รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 5
ผู้คนคับคั่งคึกคักหน้างานแถลงข่าว กลุ่มนักข่าวทยอยเข้ามาเซ็นชื่อที่โต๊ะลงทะเบียนรับบัตร pass เข้างาน
กลุ่มแฟนคลับถือซองถุงปลาเส้นเข้าไปแลกบัตรเข้างานอีกโต๊ะซึ่งมีทั้งแฟนคลับโอเจและแฟนคลับมณีมันตราถือช่อดอกไม้และป้ายไฟมากันตามธรรมเนียมปฏิบัติ
กลุ่มนักข่าวเดินเข้าประตูหน้า กลุ่มแฟนคลับเข้าประตูหลัง อิทธิฤทธิ์กับชนมนเดินเข้ามามองไปรอบๆ อย่างไม่รู้จะไปต่อยังไง อิทธิฤทธิ์เดินนำชนมนไปที่ประตูหน้า สตาฟคนหนึ่งกางมือห้ามไว้
“แฟนคลับเข้าประตูโน้นครับ ประตูนี้สำหรับนักข่าว”
อิทธิฤทธิ์สวน “ผมไม่ได้เป็นแฟนคลับ”
“งานนี้ถ้าไม่ใช่เป็นแฟนคลับเข้าไม่ได้เหรอคะ” ชนมนถาม
“ไม่ได้ครับ ถ้าไม่ใช่นักข่าว ก็ต้องมีบัตรเข้างาน แล้วต้องเอาซองเปล่าโตชิโร่สิบซองมาแลกบัตรด้วย ไม่ใช่เข้างานกันง่ายๆ”
“ขอเราเป็นกรณีพิเศษไม่ได้เหรอคะ” ชนมนถาม
“ผมเป็นเพื่อนสนิทมาย่า ทำไมผมจะเข้าไม่ได้” อิทธิฤทธิ์บอก
สตาฟไม่เชื่อ “คุณเป็นเพื่อนน้องมาย่า ผมก็พี่โอเจแล้วล่ะครับ”
“แค่งานแถลงข่าวจะมาเข้มงวดอะไรมากมาย ขอเข้าไปหน่อยไม่ได้เหรอ” อิทธิฤทธิ์ว่า
“คุณกลับไปซะเถอะครับ อย่าให้ผมต้องเรียกรปภ.”
เสียงตี๋เล็กดังขึ้น “นึกแล้วว่าต้องเจอกันที่นี่ !”
อิทธิฤทธิ์กับชนมนหันไปตามเสียงก็เห็นตี๋เล็กใส่สูทหล่อยืนยิ้มพร้อมทำท่าที่เขาคิดว่าเท่มากอยู่
“แกมาได้ยังไงวะ”
ตี๋เล็กยิ้มแล้วคีบบัตรเชิญด้วยปลายนิ้วส่งให้สตาฟคนนั้นอย่างเท่ๆ
“ก็ได้รับเชิญน่ะซิครับ นี่บัตรเชิญ” ตี๋เล็กย้ำ “บัตรเชิญสำหรับวีไอพี Very important person อาโกวของอาเจ็กสุวิชเป็นอากิ๋มของอาป๊าชั้น รู้จักอาเจ็กสุวิชป่าว เจ้าของหนังน่ะ แล้วที่สำคัญอาม้าชั้นเป็นสปอนเซอร์ใหญ่งานนี้โว้ย”
“เชิญครับ” สตาฟบอก
ตี๋เล็กรับบัตรเชิญคืนมาแตะที่ปากอย่างกวนๆ
“สมัยนี้หล่อมีตังค์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีเส้นด้วย ถึงมีพ่อเป็นตำรวจใหญ่ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เสียใจด้วย”
ตี๋เล็กเดินทำหน้ากวนๆเข้าไปในงาน อิทธิฤทธิ์หมั่นไส้ตี๋เล็กจึงขยับตัวจะตามไป แต่สตาฟกางมือห้ามไว้
“เข้าไม่ได้ !”
อิทธิฤทธิ์ผิดหวังเพราะเสียหน้ามาก
โอเจนั่งเล่นไอแพดอยู่ที่มุมส่วนตัว เมนี่อ่านสคริปท์เตรียมเป็นพิธีกร มณีมันตราเดินเข้ามานั่งแล้วจ้องไปที่หน้าผากของโอเจ
มณีมันตราพูด “หัวเถิกจริงๆ ด้วย”
โอเจเงยหน้ามองมณีมันตราอย่างไม่ชอบใจ
“น้องมาย่า !” เมนี่ปราม
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ โอเจเค้าฟังภาษาไทยไม่ออกไม่ใช่เหรอคะ” มณีมันตราพูดกับโอเจ “Do you know what I said ?”
โอเจปฏิเสธเสียงหลง “ What ? No”
“แต่ทำอย่างนี้เสียมารยาทนะคะ ไม่เป็นนางเอกเสียเลย” เมนี่ว่า
“หนูก็อยากเป็นนางเอกแก่นเซี้ยวบ้างนี่คะ พี่เมนี่ เรามาเล่นอะไรสนุกๆกันดีกว่า โอเจพูดไทยไม่ได้แต่พูดอังกฤษได้นี่นะ” มณีมันตราพูดกับโอเจ “O.J. You should learn to speak Thai. Let me teach you”
โอเจงง “Ok.”
“ผม-หัว-เถิก-จริงๆ” repeat after me. “ผม-หัว-เถิก-จริงๆ”
โอเจพูดสำเนียงเกาหลี “โผม-หัว-เถิก-เจงๆ” โอเจกัดฟันถาม “ What does it mean?”
มณีมันตรายิ้มหวาน “It means “I am very handsome”
โอเจหันไปสบตาเมนี่เพื่อขอความช่วยเหลือ
มณีมันตราพูดต่อ “And when you are on stage, you must introduce yourself by saying.. “ผม-ปวด- อึ” that means “I’m glad to meet you all” repeat after me “ผม-ปวด-อึ”
โอเจจำใจพูดตาม “ผม-ปวด-อึ”
“น้องมาย่า ! เล่นพอหรือยังคะ” เมนี่ถาม
“ไม่พอหรอกค่ะ เดี๋ยวหนูจะไปเล่นบนเวทีแถลงข่าวด้วย”
“โอเจเป็นพระเอกนะ ไม่ใช่ตัวตลก” เมนี่ว่า
“ถ้าโอเจอยากเป็นพระเอกต่อไป ก็เลิกโกหกหลอกลวงได้แล้ว”
มณีมันตราหันมาจ้องโอเจอย่างเอาเรื่อง
“ชั้นรู้แล้วว่า คุณพูดไทยได้ ชั้นเพิ่งโทรคุยกับแม่คุณที่เกาหลี”
โอเจโพล่งออกมา “มั่วแล้ว ตอนนี้แม่ผมอยู่เมืองไทย ไม่ได้อยู่เกาหลี”
โอเจสะดุ้งตกใจเมื่อรู้ตัวว่าหลุดปากพูดภาษาไทยออกไป เมนี่จะตะปบปิดปากโอเจแต่ก็ไม่ทัน มณีมันตรายิ้มสมใจที่เปิดโปงโอเจได้
อิทธิฤทธิ์เดินหงุดหงิดงุ่นง่านออกมาจากทางเข้างาน ชนมนเดินตามอิทธิฤทธิ์มาติดๆ
“นายมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเจอมาย่าวันนี้ นายก็เจอมาย่าแทบทุกวันอยู่แล้ว”
“นี่เป็นงานแถลงข่าวหนังเรื่องแรกของมาย่า”
“แล้วไง”
“มาย่าเล่นหนังเรื่องแรก ชั้นก็ต้องมาให้กำลังใจน่ะซิ เห็นมั้ย ทั้งไอ้ธรรม์ ไอ้ตี๋เล็กเสนอหน้ามากันหมด เรื่องอะไรชั้นจะยอมให้ไอ้พวกนั้นมาทำคะแนนเกินหน้าชั้น”
“นายชอบมาย่าเหรอ”
ชนมนถามทั้งที่รู้อยู่แต่ก็อดใจแป้วไม่ได้ อิทธิฤทธิ์ชะงักกึกเพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้
“ชอบไม่ชอบ เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย”
อิทธิฤทธิ์ตัดใจยอมเดินออกไป
“จะไปไหน” ชนมนถาม
“กลับบ้านไปติวกับเธอไง”
“ถ้ามาย่ามีความสำคัญกับนายมากขนาดนี้ ชั้นจะช่วย” ชนมนนึกได้ “พี่ธรรม์ไง เดี๋ยวให้พี่ธรรม์พาเข้างานซิ ชั้นโทรให้”
“ไม่ต้อง ! ชั้นไม่ต้องการให้มันช่วย”
อิทธิฤทธิ์หันหน้ากลับไปก็ต้องชะงักนิ่งเมื่อเห็นธรรม์เดินเข้ามาส่งบัตร pass ให้อิทธิฤทธิ์กับชนมน ชนมนรีบรับบัตรพาสไป
ชนมนดีใจ “พี่ธรรม์ ! รู้ได้ไงว่า เรามา”
อิทธิฤทธิ์ยังยืนนิ่งทำฟอร์มอยู่โดยไม่ยอมรับบัตร pass มา
ธรรม์พูด “เห็นตั้งแต่เข้างานแล้วล่ะ ตอนแรกนึกว่ามีบัตรกันแล้ว ได้บัตรแล้วก็รีบเข้างานซิ งานจะเริ่มแล้ว”
“ไม่ล่ะ ไม่อยากเข้าแล้ว” อิทธิฤทธิ์ว่า
“งั้นก็ตามใจ” ธรรม์พูดกับชนมน “เข้าไปด้วยกันเลยมั้ย ชน”
“โอ๊ย ดีจัง วันนี้ได้ควงพี่ธรรม์ออกงาน นี่เป็นครั้งแรกเลยนะคะเนี่ยที่ชนได้มางานแบบนี้ แล้วพี่ธรรม์เห็นโอเจหรือยัง หล่อมั้ยคะ ได้ข่าวว่า ทั้งหล่อทั้งนิสัยดี”
อิทธิฤทธิ์มองชนมนกับธรรม์ที่เดินควงกันออกไป ชนมนชวนคุยไปตลอดทาง
“ยังไม่เห็นเลย วันนี้ชนแต่งตัวสวยนะ เข้ากับงานวันนี้เลย” ธรรม์ชม
ชนมนเขิน “ชุดของมาย่าน่ะค่ะ สวยจริงๆ เหรอคะ พี่ธรรม์”
อิทธิฤทธิ์ตามมาแทรกกลางแยกชนมนออกจากธรรม์
“นายอิท !”
อิทธิฤทธิ์กระตุกบัตร pass จากมือธรรม์
“ไหนว่า ไม่เข้าไปแล้วไง” ชนมนถาม
“มาด้วยกัน ก็ต้องไปด้วยกันดิ ชั้นกลัวเธอจะไปทำอะไรเฟอะฟะในงาน” อิทธิฤทธิ์ว่า “เดี๋ยวจะขายหน้าซะเปล่าๆ แล้ววันนี้เธอมากับชั้น ก็ต้องอยู่กับชั้น”
อิทธิฤทธิ์ลากตัวชนมนเดินออกไป ชนมนหันมาโบกมือให้ธรรม์
“ขอบคุณสำหรับบัตรนะคะ พี่ธรรม์” ชนมนพูดกับอิทธิฤทธิ์ “ขอบคุณพี่ธรรม์ซิ”
อิทธิฤทธิ์ตอบทันที “ไม่ !”
อิทธิฤทธิ์หันมาสบตาธรรม์อย่างรู้สึกดีที่ได้ธรรม์มาช่วย อิทธิฤทธิ์เมินหน้าหนี เขายังคงลากชนมนเดินออกไปต่อ ธรรม์ทำใจกับอิทธิฤทธิ์ได้แล้วก็ได้แต่ยิ้มขำๆ อย่างอ่อนใจ
มณีมันตรากับโอเจที่เปลี่ยนชุดแถลงข่าวสวยหล่อแบบจัดเต็มเดินมาจากห้องแต่งตัว สตาฟ 2 คนเดินนำไปอย่างเร่งรีบ เมนี่เดินตามหลังมาติดๆ
“น้องมาย่าต้องเข้าใจนะคะว่า นี่เป็นแผนการประชาสัมพันธ์และวางภาพลักษณ์ศิลปิน..ศิลปินทั่วโลกก็ทำกันอย่างนี้แหละค่ะ” เมนี่บอก
“แต่ไม่มีศิลปินคนไหนโกหกประชาชนถึงขนาดนี้หรอกค่ะ ทำไมคะ พูดไทยไม่ได้ มันเท่ตรงไหน” มณีมันตราว่า
“เธออย่ามาถามชั้น ไปถามต้นสังกัดโน่น เค้าสั่งอะไรมา ชั้นก็ต้องทำตามไม่งั้นชั้นก็ต้องถูกดอง ไม่ได้ออกอัลบั้มไม่ได้เล่นหนัง เข้าใจกันบ้างซิ” โอเจบอก
“ไม่รู้ล่ะ วันนี้คุณจะต้องบอกความจริงกับทุกคนว่า คุณพูดไทยได้”
“ไม่ยาก” โอเจพูดสำเนียงเกาหลี “โผม-ร้าก-คุณ, คนทายซวยมากๆ, ร้ากนะ เด็กโง่”
“นั่นมันเอ้าท์แล้ว แค่”ผมรักคุณ” “ผมชอบผู้หญิงไทย” แค่นี้ก็กรี๊ดแตกกรี๊ดแตนแล้ว”
“หนูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น หนูต้องการให้โอเจสารภาพความจริงและต้องขอโทษที่หลอกลวงแฟนๆ ถ้าไม่ทำตามที่หนูบอก หนูจะเป็นคนบอกความจริงกับทุกคนเอง”
เมนี่กับโอเจมองมณีมันตราอย่างหวาดๆ เพราะไม่คิดว่าเธอจะเอาจริงถึงขนาดนี้ มณีมันตรามองอย่างเอาเรื่อง
โปสเตอร์หนังพร้อมชื่องาน “งานแถลงข่าวบอดี้การ์ดสุดซ่ากับซุป’ตาร์สุดแสบ” จอทีวียักษ์ตั้งอยู่บริเวณนั้น โปสเตอร์หนังติดอยู่ทุกมุมห้องโดยรูปโอเจมีมากกว่ารูปมณีมันตรา
หน้าเวทีเป็นกลุ่มนักข่าวที่เตรียมตั้งกล้องวีดีโอถ่ายรูปบรรยากาศ ด้านหลังของห้องเป็นกลุ่มแฟนคลับที่นั่งแยกกันเป็นสองฝั่ง ฝั่งซ้ายเป็นแฟนคลับใส่เสื้อชมพูเป็นแฟนคลับมณีมันตรา ฝั่งขวาเป็นแฟนคลับใส่เสื้อสีฟ้าซึ่งเป็นแฟนคลับโอเจ โดยแฟนคลับทุกฝ่ายมีป้ายชื่อป้ายไฟภาษาต่างๆ
อิทธิฤทธิ์ลากชนมนเข้ามาโดยหลงไปอยู่ในหมู่แฟนคลับ
“ไปหน้าๆหน่อย ไป”
“ไม่มีที่นั่งแล้ว ไม่เห็นเหรอ” ชนมนบอก
ธรรม์เดินเข้ามา สตาฟอีกคนเดินมาพาธรรม์ไปนั่งที่แถวแรกของที่นั่ง
“เห็นมั้ย ถ้าเข้ามากับพี่ธรรม์ ก็ได้นั่งหน้าแล้ว” ชนมนบอก
ตี๋เล็กเดินคุยกับสุวิชอย่างสนิทสนมเข้ามา ขณะที่สตีฟเดินหน้าหน่ายโลกตามมา ตี๋เล็กนั่งลงกับสุวิชและสตีฟที่โซฟาแถวหน้าสุด โดยที่มีผู้ใหญ่ 2-3 คนนั่งอยู่อยู่ก่อนแล้ว ตี๋เล็กยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทุกคน อิทธิฤทธิ์มองตี๋เล็กด้วยความหมั่นไส้
“เพื่อนนายเป็นแฟนคลับมาย่าเหรอ” ชนมนถาม
“ไอ้ตี๋เล็กมันไม่ใช่เพื่อนชั้น แล้วมันไม่อยากเป็นแค่แฟนคลับด้วย” อิทธิฤทธิ์บอก
อิทธิฤทธิ์ดึงชนมนเดินไปอยู่แถวหน้าๆ แต่ที่นั่งเต็มหมดแล้วจึงได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ
ตี๋เล็กนั่งยืดสุดๆเพราะรู้สึกแน่มากที่ได้นั่งที่นั่งวีไอพี เขาชะเง้อคอยาวไปมองทั่วๆห้องอย่างโชว์พาว ตี๋เล็กเห็นอิทธิฤทธิ์ยืนเบียดกับกลุ่มสตาฟและแฟนคลับบางส่วนเขาก็ยิ้มเยาะ
ตี๋เล็กขยับปากโดยไม่มีเสียง “ไอ้-กระ-จอก”
ตี๋เล็กขยับปากเยาะเย้ยใส่อิทธิฤทธิ์พลางโชว์บัตรวีไอพีให้ดู อิทธิฤทธิ์ฉุนกึกแล้วมองซ้ายมองขวา เห็นแฟนคลับโอเจถือช่อดอกไม้ช่อใหญ่ยืนอยู่ข้างๆ อิทธิฤทธิ์แอบเด็ดดอกกุหลาบออกมาขว้างใส่หัวตี๋เล็ก อิทธิฤทธิ์ขว้างพลาดไปถูกหัวสตีฟแทน
สตีฟสะดุ้งแล้วหันไปมองหาว่าใครขว้าง
“เฮ้ย ใครวะ สงสัยจะเป็นพวกแฟนคลับบ้าคลั่ง เริ่มงานซะทีซิ คุณสุวิชจะได้จบๆไป หนังยังลูกผีลูกคนอยู่เลย ก็แถลงข่าวแล้ว ไม่รู้จะสร้างกระแสอะไรนักหนา”
“หนังจะมีคนดูไม่มีคนดู ก็อยู่ที่กระแสนี่แหละ คุณผู้กำกับ แล้วเราได้ซุปตาร์ดังขนาดโอเจมาทั้งที จะไม่จัดงานแถลงข่าวได้ไง นี่ถ้าไม่กลัวเปลืองงบ ผมจะจัดงานมันทุกวันเลย” สุวิชว่า
“เออดี งานแถลงข่าวหนัง ไม่สัมภาษณ์ผู้กำกับ โปรโมทแต่ดารา แถลงข่าวหนังเรื่องอะไร ไอ้พวกมางานนี้ มันรู้มั้ยเนี่ย”
สตีฟหงุดหงิดจึงทำท่าฟึดฟัดยิ่งเห็นตี๋เล็กมองโปสเตอร์มณีมันตราตาปรอยก็ยิ่งหงุดหงิด
อิทธิฤทธิ์กำลังแอบเด็ดดอกกุหลาบเพิ่มทำให้ในมือของเขามีดอกกุหลาบอยู่เต็มกำมือ อิทธิฤทธิ์มองดอกกุหลาบเต็มกำมือแล้วก็ยิ้มเหี้ยม เขาหยิบมาหนึ่งดอกเตรียมขว้างใส่ตี๋เล็กไม่ยั้ง แต่ชนมนจับมืออิทธิฤทธิ์ไว้
“อย่าหาเรื่องน่า”
“ก็ดูมันหน้าซิ วอนมั้ยล่ะ..” อิทธิฤทธิ์บอก
