป เค้าอยากลืมทุกอย่างที่นี่ไปเริ่มต้นใหม่..ที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีใครรู้จัก”
ถนอมที่นั่งฟังอยู่ด้วยตั้งแต่แรกพูดขึ้นมา
“เห็นมั้ยล่ะคะ คุณธรรม์ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคุณธรรม์เลย ไม่รู้ว่า ตอนนี้คุณอิทเป็นไงบ้าง” ถนอมพูดกับอิทธิพล “อิชั้นขอตัวก่อนนะคะ ไม่รู้คุณอิทเปิดมือถือหรือยัง”
ถนอมเดินออกไปอย่างเป็นห่วงอิทธิฤทธิ์มาก
“คุณน้าฤดีบอกว่า อยากลืมทุกอย่างที่นี่..แล้วอิทล่ะครับ” ธรรม์บอก
อิทธิพลไม่ตอบแต่มีสีหน้าที่หมดหวังทำให้ธรรม์เข้าใจได้จนต้องนิ่งอึ้งไป
อิทธิฤทธิ์ค่อยๆนั่งลงอย่างอ่อนแรงและไม่อาจจะมองหน้าแม่ได้อีกต่อไป นฤดีตัดสินใจที่พูดกับอิทธิฤทธิ์ให้เคลียร์จะได้ไม่ตั้งความหวังว่าจะได้มาอยู่กับเธอ
“อิท..เรื่องนี้เป็นความผิดของแม่เอง แม่ตัดสินใจผิดพลาดที่แต่งงานกับคุณพ่อทั้งๆที่เราไม่ได้รักกัน แล้วเรื่องก็คงไม่จบลงอย่างนี้ ไม่งั้นชีวิตแม่ก็จะ..”
อิทธิฤทธิ์ขัด “ชีวิตแม่ก็จะไม่มีพ่อ..ไม่มีผม..งั้นใช่มั้ยครับ”
“ชีวิตแม่ก็จะมีอิสระ..ที่จะเลือกทางเดินของชีวิตได้เอง แม่เดินออกมาจากชีวิตทุกคน ดีกว่าที่เราจะทนอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสุข แล้วแม่เชื่อว่า คุณพ่อเค้าเลี้ยงอิทได้และเลี้ยงได้ดีด้วย”
“แม่เคยคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า”
“แม่นึกถึงอิทอยู่บ่อยๆนะ”
“แค่นึกถึง..แต่ไม่ใช่คิดถึง ผมคิดถึงแม่ทุกวัน ผมจำวันที่แม่เดินร้องไห้ออกไปจากบ้านได้ติดตา ผมนึกว่าพ่อไล่แม่ไป แม่คงร้องไห้คิดถึงผมทุกวัน แต่เปล่าเลย แม่มีความสุขทุกวันที่ไม่มีผมอยู่ในชีวิต”
“อิท..อิทน่าจะเข้าใจแม่นะ ถ้าเลือกได้ อิทไม่อยากเลือกทางเดินเองเหรอ”
“ครับ ผมอยากเลือกเอง ผมเลือกที่จะไปจากพ่อเพื่อที่จะได้ตามหาแม่ ผมพยายามแทบตายที่จะได้เจอแม่แต่ผมกลับมาถูกแม่ทิ้งอีกครั้ง!”
สามีใหม่ชาวอเมริกันของนฤดีเดินออกมาจากด้านในแต่เขายังไม่ทันเห็นอิทธิฤทธิ์
“Honey! Can we go now?”
อิทธิฤทธิ์หันไปมองสามีใหม่ของนฤดีก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดว่านฤดีมีครอบครัวใหม่แล้ว
“ผมเข้าใจแล้ว ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่ไปเป็นส่วนเกินในชีวิตของแม่ ขอให้แม่มีความสุขกับครอบครัวใหม่นะครับ”
“อิท!!”
อิทธิฤทธิ์ผลุนผลันเดินออกไปทันที, นฤดีหันไปมองสามีใหม่แล้วพะวักพะวงจนทำอะไรไม่ถูก
ชนมนยืนรออยู่ที่ข้างรถมอเตอร์ไซค์ของอิทธิฤทธิ์ เสียงมือถือของชนมนดังขึ้น ชนมนมองหน้าจอแล้วรีบกดรับ
“ฮัลโหล ค่ะ ป้าหนอม..ใช่ค่ะ หนูอยู่กับอิท..ถึงนานแล้วล่ะค่ะ ยังไม่ออกมาเลยค่ะ ตอนนี้หนูรออยู่หน้าบ้าน นี่ป้าหนอมรู้ได้ไงคะ แต่ไม่มีเรื่องอะไรที่ป้าหนอมไม่รู้นี่เนอะ”
ชนมนยิ้มขำอย่างอารมณ์ดีเพราะยังคงดีใจไปกับอิทธิฤทธิ์แล้วก็ต้องนิ่งอึ้งเมื่อได้รู้ข้อมูลจากถนอม
“ทำไมล่ะคะ ทำไมคุณแม่อิทไม่อยากเจออิท..ค่ะๆ หนูไม่ไปไหนหรอกค่ะ หนูจะอยู่เป็นเพื่อนอิท..ได้ค่ะๆ”
ชนมนกดมือถือปิดอย่างเป็นห่วงอิทธิฤทธิ์ที่ถนอมโทรมาสั่งให้คอยดูแลเขาไว้
ธรรม์กับอิทธิพลยืนมองถนอมที่กดวางสาย ถนอมหันไปมองธรรม์กับอิทธิพลอย่างหมดหวัง
“คุณอิทยังอยู่กับคุณผู้หญิงค่ะ ได้พบกันแล้วจริงๆ..ไหนๆเรื่องที่เรากลัว ก็เกิดขึ้นแล้ว เราคงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะค่ะ คุณท่าน..นอกจากรอ..”
อิทธิพลเริ่มร้อนใจเพราะเป็นห่วงลูกชายมากขึ้น
“ชั้นกลัวว่า อิทมันจะตัดสินใจทำอะไรโง่ๆ ชั้นน่าจะยอมพาอิทไปเจอกับฤดีเอง” อิทธิพลสั่งถนอมทันที “ให้คนเอารถออกเดี๋ยวนี้เลย”
ถนอมจะคว้า Walkie Talkie แล้วก็ต้องชะงักเมื่อธรรม์ไม่เห็นด้วย
ธรรม์พูด “คุณพ่อเชื่อใจอิทเค้าซักครั้งเถอะครับ ผมว่าเค้าโตพอที่จะรับมือกับเรื่องนี้ได้อิทต้องคิดได้ครับ คุณพ่อ สุดท้ายเค้าต้องรู้ว่า ใครที่รักและเป็นห่วงเค้าที่สุดแล้วเค้าจะรู้ว่า เค้าควรจะทำยังไง”
“คุณท่านไม่ต้องห่วงค่ะ อิชั้นจะคอยอัพเดทข่าวกับหนูชน แล้วจะคอยมารายงานคุณท่านเป็นระยะๆนะคะ”
ถนอมเก็บ Walkie Talkie แล้วควักมือถือขึ้นมาใหม่ อิทธิพลเดินออกไปแต่ยังไม่คลายใจ ธรรม์เดินตามอิทธิพลไป
ธรรม์เรียก “คุณพ่อครับ..”
อิทธิพลหันกลับมามองธรรม์
“พ่อรู้ว่า แกคิดยังไง ปัญหาของชีวิตคู่ เป็นเรื่องของคนสองคน ไม่ใช่ความผิดของเที่ยงธรรมหรือความผิดของใครทั้งนั้น”
“ผมแค่อยากรู้ว่า คุณพ่อทำได้ยังไง ผมเป็นลูกของผู้ชายที่แย่งความรักจากคุณพ่อไป ตลอดเวลาที่ผ่านมา..คุณพ่อทนเลี้ยงดูผมมาได้ยังไง”
“พ่อเลี้ยงแกมาได้ยังไง.. ทำไมต้องถาม ก็แกเป็นลูกชายของพ่อ!”
อิทธิพลตบไหล่ธรรม์อย่างหนักแน่นและจริงใจ อิทธิพลเดินออกไป ธรรม์ซาบซึ้งใจ
อิทธิฤทธิ์เดินอย่างเร็วออกมาจากตัวบ้าน นฤดีเดินตามมาแต่ไม่ทัน
“อิท!!”
อิทธิฤทธิ์หยุดชะงักแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับแม่แบบหมดใจไปแล้ว นฤดีเดินมาหาอิทธิฤทธิ์ที่ยืนรอว่าเธอมีอะไรจะพูดอีก ทันใดนั้นชนมนก็เปิดประตูรั้วเข้ามาเพราะเป็นห่วงอิทธิฤทธิ์
นฤดีเอ่ย “แม่ไม่อยากให้เราจากกันอย่างนี้เลย”
“แม่ก็คิดซะว่า ผมไม่เคยมาที่นี่ก็แล้วกัน ผมก็จะคิดว่า ผมไม่เคยมีแม่!”
ชนมนที่ยืนด้านหลังอิทธิฤทธิ์ตกใจเพราะไม่คิดว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้
“ตอนนี้อิทยังไม่เข้าใจแม่ แต่ต่อไปอิทจะเข้าใจเอง” นฤดีบอก
“ผมเข้าใจ ไม่เห็นยากเลย พ่อกับแม่แต่งงานกันแต่ไม่ได้รักกัน ยิ่งอยู่ด้วยกันก็ยิ่งเกลียดกัน แล้วก็เลิกกัน ให้พ่อเลี้ยงผมไป ส่วนแม่ก็แต่งงานใหม่ ผมสงสัยอย่างเดียว แม่พลาดที่แต่งงานกับพ่อ แล้วผมล่ะ ผมก็เป็นความผิดพลาดของแม่ด้วยหรือเปล่า ผมไม่น่าเกิดมาเลยใช่มั้ย แม่”
อิทธิฤทธิ์ยิ่งพูดยิ่งเจ็บจนน้ำตาไหล นฤดีตกใจที่เห็นอิทธิฤทธิ์ร้องไห้เลยพูดไม่ออก นฤดีไม่ปฏิเสธ อิทธิฤทธิ์เลยสรุปว่านฤดีไม่ต้องการเขาจริงๆ
“ผมก็คิดงั้นเหมือนกัน..ผมไม่น่าเกิดมาเลย...”
อิทธิฤทธิ์หันกลับจะเดินออกไปแต่แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นชนมนยืนมองอยู่ ชนมนน้ำตาไหลเหมือนกัน อิทธิฤทธิ์เดินผ่านหน้าชนมนไปอย่างรวดเร็วแล้วก็รีบเช็ดน้ำตาอย่างโมโหตัวเอง
อิทธิฤทธิ์ซิ่งมอเตอร์ไซค์อย่างเร็วรอบสนามเพื่อระบายความคับแค้นใจ อิทธิฤทธิ์ซิ่งรถ ตีโค้ง ดริฟท์รถอย่างเสี่ยงสุดๆ แต่ไม่มีพลาดเลยแม้แต่น้อย
อิทธิฤทธิ์นึกถึงตอนที่เขาถามถึงแม่กับอิทธิพล
“ทำไมผมจะไปหาแม่ไม่ได้”
“เลิกพูดถึงแม่แกซักที”
“ทำไมจะพูดไม่ได้ แม่ไม่ได้ทำอะไรผิด พ่อต่างหากที่ทำผิดกับแม่ถามจริง พ่อทำอะไรแม่ แม่ถึงต้องหนีไป พ่อมีเมียน้อยหรือว่าทำร้ายตบตีแม่ ?”
อิทธิพลทั้งโกรธและปวดใจ “ไอ้อิท !”
“อย่าคิดว่า ผมจำไม่ได้ ผมเห็นแม่แอบร้องไห้ทุกวัน พ่อทำให้แม่ต้องทิ้งผมไป มีพ่ออย่างนี้ ไม่มีซะดีกว่า”
อิทธิพลตรงเข้าหาอิทธิฤทธิ์แล้วยกมือจะฟาดปากแต่ก็แค่เงื้อง่า อิทธิฤทธิ์จ้องหน้าพ่ออย่างไม่กลัว
แล้วอิทธิฤทธิ์ก็นึกถึงตอนที่รู้ความจริงว่านฤดีไม่ต้องการอยู่กับลูกเอง
“...คุณพ่อเค้าไม่เคยกีดกันเราสองคน เค้าโทรบอกเรื่องอิททุกอย่างแล้ว แต่แม่เป็นคนปฏิเสธไม่ขอเจออิทเอง..แม่..แม่ขอโทษ”
อิทธิฤทธิ์บิดเร่งความเร็วยิ่งขึ้นอย่างคนอารมณ์เดือดแล้วเขาก็ซิ่งรถอีกรอบ
ชนมนนั่งอยู่ที่อัฒจันทร์คนดูโดยมีหมวกกันน็อคสีชมพูวางอยู่ข้างตัว ชนมนมองอิทธิฤทธิ์ที่ซิ่งรถไม่หยุดอย่างเป็นห่วง เธอตัดสินใจลุกขึ้นแล้วมุ่งตรงไปที่ขอบสนามด้านล่าง
ชนมนตะโกน “อิท! พอได้แล้ว! พอเถอะ!”
อิทธิฤทธิ์ยังซิ่งมอเตอร์ไซค์ไม่หยุด ชนมนตะโกนต่อแม้รู้ว่าอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ยิน
“พอเถอะ อิท! ชั้นขอร้อง!”
อิทธิฤทธิ์ซิ่งมอเตอร์ไซค์ไปจอดอยู่ที่กลางสนาม ชนมนดีใจจึงรีบวิ่งออกไปหาอิทธิฤทธิ์ พอชนมนวิ่งไปถึง อิทธิฤทธิ์ก็ถอดหมวกกันน็อคออกวางไว้บนเบาะมอเตอร์ไซค์
ชนมนรู้สึกสงสารจับใจ “อิท..”
“ชั้นไม่เป็นไร!”
“ไม่เป็นไรแน่นะ”
“ชั้นไม่เป็นไรจริงๆ! แค่นี้ไม่ตายหรอก” อิทธิฤทธิ์ตะโกนออกไปดังสุดๆเพื่อบอกตัวเอง “ไม่เป็นไร!!! ไม่เป็นไรโว้ย!!”
“อิท!”
ชนมนขยับจะเข้าไปกอดอิทธิฤทธิ์เพื่อปลอบใจ แต่อิทธิฤทธิ์ขยับหนีไม่อยากให้ชนมนแตะตัวเพราะกลัวจะน้ำตาแตกอีก
“ไม่ต้อง!”