“นายจะมาให้กำลังใจมาย่า หรือจะมาทำงานมาย่าพัง”
อิทธิฤทธิ์ยอมฟังจึงปล่อยดอกกุหลาบทิ้งหล่นพื้นจนหมดแต่ก็ยังถือไว้หนึ่งดอก อิทธิฤทธิ์ขว้างดอกกุหลาบใส่หัวตี๋เล็กโดยเร็ว ตี๋เล็กสะดุ้งแล้วคลำหัวป้อยๆ ชนมนมองอิทธิฤทธิ์ตาเขียว
อิทธิฤทธิ์ยิ้มอ้อน “น่า ขอซักดอก”
แฟนคลับที่ถือช่อดอกกุหลาบช่อใหญ่ก้มลงมองช่อดอกไม้ของตัวเองด้วยความแปลกใจว่าทำไมแหว่งไปกว่าครึ่ง เธอมองไปที่พื้นเห็นดอกกุหลาบกองอยู่ที่พื้น แฟนคลับคนนั้นหันไปมองอิทธิฤทธิ์กับชนมนด้วยความสงสัย
อิทธิฤทธิ์กับชนมนทำไม่รู้ไม่ชี้และทำฟอร์มชี้โน้นชี้นี่เชิญชวนกันดูโปสเตอร์หนังในห้อง
จอทีวียักษ์บนเวทีฉายVTRสั้นๆ เกี่ยวกับหนังเรื่องใหม่ของโอเจกับมณีมันตรา
ต่อมาเป็น VTR ภาพนิ่งของโอเจกับมณีมันตราและภาพคู่โอเจกับมณีมันตรามาตัดต่อรวมกัน แฟนคลับกรี๊ดทุกครั้งที่เห็นภาพคู่สวีทของโอเจกับมณีมันตรา VTR จบลงไปเหลือแต่ชื่อหนังค้างไว้บนจอ เมนี่ก้าวเข้ามายืนตรงกลางเวทีทำหน้าที่พิธีกร
“ทุกๆท่านค่ะ แล้วก็มาถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย ขอเชิญพบกับซุปเปอร์สตาร์แห่งเอเชียและองค์หญิงน้อยแห่งวงการบันเทิงไทย โอเจและมาย่าค่ะ”
กลุ่มนักข่าวกรูเข้าไปหน้าเวทีทันที เสียงกรี๊ดดังสนั่นหวั่นไหว แฟนคลับลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งยกกล้องขึ้นถ่ายจนแสงแฟลชวูบวาบ บอดี้การ์ด 2 คนออกมายืนตั้งแถวรับ
มณีมันตรากับโอเจเดินควงแขนกันออกมาอย่างเจิดจรัสเปล่งประกาย มณีมันตรายกมือไหว้ โอเจทำเป็นยกมือไหว้อย่างเก้ๆกังแล้วก็ส่งจูบให้ แฟนคลับกรี๊ดสนั่นอีกรอบ มณีมันตราจ้องโอเจอย่างคาดคั้น
“อย่าลืมที่รับปากล่ะ”
อิทธิฤทธิ์มองมณีมันตราด้วยความชื่นชม ชนมนมองมณีมันตราก็เห็นว่าเธอสวยมากจริงๆ ชนมนหันมามองอิทธิฤทธิ์ที่จับตามองมณีมันตราด้วยแววตาวาววับ
ธรรม์มองไปที่มณีมันตรา มณีมันตราก็มองไปที่ธรรม์และส่งยิ้มให้เขา ตี๋เล็กคิดว่ามณีมันตราส่งยิ้มให้ตัวเองจึงลุกขึ้นยืนโบกไม้โบกมือให้
“น้องมาย่า ! น้องมาย่าของตี๋เล็ก”
สุวิชกับสตีฟต้องฉุดตี๋เล็กให้นั่งลงสงบสติอารมณ์
เมนี่เดินไปยืนใกล้ๆ มณีมันตรากับโอเจ
“จากวีทีอาร์เมื่อซักครู่นี้ ทุกท่านคงจะทราบที่มาที่ไปของหนังเรื่องบอดี้การ์ดสุดซ่ากับซุปตาร์สุดแสบไปแล้ว ตอนนี้เรามาถามถึงความรู้สึกของคุณโอเจกับน้องมาย่ากับการที่ได้มาร่วมงานครั้งแรกกัน
ดีกว่านะคะ ก่อนอื่นคงต้องขอเชิญล่ามของคุณโอเจ”
โอเจพูดไทยสำเนียงเกาหลี “ไม่ต้องครับ”
ผู้คนในห้องฮือฮากันด้วยความแปลกใจ
เมนี่ทำเนียน “ตายจริง คุณโอเจพูดไทยได้”
“ใช่ค่ะ คุณโอเจพูดไทยได้ วันนี้คุณโอเจมีเรื่องที่จะสารภาพ..” มณีมันตราเอ่ยขึ้น
เมนี่แสร้งทำตื่นเต้น “เป็นไปได้ยังไงคะ ไหนว่าคุณโอเจพูดไทยไม่ได้เลย นี่พูดไทยได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วใครสอนคะ พูดได้ฟังออก แล้วอ่านเขียนไทยได้มั้ยคะ”
โอเจหัวเราะอายๆ “ช้าๆ ครับ ผมพูดได้ แต่ยังไม่เก่ง”
โอเจก้าวมาหยุดยืนที่ริมเวทีใกล้คนในงานมากขึ้นก่อนจะยิ้มหว่านเสน่ห์ไปทั่ว
โอเจพูดแปร่งๆ “ผมเป็นคนไทยครับ ผมก็ต้องหัดพูดไทยให้ได้ ผมใช้เวลาหัดมาหนึ่งเดือนแล้ว แม้จะยากแค่ไหน เพื่อแฟนๆชาวไทยแล้ว ผมต้องทำให้ได้ครับ เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ”
โอเจยกมือไหว้อย่างสุภาพ แฟนคลับกรี๊ดแตกด้วยความดีใจปลาบปลื้มราวกับโอเจช่วยไทยกู้ชาติ มณีมันตรานิ่งอึ้งเพราะไม่คิดว่าโอเจกับเมนี่จะแก้ปัญหาหน้าด้านๆอย่างนี้
ชนมนยิ้มเคลิ้มเพราะหลงชอบโอเจในทันที
“โอเจพูดไทยได้ด้วย เก่งจัง ! น่ารักที่สุด”
อิทธิฤทธิ์ขัด “โม้หรือเปล่า แค่เดือนนึงพูดได้ขนาดนี้เลยเหรอ”
แฟนคลับยื่นหน้าเข้ามาแล้วพูด
“โอเจเป็นซุปเปอร์สตาร์ ทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว”
อิทธิฤทธิ์สวน “แล้วเหาะได้ป่าว?”
ชนมนรีบดึงอิทธิฤทธิ์ออกมาเพื่อไม่ให้ทะเลาะกับแฟนคลับ
สุวิชปรบมือชอบใจ สตีฟนั่งฟังแล้วค่อยรู้สึกดีกับโอเจขึ้นมาหน่อยหนึ่ง
“เออ..ดีๆ พูดไทยได้ก็ดี ตัดงบค่าล่ามออกไปได้เลย” สุวิชว่า
สุวิชหันไปทางสตาฟ
“ไล่ล่ามกลับไปเลยนะ ไม่ต้องใช้แล้ว”
“ก็ดี จะได้ไม่ต้องแปลไทยแปลเกาหลีให้ปวดหัวด้วย” สตีฟว่า
“แล้วก็ไม่ต้องลงพากษ์เสียงไทยทับอีก โอ๊ย ประหยัดไปเยอะเลยนะ” สุวิชบอก
“งั้นก็น่าจะมีงบให้ผมไปถ่ายที่เคนย่าแล้วล่ะซิ”
“เฮ้ย ไม่มีงบ คุณอยากจะไปถ่ายที่ไหนก็ไปได้เลย ที่รถไปถึง ห้ามใช้เครื่องบิน ถ้าขับรถไปเคนย่าได้ ผมอนุมัติงบให้ น่า คุณสตีฟ ป่าที่เคนย่าหรือป่าที่เพชรบูรณ์ก็เหมือนๆกัน คนดูไม่รู้หรอก”
สตีฟทำหน้าเซ็งเป็ดเหมือนเดิม
เมนี่สัมภาษณ์มณีมันตรากับโอเจต่อ
มณีมันตราเซ็ง “ค่ะ ย่าดีใจมากค่ะที่ได้ร่วมงานคุณโอเจ”
“คุณโอเจยังทำงานอย่างมืออาชีพ มาตรงเวลา อ่านบททำการบ้านมาก่อนทุกครั้ง และที่สำคัญน่ารักและนิสัยดีมากๆ ด้วยใช่มั้ยล่ะ”
โอเจยิ้มหวาน “ขอบคุณครับ น้องมาย่า”
“ชั้นไม่ได้ชมคุณ !”
เมนี่ขัด “อุ๊ย น้องมาย่าเขินแล้วล่ะค่ะ”
แฟนคลับกรี๊ดกร๊าดมากมาย
“แล้วนี่น้องมาย่าเรียกคุณโอเจว่าอะไรคะ” เมนี่ถามชง
“ถ้าอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็เรียก คุณโอเจ”
“อุ๊ย มีชื่อเล่นเรียกกันสองคนด้วยเหรอคะ” เมนี่ถาม
“ไม่ใช่ชื่อเล่นหรอกครับ บางครั้งน้องมาย่าเรียกผมว่า “อุ๊ปป้า” แปลว่าพี่ชาย แต่ที่จริงอุ๊ปป้าไม่ได้ใช้เรียกเฉพาะพี่ชายเท่านั้น” โอเจบอก
เมนี่ลุ้น “เอ๊ะ ยังไงกัน ช่วยขยายความหน่อยซิคะ”
โอเจเฟคทำเขิน “บางทีผู้หญิงก็ใช้เรียก “แฟน” น่ะครับ”
แฟนคลับกรี๊ดดังถล่มทลาย หลายคนกระทืบเท้าด้วยความชอบใจ หลายคนเกิดอาการจิกหมอนกันถ้วนหน้า
มณีมันตรายืนอึ้งเพราะไม่ได้รู้เลยว่าโอเจกับเมนี่จะรุมหัวกันสร้างกระแสแบบนี้
ตี๋เล็กผุดลุกขึ้นยืนคัดค้าน
“ไม่เชื่อ ไม่จริง !”
สุวิชกับสตีฟรีบดึงตี๋เล็กให้นั่งลง
“สงบสติอารมณ์หน่อย !” สุวิชบอก
สุวิชยิ้มกริ่มด้วยความชอบใจ ตี๋เล็กฟึดฟัดเพราะหงุดหงิด
อิทธิฤทธิ์หน้าเหวอแล้วคิดได้
“มันโกหก !”
“ใจเย็น เค้าคงพูดตามสคริปท์” ชนมนบอก
ธรรม์มองมณีมันตราอย่างเข้าใจสถานการณ์แต่ก็อดใจเสียไม่ได้
มณีมันตรามองไปที่ธรรม์อย่างไม่สบายใจเพราะกลัวธรรม์เข้าใจผิด
นักข่าวฮือฮารีบกระหน่ำกดชัตเตอร์ถ่ายรูปโอเจกับมณีมันตรา เมนี่ดีใจดี๊ด๊าที่สร้างกระแสให้โอเจกับมณีมันตราได้สำเร็จ แม้ปากห้ามนักข่าวแต่มือของเธอกลับดึงให้โอเจกับมณีมันตราถ่ายรูปคู่กัน
“อย่าเพิ่งค่ะ อย่าเพิ่งถ่ายรูปตอนนี้ เดี๋ยวช่วงท้ายของงาน เราจะให้ถ่ายรูปนะคะ”
เมนี่ดันตัวมณีมันตราให้เข้าไปใกล้โอเจเพื่อให้โพสท่าให้นักข่าวถ่ายรูป มณีมันตราได้สติก็รีบถอยออกไปก่อนจะเดินฉับๆ ลงไปจากเวที
นักข่าวตะโกน “น้องมาย่า ! ไปไหนครับ ขอรูปคู่หน่อย”
“น้องมาย่าคงไปเตรียมตัวสำหรับโชว์พิเศษค่ะ ระหว่างนี้ขอเชิญชมตัวอย่างหนังดีปีนี้ของบริษัท Magnum 88 นะคะ เชิญค่ะ”
เมนี่รีบพาโอเจลงไปจากเวที ไฟบนเวทีดับวูบ จอทีวีขึ้นวีทีอาร์ตัวอย่างหนัง
มณีมันตราเปลี่ยนเป็นชุดดำเท่และทะมัดทะแมงแต่ใส่ส้นสูง ช่างแต่งหน้าซับหน้าเติมแป้งให้ สตาฟส่งปืนปลอมให้มณีมันตราเอาไปเหน็บที่เอวแล้วเดินนำออกไปก่อน มณีมันตราขยับจะตามสตาฟไปแต่ก็ชะงัก โอเจเปลี่ยนเป็นชุดหล่ออีกชุดเดินเข้ามากับเมนี่
โอเจยิ้มกวน “Baby. Are you ready?”
“ไม่ต้องมาแสดงละครแถวนี้ พูดไทยเถอะ ขอร้อง” มณีมันตราว่า
“พี่เมนี่ต้องขอบคุณน้องมาย่าจริงๆนะคะ ที่ช่วยชี้ทางสว่างให้ ต่อไปนี้โอเจก็จะพูดไทยได้สะดวกแล้ว งานก็คงจะไหลลื่นขึ้น แล้วก็ได้แฟนคลับเพิ่มขึ้นอีกด้วย น้องมาย่าคิดแผนนี้ได้ไง อัจฉริยะจริงๆ”
“ที่เราตกลงกัน ไม่ใช่แบบนี้นะคะ พี่เมนี่ หนูต้องการให้โอเจสารภาพความจริงและขอโทษทุกคน”
“ชั้นก็บอกความจริงไปแล้วไงว่า ชั้นพูดไทยได้” โอเจว่า
“แต่นายบอกไม่หมด แล้วยังสร้างเรื่องโกหกใหม่ขึ้นอีก เพิ่งหัดพูดไทยได้เดือนเดียว? แต่นายพูดไทยได้ตั้งแต่เกิดแล้ว แล้วยัง..ยังมาตู่ว่าชั้นเป็นแฟนกับนายอีก ! รู้มั้ยว่า ชั้นเสียหาย”
มณีมันตราเกลียดหน้าโอเจเพราะหมดความศรัทธา เธอจึงเรียกนายไม่เรียกเขาว่าคุณแล้ว
“เป็นแฟนชั้นเสียหายตรงไหน” โอเจถามกลับ
“เสียหายตรงที่มันไม่เป็นความจริง” มณีมันตราว่า
“ยังจะหาความจริงจากวงการนี้อยู่อีกเหรอคะ”
มณีมันตรานิ่งอึ้งเพราะโกรธจนพูดไม่ออก
“น้องมาย่าอย่าเรื่องมากนักเลย โอเจก็ไม่ได้บอกตรงๆว่า เป็นแฟนกับน้องมาย่า แค่พูดกำกวมให้คนฟังไปตีความเอง น้องมาย่าเป็นข่าวกับซุปตาร์เอเซียดีกว่าเป็นข่าวกับตำรวจกระจอกๆเป็นไหนๆ”
ธรรม์เดินเข้ามาชะงักกึก มณีมันตราเห็นธรรม์ก็รู้ว่าเขาได้ยินเต็มสองหู
“ทีนี้น้องมาย่าก็ดังไม่หยุด แล้วยังได้โปรโมทหนังอีก งานนี้วินวินกันทุกฝ่ายค่ะ น้องมาย่าขา.. ไปค่ะ ไปสแตนด์บายได้แล้ว”
เมนี่ดึงมณีมันตราออกไปแล้วก็ชะงักที่เห็นธรรม์ยืนมองอยู่แต่เธอก็ไม่ใส่ใจ
“ไปก่อนค่ะ เดี๋ยวหนูตามไป” มณีมันตราบอก
“แต่ว่า..”
มณีมันตราพูดเสียงเข้ม “เดี๋ยวหนูตามไปค่ะ”
“เร็วๆล่ะ”
เมนี่มองธรรม์อย่างไม่ชอบใจแต่เพราะทำมณีมันตราโกรธหลายเรื่องเธอเลยยอมตามใจไปก่อน เมนี่ยอมดึงโอเจให้เดินออกไปก่อน
“พี่ธรรม์...”
“ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดเรื่องอื่น มาย่าต้องมีสมาธิ จำที่ซ้อมไว้ได้ใช่มั้ย ตั้งใจให้ดีนะ พี่จะคอยเอาใจช่วย พี่มาบอกแค่นี้แหละ” ธรรม์บอก
ธรรม์ยิ้มให้กำลังใจแล้วเดินออกไป มณีมันตราเป็นห่วงความรู้สึกของธรรม์มาก
เวทีมืดโดยมีแต่แสงจากไฟฟอลโลว์สองสามดวงส่องเคลื่อนไหวไปมา เสียงดนตรีเร้าใจระทึก ไฟเวทีสว่างขึ้น เพลงเปลี่ยน แฟนคลับกรี๊ดล่วงหน้า โอเจพามณีมันตราวิ่งหนีผู้ร้ายออกมาจากหลังเวที
สตั๊นท์ชุดดำสองคนวิ่งตามมา มณีมันตราถลาไปยืนกางแขนปกป้องโอเจ โอเจเล่นนอกบทดึงมณีมันตราไปด้านหลังแล้วทำท่าคุ้มครองเธอแทน มณีมันตรามองโอเจอย่างขัดใจ มณีมันตราดันโอเจไปด้านหลัง โอเจขยับจะมาแย่งซีนอีก มณีมันตราจึงกระทืบเท้าใส่เขา โอเจกระโดดเหย็งๆด้วยความเจ็บ สตั๊นท์ชุดดำเข้ารุมมณีมันตรากับโอเจ
อิทธิฤทธิ์กับชนมนยืนดูด้วยความสนุก ในขณะที่ตี๋เล็กอินมากจึงชูมือเหมือนเชียร์มวย เขาจะลุกขึ้นจะเชียร์ให้เต็มที่แต่สตีฟกับสุวิชรู้ทันจึงดึงให้ตี๋เล็กนั่งเสียแล้วล็อคตัวไว้ ธรรม์ยืนดูมณีมันตราอยู่ใกล้เวทีด้วยความเป็นห่วง
มณีมันตราออกอาวุธหมัด เท้า เข่า ศอกได้อย่างยอดเยี่ยม โอเจยืนมองหาจังหวะโชว์ออฟไม่ได้ มณีมันตราตวัดเท้าจะเตะสตั๊นท์ด้วยท่าจระเข้ฟาดหาง โอเจถลันเข้าไปต่อยสตั๊นท์ให้กระเด็นไปแทน มณีมันตราเห็นโอเจมาขวางก็หยุดเพราะเสียจังหวะ
มณีมันตราเตะวืดอย่างแรงทำให้เซจนเสียหลักข้อเท้าพลิกแล้วล้มลง คนในงานฮือฮาตกใจส่งเสียงดัง โอเจตกใจแล้วรีบหลบไปจากเวทีอย่างรวดเร็ว อิทธิฤทธิ์กับชนมนตกใจ พออิทธิฤทธิ์ได้สติก็รีบวิ่งไปที่เวที
กลุ่มนักข่าวและแฟนคลับกรูไปหน้าเวที ทำให้อิทธิฤทธิ์เข้าไปไม่ถึงตัวมณีมันตรา ธรรม์กระโดดขึ้นเวทีไปถึงตัวมณีมันตรา เมนี่ที่ยืนอยู่ข้างเวทีรีบพลิกสคริปท์ดู
“ไม่มีในสคริปท์นี่นา”
ตี๋เล็ก สตีฟและสุวิชมองหน้ากันด้วยความตกใจ
“น้องมาย่า !”