ชนมนยังดื้อเข้าไปกอดอิทธิฤทธิ์ไว้แน่น
“เธอยังมีชั้นอยู่นะ”
อิทธิฤทธิ์ยอมให้ชนมนกอดแล้วตัวเองก็กอดชนมนไว้แน่นเอง อิทธิฤทธิ์น้ำตาไหลอย่างกลั้นไม่อยู่อีกเมื่อคิดถึงแม่ที่ไม่มีเยื่อใยให้เขาเลย
“ห้ามทิ้งชั้นนะ ชน สัญญาสิ!”
“ชั้นสัญญา..”
อิทธิฤทธิ์กับชนมนกอดและให้กำลังใจกันด้วยน้ำตาข้างรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่
ชูชัยสอนชินพัฒน์ผัดข้าวผัด ชินพัฒน์เทน้ำมันไปไปในกระทะแล้วหยิบถ้วยกระเทียมเตรียมสาดใส่
ชูชัยเตือน “เฮ้ย! เบาๆนะโว้ย”
ชินพัฒน์สาดกระเทียมใส่ลงกระทะอย่างเมามัน กระเทียมในกระทะกระเด็นพุ่งใส่ชูชัยกับชินพัฒน์จนทั้งสองต้องสะดุ้ง ชูชัยถอยห่างออกมาจากชินพัฒน์แล้วพูดสอนอยู่ห่างๆ
“ลดไฟ แล้วใส่หมูลงไปผัด ชั้นจะฝากอนาคตไว้กับมันได้เหรอเนี่ย”
ชูชัยมองลีลาการผัดข้าวผัดของชินพัฒน์ที่เน้นท่าเป็นหลักอย่างอ่อนใจ ชนมนเดินเข้ามาวางกระเป๋าใบใหญ่ลงบนโต๊ะแล้วลากขาเดินมาหาชูชัย
“นี่ถ้าพ่อตาย ก็ขายร้านทิ้งเลยนะ พ่อทำใจแล้ว” ชูชัยบอก
“หนูไม่ยอมให้พ่อตายหรอก..”
ชนมนกอดพ่อจากด้านหลังแล้วซบหัวที่หลังพ่อ
“ขอบคุณนะ พ่อ ที่พ่อไม่เคยคิดทิ้งหนูกับน้อง...”
ชูชัยรู้ได้ทันที “เกิดเรื่องอะไร”
ชนมนปล่อยมือจากชูชัยเมื่อคิดถึงอิทธิฤทธิ์แล้วก็รู้สึกเศร้าแทน
“วันนี้อิทไปเจอคุณแม่เค้ามา...” ชนมนเล่า
“อาการหนักเลยล่ะสิ” ชูชัยว่า
“พ่อรู้เรื่องคุณแม่อิทด้วยเหรอ”
ชินพัฒน์โยนตะหลิวลงกระทะเสียงดังเพล้ง
“เรื่องคุณแม่พี่อิท เรื่องเป็นไงเหรอ พ่อ!”
ชนมนกับชินพัฒน์หันไปมองชูชัยพร้อมกัน
อ่านต่อหน้า 4
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 15 (ต่อ)
ชนมนกับชูชัยนั่งอยู่ที่โต๊ะในร้าน หลังจากที่ชูชัยเล่าปัญหาของครอบครัวอิทธิฤทธิ์อย่างคร่าวๆไปแล้ว
ชินพัฒน์ถือจานข้าวผัดที่ผัดเองโดยมีสภาพไหม้ๆเละๆ มาวางบนโต๊ะ แล้วเขาก็จ้วงกินข้าวผัดตัวเองอย่างอร่อย
“เล่าต่อเลย พ่อ”
“ไม่มีอะไรจะเล่าแล้ว ปัญหาชีวิตครอบครัวก็มีแค่นี้ อยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็ต้องเลิกรากันไป คนที่ไปก็ไป คนที่อยู่ก็ประคับประคองชีวิตกันต่อไป”
“หนูสงสารอิทเค้าจังเลย.. มีแม่ที่ไม่รักลูกตัวเองด้วยเหรอ พ่อ” ชนมนถาม
“ฤดีเค้าก็รักลูก ไม่ใช่ไม่รัก แต่อาจจะไม่มีความผูกพันด้วยเท่านั้น ผู้หญิงบางคนไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นแม่ ภาระหน้าที่ของคนเป็นแม่อาจจะหนักหนาเกินไปสำหรับเค้า แต่เชื่อพ่อเถอะ ถ้าหากต้องตายแทนลูก ฤดีก็ตายแทนนายอิทได้..”
“หนูก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมคุณแม่อิทไม่ดีใจที่ได้เจอลูก ทำไมต้องทำร้ายจิตใจอิท โกหกอะไรไปก็ได้ แค่บอกอิทว่ารักว่าคิดถึง มันยากนักเหรอ พ่อ”
“ไม่มีใครหนีความจริงพ้น แล้วแกก็เห็นอยู่ว่า ผลของการปิดบังความจริง มันเป็นยังไง แล้วนายอิทก็จะผ่านช่วงนี้ไปได้เอง ตอนนี้พ่อห่วงแกมากกว่า ไอ้ชน..ความสุขความทุกข์ของแกขึ้นอยู่กับนายอิทมากเกินไปแล้ว แกไม่มีชีวิตของแกเองบ้างหรือไง”
ชูชัยลุกเดินออกไป ชนมนนิ่งไปอย่างเข้าใจได้ว่าตอนนี้เธอสุขๆทุกข์ๆกับเรื่องอิทธิฤทธิ์มาตลอด
“พ่อพูดยาวๆทีไร โดนทู๊กที! แล้วเรื่องพี่อิทกับแม่นี่จบยังล่ะ พี่ชน”
“ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้ว่า อิทจะทำไงต่อไป..”
ชนมนยังเป็นห่วงอิทธิฤทธิ์อยู่ดี
ถนอมเดินพูดกับ Walkie Talkie ออกมาอย่างหน้าตาตื่นเต้นดีใจ
“ใช่รถคุณอิทจริงๆเหรอ เปลี่ยน! ตอบด้วย! เปลี่ยน!”
ถนอมหันไปเห็นอิทธิฤทธิ์สะพายกระเป๋าเป้เดินเข้ามาในบ้าน
“คุณอิท! คุณอิทของป้า!”
ถนอมเดินเข้าไปกอดอิทธิฤทธิ์ไว้แน่น
“คุณอิทกลับมาแล้ว นี่คุณอิทไปเจอกับคุณแม่มา เป็นยังไงบ้างคะ”
“ผมง่วงอะ ป้าหนอม ขอไปนอนก่อนนะ” อิทธิฤทธิ์ว่า
ถนอมมองอิทธิฤทธิ์ที่นิ่งๆเฉยชาแล้วก็ยิ่งสงสารยิ่งกว่ากลัวว่าอิทธิฤทธิ์จะอาละวาดใส่
ถนอมน้ำตาไหล “คุณอิท...”
อิทธิฤทธิ์กลับกอดถนอมอย่างปลอบใจเสียเอง
“ร้องไห้ทำไมครับ ป้าหนอม ผมกลับบ้านแล้วไง ไม่มีผมซักคน พ่อจะด่าใคร จริงมั้ยล่ะ” อิทธิฤทธิ์ยิ้มขำ “ห้ามใครปลุกนะ ป้าหนอม”
อิทธิฤทธิ์เดินจากถนอมแล้วก็พบว่าธรรม์ยืนรออยู่
“นายตัดสินใจถูกแล้วที่กลับบ้าน” ธรรม์บอก
อิทธิฤทธิ์ยิ้ม “คนอย่างชั้นไปไหนไม่ได้ไกลหรอก สุดท้ายก็ต้องกลับมาอาศัยพ่อเหมือนเดิม”
“บ้านนี้เป็นบ้านของนาย” ธรรม์บอก
“บ้านของนายด้วย ชั้นขอโทษ ไม่ใช่นาย.. แต่เป็นชั้นที่ทำให้แม่ไป ชั้นโทษคนผิดมาตลอด ชั้นมันโคตรโง่เลย”
อิทธิฤทธิ์เดินออกไป ธรรม์มองตามไปโดยรู้ว่าแม้อิทธิฤทธิ์จะทำเฉยแต่เขาก็รู้ว่าอิทธิฤทธิ์เจ็บปวดแค่ไหน
อิทธิฤทธิ์เปิดประตูห้องเข้ามาแล้วโยนกระเป๋าเป้ลงบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ เขามองไปรอบๆห้องเหมือนไปจากที่นี่มานานเหลือเกิน แล้วเขาก็ต้องชะงัก อิทธิฤทธิ์ก้าวยาวๆไปหยิบการ์ดใบใหญ่ที่ทำเองบนหัวเตียงมายัดใส่ถังขยะ
อิทธิฤทธิ์หันไปมองการ์ดในถังขยะอีกครั้งแล้วก็ทนไม่ไหว เขาเอาถังขยะโยนทิ้งไว้หน้าห้องแล้วปิดประตู อิทธิฤทธิ์ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงโดยยังอดคิดเรื่องแม่ไม่ได้ เขาทั้งเศร้าและเสียใจขึ้นมาอีกครั้งอิทธิฤทธิ์พลิกตัวกลับมาอีกข้างก็เห็นหมูหวานนั่งอยู่บนเตียงโดยกำลังมองมาทางเขา
“ไป ไป ชั้นเกลียดแกแล้ว!”
อิทธิฤทธิ์หันหลังให้กับหมูหวาน แต่แล้วเขาก็ใจอ่อนลุกขึ้นไปอุ้มหมูหวานมาอย่างอ่อนโยน สุดท้ายอิทธิฤทธิ์ก็เกลียดทั้งแม่ทั้งหมูหวานไม่ลง
อิทธิพลเดินมาเห็นถังขยะที่ล้มอยู่ที่หน้าประตู ถนอมเดินตามเข้ามา อิทธิพลหยิบการ์ดใบใหญ่ของอิทธิฤทธิ์ที่กระเด็นมาอยู่บนพื้นขึ้นมาดู
อิทธิพลถาม “เป็นไงบ้าง”
“ดูท่าทางไม่ดีเลยล่ะค่ะ คุณท่าน ทำเฉยซะจนน่ากลัว นี่ถ้ากลับมาอาละวาดบ้านแตกยังจะดีซะกว่านะคะ คุณท่านเข้าไปปลอบใจคุณอิทหน่อยเถอะค่ะ”
“ชั้นไม่รู้ว่า มันจะยังพูดกับชั้นอีกหรือเปล่า ปล่อยให้อยู่คนเดียวไปซักพัก”
เสียงกีตาร์ดังขึ้นเบาๆ เป็นเพลงเศร้าๆเหงาๆ ที่บอกถึงความรู้สึกของคนเล่น
อิทธิฤทธิ์เล่นกีตาร์เพลงเศร้าด้วยท่าทางเงียบเหงาโดยมีหมูหวานนอนอยู่ข้างๆ อิทธิพลรับรู้ถึงความเศร้าของลูกชายได้
“คุณท่านอย่าปล่อยเรื่องนี้ไว้นานนะคะ ทำอะไรได้ก็รีบทำไปเถอะค่ะ” ถนอมว่า
“ชั้นจะทำอะไรได้อีก...”
“ตอนนี้มีคุณท่านคนเดียวที่จะพูดกับคุณผู้หญิงได้ คุณอิทไม่ต้องการอะไรมากหรอกค่ะ ไม่ต้องมีพ่อแม่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา แค่ให้รู้ว่าพ่อแม่รักก็พอแล้ว..”
อิทธิพลมองการ์ดใบใหญ่ในมือโดยยังตัดสินใจไม่ได้
เช้าวันใหม่ซึ่งเป็นวันถ่ายรูปฟิตติ้งละคร
แม็กซ์กับนุกนิกยืนโพสท่าให้ช่างภาพถ่ายรูป อรุณวตีกับเมนี่ยืนมองการถ่ายรูปฟิตติ้งอยู่ เมนี่ช่วยกำกับท่าอย่างเกินหน้าที่ของตัวเองตามเคย
“ใกล้ๆกันหน่อยสิคะ อีกค่ะ อีก แก้มแนบแก้มเลย นั่นแหละค่ะ เอ้าๆ หันมามองตาตาหน่อย เคมีคู่นี้มันได้จริงๆนะคะ คุณวตีขา ฟินค่ะ ฟิน คู่นี้จะต้องเป็นคู่จิ้นคู่ใหม่ของวงการ! เออ..คู่จิ้นน่ะ หมายถึงที่คู่พระเอกนางเอกที่คนดูชอบมโน”
อรุณวตีพูดขึ้น “ไม่ต้องอธิบาย ชั้นเข้าใจ คู่จิ้นเป็นแค่คู่ในจินตนาการ แต่ถ้าเป็นคู่ขวัญ ก็จะอยู่ในวงการได้ไปอีกนาน เพราะนักแสดงสมัยก่อนที่เป็นคู่ขวัญของประชาชน พวกเค้าเข้าถึงบทบาทตัวละครจนเหมือนไม่ได้แสดง..แต่เหมือนชีวิตจริง”
อรุณวตีมองนุกนิกกับแม็กซ์อย่างพิจารณาเพราะยิ่งดูนุกนิกก็ยิ่งไม่เหมาะที่จะเป็นโรสลิน
“แต่ชั้นดูยังไง ก็ดูเป็นการแสดงอยู่ดี”
เมนี่หน้าเสีย เธอหันไปมองนุกนิกที่โพสท่าอย่างจริงจังเกินพอดี
แม็กซ์มองไปที่ประตู “โรสลิน..”
นุกนิกยิ้มหวานเพราะนึกว่าแม็กซ์กำลังล้อเล่นด้วยการสวมบทบาทในละคร
“ขา..คุณราเชนทร์..อยากบอกอะไรโรสหรือคะ”
“สวย..ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่า เธองามจริงๆ” แม๊กซ์บอก
นุกนิกทำเป็นเขิน “ขอบคุณค่ะ..เอ๊ะ..”