ตี๋เล็กรีบลุกแล้ววิ่งไปที่เวทีก่อนที่สุวิชกับสตีฟจะล็อคตัวไว้ได้ทัน
อ่านต่อหน้า 2
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 5 (ต่อ)
ธรรม์ประคองมณีมันตราที่นั่งอยู่ที่พื้น เขาแตะข้อเท้าของเธอเพื่อดูว่าหักหรือเปล่า แสงแฟลชวูบวาบขึ้นมาทันที
กลุ่มนักข่าวกับแฟนคลับกรูเข้าไปถ่ายรูปใกล้ๆ
“อย่าเพิ่งขยับนะ เจ็บมากมั้ย” ธรรม์ถาม
“ก็เจ็บ..ค่ะ ปวดแปล๊บๆ ตรงนี้” มณีมันตราชี้ที่ข้อเท้าตัวเอง
กลุ่มนักข่าวและแฟนคลับยังถ่ายรูปไม่หยุด มณีมันตราหลบกล้องเพราะไม่อยากถูกถ่ายรูปในสภาพอย่างนี้
“อย่าเพิ่งถ่ายค่ะ ขอร้องค่ะ”
ธรรม์ตัดสินใจอุ้มมณีมันตราขึ้นแล้วพาเดินออกไป เมนี่วิ่งสวนเข้ามา
“ตายแล้ว หมวดธรรม์ทำอะไรน่ะ”
ธรรม์ไม่ตอบ เขาอุ้มมาย่าเดินลงไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มนักข่าวและแฟนคลับตามไปถ่ายรูปธรรม์กับมณีมันตราอย่างบ้าคลั่ง อิทธิฤทธิ์กับตี๋เล็กกระโดดเหยงๆ ตามหลังกลุ่มนักข่าวและแฟนคลับไป
“น้องมาย่า ! น้องมาย่าเป็นไงบ้าง แกเห็นมั้ย”
อิทธิฤทธิ์หันมาตอบ “ไม่เห็นโว้ย”
อิทธิฤทธิ์ทนไม่ไหวจึงแทรกตัวผ่านกลุ่มนักข่าวและแฟนคลับไป ตี๋เล็กพยายามแทรกตามแต่ถูกดันจนหงายหลังออกมา
สุวิชมองความวุ่นวายที่หน้าเวทีด้วยความพอใจ ส่วนสตีฟเซ็งกับความวุ่นวาย
“จบกัน ! งานแถลงข่าวกลายเป็นจลาจลซะแล้ว อะไรก็ไม่รู้วุ่นวายไปหมด” สตีฟโวย
“เป็นจลาจลซิดี พรุ่งนี้ไม่ขึ้นหน้าหนึ่ง ให้มันรู้ไป มีเรื่องอย่างนี้เล่นข่าวได้เป็นเดือน หนังเราได้ดังระเบิดแน่” สุวิชว่า
“กลัวจะระเบิดจนเละตุ้มเป๊ะน่ะสิ”
สุวิชเหล่มองสตีฟที่ขัดคอไปเสียทุกเรื่องอย่างรำคาญใจ ชนมนที่ยืนฟังอยู่ใกล้ๆสตีฟกับสุวิชเห็นใจมณีมันตราและเริ่มเห็นเบื้องหลังของวงการแล้ว
ธรรม์อุ้มมณีมันตราเดินอย่างเร็วมาถึงหน้าห้องแต่งตัว มณีมันตรามองธรรม์ด้วยความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ธรรม์ก้มลงมองมณีมันตราด้วยความเป็นห่วง ทั้งสองสบตากันโดยไม่ต้องพูดแม้แต่คำเดียว
กลุ่มนักข่าวกรูมาแซงหน้าหน้าขวางทางเข้าห้องแต่งตัวตามมาด้วยกลุ่มแฟนคลับกลุ่มใหญ่ ไมโครโฟนนับสิบตัวยื่นไปที่ธรรม์ซึ่งกำลังอุ้มมณีมันตราอยู่
“นี่ตกลงหมวดธรรม์กิ๊กกับมาย่าเป็นเรื่องจริงใช่มั้ย”
“ท่านผู้การอิทธิพลว่ายังไงบ้างคะ ที่หมวดเป็นข่าวกับมาย่า”
ธรรม์พูดกับบรรดานักข่าว “ผมขอพามาย่าเข้าไปก่อนนะครับ”
“น้องมาย่าคะ หมวดธรรม์หรือโอเจที่เป็นตัวจริง” นักข่าวถามต่อ
“ไม่มีตัวจริงตัวปลอมค่ะ พี่ธรรม์เป็นเหมือนพี่ชายของย่า” มณีมันตราบอก
นักข่าวถามอีก “แล้วจะพัฒนาไปเป็นแฟนได้มั้ย”
เสียงอิทธิฤทธิ์กับตี๋เล็กดังขึ้น “ไม่ได้ !”
อิทธิฤทธิ์กับตี๋เล็กแหวกวงล้อมของผู้คนเข้ามา
“แฟนตัวจริงอยู่นี่” ตี๋เล็กบอก
อิทธิฤทธิ์สวน “พูดไร อายปากบ้าง”
“ก็พูดเรื่องจริง”
กลุ่มนักข่าวหันไปมองอิทธิฤทธิ์กับตี๋เล็ก ธรรม์ได้โอกาสจึงรีบอุ้มมณีมันตราหลบเข้าไปในห้องแต่งตัว
“น้องชื่ออะไรคะ เป็นแฟนกับมาย่าจริงๆ เหรอคะ”
“ผมรักน้องมาย่ามานานแล้วครับ รักมาก่อนไอ้เบื๊อกนี่อีก” ตี๋เล็กบอก
“รักก่อนอะไร ไอ้มั่ว ชั้นรู้จักมาย่าตั้งแต่อยู่อนุบาล”
นักข่าวมองอิทธิฤทธิ์ “น้องคนนี้หน้าคุ้นๆ นะคะ”
ชนมนแหวกฝูงชนเข้ามาลากอิทธิฤทธิ์ออกไปได้ทันเวลา
“มาทำบ้าอะไรตรงนี้ !” ชนมนว่า
นักข่าวนึกออก “ใช่..ลูก..ผู้การ?”
ชนมนลากอิทธิฤทธิ์ลิ่วไปก่อนที่นักข่าวจะจำอิทธิฤทธิ์ได้
ตี๋เล็กขัด “สัมภาษณ์ผมต่อดีกว่า พี่ อย่าไปสนใจไอ้เด็กแว้นนั่นเลย ผมน่ะมีใจให้น้องมาย่ามาตั้งแต่น้องเค้าเล่นเอ็มวีของพี่(โร)เบิร์ตแล้ว”
เมนี่มาแทรกโดยกวาดไมโครโฟนทั้งหมดมาที่เธอ
“พี่ๆนักข่าวคะ มีอะไรถามเมนี่ดีกว่านะคะ”
นักข่าวทุกคนพูดอย่างเซ็งแซ่จนฟังไม่รู้เรื่อง “น้องคนนี้ใครเป็นแฟนมาย่าจริงเหรอคะ/มาย่าเป็นแฟนกับหมวดธรรม์ใช่มั้ย/อุบัติเหตุเมื่อกี้เป็นการจัดฉากสร้างกระแสโปรโมทหนังใช่มั้ย/แล้วเรื่องโอเจกับมาย่าจริงหรือเปล่า”
เมนี่หูดีเลิศจึงฟังนักข่าวทุกคนที่ถามพร้อมกันด้วยคำถามที่ไม่ซ้ำกันเลยออกได้หมด
เมนี่พูดอย่างใจเย็น “น้องคนนี้เป็นแฟนคลับน้องมาย่าค่ะ ไม่มีอะไรมากกว่านี้ และน้องมาย่าไม่ได้เป็นแฟนกับหมวดธรรม์พันเปอร์เซ็นต์”
เมนี่ตอบคำถามไปแอบส่งสัญญาณมือให้ทีมงาน ทีมงานสองคนเข้ามาลากตัวตี๋เล็กออกไป
ตี๋เล็กโวย “เฮ้ย เดี๋ยวดิ ยังสัมภาษณ์ไม่จบเลย ! ผมชื่อตี๋เล็กนะครับ อยู่ทีมแข่งรถ T-Rex สะกดให้ถูกนะครับ T-R-E-X”
ตี๋เล็กดิ้นรนไปพลางตะโกนไปพลาง ทำให้ทีมงานสองคนแทบจะคุมตัวไม่อยู่จึงพาหลุดออกไป
เมนี่ตอบต่อ “เราไม่ได้จัดฉากค่ะ อุบัติเหตุเกิดขึ้นจริงๆ เราไม่โปรโมทหนังด้วยวิธีนี้หรอกค่ะ เรามีจริยธรรมพอ ไม่มีทางโกหกหลอกลวงประชาชนอย่างเด็ดขาด เหมือนกับเรื่องโอเจกับน้องมาย่าก็ไม่ใช่รักโปรโมท อุ๊ปส์ เรื่องนี้ไม่ขอพูดดีกว่านะคะ เดี๋ยวไปถามกับเจ้าตัวเอง มีคำถามอะไรอีกมั้ยคะ ถามมาเลยค่ะ”
เมนี่ปั้นยิ้มตอบคำถามไปอย่างไม่เหน็ดไม่เหนื่อย
ธรรม์ประคบน้ำแข็งที่ข้อเท้าของมณีมันตรา มณีมันตรานิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
ธรรม์ถาม “เจ็บมากเหรอ”
“ค่ะ รู้สึกปวดมากขึ้นเรื่อยๆ”
โอเจเดินเข้ามาพร้อมกับบอดี้การ์ดสองคน
“ไม่ Professional ซะเลย พลาดได้ไง” โอเจว่า
“ถ้านายไม่ผิดคิว ชั้นก็ไม่ต้องเจ็บตัวอย่างนี้หรอก” มณีมันตราว่า
“ชั้นผิดคิวที่ไหน เธอไม่เก่งเองมากกว่า ถ้าจะโทษก็น่าจะโทษเทรนเนอร์ของเธอ สอนกันยังไง แล้วพลาดตอนถ่ายไม่ว่านะ มันเทคได้ แต่ดันมาพลาดในงานแถลงข่าว เฮ้อ”
“แล้วตอนที่มาย่าพลาดบนเวที คุณทำอะไรอยู่ ถ้าคุณ Professional จริง คุณก็ควรช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ใช่วิ่งหนีเอาตัวรอด”
“เฮ้ย ใครบอกว่า ชั้นวิ่งหนี เออ..บอดี้การ์ดเป็นคนพาชั้นออกไปจากเวทีต่างหาก ชั้นเป็นซุปเปอร์สตาร์..เรื่องความปลอดภัยของชั้นต้องมาก่อน” โอเจพูดกับบอดี้การ์ด “จริงมั้ย พวกนาย”
โอเจพยักเพยิดหาพวกจากบอดี้การ์ดแต่สองบอดี้การ์ดยังคงยืนเฉยเป็นหุ่นตามเดิม เมนี่รีบเร่งเดินเข้ามาขัดจังหวะ
“รถพยาบาลมาแล้วค่ะ น้องมาย่า” เมนี่บอก
“หนูแค่เท้าแพลงเท่านั้นเองนะคะ”
“อุ๊ย น้องมาย่าหกล้มกลางเวทีทั้งที ต้องเข้าโรงพยาบาลให้เป็นข่าวกันหน่อย”
“ก็ดีเหมือนกันนะ มาย่า จะได้ให้หมอตรวจให้ละเอียดอีกครั้ง ให้แน่ใจว่ามาย่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ” ธรรม์ถามเมนี่ “แล้วนี่กันนักข่าวออกไปหรือยังครับ”
“จะกันทำไมคะ เรายังไม่มีภาพเจ๋งๆ ให้นักข่าวกันเลย” เมนี่ว่า
“พี่เมนี่คิดจะทำอะไรคะ” มณีมันตราถาม
เมนี่สั่ง “โอเจ..อุ้มมาย่าออกไป”
“เอาจริงเหรอ” โอเจถาม
“ชั้นเอาจริง ! เราต้องโหมเรื่องเธอกับมาย่าเข้าไปอีก นักข่าวจะได้ไม่มาสนใจเรื่องที่อยู่ดีๆ เธอก็พูดไทยได้ปร๋อ เพื่อตัวเธอเองนะ โอเจ”
มณีมันตราบอกโอเจ “อย่าแม้แต่จะคิด”
โอเจตัดสินใจรีบเข้าไปอุ้มมณีมันตราขึ้นมาแล้วเดินออกไป บอดี้การ์ดสองคนรีบเดินตามไป
มณีมันตราหันมา “พี่ธรรม์ !”
เมนี่เข้าขวางธรรม์ไว้ก่อนที่ธรรม์จะตามไป
“ไม่ใช่เรื่องของหมวดนะคะ อย่ายุ่งดีกว่า”
โอเจอุ้มมณีมันตราเดินไปถึงหน้าประตู
“รีบๆ เปิดประตูหน่อย หนัก”
บอดี้การ์ดรีบเปิดประตูออกกว้าง กลุ่มนักข่าวที่เฝ้ารออยู่แล้วพากันรัวชัตเตอร์สนั่นจนแสงแฟลชวูบวาบไม่หยุด ธรรม์เห็นด้านหลังของโอเจที่กำลังอุ้มมณีมันตราอยู่ท่ามกลางแสงแฟลชที่เหมือนอยู่อีกโลก บอดี้การ์ดสองคนเดินแหวกทางให้โอเจกับมณีมันตราโดยมีเมนี่ช่วยกรุยทางให้อีก
“ขอโทษนะคะ ขอทางหน่อยค่ะ เราต้องรีบพาน้องมาย่าไปส่งโรงพยาบาล น้องต้องถึงมือหมออย่างเร็วที่สุด ขอทางหน่อยนะคะ”
โอเจอุ้มมณีมันตราหายไปในกลุ่มนักข่าวที่กรูถ่ายรูปตาม ธรรม์ยืนอยู่คนเดียวในห้องแต่งตัวที่เหลือแต่ซากของงานแถลงข่าว
อิทธิฤทธิ์กับชนมนเดินออกมาจากโรงแรม อิทธิฤทธิ์ง่วนกับการกดมือถือหามณีมันตรา ตี๋เล็กตามมาติดๆ โดยพยายามเอาตัวเข้าใกล้อิทธิฤทธิ์และเอาหูไปฟังใกล้ๆ ด้วย อิทธิฤทธิ์กดมือถือปิดอย่างหงุดหงิด
“โธ่เว้ย !”
“น้องมาย่าปิดมือถือเหรอ โทรถามผู้จัดการน้องเค้าดิ เค้าต้องรู้แน่ว่าน้องมาย่าเข้าโรงพยาบาลไหน”
“คิดหน่อยดิ ถ้าชั้นรู้ว่ามาย่าอยู่โรงพยาบาลไหน ชั้นจะบอกแกมั้ย”
ตี๋เล็กพูดซื่อๆ “ไม่บอก”
“แล้วโง่ตามชั้นมาทำไม”
ตี๋เล็กนึกได้ “เออจริง..ชั้นไปถามอาเจ็กสุวิชดีกว่า เออ..เดี๋ยว แกด่าชั้นโง่เหรอ ไอ้อิท”
ชนมนเห็นธรรม์เดินหงอยๆออกมาจากโรงแรม
“พี่ธรรม์..”
อิทธิฤทธิ์กับตี๋เล็กหันไปมอง ตี๋เล็กพุ่งไปหาธรรม์ก่อน
“พี่ๆ ตอนนี้น้องมาย่าอยู่ไหน” ตี๋เล็กถาม
“วันนี้มีเรื่องพอแล้ว นายกลับไปก่อน ไป” ธรรม์บอก
“กันท่านี่หว่า ข่าวที่พี่กิ๊กกับน้องมาย่าเป็นเรื่องจริงเหรอ”
อิทธิฤทธิ์มองธรรม์เพราะรอคำตอบอยู่เหมือนกัน
“ผมว่า พี่ก็คงแอบรักน้องมาย่าฝ่ายเดียวแหละ อย่ามาทำเป็นหมาหวงก้าง บอกมาซะดีๆ ว่า น้องมาย่าอยู่ไหน อย่าให้ต้องใช้กำลัง” ตี๋เล็กบอก
ชนมนสะกิดตี๋เล็กเบาๆ ก่อนพูด
“นี่นาย..พี่ธรรม์เค้าเป็นตำรวจ”
ตี๋เล็กตอบแบบไม่ทันคิด “เป็นตำรวจแล้วไง”
“นายแน่ใจนะว่า นายอยากมีเรื่องกับตำรวจ” ชนมนถาม
ตี๋เล็กนิ่งคิดหนักเกินความจำเป็นเพราะนานๆจะได้ใช้สมอง
“พี่ธรรม์ไม่ได้เป็นตำรวจธรรมดานะ พี่เค้าเป็นลูกชายผู้การอิทธิพลนายตำรวจมือปราบด้วย” ชนมนบอก
“ลูกชายผู้การอิทธิพล นี่พี่เป็นพี่ชายไอ้อิทเหรอ แล้วไงเนี่ย พี่น้องจีบผู้หญิงคนเดียวกันเหรอ”
ตี๋เล็กพูดแทงใจโดยไม่ได้ตั้งใจ อิทธิฤทธิ์กับธรรม์มองหน้ากัน ธรรม์หลบหน้าแบบเกือบมีพิรุธ
ธรรม์ดุแบบผู้ใหญ่ “กลับบ้านไป ! หรือถ้าอยากคุยต่อ ไปคุยกันที่โรงพัก”
ธรรม์มองตี๋เล็กดุๆ อย่างเอาจริง
“ไปก็ได้ ไม่ได้กลัวนะ แต่จะรีบไปสืบข่าวน้องมาย่า”
ตี๋เล็กแจ้นหนีออกไปทันที อิทธิฤทธิ์จ้องธรรม์อย่างเอาเรื่องเพราะรู้สึกว่าเรื่องธรรม์กับมณีมันตราเริ่มชัดเจนขึ้นทุกที
“นายคงไม่เชื่อที่เพื่อนนายพูดหรอกนะ”
“ตอนนี้มาย่าอยู่ไหน” อิทธิฤทธิ์ถาม
“ตอนนี้มาย่ามีปัญหามากพอแล้ว นายอยู่ห่างๆมาย่าไว้จะดีกว่า” ธรรม์บอก
“นายต่างหากที่จะต้องอยู่ห่างๆมาย่า บอกมา มาย่าอยู่ไหน รู้แล้ว ไม่ยอมบอกนี่ หมายความว่าไง”
อิทธิฤทธิ์เข้าไปกระชากคอเสื้อธรรม์ ชนมนดึงอิทธิฤทธิ์ออกมา
“นายอิท ! หยุดนะ ! พี่ธรรม์ทำถูกแล้วที่ให้นายอยู่ห่างๆมาย่าไว้ก่อนนายก็เห็นว่า วันนี้เกิดเรื่องอะไรกับมาย่าบ้าง”
“นี่เธอเข้าข้างมันเหรอ”
“ชั้นไม่ได้เข้าข้างใคร ถ้านายเป็นห่วงมาย่าจริงๆ นายก็ควรจะทำตามที่พี่ธรรม์บอก อย่าทำตัวเอาแต่ใจไม่มีเหตุผลได้มั้ย ชั้นขอซักวัน”
“เออ..ชั้นมันเอาแต่ใจ ไม่มีเหตุผล งั้นเธอก็กลับกับมันแล้วกัน”
“เฮ้ย ทำไมพาลอย่างนี้”
“วันนี้ไม่ต้องมาติว ชั้นอ่านหนังสือเองได้”
อิทธิฤทธิ์เดินโกรธๆ ออกไป ชนมนกับธรรม์มองตามอย่างอ่อนใจ
ชูชัยหั่นหอมใหญ่รัวเร็วอย่างชำนาญ ส่วนชินพัฒน์หั่นมะเขือเทศอย่างเร็วไม่แพ้กัน
เสียงชนมนดังขึ้น “พ่อ หนูกลับมาแล้ว”
ชูชัยกับชินพัฒน์เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน ชนมนพาธรรม์เข้ามาในร้าน ธรรม์ยกมือไหว้ชูชัย
“พ่อ..นี่พี่ธรรม์ค่ะ” ชนมนแนะนำ
ชูชัยรับไหว้หน้านิ่งๆ แล้วมองธรรม์อย่างจำได้ ชินพัฒน์วางมีดแล้วพุ่งไปยกมือไหว้ธรรม์ก่อนจะพูดเร็วรัวแล้ววกเข้าเรื่องที่อยากรู้ทันที
“หวัดดีครับ พี่ธรรม์ ผม ชินพัฒน์ ปราบยิ่ง ลูกพ่อชูชัย น้องพี่ชนมน เรียกผม “ชิน” ก็ได้ จะได้เป็นกันเอง” ชินพัฒน์เข้าเรื่องทันที “พี่เป็นแฟนพี่ชนเหรอครับ”
“ไม่ใช่ครับ” ธรรม์ตอบ
ชินพัฒน์มองชนมนกับธรรม์อย่างวิเคราะห์จริงจัง
“อ้าว ไม่ใช่แฟนพี่ชน แล้วทำไมอยู่ๆ พี่ชนอยากสวยกับเค้าขึ้นมา ของแบบนี้มันต้องมีสาเหตุ ใครบางคนจะต้องทำให้พี่ชนอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง แล้วใครคนนั้นจะต้องมีความสำคัญต่อพี่ชนมากพี่รู้มั้ย พี่ชนกำลังกิ๊กกับใคร ไม่ต้องถึงกับกิ๊กก็ได้ เอาเป็นว่า ตอนนี้มีผู้ชายคนไหนผ่านเข้ามาในชีวิตพี่ชนบ้าง”
ชนมนผลักชินพัฒน์ออกไปห่างๆ ชูชัยมองธรรม์อย่างไม่วางใจมากขึ้น
ชนมนพูดกับธรรม์ “ขอโทษนะคะ น้องชายชนไม่ค่อยปกติ”
“คือ..ผมฉลาดกว่าเด็กปกติน่ะครับ พี่” ชินพัฒน์คุย
“มาส่งใช่มั้ย ส่งแล้วก็กลับไปได้แล้ว” ชูชัยว่า
“หนูอยากเลี้ยงข้าวพี่ธรรม์ด้วยน่ะค่ะ พี่เค้าช่วยหนูมาหลายครั้งแล้วหนูอยากเลี้ยงข้าวขอบคุณ พ่อรู้มั้ย พี่ธรรม์อยู่โรงพักใกล้ๆร้านเรานี่เอง แต่ยังไม่เคยได้กินข้าวผัดฝีมือพ่อเลย” ชนมนบอก
“ผมก็เคยได้ยินพี่ๆ ที่โรงพักพูดถึงข้าวผัดร้านลุงชู แต่ไม่นึกเลยว่า คุณลุงจะเป็นพ่อของชน”
ชูชัยดุ “มากินข้าวใช่มั้ย งั้นนั่งลง”
ธรรม์นั่งลงอย่างเกรงๆ ชนมนมองชูชัยอย่างเดาใจไม่ถูก
ชูชัยผัดข้าวผัดอย่างรวดเร็ว เขาเขย่ากะทะใบใหญ่ไปมาแล้วเคาะตะหลิวเสียงดังลั่น เวลาผ่านไป ชูชัยวางจานข้าวผัดที่มีควันร้อนๆวางลงตรงหน้าธรรม์อย่างแรง แล้วชูชัยก็ปักหลักนั่งลงที่โต๊ะไกลออกไปแต่มองธรรม์ได้ถนัดสุด ชูชัยลงมือปอกกระเทียมเงียบๆ ธรรม์มองชูชัยอย่างเกรงๆ ชนมนเดินมาวางแก้วน้ำให้ที่โต๊ะ
“ทานเลยค่ะ พี่ธรรม์ ไม่ต้องไปสนใจพ่อหรอก เก๊กหน้าเข้มไปอย่างนั้นแหละ”
“คงจะหวงลูกสาว” ธรรม์บอก
ชินพัฒน์ถือถ้วยไอติมโผล่มานั่งกินด้วย
“ไม่ใช่หรอก พี่ พ่อไม่ชอบตำรวจ” ชินพัฒน์บอก
“ทำไมล่ะ”
“จะมีอะไร คงเคยถูกตำรวจแย่งแฟน ก็เลยเกลียดตำรวจตลอดชีวิต แต่พี่ไม่ต้องห่วง ถ้าพี่ชอบพี่ชนจริงๆ ผมจะช่วยพี่เอง พี่ผมจะได้มีแฟนกับเค้าซะที พี่ชนพ้นอกผมไปได้ ผมก็จะได้สบายใจ”
ชนมนดุ “ไปไกลๆ ไป”
ชินพัฒน์ถือถ้วยไอติมเดินออกไปแต่ไม่วายหันกลับมาด้วยท่าทางเสียดายธรรม์มาก
“ตกลงพี่ไม่ได้จีบพี่ชนจริงๆ เหรอ เป็นแฟนพี่ชน ได้กินข้าวผัดฟรีตลอดชีวิตนะ พี่ ถ้าโปรนี่ยังไม่แฮปปี้ ผมมีโปรอื่นเสนอ”
ชนมนผลักชินพัฒน์ออกไป ชินพัฒน์เซถลาไปแต่ยังประคองถ้วยไอติมไว้ได้ ชินพัฒน์ผละไปนั่งข้างชูชัยที่จ้องธรรม์ไม่วางตา
“คนนี้ไม่เลวนะ พ่อ น่า พ่อ อย่าเรื่องมากเลย นานๆจะมีเหยื่อหลงเข้ามาที”
ชูชัยยกมือขึ้นจะเขกหัวชินพัฒน์ ชินพัฒน์จับมือพ่อไว้ทันแบบที่ชูชัยจับมือลูกน้องเจ้าหนี้ ชูชัยมองธรรม์อย่างจับสังเกต
“หน้าตามันคุ้นๆ” ชูชัยว่า
ธรรม์ตักข้าวผัดกินอย่างใจลอย ในขณะที่ชนมนปลื้มในฝีมือผัดข้าวของพ่อ
“อร่อยมั้ยคะ” ชนมน
“อร่อย..อร่อยมาก”
ธรรม์กินข้าวผัดคุยกับชนมนไป,แต่ใจยังห่วงมาย่า
“เดี๋ยวพี่ธรรม์ไปไหนต่อคะ กลับไปโรงพักหรือเปล่า พี่ธรรม์คะ”
ธรรม์มองไปที่ปกหนังสือดาราที่เป็นรูปมณีมันตราที่อยู่ในมือชินพัฒน์
“พี่ธรรม์คะ”
“ครับๆ ชนว่าไงนะครับ”
ธรรม์นึกถึงแต่มณีมันตราแต่ก็รีบดึงตัวเองกลับมา ชนมนมองธรรม์ด้วยความแปลกใจ
ธรรม์เดินเข้ามาที่ล็อบบี้โรงพยาบาลแล้วก็ต้องชะงักเพราะเห็นกลุ่มนักข่าว 3-4 คนยังรอทำข่าวอยู่ และมีกลุ่มแฟนคลับกลุ่มใหญ่รออีกมุมหนึ่ง
ธรรม์พึมพำ “เรามาทำอะไรที่นี่”
ธรรม์รู้สึกว่าตัดสินใจผิดที่มาเยี่ยมมณีมันตราจึงถอยกลับออกไป นักข่าวคนหนึ่งเดินตรงมาทางที่ธรรม์ยืนอยู่เพื่อจะไปที่ลิฟต์ ธรรม์รีบหลบไปที่หลังเสาทันที แฟนคลับ 2 คนรี่เข้ามาหานักข่าวคนนั้น
“พี่คะๆ พี่เป็นนักข่าวใช่มั้ยคะ พี่มาย่าเป็นไงบ้างคะ”
นักข่าวหยุดคุยกับแฟนคลับทั้งสองโดยไม่เห็นว่าธรรม์ยืนหลบอยู่ใกล้ๆ
“พี่เมนี่ทวีตว่า พี่มาย่าเอ็นข้อเท้าขาด จริงหรือเปล่าคะ” แฟนคลับถาม
“เห็นว่าพี่มาย่าต้องผ่าตัด สงสารพี่เค้าจังเลยค่ะ”
ธรรม์ตกใจจึงรีบผละออกไปทันที
“พี่พาพวกหนูขึ้นไปเยี่ยมพี่มาย่าได้มั้ยคะ หนูขอร้องล่ะ”
“คงไม่ได้หรอก พี่เองยังต้องรออยู่ข้างล่างเลย พวกหนูใจเย็นๆนะ อ่านข่าวอะไรก็อย่าเพิ่งเชื่อทันที”
“แต่ข่าวนี่มาจากทวิตเตอร์ของพี่เมนี่นะคะ”
“นั่นแหละ เชื่ออะไรไม่ได้ทั้งนั้น ข่าวทุกข่าวมีทั้งจริงทั้งไม่จริง รอฟังข่าวจากปากน้องมาย่า เป็นดีที่สุด เข้าใจนะครับ”
ธรรม์จะไปที่ลิฟต์แต่แล้วก็ชะงัก นักข่าว 2-3 คนกับเจ้าหน้าที่รพ.ยืนรออยู่ ธรรม์มองซ้ายมองขวาเพื่อหาทางขึ้นไปห้องคนไข้ แล้วเขาก็เห็นทางขึ้นบันไดหนีไฟ ธรรม์วิ่งลัดเลาะแล้วผลุบหายไปที่ประตูแล้วไปที่บันไดหนีไฟ
ธรรม์วิ่งขึ้นบันไดหนีไฟไปอย่างร้อนใจเพราะเป็นห่วงมณีมันตรามาก ธรรม์วิ่งขึ้นชั้น 1 ชั้น 2 ชั้น 3
ไปเรื่อยๆ ตามประสาคนแรงดี ธรรม์ขึ้นไปยังชั้น 6 ชั้น 7 ชั้น 8 ธรรม์เริ่มอ่อนแรงแต่ก็ยังกัดฟันวิ่งต่อไป
ข้อเท้าของมณีมันตรามีผ้าพันอยู่ มณีมันตรากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงคนไข้ มือของเธอถือโทรศัพท์มือถือ มณีมันตรากำลังชั่งใจว่าจะโทรบอกพ่อแม่เรื่องที่บาดเจ็บดีไหม เมนี่เดินไปเดินมาพลางคุยมือถือกับสุวิช
“น้องมาย่าไม่ได้เป็นอะไรมากค่ะ คุณสุวิช แต่เมนี่ปล่อยข่าวไปแล้วว่า เอ็นข้อเท้าฉีกหรือขาดนี่แหละ จำไม่ได้แล้ว โอ๊ย ไม่เป็นไรค่ะ พรุ่งนี้ค่อยแก้ข่าวก็ได้” เมนี่ฟัง “ได้ค่ะ ได้ค่ะ แน่นอนค่ะ”
เมนี่กดปิดโทรศัพท์มือถือ
“หนูจะได้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่คะ” มณีมันตราถาม
“คงต้องออกพรุ่งนี้ นี่ถ้าไม่ติดงานอื่น พี่เมนี่อยากให้อยู่ต่อไปอีกซักสองสามวัน ให้โอเจแวะมาเยี่ยมทุกวัน ทีนี้ได้ข่าวรายวันโดยไม่ต้องลงทุนอะไร แต่ไม่เป็น เดี๋ยวพี่เมนี่จะให้โอเจกับน้องมาย่าออกงานอีเวนท์ด้วยกัน ทั้งได้อัพค่าตัวเพิ่มแล้วยังสร้างกระแสได้ต่ออีก”
“ไม่ค่ะ หนูจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับโอเจอีก”
“พี่เมนี่ไม่ได้ให้ไปเป็นแฟนโอเจจริงๆซะเมื่อไหร่ ก็แค่ไปออกงานด้วยกันไปกินข้าวด้วยกันเท่านั้น เดี๋ยวนักข่าวก็ไปเต้าข่าวต่อเองแหละ”
“ถ้าพี่เมนี่ไม่หยุดเรื่องนี้ หนูจะไปบอกนักข่าวเองว่า หนูกับโอเจเป็นแค่รักโปรโมท ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหกหมด”
เมนี่เชือดนิ่มๆ “ตอนน้องมาย่าเซ็นสัญญากับพี่เมนี่ คงไม่ได้ดูสัญญาให้ละเอียด มาย่าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธงานและต้องทำตามที่พี่เมนี่บอกทุกอย่าง”
“แต่ก็ต้องเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น”
“เรื่องที่ต้องสร้างกระแสเป็นข่าวกับโอเจก็เรื่องงานค่ะ ภาพน้องมาย่าใสๆ น่ารัก มันเริ่มน่าเบื่อแล้ว ดาราก็เหมือนสินค้าชิ้นนึง ต้องมีการเปลี่ยนแพคเกจ ทำโฆษณาใหม่ ให้ถูกใจคนซื้อ ถ้ายังอยากอยู่วงการนี้นานๆ ก็เชื่อพี่เมนี่เถอะนะคะ ถ้าไม่เชื่อ หนังที่ได้เล่นกับโอเจ อาจจะเป็นงานชิ้นสุดท้ายก็ได้” เมนี่ยิ้มหวาน “พี่ไม่กวนแล้ว นอนพักมากๆนะคะ จะได้หายเร็วๆ รักนะคะ”
เมนี่หอมแก้มมณีมันตราอย่างรักและเอ็นดูเหลือเกินแล้วก็ผละออกไป
มณีมันตรานิ่งอึ้งเหมือนถูกทุบหัว เธอนั่งนิ่งอ้างว้างอยู่ในห้องคนไข้ที่หรูหรากว้างใหญ่
ธรรม์เปิดประตูบันไดหนีไฟเข้ามาในสภาพเหนื่อยหอบแต่ยังเดินไหว
ธรรม์มองไปที่ลิฟต์ซึ่งเป็นชั้น 10 ชั้นที่เป็นที่อยู่ของห้องมณีมันตรา นักข่าว 2 คนเดินออกจากลิฟต์ ธรรม์รีบหลบเข้ามุมตึก เมนี่เดินมาจากทางห้องมณีมันตราแล้วก็เห็นนักข่าว
“อุ๊ย ขึ้นมาได้ยังไงคะ กลับไปก่อนนะคะ วันนี้น้องมาย่าขอไม่ให้สัมภาษณ์นะคะ”
เมนี่หันไปเห็นแฟนคลับเจ้าประจำ 2 คน
“น้องจุ๊ น้องจ๋า ยังรออยู่อีกเหรอคะ พี่เมนี่บอกแล้วไงคะ ว่าเยี่ยมไม่ได้ไปค่ะ กลับนะคะ เชิญค่ะๆ ลงไปพร้อมกันเลยดีมั้ยคะ เดี๋ยวพี่เมนี่จะอัพเดทข่าวน้องมาย่าให้เอง มีอะไรถามพี่เมนี่ได้”
เมนี่ต้อนนักข่าวกับแฟนคลับไปที่ลิฟต์ ธรรม์รอจนเมนี่กับคนอื่นๆเข้าลิฟต์ไปเขาก็รีบเดินไปที่ห้องมณีมันตราทันที
มณีมันตราคุยโทรศัพท์มือถือกับแม่
“ค่ะ หนูไม่ได้เป็นไรมาก เดี๋ยวนะคะ แม่ แล้วเรื่องสัญญาที่หนูเซ็นกับพี่เมนี่ ทำไงดีคะ เซ็นไปห้าปีค่ะ หนูก็พยายามอดทนแล้วนะคะ” มณีมันตราหงอยลงเรื่อยๆ “ค่ะ แม่ รอดูไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวนะคะ แม่คะ หนู”
แม่ที่อยู่เมืองนอกตัดสายโทรศัพท์ไป มณีมันตรานิ่งอึ้งมองมือถือในมือแล้วกดปิดเครื่องไป
มณีมันตราพึมพำ “หนูคิดถึงแม่”
มณีมันตราเริ่มซึมจนน้ำตาไหล เธอรู้สึกเหมือนต่อสู้ปัญหาทุกอย่างอยู่คนเดียวโดยไม่มีใครพึ่งได้เสียงประตูเปิดออกเบาๆ มณีมันตรารีบเช็ดน้ำตา
“หนูบอกแล้ว หนูนอนคนเดียวได้ ไม่ต้องการพยาบาลพิเศษ”
มณีมันตราหันไปทางประตูเพราะนึกว่าพยาบาลเดินเข้ามา
“พี่ธรรม์..”
ธรรม์เดินเข้ามามองสำรวจว่ามณีมันตราเป็นอะไรมากหรือเปล่า มณีมันตราเห็นธรรม์แล้วยิ่งอ่อนไหวจึงน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง
“พี่ธรรม์..”
ธรรม์เห็นมณีมันตราร้องไห้ก็ตกใจจนลืมตัวจึงเข้าไปกอดมณีมันตราเพื่อปลอบใจ
“เป็นอะไร เจ็บมากเหรอ”
มณีมันตราส่ายหน้าแล้วน้ำตายังไหล
“เรื่องข่าวกับโอเจเหรอ”
มณีมันตราส่ายหน้าอีกแต่ยังคงกอดธรรม์ไว้เหมือนหาที่พึ่ง
“พี่ช่วยอะไรได้บ้าง”
“พี่ธรรม์อยู่เป็นเพื่อนย่าก็พอ”
ธรรม์ปล่อยมือจากมณีมันตราแล้วเอามือมาเช็ดน้ำตาให้ เขานั่งลงกุมมือเธอไว้ ทั้งสองอยู่ด้วยกันเงียบๆ ในบรรยากาศที่เริ่มอบอุ่นและคลี่คลาย
อิทธิฤทธิ์หน้าเครียด เขากดมือถือหามณีมันตราโดยมีหมูหวานหมอบนอนอยู่ใกล้ๆ
“อะไรวะ เมื่อกี้ให้รอสาย นี่ปิดเครื่องไปแล้ว”
อิทธิฤทธิ์จับหมูหวานขึ้นมาถาม
“แล้วอย่างนี้จะรู้มั้ยว่า มาย่าเป็นไงบ้าง”
หมูหวานมองตาแป๋วแหวว อิทธิฤทธิ์วางหมูหวานลงอย่างเริ่มน้อยใจ
“เค้าเห็นเราเป็นอะไร งานแถลงข่าวก็ไม่ชวน แต่ชวนไอ้ธรรม์ โทรไปก็ไม่รับสาย ปิดเครื่องหนี..รู้มั้ยว่าเป็นห่วง..ไอ้ธรรม์..”