นุกนิกเพิ่งไหวตัวว่าแม็กซ์ไม่ได้มองมาที่ตัวเองแต่มองเลยไปที่ทางเข้า นุกนิกมองตามไป ช่างภาพและทุกคนในห้องหยุดทำงานแล้วหันไปดูเป็นตาเดียว
มณีมันตราในชุดเดรสย้อนยุค แต่งหน้าเต็มสวยสง่าดูผู้ดีแบบเสื้อผ้าหน้าผมเป๊ะก้าวเข้ามายืนคอยรอถ่ายรูปอย่างเงียบๆ
“นีรชา..เข้าไปถ่ายรูปคู่กับราเชนทร์ซิ นิดหน่อย..เธอออกมาได้แล้ว” อรุณวตีสั่ง
นุกนิกเดินออกมาจากฉากอย่างไม่เต็มใจก่อนจะเดินเข้าไปยืนข้างๆ เมนี่
“ทำไมคุณวตีไม่เรียกนุกนิกว่า “โรสลิน” บ้างล่ะคะ พี่เมนี่”
“ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดเล็กคิดน้อยไปเลย นี่เราฟิตติ้งถ่ายรูปกันแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้วล่ะ”
มณีมันตรากับแม็กซ์โพสท่าถ่ายรูปด้วยกันอย่างดูเข้ากัน แม็กซ์มองมณีมันตราแล้วก็เริ่มรู้สึกรักขึ้นมา อรุณวตีมองมณีมันตราด้วยความพอใจมากเพราะยิ่งดูก็ยิ่งเห็นมณีมันตราเป็นโรสลินได้เหมาะกว่านุกนิก
“คู่นี้เหมาะสมกันมาก”
นุกนิกหันมามองเมนี่อย่างร้อนใจ ทีมงาน 2-3 คนเดินมาหยุดอยู่หลังนุกนิก
“อ้าว! เรื่องนี้มาย่าเป็นนางเอกเหรอ” ทีมงานคนนึงถาม
นุกนิกจ้องเมนี่อีกครั้งแล้วทนไม่ไหวแล้วจึงดึงเมนี่ออกไปทันที มณีมันตราโพสถ่ายรูปคนเดียวอย่างสวยสง่าและเหมาะจะเป็นนางเอกจริงๆ
นุกนิกลากเมนี่ออกมาจากสตูดิโอจนมาถึงที่ลับตาคน นุกนิกปล่อยมือเมนี่แล้วจ้องเมนี่อย่างโกรธจนลืมแอ๊บใส
“พี่เมนี่ต้องจัดการให้นุกนิกนะ ! พี่มาย่ากำลังแย่งบทโรสลินไปจากนุกนิก!”
“แย่งยังไง มาย่าเค้าก็ซ้อมบทนีรชาของเค้าอยู่ทุกวัน” เมนี่ว่า
“ชุดที่พี่มาย่าใส่ เป็นชุดนางเอกชัดๆ นางร้ายต้องผมฟูๆปากแดงๆ ชุดสีนกแก้วสิคะ พี่มาย่าต้องจงใจแต่งตัวให้เหมือนนุกนิก ให้คุณวตีเห็นว่า ใครเหมาะสมที่จะเป็นโรสลินมากกว่ากัน”
“คิดมาก! ตัวละครนีรชาน่ะร้ายลึก เสื้อผ้าหน้าผมก็ต้องเป็นแบบนี้ ที่จริงคราวนี้คุณวตีเธอตีความใหม่ นีรชาร้ายกว่าเดิมมาก คนดูได้เกลียดมาย่าทั้งประเทศแน่”
“คนยิ่งเกลียดก็ยิ่งดังสิคะ คุณสุวิชสั่งพี่เมนี่ไว้แล้วไม่ใช่เหรอ พี่มาย่าจะเด่นกว่านุกนิกไม่ได้”
“แล้วจะให้ทำไง ภาพหลุด คลิปหลุด สารพัดจะหลุดก็ทำอะไรมาย่าไม่ได้หรอก ตอนนี้มาย่าเล่นเป็นนางร้ายไม่ใช่นางเอก เรายิ่งปล่อยข่าวฉาว มาย่าได้ดังฉุดไม่อยู่แน่”
“ไม่รู้ล่ะคะ ทำอะไรก็ได้ ที่ทำให้พี่มาย่ากระเด็นออกไปจากละครเรื่องนี้ ถ้าหมดอนาคตไปจากวงการบันเทิงไปเลยยิ่งดี”
“ไม่ต้องกลัวไปหรอก ยังไงมาย่าก็กลับมาเป็นนางเอกไม่ได้แน่”
“ทำตามที่นุกนิกขอร้องเถอะค่ะ พี่เมนี่ ถ้าไม่อย่างงั้นนุกนิกคงต้องขอคุณสุวิชเปลี่ยนผู้จัดการคนใหม่”
นุกนิกพูดว่า”ขอร้อง”แต่กลับเป็นคำสั่งมากกว่า เมนี่เริ่มระอาใจกับนุกนิก
ชนมนกับธรรม์นั่งรออยู่ มณีมันตราในชุดละครเดินตรงเข้ามา ชนมนกับธรรม์ลุกขึ้นยืนมองมณ๊มันตราด้วยความชื่นชม
“โห..ย่าสวยจังเลย” ชนมนแซว “พี่ธรรม์มองตาค้างเลย ย่าสวยจนพูดไม่ออกเลยเหรอ”
ธรรม์ยิ้ม “ย่าเค้ามีอะไรมากกว่าแค่ความสวย”
มณีมันตราเขิน “เรานัดมาคุยเรื่องอิทไม่ใช่เหรอคะ อิทเป็นไงบ้างคะ พี่ธรรม์”
“อิทยอมกลับบ้าน ก็ไม่น่าห่วงแล้วล่ะ อิทเค้าเข้มแข็งกว่าที่เราคิดนะ”
“แต่ไงชนก็เป็นห่วงอิท เราจะช่วยอะไรอิทได้บ้างคะ”
“ไม่มีใครช่วยอิทได้หรอก อิทเค้าต้องทำใจให้ยอมรับความจริงเอง เรื่องที่เกิดขึ้นถึงจะทำให้อิทเค้าเจ็บปวดแค่ไหน แต่ก็จะทำให้อิทโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แล้วเวลาจะช่วยเยียวยาทุกอย่างได้เอง”
“แต่ย่าอยากให้อิทสบายใจขึ้นเร็วๆ ย่ารู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัว เวลาที่ทุกคนมีปัญหากัน ย่าไม่เคยช่วยอะไรได้เลย..” มณีมันตราพูดกับชนมน “มีอะไรที่อิทอยากทำหรืออยากได้ แล้วไม่ได้บ้างมั้ยคะ”
ชนมนพูดขำๆ “อิทเค้าอยากกินข้าวผัด ข้าวผัดฝีมือพ่อพี่น่ะ เค้าไม่เคยได้กินเลย”
มณีมันตราเอาจริง “งั้นย่านึกออกแล้ว!”