อิทธิฤทธิ์นึกถึงธรรม์ก็ผุดลุกขึ้นจากเตียงทันที
“ไอ้ธรรม์ !?”
อิทธิฤทธิ์ออกไปจากห้องทันที
ถนอมถือตะกร้าผ้าออกมาจากห้องธรรม์ อิทธิฤทธิ์เดินตรงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
“ไอ้ธรรม์อยู่หรือป่าว ป้าหนอม”
อิทธิฤทธิ์ใจร้อนจึงไม่รอฟังคำตอบ เขาเปิดประตูผลัวะเข้าไปในห้องธรรม์ทันทีแต่ในห้องว่างเปล่า
“ดึกแล้ว ทำไมมันยังไม่กลับมาอีก มันไปไหน ป้ารู้ป่าว”
“ดึกอะไรกันคะ นี่เพิ่งสองทุ่มเอง แล้วมีอะไรคะ ถามหาคุณธรรม์ทำไม” ถนอมงง
“มีเรื่องจะถามมันนิดหน่อย”
อิทธิฤทธิ์วุ่นวายใจเพราะไม่รู้ว่ามณีมันตราอยู่ที่ไหน เขาคิดว่าอาจจะอยู่กับธรรม์
อิทธิฤทธิ์พึมพำ “ไอ้ธรรม์กับมาย่า..ไม่ใช่น่า”
“แล้วนี่คุณอิทติดต่อคุณมาย่าได้หรือยังคะ”
“ยัง”
“งั้นเดี๋ยวป้าเช็คที่แฟนเพจของคุณมาย่าให้นะคะ ไม่มีอะไรที่แฟนคลับไม่รู้หรอกค่ะ คุณมาย่าอยู่โรงพยาบาลไหน ห้องอะไร หมอคนไหนรักษา รู้หมด รอแป๊บนึงนะคะ”
“ไม่ต้องหรอก ป้าหนอม มาย่าไม่ยอมรับสายผม ผมก็ไม่อยากจะกวนเค้า”
อิทธิฤทธิ์เดินโกรธๆงอนๆออกไป ถนอมมองตามอย่างเอ็นดูปนระอาใจ
ธรรม์ส่งยาให้มณีมันตรา มณีมันตรารับยามาแล้วทำหน้าแหยๆ แล้วเธอก็กล้ำกลืนกินยาแล้วดื่มน้ำตาม
ธรรม์ยิ้ม “ยังกินยายากเหมือนเดิม”
“ก็กินแล้ว มันชอบติดคอทุกที”
“ตอนที่พี่ได้ยินข่าวว่า ย่าต้องเข้าผ่าตัด พี่ตกใจแทบแย่” ธรรม์ขำตัวเอง “พี่น่าจะรู้.. ข่าวจากคุณเมนี่ เชื่ออะไรไม่ได้อยู่แล้ว”
“ถ้าย่าไม่เจ็บหนัก พี่ธรรม์ก็จะไม่มาเยี่ยมย่าเหรอคะ”
“ย่าก็รู้ว่า ตอนนี้พี่ควรจะอยู่ห่างๆ ย่าไว้”
“พี่ธรรม์ไม่ต้องกลัวเรื่องข่าวย่ากับพี่ธรรม์หรอกค่ะ ข่าวก็คือข่าว ไม่ใช่เรื่องจริงซักหน่อย”
ธรรม์เศร้านิดๆ “ใช่..ไม่ใช่เรื่องจริงซักหน่อย..ย่ายังไม่บอกพี่เลยว่า ร้องไห้เรื่องอะไร”
“ย่าเหนื่อยน่ะค่ะ ย่าโทรหาแม่ที่นิวยอร์ค อยากคุยกับใครซักคน แต่แม่ก็ไม่มีเวลาคุยด้วย ย่าว่านะ ตอนนี้แม่อาจจะลืมไปแล้วว่า หน้าตาลูกสาวคนนี้เป็นยังไง”
“ย่ามีอะไร คุยกับพี่ก็ได้” ธรรม์ล้อเล่น “ไหนๆวันนี้ก็โดดงานแล้ว วันนี้พี่มีเวลาให้..สิบนาที”
มณีมันตรายิ้มขำ “เยอะไปหรือเปล่า”
“งั้นสิบห้านาที จัดไป”
มณีมันตราแกล้งส่ายหน้าแกล้งทำเป็นงอนๆ
“ชั่วโมงนึง? สองชั่วโมง? สามชั่วโมง? คุยกันถึงเช้าเลยก็ได้ มีอะไรก็ระบายมาให้หมด พี่มีเวลาให้ย่าเสมอ มีเวลาให้ทั้งชีวิตเลย”
ธรรม์รู้ตัวว่าหลุดปากก็ชะงักไป มณีมันตราก็ชะงักมองธรรม์นิ่ง
“เป็นพี่ก็ต้องมีเวลาให้น้อง..ไม่ใช่เหรอ”
ธรรม์ยิ้มเก้อๆ เพื่อพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเอง มณีมันตราก็ยิ้มเก้อๆเขินๆเหมือนกัน
อ่านต่อหน้า 3
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 5 (ต่อ)
เช้าวันใหม่ อิทธิฤทธิ์เดินอ่านหนังสือกฎหมายในบ้าน
“มาตรา 92 ผู้ใดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกถ้าและได้ กระทำความผิดใดๆ อีกในระหว่างที่ยังจะต้องรับโทษอยู่ก็ดี”
ถนอมกับแดงกางอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกันอยู่
“เรื่องจริงเหรอ ป้าหนอม คุณธรรม์นี่ เสือซ่อนเล็บนะ หรือหงิมๆ อย่างนี้หยิบชิ้นปลามัน” แดงบอก
“แหม วันนี้สำบัดสำนวนเหลือเกินนะ เอาไปเก็บเลย ไป อย่าให้คุณอิทเห็น”
อิทธิฤทธิ์เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าถนอมกับแดง
“มีข่าวอะไรเหรอ ผมถึงเห็นไม่ได้”
ถนอมอึกอัก “ไม่มีข่าวอะไรหรอกค่ะ”
อิทธิฤทธิ์โยนหนังสือกฎหมายลงบนโต๊ะก่อนจะดึงหนังสือพิมพ์จากถนอมมาดู เขาเห็นข่าวพาดหัว “บอดี้การ์ดหัวใจของมาย่า หนุ่มกิมจิหรือหนุ่มไทย?” รูปประกอบเป็นรูปธรรม์อุ้มมณีมันตราเทียบกับรูปโอเจอุ้มมณีมันตรา
“คุณอิทก็อย่าไปเชื่อข่าวนักเลยนะคะ เค้าก็ต้องพาดหัวข่าวให้มันหวือหวาไว้ก่อน จะไปเอาอะไรกับข่าวบันเทิงสมัยนี้ หาความจริงอะไรไม่ได้” ถนอมบอก
“แต่หนูว่าเรื่องคุณธรรม์กับคุณมาย่าเป็นเรื่องจริง ดูหน้าในซิคะ คุณอิท มีรูปแอบถ่ายของคุณธรรม์กับคุณมาย่าด้วยนะคะ หวีทกันน่าดู”
อิทธิฤทธิ์รีบพลิกดูข่าวบันเทิงด้านในเห็นรูปแอบถ่ายของธรรม์กับมณีมันตราที่สวนสาธารณะ
“ข่าวบอกว่า คุณธรรม์เป็นรักแรกของคุณมาย่า เธอแอบหลงรักคุณธรรม์ตั้งแต่เด็กๆ พอคุณธรรม์ต้องไปเรียนโรงเรียนนายร้อยก็เลยห่างๆกัน กลับมาสนิทกันอีกทีก็ตอนที่คุณธรรม์มาเป็นครูฝึกให้คุณมาย่า”
ถนอมโพล่งออกมา “พอได้แล้ว !”
อิทธิฤทธิ์นิ่งเงียบจนน่ากลัว
“คุณอิทคะ อย่าเพิ่งวู่วามนะคะ” ถนอมเตือน
อิทธิฤทธิ์เดินออกไปอย่างเร็ว
“คุณอิทเป็นอะไร ป้า หนูพูดอะไรผิดเหรอ”
“แกผิดตั้งแต่เกิดมาแล้ว นังแดง ปากมากจริงๆ”
ถนอมมองตามอิทธิฤทธิ์ด้วยความเป็นห่วงเพราะพอจะรู้ว่าอิทธิฤทธิ์มีใจกับมณีมันตรา
อิทธิฤทธิ์ถือหนังสือพิมพ์เดินเร็วๆ ขึ้นชั้นบน อิทธิฤทธิ์โกรธแต่นิ่งเครียดเหมือนระเบิดรอเวลาระเบิด
ภาพความสนิทสนมของธรรม์กับมณีมันตราแวบเข้ามาในหัว
ภาพมณีมันตราหัดยิงปืนกับธรรม์
ภาพมณีมันตรากอดแขนธรรม์อย่างสนิทสนม
“เซอร์ไพรส์ใช่มั้ยล่ะ พี่ธรรม์เป็นครูสอนยิงปืนชั้น”
ภาพธรรม์สอนศิลปะป้องกันตัวให้มณีมันตรา ทั้งสองยืนมองตากัน
ภาพธรรม์อุ้มมณีมันตราหนีนักข่าว
“นี่ตกลงหมวดธรรม์กิ๊กกับมาย่าเป็นเรื่องจริงใช่มั้ย” อิทธิฤทธิ์เปรยออกมา
อิทธิฤทธิ์ขยำหนังสือพิมพ์จนแทบแหลกคามือ
ธรรม์ที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จกำลังจะเดินออกจากห้อง อิทธิฤทธิ์เปิดประตูพรวดพราดเข้ามาแล้วขว้างหนังสือพิมพ์ใส่หน้าธรรม์
“นี่มันหมายความว่าไง?”
ธรรม์ก้มลงหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาดูอย่างใจเย็น
“นายก็น่าจะรู้ว่า มันจะต้องเป็นข่าว” ธรรม์ว่า
“ไอ้ข่าวนายอุ้มมาย่าหนีนักข่าว ชั้นเข้าใจ แต่ข่าวที่นายแอบไปเที่ยวกับมาย่านี่ นายจะว่าไง”
“ข่าวเก่าแล้ว นายอย่าไปสนใจเลย”
“แต่มันเป็นข่าวใหม่สำหรับชั้น นี่ชั้นคงตกข่าวไปเยอะล่ะซินะ”
อิทธิฤทธิ์เดินไปยืนประจันหน้ากับธรรม์แล้วมองหน้าเขาตรงๆ
“นายคิดอะไรกับมาย่า”
ธรรม์นิ่งอึ้งเพราะไม่กล้าสบตาด้วย เขาไม่คิดว่าจะโดนถามตรงๆ
“ไอ้ขี้ขลาดเอ๊ย แค่นี้ก็ตอบไม่ได้ งั้นชั้นจะบอกให้นะ ชั้นชอบมาย่า”
ธรรม์อึดอัดใจ “ชั้นรู้”
ธรรม์ตัดสินใจมองหน้าอิทธิฤทธิ์ตรงๆ
“นายสบายใจได้เลย ชั้นไม่ได้คิดอะไรกับมาย่า ที่ผ่านมาชั้นทำตามหน้าที่เท่านั้น เกิดข่าวแบบนี้ คิดว่าชั้นชอบงั้นเหรอ มันไม่ได้ดีกับอาชีพชั้นเลย ตอนนี้งานตำรวจสำคัญที่สุด เรื่องอื่นไม่มีความหมาย”
“งั้นก็ดีแล้ว เพราะมาย่าเป็นผู้หญิงของชั้น ถ้าหากมาย่าจะมีรักแรก ต้องเป็นชั้น ไม่ใช่นาย”
อิทธิฤทธิ์เดินกระแทกไหล่ธรรม์แล้วออกจากห้องไป ธรรม์ยืนนิ่งอย่างยอมรับสภาพ
อิทธิพลอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ธรรม์เดินเข้ามาแล้วก็ชะงักมองข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ที่มีรูปตัวเองกำลังอุ้มมณีมันตราอยู่ ธรรม์แอบเหนื่อยใจเพราะเพิ่งเจอฤทธิ์ของลูกมาแล้วต้องมาอธิบายให้พ่อฟังอีก อิทธิพลวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ รูปธรรม์อุ้มมณีมันตราแผ่หราอยู่บนโต๊ะ
“ผมอธิบายได้นะครับ คุณพ่อ ข่าวที่ลงเกินความจริง มาย่าเกิดอุบัติเหตุบนเวที ผมก็ต้องช่วยน้อง”
“ไม่ต้องพูดต่อ พ่อเชื่อแก ชั้นพูดกับนายแกให้แล้ว แกไม่ต้องไปช่วยงานบริษัทหนังอีกต่อไปแล้ว ข้าราชการตำรวจเป็นข่าวหน้าหนึ่งอย่างนี้ มันมีแต่เสียกับเสีย ถ้าพ่อรู้ตั้งแต่แรก พ่อไม่ให้แกไปทำหรอก”
ธรรม์นิ่งเพราะยอมรับโดยดุษฎีแต่ก็อดใจหายไม่ได้
“นี่แฟ้มประวัติไอ้เก่งกาจ”
อิทธิพลส่งแฟ้มประวัติให้ธรรม์ ธรรม์รีบพลิกดูอย่างกระตือรือร้น
“ไอ้เก่งกาจกลับมาค้ายาอย่างที่พ่อคิดไว้จริงๆ สายเราเพิ่งสืบได้ว่าตอนนี้มันตั้งตัวเป็นเอเย่นต์ขายยารายใหญ่ในท้องที่ของแกนั่นแหละ”
“ไอ้เก่งกาจเป็นแค่มือขวาไม่ใช่หรือครับ ทำไมเราไม่ไปตามจับไอ้คนที่ฆ่าพ่อผมซะเลยล่ะครับ ไปตามจับไอ้เก่งกาจทำไมให้เสียเวลา
“ไอ้คนที่ฆ่าพ่อแกเป็นมาเฟียใหญ่ มันทั้งรวยทั้งมีอิทธิพล จะจับตัวมันไม่ใช่เรื่องง่าย สิบห้าปีมานี่ ไม่มีใครเคยเห็นมันเลย แต่พ่อเชื่อว่า ไอ้เก่งกาจรู้ว่า เจ้านายมันไปกบดานอยู่ที่ไหน”
“คุณพ่อยังไม่เคยบอกผมเลยว่า ไอ้คนที่ฆ่าพ่อผมชื่ออะไร”
อิทธิพลรู้สึกเจ็บอยู่ลึกๆ “มันชื่อ..ชาติชาย”
“ชาติชาย...”
ธรรม์นิ่งแล้วจำชื่อนี้ฝังใจ
ชูชัยเปิดประตูร้านออกมาโดยถือไม้กวาดออกมากวาดหน้าร้าน
วัยรุ่น 2 คนเดินผ่านร้านพร้อมกับกินขนมขบเคี้ยวหมดแล้วก็โยนถุงทิ้งลงพื้นแล้วเดินไปอย่างไม่สนใจ ชูชัยกวาดซองขนมที่พื้นอย่างใจเย็น ลุงขอทานเดินขอเงินมาเรื่อยๆ จนมาถึงชูชัย ชูชัยควักเหรียญสิบใส่กระป๋องขอทานให้ไป แล้วกวาดหน้าร้านต่อ
“ปาท่องโก๋ร้อนๆ มาแล้ว พ่อ”
ชนมนในชุดอยู่บ้านขี่จักรยานเข้ามาโดยมีชินพัฒน์ซ้อนท้ายมาด้วย มือหนึ่งของเขาถือถุงน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ ส่วนอีกมือถือปาท่องโก๋และฉีกกินอย่างอร่อย
ชนมนจอดรถใกล้ชูชัย แล้วหันไปมองชินพัฒน์ที่กินปาท่องโก๋ตัวสุดท้ายเข้าปากไปแล้ว ชนมนดึงถุงปาท่องโก๋มาดูก็พบว่าเหลือแต่ถุงกระดาษที่มีแต่คราบน้ำมัน
“ไอ้ชิน ! ไอ้ตะกละ”
ชินพัฒน์ถือถุงน้ำเต้าหู้แล้วกระโดดจากจักรยานแล้ววิ่งหนีเข้าไปในร้าน ชนมนวิ่งไล่ชินพัฒน์เข้าไปในร้าน ชูชัยมองตามไปอย่างขำๆ แล้วกวาดร้านต่อไป
อิทธิพลไตร่ตรองว่าจะบอกเรื่องทั้งหมดกับธรรม์ดีหรือไม่
“มีเรื่องนึงที่แกควรรู้”
ธรรม์พลิกอ่านแฟ้มประวัติของเก่งกาจ
“อะไรเหรอครับ” ธรรม์ถาม
“ไอ้ชาติชายเป็นเพื่อนรักของพ่อแก”
ธรรม์นิ่งอึ้งเพราะคาดไม่ถึง
ภาพในอดีตย้อนมา ชาติชายในชุดนักเรียนมัธยมเดาะบอลอยู่บนฟุตบาธแล้วส่งบอลต่อไปให้อิทธิพล
“ไอ้พล ! รับ”
อิทธิพลรับบอลมาแล้วเตะส่งต่อไปให้เที่ยงธรรมที่เดินตามมา
“ไอ้ธรรม !”
“เฮ้ย เลิกเล่นได้แล้ว !”
เที่ยงธรรมเอาเท้าเขี่ยลูกบอลขึ้นมาแล้วถือไว้ก่อนจะเดินนำไปที่ป้ายรถเมล์ อิทธิพลกับชาติชายมองหน้ากันอย่างเซ็งๆ
อิทธิพล เที่ยงธรรมและชาติชายเดินมาหยุดที่ป้ายรถเมล์
อิทธิพลพูด “ชาติชาย เที่ยงธรรมและพ่อเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก เราเรียนโรงเรียนเดียวกันมาตลอด”
อิทธิพลและเที่ยงธรรม์ในชุดนักเรียนเตรียมทหารยืนตรงรักษาวินัยอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ชาติชายในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์เข้ามาแทรกกลางตบไหล่เพื่อนทั้งสองคน เที่ยงธรรมกลั้นยิ้ม อิทธิพลหันมามองชาติชายอย่างดุๆ ชาติชายยิ้มกวนแล้วทำตะเบ๊ะล้อเลียน
“พอเรียนจบมัธยม พ่อกับเที่ยงธรรมก็สอบเข้าโรงเรียนนายร้อยได้ ส่วนไอ้ชาติไปเรียนที่ไหนก็ถูกไล่ออก ใช้ชีวิตไม่เป็นโล้เป็นพาย ไม่รู้ว่ามันจะเอายังไงกับชีวิต”
อิทธิพลมองจนชาติชายยอมถอยออกไป ชาติชายเดินเซ็งออกไป รถมอเตอร์ไซค์แล่นมาจอดข้างๆ ชาติชายหยุดคุยกับจิ๊กโก๋ขี่มอเตอร์ไซค์ ชาติชายส่ายหน้า จิ๊กโก๋พูดกล่อมไม่กี่คำแล้วชาติชายก็ตัดสินใจขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไป อิทธิพลมองตามไปอย่างไม่สบายใจ
อิทธิพลเล่าให้ธรรม์ฟัง “ตอนนั้นพ่อก็รู้สึกสังหรณ์ใจแล้วว่า มันกำลังจะเดินทางผิด แต่ก็ไม่คิดว่า มันจะพาชีวิตตัวเองดิ่งลงเหว”
ชาติชายซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ที่แล่นไปไกลทุกทีๆ
ชาติชายเป็นคนแจกไพ่ที่โต๊ะแบล็คแจ๊ค ท่ามกลางบรรยากาศมัวๆ ไฟสลัว ควันบุหรี่คละคลุ้ง
ชาติชายยืนหลบอยู่ที่มุมมืดของบ่อน ชายคนหนึ่งเดินมาหา ชาติชายรับเงินมาแล้วส่งถุงยาให้อย่างรวดเร็วแล้วเดินออกไป
ชาติชายเป็นใหญ่ขึ้นจึงมีลูกน้อง 2 คนเดินตามหลัง ชาติชายกับลูกน้อง 2 คนเดินมาหยุดที่โต๊ะกลางบ่อนมีกล่องใบใหญ่ 3-4 ใบวางอยู่ ลูกค้าซื้อยารายใหญ่เดินมากับลูกน้อง 2 คนเดินมาที่โต๊ะ ชาติชายพยักหน้าให้ลูกน้อง ลูกน้องใช้มีดกรีดเปิดกล่องออกซึ่งมีถุงโคเคนอยู่เต็มกล่อง ชาติชายยิ้มพอใจแล้วชะงัก
ประตูบ่อนถูกพังเข้ามา อิทธิพลกับเที่ยงธรรมและตำรวจสิบนายกรูกันเข้ามาอย่างรวดเร็ว ชาติชายกับทุกคนแตกฮือกันไปคนละทิศละทาง อิทธิพลกับเที่ยงธรรมและตำรวจวิ่งไล่ตามไป
ชาติชายวิ่งหนีออกมาพลางชักปืนออกมาเตรียมสู้ เที่ยงธรรมวิ่งตามมาทัน
“ไอ้ชาติ !”
ชาติชายชะงักแล้วหันกลับมาหยุดมอง เที่ยงธรรมมองชาติชายอย่างผิดหวังเสียใจ
“ทำไมวะ ?”
“จะจับก็จับ ถ้าไม่จับก็ปล่อยชั้นไป” ชาติชายว่า
เที่ยงธรรมตัดสินใจลดปืนลง แล้วชาติชายก็วิ่งหนีไป
อิทธิพลวิ่งตามหลังมา แต่ชาติชายวิ่งหนีไปแล้ว
อิทธิพลหัวเสีย “เฮ้ย แกรู้มั้ยว่า แกทำอะไรลงไป”
“ยังไงมันก็เพื่อนเรา”
“แล้วมันยังเห็นแกเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า”
อิทธิพลมองเที่ยงธรรมอย่างโกรธและไม่เห็นด้วย
อิทธิพลกับเที่ยงธรรมยศร.ต.ต. ในวัย 25 ปี หน้าตามุ่งมั่นวิ่งตรงไปทางโกดัง อิทธิพลกับเที่ยงธรรมวิ่งผ่านตู้คอนเทนเนอร์ใหญ่จนบังทั้งสองมิด อิทธิพลกับเที่ยงธรรมเดินผ่านหลุดออกจากตู้คอนเทอเนอร์ เวลาผ่านไปอิทธิพลกับเที่ยงธรรมมีอายุ 35 ปี
อิทธิพลเล่าต่อ “เที่ยงธรรมไม่รู้หรอกว่า นั่นเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายและโอกาสเดียวที่จะจับชาติชายได้ หลังจากนั้นไม่นานมันก็ไต่เต้าจนกลายเป็นมาเฟียขายยารายใหญ่ มีลูกน้องเป็นร้อย มันหลบหลีกกฎหมายได้เป็นสิบปี แต่เราก็ยังไม่เคยหมดหวัง เราจะต้องหยุดไอ้ชาติชายให้ได้”
ชาติชายในวัย 25 ปีกับลูกน้องนับสิบรายล้อมเดินมาที่ท่าเรือ รถยกเคลื่อนผ่านชาติชายจนปิดบังมิด ชาติชายในวัย 35 ปีใส่แว่นดำอันโตไว้หนวดไว้เครา เก่งกาจและลูกน้องรายล้อมจนมองหน้าชาติชายไม่ชัด
“พ่อไม่คิดเลยว่า ว่าจะมีวันนี้ วันที่เพื่อนจะกลายเป็นศัตรู ไม่คิดเลยจริงๆ ว่า เพื่อนจะฆ่าเพื่อนได้ “
อิทธิพลกับเที่ยงธรรมวิ่งเข้าหลบหลังตู้คอนเทนเนอร์โดยเฝ้าจับตามองชาติชายอยู่
ท่ามกลางบรรยากาศฝุ่นคลุ้ง มีแสงจากไฟไม่กี่ดวง ชาติชายกับเก่งกาจวิ่งหนีเข้ามาในโกดัง
เที่ยงธรรมบุกเดี่ยวตามมาเข้ามา เก่งกาจยิงใส่เที่ยงธรรมไม่ยั้ง อิทธิพลวิ่งตามเข้ามาทันเห็นชาติชายยกปืนขึ้นพร้อมๆกับเก่งกาจ
อิทธิพลตกใจจึงหันไปมองเที่ยงธรรม แค่เสี้ยววินาทีที่อิทธิพลกำลังตัดสินใจจะทำอะไรต่อไป เที่ยงธรรมก็ถูกยิงล้มลงทันที เก่งกาจฉุดชาติชายให้วิ่งหนีออกไป อิทธิพลวิ่งไปหาเที่ยงธรรมแล้วประคองตัวเพื่อนขึ้นมา เที่ยงธรรมหมดลมไปแล้ว อิทธิพลกอดเที่ยงธรรมไว้ด้วยความโกรธแค้นชาติชายจนแทบกระอักเลือด
อิทธิพลยังอยู่ในท่าเดิมแต่ไม่มีร่างของเที่ยงธรรม ธรรม์ยืนมองอิทธิพลที่มองไปที่พื้นอย่างจดจำเรื่องทุกอย่างได้ดีแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน อิทธิพลลุกขึ้นยืน
“พ่อแกถูกไอ้ชาติชายยิงตายที่นี่” อิทธิพลบอก
ธรรม์มองไปที่พื้นจุดที่พ่อของตัวเองเคยนอนตาย
“ผมจะต้องทำยังไงถึงจะจับมันได้ครับ” ธรรม์ถาม
“พ่อสั่งลงไปแล้ว ให้ตั้งทีมพิเศษเพื่อทลายแก๊งค้ายาของไอ้เก่งกาจ เราจับมันได้เมื่อไหร่ ก็จะได้ตัวไอ้ชาติชายเมื่อนั้น ต่อไปแกไม่ต้องคิดเรื่องอื่นเลย นอกจากจับไอ้เก่งให้ได้ สิบห้าปีของการรอคอยจะต้องจบลงความแค้นครั้งนี้แกจะต้องสะสางให้พ่อแก แกจะทำได้มั้ย นายธรรม์”
ธรรม์มุ่งมั่น “ผมต้องทำได้ครับ คุณพ่อ ผมจะจับไอ้ชาติชายมารับโทษให้ได้”
ธรรม์มีความมุ่งมั่นมากยิ่งขึ้นเพราะงานนี้ไม่มีวันถอยแน่นอน
ชูชัยเสิร์ฟข้าวผัดสองจานให้ลูกค้าแล้วผละไปเก็บจานกับแก้วน้ำจากอีกโต๊ะ ชินพัฒน์ถือมือถือรุ่นเก่าของชนมนวิ่งมาหาชูชัย โดยมีชนมนที่เปลี่ยนชุดแล้ววิ่งไล่กวดมา
“เอาคืนมานะ ไอ้ชิน !”
ชินพัฒน์ชูมือถือให้ชูชัยดู
ชินพัฒน์เจ็บปวด “พ่อๆ ดูดิ ดูพี่ชนทำกับผม”
ภาพในจอมือถือเป็นรูปชนมนที่ถ่ายคู่กับมณีมันตราที่บ้านอิทธิฤทธิ์
“รูปพี่เค้าถ่ายกับเพื่อน แล้วไง”
“นี่พี่มาย่า แฟนผมไง พ่อ ดูดิ พี่ชนรู้จักกับพี่มาย่า ก็ไม่บอก”
ชนมนฉกมือถือคืนมาจากชินพัฒน์
ชนมนแกล้งยั่ว “ไม่ใช่แค่รู้จักนะ สนิทกันมากด้วย ที่ออกไปทำงานทุกวัน ก็ไปติวให้มาย่านี่แหละ แล้วชั้นก็เคยไปบ้านมาย่ามาแล้ว เคยกินข้าวด้วยกัน เคยนอนคุยกัน”
“มากไปๆ คิดว่าผมเป็นเด็กสิบขวบรึไง อย่ามาหลอกเลย”
ชูชัยรู้สึกเอือม “แกก็สิบขวบจริงๆ”
“ให้ชั้นโทรหามาย่าเดี๋ยวนี้เลยมั้ยล่ะ”
ชินพัฒน์ตาโตแล้วชะโงกมองที่มือถือของชนมนทันที ชนมนเปลี่ยนใจเก็บมือถือไป
“อยากได้เบอร์มาย่าล่ะซิ ฝันไปเถอะ”
“พี่ชนใจร้าย !”
ชินพัฒน์วิ่งกระฟัดกระเฟียดฟูมฟายออกไป
“ไหนบอกว่า ไปติวให้เด็กแว้นไม่ใช่เหรอ” ชูชัยถาม
“มาย่าเป็นเพื่อนไอ้เด็กแว้นน่ะ พ่อ ก็เลยมาติวด้วย”
“เป็นดาราดัง ไปเป็นเพื่อนเด็กแว้นได้ไง”
“ที่จริงอิทก็ไม่ใช่เด็กแว้นที่ซิ่งกวนเมืองหรอก เค้าอยากเป็นนักแข่งรถ เป็นพวกเด็กรวยที่เล่นมอเตอร์ไซค์แพงๆไง พ่ออิทเป็นนายตำรวจดังด้วยนะพ่อ”
ชูชัยไม่ชอบใจ “ลูกตำรวจเหรอ”
ชนมนมองพ่อแล้วยิ้มแหยๆ ที่ลืมบอก
ทีมงานกำลังเตรียมการถ่ายทำหนัง รถตู้ของเมนี่แล่นมาจอด กลุ่มนักข่าวกรูเข้าไปรอทำข่าว เมนี่ลงมาเปิดประตูรถให้ โอเจก้าวลงจากรถแล้วหันไปส่งมือให้มณีมันตราที่ยังนั่งอยู่ในรถ มณีมันตราทำเป็นมองไม่เห็นมือของโอเจ เธอก้าวลงจากรถเอง
กลุ่มนักข่าวกรูกันเข้าไปหาโอเจกับมณีมันตราแล้วจ่อไมค์และถ่ายรูปกันกระหน่ำ
“มาย่าเป็นไงบ้าง เอ็นข้อเท้าฉีกไม่ใช่เหรอ วันนี้จะทำงานไหวเหรอคะ”
“ไหวซิคะ น้องมาย่าแค่เท้าแพลงค่ะ เมื่อวานเกิดเรื่องวุ่นวาย ก็เลยมีการเข้าใจผิด ขอโทษจริงๆนะคะ” เมนี่ตอบ
“โอเจไปเฝ้ามาย่าที่โรงพยาบาลทั้งคืน จริงหรือเปล่าครับ”
“โอเจโพสในเวปไซด์แฟนคลับ ยอมรับเป็นแฟนกับมาย่าแล้ว ตกลงเป็นแฟนกันจริงๆแล้วใช่มั้ย”
มณีมันตราพูดจริงจัง “ไม่จริงค่ะ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
เมนี่หัวเราะกลบเกลื่อน “อุ๊ย น้องเขินใหญ่แล้ว”
โอเจยิ้มกริ่ม “โอว..ผมไม่ได้เป็นคนโพสนะครับ”
มณีมันตรามองเมนี่อย่างรู้ทันว่าเธอต้องเป็นคนโพสต์เพื่อกระพือข่าวแน่นอน
“เป็นความผิดของผมเองครับ ภาษาไทยของผมยังไม่แข็งแรง ก็เลยทำให้แฟนคลับเข้าใจผิด ไปโพสกันต่อ” โอเจพูดกับมณีมันตรา “แล้วผมก็ต้องขอโทษมาย่าด้วยนะครับ”
“งั้นช่วยสรุปความสัมพันธ์ในตอนนี้หน่อยครับ”
โอเจยิ้มอย่างมีนัย “ผมยังตอบอะไรไม่ได้ รอดูกันต่อไปนะครับ ว่าเราสองคน..เออ.เค้าเรียกอะไรนะ..พัด-พัด-ถะ-นา..ว่าเราสองคนจะพัฒนาไปได้หรือเปล่า เราคงไปเตรียมตัวก่อนนะครับ”
โอเจประคองมณีมันตราเดินออกไป มณีมันตราขืนตัวไว้แต่โอเจประคองแบบกึ่งลากเธอออกไป
“วันนี้ขอให้สัมภาษณ์แค่นี้ก่อนนะคะ พี่ๆ นักข่าว ขอให้โอเจกับมาย่าไปทำผมแต่งหน้าก่อนนะคะ วันนี้ให้ถ่ายเฉพาะสองฉากแรกนะคะ ระหว่างที่รอก็ไปดื่มน้ำชากาแฟนทานของว่างกันก่อน เชิญค่ะ เชิญ”
เมนี่ต้อนกลุ่มนักข่าวเดินไป
ชูชัยเดินมาส่งชนมนที่รถจักรยานที่จอดอยู่หน้าบ้าน
“ทำไมไม่เคยบอกว่า แกไปติวให้ลูกตำรวจ” ชูชัยถามย้ำ
“พ่อคงไม่ห้ามหนูใช่มั้ย พ่อไม่ได้เกลียดตำรวจจริงๆจังๆ ใช่มั้ย”
ชูชัยพูดนิ่มๆ แต่หนักแน่น “พ่อเกลียดจริงๆ”
“โธ่ พ่อ ตำรวจไม่เหมือนเพื่อนพ่อทุกคนหรอก”
ชูชัยแอบสะดุ้ง “แกไปรู้อะไรมา”
“ไอ้ชินบอกว่า พ่อต้องเคยมีเพื่อนที่เป็นตำรวจแน่ๆ แล้วเค้าก็คงแอบแทงข้างหลังพ่อ เพื่อนพ่อทำอะไรพ่อล่ะ ไม่แย่งงานก็แย่งแฟน แย่งงานไม่น่าใช่ งั้นก็แย่งแฟน”
“เลิกเดาสุ่มได้แล้ว แล้วพ่อไอ้เด็กแว้นมันเป็นใคร ชื่ออะไร”
“บอกไป พ่อต้องรู้จักแน่ๆ พ่ออิทก็ผู้การอิท”
ชินพัฒน์ในชุดหล่อ สะพายกระเป๋าวิ่งหน้าเริ่ดเข้ามาขัดจังหวะ
“พี่ชนครับ พี่ชน ผมไปด้วย”
“ไปไหน”
“ไปติวด้วยไง ปีหน้าผมว่า ผมจะเข้านิติฯเหมือนพี่”
“ได้ ถ้าพ่อให้แกไป ก็ไปได้”
ชินพัฒน์หันมายิ้มประจบขอร้องชูชัย
“พ่อครับ..”
“แกไปไม่ได้” ชูชัยบอก
“แต่...”
ชูชัยขัด “ไม่มีแต่”
“ขอ..” ชินพัฒน์จะพูดว่าวันนี้วันเดียว
ชูชัยขัดขึ้น “ไม่ต้องมาขอ”
“โธ่...”
“ไม่ต้องมาโธ่ ไม่ต้องมาคร่ำครวญ วันนี้แกต้องช่วยงานชั้น”
“พ่อจะให้ผมพูดจบซักประโยคไม่ได้เหรอ” ชินพัฒน์เซ็ง
“นี่ไง ได้พูดแล้ว”
“งั้นผมฝากขอลายเซ็นพี่มาย่าได้ป่าว นะพี่ชนนะ”
ชินพัฒน์ไม่รอฟังคำตอบ เขารีบหยิบรูปจากกระเป๋ามาใส่มือชนมนทันที
“ฝากบอกพี่มาย่าด้วยว่า ไม่ต้องเสียใจไป อีกไม่นานเราจะต้องได้เจอกัน”
ชินพัฒน์เดินทำหน้าหงอยๆ เศร้าๆ ออกไป ชนมนมองรูปในมือเป็นรูปมณีมันตราถ่ายกับโอเจ แต่หน้าโอเจเป็นรูปชินพัฒน์ที่มาแปะแทน
ชนมนสยอง “ใครจะกล้าให้เซ็น”
ชนมนทำท่าขนลุกขนพอง ชูชัยยิ้มน้อยๆ ขำหน่อยๆ ลืมเรื่องพ่ออิทธิฤทธิ์ไปชั่วคราว
อิทธิฤทธิ์ใส่แจ็คเก็ต ถุงมือ สะพายกระเป๋าพร้อมซิ่งกำลังยืนพิงรอที่รถมอเตอร์ไซค์ ชนมนขี่จักรยานเข้ามาจอดที่ประจำ เธอมองอิทธิฤทธิ์แล้วเหนื่อยใจทันที
อิทธิฤทธิ์รีบบอก “อย่าเพิ่งบ่น วันนี้ชั้นไม่ได้จะโดดเรียน วันนี้เราจะไปติวข้างนอกกัน ติวอยู่แต่ในบ้าน น่าเบื่อ”
“ชั้นไม่อนุญาต”
“ก็ไม่ได้ขอ ไม่ไปด้วยก็ตามใจ วันนี้ชั้นอ่านหนังสือเองอีกวันก็ได้กลัวก็แต่เธอจะขาดรายได้น่ะนะ”
“ชั้นไม่ติวให้นาย ก็มีคนอื่นรอติวกับชั้นเยอะแยะ นึกว่าจะง้อเหรอ”
อิทธิฤทธิ์ทำเป็นคิดแทน “ขาดสอนไปสองวัน ขาดรายได้ไปเท่าไหร่เนี่ย เธอได้ค่าติวชั่วโมงละพัน ติวสองวันน่าจะได้ซักหกพัน โอ้โห ติวชั้นเนี่ยได้เงินเยอะเนอะ ติวคนอื่นเดือนนึงยังไม่ได้เท่านี้เลย”
ชนมนฟังด้วยความเสียดายเงินอย่างมาก
“ก็ได้ๆ แต่ชั้นมีข้อแม้” ชนมนยอม
“ชั้นไม่มีนโยบายเจรจาต่อรอง”
“กลัวล่ะซิ”
“งั้นว่ามา”
“ถ้านายท่องกฎหมายมาตรา 90 91 92 ได้ ชั้นจะไปกับนาย”
“มาตรา 90 เมื่อการกระทำใดอันเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างคาดไม่ถึง อิทธิฤทธิ์ขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์เตรียมซิ่งเต็มที่
“ที่เหลือ..ไปท่องต่อที่กองถ่าย” อิทธิฤทธิ์บอก
อิทธิฤทธิ์สตาร์ทรถ ชนมนรีบซ้อนท้ายรถ
“กองถ่ายอะไร ที่ไหน” ชนมนนึกได้ “นี่นาย.. !”