มณีมันตราขยับเข้าไปใกล้ธรรม์กับชนมนแล้วพูดคุยปรึกษากันเรื่องจัดงานฉลองที่อิทธิฤทธิ์สอบผ่าน
นุกนิกกับอรุณวตีเดินเข้ามา โดยที่นุกนิกพูดประจบอรุณวตีมาตลอดทาง
“หนูอ่านบทจบหมดแล้วนะคะ น้ำตาไหลทุกฉากเลยค่ะ นี่ถ้าไม่ใช่คุณวตีกำกับ ก็ไม่มีใครสามารถกำกับบทละครที่ลึกซึ้งกินใจแบบนี้ได้อีก ตอนนี้หนูสลัดความเป็นโรสลินออกไปจากตัวหนูไม่ได้เลยล่ะค่ะ”
อรุณวตีชะงักหยุดมองมณีมันตราที่ยืนคุยกับธรรม์อย่างใกล้ชิด แม้จะมีชนมนยืนอยู่ด้วย มณีมันตรายิ้มสดใสในขณะที่คุยกับธรรม์และชนมนอย่างสนุกสนานและตื่นเต้นที่จะได้ทำอะไรสนุกๆด้วยกัน นุกนิกมองมณีมันตราแล้วหันมาสังเกตอรุณวตี แต่ก็ดูไม่ออกว่าอรุณวตีคิดยังไง
“พี่มาย่านัดแฟนมาอีกแล้ว คุณวตีอย่าดุพี่มาย่าเลยนะคะ ท่าทางพี่มาย่าจะเป็นคนขี้เหงา เห็นว่ามีแฟนไม่ได้ขาด ที่พี่มาย่าแอคติ้งดี ก็คงเป็นเพราะมีประสบการณ์เยอะ”
อรุณวตียิ้มอย่างรู้ทัน “เธอก็มีประสบการณ์ไม่น้อยเลยไม่ใช่เหรอ”
อรุณวตีดูคนออกว่าผู้หญิงแอ๊บและมีท่าทางเฟคตลอดเวลาอย่างนุกนิกต้องไม่ธรรมดาแน่นอน นุกนิกชะงักอย่างไม่แน่ใจว่าอรุณวตีรู้อะไรบ้าง
“อุ๊ย! ไม่มีนะคะ หนูไม่เคยมีแฟน”
อรุณวตีเดินออกไปโดยไม่สนใจรอฟังคำตอบ นุกนิกได้แต่มองตามอย่างหงุดหงิดใจ นุกนิกหันไปมองมณีมันตราที่ยังคุยกับธรรม์และชนมนอย่างสนุกสนาน
นุกนิกมองมณีมันตราด้วยความหมั่นไส้
มณีมันตรา ธรรม์และชนมนตกลงกันได้ว่าจะจัดงานฉลองให้อิทธิฤทธิ์
“ตกลงตามนี้นะคะ”
“โอเค ไม่มีปัญหา” ชนมนบอก
มณีมันตรากับชนมนหันมามองธรรม์อย่างคาดคั้น ธรรม์มองสองสาวที่เหมือนเด็กๆ คุยกันจุ๊กจิ๊ก
“ว่าไง ว่าตามกัน” ธรรม์บอก
ชนมนล้อ “พี่ธรรม์เหรอจะกล้าขัดใจย่า”
“งั้นเย็นนี้เจอกัน เย้!”
มณีมันตรายกมือขึ้นแปะมือทำไฮไฟว์กับชนมนแล้วก็หันไปทางธรรม์ที่แกล้งส่ายหน้าไม่เล่นด้วย แต่สุดท้ายธรรม์ต้องยอมแปะมือทำไฮไฟว์กับมณีมันตราอย่างขำๆไปด้วย
ชนมนกับธรรม์กำลังเดินออกไปจากบริษัท แม็กซ์กับผู้จัดการส่วนตัวเดินมาอีกทาง ธรรม์ชะงักมองแม็กซ์อย่างไม่ค่อยถูกชะตาเพราะแม็กซ์เคยเตือนธรรม์ว่าอย่ามาหามณีมันตราที่บริษัท ชนมนมองแม็กซ์อย่างตื่นเต้นที่ได้เจอซุปตาร์ระดับเจมส์จิ
“แม็กซ์..ธีธัช! พี่ธรรม์รอแป๊บนึงนะ”
ชนมนรีบหยิบมือถือออกมาแล้วเดินไปหาแม็กซ์อย่างเหนียมอาย
“ขอถ่ายรูปหน่อยได้มั้ยคะ”
“ได้ครับ มาถ่ายด้วยกันสิครับ” แม๊กซ์พูดกับผจก. “พี่แนนครับ ถ่ายรูปให้หน่อย”
ชนมนกำลังยกมือถือขึ้นถ่ายรูปแม็กซ์แล้วก็ยิ้มดีใจขึ้นไปอีก ผู้จัดการรับมือถือจากชนมนไปถ่ายรูปให้ แม็กซ์เข้ามายืนคู่กับชนมนแล้วโพสท่ายิ้มให้กล้อง
ชนมนปลื้มจัด “น่ารัก!”
ผู้จัดการถ่ายรูปให้สองสามรูปแล้วคืนมือถือให้ชนมน
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมาก”
ชนมนรีบเช็คดูรูปในมือถืออย่างตื่นเต้นดีใจ แม็กซ์เดินไปหาธรรม์ที่กันตัวเองออกมา
“คุณไม่จำเป็นต้องเตือนผมอีก ผมรู้ว่า ผมกำลังทำอะไรอยู่” ธรรม์ออกตัว
“แต่ผมไม่คิดว่า หมวดจะรู้ว่า หมวดกำลังทำอะไรอยู่”
“ผมว่าคุณจะหวังดีกับย่าเกินเพื่อนร่วมงานไปแล้ว”
“ผมไม่ได้คิดอะไรกับย่า ผมแค่อยากได้ย่าเป็นนางเอกคู่กับผมเท่านั้น ละครถึงจะออกมาดีและต้องดังแน่ แต่ถ้าละครแป๊ก ทุกคนได้ดับกันไปหมด”
ชนมนเพิ่งเดินกลับมาหาธรรม์แล้วหยุดฟังอยู่ห่างๆ
“คุณพูดเหมือนว่าคุณจะทำให้ย่าเล่นเป็นนางเอกได้งั้นแหละ มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกมั้งครับ”
“ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก ผมเชื่อว่า คุณวตีอยากได้ย่าเป็นโรสลิน ถ้าย่าจะจริงจังกับงานแสดงไม่วอกแวกไปเรื่องอื่น” แม๊กซ์หมายถึงเรื่องธรรม์ “คนที่จะช่วยให้ย่าได้กลับไปเป็นนางเอกได้เหมือนเดิม คือหมวด ไม่ใช่ผมหรอกครับ”
แม็กซ์เดินออกไปพร้อมกับผู้จัดการ ชนมนฟังแล้วก็พอเดาเรื่องออก
“พี่ธรรม์ไม่ต้องคิดมากนะคะ ย่าได้เล่นละครเรื่องนี้ ย่าเค้าก็ดีใจแย่แล้ว”
“แต่ถ้าย่าได้เล่นเป็นนางเอก มันก็ดีต่ออนาคตของย่าไม่ใช่เหรอ ชน”
ธรรม์คิดทบทวนเรื่องอนาคตการแสดงของมณีมันตราอีกครั้ง
อิทธิฤทธิ์เดินหน้าง่วงๆ ลงมาจากห้องนอน ถนอมเดินมาพลางคัดเลือกดูซองจดหมาย ซองเอกสารที่อยู่ในมือแล้วเพิ่งเห็นอิทธิฤทธิ์
“คุณอิทตื่นแล้วเหรอคะ หน้าตาเหมือนไม่ได้นอนทั้งคืนเลย” ถนอมว่า
“ไปทำงานกันหมดแล้วเหรอครับ” อิทธิฤทธิ์ถาม
“ค่ะๆ ไปกันหมดแล้ว”
“พ่อว่าไงบ้าง”
“คุณท่านดีใจมากเลยค่ะที่คุณอิทยอมกลับบ้าน คุณอิทอย่าทำอย่างนี้อีกนะคะการหนีออกจากบ้านไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้เลย”
“แต่ก็ทำให้ผมได้รู้ความจริง”
“คุณอิทอย่าเพิ่งหมดหวังนะคะ” ถนอมหลุดปาก “คุณท่านกำลังหาทางช่วยคุณอิทอยู่”
“พ่อทำอะไร!?”