ชนมนนึกได้ว่าอิทธิฤทธิ์จะต้องไปหามณีมันตราอีกแล้ว
อิทธิฤทธิ์ดึงมือชนมนมากอดเอวไว้แล้วซิ่งรถออกไปอย่างรวดเร็ว
มณีมันตราที่อยู่ในชุดดำทะมัดทะแมงดึงโอเจวิ่งหนีผู้ร้าย มณีมันตรามองไปทางด้านหลัง
“ชั้นคิดว่า เราปลอดภัยแล้วค่ะ คุณโทนี่”
โอเจมองมณีมันตราอย่างซาบซึ้งและทึ่งในความเก่งก่อนจะพูด
“โอว..วีรินทร์ ขอบคุณมาก ผมไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่เก่ง เหมือนคุณมาก่อนเลย”
ตี๋เล็กในบทผู้ร้ายวิ่งเข้ามาขวางทางทั้งสองไว้ ตี๋เล็กกางแขนขึ้นๆลงๆอย่างไม่รู้จะเอามือไปไว้ไหน
ตี๋เล็กท่องบท “จะหนีไปไหน ยังไงเธอก็หนีไม่พ้นหรอก”
สตีฟส่งเสียงดังลั่น “คัท!”
มณีมันตรากับโอเจถอนใจเฮือกพร้อมทั้งมองตี๋เล็กอย่างอ่อนใจ
ตี๋เล็กทำหน้าเหรอหรา “ผมพูดผิดหรือครับ ผมว่า ผมท่องมาเป๊ะๆแล้วนะ”
อาม้าถือพัดลมจิ๋วมาจ่อให้ตี๋เล็กพลางส่งกระติกน้ำให้
“ไม่ผิดๆ ไม่พูดแม้แต่คำเดียว ตี๋เล่นดีแล้ว เชื่ออาม้าซิ”
ตี๋เล็กหันไปมองมณีมันตราแล้วยิ้มอย่างมั่นใจเพื่อโชว์หญิง
ป้ายสเลทชื่อหนังจากฉาก 20 เทค 21 เปลี่ยนเป็น เทค 22 เปลี่ยนเป็นเทค 23 และเปลี่ยนเป็นเทค 35 โดยตัวเลขเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตี๋เล็กวิ่งเข้ามาขวางมาย่ากับโอเจด้วยลีลาต่างๆ
ตี๋เล็กวิ่งสะดุดขาตัวเองจนหัวทิ่ม
ตี๋เล็กวิ่งมาหยุดมองมณีมันตราแล้วพูดไม่ออก
ตี๋เล็กเล่นเกินจริงเพราะหมั่นไส้จึงผลักโอเจออกไป
ตี๋เล็กพูดโอเว่อร์และนอกบท “จะหนีไปไหน เธอต้องเป็นของชั้นคนเดียว”
ตี๋เล็กกางแขนออกกว้างพร้อมทำท่าเป็นผู้ร้ายในหนังไทยโบราณ
อ่านต่อหน้า 4
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 5 (ต่อ)
สตีฟที่ดูมอนิเตอร์อยู่ขยำบทและทึ้งหัวตัวเองอย่างโมโห
สตีฟตะโกน “คัทๆๆๆ !!! คัทโว้ย”
ผู้ช่วยผกก.และทีมงานต่างพากันถอยหนีอเพราะกลัว เมนี่ถลาเข้ามาหาสตีฟทันที
“มีอะไรหรือคะ คุณสตีฟ”
“ใครเอาไอ้หุ่นยนต์นั่นมาเล่น เอาไปเล่นเป็นก้อนหินยังแข็งเกินไปเลย ไปหาคนมาใหม่”
“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณสุวิชฝากมา” เมนี่บอก
“เด็กใคร ชั้นไม่สนใจทั้งนั้น ยังไงก็ต้องเปลี่ยนคน”
“อาม้าของตี๋เล็กเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ของเรานะคะ”
“งั้นถ้าอาม้าอีมาขอเล่นแทนมาย่า ก็ต้องยอมงั้นเหรอ”
โอเจเดินเข้ามาพร้อมบอดี้การ์ดสองคน
“ขอตัดบทหน่อยสิ ตรงนี้ยาวไป” โอเจบอก
“ตรงไหน” สตีฟถาม
โอเจพยักหน้าให้บอดี้การ์ด บอดี้การ์ดส่งบทที่เปิดหน้าตรงที่จะให้แก้ส่งให้สตีฟ
“ตรง “วีรินทร์ ขอบคุณมาก ผมไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่เก่งเหมือนคุณมาก่อนเลย” ขอแก้เป็น “วีรินทร์ ขอบใจมาก” แอคติ้งผมดีอยู่แล้ว เข้าถึงบทโดยไม่ต้องพูดยาวๆหรอก”
สตีฟกัดฟันกรอด “ตัดไม่ได้ แก้ก็ไม่ได้”
“ใครเขียนบทเนี่ย เขียนเป็นหรือเปล่า บทหนังใครเค้าเขียนไดอะล็อกยาวขนาดนี้ สงสัยพวกมือใหม่”
สตีฟโกรธ “ชั้นนี่แหละเป็นคนเขียนบท”
โอเจไม่สำนึก “งั้นก็ดีเลย รีบแก้บทซะนะ จะได้ถ่ายกันต่อ อ้อ แล้วแต่ละฉาก ผมขอพูดไม่เกินสิบประโยค โอเค?”
โอเจเดินออกไป บอดี้การ์ดรับบทคืนจากสตีฟที่ยังงุนงงอยู่ แล้วบอดี้การ์ดทั้งสองก็เดินตามโอเจไป สตีฟมองตามแบบทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด
“แก้บทตามที่โอเจบอกนะคะ คุณสตีฟ ไม่ยากหรอกค่ะ ตรงไหนยาวก็ตัดๆออกไป แค่นั้นเอง” เมนี่ว่า
เมนี่รีบเดินตามโอเจไป ตี๋เล็กกับอาม้าเดินสวนทางเข้ามา
“คุณผู้กำกับ ตี๋เล็กเล่นเป็นไงบ้างค้า เล่นดีใช่มั้ยล่ะคะ งั้นเพิ่มบทให้ตี๋เล็กหน่อยซิ ออกแค่ฉากสองฉากแค่นี้ เสียดายความสามารถนะคะ” อาม้าบอก
“ยิ่งเล่นผมก็ยิ่งอินครับ คุณสตีฟ ผมว่า ผมเข้าถึงบทไอ้นฤเดชแล้ว วันนี้ผมรู้สึกจริงๆว่า ผมเป็นนักฆ่าที่โหดเหี้ยมไร้ซึ่งความปราณี แต่ลึกๆลงไปแล้วก็มีความอ้างว้างโดดเดี่ยว” ตี๋เล็กว่า
“เดี๋ยวๆ ไอ้บทที่นายเล่น เป็นแค่ตัวประกอบชาย1 ไม่มีชื่อ..”
“ผมตั้งชื่อให้เองแหละครับ ชื่อนฤเดช เรียกแค่ไอ้เดชก็ได้ครับ ผมว่าให้ไอ้เดชเรียนช่างกลเหมือนผมดีไหม ก่อนที่ชีวิตจะหักเหมาเป็นลูกน้องเจ้าพ่อโกซอง” ตี๋เล็กบอก
อาม้าสนับสนุน “อย่างนี้ไม่เพิ่มบทไม่ได้แล้วล่ะค่ะ ชั้นไม่ขอมากหรอกค่ะ ขอเพิ่มซักสิบฉากก็ได้
ขอมีบทพูดเยอะๆหน่อยนะคะ กล้องจะได้จับหน้าตี๋เล็กนานๆ ชั้นโทรคุยกับเฮียสุวิชแล้ว ไม่มีปัญหาค่ะ”
“เออดี..อีกคนให้ลด อีกคนให้เพิ่ม ปวดหัว! พักกอง!” สตีฟสั่ง
สตีฟเดินไปด้วยความหงุดหงิด ผู้ช่วยผกก.และทีมงานวิ่งตามไป
“ตกลงผมได้บทเพิ่มแล้วใช่มั้ย ม้า” ตี๋เล็กถามแม่
“ได้อยู่แล้ว ตี๋เล็กเล่นเก่งขนาดนี้ ขอเล่นเป็นพระเอกก็ยังได้”
ตี๋เล็กยิ้มดีใจและมั่นใจเหลือเกิน
อิทธิฤทธิ์ซิ่งรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอด ชนมนที่ซ้อนท้ายอยู่รีบลงจากรถ อิทธิฤทธิ์ลงจากรถด้วยความรวดเร็วและรีบร้อนจนจอดรถขวางรถตู้ไว้
“อีกแล้วนะ ตรงนี้จอดได้ที่ไหน มันขวางรถคนอื่น” ชนมนว่า
“งั้นฝากจอดด้วยดิ อย่าให้รถตากแดดนะ ขอบใจ”
อิทธิฤทธิ์ถอดหมวกกันน็อคแล้วส่งให้ชนมนแล้วรีบออกไปทันที
“เฮ้ย เดี๋ยว ! มาจอดเอง”
คนขับรถตู้ทีมงานเดินมาหยุดมองด้วยหน้าตาที่ทั้งเหี้ยมและไม่พอใจ ชนมนยิ้มแหยๆ และจำใจเข็นรถจักรยานออกไปอย่างทุลักทุเล
มณีมันตรานั่งท่องบทหนังอยู่ ช่างแต่งหน้าซับหน้าให้แล้วเดินออกไป ด้านหลังเป็นทีมงานที่กำลังเตรียมงานกัน สตาฟฝ่ายเสื้อผ้าวุ่นวายกับการรีดและจัดเตรียมชุด ฝ่ายพล็อบเตรียมปืนกับมีดอยู่ที่อีกมุมหนึ่ง มณีมันตราท่องบทจนจำได้หมดก็วางบทลงแล้วก็อดคิดถึงธรรม์ไม่ได้
ภาพตอนที่ธรรม์ มาคุยกับเธอผุดขึ้นมาในหัว
“ย่ามีอะไร คุยกับพี่ก็ได้” ธรรม์พูดเล่น “ไหนๆวันนี้ก็โดดงานแล้ว วันนี้พี่มีเวลาให้สิบนาที”
มณีมันตรายิ้มขำ “เยอะไปหรือเปล่า”
“งั้นสิบห้านาที จัดไป..”
มณีมันตราแกล้งส่ายหน้าแล้วแกล้งทำเป็นงอนๆ
“ชั่วโมงนึง? สองชั่วโมง? สามชั่วโมง? คุยกันถึงเช้าเลยก็ได้ มีอะไรก็ระบายมาให้หมด พี่มีเวลาให้ย่าเสมอ มีเวลาให้ทั้งชีวิตเลย”
มณีมันตรามองมือถือในมืออย่างตัดสินใจ
อิทธิพลเดินเข้ามาในห้องประชุม ธรรม์เดินตามหลังมา นายตำรวจ 5-6 นายเดินตามเข้ามาประชุม ทันใดนั้นมือถือของธรรม์ในระบบสั่นก็ดังขึ้น ธรรม์ดึงมือถือออมาดูเห็นหน้าจอขึ้นชื่อ “มาย่า”
อิทธิพลที่นั่งลงที่หัวโต๊ะประชุมมองมาที่ธรรม์ ธรรม์ตัดสินใจกดปิดโดยไม่รับสาย
มณีมันตราถือมือถือรอธรรม์รับสาย
“ทำไมไม่รับสาย..”
มณีมันตรากดมือถือปิดอย่างผิดหวัง
เสียงตี๋เล็กดังขึ้น “น้องมาย่า”
มณีมันตราหันไปมอง ตี๋เล็กยืนยิ้มหวานรออยู่กับอาม้าที่ถือตะกร้าใส่กระติกน้ำ 4 ใบ
“น้องมาย่า ดูเหนื่อยๆนะครับ ดื่มอะไรเย็นๆให้หายเหนื่อยดีมั้ย”
“ม้าต้มมาหลายอย่างเลย ทั้งน้ำเก๊กฮวย น้ำหล่อฮั่งก้วยมา น้ำจับเลี้ยง น้ำหน่อยเก๋าก็ดีนะ น้ำรากบัวน่ะ รู้จักหรือเปล่า”
“อย่างน้องมาย่า ต้องน้ำหล่อฮั่งก๊วย ม้า น้ำหล่อฮั่งก้วยนี่หวานโดยไม่ต้องใส่น้ำตาลเหมาะสำหรับคนหวานๆอย่างน้องเค้า” ตี๋เล็กว่า
ตี๋เล็กกุลีกุจอเทเปิดกระติกเทน้ำหล่อฮั่งก้วยใส่แก้วแล้วส่งให้มาย่า
“เออ..คือ..ย่ากินไม่เป็น..” มณีมันตราบอก
เสียงอิทธิฤทธิ์ดังขึ้น “มา ชั้นกินเอง”
อิทธิฤทธิ์เข้ามาดึงแก้วน้ำไปจากตี๋เล็ก
“เฮ้ย อะไรวะ”
ตี๋เล็กหันไปมอง อิทธิฤทธิ์ดื่มน้ำหล่อฮั้งก้วยรวดเดียวหมดแก้ว
“ไอ้อิท ! มาได้ไงวะ”
“ชั้นน่าจะถามแกมากกว่า”
“ชั้นมาที่นี่ในฐานะนักแสดง แกล่ะมาในฐานะอะไร โน่น แฟนคลับบ้าดาราไปรอข้างนอกโน้น ที่นี่เป็นที่พักของนักแสดงเท่านั้น ออกไป ไป เรียนมาก็สูง ฟังไม่เข้าใจเหรอไง นักแสดงเท่านั้นที่จะ..”
อิทธิฤทธิ์ขัดขึ้น “เออ รู้แล้ว งั้นเราไปคุยกันข้างนอก”
อิทธิฤทธิ์ดึงตัวมณีมันตราออกไป
“เดี๋ยวๆ นี่แกจะพานางเอกของชั้นไปไหน ม้าๆ ม้าดูมันดิ ดูมัน !”
ตี๋เล็กหันไปมองแม่แต่อาม้ากำลังสาละวนเปิดกระติกน้ำในตะกร้าดู
“ม้าว่า ม้าต้มน้ำใบบัวบกมาด้วยนะ ไม่รู้อยู่ในกระติกไหน”
“ไม่เอา ! ผมไม่ได้อกหักซะหน่อย ! แค่ถูกตัดหน้าเท่านั้น ไอ้อิทขอน้ำเก๊กฮวยแก้เก๊กซิมก็พอ”
ตี๋เล็กคว้ากระติกจากตะกร้ามาเปิดดื่มอั๊กๆ แก้เครียด
อิทธิฤทธิ์ดึงมณีมันตรามาที่อีกมุมหนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่
“ไอ้ตี๋เล็กมันมาทำอะไรที่นี่”
“เค้าเล่นเป็นตัวประกอบ”
“นี่มันจ่ายไปเท่าไหร่เนี่ย ถึงได้มาเล่นหนังกับเธอ อยู่ห่างๆ มันไว้นะ ไม่งั้นเดี๋ยวได้เป็นข่าวอีก”
“ชั้นรู้น่า ว่าต้องทำยังไง แล้วเธอล่ะมาที่นี่ทำไม เสียเวลาติวเปล่าๆ”
“ก็เป็นห่วง ไม่เป็นไรใช่มั้ย เรื่องข่าวน่ะ”
“ชินแล้วล่ะ”
“ดีแล้วที่ไม่เครียด แต่เห็นไอ้ธรรม์เครียดน่าดู มันไม่กล้ามายุ่งเกี่ยวกับเธอแล้วล่ะ กลัวเป็นข่าวอีก”
“ไม่จริง.. เมื่อคืน..เอ๊ย..เมื่อวานไม่เห็นพี่ธรรม์พูดอะไรเลย”
ชนมนเดินเข้ามาหยุดฟังอยู่ห่างๆ
อิทธิฤทธิ์พูดต่อ “มันคงเพิ่งคิดได้มั้ง ไม่งั้นวันนี้มันก็ต้องมาแล้วซิ ใช่มั้ยล่ะ นี่มันไม่มา..มันจะมาเสียเวลากับเธอทำไม สู้เอาเวลาไปสร้างผลงานดีกว่า มันรักงานตำรวจยิ่งกว่าอะไร ไอ้ที่มาช่วยฝึกสอนเธอน่ะ เพราะถูกเจ้านายบังคับ ถ้ามันเลือกได้ มันไม่ทำหรอก”
“เธออย่ามาคิดแทนพี่ธรรม์”
“ชั้นได้ยินจากปากของมันเอง มันบอกว่า ที่ผ่านมามันทำตามหน้าที่เท่านั้น งานตำรวจสำคัญที่สุด เรื่องอื่นไม่มีความหมาย เรื่องอื่นที่มันว่า ก็หมายถึงเธอนั่นแหละ”
มณีมันตรานิ่งอึ้งด้วยความเสียใจแต่พยายามรวบรวมสติ
“ชั้น..ชั้นไปทำงานต่อก่อนนะ”
มณีมันตราเดินออกไปเงียบๆ
“มาย่า..”
อิทธิฤทธิ์จะเดินตามมณีมันตราแต่ชนมนเดินมาขวางทางไว้
“ชั้นผิดหวังในตัวนายจริงๆ นายอิทธิฤทธิ์”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างเสียความรู้สึก ก่อนจะเดินออกไป อิทธิฤทธิ์นิ่งคิดเพราะยังไงก็คิดว่าตัวเองทำสิ่งที่ถูกต้อง
มณีมันตราเดินหงอยๆ มานั่งที่มุมหนึ่งของเต๊นท์ เธอหยิบมือถือขึ้นมาดูรูปตัวเองในชุดคนไข้ที่ถ่ายคู่กับธรรม์ที่โรงพยาบาลเมื่อวาน ทั้งสองยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้มีเวลาดีๆ ด้วยกัน
“พี่ธรรม์..”
เมนี่รีบร้อนเดินเข้ามา มณีมันตรารีบปิดมือถือทันที
“น้องมาย่า หายไปไหนมาคะ เข้าฉากค่ะ ถ่ายฉาก 20 ฉากเดิมนะคะ พี่เจี๊ยบๆ พี่เจี๊ยบอยู่ไหน มาเติมปากให้น้องหน่อย”
เมนี่มองมณีมันตราที่ยังเซื่องซึม
“เป็นอะไรคะ เรื่องส่วนตัวเก็บไว้ก่อนนะคะ ทำตัวเป็นมืออาชีพหน่อย” เมนี่เตือน “น้องมาย่าคะ?”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ หนูแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงานได้อยู่แล้ว พี่เมนี่ก็ควรจะทำให้ได้เหมือนหนูนะคะ อย่าเอาเรื่องส่วนตัวของหนูเอาไปใช้ประโยชน์ในเรื่องงานให้มากนัก ช่วยทำตัวเป็นมืออาชีพหน่อย”
มณีมันตราเดินออกไป เมนี่มองตามอย่างทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่ขมุบขมิบปากด่าไป
ชนมนเดินลิ่วๆ จะไปทางที่จอดรถ อิทธิฤทธิ์เดินตามมาจนทันก็ดึงตัวชนมนไว้
“เมื่อกี้ที่พูดหมายว่าอะไร ผิดหวังอะไร?”
“ชั้นก็ผิดหวังที่นายไม่เป็นลูกผู้ชายน่ะซิ”
“นี่เธอ !”
“แอบแทงข้างหลังคนอื่น ไม่แมนเอาซะเลย”
“แทงข้างหลังอะไร ชั้นพูดความจริง ! ไอ้ธรรม์มันพูดกับชั้นอย่างนั้นจริงๆ ชั้นก็อยากให้มาย่าตาสว่าง เลิกคิดว่า มันเป็นคนดีซะทีชั้นผิดตรงไหน”
“นายคิดเหรอว่า นายกำจัดพี่ธรรม์ออกไปได้ แล้วมาย่าจะหันมามองนาย อย่างนายเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้นแหละ เพื่อนที่ไม่เอาไหน คอยแต่สร้างปัญหาให้มาย่า ดูๆไปเด็กแว้นอย่างนายตี๋เล็กยังดีกว่านายเลย”
“ไอ้ตี๋เล็กหน้าจืดมันดีกว่าชั้นตรงไหน”
“อย่างน้อยตี๋เล็กก็ยังใช้ความพยายามเอาชนะใจมาย่า เค้ามีเงินแต่ก็ยอมมาเป็นตัวประกอบกระจอกๆ เพื่อให้ได้ใกล้ชิดมาย่า แล้วนายเคยทำอะไรบ้าง นอกจากตามมาย่าไปวันๆ”
อิทธิฤทธิ์ตรงเข้าไปจับมือชนมนไว้แน่นแล้วลากตัวไปอีกทาง
“จะทำอะไร !”
“ชั้นจะพิสูจน์ให้เธอดูว่า ชั้นดีกว่าไอ้ลูกแหง่นั่น”
อิทธิฤทธิ์ลากตัวชนมนไปอย่างรวดเร็ว
มณีมันตราจับมือโอเจวิ่งหนีพลางมองไปข้างหลังอย่างหวาดระแวง ตี๋เล็กขี่มอเตอร์ไซค์มาขวางพร้อมกับปั้นหน้าเหี้ยม
ตี๋เล็กพูดทื่อๆ “หยุดนะ หนี-ไม่-รอด-หรอก”
สตีฟสั่งเสียงดัง “คัท!”
อิทธิฤทธิ์กับชนมนยืนดูอยู่ห่างๆ
อิทธิฤทธิ์ขำ “เป็นไง มันดีกว่าชั้นตรงไหน”
“ตรงที่กล้าทำในสิ่งที่นายไม่กล้าไงล่ะ” ชนมนบอก
อิทธิฤทธิ์มองชนมนตาขวางเพราะไม่ชอบใจ
บอดี้การ์ดเข้าไปกางร่มให้โอเจ ช่างหน้าช่างผมเข้าไปดูแลโอเจกับมณีมันตรา อาม้าเข้าไปช่วยซับหน้าแต่งผมให้ตี๋เล็ก สตีฟเดินเข้าไปหาตี๋เล็กอย่างเหนื่อยใจ
“พูดให้มันมีอารมณ์หน่อยได้มั้ย ตัวละครที่นายเล่น มันไม่ได้เสื่อมสมรรถภาพนะ มันเป็นลูกน้องมาเฟีย มันต้องโหด อารมณ์มันต้องพลุ่งพล่าน นายรู้สึกยังไง ก็แสดงออกไปอย่างนั้นเลย”
ตี๋เล็กพูดทวน “รู้สึกยังไง ก็แสดงออกไปอย่างนั้นเลย”
“เออ ความต้องการของนายคือ อยากจับไอ้ซุปตาร์คนนี้ไปให้เจ้านาย นายต้องโกรธมากๆที่วีรินทร์มาขวาง โกรธน่ะ โกรธเป็นมั้ย ใช้ความรู้สึกของนายจริงๆไป”
ตี๋เล็กทวน “ใช้ความรู้สึกจริงๆ ไป เข้าใจแล้วครับ อย่างนี้หวานหมูเลยครับ”
สตีฟเดินกลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน
“ทำไมกูต้องเหนื่อยขนาดนี้ด้วยวะ” สตีฟบ่น
สตีฟนั่งลงที่หน้าจอมอนิเตอร์
สตีฟตะโกน “เอาใหม่”
ช่างทำผมช่างแต่งหน้าถอยออกมา อาม้าซับหน้าให้ตี๋เล็กอีกครั้ง มณีมันตรากับโอเจกลับมายืนจุดเดิม
ป้ายสเลทชื่อหนังฉาก 20 เทค 55
สตาฟพูด “ฉาก 20 เทค 55 ...”
มณีมันตราจับมือโอเจวิ่งหนีมาตามทางเดิม ตี๋เล็กขี่มอเตอร์ไซค์มาขวางหน้า ตี๋เล็กมองหน้ามาย่าแล้วยิ้มหวานพร้อมทั้งส่งสายตาปิ๊งๆๆ
ตี๋เล็กพูดเสียงหวานหยด “หยุดนะ... เธอหนีไม่รอดหรอก”
ตี๋เล็กส่งยิ้มและขยิบตาให้มณีมันตรา มณีมันตรากับโอเจมองตี๋เล็กแล้วก็เหวอไป โอเจลืมตัวโมโหตี๋เล็กจนพูดไทยชัดเจนรัวเร็ว
“เฮ้ย อะไรวะ เมื่อไหร่จะเล่นได้ซักที นี่มันจะร้อยเทคแล้ว ไม่มีคนเล่นดีกว่าไอ้เบื๊อกนี่แล้วเหรอไง เสียเวลาจริงๆ” โอเจรู้สึกตัวก็รีบทำเสียงแปร่งทันที “ไม่ไหวเจงๆ ไปหาคนมาใหม่ ไม่งั้นชั้นไม่เล่น”
โอเจเดินออกไป บอดี้การ์ดรีบเข้ามากางร่มแล้วพาโอเจออกไป สตีฟวิ่งเข้ามาพลางทึ้งผมเหมือนคนบ้า
สตีฟตะโกน “คัทๆๆ”
สตีฟวิ่งเข้ามากระชากคอเสื้อตี๋เล็กแล้วหักห้ามอารมณ์ตัวเองก่อนจะปล่อยตี๋เล็กไป
“จะยิ้มทำไม จะมาฆ่าเค้า ไม่ได้จะจีบเค้า”
“อ้าว ก็คุณสตีฟบอกว่า รู้สึกยังไง ก็ให้แสดงออกไปอย่างนั้น ผมก็รู้สึกอยากจีบน้องมาย่า ผมก็แสดงออกไปด้วยความรู้สึกจริงๆ”
มณีมันตราทำหน้าไม่ถูก
สตีฟโพล่งออกมา “พระเจ้า !”
ชนมนเห็นตี๋เล็กแสดงได้ไม่เอาไหนแต่ยังคงพยายามตะแบงเข้าข้างอยู่
“เออ..อย่างน้อย เค้าก็..มีความพยายามดี ถ้าเป็นนาย นายคงถอดใจไปนานแล้ว ชั้นพูดถูกมั้ยล่ะ”
ชนมนหันไปมองข้างๆตัวก็พบว่าอิทธิฤทธิ์หายไปแล้ว
ส่วนสตีฟยังคงทึ้งผมและทุบอกตัวเองในขณะที่ยืนอยู่กับตี๋เล็ก มณีมันตรายืนอ่อนใจอยู่ห่างๆ
“พระเจ้า ! ช่วยให้ธรณีสูบไอ้นี่ไป แล้วส่งคนใหม่มาให้ลูกที!” สตีฟร้อง
เสียงมอเตอร์ไซค์ดัง “บรื๊นน” สนั่น ทุกคนหันไปมองทางต้นเสียงที่มา อิทธิฤทธิ์ซิ่งมอเตอร์ไซค์เข้ามาอย่างเท่ก่อนจะดริฟท์ตีโค้งแล้วจอดกึกตรงหน้ามาย่า
อ”หยุดนะ เธอหนีไม่รอดหรอก”
อิทธิฤทธิ์เล่นทื่อๆตรงๆ แต่เสียงดังเข้าไว้และยังหล่อและเท่
มณีมันตราตกใจ “อิท!!”
สตีฟอ้าปากค้าง เขามองอิทธิฤทธิ์อย่างชอบใจ
“โอว พระเจ้าช่วยลูกแล้ว ! คนนี้แหละ ใช่เลย !! ดูซิ ส่งอารมณ์จนมาย่าตกใจได้เหมือนจริงมาก ให้น้องคนนี้เล่นแทนเลย”
ตี๋เล็กเจ็บใจ “ไอ้อิท”
ชนมนมองไปที่อิทธิฤทธิ์อย่างไม่พอใจที่ไปแย่งงานตี๋เล็ก
“นายอิท !”
อิทธิฤทธิ์โพสท่าเท่บนมอเตอร์ไซค์แล้วมองมณีมันตราอย่างอวดๆ อิทธิฤทธิ์ยิ้มให้มณีมันตราแล้วมองเลยไปเห็นชนมนกำลังมองมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
อิทธิฤทธิ์หุบยิ้มแล้วฉีกยิ้มให้มณีมันตราใหม่โดยทำเป็นไม่สนใจท่าทีของชนมน
ตี๋เล็กเดินฟึดฟัดเพราะความโมโหมาแล้วนั่งลง อาม้าตามนวดบ่านวดไหล่ปลอบใจ
“ผมไม่ยอมๆ ยังไงผมก็ไม่ยอมให้ไอ้อิทมันแย่งบทผมไป”
“ไม่มีใครจะแย่งบทตี๋เล็กไปได้ เดี๋ยวม้าจะโทรหาเฮียสุวิชเดี๋ยวนี้เลย” อาม้าบอก
อาม้าหยิบมือถือออกมา ทันใดนั้นเมนี่ก็ลากสตีฟเข้ามา
เมนี่พูดเสียงดัง “อาม้าขา อาม้ากำลังโทรหาใครคะ”
“ก็โทรไปที่บริษัทเธอน่ะซิ ชั้นจะไม่เป็นสปอนเซอร์ให้หนังเธอแล้ว แล้วที่ให้เติมน้ำมันที่ปั้มของชั้นฟรีสามเดือนก็ยกเลิก”
เมนี่หันไปมองสตีฟอย่างเว้าวอนขอร้อง
“เห็นมั้ยล่ะคะ คุณสตีฟ เป็นเรื่องแล้ว”
“สปอนเซอร์รายเดียวหรือหนังถ่ายไม่จบ เลือกเอา” สตีฟว่า
“แต่นี่สปอนเซอร์รายใหญ่นะคะ ตอนนี้น้ำมันก็แพงยังกับทองคำ ถ้าอาม้าถอนตัวไป ก็ต้องยกฉากเฮลิคอปเตอร์ออกนะคะ เปลี่ยนเป็นให้มาย่าตกต้นมะม่วงแทนล่ะกัน”
“ก็ได้ ชั้นยอมให้ตี๋เล็กกลับไปเล่นเหมือนเดิม”
ตี๋เล็กรีบบอก “ได้เล่นบทเดิมด้วยนะครับ”
“เออ ก็เล่นเป็นลูกน้องเจ้าพ่อโกซองเหมือนเดิมนั่นแหละ”
“ม้า ! ผมได้กลับไปเล่นหนังกับน้องมาย่าแล้ว”
ตี๋เล็กกระโดดกอดอาม้าอย่างดีใจ
เมนี่กระซิบ “หนังต้องถ่ายให้จบด้วยนะคะ”
สตีฟพยักหน้ารับอย่างแข็งขันว่าไม่มีปัญหาแน่นอน
มณีมันตรากับโอเจจับมือกันแน่น ทั้งสองมองหน้ากันอย่างให้กำลังใจ อิทธิฤทธิ์ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปรอบๆ ตัวมณีมันตรากับโอเจแล้วตีวงแคบลงเรื่อยๆ อิทธิฤทธิ์ยกล้อแล้วขี่ล้อเดียววนรอบมณีมันตรากับโอเจในระยะประชิดตัวมากขึ้น
ทีมงานและผู้คนที่ยืนดูอยู่โดยรอบต่างชื่นชมและลุ้นตามด้วยความตื่นเต้น ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างอดทึ่งไม่ได้ อิทธิฤทธิ์กลับขี่สองล้อแบบปกติแล้วจอดปรื๊ดตรงหน้ามณีมันตรากับโอเจ
อิทธิฤทธิ์พูด “พวกแกเสร็จชั้นแน่”
สตีฟสั่ง “คัท ! ดีมาก”
ผู้คนในกองถ่ายปรบมือกันเกรียวกราว
สตีฟปรบมือด้วยความชอบใจ
“ไอ้น้องคนนี้มันเจ๋งจริงๆ เป็นพระเอกได้เลยนะเนี่ย”
อาม้าที่อยู่ด้านหลังสตีฟมองที่มอนิเตอร์แบบเพ่งแล้วเพ่งอีกเพื่อหาตี๋เล็ก
“ไหน ตี๋เล็กอยู่ไหน”
“อยู่ข้างหลังน้องมาย่าไงคะ” เมนี่บอก
“ไม่เห็นมีเลย”
“จอมอนิเตอร์มันเล็กน่ะค่ะ อาม้า น้องตี๋เล็กอยู่โน่นไงคะ”
ตี๋เล็กยืนอยู่กับกลุ่มตัวประกอบไกลออกไปโดยเห็นเป็นจุดดำๆ ไกลๆ
อาม้าตะโกน “ตี๋เล็กๆ”
ตี๋เล็กโบกมือไหวๆ อยู่ไกลๆ
อาม้าตะโกน “ตี๋เล็ก เก่งมากๆ คราวนี้ไม่มีเทค ไม่มีถ่ายใหม่ เก่งจริงๆ”
เมนี่กับสตีฟแอบยิ้มให้กันและแตะมือกันอย่างดีใจที่ถ่ายฉากเจ้าปัญหาจบไปได้เสียที
ตี๋เล็กยืนหน้าหงิกเพราะโมโห กลุ่มตัวประกอบเดินออกไป ตี๋เล็กเดินลิ่วๆ จะไปหามณีมันตราที่ยืนอยู่กับโอเจแต่บอดี้การ์ด 2 คนขวางทางไว้ไม่ให้เขาเข้าไปใกล้โอเจ
“โอ๊ย เหนื่อย ไม่เอาแล้วหนังแอคชั่น ! ดูซิ ผิวเสียหมดแล้ว ไม่เทคใช่มั้ย ไปกลับ”
พูดจบโอเจก็เดินออกไปพร้อมกับบอดี้การ์ด 2 คน อิทธิฤทธิ์ยังคงขี่มอเตอร์ไซค์ไปรอบๆ ตัวมณีมันตรา
อิทธิฤทธิ์พูด “ซ้อนท้ายพี่มั้ย น้อง”
“เลิกเล่นได้แล้ว” มณีมันตราว่า
“ไม่ซ้อน พี่ก็ไม่เลิก”
ตี๋เล็กถลันเข้ามาหาอิทธิฤทธิ์
“ไอ้อิท !”
มณีมันตรายอมซ้อนท้ายรถอิทธิฤทธิ์อย่างตัดรำคาญ
“ยู้ฮู้ วันนี้โชคดีจริงๆ มีนางเอกซ้อนท้าย”
ตี๋เล็กเข้าไปหาไม่ทันเพราะอิทธิฤทธิ์ซิ่งรถไปโดยมีมณีมันตราซ้อนท้ายไปด้วย อิทธิฤทธิ์ชูมืออย่างมีความสุขตลอดทาง มณีมันตราตีอิทธิฤทธิ์ให้ขี่รถให้ดีๆ ตี๋เล็กมองตามอย่างคลั่งแค้น
“นั่นต้องเรา ไม่ใช่มัน ทำไมๆ ทำไม”
ตี๋เล็กชูสองมือขึ้นฟ้าด้วยความโกรธแค้น
อิทธิฤทธิ์มาหยิบขวดน้ำเปล่าจากลังน้ำแข็ง อิทธิฤทธิ์เปิดขวดน้ำดื่มแล้วเดินออก สตาฟที่เป็นธุรกิจกองถ่ายถือใบรับเงินเดินตามไล่หลังมาเรียก
“น้องๆ น้องใช่คนที่มาเล่นแทนตี๋เล็กใช่มั้ย”
“ครับ มีอะไร”
“พี่เมนี่ให้เอาค่าตัวมาให้”
อิทธิฤทธิ์ขำ “เล่นแค่นั้น ได้เงินด้วยเหรอ ได้เท่าไหร่เหรอ พี่”
“ห้าร้อยบาท น้องเซ็นใบรับเงิน แล้วขอสำเนาบัตรประชาชนด้วย”
“สำเนาบัตรประชาชนอะไร ไม่มี”
“ไม่มี น้องก็แฟกซ์ตามมาก็ได้ ซีร็อกซ์บัตรประชาชน เซ็นสำเนาถูกต้อง แล้วแฟ็กซ์ไปให้พี่ที่บริษัท เมมเบอร์แฟ็กซ์พี่ไว้นะ”
อิทธิฤทธิ์ฟังแล้วก็รู้สึกว่ายุ่งยากจึงขี้เกียจจะทำ
“ถ้ามันต้องลำบากนักล่ะก็ พี่เก็บเงินไว้เถอะ แค่ห้าร้อยเอง”
อิทธิฤทธิ์เดินออกไปแล้วก็ชะงักกึกเพราะนึกถึงคำพูดของชนมน
“ตั้งห้าร้อย ชั้นอยู่ได้เป็นอาทิตย์”
อิทธิฤทธิ์นึกถึงตอนที่เขาไม่มีเงินจนต้องยอมยืมเงินชนมน อิทธิฤทธิ์ดึงเงินห้าร้อยของชนมนมา
“เฮ้ย เอาไปทำไมตั้งห้าร้อย” ชนมนโวย
อิทธิฤทธิ์พูด “แค่ห้าร้อย !”
“ตั้งห้าร้อย ! ชั้นอยู่ได้เป็นอาทิตย์”
“อย่ามาเว่อร์ เงินแค่ห้าร้อย ใช้วันเดียวก็หมดแล้ว”
“ชั้นจะแสดงให้นายดูว่า เงินห้าร้อยทำอะไรได้บ้าง”
ชนมนยืนมองหน้าอิทธิฤทธิ์อย่างเอาจริงเอาจัง
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น อิทธิฤทธิ์ก็หันกลับไปหาสตาฟที่เดินออกไปแล้ว
“เดี๋ยว พี่ อย่าเพิ่งไป ผมเปลี่ยนใจแล้ว”
อิทธิฤทธิ์รีบตามสตาฟเพื่อไปเอาเงินมา
อ่านต่อตอนที่ 6