ถนอมอึกอักและตกใจที่หลุดปากบอกไป
“พ่อทำอะไร ป้าหนอม บอกผมมา ตอนนี้พ่ออยู่ไหน?”
“คุณท่าน..คุณท่านไปหาคุณผู้หญิงค่ะ”
อิทธิฤทธิ์ผลุนผลันออกไปทันที ถนอมมองอย่างกลัวใจเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
นฤดียืนนิ่งมองไปที่อิทธิพล ต่างคนต่างมองกันอย่างห่างเหินเหมือนคนแปลกหน้า
“ชั้นขอโทษ..ชั้นไม่ได้ตั้งใจทำให้ลูกเสียใจ แต่ชั้นทำไม่ได้จริงๆ”
“ผมขอร้องล่ะ ฤดี ผมอยากให้คุณทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง”
“ชั้นทำไม่ได้ แล้วชั้นก็ไม่คิดว่า อิทอยากจะไปอยู่กับชั้น ชั้นบอกคุณแล้วว่าเราไม่ควรเจอกันอีก อิทจะได้ไม่ผิดหวังที่มีแม่อย่างชั้น”
“ผมไม่ได้ต้องการให้อิทย้ายไปอยู่กับคุณที่โน่นเลย ยังไงอิทก็คงอยากอยู่เมืองไทย ขอแค่คุณยอมให้อิทไปหาคุณบ้าง แค่นี้ก็ไม่ได้งั้นเหรอ คุณลองเปิดออกดู แล้วคุณจะต้องเปลี่ยนใจ”
อิทธิพลมองไปที่ซองเอกสารสีน้ำตาลที่การ์ดของอิทธิฤทธิ์ที่วางอยู่บนโต๊ะอยู่แล้ว นฤดีหยิบซองใบใหญ่เปิดออกแล้วดึงการ์ดที่ตัดแปะรูปอิทธิฤทธิ์เต็มไปหมดออกมาดู นฤดีอึ้งไป เธอมองรูปอิทธิฤทธิ์ทีละรูปๆ นฤดีเงยหน้ามองอิทธิพลแล้วก็น้ำตาคลอ ทันใดนั้นอิทธิฤทธิ์ก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ประตู
“ชั้นทำไม่ได้ ชั้นเห็นหน้าอิท ชั้นก็ต้องนึกถึงคุณ นึกถึงอดีตที่ชั้นอยากลืม”
“คุณเกลียดผมขนาดนั้นเลยเหรอ ฤดี ผมทำให้คุณไม่ได้อยู่กับผู้ชายที่คุณรัก แต่จะเกลียดก็เกลียดผมคนเดียว ลงโทษผมคนเดียว อย่าทำให้อิทมันต้องเจ็บไปด้วย” อิทธิพลว่า
“ชั้นไม่ได้เกลียดลูก แต่คุณต้องเข้าใจ ชั้นมีครอบครัวใหม่แล้ว ที่สำคัญชั้นไม่ได้เป็นแม่สมบูรณ์แบบอย่างที่อิทฝันไว้ ชั้นไม่อยากทำร้ายอิทซ้ำแล้วซ้ำอีก”
“ผมขอร้องล่ะ ฤดี อิทไม่ได้ต้องการอะไร นอกจากได้เห็นหน้าคุณบ้าง ได้รู้ว่า คุณยังต้องการลูกอยู่..”
อิทธิฤทธิ์โพล่งออกมา “แม่เค้าไม่ต้องการผม พ่อจะขอร้องไปทำไม”
อิทธิพลกับนฤดีหันไปมองอิทธิฤทธิ์
“อิท..”
“ผมก็ไม่ต้องการแม่แล้ว กลับบ้านกันเถอะ พ่อ เสียเวลา!”
อิทธิฤทธิ์เดินออกไป อิทธิพลกับนฤดีหันมามองหน้ากันอย่างเจ็บปวดด้วยกันทั้งคู่
อิทธิฤทธิ์เดินออกมาจากตัวบ้าน อิทธิพลกับนฤดีเดินตามออกมา
“อิท! นายอิท! ฟังแม่เค้าก่อน”
อิทธิฤทธิ์ยอมหยุดเดินแล้วหันกลับมามองนฤดี
“แม่ขอโทษ...”
อิทธิฤทธิ์พูดกวน “แม่ขอโทษไปแล้ว”
นฤดีพูด “แม่ขอโทษที่ทำหน้าที่ของแม่ไม่ได้ แม่ขอโทษที่แม่เห็นแก่ตัวทิ้งอิทไป แม่
ไม่ได้อยู่กับอิท แต่แม่ก็ไม่ได้รักอิทน้อยลงไป อิทไม่ใช่ความผิดพลาด การที่แม่มีอิทคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตของแม่ แต่คนรักกัน..ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันเสมอไป”
“ผมจะพยายามเข้าใจก็แล้วกันนะครับ ผมกลับได้ยัง พ่อ”
“ไหว้ลาแม่เค้าก่อน” อิทธิพลบอก
อิทธิฤทธิ์ชะงักแล้วทำหน้าดื้อๆ จะไม่ยอมไหว้ลา อิทธิพลมองอิทธิฤทธิ์จนเขาต้องยอมเดินไปหานฤดี อิทธิฤทธิ์เดินเข้าไปหยุดตรงหน้านฤดีอย่างเฉยเมย อิทธิฤทธิ์ยกมือไหว้ นฤดีดึงอิทธิฤทธิ์เข้ามากอด
อิทธิฤทธิ์ทำตัวแข็งไม่ยอมกอดตอบแต่แล้วในที่สุดเขาก็ยอมกอดแม่
“แม่รักอิทนะ อิทเป็นคนเดียวที่แม่ลืมไม่ได้..”
อิทธิฤทธิ์เปรย “ลืมไม่ได้ แต่อยากลืม..”
อิทธิฤทธิ์ปล่อยมือจากนฤดีแล้วถอยห่างออกมา
อิทธิฤทธิ์ตัดใจได้ “แม่ลืมผมเหอะ ถ้าอดีตทำให้แม่เจ็บนัก แม่ก็ลืมผม ลืมพ่อไป ผมพูดจริง! ผมว่านี่เป็นทางออกเดียวของเรา แม่คิดถูกแล้วที่ตัดสินใจไปจากเรา ลาก่อนนะครับ แม่”
อิทธิฤทธิ์ยกมือไหว้นฤดีอีกครั้งแล้วเดินออกไปรออิทธิพลห่างออกไป อิทธิพลกับนฤดียืนมองหน้ากันนิ่ง
“คราวนี้คุณได้มีชีวิตใหม่อย่างที่คุณต้องการแล้ว ฤดี เราไม่มีอะไรค้างคาใจกันอีกต่อไป แต่หากวันไหนที่คุณเปลี่ยนใจ ถ้าคุณอยากจะพบลูก..
นฤดีตัดบท “เราอย่าเจอกันอีกเลยจะดีกว่า ลาก่อนค่ะ พล”
นฤดีเสียใจที่ทำให้อิทธิพลต้องเจ็บแต่เธอก็เลือกทางเดินใหม่แล้ว นฤดีหันหลังให้ทุกคนแล้วเดินกลับเข้าบ้าน
อิทธิพลรวบรวมสติเพื่อปรับสีหน้าให้เข้มแข็งเหมือนเดิมแล้วหันกลับมาก่อนจะเดินมาหาอิทธิฤทธิ์
“ไป..อิท..กลับบ้านเรา”
อิทธิฤทธิ์ตรงเข้าไปกอดพ่อไว้เพื่อปลอบใจที่แม่ไม่ไยดีกับพ่อเลย
อิทธิฤทธิ์โพล่งออกมา “ผมมีพ่อคนเดียวก็พอแล้ว!”
อิทธิฤทธิ์เสียใจสำหรับเรื่องที่เคยแผลงฤทธิ์กับพ่อมานานเป็นสิบปี
อิทธิฤทธิ์น้ำตาไหล “ผมขอโทษ..ผมขอโทษนะ พ่อ…”
อิทธิพลดันตัวอิทธิฤทธิ์ออกไป เขาน้ำตาคลอไปด้วยแต่ยังทำแมนใส่ลูกชาย
“เออๆ รู้แล้วๆ ไปๆ กลับบ้านกัน”
“ยังไม่กลับบ้านได้ป่าว พ่อ”
อิทธิพลมองอิทธิฤทธิ์ด้วยความสงสัย
รถมอเตอร์ไซค์แล่นแข่งคู่คี่กันมา อิทธิฤทธิ์กับอิทธิพลนั่งอยู่ที่อัฒจันทร์คนดู รถมอเตอร์ไซค์สองคันแล่นผ่านหน้าทั้งสองไป
“นี่หรือโลกของแกที่พ่อไม่เคยเห็น” อิทธิพลถาม
อิทธิฤทธิ์ย้อนถาม “มันใช่มั้ยล่ะ พ่อ”
“แกจะแข่งอีกทีเมื่อไหร่”
“พ่อจะมาดูผมแข่งเหรอ”
“ถ้าว่าง”
“ตำรวจนี่ฟอร์มเยอะทุกคน”
“แกอยากเป็นนักแข่งรถจริงๆเหรอ นายอิท พ่อไม่อยากบังคับแกหรอกนะ แต่อยากให้แกคิดดูให้ดีๆก่อน เรียนจบแล้ว อยากทำอะไรต่อ อยากทำงานหรือเรียนต่อปริญญาโท ถ้าจะเรียนต่อก็ต้องคิดเลยว่า อยากเรียนต่อด้านไหน”
“เฮ้อ ทำลายบรรยากาศจริงๆ”
อิทธิพลเตือนนิ่มๆ “นายอิท...”
“พ่ออยากรู้จริงๆเหรอ เอาเรื่องจริงเลยนะ พ่อ ผมไม่รู้! แต่พ่อจะเชื่อผมมั้ย ถ้าผมจะบอกพ่อว่า ซักวันผมจะทำให้พ่อภูมิใจในตัวผม”
“แกพยายามจนเรียนจบ พ่อก็ภูมิใจแล้ว ยิ่งพ่อเห็นแกวันนี้แล้ว พ่อก็ยิ่งภูมิใจ”
อิทธิพลตบไหล่อิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ยิ้มหน้าบานอย่างภูมิใจสุดๆ เพราะเป็นครั้งแรกที่พ่อชมเขา
ชนมน ธรรม์ มณีมันตราถือจานเนื้อ จานผัก และจานอาหารสำหรับสุกี้มาวางจนแป๊บเดียวก็เต็มโต๊ะที่ต่อกันจนยาวในร้านของชูชัย ชูชัยกำลังผัดข้าวผัดกระทะใหญ่เสียงตะหลิวเคาะกระทะดังโช้งเช้งๆ
อิทธิฤทธิ์กับอิทธิพลนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้วมองไปรอบๆ ทุกคนที่กำลังวุ่นวายจัดเตรียมงาน ถนอมกับชินพัฒน์เดินถือถาดแก้วน้ำมาเสิร์ฟ
“เอ้า! ทุกคน! อาหารพร้อมแล้ว เชิญประจำที่ค่ะ” ถนอมบอก
ชนมน ธรรม์และมณีมันตรานั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับถนอม ชินพัฒน์ถือกระชอนสุกี้เดินแจกทีละคน
“ถึงเวลา..แจกอาวุธ!”
อิทธิฤทธิ์รับกระชอนสุกี้จากชินพัฒน์มาแล้วมองไปรอบๆอย่างงงๆขำๆ
“นี่อะไรกัน อยู่ๆก็มากันครบเลย”
“เราจัดงานฉลองที่นายสอบผ่านเรียนจบไง เรายังไม่ได้ฉลองกันเลยนะ”
“ย่าเป็นคนต้นคิด อยากให้นายรู้ว่า ทุกคนดีใจกับนายด้วย โดยเฉพาะป้าหนอม”
ถนอมเช็ดน้ำตา “ใช่ค่ะ ป้าดีใจกับคุณอิทที่สุด”
“ที่จริงลุงต้องเป็นเจ้าภาพถึงจะถูกนะ” อิทธิพลบอก
“หนูอยากจัดให้อิทน่ะค่ะ แล้วงานวันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่มาทานข้าวด้วยกัน” มณีมันตราว่า
“เดี๋ยวคุณลุงก็จัดงานใหญ่ๆอีกก็ได้ครับ พี่อิทสอบได้เอตัวแรกและตัวเดียวในชีวิต อย่างนี้ต้องปิดซอยฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน!” ชินพัฒน์ว่า
ชูชัยกับชนมนอยู่ใกล้ชินพัฒน์พอดี ทั้งสองจึงยกกระชอนสุกี้เคาะหัวชินพัฒน์พร้อมๆกัน
ชูชัยสั่ง “ไปยกข้าวผัดมา ไป!”
“พ่ออะ”
ชินพัฒน์เดินออกไปอย่างสะบัดสะบิ้งและงอนๆ ถนอมมองบรรยากาศบ้านนี้แล้วชอบใจ
“บ้านนี้น่ารักกันจริงๆ มิน่าคุณอิทถึงมาที่นี่บ่อยๆ” ถนอมบอก
“ไม่ต้องบ่อยนักก็ได้!” ชูชัยว่า
ชินพัฒน์ยกถาดถ้วยข้าวผัดถ้วยเล็กๆ เข้ามา ชูชัยรับถาดจากชินพัฒน์มาเสิร์ฟเองโดยเริ่มจากอิทธิพลแล้วเสิร์ฟให้ทุกคนทีละถ้วยๆจนมาถึงอิทธิฤทธิ์ก็หมดถาดพอดี อิทธิฤทธิ์มองชูชัยแบบนิ่งอึ้งค้างไปแต่ทำอะไรไม่ได้
“ยังไม่ถึงเวลา!” ชูชัยบอก
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างให้กำลังใจ อิทธิพลจับตามองชูชัยแล้วก็รับรู้ได้ว่าชูชัยยังไม่ให้อิทธิฤทธิ์ผ่านด่านไปง่ายๆ
อิทธิฤทธิ์มองชนมนอย่างอ้อนๆ และขอความเห็นใจ
อ่านต่อตอนที่ 16